หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
ปลูกหุ้นกินผล
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
Joined: พุธ ธ.ค. 04, 2013 9:48 am
111
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - ปลูกหุ้นกินผล
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ปลูกหุ้นกินผล
คุณต้องรอคอยโอกาสอย่างอดทน แต่คุณต้องทำการบ้านล่วงหน้า เพื่อที่ว่าเมื่อโอกาสงามๆ มาถึงคุณจะได้สามารถลงมือได้ทันท่วงที Steven Romick, thaivi.org
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ ส.ค. 22, 2015 3:45 pm
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กล่าวไว้ในบทความ "เสาหลักของการลงทุน" "จำไว้เสมอว่าการเรียนรู้นั้น เราไม่สามารถหยุดได้ตลอดชีวิต เพราะถ้าหยุด นั่นก็แปลว่าเราจะถอยหลัง และนั่นอาจจะกลายเป็นหายนะได้ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จมามากเพียงใด"
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ มิ.ย. 29, 2015 9:18 pm
0
5
Re: MoneyTalk@SET7Jun2015เจาะหุ้นเด่นครึ่งหลัง&ข้อคิดจากเซีย
ขอบคุณครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ มิ.ย. 08, 2015 8:42 pm
0
0
Re: สัมมนา "เพราะเป็นเม่าจึงเจ็บปวด 1,000 ครั้งที่หวั่นไหว ก
ขอบคุณมากครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ พ.ค. 25, 2015 8:54 pm
0
0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
บันทึกไว้สำหรับปี 57 ^^ ......................................................................... สรุปปี57'SET index'เพิ่มขึ้น15.32%-มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย/วัน45,466ลบ. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเผยแพร่รายงานสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ในปี2557ระบุว่า ในปี 2557 ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายมิติ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย ณ สิ้นปี 2557 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ 1,497.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.32% จากสิ้นปี 2556 และมีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ทั้งนี้ ในปี 2557 ตลาดหลักทรัพย์ไทยประสบความสำเร็จโดดเด่นในระดับภูมิภาคอาเซียนในหลายๆ ด้าน ได้แก่ 1. สิ้นปี 2557 SET index ปิดที่ 1,497.67 จุด หรือเพิ่มขึ้น 15.32% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2556 โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในอาเซียน และสูงกว่า MSCI World Index และ MSCI Asia ex Japan Index 2. มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน 3. มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ SET และ mai ปรับเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 15.1 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557 4. หลักทรัพย์จดทะเบียนเข้าใหม่ (IPO) มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO รวม 304,797 ล้านบาท โดยมีมูลค่าสูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเป็นปีที่สองติดต่อกัน 5. จำนวนลูกค้าที่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเกิน 1 ล้านบัญชี อยู่ที่ 1.08 ล้านบัญชี ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 6. บริษัทจดทะเบียนไทยมีคะแนน ASEAN CG Scorecard สูงสุดใน 6 ประเทศอาเซียนที่เข้าร่วมการประเมินต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 7. หลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนไทยได้รับการคัดเลือกเข้าไปคำนวณดัชนีของ MSCI Global Standard Indices ถึง 4 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนหลักทรัพย์มากที่สุดในเอเชีย 8. บริษัทจดทะเบียนไทยได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนี DJSI Emerging Market ถึง 10 บริษัท ซึ่งมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นองค์ประกอบในดัชนี DJSI World อีก 4 บริษัท 9. ตลท. ประกาศเข้าสู่การเป็น Sustainable Stock Exchange (SSE) ตามกรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติเป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน 10. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งปีเท่ากับ 36.02 ล้านสัญญา หรือเฉลี่ย 147,025 สัญญาต่อวัน เพิ่มขึ้น 116% จากปี 2556 นอกจากนี้ TFEX สร้างสถิติการซื้อขายสูงสุดครั้งใหม่ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม โดยมีการซื้อขายที่ระดับ 864,479 สัญญา สรุปตัวเลขที่สำคัญภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย • ณ สิ้นปี 2557 SET index ปิดที่ 1,497.67 จุด เพิ่มขึ้น 15.32% จากสิ้นปี 2556 • ณ สิ้นปี 2557 market capitalization ของ SET อยู่ที่ 13.86 ล้านล้านบาท ลดลง 5.60% จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ mai อยู่ที่ 383,075 ล้านบาท ลดลง 1.33% จากเดือนก่อนหน้า • มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 45,466 ล้านบาท ลดลง 9.66% จากปี 2556 • forward P/E ของ SET และ mai อยู่ที่ 16.06 และ 32.41 เท่า ตามลำดับ • อัตราตอบแทนเงินปันผลของ SET อยู่ที่ 3.05% และ mai อยู่ที่ 0.75% • ดัชนีหลักทรัพย์เกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มบริการ ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 40.9% 27.9% และ 22.8% ตามลำดับ • ด้านมูลค่าการซื้อขายในปี 2557 ผู้ลงทุนมีการซื้อขายเพิ่มขึ้นในหลักทรัพย์ขนาดเล็ก (non-SET 100) ค่อนข้างมาก โดยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวเทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดปรับเพิ่มขึ้นจาก 24% ในปีก่อนหน้ามาเป็น 34% ในปี 2557 • ในปี 2557 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีการสื่อสาร กลุ่มธนาคาร และกลุ่มทรัพยากร อยู่ที่ 17% 16% และ 12% ตามลำดับ • ในปี 2557 ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยมูลค่า 69,610 ล้านบาท มีสถานะเป็นผู้ซื้อต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีก่อนหน้า ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิด้วยมูลค่า 35,696 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการขายต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน แต่พบว่ามูลค่าการขายลดลงมาก จากเดิมขายสุทธิที่ 194,702 ล้านบาทในปี 2556 • ด้านการระดมทุนในปี 2557 บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai มีมูลค่าระดมทุนรวม 276,538 ล้านบาท ลดลง 18.77% จากปี 2556 โดยในตลาดแรกมีมูลค่าระดมทุน 131,131 ล้านบาท จากบริษัทจดทะเบียน 36 บริษัท และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวม 9 กอง ขณะที่ตลาดรองมีการระดมทุน 145,407 ล้านบาท http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=261679:-57set-index1532-45466&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2015 9:40 pm
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ความสุขในการลงทุน แปรผันตาม ความสามารถในการควบคุมอารมณ์การลงทุน ช่วงหลังๆ มานี้รู้สึกว่าควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากขึ้น ทำให้มีความสุขในการลงทุนมากขึ้นไปด้วย
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อาทิตย์ ม.ค. 11, 2015 11:40 pm
0
0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
แวะมาเยี่ยมจ้า...ข้อมูลมีประโยชน์มากเลยค่ะ :D ขอบคุณครับพี่นุช ที่แวะมาเยี่ยม ^^
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อาทิตย์ ม.ค. 11, 2015 11:37 pm
0
0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ทฤษฎีปาร์ตี้ของปีเตอร์ ลินซ์ Posted by วิบูลย์ พึงประเสริฐ ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังร้อนแรง นักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากกำลังเดินเข้าตลาดหุ้นเนื่องจากทนความเย้ายวนของผลกำไรที่ได้ของนักลงทุนรุ่นก่อนหน้าไม่ไหว หลายคนโพสอวดรถใหม่หรือนาฬิกาหรูที่ได้มาจากการทำเงินในตลาดหุ้นยิ่งเป็นเหมือนการกระตุ้นความโลภของเพื่อนๆที่พบเห็นโพสเหล่านั้นในโลกโซเชียลมีเดีย จากบัญชีนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยเพียงหนึ่งแสนบัญชีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันบัญชีซื้อขายหุ้นของรายย่อยมีถึงหนึ่งล้านบัญชี แสดงว่านักลงทุนเพิ่มเข้ามาเกือบสิบเท่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา การกล่าวถึงระดับความนิยมของตลาดหุ้นนั้น ปีเตอร์ ลินซ์เป็นผู้ที่ให้ข้อคิดเห็นได้อย่างดีมากใน”ทฤษฎีงานปาร์ตี้” (The Cocktail Party Theory) ที่เขาคิดขึ้นมาเองจากประสบการณ์การเป็นผู้จัดการกองทุนมากว่า 20 ปีและเขียนไว้ในหนังสือ”เหนือกว่าวอลสตรีท”ของเขา (One Up on Wall Street) ลินซ์แบ่งตลาดหุ้นออกเป็น 4 ระดับดังนี้ ระดับที่หนึ่ง ตลาดหุ้นกำลังตกต่ำและเพิ่งผ่านพ้นความหายนะมาหมาดๆ ไม่มีใครพูดถึงตลาดหุ้น ในงานปาร์ตี้ ผู้คนชอบพูดกับหมอฟันเกี่ยวกับเรื่องคราบหินปูนมากกว่าที่จะพูดกับปีเตอร์ ลินซ์เกี่ยวกับหุ้น ในช่วงนี้แสดงว่าตลาดหุ้นกำลังเริ่มที่จะปรับตัวขึ้น ในประเทศไทย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นึกถึงตลาดหุ้นในช่วงปี 2540 หลังจากที่มีการลดค่าเงินบาท ตลาดหุ้นตกจาก 1,700 จุดลงมาเหลือเพียง 200 จุด ช่วงนั้นนักลงทุนรายย่อยต่างเจ๊งหุ้นกันถ้วนหน้า ไม่มีใครเอ่ยถึงคำว่าตลาดหุ้น ทุกคนต่างเมินหน้าหนีจากตลาด คนที่ยังถือหุ้นอยู่ต่างขาดทุนกันแทบทุกคน ส่วนคนที่ขายออกไปมักจะขายขาดทุนเสมอ หาคนที่ทำกำไรจากตลาดหุ้นช่วงนั้นน้อยมากๆ หลายคนเลิกเล่นหุ้นหันไปประกอบอาชีพด้านอื่น เป็นช่วงเวลาแห่งความหดหู่ในการลงทุนในตลาดหุ้น ผู้เขียนยังจำได้ว่าในช่วงนั้นรัฐบาลมีนโยบายให้ซื้อกองทุนอาร์เอ็มเอฟ (RMF) เพื่อนำมาลดหย่อนภาษี ผู้เขียนต้องการซื้อกองทุนหุ้น 100 เปอร์เซนต์ ปรากฏว่าเพื่อนที่เป็นผู้จัดการกองทุนบอกว่าอย่าซื้อกองทุนหุ้น ให้ซื้อกองทุนพันธบัตรแทน ถ้าซื้อกองทุนหุ้นจะไม่ยอมขายให้ แสดงให้เห็นว่าช่วงนั้นตลาดหุ้นแย่สุดๆเลยทีเดียว ระดับที่สอง ผู้คนเริ่มพูดถึงตลาดหุ้นในงานเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการลงทุนที่เสี่ยงเกินไป คนในงานยังชอบคุยกับหมอฟันมากกว่าที่จะคุยกับปีเตอร์ ลินซ์เรื่องหุ้น ตอนนี้ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซนต์ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติซัพไพร์ม ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงสูง หลายคนไม่ยอมลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้น แต่ไปซื้อกองทุนพันธบัตรหรือฝากเงินแทน ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้นอยู่ระหว่าง 400-600 จุดและขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา มีหลายครั้งที่ขึ้นไปถึง 700 จุดและตกลงมาอย่างรุนแรงทำให้หลายคนมองว่าเสี่ยงเกินไป นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายเก็งกำไร การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือวีไอเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆในตลาดที่ไม่มีคนสนใจมากนัก ระดับที่สาม ทุกคนในงานรวมถึงหมอฟันพูดถึงตลาดหุ้นและรุมล้อมปีเตอร์ ลินซ์เพื่อถามว่าซื้อหุ้นอะไรดี ทุกคนในงานเลี้ยงซื้อขายหุ้นกันแทบทุกคนและไม่มีใครไม่พูดถึงตลาดหุ้น ช่วงนี้ตลาดเริ่มสูงขึ้น 30 เปอร์เซนต์ ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเริ่มเหมือนระดับสามของทฤษฎีของลินซ์ ทุกวันนี้ทุกคนต่างพูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พนักงานออฟฟิศหรือแม้แต่คนขับแท็กซี่ เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าวันหนึ่งขึ้นแท็กซี่ปรากฏว่าคนขับแท็กซี่ชวนคุยเรื่องหุ้น เพื่อนคนนั้นถึงกับงะจังงัง นึกไม่ถึงว่าตลาดหุ้นจะดึงดูดคนทุกอาชีพได้มากขนาดนี้ ในงานสัมมนาหุ้นจะพบผู้คนมากกมายตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะเข้าไปฟังกูรูพูดถึงเรื่องหุ้น พอจบงานเหล่านักลงทุนก็เข้าไปห้องล้อมกูรูเหล่านั้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าเซียนซื้ออะไรกันอยู่ ระดับสี่ ทุกคนล้อมรอบปีเตอร์ ลินซ์ แต่ที่ต่างจากระดับสามคือในระดับที่แล้วผู้คนถามลินซ์ว่าซื้อหุ้นอะไรดี แต่ในระดับสี่ผู้คนจะบอกลินซ์ว่าซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ซิดี แม้แต่หมอฟันยังบอกลินซ์ว่าตอนนี้เขาเล่นหุ้นเป็นอาชีพ อีกไม่กี่วันหุ้นที่คุยกันในงานเลี้ยงนั้นมีราคาสูงขึ้นทุกตัว ในที่สุดเพื่อนบ้านของลินซ์ยังมาบอกลินซ์ว่าให้ซื้อหุ้นตัวไหน นี่เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นกำลังจะตกลงอย่างรุนแรงในเร็วๆนี้ http://www.thaivi.org
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พุธ ม.ค. 07, 2015 11:14 pm
0
3
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ตอนนี้ตลาดหุ้นร้อนแรงจริงๆ ถึงกับมีละครแล้ว"แอบรักออนไลน์" มันแสดงถึงระดับความนิยมของตลาดหุ้นตาม ”ทฤษฎีงานปาร์ตี้” ที่ ปีเตอร์ ลินซ์ ได้กล่าวไว้ไหมเอ่ย??? ติดตามต่อไป!!!
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พุธ ม.ค. 07, 2015 11:11 pm
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
เตือนสติตัวเอง ด้วยการย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สำคัญในตลาดหุ้นไทย
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ธ.ค. 11, 2014 12:07 am
0
4
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ครบ 1 ปีแล้ว...เข้าสู่การเดินทางปีที่ 2... การได้มา post ใน thaivi เปรียบเสมือนสมุดบันทึกการเดินทาง บันทึกไปเรื่อยๆ วันหนึ่งกลับมาอ่าน คงได้อ่านไปยิ้มไป
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ พ.ย. 22, 2014 12:15 pm
0
1
Re: ปลูกหุ้นกินผล
"คุณค่าของความสำเร็จไม่ได้มาจากขนาดของทรัพย์สิน แต่การมีเงินเลี้ยงดูทั้งครอบครัวคือเรื่องที่ภูมิใจ" =ปิง-ฐิติ กิตติพัฒนานนท์=
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ พ.ย. 22, 2014 11:45 am
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
เป็นสมาชิก thaivi มาได้ครบ 1 ปี ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ให้ความรู้ครับ ................................................... 1. ข้อมูลสมาชิกของท่าน 1.1 ชื่อล็อกอิน (Login Name) : ปลูกหุ้นกินผล 1.2 ประเภทสมาชิก (Member Type) : 1 ปี 1.3 วันสมัครสมาชิก (Member Date) : 20/11/2556 1.4 วันหมดอายุสมาชิก (Expire Date) : 30/11/2557 .................................................... ขอนำสโลแกนของคุณ picatos มาเตือนตัวเองหน่อยนะครับ "วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่"
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ พ.ย. 10, 2014 10:11 pm
0
1
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ขอบคุณครับ แวะเข้ามาแอบอ่านเป็นระยะครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ พ.ย. 03, 2014 11:00 pm
0
1
Re: ปลูกหุ้นกินผล
....โมเดลของ Arthur Lewis นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล ที่ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องของการพัฒนาทางเศรษฐกิจตั้งแต่ 60 ปีที่แล้วสามารถจะอธิบายได้ดี แนวความคิดของ Lewis ก็คือ ในสังคมที่มีคนอยู่ในสองภาค ภาคหนึ่งคือสังคมแบบ “ทุนนิยม” เช่นในเมืองหลวงหรือเมืองท่าขนาดใหญ่ กับอีกภาคหนึ่งคือสังคมแบบ “พออยู่พอกิน” เช่นในชนบทหรือในต่างจังหวัดที่ห่างไกลนั้น กระบวนการการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะเริ่มต้นโดยที่โรงงานอุตสาหกรรมหรือธุรกิจสามารถที่จะลงทุนขยายงานโดยที่มี “แรงงานส่วนเกินที่ไม่จำกัด” จากชนบท ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าแรงเพิ่ม นี่ทำให้ธุรกิจมีกำไรดีกว่าปกติและกำไรที่ได้ก็นำไปลงทุนขยายงานเพิ่มโดยที่สามารถดึงคนจากชนบทมาทำงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าแรงเพิ่ม กระบวนการนี้ทำให้ประเทศพัฒนาก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเศรษฐกิจทุนนิยมสมัยใหม่ จุดที่แรงงานในภาคพออยู่พอกินถูก “ดูดซับ” ไปหมดและการลงทุนเพิ่มต่อไปจะทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นนั้นก็คือจุดที่เรียกว่า “Lewis Turning Point” (LTP)......... ..... ประเทศคู่แข่ง-และ “คู่ค้า” ที่อยู่รอบบ้านเรานี้ กำลังมาแรงในด้านของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ พวกเขายังห่างจากจุด LTP มาก ว่าที่จริงหลายประเทศเพิ่งจะเริ่มพัฒนาทางเศรษฐกิจและอาศัยแรงงานที่มีค่าแรงถูกที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ไทยเองใกล้หรืออาจจะถึงจุด LTP แล้ว ดังนั้น การที่จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วต่อไปจึงต้องการแรงงานเพิ่มซึ่งในปัจจุบันก็คือแรงงานต่างด้าวเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มคนโดยการกระตุ้นให้คนไทยมีลูกมากขึ้นหรือเปิดรับคนเข้าเมืองแบบ อเมริกาหรือออสเตรเลีย นอกจากนั้น การเพิ่มผลิตภาพของแรงงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดเนื่องจากมันจะช่วยสร้างความ “อยู่ดีกินดี” ของประชาชนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากมันต้องอาศัยการศึกษาที่ดีของประชากรและอื่น ๆ อีกมากรวมถึงการจัดการและลงทุนในด้านของสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งก็ต้องอาศัยรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมองการณ์ไกล ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ไทยยังไม่พร้อมนัก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่า เมืองไทยเองนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่จะ “รวม” เป็นเออีซีในปีหน้า เราคงเสียเปรียบ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเราคงสู้ไม่ได้ และผลที่ตามมาก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นก็อาจจะไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนไทยที่สามารถรุกเข้าไปในเออีซีก็อาจจะเติบโตได้ดีและรุ่งเรืองได้ ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่โดดเด่นนัก นอกจาก “ซุปเปอร์สต็อก” เหล่านั้นแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะอยู่รอดและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวก็คือ เข้าไปลงทุนในประเทศเหล่านั้นโดยตรง ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ และอ่านฉบับเต็มได้ที่ http://www.thaivi.org/the-lewis-turning-point/
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ พ.ย. 03, 2014 10:05 pm
0
1
Re: ปลูกหุ้นกินผล
การเลือกลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารที่มีความซื่อสัตย์นี้สำคัญจริงๆ เพราะจากบริษัทที่นักลงทุนพิจารณาว่าดีมีความมั่นคง แต่แล้วมีผู้บริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ก็เกิดหายนะได้เช่นกัน ................................................... บรรดาผู้บริหารบริษัทเทสโก้ อาจต้องเผชิญหน้ากับการถูกจำคุก!’ สื่อในอังกฤษเล่นข่าวนี้อย่างครึกโครมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา หลังทราบว่า ทาง สำนักงานตรวจสอบการฉ้อโกงร้ายแรง ในอังกฤษ (Serious Fraud Office) หรือ SFO จะเริ่มเข้ามาดำเนินการ สืบหาสาเหตุที่พบว่า มีการตกแต่งบัญชีของ บริษัท เทสโก้ ห้างค้าปลีกชื่อดังยักษ์ใหญ่ จนมีกำไรเกินจริงเมื่อปีที่แล้วถึง 263 ล้านปอนด์ หรือราว 1.3 หมื่นล้านบาท... เฉพาะ ลำพังสำนักงาน SFO เข้ามาดำเนินการสอบสวนในเรื่องนี้ ก็เป็นข่าวใหญ่มากพออยู่แล้ว แต่เรื่องที่สร้างความฮือฮามากย่ิงขึ้นไปอีก ก็คือ ขณะนี้ ได้มีการสั่งพักงานผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทสโก้ไปแล้ว ถึง 8 คน !! และในจำนวนผู้บริหาร ทั้ง 8 คน หาก SFO มีการสืบสวนสวนแล้ว พบหลักฐานมีพฤติกรรมฉ้อโกงบริษัท ย่อมนำไปสู่การถูกดำเนินคดี และมีสิทธิติดคุกนานถึง 10 ปี เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอาญา... http://www.thairath.co.th/content/460318
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ต.ค. 31, 2014 9:33 pm
0
2
Re: VI บ้าน ๆ
แวะมาทักทายและขอบคุณครับ พี่นุชสำหรับแนวคิดดีๆ ครับ ...................................... อ่านมาถึงเส้นทางชีวิตพี่ ddoo7 ก่อนอื่นขอขอบคุณที่มาแบ่งปันครับ แล้วผมก็มาสะดุดตรงประโยคที่ว่า "ส่วนการทำงานเอกชน ชีวิตก็แตกต่างออกไป คุณต้องทำงานให้ได้ ..ทุกลมหายใจเหมือนเค้าซื้อไปหมด กายและใจเราต้องทุมเทคิดและทำงานให้เค้า เพื่อให้งานออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" พลอยทำให้นึกถึงเรื่องตลกเสียดสีที่สะท้อนสังคมเรื่องนี้จากหนังสือ: ลาออกซะถ้าอยากรวย, เมษ พิชญผล พ่อ: ถ้ามีคนจะขอซื้อแขนลูกสักข้างหนึ่ง ลูกคิดว่าจะขายเท่าไหร่ ลูก: วุ้ยย ใครจะบ้าขายแขนตัวเองเล่าพ่อ พ่อ: ง้นถ้าเขาเสนอให้หนึ่งล้าน สนไหม ลูก: สิบล้านก็ไม่ขายครับพ่อ พ่อถามอะไรแปลกๆ นะ พ่อ: ถ้าวันนี้ลูกไม่ยอมขายแขนข้างหนึ่งเพื่อแลกเงินสิบล้าน ลูกต้องคิดให้ดีๆ วันที่ลูกยกเอาทั้งตัว ทั้งหัวสมอง ให้คนอื่น โดยได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนเพียงหลักหมื่นบาท ลูกคิดว่ามันจะคุ้มไหม ลูก: !!! สำหรับผมเองก็ยังทำงานประจำอยู่ครับ ^^
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อังคาร ต.ค. 28, 2014 11:39 pm
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ ท่านได้ให้แนวคิดเรื่อง "การเรียนรู้และปรับตัวตลอดชีวิต" ได้ดีมากๆ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ ..................... การเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงหรือมีความสามารถโดดเด่นในช่วงเวลาหนึ่งแต่แล้ว “ติด” อยู่กับสิ่งเดิมและไม่เรียนรู้เพิ่มเติมนั้น ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จเท่าคนที่ “วิวัฒนาการ” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไปอย่างช้า ๆ แต่การไม่หยุดนั้น ย่อมทำให้สุดท้ายแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า... อ่านฉบับเต็มได้ตามลิงค์ครับ http://portal.settrade.com/blog/nivate/2014/10/27/1485
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อังคาร ต.ค. 28, 2014 11:02 pm
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ส่วนหนึ่งของบทความ ฟองสบู่ตลาดหุ้น โดยคุณวีระพงษ์ ธัม "การซื้อหุ้นไม่ว่าจะคุณภาพดีแค่ไหนก็เป็นการลงทุนชั้นแย่ได้ ถ้าซื้อในราคาแพงเกินไป และหุ้นไม่ใช่สินทรัพย์ที่สามารถซื้อแล้วถือทิ้งไว้ได้โดยไม่ต้องทบทวน"
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ต.ค. 10, 2014 12:44 pm
0
2
Re: การตกผลึกแนวคิดของเซียน
ขอบคุณแนวคิดดีๆ จากทุกท่านครับ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปียังทรงคุณค่าเสมอครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ ก.ย. 27, 2014 12:39 pm
0
0
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
เป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนคงไม่ใช่เพียงเพื่อ "ความมั่งคั่ง" จากพอร์ตการลงทุนที่เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ แต่รวมถึงการ "มีเวลา" ที่มีคุณภาพมากขึ้นและได้ "ใช้เวลา" เพื่อทำกิจกรรมที่ตนชอบและมีความสุข คำถามก็คือ เราได้ทำในสิ่งที่ "อยากทำ" ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมามากน้อยเพียงใด หาก "ไม่ได้ทำ" แสดงว่าเรายังไม่ได้จัดสรรเวลาเพื่อ "สุขสันต์วันหยุด" ดีเท่าที่ควร ขอบคุณหนังสือ สูตร(ไม่)ลับการลงทุน, คุณธันวา เลาหศิริวงศ์
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อาทิตย์ ก.ย. 21, 2014 9:08 pm
0
0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ห้าอย่าสำหรับนักลงทุน 1. อย่าซื้อบริษัทที่อยู่ในช่วงก่อตั้ง บริษัทที่อยู่ในช่วงก่อตั้ง สิ่งที่นักลงทุนทำได้ก็คือการดูแบบพิมพ์เขียวและเดาว่าปัญหาและจุดแข็งน่าจะเป็นอะไร นี่เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะทำและมีโอกาสผิดพลาดสูงมาก 2. อย่าละเลยหุ้นที่ดีเพียงเพราะมันซื้อขายกันในตลาด Over The Counter หรือ OTC (หุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียน) 3. อย่าซื้อเพียงเพราะว่าคุณชอบ "สุ้มเสียง" ของรายงานประจำปีของบริษัท การปล่อยให้รายงานประจำปีมีอิทธิพลต่อการซื้อหุ้นก็เหมือนกับการซื้อสินค้าเพราะโฆษณาที่เชื้อเชิญในป้ายโฆษณา 4. อย่าสรุปว่าราคาหุ้นที่อาจสูงเมื่อเทียบกับกำไรจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงว่าการเจริญเติบโตต่อไปของกำไรนั้นส่วนใหญ่ได้ถูกสะท้อนในราคาหุ้นหมดแล้ว 5. อย่าเกี่ยงกับราคาแค่ 1/8 หรือ 1/4 ที่แทบไม่มีนัยสำคัญเลยเมื่อเปรียบเทียบกับกำไรที่จะพลาดถ้าซื้อหุ้นไม่ได้ อีกห้าอย่าสำหรับนักลงทุน 1.อย่าเน้นการกระจายความเสี่ยงโดยการกระจายการถือหุ้นมากเกินไป 2.อย่ากลัวที่จะซื้อหุ้นในภาวะที่กลัวสงคราม 3.อย่าถูกโน้มน้าวโดยสิ่งไม่สำคัญ ราคาหุ้นที่ซื้อขายกันเมื่อ4ปีมาแล้วอาจจะมีความสัมพันธ์น้อยหรือไม่มีความสัมพันธ์กับราคาที่ซื้อขายกันในวันนี้ 4.อย่าลืมที่จะพิจารณาเวลาเช่นเดียวกับราคาในการซื้อหุ้นที่เติบโตอย่างแท้จริง 5.อย่าตามฝูงชน แนะนำให้อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมในหนังสือนะครับ ขอขอบคุณหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ, เขียนโดย Philip A. Fisher, แปลโดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ก.ย. 19, 2014 12:49 pm
0
5
Re: OVERCOME-ก้าวข้ามความแปรปรวน
ขอบคุณครับ ^_^ เมื่อเลือกกิจการที่แข็งแกร่งและเติบโตได้แล้วก็อยู่กับกิจการนั้นให้นานที่สุด เป็นหลักการที่เหมือนจะง่ายแต่ปฎิบัติยากมากนะครับ เช่น เมื่อเลือกกิจการที่แข็งแกร่งและเติบโตได้แล้ว เราจะอยู่กับกิจการหรือหุ้นตัวนี้ได้ไหมเมื่อผลตอบแทนเพิ่มจาก 0%-50%-100%-200%-n% เราจะอดทนต่อสิ่งยั่วเย้านี้ได้มากเพียงไร หรือเราจะขายกิจการที่ดีนี้เมื่อได้ผลตอบแทน 50%-100% ครับ กำลังพยายามก้าวข้ามสิ่งยั่วเย้านี้ครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ ก.ย. 13, 2014 9:37 am
0
0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
จะซื้อหุ้นตัวไหน? 15 ข้อที่ต้องมองหาในหุ้นสามัญ 1. บริษัทมีสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพของตลาดเพียงพอที่จะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นเวลาอย่างน้อยหลายปีไหม? 2. ฝ่ายจัดการมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าหรือกระบวนการผลิตต่อเนื่องที่จะยังคงสามารถเพิ่มยอดขายรวมในอนาคต เมื่อโอกาสการเติบโตของสินค้าที่น่าสนใจในปัจจุบันใกล้จุดอิ่มตัวไหม? 3. ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนาของบริษัทเป็นอย่างไรเมื่อเทียบ...กับขนาดของมัน? 4. บริษัทมีหน่วยงานขายที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่? 5. บริษัทมีกำไรต่อยอดขายที่คุ้มค่าไหม? 6. บริษัททำอะไรที่จะรักษาหรือทำให้กำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้น? 7. บริษัทมีแรงงานสัมพันธ์ที่โดดเด่นหรือไม่? 8. บริษัทมีความสัมพันธ์ของผู้บริหารที่โดดเด่นหรือไม่? 9. บริษัทมีฝ่ายบริหารเพียงพอไหม? 10. ระบบการวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมทางบัญชีของบริษัทดีแค่ไหน? 11. มีประเด็นอื่นๆ ของธุรกิจซึ่งค่อนข้างจะเป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อ ซึ่งจะทำให้ร่องรอยที่สำคัญกับนักลงทุนว่า บริษัทมีความโดดเด่นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือไม่? 12. บริษัทมีภาพระยะสั้นและรยะยาวเกี่ยวกับกำไรของบริษัทหรือไม่? 13. ในอนาคตที่มองเห็นได้ การเจริญเติบโตของบริษัทจะต้องการเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะไปลบล้างผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเดิมจากการเจริญเติบโตที่คาดหวังหรือไม่? 14. ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับกิจการเมื่อสิ่งต่างๆ เป็นไปด้วยดี แต่หมกเม็ดเมื่อมีปัญหาและสิ่งที่น่าผิดหวังเกิดขึ้นหรือไม่? 15. บริษัทมีฝ่ายการจัดการที่มีความน่าเชื่อถือร้อยเปอร์เซ็นหรือไม่? ขอขอบคุณหนังสือ หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ, ผู้เขียน Philip A. Fisher, ผู้แปล ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมในหนังสือดีมากๆ เลยครับ =ปลูกหุ้นกินผล=
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พุธ ก.ย. 10, 2014 11:11 pm
0
4
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ส่วนหนึ่งจากบทความ คิดมุมกลับอย่าง “ชาร์ลี มังเจอร์” ของคุณ ประภาคาร ภราดรภิบาล .................................. “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็เคยกล่าวถึงการมองมุมกลับของ “ชาร์ลี มังเจอร์” คู่หูของเขาว่า “บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกว่าการศึกษาความล้มเหลวของธุรกิจมีประโยชน์กว่าการศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ โดยทั่วไปสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจมักจะศึกษาความสำเร็จของธุรกิจ แต่หุ้นส่วนของผม – ชาร์ลี มังเจอร์ กล่าวว่า เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ไปที่นั่น ” การคิดมุมกลับของ “ชาร์ลี มังเจอร์” ก็คือการประเมินสถานการณ์ในแง่ของ Worst Case หรือกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าจะมาจากปัจจัยใดบ้าง เพื่อที่เขาจะได้หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะนำไปสู่สถานการณ์เช่นนั้น เขากล่าวแนะนำไว้ว่า “ให้มองมุมกลับอยู่เสมอ พลิกดูอีกด้านหนึ่งของสถานการณ์หรือปัญหา ลองมองมุมกลับดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าแผนการของเราผิดพลาด? และจะทำอย่างไรถ้าคุณได้ไปในที่ที่ไม่ต้องการจะไป? แทนที่จะมองหาความสำเร็จ ลองไล่เรียงแนวทางที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวดู ความเกียจคร้าน, ความอิจฉา, ความไม่พึงพอใจ, ความสงสารตัวเอง หลีกเลี่ยงนิสัยแห่งความล้มเหลวเหล่านี้ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ” ....................................
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อังคาร ก.ย. 02, 2014 9:15 pm
0
1
Re: ..."คำสาป" ของ "เงินที่ได้มาง่าย"...
..... แต่คำสอนของหลวงพ่อท่านึงที่ผมจำได้ไม่ลืมเลยคือคำสอนที่ว่า " พวกเราไม่ต้องอายนะที่จน จนรวยไม่สำคัญ ถึงจะจนแต่เราสะอาดไม่ต้องอายฟ้าอายดิน ความจนไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ ความชั่วต่างหากที่น่ารังเกียจ ได้เงินมาทางที่ผิดไปจี้ไปปล้นเค้าไปทุจริตไปหลอกลวงเค้าได้เงินมาไม่กี่วันก็หมดแล้ว แต่ความชั่วจะติดตัวไปตลอดชีวิตติดตัวข้ามภพข้ามชาติ มองเผินๆนึกว่าดีแต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการทำลายตัวเองระยะยาว เกิดมาแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องดี ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าอยู่กันไม่กี่ปีก็ตายแล้ว " ..... "จำไว้นะ งานหลักของพวกเราคือการภาวนา งานรองลงมาคืองานที่หาอยู่หากิน โอกาสที่จะได้เจอพระพุทธศาสนานั้นยาก เกิดมาแล้วได้เจอพระพุทธศาสนา อย่าทิ้งโอกาสที่ดีที่ได้มีโอกาสพัฒนาคุณงามความดี พัฒนาจิตวิญญาณนี้ไป " ขอบคุณสำหรับข้อคิดที่ดีๆ ครับ คุณ cobain_vi
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ ก.ย. 01, 2014 12:46 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
วันนี้ได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือ หุ้นเปลี่ยนชีวิตบนเส้นทาง VI ของคุณวีระพงษ์ ธัม ในบทที่เกี่ยวกับ ความสุขและความทุกข์กับจิตที่ปล่อยวาง คุณวีระพงษ์ได้ให้แง่คิดเอาไว้ว่า... จิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น จะดำรงไว้ด้วยสติที่แข็งแรง เราจะทุกข์กับหุ้นน้อยลง ไม่ว่าเราจะขายหมู ซื้อน้อยเกินไป ซื้อเร็ว ซื้อช้า ขายเร็ว ขายช้าเกินไป ดังนั้น "สุดยอดการลงทุนที่ทำให้เรามีความสุขทุกย่างก้าวนั้นอยู่ที่ จิตที่ปล่อยวาง "
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อาทิตย์ ส.ค. 31, 2014 9:20 pm
0
1
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร. นิเวศน์ สำหรับบทความนี้ที่ช่วยทำให้เข้าใจแกณฑ์ในการขายหุ้นมากยิ่งขึ้นครับ จะขายหุ้นเมื่อไร Monday, 11 March 2013 http://portal.settrade.com/blog/nivate/2013/03/11/1261 ในช่วงเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์บูมมาก ๆ อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ผมมักได้ยินหรือได้รับรู้ถึงความกระตือรือร้น-และความกังวลของคนสองกลุ่มที่อยู่ในตลาดหุ้น-หรือกำลังจะเข้ามาในตลาดหุ้น เกี่ยวกับว่า เขาควรจะซื้อหรือเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือยัง? นี่เป็นคำถามข้อแรกโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่ไม่ได้ทุ่มเทนักกับการลงทุนแต่รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นในช่วงนี้น่าจะมีโอกาสทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการฝากเงิน และอีกคำถามหนึ่งก็คือ เขาควรจะขายหุ้นได้แล้วหรือยัง? นี่ก็มักเป็นคำถามโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนมือเก่าหรือคนที่ทุ่มเทกับการลงทุนที่อาจจะมองว่าราคาหุ้นในตลาดได้ปรับตัวขึ้นมาสูงและเร็วมาก พวกเขากลัวว่าราคาหุ้นจะสูงเกินพื้นฐาน ดังนั้น เขาควรจะขายหุ้นไปก่อนหรือไม่ก่อนที่มันจะตกลงมาและทำให้ผลกำไรหรือความมั่งคั่งของเขาลดลงไปมาก ในการตอบคำถามของคนสองกลุ่มในสถานการณ์หรือภาวะตลาดเดียวกัน แต่คำถามกลับเป็นตรงกันข้าม ผมอยากจะบอกดังนี้ ข้อแรก เราควรจะซื้อหุ้นไหม? คำตอบของผมก็คือ ในการซื้อหุ้นนั้น หลักการแบบ VI ก็คือ เราต้องพอจะมีไอเดียหรือประเมินได้ว่า “มูลค่าพื้นฐาน” ของบริษัทหรือหุ้นตัวนั้นควรจะเป็นเท่าไร เมื่อได้แล้ว เราก็มาดูว่า “ราคา” ของหุ้นตัวนั้นเป็นเท่าไร จุดที่เราจะซื้อก็คือ ราคาหุ้นจะต้องต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน และในกรณีที่เราไม่ใคร่มั่นใจว่าเราคำนวณหรือประมาณมูลค่าพื้นฐานได้ถูกต้อง เนื่องจากว่าเรายังไม่มีความสามารถมากนักหรือกิจการของบริษัทไม่ใคร่สม่ำเสมอ เราก็จะต้องซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของบริษัทมากขึ้น โดยส่วนต่างที่ว่านี้ก็คือ “Margin of Safety” ซึ่งต้องมีเพื่อความปลอดภัยในกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น การหา “มูลค่าพื้นฐาน” นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ในทางปฏิบัตินักวิเคราะห์จึงหาตัวเลขที่ง่าย ๆ มาใช้ ตัวเลขยอดนิยมตัวหนึ่งก็คือค่า PE หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นต่อปีของบริษัท วิธีก็คือ ดูว่ากำไรต่อหุ้นในปีที่ผ่านมาหรือใน 4 ไตรมาศที่ผ่านมาเป็นเท่าไร เสร็จแล้วก็คูณด้วยตัวเลขตัวหนึ่ง เช่น 15 เท่า ก็จะได้ “ราคาพื้นฐาน” ต่อหุ้น ตัวเลข 15 นั้นอาจจะมาจากค่า PE เฉลี่ยของหุ้นตัวนั้นในอดีต หรืออาจจะมาจากค่า PE ของอุตสาหกรรมของหุ้นตัวนั้น หรืออาจจะอ้างอิงจากค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ที่ประมาณ 18 เท่าในช่วงนี้ และนี่ก็จะจบประเด็นว่าเราควรจะซื้อหุ้นหรือไม่ ข้อที่สองที่ผมอยากจะพูดถึงมากกว่าก็คือ กฎเกณฑ์ในการขายหุ้น ซึ่งสำหรับ VI หลายคนนั้นอาจจะมองว่ามันควรจะเป็นเกณฑ์เดียวกับการซื้อหุ้น นั่นก็คือ ถ้าราคาหุ้นเกินหรือสูงกว่ามูลค่าหรือราคาพื้นฐาน เราก็ควรจะขายหุ้นทิ้ง คือถ้าคุณไม่ซื้อซึ่งจะทำให้คุณต้องถือมัน มันก็จะต้องถูกขายออกไป แต่นี่ไม่ใช่วิธีการของ “VI ในตำนาน” หลาย ๆ คน ที่ดูเหมือนว่าการขายหุ้นอาจจะมีกฎเกณฑ์อีกแบบหนึ่ง และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมรวบรวมมาเพื่อให้พิจารณา ข้อแรกก็คือ เราควรขายหุ้นถ้าเรา “คิดผิด” ซึ่งนี่อาจจะไม่เกี่ยวกับราคาหรือมูลค่าพื้นฐานของหุ้นเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าบริษัทนั้นเป็นกิจการที่ “โตเร็ว” ต่อมาเราพบว่ายอดขายหรือกำไรที่เห็นนั้นไม่ได้มาจากธุรกิจปกติแต่เป็นยอดขายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แบบนี้ เราอาจจะขายหุ้นทิ้งเลย หรืออาจจะต้องวิเคราะห์ใหม่ซึ่งอาจจะทำให้เราพบว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะถือไว้ ข้อสอง พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่เราถือหุ้นมาระยะหนึ่ง นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของราคาหุ้นที่จะขึ้นหรือลง แต่เป็นเรื่องที่ว่าพื้นฐานหรือการดำเนินงานหรือความเข้มแข็งของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง อาจจะเพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมหรือเกิดจากคู่แข่งที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแย่งชิงลูกค้าและเริ่มได้เปรียบในการแข่งขัน ถ้าเป็นแบบนี้ การขายหุ้นก็มักเป็นทางเลือกที่ดีแม้ว่าอาจจะต้องขายในราคาที่ลดลงไปมากหรือแม้แต่ขายขาดทุน ข้อสาม มีหุ้นหรือทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่าหุ้นที่เราถือไว้อย่างชัดเจนและเราไม่มีเงินสดในการลงทุน ในกรณีนี้เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นที่ถืออยู่เพื่อไปซื้อหุ้นตัวใหม่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้เราจะต้องมั่นใจมากว่าหุ้นตัวใหม่นั้นดีกว่าหุ้นบางตัวที่เราถือไว้จริง ๆ เนื่องจากโดยปกติแล้ว ความเข้าใจของเราในหุ้นตัวใหม่มักจะน้อยกว่าหุ้นที่เราถืออยู่ การขายหุ้นในกรณีนี้เองมักจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของมูลค่าพื้นฐานหรือราคาหุ้น นั่นคือ มันอาจจะยังเป็นหุ้น Value อยู่ เพียงแต่ว่าเราไปเจอหุ้นที่ดีมี Value มากกว่ามากเท่านั้น ข้อสี่ หุ้นที่เราถืออยู่นั้น มีราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานไปมากอย่างเห็นได้ชัด นี่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นเป็น “กระทิงดุ” อย่างในช่วงนี้ หรืออาจจะเกิดขึ้นได้กับหุ้นขนาดเล็กที่มีแรงเก็งกำไรเข้ามาสูงหรือมีการ “ปั่นหุ้น” ตัวนั้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินพื้นฐานมากอย่างไม่ต้องสงสัย ในกรณีแบบนี้ เราก็ควรจะขายทิ้ง และก็หวังว่าจะกลับเข้าไปซื้อใหม่ได้ในราคาที่ต่ำลงเมื่อตลาดตกลงมาหรือเมื่อการเก็งกำไรหรือการปั่นหุ้นนั้นหมดไป เกณฑ์ข้อนี้น่าจะเป็นข้อเดียวที่การตัดสินใจขายหุ้นนั้น อิงอยู่กับราคาหุ้นตัวนั้นในตลาด หัวใจสำคัญก็คือ เราต้องเห็นว่ามันมีสถานการณ์สองอย่างนั่นก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ใกล้เป็นฟองสบู่ หรือไม่ก็ปริมาณการซื้อขายหุ้นตัวนั้นสูงลิ่วมีการซื้อขายเกินวันละ 4-5% ของ Market Cap. ติดต่อกันนาน บางวันอาจจะหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ข้อสุดท้ายก็คือ ในบางครั้งหุ้นตัวที่เราถืออยู่อาจจะมีราคาเพิ่มขึ้นมากจนมันมีมูลค่าสูงเกินไปในพอร์ตโฟลิโอของเรา ในกรณีนี้ เราอาจจะรู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไปถ้าเกิดอะไรขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเราไม่อยากให้หุ้นตัวไหนใหญ่เกิน 30% ของพอร์ต และเกิดมีหุ้นตัวหนึ่งซึ่งเราอาจจะซื้อมาครั้งแรกเท่ากับ 10% ของพอร์ต แต่ราคามันเพิ่มขึ้นเร็วและมากกว่าหุ้นตัวอื่นจนทำให้มันเป็น 35% แบบนี้เราก็อาจจะขายไป 5% ให้เหลือเพียง 30% เป็นต้น กล่าวโดยสรุปก็คือ การขายหุ้นนั้นอาจจะมีเกณฑ์ที่แตกต่างจากการซื้อหุ้น เหตุผลใหญ่น่าจะเกิดจากการที่เราไม่สามารถที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างแม่นยำทำให้เราไม่รู้ว่าหุ้นนั้นมีราคาสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริงหรือไม่-ยกเว้นในบางกรณีที่ตัวเลขและสัญญาณทุกอย่างชัดเจน ในกรณีของวอเร็น บัฟเฟตต์เองนั้น จะเห็นว่าเขาขายหุ้นน้อยมาก เคยมีครั้งหนึ่งที่เขาซื้อหุ้นน้ำมันแห่งชาติของจีนและขายไปเนื่องจากราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากจนเขาต้องขายไปนั่นคือการขายในกรณีข้อสี่ เขาขายหุ้นของบริษัทการบินแห่งหนึ่งไปเพราะเขา “คิดผิด” ตามข้อหนึ่ง ตั้งแต่นั้นเขาไม่เคยสนใจหุ้นการบินอีกเลยเพราะเขาคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ “ลำบากมาก” รวมถึงกิจการสิ่งทอของเบิร์กไชร์ที่เขาบอกว่าคิดผิดที่ไปซื้อ หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยนไปตามข้อสองของบัฟเฟตต์น่าจะมีเหมือนกันถ้าผมเข้าใจไม่ผิดอาจจะรวมถึงกิจการรองเท้าที่บัฟเฟตต์เคยซื้อ ในข้อสามนั้น ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์จะมีเงินสดใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนตลอดเวลา ดังนั้น เขาแทบไม่ต้องขายหุ้นเพื่อหาเงินสดมาลงทุนในหุ้นตัวใหม่เลย และในข้อสุดท้ายเรื่องของขนาดของหุ้นนั้น บัฟเฟตต์เองเคยซื้อหุ้นอเมริกันเอ็กซ์เพรสเกือบ 50% ของพอร์ต แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าเขาต้องขายออกไปเพื่อลดขนาดของมันลงหรือไม่เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยมีปัญหาว่าหุ้นตัวไหนจะใหญ่เกินไปเนื่องจากพอร์ตของเขาใหญ่โตมหาศาล ส่วนตัวผมเองนั้น เท่าที่จำได้ก็ดูเหมือนว่าจะยึดเกณฑ์การขายหุ้น 5 ข้อดังกล่าวพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ ที่เน้นลงทุนหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก”
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ ส.ค. 18, 2014 9:49 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
ความสุขจากการได้ทำสิ่งที่อยากทำครับ นอกจากมีความสุขกับการทำงานประจำแล้ว ยังมีความสุขที่ได้ลงทุนตามแนวทางของนักลงทุนเน้นคุณค่าครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ส.ค. 01, 2014 10:16 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
มันยากที่จะอธิบายความสุขออกมาเป็นคำพูดครับ มันเป็นเรื่องที่หัวใจเราบอกว่ามันใช่ ยิ่งทำมันยิ่งหลงรัก ตั้งแต่กระบวนการค้นหา วิเคราะห์ เข้าเป็นหุ้นส่วน ติดตาม ประเมินผล ทุกกิจกรรมมันเป็นความสุข ความท้าทาย มันไม่ใช่เพื่อตัวเงิน เพราะถึงตัวเงินจะเป็น infinity แต่เราก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดี ความเติบโตของพอร์ตเหมือนคะแนนบอกความสำเร็จมากกว่า ความสุขของการลงทุนจึงเป็นความสุขจากการได้ทำในกิจกรรมที่เรารัก และจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเมื่อกิจกรรมลงทุนที่เราทำนั้นมันประสบความสำเร็จด้วยมือของเรา ใช่เลยครับ รู้สึกมีความสุขกับวางแผนการเงิน การลงทุน ที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของตัวเอง ไม่เกินกำลังเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่าเป้าหมายที่วางไว้มีความชัดเจน สามารถทำได้ และไม่ไกลเกินเอื้อม ซึ่งเมื่อสามารถทำได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้แต่ละช่วงเวลาแล้ว ยิ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจตลอดการเดินทาง และเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ^_^
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ส.ค. 01, 2014 10:11 pm
0
0
Re: VI บ้าน ๆ
ยินดีด้วยครับพี่นุช และขอบคุณที่มอบสิ่งดีๆ ให้กับสังคมใกล้และสังคมไกล รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้กับทุกคนครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ส.ค. 01, 2014 9:57 pm
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
การวางแผนการเงิน การลงทุน ที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของตัวเอง ไม่เกินกำลังเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่าเป้าหมายที่วางไว้มีความชัดเจน เราสามารถทำได้ และไม่ไกลเกินเอื้อม ซึ่งเมื่อเราสามารถทำได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้แต่ละช่วงเวลาแล้ว ยิ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจตลอดการเดินทาง และเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ^_^
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ส.ค. 01, 2014 9:50 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
ผมอ่านเล่มนี้ที่เขาแชร์ประสบการณ์ลงทุนของนักลงทุนที่หลากหลาย อ่านไปก็มีความสุขไปกับเขา เพราะชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนเพราะการลงทุนจริง ๆ และยังสะท้อนไปที่การปรับพฤติกรรมให้รู้จักคุณค่าของค่าเงิน ทำให้พฤติกรรมและทัศนคติการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น ตั้งแต่รู้จักออมเงิน หาความรู้ในการลงทุน เข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนแทนการเก็งกำไร ลงทุนมีเหตุผลมากขึ้น ทำการบ้านมากขึ้น และรู้จักความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงเป็นด้วยตัวเองครับ ลองอ่านดูครับ :D http://www.set.or.th/yourfirststock/newlife_investor.pdf ขอบคุณมากครับคุณ chaitorn หลังจากอ่านแล้วดีมากๆ เลยครับ ขอนำแนวคิดแต่ละท่านมาแชร์เพื่อนๆ ครับ ............................................................... พูนศรี การเจริญกุลวงศ์ “การลงทุนทำให้โลกกว้างขึ้น มีมุมมองกว้างมากขึ้น” “แนวคิดของเราคือลงทุนไม่ได้หวังรวย แต่การลงทุนเหมือนกับออมเงินส่วนหนึ่ง ทำให้มีเงินใช้ในหลายช่วงชีวิตอย่างมีความสุข” พฤทธิพงศ์ ลิมาภรณ์วณิชย์ “พอได้รู้จักการลงทุนในทองคำและหุ้น ทำให้รู้เลยว่าทางเลือกการออมเงิน การลงทุนไม่ได้มีแค่ฝากเงินไว้กับแบงก์เท่านั้น” “ชีวิตของผมมีทางเลือกมากขึ้น ทำให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น” “สิ่งที่ทำได้นั่นคือ การช่วยเหลือตัวเอง เราหาเงินมาแทบตาย ก็ควรทำให้งอกเงย และอย่าลืมลงทุนให้กับตัวเองด้วยการศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา อ่านหนังสือ ฟังสัมมนา ยิ่งไปกว่านั้นการลงทุนไม่จำเป็นต้องรอให้มีเงินมาก มีเงินน้อยก็เริ่มต้นลงทุนได้ เพียงแต่ขอให้มีความรู้และความใส่ใจเท่านั้น “การลงทุนเป็นเรื่องของคนที่ใส่ใจ และอยากให้เงินงอกเงย” ชุมพล พิพัฒน์เมฆินทร์ “อย่าโลภเกินความรู้ที่ตัวเองมี หมายความว่า ถ้ายังไม่รู้อะไร ก็อย่าคาดหวังสูงเกินไป ผมอยากให้คิดคล้ายๆ ว่าเรากำลังจะทำธุรกิจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่กลับทุ่มเงินลงไปหมดหน้าตัก ถ้าโชคดีก็ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมาคงเจ๊ง” “เมื่อเป็นเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง และต้องการลงทุน ต้องศึกษาหาความรู้กระจ่างแจ้ง เหมือนกับก่อนที่จะทำงานต้องเรียนให้จบปริญญาตรีก่อน เช่นเดียวกันถ้าคิดจะลงทุนในตลาดหุ้น แต่ไม่ยอมศึกษาหาความรู้ คุณคิดว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร” “เป้าหมายของผมคือลงทุนเพื่อชีวิต ไม่ได้ลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง” “ดังนั้นเมื่อคุณมีเป้าหมายแล้วต้องทำตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ อย่างเปลี่ยนใจเด็ดขาด” มนัสวี พรหมสถาวงศ์ “การจะทำอะไร รวมถึงการลงทุนจะต้องศึกษา หาความรู้ให้ถ่องแท้เสียก่อน” การดูหุ้น “ไม่ยาก” ถ้ามีหลักการและจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง นั่นคือการศึกษา หาความรู้ หาสไตล์การลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง และค่อยๆ เรียนรู้จะทำให้การลงทุนประสบความสำเร็จในระยะยาว นพ.บันดาล ซื่อตรง “สไตล์ผมเป็นนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ ดังนั้นทุกอย่างต้องอธิบายได้ จึงวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยพื้นฐาน ไม่ดูเทคนิคกราฟที่เน้นการลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น แต่ผมจะลงทุนเหมือนเราตั้งบริษัท วิเคราะห์ธุรกิจ อนาคต ผลตอบแทนใน 5 ปีข้างหน้า” “การลงทุนทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ผมว่าชีวิตผมผมว่าเหมือนถอดแบบจาก Warren Buffet และ อาจารย์นิเวศน์ หมายถึงการที่มีเงินมากไม่ได้ทำให้เราใช้เงินเพิ่มขึ้น ผมยังใช้จ่ายเหมือนเดิม การมีเงินไม่ได้ทำให้เรา ใช้ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป มีบ้านหลังใหญ่หรือรถคันใหญ่ขึ้น” “ผมมีอิสรภาพทางการเงิน แต่หน้าที่การงานก็ยังเต็มที่ จะพูดได้ว่าผมสามารถทำงานในสิ่งที่รัก คือ เป็นทั้งหมอและครู” “คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนไว้อย่างน่าสนใจว่า ให้เริ่มลงทุนกับตัวเองเป็นสิ่งแรก โดยศึกษาหาความรู้อ่านหนังสือ ฟังสัมมนา สมัครใช้โปรแกรมทดลองลงทุน ซึ่งการลงทุนเหล่านี้จะลงทุนเพียงหลักหมื่นบาทเท่านั้น เมื่อเทียบการลงทุนหลักล้านบาทที่ไม่มีความรู้ใดๆ เพราะเมื่อมีความรู้ถูกต้อง การลงทุนกับการศึกษาให้ผลตอบแทนสูงสุด เมื่อเทียบกับอย่างอื่นแล้ว” “ การลงทุนต้องมีทัศนคติที่ดีและลงทุนระยะยาว ลงทุนผูกพันไปกับบริษัท จะทำให้สุขภาพจิตดี ถ้าลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นซื้อขายบ่อยๆ เหมือนที่พูดล้อเล่นกันว่า ซื้อขายหุ้นเพื่อเอาไปซื้อกับข้าว 2-3 พันบาทผมว่าใช้พลังงานชีวิตมากไป ใช้เวลา 3-6ชั่วโมงกับการอยู่หน้าจอ ถ้าเป็นหุ้นเขียวมีความสุข ถ้าเป็นหุ้นแดง ตอนเที่ยงอาจกินข้าวไม่ลง อาจทำให้อายุสั้น ดังนั้น ควรสร้างความสมดุลให้ชีวิตมีความสุข ” จุลทรรศน์ จิรานนท์ “การลงทุนทำให้เราคิดเยอะขึ้นอย่างในเวลาที่จะใช้เงิน คือหากเราเอาเงินไปใช้ในสิ่งของฟุ่มเฟือย สมมติจะใช้ซื้อโทรศัพท์ มูลค่าของสิ่งของที่เราซื้อมันมีค่าลดลงทุกวัน แต่หากเอาเงินที่จะไปซื้อโทรศัพท์มาซื้อหุ้นมันก็มีโอกาสที่จะเติบโต นอกจากนี้การลงทุนยังทำให้ต้องดูข่าวเศรษฐกิจมากขึ้น รู้เรื่องรอบตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่มีผลกระทบต่อตลาด” “เรื่องการลงทุนสอนให้เราได้มีความรู้ และยังทำให้จิตใจเราเข้มแข็งในการตัดสินใจ”
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อาทิตย์ ก.ค. 27, 2014 9:03 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
ของผมน่าจะเพราะผม ชอบเลยมีความสุขที่ได้ลงทุน นอกจากเรื่องผลตอบแทน ที่ ทำให้เรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีทางเลือก แล้ว ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น การอ่านหนังสือ การติดตามธุรกิจที่เราลงทุน การได้คุยกับเพื่อนๆที่เป็นนักลงทุน การได้เรียนรู้ธุรกิจใหม่ๆที่เราไม่รู้จัก การได้นั่งจินตนาการถึงอนาคตของธุรกิจ หรือการฝันถึงมูลค่าของพอร์ตและเงินปันผลในอนาคต คือ สิ่งที่เราชอบ มีความสุขและหลงไหลเมื่อได้ทำหรือได้นึกถึงมัน ตั้งแต่ผมรู้จักการลงทุน ผมรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายขึ้น, รู้สึกดีที่ได้ตื่นขึ้นมาตอนเช้า เพื่อจะได้มาติดตามข่าวสารการลงทุนผมว่าการลงทุนคือส่วนหนึ่งของชีวิตผมแล้วแหละครับ :D เห็นด้วยอย่างยิ่งครับคุณ saichon ที่ว่า ทำในสิ่งที่ชอบนั้นทำให้เรามีความสุข และการลงทุนนั้นทำให้เรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างมีทางเลือกมากขึ้นครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อาทิตย์ ก.ค. 27, 2014 8:50 pm
0
1
Re: VI บ้าน ๆ
พี่นุช ขอบคุณมากครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 24, 2014 9:17 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
ลงทุนอย่างมีความสุข by ธันวา เลาหศิริวงศ์ เป้าหมายในการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปบ้าง เช่น เพื่อผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำหรืออัตราเงินเฟ้อ เพื่อเป็นแหล่งรายได้สำรองเพิ่มเติมจากรายได้ประจำ เพื่อวางแผนทางการเงินสู่ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น เพื่ออิสรภาพทางการเงิน หรือเพื่อเหตุผลอื่น แต่โดยรวมนั้น นอกเหนือจากการนำเงินที่หามาได้เพื่อใช้จ่ายกับสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวันและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายของตนและครอบครัวอย่างเหมาะสมแล้ว เป้าหมายสูงสุดของทุกคนก็คือ การมี “ความสุข” และได้ทำ “สิ่งที่ตนชอบและรัก” ในการใช้ชีวิตทุกๆ วันจนถึงบั้นปลายชีวิตวัยเกษียณ.... ....เพื่อ “การลงทุนอย่างมีความสุข” คำแนะนำของผมก็คือนักลงทุนจำเป็นต้อง “รู้จักและเข้าใจ” ตัวตนของตนเองให้มากที่สุด และเริ่มปฏิบัติตาม 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ หนึ่ง จัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่ตนยอมรับได้อย่างเหมาะสมโดยไม่จำเป็นต้องนำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นทั้งหมด สอง สำหรับการลงทุนในหุ้น ต้องเลือกแนวทาง วิธีการ กลยุทธ์และขบวนการตัดสินใจลงทุนให้เหมาะและสอดคล้องกับแนวทางการใช้ชีวิตโดยไม่ฝืนธรรมชาติของตน และสาม นักลงทุนควรตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่ไม่สูงและเป็นไปได้ยากเกินไปในการปฏิบัติ และต้องมีความสุขและพอใจเมื่อผลตอบแทนเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และเห็นพอร์ตการลงทุนของตนเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงนั่นเอง ขอให้ทุกท่านมีความสุขในการลงทุนตลอดไปครับ.... ขอขอบพระคุณ คุณธันวา ครับ ติดตามฉบับเต็มได้ตามลิงค์ http://www.thaivi.org/%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%82/
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 24, 2014 9:10 pm
0
0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ท่านอาจารย์ ดร. นิวเศน์ ได้กล่าวไว้ว่า... "ความเหมาะสมในวันนี้อาจจะกลายเป็นความไม่เหมาะสมในวันข้างหน้าได้ และถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราเป็นเราทำนั้นดีและเหมาะสมที่สุดแล้ว เราอาจจะกลายเป็นคนที่ล้าสมัยได้เมื่อสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ประวัติของผลงานการลงทุนที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ได้รับประกันว่ามันจะคงอยู่ได้ตลอดไป และประวัติศาสตร์บอกว่า การรักษามันเป็นสิ่งที่ยากมาก" http://www.thaivi.org/นิวตัน-vs-ดาร์วิน/ ขอบพระคุณท่านที่ทำให้เราตระหนักถึงการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ ก.ค. 21, 2014 8:21 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
เมื่อก่อนผมก็เคยคิดว่าการมีเงินเยอะๆมันจะช่วยให้ชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของผมมีความสุขมากยิ่งขึ้นแต่เอาเข้าจริงผมกลับพบว่า การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างพอประมาณกับความต้องการของตน กล่าวคือการลงทุน เป็นการช่วยให้เรามีรายได้เพียงพอที่จะสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เป็นปรกติ ไม่ขัดสน และไม่ต้องไปเบียดเบียนใคร ซึ่งก็คือคำที่เราคุ้นหูกันนั่นคือ ให้เงินทำงานแทน แน่นอน ทางพันไมล์ย่อมเริ่มมาจากก้าวเดียว หากไม่มีการเริ่มต้นก็ยากที่จะพบกับความสำเร็จ ซึ่งก็เท่ากับว่าเรายังคงพอใจในการทำงานกินเดือนกับบริษัทต่อไปตราบเท่าที่เรายังไม่สามารถหาอิสรภาพทางการเงินเจอ การทำงานย่อมนำมาซึ่งความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าชีวิตในการทำงานของเราต้องเป็นทุกข์ตามไปด้วย เพราะเมื่อมีหน้าที่ความรับผิดชอบ เราเองก็ต้องทำมันให้ดีที่สุด ตามภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หากงานปัจจุบันเราสามารถทำมันได้อย่างดีเยี่ยมเต็มกำลังความสามารถ งานในอนาคตที่เราวางแผนไว้ก็ไม่มีทางที่จะไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับผม ความสุขของการลงทุนถูกหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับการทำงาน ทำให้แม้เหนื่อยหรือหนักแค่ไหน ก็ยังทำให้เราไม่ละความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมายสุดท้ายที่วางไว้ให้ได้ครับ ทุกวันนี้ความคิดของผมเปลี่ยน เปลี่ยนจากที่อยากมีเยอะๆ เป็นเพียงแค่อยากมีพอประมาณ พอใช้สำหรับครอบครัว จนสุดท้าย อาจไม่ต้องลงทุนอีกต่อไปครับ และที่ สำคัญที่สุดก็คือทุกช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ก็จะไม่มีคำว่าเสียใจครับ… :P ครับคุณ tum_H มีความสุขกับทุกช่วงเวลาของชีวิต จำได้ว่าตอนที่เรียน MBA ท่านอาจารย์เคยสอนไว้ว่าลูกศิษย์ทั้งหลายเอ๋ย ใยเจ้าก้มหน้าก้มตาเที่ยววิ่งหาความสุขกันนักหนา แท้จริงแล้วความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือเจ้านี้เอง ท่านสอนว่า "ความสุขอยู่ตรงนี้ เวลานี้" เจ้าจงมีความสุขกับทุกช่วงจังหวะชีวิตของเจ้าเถิดลูกศิษย์เอ๋ย....
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ ก.ค. 19, 2014 9:05 pm
0
0
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
การลงทุน นอกจากจะทำให้ผมมีอาชีพในการดำรงชีวิต เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้แล้ว ยังทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจ และภูมิใจเล็กๆ กับการที่เราสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองได้ นอกเหนือจากนั้น การลงทุน ยังทำให้ผมได้เรียนรู้ ศึกษา ค้นคว้า ศาสตร์แขนงต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำมาก่อน การลงทุน ทำให้ผมกระตือรือร้นทุกวันจริงๆครับ เยี่ยม! เห็นด้วยครับคุณ Tibular, นอกจากความสุขที่ได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาในการทำงานประจำแล้ว การลงทุนทำให้ผมเองมีความสุขที่ได้มีโอกาสเปิดหู เปิดตา เปิดใจ และเปิดโลกทัศน์ด้านอื่นๆ ของตัวเองจริงๆ ครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ ก.ค. 19, 2014 8:53 pm
0
0
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
ผมคิดว่าเมื่อเราลงทุนอย่างสบายใจ เราก็จะมีความสุขในชีวิตการลงทุนครับ ขอนำบทความของอาจารย์ ดร. นิเวศน์ ได้มาฝากเพื่อนๆ ครับ ขอบพระคุณท่านอาจรย์ครับ ............................................................................................... ลงทุนอย่างสบายใจ กุมภาพันธ์ 25, 2012 Posted by ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การลงทุนในหุ้นนั้น หลาย ๆ คนมักจะรู้สึกเครียดและมีกังวลอยู่ตลอดเวลา เขากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดในประเทศไทยหรือในโลกนี้ซึ่งจะทำให้หุ้นตกทั้งตลาดและทำให้หุ้นเขาตกลงไปด้วย เขากังวลว่าหุ้นตัวที่เขาถืออยู่อาจจะมีปัญหาหรือมีเหตุการณ์ไม่ดีซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้เขาขาดทุนมากมายอย่าง “ไม่คาดฝัน” การลงทุนในหุ้นดูเหมือนว่าจะมี “ต้นทุน” ที่ไม่ใช่ตัวเงินแฝงอยู่นั่นก็คือ ความกังวลและความไม่สบายใจ และนั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นบ่อยเพื่อ “ลดความไม่สบายใจ” ในสถานการณ์ที่ “ไม่แน่นอน” แต่นี่มักจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราลดลงในระยะยาว คำถามก็คือ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้เราสามารถลงทุนอย่างสบายใจได้? สูตรการลงทุนอย่างสบายใจของผมก็คือ ข้อแรก จงตั้งความหวังผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นให้เหมาะสมนั่นก็คือ ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเฉลี่ยประมาณ 10% ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถสูงมาก ก็อาจจะตั้งความหวังได้สูงขึ้น แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 15% ต่อปี โดยคำว่าระยะยาวของผมนั้นจะต้องยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป การตั้งความหวังที่เหมาะสมนั้นจะทำให้เรามีโอกาสบรรลุผลได้ไม่ยากเกินไปซึ่งจะทำให้เราไม่ต้อง “เร่ง” ผลตอบแทนโดยวิธีการต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ไม่ต้องเล่น “หุ้นร้อน” หรือ ไม่ต้องใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น เป็นต้น ซึ่งทำให้เราสามารถลงทุนหุ้นได้แบบ “ชิว ๆ” ข้อสอง เลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของตัวกิจการเป็นหลัก นี่คือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงช้าในด้านของธุรกิจ เป็นกิจการที่ไม่ล้ำสมัยแต่ไม่ล้าสมัย เป็นกิจการที่เป็น “ผู้นำ” มีฐานะทางการเงินดี และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ เป็นกิจการที่เราเองมีโอกาสได้พบเห็นหรือได้ใช้บริการเป็นประจำ ข้อสาม ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้นอย่างเหมาะสม นั่นก็คือ ถ้ามีเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ก็ควรต้องมีหุ้นอย่างน้อยประมาณ 5 ตัวโดยที่ตัวใหญ่สุดไม่ควรจะเกิน 30% ของพอร์ต นอกจากนั้น ควรจะถือหุ้นในหลาย ๆ อุตสาหกรรม แต่ถ้ามีเงินลงทุนค่อนข้างมากเช่นเป็น 10 ล้านบาทขึ้นไป หุ้นที่ลงก็อาจจะมากขึ้นไปได้ แต่ก็ต้องไม่มากจนเกินไป เพราะมิฉะนั้นเราก็อาจจะมีหุ้นที่เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ทำให้เราขาดการเอาใจใส่และทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราด้อยลงไปได้ โดยทั่วไปแล้ว ผมคิดว่าถ้ามีเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ก็ไม่ควรถือหุ้นเกิน 10-15 ตัว ข้อสี่ เราควรพยายามตั้งเป็นกฎคร่าว ๆ ว่าในแต่ละปีเราจะมีการซื้อขายหุ้นไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นของเราในแต่ละปีไม่ควรจะเกิน 2 เท่าของขนาดของพอร์ตของเรา เช่น ถ้าพอร์ตของเราเท่ากับ 1 ล้านบาทในตอนต้นปี เราควรซื้อขายหุ้นในปีนั้นไม่เกิน 2 ล้านบาท นั่นแปลว่า เราจะถือหุ้นแต่ละตัวเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉลี่ย ถ้าเราซื้อขายหุ้นมากกว่านั้นก็แสดงว่าเราอาจจะถือหุ้นสั้นเกินไปและอาจจะหมายความว่าเราเป็น “นักเก็งกำไร” แทนที่จะเป็น “นักลงทุน” และประเด็นของผมก็คือ การเป็นนักเก็งกำไรนั้น ก่อให้เกิดความตึงเครียดสูงกว่านักลงทุนมาก ข้อห้า อย่าสนใจการขึ้นหรือลงของหุ้นแต่ละตัวมากนัก พยายามมองภาพรวมของพอร์ตหุ้นว่าเติบโตขึ้นหรือลดลง การไปเน้นดูหุ้นแต่ละตัวก่อให้เกิดความเครียดเพราะเราจะพบหุ้นที่มีราคาตกลงไปมากและอาจจะพยายามไปทำอะไรกับมันที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดี ที่สำคัญก็คือ อย่าไปดูราคาหุ้นทุกตัวทุกวัน วิธีที่ผมแนะนำก็คือ ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน เราก็คำนวณดูว่าพอร์ตการลงทุนของเราเป็นเท่าไรโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่มากมาย โดยการดูเป็นพอร์ตนี้ เราก็จะเห็นว่าความผันผวนมันน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นแต่ละตัว และนี่ทำให้เราเครียดน้อยลง และถ้าเราลงทุนเลือกหุ้นได้ถูกต้องโดยเฉลี่ย เราก็ควรจะเห็นพอร์ตของเราโตขึ้นอย่างช้า ๆ และมั่นคงเมื่อเวลาผ่านไป ข้อหก การที่เราจะทำอะไรกับหุ้นแต่ละตัวนั้น ไม่ควรจะเน้นไปที่ด้านของราคาหุ้นรายวัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทุกไตรมาศ เราต้องติดตามดูว่าผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไร มันเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ไหม? เช่น ดีขึ้น ดีขึ้นมาก แย่ลง แย่ลงมาก เพราะอะไร? จากนั้นก็สามารถนำมาตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรกับหุ้น โดยปกติถ้าเราลงทุนหุ้นถูกตัวแล้ว ส่วนใหญ่เราก็มักจะไม่ต้องทำอะไร แต่ในบางกรณีที่เราคาดการณ์ผิด เราก็อาจจะขายทิ้งได้ เช่นเดียวกัน บางครั้งเราก็อาจจะซื้อเพิ่ม โดยวิธีนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลเป็นรายวันกับราคาของหุ้นมากนัก ข้อเจ็ด เมื่อเราได้รับปันผลมา อย่านำเงินไปใช้หรือเอาออกจากพอร์ตถ้าไม่จำเป็น นำปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ตเพื่อทำพอร์ตให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นหลักการลงทุนแบบทบต้นซึ่งจะทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นแบบทวีคูณ เป้าหมายของเราควรจะตั้งไว้ว่าเราต้องการสร้างพอร์ตนี้เพื่อเป็นเงินเพื่อการเกษียณหรือเป็นเงินมรดกเพื่อลูกหลาน เงินที่เราจะนำไปใช้จ่ายนั้นควรเป็นเงินที่เราทำมาหาได้จากน้ำพักน้ำแรงมากกว่า ถ้าคิดได้แบบนี้ เราก็จะสบายใจว่านี่เป็น “เงินเย็น” ที่จะอยู่กับเราต่อไปอีกนานเราจะเครียดน้อยลง ข้อแปด ทุกปี เราต้องคำนวณหาผลตอบแทนประจำปีดูว่าเราทำได้เท่าไรเทียบกับผลตอบแทนของตลาดและเทียบกับเป้าหมายระยะยาวของเราซึ่งก็คือ 10-15% ที่เราตั้งไว้ ถ้าเราทำได้ดีกว่าตลาดและดีกว่าเป้า เราก็ควรจะดีใจโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ถ้าเราทำได้แพ้ตลาดแต่ยังทำได้ตามเป้าเราก็ยังควรจะดีใจเพราะในไม่ช้าเป้าหมายระยะยาวของเราก็ไปได้ถึง แต่ถ้าเราแพ้ทั้งตลาดและก็ไม่ได้ตามเป้าส่วนตัวของเรา เราก็อาจจะเสียใจบ้างแต่ก็ควรจะดูต่อไปว่าปันผลที่ได้รับในปีนั้นของเราเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน นั่นก็อาจจะเป็นเครื่องปลอบเราว่าที่จริงการลงทุนของเรานั้นไม่ได้ผิดพลาด มันยังก้าวหน้าไป เพียงแต่ในระยะสั้น ๆ ตลาดหุ้นอาจจะไม่เป็นใจทำให้ราคามันลดลง แต่ในอนาคต มันก็คงจะปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ยาก ว่าที่จริง ในระยะยาวจริง ๆ แล้ว ปันผลนั้นถือว่าเป็นเครื่องวัดที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งว่า เราลงทุนได้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตกเลย ทั้งหมดนั้นก็เป็นกลวิธีการลงทุนที่จะทำให้เรามีความสบายใจ ใช้เวลาไม่มาก ไม่เครียด และได้ผลดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีงานประจำเต็มเวลา การลงทุนแบบนี้เปรียบไปก็จะคล้าย ๆ กับการปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นที่เราเฝ้าดูแลมันเติบโตขึ้นช้า ๆ แต่มั่นคง โดยที่เราไม่ต้องเร่งมัน แต่เมื่อถึงวันหนึ่ง เราก็จะได้อาศัยร่มเงาและผลของมันมากินได้ต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่พึ่งของเราได้ http://www.thaivi.org/%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%aa%e0%b8%9a%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%88/
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2014 10:47 pm
0
3
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
ความสุขในการลงทุนของผมตอบแบบดูดีหน่อยก็คือชอบที่เวลาเราไปประชุม ผู้ถือหุ้น ไปเจอผู้บริหาร แล้วก็นั่งฟังและมองอย่างภาคภูมิใจว่า " แหมะ!! เราเลือกไม่ผิดคนจริงๆ " หุหุ...^^) ส่วนข้อที่เป็นความสุขส่วนตัว คือ เวลาไปคุยกับคนอื่นก็สามารถพูดได้เต็มปาก ว่า " ผมลงทุนหุ้นแบบ VI " แล้วก็มีความสุขที่ได้คุยกับคนอื่นเรื่องหุ้นได้ครับ หากผมไม่ได้ลงทุนหุ้น ก็คงจะคุยกับคนอื่นๆไม่ได้ในเรื่องนี้ คงได้แต่นั่งหงอย และฟังแบบเงียบๆ...T-T) อ้อ สุดท้าย คือ มีความสุขทุกครั้งที่ได้ไปเดินดูธุรกิจของหุ้นแต่ละตัว ทั้งที่เราสนใจ หรือว่าถืออยู่ครับ ตัวที่สนใจก็จะได้ไปหาข้อมูล สอบถามพนักงาน สังเกตุลูกค้าที่ใช้บริการ และไปส่องดูวิธีการทำงานของเขา ส่วนตัวที่ถืออยู่เวลาไปดูก็รู้สึกภูมิใจแบบเจ้าของ เวลาเห็นของขายหมด แล้วก็มีของใหม่มาเติม รู้สึกปลื้ม ปิติ ยิ่งนัก (แต่เราไม่ยักจะหยิบ ซักถุงแฮะ 555+...แป่ว...) ประมาณนี้ครับ...^^) ใช่เลยครับ มีความสุขที่ได้ลงทุนแบบ VI ครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2014 10:37 pm
0
0
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
สุขกาย สุขใจ คือความสุขครับ สั้นๆ แต่ให้นิยามความสุขได้ดีมากๆ เลยครับ ดังที่อาจารย์ดร. นิเวศน์ท่านได้กล่าวไว้ในบทความตอนหนึ่งว่า... การ “ลงทุน” นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องของเงินทองแต่เพียงอย่างเดียว เรื่องอื่น ๆ ที่เราสามารถอดหรือเลื่อนออกไปในตอนนี้เพื่อที่จะได้สามารถใช้ได้มากขึ้นหรือดีขึ้นในวันข้างหน้าก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน ว่าที่จริงมีเรื่องอื่น ๆ อีกไม่น้อยที่การลงทุนมีความสำคัญไม่แพ้เรื่องของเงินทอง หนึ่งในนั้นก็คือ การลงทุนกับ “สุขภาพ” นี่คือการลงทุนในเรื่องของการ “ใช้” ร่างกายและจิตใจในวันนี้อย่าง “ถนอมรักษา” เพื่อที่จะได้สามารถใช้มันได้มากขึ้นและ/หรือดีขึ้นในวันข้างหน้า —เมื่อร่างกายของเราเข้าสู่โหมดเสื่อมโทรมตามอายุของเรา
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2014 10:05 pm
0
1
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
บางทีเงินก็ไม่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้นะครับ หาเงินตัวเป็นเกลียว วันหาแต่เงิน เครียด ปวดหัว ใช้ชีวิตอยู่กับความเครียดและกองเงินกองทอง จะไปมีความสุขได้อย่างไร พระที่อยู่ในวัดมีจีวรกับบาตรเพียงใบเดียว ท่านยังบอกว่าท่านมีความสุขมาก เห็นด้วยอย่างยิ่งครับที่ว่า "บางทีเงินก็ไม่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้" ดังคำกล่าวของ Warren Buffett ที่ว่า "เงินไม่อาจซื้อสุขภาพกับความรักได้"
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 17, 2014 9:19 pm
0
0
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้ข้อคิดที่ดีๆ "นักลงทุนมือใหม่โปรดฟัง" อาจารย์ถาวร... ลงทุนอะไรให้คิดระยะยาว คิดถึงความมั่นคงถาวร กลอนจากอาจารย์เสน่ห์... "นักลงทุนมือใหม่อย่าใจร้อน เรียนรู้ก่อนลงทุนหุ้นทั้งหลาย ไม่ทำตัวเป็นแมงเม่าเข้าไปตาย เรียนรู้ก่อนไม่มีสายได้แน่นอน" อาจารย์ ดร.นิเวศน์ 1. วิธีการหาความรู้ คืออ่านหนังสือให้ถูกเล่ม ไม่เป็นหนังสืออวิชชา เช่น ซื้อๆขายๆ ต้องกู้เงินมาลงทุน รวยง่าย รวยเร็ว เป็นต้น 2. ถ้าจะลงทุน อย่าลงทุนตามคนอื่นเพราะเขาซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้และเขาจะขายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัดสินใจด้วยตัวเอง 3. อย่าซื้อหุ้นโดยดูราคาหุ้น ไล่ราคาหุ้น 4. ทัศนคติ เราต้องมองว่าหุ้นเป็นธุรกิจ ไม่ใช่ตัวเลขที่ขึ้นๆลงๆ แต่การลงทุนนี้เราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ 5. การลงทุนต้องใช้เงิน อย่าคิดว่าจะจับเสือมือเปล่า เช่น กู้มาลงทุน เป็นต้น 6. มองความเสี่ยงยิ่งกว่าผลตอบแทน อาจารย์ ดร. ไพบูลย์ 1. อย่าหวังผลตอบแทนมากเกินจริง หวังผลตอบแทนให้สมเหตุสมผล ใช้สติปัญญาให้มากๆ 2. ล้มแล้วไม่เป็นไร ล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ได้ ค่อยๆ ลงทุนล้มแล้วให้เป็นบทเรียน 3. เริ่มต้นให้เริ่มต้นง่ายๆ ก่อน อย่าไปเริ่มยากๆ เช่น อนุพันธ์ day trade เป็นต้น เริ่มจากสิ่งที่เข้าใจง่าย เช่น กองทุน เป็นต้น 4. อย่าไปตั้งเป้าจะเป็นเหมือนคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะ IDOL ทั้งหมดซึ่งเอื้อมไม่ถึง ให้มองความเป็นจริง 5. ไม่มีอะไรที่ช้าเกินไป ไม่ต้องกลัวตกรถ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยลงทุน 6. อย่าคิดว่าลงทุนหุ้นง่ายนิดเดียว http://www.youtube.com/watch?v=PJsk_sLFcGE&feature=youtu.be
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พุธ ก.ค. 16, 2014 11:34 pm
0
2
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เชื่อว่า การทำหรือซื้อหุ้นบ่อย ๆ ซึ่งก็แปลว่าต้องขายบ่อยด้วยนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ นั่นทำให้ "การรู้จักอดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้านั้น เป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่งของ VI" ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ http://www.thaivi.org/%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%a2%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b9%89%e0%b8%b2/
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
จันทร์ ก.ค. 14, 2014 7:13 pm
0
1
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ลงทุนปีละ 'หนึ่งหมื่นสี่พันบาท' ก็เป็น 'เศรษฐีร้อยล้าน' ได้ “… การเก็บเงินปีละ 14,000 บาท จะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้านน่าสนใจมาก แต่ถ้าทำตามวิธีการของคุณ ต้องรอถึง 40 ปี ทำให้ใจห่อเหี่ยว …” “… ต้องรอถึง 40 ปี ค่อยเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดีตายกลายเป็นผีไปแล้ว คุณมีเคล็ดลับช่วยให้ร่ำรวยเร็วขึ้นมั้ย? …” การสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล คนส่วนหนึ่งรู้คำตอบแล้วว่า ถ้าเก็บเงินลงทุนแบบนี้ 40 ปี จะได้เงินร้อยกว่าล้าน จึงทายว่า 10 ปีน่าจะได้สัก 5 ล้าน บางคนทายว่าประมาณ 1 ล้าน แต่ว่าคำตอบที่คำนวณได้น่าแปลกใจเหมือนกันคือได้แค่ 360,000 บาท เมื่อเทียบกับลงทุน 40 ปี ได้ร้อยกว่าล้าน แตกต่างกันถึง 300 กว่าเท่า ยังดีที่มีคนตั้งคำถามแบบนี้ ไม่อย่างนั้นมีผู้ทำตามวิธีการนี้ เก็บเงินไปลงทุนปีละ 14,000 บาท นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20% นึกว่านานเข้าคงร่ำรวยเป็นเศรษฐี คิดไม่ถึงว่าแค่สิบปีมีเงินสะสมแค่สามแสนหก คงเข้าใจว่าถูกหลอกซะแล้ว ต้องเข้าใจว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว การลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัวเงื่อนไขข้อแรกอยู่ที่เวลา คุณต้องผ่านการรอคอยจึงจะเห็นผล เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อยๆในปีต่างๆ - ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท - ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท - ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท - ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท - ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท - ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท - ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท - ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท นี่เป็นข้อสังเกตที่ว่าทำไมหาเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท ยังง่ายกว่าหาเงิน 1 ล้านบาทแรกมากนักสำหรับคนที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่า คงมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว หมื่นแสนเรื่องราวตอนเริ่มต้นนั้นลำบากที่สุด ตอนแรกเริ่มกว่าจะหาเงินได้ช่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองหายากหาเย็นถึงเพียงนี้ แต่หลังจากประสบความสำเร็จ เงินทองก็ไหลมาเทมา เรียกว่าอยากจะหยุดยั้ง ก็ยั้งไว้ไม่อยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองกลายเป็นหาง่ายเพียงนี้ ทุกคนอยากจะหยิบเงินล้านที่สอง หรือหยิบเงินสิบล้านแบบง่ายๆ ไม่อย่างนั้นก็ภาวนาให้เงินไหลมาเทมา ปัญหาอยู่ที่ก่อนจะหยิบเงินล้านที่สอง ต้องมีเงินล้านแรกก่อน ทำอย่างไรจึงจะได้เงินล้านแรก? เศรษฐีส่วนใหญ่สร้างเนื้อสร้างตัวจากเงินก้อนเล็กๆ ผ่านวันเวลาอันยาวนาน ค่อยๆเก็บสะสม ตอนแรกเป็นเงินก้อนเล็กๆ แทบไม่น่าเชื่อ แต่ความสำเร็จเรียงร้อยจากความสำเร็จเล็กๆทั้งหลาย สะสมพอกพูนเป็นสมบัติกองโต แสดงให้เห็นว่า “เวลา” มีความสำคัญต่อการลงทุนสร้างฐานะ “ความอดทน” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี และไม่ใช่อดทนไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ยิ่งอดทนยี่สิบสามสิบปี หรือสี่สิบห้าสิบปี พลังที่จะสร้างความร่ำรวยก็ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ “อาหารจานด่วน” ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารก็รับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายก็ใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถก็ต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษาก็ยังใช้วิธีเรียนลัด ผู้คนยิ่งมายิ่งหวังผลทันตาเห็น กลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ “เวลา” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ “เลิกล้มกลางคัน” เมื่อเจอกับเงื่อนไขเวลา ก็เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้ การลงทุนสร้างฐานะต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจก็ทำเรื่องเสี่ยงๆ ฉะนั้น แทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ไม่ว่าการสร้างสมความร่ำรวยก็ดี การสั่งสมประสบการณ์ก็ดี ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องใช้เวลาเข้าแลกมา คนที่อยากรวยทางลัด ได้แต่ใช้วิธีสุ่มเสี่ยงหรือว่าเล่นพนัน หรือทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงๆ แต่ผลของมันคือสิ้นเนื้อประดาตัว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น คนที่อยากรวยเร็วไม่เหมาะกับการลงทุนสร้างฐานะ เพราะการลงทุนแบบช้าหน่อยแต่ชัวร์แน่นอน พลังที่สร้างฐานะจะใหญ่โตกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเรานึกเอาไว้ด้วยเช่นกัน ลองนึกดูว่าคุณแม่ต้องผ่านการอุ้มท้องกว่าสิบเดือน ชาวนาปลูกข้าวก็ต้องรอน้ำรอฝน ต้นข้าวจึงจะออกรวงได้ การพอกพูนของเงินทองก็เหมือนกับการเติบโตของชีวิต ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี ได้รับดอกเบี้ยทบต้น ไม่ใช่ถึงเป้าที่วางไว้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน นักลงทุนบางคนทำกำไรมหาศาลในชั่วข้ามคืน แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเพียงชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน Credit: http://www.sarut-homesite.net
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
ศุกร์ ก.ค. 11, 2014 8:59 pm
0
7
Re: ปลูกหุ้นกินผล
"เกมการลงทุนคือการพยายามคาดการณ์อนาคตให้ได้ดีกว่าคนอื่นๆ คุณจะทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อ คุณจำกัดตัวเองอยู่ในสิ่งที่คุณถนัดและรอบรู้ ถ้าคุณพยายามคาดการณ์อนาคตของทุกสิ่งทุกอย่าง คุณกำลังพยายามเกินตัวซึ่งมันจะนำไปสู่ความล้มเหลว" Charlie Munger, thaivi.org
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
เสาร์ ก.ค. 05, 2014 1:00 pm
0
1
Re: ปลูกหุ้นกินผล
ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ ได้ให้แง่คิดไว้ว่า... ==> ในความคิดผมก็คือ ถ้าคุณเป็น “นักปฏิบัติ” โอกาสสำเร็จในการเป็นนักธุรกิจนอกตลาดจะสูงกว่า แต่ถ้าคุณเป็น “นักคิด” การเป็นนักธุรกิจในตลาดน่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า ไม่ว่าจะกรณีใด การเป็นนักธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น ดูเหมือนว่าจะทำได้ง่ายและความเสี่ยงน่าจะต่ำกว่าธุรกิจนอกตลาดหุ้น เหตุผลก็คือ ในการทำธุรกิจนอกตลาดหุ้นนั้น เรามักต้องทุ่มทุกอย่างแม้แต่จิตวิญญาณลงไปในธุรกิจ และการถอยหนีมักจะหมายถึงหายนะ ในขณะที่การทำธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น เรามีทางเลือกมากมายและมีการกระจายธุรกิจไปในหลาย ๆ อย่าง ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เราซื้อหุ้นในตลาดเพื่อเป็นการลงทุน “ทำธุรกิจ” ไม่ใช่การ “เล่นหุ้น” <==
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 03, 2014 10:54 pm
0
2
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
ขอชื่นชมคุณ picatos แนวคิดท่านดีมากๆ ขอบคุณที่มาแชร์แนวคิดดีๆ ครับ
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
พฤหัสฯ. ก.ค. 03, 2014 8:28 pm
0
1
Re: ปลูกหุ้นกินผล
บทความนี้ของท่าน อาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนอย่างผมจริงๆ ครับ... ขอบพระคุณครับ ......................................................................................................................................... สำหรับ “มนุษย์เงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินจากพ่อแม่หรือมีความสามารถพิเศษในการลงทุนและคิดว่าตนเอง “ไม่มีปัญญา” ในการที่จะเรียนรู้เทคนิคการลงทุนที่จะทำให้สามารถลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นกลยุทธ์หรือวิธีการลงทุนระยะยาวที่ “ดีที่สุด” สำหรับเขา มันจะเป็นการลงทุน “เพื่อการเกษียณ” ที่จะทำให้เขาสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ตามสถานะที่เขาเป็นอยู่แบบเดิมไปได้ตลอดชีวิตหลังเกษียณโดยที่ความเสี่ยงที่จะ “ขาดเงิน” มีน้อยมาก ๆ สิ่งที่เขาจะต้องทำหรือเงื่อนไขนั้นมีหลักการใหญ่ ๆ สามข้อ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากแต่ ต้องอาศัยวินัยและความศรัทธาสูง หลักการสามข้อนั้นผมขอเรียกว่าเป็น “แก้ว 3 ประการ ของการลงทุน” ที่ผมเคยพูดไว้ในหลาย ๆ โอกาสซึ่งผมจะทวนอีกครั้งหนึ่งก็คือ ถ้าหากใครหวังจะรวยหรือประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูงนั้น เขาจะต้องมีแก้วที่ “สุกสว่าง” ทั้ง 3 ดวง โดยที่ แก้วดวงแรกก็คือ เขาจะต้องมี “เงินลงทุนเริ่มต้น” หรือเงินที่ได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเงินจากการลงทุน เช่น จากเงินเดือน เงินที่พ่อแม่ให้หรือเงินมรดก เป็นต้น “แก้ว” ดวงนี้จะ “สุกสว่าง” มากน้อยนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับ “โชคชะตา” เช่น คนที่มีพ่อแม่รวยและพ่อแม่แบ่งเงินมาให้ลงทุนมาก “แก้ว” ดวงนี้ของเขาก็สุกสว่างมาก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความสุกสว่างของแก้วก็อาจจะมากขึ้นได้จากการ “อดออม” ของเราเอง นั่นก็คือ เราสามารถเพิ่มความสว่างของแก้วของเราได้โดยการบริโภคน้อยลงและเก็บออมแล้วเอามาลงทุนมากขึ้น แก้วดวงที่สองคือ ผลตอบแทนที่เราได้รับจากการลงทุน ความสุกสว่างของแก้วดวงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการวิเคราะห์และลงทุนอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีและตามประวัติศาสตร์การลงทุนที่มีการเก็บสถิติมายาวนานนั้นบอกว่า หุ้นให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดในบรรดาการลงทุนหลักทั้งหลายในระยะยาว ดังนั้น แก้วดวงนี้จะสุกสว่างได้นั้น เราคงต้องลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ในขณะที่การฝากเงินให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ถ้าเงินส่วนใหญ่ของเราอยู่ในเงินฝาก แก้วดวงนี้ของเราก็จะหมองมัว ส่วนพันธบัตรหรือหุ้นกู้นั้นให้ผลตอบแทนกลาง ๆ ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ถ้าเราเน้นซื้อหุ้นลงทุนเป็นรายตัวที่อาจจะทำให้แก้วของเราสว่างที่สุด มันก็มีโอกาสเช่นกันที่แก้วดวงนี้จะ “แตก” และความสว่างจะหายไปกลายเป็นแก้วที่ “มืดมน” เปรียบเทียบก็คือ แทนที่จะได้ผลตอบแทนที่สูงก็อาจจะขาดทุนได้ โชคดีที่ว่าเราสามารถที่จะลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมที่จะให้ผลตอบแทนที่สุกสว่างพอสมควรได้โดยที่ความเสี่ยงที่จะเสียหายมีน้อยในระยะยาว ดังนั้น สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น การลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก แก้วดวงสุดท้ายก็คือ ระยะเวลาในการลงทุน ยิ่งเราลงทุนยาวนานเท่าไร แก้วของเราก็จะสุกสว่างมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น คนที่อายุน้อยและแน่วแน่ในการลงทุน ไม่ออกจากตลาดไม่ว่าในสถานการณ์อะไร จึงเป็นคนที่มีแก้วที่สุกสว่างอยู่ในมือ 1 ดวงเสมอ เช่นเดียวกัน คนที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีก็เป็นคนที่มีแก้วที่สว่างกว่าคนที่อายุสั้นกว่า คนที่มีแก้วที่สุกสว่างทั้ง 3 ดวง และใช้มัน โอกาสที่เขาจะรวยจากการลงทุนก็จะสูงมาก คนที่มีแก้วอยู่ในมือแต่ไม่รู้จักใช้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ส่วนคนที่แทบจะไม่มีแก้วที่สุกสว่างเลยซักดวงก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่สามารถรวยจากการลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ที่ “กินเงินเดือน” และอายุยังไม่มากนั้น หากมีการวางแผนการลงทุนที่ดี และด้วยการ “เสียสละ” การบริโภคในปัจจุบันพอประมาณแต่อยู่ในระดับที่ไม่น่าจะเดือดร้อนนัก จะสามารถที่จะลงทุนจนมีเงินเพียงพอที่จะใช้ในยามเกษียณได้อย่างสบายโดยที่ความเสี่ยงที่จะทำไม่ได้มีน้อยมาก ........ .....สุดท้ายที่ผมอยากจะเพิ่มเติมสำหรับคนที่ต้องเสียภาษีรายได้สูงนั้น การลงทุนในกองทุน LTF และ RMS ในอัตราที่สูงได้ถึง 15% ของรายได้นั้น ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ผมกล่าวถึงมาทั้งหมด แต่ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลด้วย ดังนั้น ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรทำ ติดตามฉบับเต็มได้ที่ http://www.thaivi.org/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94-%e0%b8%aa%e0%b8%b3%e0%b8%ab/
โดย
ปลูกหุ้นกินผล
อังคาร มิ.ย. 24, 2014 11:35 pm
0
2
98 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
ปลูกหุ้นกินผล
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ธ.ค. 04, 2013 9:48 am
ใช้งานล่าสุด:
พุธ พ.ย. 18, 2015 12:39 pm
โพสต์ทั้งหมด:
111 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.03 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ปลูกหุ้นกินผล
http://www.facebook.com/PookHoonKinPhol
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว