หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Kohkeerati
Joined: พฤหัสฯ. ก.พ. 12, 2015 2:54 pm
10
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Kohkeerati
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: รับจองมีตติ้งภาคใต้ไตรมาส 4 /2559
จอง 1 ที่ สมาชิก ครับ
โดย
Kohkeerati
เสาร์ ก.พ. 25, 2017 1:05 pm
0
0
Re: รับจองมีตติ้งไตรมาส 3/2559
จอง 1 ที่ครับ
โดย
Kohkeerati
เสาร์ ก.พ. 25, 2017 12:52 pm
0
1
Re: รับจองมีตติ้งไตรมาส 3/2559
รับทราบ ขอบคุณครับ :D
โดย
Kohkeerati
ศุกร์ ก.พ. 24, 2017 9:46 pm
0
0
Re: เนื่องจากมีเพื่อนในบอร์ด ส่งข้อความมาหาผมขอ EXCEL DCF
รบกวนขอด้วยน้ะ ครับ
[email protected]
ขอบพระคุณครับ
โดย
Kohkeerati
อาทิตย์ ธ.ค. 04, 2016 1:52 pm
0
0
Re: **วันนี้ 9.00 น.**เปิดจองสัมมนา Money Talk@SET ก.ย.59
จอง 1 ที่นั่ง ครับ
โดย
Kohkeerati
พุธ ก.ย. 14, 2016 9:34 am
0
0
Re: จองงาน มีตติ้งภาคใต้ ไตรมาส 2/2559
จอง 1 ที่ ครับ เป็นสมาชิก
โดย
Kohkeerati
พุธ ส.ค. 17, 2016 12:12 pm
0
0
Re: **วันนี้ 9.00 น.** เปิดจอง Money Talk@SET 9 ก.ค.59
จอง 1 ที่ครับ
โดย
Kohkeerati
พุธ มิ.ย. 29, 2016 9:03 am
0
0
Re: VI บ้าน ๆ
ขออนุญาตยกมาไว้ตรงนี้ เผื่อมีใครหลงตาไป และ "เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กระทู้ VI บ้านๆ ของพวกเรา" ค่ะ ขอบคุณนายกโจมากๆ...รู้สึกซึ้งใจเกินจะกล่าวข้อความใดๆ ต่อ อยากให้ทุกๆ คนได้อ่านค่ะ ขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้ กราบสวัสดีปีใหม่ปี 2559 พี่ๆ น้องๆ สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ทุกท่าน กราบสวัสดีอาจารย์ ดร.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ พี่ปรัชญา พี่ครรชิต ลุงขวด เฮียคลายเครียด พี่หมอ jfk พี่กะละมัง พี่พี พี่วัฒน์ พี่หมอพงศ์ศักดิ์ พี่หลิน พี่หนิง พี่กุ๊ก พี่หมอสามัญชน พี่พรรณ พี่ไก่ พี่มน พี่บู พี่วิบูลย์ พี่นัน พี่ตี้ พี่จรัญ พี่แมว พี่บัวดิน หมอหนึ่ง พี่เวป พี่ฉัตร พี่ชาย พีเจ๋ง พี่นริศ พี่พอใจ พี่นุช พี่อมร ขอคุณพระศรีรัตนตรัย คุ้มครองให้ทุกท่านปลอดภัย สุขกาย สบายใจ พอร์ตหุ้นเฟื่องฟูลอย ตลอดปีตลอดไปครับ ตลาดหุ้นปี 2558 เป็นปีที่ไม่น่าจดจำนักสำหรับนักลงทุน ดัชนีเซ็ทอยู่ในระดับสูงสุดตอนต้นปี และค่อยๆไหลลง และลดลงอย่างรวดเร็วในตอนสิ้นปี ดัชนีเริ่มต้นปีที่ 1497.67 จุด ทำจุดสูงสุดที่ 1619.77 ต่ำสุดที่ 1251.99 และปิดสิ้นปีที่ 1288.02 จุด ตลาดให้ผลตอบแทนเป็นเลขกลมๆที่ - 14% รวมเงินปันผลเฉลี่ยเป๊ะ 3 % ผลตอบแทนรวมเท่ากับ -11% ทั้งปีมีหุ้นเข้าใหม่ประมาณ 33 บริษัท เพิกถอนออกไป 7 สุทธิปลายปีมีหุ้นประมาณ 639 บริษัท ตลาดหุ้นไทยติดอันดับตลาดที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดใกล้เคียงกับตลาดสิงคโปร์ ในขณะกลุ่มที่ดีที่สุดคือตลาดหุ้นจีน เยอรมัน ฝรั่งเศส ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ผลตอบแทนส่วนตัว ยังน่าพอใจ แม้จะลดลงตามสถาวะตลาดบ้าง ไม่มีเงินกู้ ถือหุ้นเฉลี่ย 90 กว่า% ตลอดทั้งปี Cocktail Portfolio ยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม โดยมีหุ้นเพิ่มเป็นเฉลี่ยประมาณ 40 ตัว (ไม่รวมที่ถืออีก 15 ตัวในตลาดหุ้นเวียดนาม) ตัวที่ถือสูงสุดไม่เกิน 10% ของพอร์ต ข้อดีของการถือหุ้นหลายตัวคือมันเปิดโอกาสให้เราผิดพลาดได้พอสมควร ผลบวกจากหุ้นดีๆจะไปกลบผลขาดทุนของหุ้นที่ติดลบได้ทั้งหมด เพียงแต่เวลากำไร ต้องกำไรมากๆ เพื่อไปชดเชยกับขาดทุนน้อยๆของหุ้นหลายตัว หุ้นที่ให้ตอบแทนดีๆ ยังเป็นหุ้นเติบโต และหุ้นฟื้นตัว ส่วนหุ้นที่ทำให้ขาดทุน(หนักๆ)ส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มหุ้นวัฏจักรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ส่วนนึงที่ยังทำผลตอบแทนได้เป็นบวก ทั้งที่ตลาดติดลบ คือการใช้ตราสารอนุพันธ์บางส่วน (TFEX set 50) เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากตลาดขาลง (มิใช่เพื่อเก็งกำไร) ประกอบกับกระจายพอร์ตไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม (6%) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดี เรื่องราวในตลาดหุ้นตลอดปี 2558 มีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง ที่ควรขยายความ ดอกไม้ในทะเลทราย แม้ในขณะที่ดัชนีลดลงพอสมควร กลับมีหุ้นหลายตัว หลายกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนที่ดี บางตัวก็ดีมากๆ เช่นกลุ่มสินเชื่อรายย่อยแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน (MTLS SAWAD KTC GL) กลุ่มท่องเที่ยว (MINT CENTEL SPA AOT) กลุ่มโรงพยาบาล (ฺBCH BDMS BH CHG) กลุ่มพลังงานบางตัว (TASCO PTG TOP IRPC) กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไป (EPG FSMART MCS BEAUTY HFT COM7) หน้าที่ของนักลงทุนคือค้นหาหุ้นเหล่านี้ แม้ไม่ใช่งานง่าย แต่มีนักลงทุนบางรายที่ยังทำได้จริงๆ หุ้นที่ราคาเพิ่มขึ้น สวนทางดัชนีตลาดรวมที่ปรับลดลง สะท้อนความจริงที่ว่าผลประกอบการคือทุกอย่าง หุ้นทุกตัวข้างต้น กำไรปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทุกตัว การทำผลตอบแทนดีๆไม่จำเป็นต้องรอซื้อหุ้นตอนวิกฤติ(เพราะช่วงวิกฤติ มีเงินใช่จะกล้าซื้อ) การสร้างผลตอบแทนดีๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดัชนีตลาดรวม แต่ขึ้นกับการซื้อหุ้นดีๆ ในราคาที่สมเหตุสมผล บลูชิพกลายเป็นบลูฉิบ หุ้นบลูชิพ (Blue-chip) มีที่มาจากการพนันในบ่อนคาสิโน เหรียญฟ้าหรือ Blue-chip คือเหรียญที่มีมูลค่ามากที่สุด ราคาแพงที่สุด หากนำมาเปรียบเทียบกับหุ้นก็เหมือนกับหุ้นขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่ง มั่นคง เป็นผู้นำมีชื่อเสียง กำไรไม่ผันผวน นักลงทุนมักซื้อหุ้นเหล่านี้เพราะ “คุ้นเคย มั่นคง ไว้ใจได้” ถ้าซื้อไว้ โดยเฉพาะตอนที่ตลาดมีความไม่แน่นอน คงจะไม่ขาดทุน ความเชื่อนี้ ใช้ไม่ได้ในปี 2558 หุ้นเหล่านี้ ในกลุ่มน้ำมัน (PTT PTTEP) กลุ่มธนาคาร (KBANK SCB BBL KTB) และโดยเฉพาะในกลุ่มสื่อสาร (ADVANC INTUCH DTAC) ราคาลดลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ความเชื่อก็คือความเชื่อ และมักจะโดนหักล้างด้วยสิ่งที่แน่นอนกว่า คือความจริง ราคาน้ำมัน จากที่เคยขึ้นไปสุงสุด 100 กว่าเหรียญต่อบาเรล ลดลงเหลือไม่ถึง 40 เหรียญ เป็นความจริงที่ไม่น่าเชื่ออีกเรื่องนึง สาเหตุจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการใช้ รวมถึงซัพพลายส่งออกใหม่จากประเทศอิหร่าน สหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันที่ลดลงเกินครึ่ง ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษกิจเป็นลูกโซ่ ราคาน้ำมันที่ลด ส่งผลให้สินค้าคอมโมดีตี้ ลดลงเกือบทุกชนิด กระทบกับเศรษกิจทั้งโลก ที่กระทบมากที่สุดคือประเทศที่ส่งออกน้ำมันและคอมโมดิตี้ เช่นกลุ่มตะวันออกกลาง บราซิล นอร์เว รัสเซีย ออสเตรเลีย ประเทศนำเข้าน้ำมันอย่างประเทศไทย ซึ่งควรจะได้รับผลดีจากการได้ซื้อน้ำมันที่ถูกลง กลับโดนหักล้างจากเหตุผลที่ว่า ราคาน้ำมันที่ลด ทำให้สินค้าหลักของไทย ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง ราคาลดลงด้วย ปริมาณการส่งออกก็ลดลง เพราะความต้องการของคู่ค้าต่างประเทศก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เราเคยเชื่อว่าน้ำมันราคาแพง ทำให้เศรษกิจไม่ดี ต่อไปนี้ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่! หุ้นคุณฆ่าวีไอ ปีที่ผ่านมา มีหุ้นหลายตัวที่นักลงทุนแนววีไอได้เข้าไปซื้อเพราะมีคุณสมบัติบางประการที่ “อาจจะ”เข้าข่ายหุ้นวีไอ แต่ต่อมาราคาได้ลดลงมาก สร้างความเสียหายอย่างหนัก พาลทำหลายคนให้เริ่มหวั่นไหวและตั้งคำถาม ว่าหลักการวีไอยังใช้ได้ดีหรือไม่ หุ้นเหล่านี้มีหลายรูปแบบ หุ้นประเภทแรก ซื้อขายที่ P/E ค่อนข้างต่ำ มีเงินปันผลดี หนี้สินไม่สูง ผู้บริหารเก่ง ดูโดนรวมก็น่าจะเป็นหุ้นที่ดี แต่อนิจจาราคาหุ้นลดลงมากกว่าครึ่ง สาเหตุเพราะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์หรือผูกติดกับอุตสาหกรรมน้ำมัน เมื่อราคาสินค้าลดลง ผู้ผลิตก็ต้องลดการผลิต งานที่เคยมี ก็ลดหรือเลื่อน หลายโครงการยกเลิก ราคาสินค้าที่ลดลง ทำให้เกิดการขาดทุนสินค้าคงคลัง ราคาต่อหน่อยลด ปริมาณการขายก็ลด ยอดขายตก เมื่อกำไรลด P/E ที่เคยต่ำก็สูงขึ้น ปันผลลด ราคาหุ้นก็ลดเช่นกัน หุ้นประเภท 2 เป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติบางอย่างเข้าข่ายหุ้นวีไอ เป็นหุ้นที่เน้นการเติบโต นักลงทุนให้ค่าการเติบโตสูงลิ่ว จนไม่มีที่ว่างให้กับความผิดพลาด (MOS) แต่เมื่อความจริงปรากฎ หุ้นบางตัวไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง เป็นแบรนด์สินค้าที่ลูกค้าไม่ได้มีความภักดี บางตัวได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษกิจ สินค้าเลียนแบบได้ง่าย หุ้นบางตัวถึงแม้มีการเติบโตของผลกำไร แต่ไม่ได้มากมายเท่าที่คิด ราคาหุ้นที่ขึ้นไปด้วยความหวังก็พังทลายลงมา เข้าข่ายหุ้นดี แต่ซื้อที่ราคาแพง ก็หมดตัวได้ ประเภท 3 เป็นหุ้นหลอกวีไอ บริษัที่หิวเงินและมีผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ จะกล่าวอ้าง โอ้อวดเกินจริง ให้นักลงทุน(วีไอ) หลงเคลิบเคลิ้ม จะมีโปรเจคโน้น นี้ กำไรเท่านั้นเท่านี้ แต่พอได้เงินก็ออกลาย นำเงินไปละเลงในธุรกิจที่แปลกๆ ไม่สมเหตุสมผล ดูน่าเคลือบแคลง หากมีนักลงทุนตั้งข้อสังเกต โจมตี ก็ข่มขู่จะฟ้องร้อง แม้กระทั่ง กลต.ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก หุ้นเหล่านี้เป็นเสมือนกับดัก ที่อาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิด ความรู้ที่ถูกต้องจากเหล่าอาจารย์เท่านั้น ที่จะทำให้เราแยกแยะ ของแท้ออกจากของเทียมได้ การกระจายความเสี่ยง ก็สามารถช่วยปกป้องความเสียหายได้ วอร์เรนเคยพูดว่า “ความเสี่ยงเกิดจากการไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” บางคนตีความประโยคนี้ไปสุดโต่ง เลยถือหุ้นตัวเดียว เพราะคิดว่า รู้ทุกอย่าง เมื่อรู้ทุกอย่าง ก็คือไม่เสี่ยง อาจะลืมคิดไปว่า เราไม่ได้รู้ทุกอย่างในบริษัทหรือทุกอย่างในโลกนี้ ความเสี่ยงบางอย่างเรารู้ เราป้องกัน ความเสี่ยงบางอย่าง เราไม่รู้ เราจึงไม่เคยป้องกัน คนเก่งๆมากมายแต่กลับล้มเหลวเพราะประมาณความรู้ตัวเอง สูงเกินไป ต่อให้มีมากแค่ไหน ทำดีมาแค่ไหน คูณด้วย 0 มันก็หมดความหมาย สื่อสารกลายเป็นสุสาน ดราม่าส่งท้ายปีของตลาดหุ้นไทยคือการประมูลคลื่น 4 G ของกลุ่มโทรศัพท์มือถือ ซึ่งผลที่ออกมาส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างรุนแรง เมื่อมีการทุ่มเงินประมูลกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และมีผู้เล่นรายใหญ่ประมูลคลื่นได้ไป สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนย่อมส่งผลต่อการแข่งขันในอุตสาหรรมที่เคยมีแค่ 3 ราย ราคาประมูลที่สูงติดอันดับโลก ย่อมส่งผลต่อศักยภาพการทำกำไร ไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก บางบริษัทราคาลดลงถึง 1/3 ของราคาสูงสุด ที่เหลือก็ลดมากกว่าครึ่ง หลายคนที่ถือหุ้นในกลุ่มนี้ จากที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเป็น safe heven ปันผลดี มั่นคง กลับกลายเป็นหลุมสุสานที่ฝังนักลงทุน สิ่งที่เราคิดว่าปลอดภัย ที่จริงไม่ได้ปลอดภัยจริง ความเสี่ยงที่ซ่อนเอาไว้ โผล่ออกมา หลายคนก็รับมือไม่ทันแล้ว หุ้นที่ท่านถือ มีความเสี่ยงแบบนี้หรือเปล่า โปรดระวัง น่าแปลกใจยิ่งกว่า ก่อนหน้านี้ ต้นปี ไม่เคยมีนักวิเคราะห์ กูรู คนไหน ที่ออกมาเตือน สะกิด ให้นักลงทุนรับรู้ความเสี่ยงจากการประมูลนี้เลย คนเก่งๆยังไม่รู้ ธุรกิจที่พื้นฐานกลับหน้ามือเป็นหลังเท้า ภายในเวลาไม่กี่วัน คำถามคือ นี่คือธุรกิจที่ดีแน่หรือ? คุณค่าธรรมภิบาล ดราม่าอีกเรื่องของตลาดหุ้นไทยคือการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นของผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ ราคาหุ้นของบริษัทที่ว่า ลดลงอย่างมาก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประกอบการของบริษัทนั้น เห็นได้ชัดเจนว่า นักลงทุนในปัจจุบันให้คุณค่าของบริษัทที่บริหารอย่างโปร่งใส โดยผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นนิมิตรหมายที่ดีของตลาดหุ้นไทย รวมถึงประเทศไทยด้วย นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ ย่อมมีทางเลือก บางคนเลือกที่จะขายหุ้นเพราะไม่สบายใจที่จะถือหุ้นที่ผู้บริหารมีปัญหาธรรมภิบาล บางคนก็เลือกที่จะถือหุ้นต่อไป เพราะไม่ได้กระทบกับพื้นฐานของบริษัทโดยตรง บางคนที่ไม่เคยถือหุ้น อาจอาศัยจังหวะที่ราคาหุ้นลดลง เข้าไปซื้อ คนเราย่อมมีเหตุผลทุกการกระทำ มีมุมมองต่อชีวิต ต่อโลกที่ต่างกัน คนที่คิดต่างจากเรา กระทำต่างจากเรา ไม่ใช่คนผิด เพราะที่จริง เราอาจจะผิดเองก็ได้ (หรือเราทำถูกทุกอย่าง?) และบางเรื่อง ก็เป็นความเชื่อ ซึ่งไม่มีผิดหรือถูก เราอาจจะแสดงจุดยืน ความเห็นได้ แต่อย่าได้พยายามให้คนอื่น ต้องคิดเหมือนเรา การเคารพคนอื่น เราจะได้การเคารพกลับมาเช่นกัน นอกเหนือจากกรณีของบริษัทยักษ์ใหญ่ ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมภิบาล อาจโด่งดังน้อยกว่า แต่กระทบต่อกิจการชัดเจนกว่า เช่นบริษัทรับเหมาแห่งนึง ที่งบการเงินล่าสุดต้องรับรู้ผลขาดทุนจำนวนมาก จากงานก่อสร้างที่ผิดพลาด นักลงทุนรู้เมื่องบออก (หุ้นก็ลงมาแล้ว) แต่ผู้บริหารรู้มานาน ตั้งแต่ลูกค้าขอเคลมความเสียหาย คำถามคือทำไมรายการที่มีนัยสำคัญนี้ ไม่แสดงในหมายเหตุงบการเงิน อีกกรณีศึกษา เป็นหุ้นพัฒนาอสังหา มีสินทรัพย์เป็นที่ดินนับหมื่นล้าน (ไม่ใช่หมื่นบาท :evil: ) ซ่อนอยู่ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน ไม่มีใครรู้ ถ้าเรื่องไม่แดง จากคำสั่งศาลที่สั่งให้ชำระความเสียหายจากคดี ปัญหาธรรมภิบาลที่เกิดจากทุกภาคส่วน ผู้บริหารที่ยักยอกเงิน กินหัวคิว ผ่านรายการซื้อขายแปลกๆ การใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่เผยแพร่ นักลงทุนรายใหญ่ที่มีพฤติกรรมปั่นหุ้น(หลายครั้งสมรู้กับผู้บริหาร) การเข้าหาผู้บริหารเพื่อหวังข้อมูลภายใน ร่วมมือกับโบรคเกอร์เพื่อชี้นำบทวิเคราะห์ที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย นักลงทุนรายย่อย ที่แทบไม่มีอำนาจต่อรอง แต่หากมีโอกาสล่วงรู้ข้อมูลภายใน ก็ทำเหมือนกัน เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราได้ฟัง ได้ยิน เป็นปกติในตลาดหุ้นไทย ทั้งที่ผิดกฎหมาย หรือไม่ผิด แต่ไม่เหมาะสม หากเรามีกฎหมายที่กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน เด็ดขาด การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องราวเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร (ถ้ามีก็น้อย) คำอธิบายจาก กลต.ที่คุมกฎคือ “กฎดีอยู่แล้ว แต่จะเพิ่มการบังคับใช้” อยากถามว่า ถ้ากฎดีอยู่แล้ว ทำไมยังมีคน “กล้าเสี่ยง” ที่จะทำ บทลงโทษเบาหวิวจนคุ้มค่าที่จะลองทำใช่หรือไม่ การบังคับใช้กฎหมายที่บอกว่าจะเข้มข้นขึ้น แน่ใจได้อย่างไรว่าจะทำได้ แล้วในอดีตทำไม ทำไม่ได้ เป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องทำ และควรทำให้ดี ตลาดหุ้นควรเป็นแหล่งระดมทุน ไม่ใช่บ่อนที่มีจ้าวมือ หากนักลงทุนไม่หวังพึ่งท่าน เราจะหันหน้าไปพึ่งใคร!! Chinese Effect น่าสังเกตว่ามีหุ้นหลายตัวที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น (AOT BAFS SPA BEAUTY AAV BA CENTEL MINT) หุ้นเหล่านี้มีกำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนทางกับเศรษกิจโดยรวมที่ไม่ดี เมื่อศึกษาลึกๆถึงสาเหตุ พบว่าบริษัทส่วนใหญ่ได้รับผลดีจากนักท่องเที่ยว เจาะจงลงไปคือนักท่องเที่ยวจีน เศรษกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องหลายปี ทำให้ประชาชนจีนพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นชนชั้นกลางที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนคนอื่นๆทั่วโลก ผนวกกับการเกิดขึ้นของสายการบินราคาถูก ทำให้เกิดการไหลทะลักของนักท่องเที่ยวจีนไปต่างประเทศ ประเทศไทยได้รับผลดีอย่างชัดเจน เป็น destination ที่สำคัญ อาจะด้วยระยะเวลาเดินทางที่ไม่ไกลนัก วัฒนธรรมที่เป็นมิตร ค่าใช้จ่ายไม่แพง เราจะพบนักท่องเที่ยวจีนทุกหนทุกแห่งในประเทศไทย วัดพระแก้วคลาคล่ำแทบไม่มีที่จะเดิน ในรถไฟฟ้า เครื่องบินในประเทศ ร้านอาหาร แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยบางแห่ง บางคนอาจทำกริยาที่ไ่ม่เหมาะสมบ้าง โปรดให้อภัย :8) ถือว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้กำลังหล่อเลี้ยงประเทศไทย โดยการกิน ใช้ ซื้อของฝาก กิจการที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ย่อมได้รับผลดี พลังอำนาจซื้อของนักท่องเที่ยวจีน เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องให้ความใส่ใจ หุ้นขึ้น เราได้เงิน ไม่ได้บทเรียน หุ้นลง เราได้บทเรียน แต่ไม่ได้เงิน บทเรียนแรก ในช่วงต้นปีที่ทุกอย่างดูสดใส อยู่ในช่วงฮันนีมูนของรัฐบาลใหม่ ดัชนีผ่านตัวเลขสำคัญคือ 1600 จุด หลายคนคิดว่ามีโอกาสสูงที่ดัชนีจะผ่าน 17xx จุดสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้เมื่อประมาณ 20 ปี ที่แล้ว !! แต่ณ.จุดนั้นผมกลับรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยเลย ที่ผมไม่มีหุ้นต่ำกว่ามูลค่าให้ซื้อ ณ.ตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ผมกลัว แต่ไม่ได้ทำอะไร จนกระทั่งดัชนีค่อยๆไหลลง จากสารพัดปัญหาที่รุมเร้าประเทศ ผมจะจำไว้ว่า เมื่อไหร่ที่ไม่มีหุ้น(ต่ำกว่ามูลค่า)ให้ผมซื้อ แทนที่จะดันทุรังซื้อ ผมอาจจะพิจารณาขาย หรืออย่างน้อย ต้องยกการ์ดให้สูง!! :roll: บทเรียน 2 ตลาดหุ้นเป็นแหล่งรองรับอารมณ์ของโลกนี้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในโลกนี้ ตลาดหุ้นจะตอบสนองไวที่สุด ทั้งปีมีเหตุการณ์สำคัญๆเช่น เหตุระเบิดที่ราชประสงค์ จีนลดค่าเงินหยวน ปัญหากรีซ เรื่องอื้อฉาวของโฟคสวาเก้น สงครามกลุ่มไอเอส ก่อการร้ายในปารีส การขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของเฟด การขายของนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนที่รอบรู้ ต้องรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่นอน และจะเกิดขึ้นอีก การภาวนาให้ตลาดหุ้นไม่ผันผวน ราคามีแต่ขึ้นไม่มีลง เหมือนภาวนาให้โลกนี้มีแต่ผู้ชาย ท้องฟ้ามีแต่ดวงอาทิตย์ ซึ่เป็นไปไม่ได้ หากเราไม่ทำตัวเองให้อ่อนแอ เราจะกังวลทำไม (การทำตัวให้อ่อนแอเช่น การกู้เงินมาซื้อหุ้น การถือหุ้นตัวเดียว) ทั้งข่าวดี ข่าวร้าย ในตลาดหุ้นไม่เคยว่างเว้น เหมือนฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา การตระหนักถึงมัน เตรียมพร้อมทั้งกายและใจ เตรียมกลยุทธิ์รับมือ พิสูจน์แล้วว่า ดีกว่าการพยายามทึกทัก ทำนาย ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ วันไหน ซึ่งควรเป็นงานของพระเจ้า!! บทเรียนที่ 3 จุดที่น่ากลัวที่สุด อาจเป็นจุดที่ดีที่สุด ในวันที่มีเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ ตลาดหุ้นมีการตอบสนองอย่างรุนแรงกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างกลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่ชัดเจนคือไมเนอร์ คอร์ปเปอเรชั่น ซึ่งเป็นหุ้นที่มูลค่าตลาดมากที่สุด ราคาตกลงเหลือ 22 บาท ต่อมาเมื่อข่าวร้ายผ่านไป ตลาดเริ่มรับรู้ว่ากลุ่มไมเนอร์มีธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร มีการกระจายแหล่งรายได้ไปต่างประเทศค่อนข้างมาก ราคาก็ค่อยขยับฟื้นตัวขึ้นมา และปิดสิ้นปีที่ 35 บาท หากเราเข้าซื้อที่จุดที่ราคารับรู้ข่าวเต็มที่ และเชื่อว่าเป็นปัจจัยกระทบชั่วคราว ผ่านมาแค่ไม่กี่เดือน เราจะได้กำไรประมาณ 60 % จากหุ้นที่มีขนาดใหญ่ ที่ไม่ควรมีผลตอบแทนที่สูงผิดปกติเช่นนี้ ผลตอบแทนที่มากกว่าปกติ มักมาจากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่ใช่วิกฤติ เป็นโอกาส โลภในเวลาที่คนอื่นกลัว บทเรียนที่ 4 โลภในเวลาที่คนอื่นกลัว ใช้ไม่ได้ผลกับกรณี SSI นักลงทุนคนใดที่ไม่กลัว และเข้าไปซื้อกิจการนี้ ณ.ต้นปีที่ราคา 29 สตางค์ จะพบว่าเงินลงทุนหดหายไปถึง 90 % เพราะปลายปีราคาลดลงเหลือแค่ 3 สตางค์!! ก็คงเหมือนคำพูดของเฮียคลายเครียดที่ว่า “จินตนาการที่มีความรู้ กับจินตนาการที่ไม่มีความรู้หนุนหลัง” ย่อมให้ผลลัพธิ์ที่ต่างกัน บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่รายนี้ของไทย ที่ต้องการปิดจุดอ่อนเรื่องวัตถุดิบ โดยการขยับไปทำต้นน้ำมากขึ้นคือโรงถลุง ตัวเลขทางการเงินที่ชงโดยที่ปรึกษาทางการเงินก็ดูดีเหมาะสมไปหมด จะลดต้นทุนได้กี่หรียญต่อตัน กำไรเท่าไหร่ จะคืนทุนภายในกี่ปี ภายใต้สมมุติฐานที่วางไว้ คำนวณไว้พร้อมสรรพ ใครได้ฟังแล้วก็เคลิ้ม เหล่าคนดังๆเข้าไปซื้อกันเพียบ รวมถึงผมก็ด้วย ซื้อที่ 1.19 บาท ต่ำกว่าราคาเพิ่มทุนที่ 1.2 ตั้ง 1 สตางค์ แต่กาลเวลาก็ค่อยๆเผยจุดอ่อนออกมา จุดตายคือสมมุติฐานที่อิงอยู่กับราคาสินค้าในตลาดโลก ทั้งแร่เหล็ก เหล็กแท่งบิลเล็ต ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อน เมื่อเวลาผ่านไป เหตุปัจจัยมากมาย ส่งผลต่อราคาสินค้าที่ว่า สมมุติฐานที่ดูมีเหตุผล กำไรจะมากมาย กลับกลายเป็นความจริงที่ว่าขาดทุนมหาศาล ทุกๆตันที่ผลิตขาดทุน ต่อให้ผลิตเต็ม 100% ก็ยังขาดทุน แม้ผู้บริหารใจยังสู้ เพิ่มทุนหลายรอบ ก็ฝืนความจริงไม่ได้ ผมได้ตัดขายไปที่ 80 สตางค์!! เพราะเริ่มยอมทำใจยอมรับได้ว่า “คิดผิด” ถ้าหากยังถือด้วยอีโก้ คงเหลือแต่กางเกงใน :( แต่อย่างน้อยยังได้บทเรียนบางอย่าง - เมื่อไหร่ที่ความสามารถในการทำกำไรของกิจการ ขึ้นอยู่กับราคาสินค้าในตลาดโลก(ที่ควบคุมไม่ได้) คุณต้องระวังให้มากกว่าปกติ - คนเก่ง คนฉลาด การศึกษาดี ก็มีวันผิดพลาด นายธนาคารที่ปล่อยกู้ ที่ปรึกษาการเงินระดับโลก นักลงทุนที่มืชื่อเสียง ไม่มีใครเฟอเฟคท์ - การหลอกตัวเอง(ว่ามันยังดี ทั้งที่ทั้งโลกรู้ว่าไม่ดี) การรับฟังแต่มุมมองแง่ดี(จากผู้บริหาร) การดื้อรั้น ถือทิฐิ เป็นศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุน บทเรียนที่ 5 ฟองสบู่ ไม่มีฟองสบู่ไหน ที่ไม่แตก ช้าหรือเร็วเท่านั้น ในตลาดหุ้นไทย ชัดเจนว่าฟองสบู่ในหุ้นบางกลุ่มได้แตกแล้ว เช่น กลุ่มพลังงานทดแทน หุ้นในกลุ่มนี้ตกอย่างหนัก มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ปัจจัยพื้นฐานที่รองรับ ตัวที่มีแต่ลมปาก หุ้นก็ลงหนัก ตัวที่ดีหน่อย ก็ลงน้อยหน่อย มีคำอธิบายที่ชัดเจนของบริษัทเล็กๆแห่งนึงที่แจ้งตลาด ยกเลิกการลงทุนด้านพลังงานว่า “สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากก่อนหน้านี้” ราคารับซื้อต่อหน่วยที่ลดลง การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นมหาศาล สุดท้าย กำไรที่เคยมากกว่าปกติ ก็กลับมาน้อยกว่าปกติ คนที่เอากำไรในอดีต เป็นตัวแทนเพื่อคาดการณ์กำไรในอนาคต ย่อมได้ตัวเลขที่ผิดเพี้ยน ตัวเลขที่ดีดูเกินจริง ราคาหุ้นแพงเกินไป ส่วนผสมที่ลงตัวของฟองสบู่ ฟองสบู่หุ้นปั่น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเล็กๆที่มีมูลค่าตลาดต่ำๆ เมื่อคนปั่นได้ตกลงกับเจ้าของเดิมเรียบร้อยแล้ว หรือสะสมหุ้นในมือจนมากพอ กระบวนการปั่นก็เริ่มขึ้น เป็นวิธีที่ซ้ำซาก จำเจ เหมือนละครน้ำเน่า แต่กลับได้ผลดีทุกครั้ง เพียงแต่ ตอนจบไม่ได้ happy ending เหมือนละคร แต่เป็นอย่างนี้.. http://image.free.in.th/v/2013/to/160105033640.jpg ศัตรูของเราไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่มันคือตัวเราเอง ความโลภที่ควบคุมไม่ได้ การรวยอย่างง่ายๆนั้น ไม่เคยมีจริง ฟองสบู่หุ้นไอพีโอ อาจยังไม่ได้แตกชัดเจน แค่มีรอยปริ หุ้นที่เพิ่งเข้าตลาด ยังไม่มีราคาอ้างอิง อาศัยความ “สดและซิง” ในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก คนที่เข้าไปซื้อหวัง “ปาฎิหาริย์” ซ้ำรอย ที่เคยเกิดขึ้นกับหุ้นใหม่บางตัว ที่มีเจ้ามือเข้าไปทำราคาให้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนคนเข้าไปซื้อด้วย ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ความจริงคือ จ้าวมือหุ้นไม่ใช่มูลนิธิการกุศลแต่เป็นการล่อแมงเม่าเข้ากองไฟด้วยความโลภ ซื้อหุ้นด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ หวังฟลุค มันก็พิสูจน์ว่าส่วนใหญ่จะขาดทุนไม่มากก็น้อย ในกลุ่มหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ แต่ตั้งราคาขายในราคาที่สูงลิบ (พีอี) ทั้งที่ธุรกิจไม่ได้เติบโตขนาดนั้น ประกอบกับมูลค่าการระดมทุนที่ใหญ่ ไม่มีใครกล้าเป็นจ้าวมือ multipulate สุดท้ายราคาหุ้นก็ลดลงตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น ตัวบ่งชี้ที่พูดกันสนุกๆ แต่เป็นเรื่องจริงคือ “หุ้นไอพีโอดีๆ ไม่เคยถึงมือรายย่อย ถ้าถึงมือรายย่อย มักจะไม่ดี” 16 ปีของการลงทุน มีบางอย่างที่ผมเชื่อมั่นขึ้นทุกวัน เชื่อทุกวินาที เชื่อโดยไม่มีข้อสงสัย ว่าหลักการลงทุนที่ดี ได้ผล มีอยู่จริง นั่นคือ หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่า การซื้อของ สินค้า หรือบริษัท ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น เพิกเฉย หาประโยชน์จากความผันผวน เราจะขาดทุนได้อย่างไร ผมเชื่อว่า เมื่อผมทำได้ คนอื่นก็น่าจะทำได้ โดยเฉพาะคนที่มีต้นทุนสังคมสูงกว่า แต่ความจริงที่ผมเริ่มทำใจยอมรับคืออาจไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับการเป็นนักลงทุน ในสังคมที่หลากหลาย บางคนชี้แนะเล็กน้อย ก็เข้าใจ หลายคนมีความตั้งใจ แต่ต้องเรียนรู้ หลายคนมีแต่ความปราถนา (อยากรวย) แต่ไม่อยากลงมือทำ!! ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเล็กๆน้อยๆจากผม สำหรับคนที่อยากรวย แต่ไม่อยากลงมือทำ ไม่มีแรงพลักดันเพียงพอ ไม่ใช่ความผิดของท่าน ท่านอาจถนัดอย่างอื่น แต่ท่านก็ต้องลงทุนในหุ้นอยู่ดี หากไม่อยากเกษียณแบบอดๆอยากๆ เพียงแต่ท่านไม่ต้องลงมือทำเอง ปล่อยให้มืออาชีพบริหารเงินให้ท่าน โดยการซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น การบ้านเล็กน้อยคือต้องดูว่าฝีมือการบริหารงานในอดีตเป็นอย่างไร แม้ไม่ได้การันตีอนาคต แต่ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย งานต่อมาคือวินัยในการใส่เงินเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรถอนออกมาใช้ (หากไม่จำเป็นมากๆ ปล่อยให้กำไรทบต้น) การบ้านสุดท้ายคืออย่าไปดูราคา(กองทุน) บ่อยๆ เพราะท่านจะทนความผันผวนไม่ได้ สำหรับคนที่อยากรวย แต่ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ฉลาดมาก ไม่ได้มีแพสชั่นมากมาย คุณสามารถเอาชนะ ด้วยความสม่ำเสมอ ระยะเวลาที่นานพอ ต่อให้ทำผลตอบแทนแย่ๆ ก็สามารถเอาชนะคนเก่งผลตอบแทนสูงๆ แต่เริ่มต้นช้ากว่า ระยะเวลาในการลงทุนคือตัวแปรที่สำคัญที่สุดตัวนึงในสมการมหัศจรรย์การทบต้น โชคดีที่ธรรมชาติมอบตัวแปรนี้ให้ทุกคนเท่าๆกัน บางคนสามารถขยายมันโดยการเริ่มให้เร็ว ตายให้ช้า ถ้าไม่เก่ง ก็ต้องอึด!! สำหรับคนที่อยากรวย พร้อมที่จะลงมือทำด้วยแพสชั่น ลองเชื่ออย่างนี้ ไม่มีอะไรจะหยุดคุณได้ ถ้าใจคุณเอา เรื่องยากจะกลายเป็นง่าย คำว่ายาก ไกล ไม่มีเวลา ไม่เคยอยู่ในหัว ไม่มีความรู้ใดๆที่ยากสำหรับคุณ งานของคนอื่น แต่คือการพักผ่อนของคุณ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วิกฤติ เราจะยืนเด่น ท้าทาย องอาจ ทรนง ต้องพร้อมที่จะทำ เพื่อให้สมควรได้รับ หุ้นตก พอตแดง เป็นส่วนหนึ่งของเรา บัญชีคือเรื่องของเด็กประถม ปอ4 ตลาดหมีได้หว่านเมล็ดพันธ์แห่งตลาดกระทิงเอาไว้ อยากเป็นคนยิ่งใหญ่ เราต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คนยิ่งใหญ่ ต้องโดนทดสอบ คนรวย ยังไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่ เส้นทางคนยิ่งใหญ่ ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือได้มาโดยง่าย ชนะตัวเอง ยิ่งใหญ่ที่สุด FlolyVqR_BE สิ้นปี 2558 ที่ผ่านมา เป็นวันครบวาระในต่ำแหน่งนายกสมาคมของผม ขอบคุณทุกๆท่าน ทั้งอาจารย์ กรรมการ สมาชิกทุกท่าน ที่ช่วยกันสร้างสรรค์สังคม TVI ให้เป็นสังคมแห่งคุณค่า น่าจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นสังคมนักลงทุนหุ้นที่มีคุณภาพมากที่สุดระดับต้นๆของประเทศไทย อาจจะคึกคักน้อยลงบ้าง ตามสภาวะตลาดและเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปลี่ยนไป จากนี้ท่านนายกสมาคมคนใหม่ จะเข้ามารับช่วงทำงาน พัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้สังคมของเราก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปครับ
โดย
Kohkeerati
พุธ ม.ค. 06, 2016 3:04 am
0
2
Re: จองมีตติ้งไตรมาส 2/2558
จอง 2 ที่ สมาชิกทั้งคุ่ครับ
โดย
Kohkeerati
พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2015 2:37 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
Kohkeerati
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พฤหัสฯ. ก.พ. 12, 2015 2:54 pm
ใช้งานล่าสุด:
พุธ มิ.ย. 10, 2020 9:36 am
โพสต์ทั้งหมด:
10 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.00 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว