หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
so simple
Joined: พฤหัสฯ. ต.ค. 11, 2012 10:47 am
334
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - so simple
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อย่าง คุณพิชัย จาวลา
ทุกๆ อย่างมีโอกาสอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับมุมมอง ความพร้อม ดังนั้นผมจึงว่าอย่าติเรือทั้ง โกลน ถ้าคุณยังพอหา Deal ดีๆ ได้ การลงทุนในอสังหามันก็ยังมีโอกาสเสมอ พื้นที่ที เปิดใหม่จากรถไฟฟ้า เขตเศรษฐกิจที่เปิดใหม่ ทุกทีจะมี Demand ใหม่ๆ ความต้องการ ใหม่ๆ เกิดขึ้น สำคัญว่าเราจะลงทุนในต้นทุนที่ถูกพอหรือเปล่า ประเมินความเสี่ยงและโอกาสดีไหม การที่จะประเมินว่าไทยกำลังเข้าสูงสังคมผู้สูงอายุก็จริง แต่ต้องอย่าลืมด้วยว่าเราก็เข้า สู่ยุค Globalization กับ AEC มีการถ่ายเทของประชากร ต่างชาติอาจเห็นว่าเมืองไทยน่าอยู่ ด้วยเหตุต่างๆ หรือ พม่า กัมพูชา เวียดนาม เขาเจริญขึ้นรายได้มากขึ้น ก็อาจย้ายมาอยู่เมือง ไทยก็ได้ถ้ามาง่ายขึ้น การคมนาคมสะดวกขึ้น จุดดีของอสังหา คือการ Leverage และแบงก์ก็สามารถปล่อยกู้ให้ได้ง่ายด้วย โดยการมี หลักประกัน จะรวยก็รวยได้อย่างมาก แต่ถ้าพลาดก็แย่ได้เหมือนกัน ดังนั้นคนที่จะลงทุน จะต้องศึกษาอย่างดี มี second plan รวมทั้ง exit plan เตรียมไว้ด้วยไม่ใช่จะเอาแต่เก็งกำไร แต่ถ่ายเดียว
โดย
so simple
ศุกร์ ธ.ค. 18, 2015 3:20 pm
0
3
Re: Elon Musk
Musk: Expect millions of Teslas, 500-mile range http://www.cnbc.com/id/103144137
โดย
so simple
เสาร์ พ.ย. 07, 2015 8:38 am
0
0
Re: Elon Musk
ขอบคุณคุณมานะ ที่หาข้อมูลของ Musk และสรุปให้ฟังนะครับอ่านเพลินดี Elon Musk เคยตาม ประวัติบ้างเหมือนกัน คนนี้นี่น้องๆ Steve Jobs เลย. น่าจะเป็นอัจฉริยะที่สุดโต่งจริงๆ จากที่เคย อ่านประวัติน่าจะเป็นคนบ้างานจริงๆ เพราะชีวิตส่วนตัวหย่าร้างและแต่งงานใหม่ไปถึง 5 ครั้ง. :D
โดย
so simple
พุธ พ.ย. 04, 2015 11:48 pm
0
2
Re: Sharing is Megatrend/วีระพงษ์ ธัม
ว่าแต่ว่าอยากเห็น Startup ของคนไทยทำไป go inter เข้าตลาดหุ้นเมืองนอกได้จริงๆ ขึ้นอยู่กับความสามารถและศักยภาพของเด็กไทยในอนาคตแล้วล่ะ :mrgreen: ตอนนี้ก็เห็นมี Grab Taxi นะครับ มีคนไทยคนหนึ่งเป็น Partner อยู่ น่าเสียดายไม่ใช่หุ้น ใหญ่ หุ้นใหญ่น่าจะเป็นเด็กมาเลย์สองคนที่จบ Harvard ดันมาเหยียบจมูกทำธุรกิจเรียก รถ Taxi ในไทยซะได้ ล่าสุดมูลค่าระดมทุนน่าจะเกิน 1 Billion แล้วมั้ง Ffpได้รับเงินทุนอุดหนุนจาก ขาใหญ่ Softbank จากญี่ปุ่น
โดย
so simple
เสาร์ ก.ย. 12, 2015 9:28 pm
0
0
Re: Sharing is Megatrend/วีระพงษ์ ธัม
เคยฟังมาว่า เคยมีคดีข่มขืนในอิตาลี นะครับ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า สำหรับคนที่ ไปเช่าบ้านอยู่ airbnb คงพยายามแก้ไขปัญหาตรงนี้ ดังนั้นถ้าสาวๆ ไปกันเอง ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันครับ ไม่ควรไปคนเดียวเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเพื่อนผู้ชายหรือ สามีไปเยอะก็คงไม่มีปัญหา ต้องดูดีๆ เหมือนกัน
โดย
so simple
เสาร์ ก.ย. 12, 2015 9:17 pm
0
1
Re: Sharing is Megatrend/วีระพงษ์ ธัม
เคยเห็นคนใช้ airbnb ระดับไฮโซ เมืองไทย สามารถไปพักที่ปราสาทริม Lake ที่สวยงามได้ ในราคาเท่ากับโรงแรมระดับหรูหรา ใช้ครับโรงแรมคงสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้ Airbnb ไปบ้าง แต่เรื่อง security นี่ ก็ต้องดูเหมือนกันครับ โรงแรมก็ยังคงให้ความมั่นใจได้ในเรื่อง ตรงนี้ แต่ airbnb ก็พยายามปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนตรงนี้ แต่ airbnb มาแรงจริงๆ :D
โดย
so simple
เสาร์ ก.ย. 12, 2015 11:04 am
0
0
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
ผมว่ามองที่ dividend อย่างเดียวว่าอยู่ที่ 3% หรือ 5% คงไม่ถูกต้องซะที่เดียวนะครับ เพราะจะมีกำไร ทั้งหมดของบริษัท บางส่วนที่เก็บไว้ reinvestment อีก อันนี้คงสะท้อนมาที่ p/e ของบริษัท รวมทั้ง Growth ของบริษัทด้วยที่เราควรจะพิจารณา. จึงควรจะพิจารณาเป็นรายบริษัทไปครับ ตอนนี้ตลาดก็เหมือนหญิงสาวที่อารมณ์แปรปรวน. มันก็เหวี่ยงไปมา พอสงบหรือตั้งสติได้. ราคาก็จะอยู่ ตามสิ่งที่มันควรจะเป็นเอง
โดย
so simple
จันทร์ ส.ค. 31, 2015 10:00 pm
0
0
Re: Venture Capital ไหมล่ะคุณ? / คนขายของ
ของเมืองไทย ผมว่าที่เรียกว่าสำเร็จแล้วที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือกรณีของ EA นะครับ คนที่เชื่อมือคุณสมโภชน์และร่วมลงทุน EA ด้วยแรกๆ นี่ร่ำรวยกันหมดแล้ว Par แค่ 10 สตางค์ ดูตอนนี้ยัง Trade กันที่ 20 บาท เอง ไม่รู้กว่ากี่เท่า :)
โดย
so simple
เสาร์ ส.ค. 22, 2015 2:00 pm
0
2
Re: Venture Capital ไหมล่ะคุณ? / คนขายของ
ขอบคุณคุณคนขายของครับ ถ้าอยากจะรู้กับมุมมองของการลงทุนใน venture capital ตอนนี้ก็มีหนังสือแปลเป็นไทยมาให้อ่านกันนะครับ คือ 0 ถึง 1 ของปีเตอร์ ธีล ที่เป็นคน ลงทุนใน Pay Pal กับ Facebook กับหนังสืออัตชีวประวัติของ Jack Ma เจ้าของ Alibaba ครับ ทั้งสองเล่มอ่านสนุกทีเดียว หนังสือของปีเตอร์ ธีล นี่จะมีเขียนเกี่ยวกับเรื่องมุมมองของอุตสาหกรรม Solar Cell ด้วยนะครับ ลองอ่านกันดูถ้าสนใจหรือลงทุนในอุตสาหกรรม พลังงานทดแทนอยู่แล้ว Start up นั้นหอมหวานเสมอ ต้องอดทน และอึดทน ครับ ถือหุ้นกันเป็น 10 -20 ปี และพร้อมที่จะสูญเสียเงินไปได้เลย ถ้าไม่สำเร็จ แต่ถ้าสำเร็จก็อาจจะเหมือนกับมาซาโยชิ ซัน เศรษฐีอันดับสองของญี่ปุ่น เจ้าของ Soft Bank รองจากยาไน ของ Uniqlo ก็ได้ ที่ลงทุนใน Yahoo กับ Alibaba ตั้งแต่แรกเริ่ม ชนิดที่มีหุ้นมากกว่าเจ้าของคือ Jerry Yang กับ Jack Ma ซะอีก :P
โดย
so simple
เสาร์ ส.ค. 22, 2015 1:53 pm
0
2
Re: ข่าวดีเศรษฐกิจไทย?/วีระพงษ์ ธัม
พอจะเห็นอยู่ตัวนะครับ คือ bigc. หรือ cpn ปีนี้pe ก็น่าจะเหลือ 20 แล้ว ลองดูละกันครับ
โดย
so simple
อังคาร ส.ค. 04, 2015 1:55 pm
0
2
Re: หุ้นตัวไหนที่ขายจักรยานหรืออุปกรณ์จักรยานบ้างครับ
รายใหญ่ที่สุดผมว่าน่าจะเป็น probike นะครับ เป็นผู้บุกเบิกตัวจริง แต่ว่าไม่ได้เข้าตลาด ประวัติเจ้าของ ก็ไม่ธรรมดาด้วย. ผมว่ารายได้ต่อปีน่าจะพันล้านแล้วมั้ง (ถ้ามีคนหางบมาให้ดูได้ก็ดีเหมือนกันครับอยากดูเหมือนกัน). นำเข้าส่วนใหญ่อิตาลี อเมริกา ญี่ปุ่น frame แพงๆ ดีๆ นี่มาจากอิตาลี ส่วนเฟือง เกียร์. จาน ก็ชิมาโน ของญี่ปุ่น ไม่รู้ว่าอยู่ใน Nikei หรือเปล่า การขี่จักรยานจะเป็นกระแสที่ยาวนานเหมือนกัน ผู้ขี่มากขึ้น ร้านจักรยานก็เยอะขึ้น มีการจัดกิจกรรม กันเรื่อยๆ น่าจะไปได้อีกไกลเหมือนกันครับ
โดย
so simple
อังคาร เม.ย. 14, 2015 10:07 pm
0
3
Re: รณรงค์งดแจกของชำร่วยในการประชุมผู้ถือหุ้น
มองใน 2. ประเด็นนะครับ 1. ถ้าบริษัทมีผลิตภัณฑ์ของตัวเอง หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ก็ควรแจกให้ผู้ถือหุ้นนะครับ เพราะผู้ถือหุ้นจะได้รับรู้ ช่วยประชาสัมพันธ์และอุดหนุน กันได้ถ้าของไม่ได้แพงมากจนเกินไปนะครับ 2. บางบริษัทไม่ได้มีผลิตภัณฑ์ หรือรายได้เป็นพวก service อันนี้ก็อาจไม่ต้องมีก็ได้ ยกเว้นจะอยากทำบุญอุดหนุนมูลนิธิต่างๆ บ้างอันนี้ก็ไม่ควรห้าม 3. บางบริษัทที่เป็นมหาชน และผู้ถือหุ้นกระจัดกระจายมาก ก็อาจจะต้องมีของแจกของล่อดีๆ บ้างเพื่อล่อให้ผู้ถือหุ้นมาประชุมได้ครบตามเกณฑ์. มิฉะนั้นก็จะต้องเสียค่าจัดการประชุมใหม่ อันนี้เสียหายกว่าการแจกของชำรวยอีกนะครับ เข้าใจว่าผู้ถือหุ้นบางส่วนก็ทำตัวเป็นมนุษย์ป้านะครับ. แต่บางส่วนก็ควรมีข้อยกเว้นได้บ้าง
โดย
so simple
อังคาร เม.ย. 14, 2015 9:56 pm
0
5
Re: วิชาเทพ-วิชามาร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เห็นภาพชัดเจนดีครับ เพราะทุกคนอยากรวยครับ มีความโลภที่สูงด้วย สังคมไทยก็มีความเป็นทุนนิยมสุดโต่ง บ้าวัตถุกันด้วย คือดูคนที่วัตถุเป็นหลัก ไม่ได้ดูที่ความสามารถ ความดีซักเท่าไหร่ ตอนนี้นักลงทุนส่วนใหญ่เลยใช้วิชามารกัน คนที่ใช้วิชาเทพจริงๆ ตอนนี้จึงมีส่วนที่น้อยมาก :D
โดย
so simple
พฤหัสฯ. เม.ย. 09, 2015 10:20 am
0
2
Re: คิดยังไงกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างครับ
"พิเชษฐ" ค้านเก็บภาษีที่ดิน-บ้าน ชี้เป็นการผลักภาระสู่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า ย้ำ เศรษฐีไม่สะเทือนแต่กระทบคนชั้นกลาง นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล อดีตรมช.คลัง อดีตสส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงมาตรการการจัดเก็บภาษีที่ดินและบ้านพักอาศัยว่า....... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1wiupg8
โดย
so simple
อังคาร มี.ค. 10, 2015 11:36 am
0
0
Re: Company Visit MBK วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2558 เวลา 14.00
Ok ครับ ขอจอง 1 ที่ครับ
โดย
so simple
พุธ มี.ค. 04, 2015 7:27 am
0
0
Re: เปิดจองการเข้าร่วมงานเปิดโรงไฟฟ้าของ BRR 10-11 กพ 58
ลองดูครับ ไม่เคยไปเลย ถ้ามีคนว่างหรือสละสิทธิ์ก็ขอไปด้วยคนครับ :)
โดย
so simple
อังคาร ก.พ. 03, 2015 10:56 am
0
0
Re: มหาวิทยาลัยที่สร้างเศรษฐีมากที่สุด/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
เมืองนอกนี่ มันมีบรรยากาศ คนมีความคิดสร้างสรรค์ สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ครับ ดังนั้นอาจไม่ต้องคอร์รัปชั่นใต้โต๊ะกันมาก เพราะความสามารถที่มีอยู่สูง เลยมีการบริจาค ให้สังคมที่เยอะกว่า ส่วนในเมืองไทย เป็นระบบอุปภัมภ์พึ่งพา จนถึงปัจจุบัน กลุ่มทุนได้รับการสนับสนุนอุปภัมภ์จากผู้มี อำนาจ พึ่งพากันในด้านต่างๆ ดังนั้นก็ต้องมีผลประโยชน์ตอบแทน เพื่อที่จะทำให้เกิดการผูกขาดที่มาก ยิ่งขึ้น. แต่ระบบอุปภัมภ์ก็ไม่ได้มีแง่ร้ายซะทั้งหมดที่เดียว ก็ยอมรับว่าในวิถีชีวิตของพวกเราก็ต้องการ ระบบอุปภัมภ์ไม่มากก็น้อย ดูมันจะเป็นรากของคนไทยไปแล้ว แต่ก็อยากรู้ว่าภายใต้ระบบแบบนี้ ในอนาคตมันจะไปได้ยั่งยืนหรือเปล่า เพราะมันไม่เอื้อกับการแข่งขัน กับต่างประเทศ และไม่สร้างสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ซักเท่าไหร่ ก็สงสัยในอนาคต ของไทยเหมือนกันว่าจะตามประเทศอื่นไม่ทันเอา
โดย
so simple
พุธ พ.ย. 19, 2014 1:05 am
0
2
Re: The Lewis Turning Point/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าเศรษฐกิจไทย จะโตได้ช้า เนื่องจากความเสียหายในเรื่องจำนำข้าว ที่มหาศาลมาก ทำให้เราต้องตั้งงบประมาณใช้หนี้ถึง 30 ปี สูญเสียงบลงทุนไปมากที่จะนำ มาพัฒนาในด้านอื่น
โดย
so simple
พฤหัสฯ. พ.ย. 06, 2014 9:46 am
0
10
Re: บริษัทอะไรที่มีรายได้หลักจาก การรับจ้างบริหารกองทุน
ในตลาดก็มีบริษัทเดียวครับคือ MFC แต่ไม่ได้อยู่ในเครือแบงก์ น่าเสียดายเหมือนกันที่พวกธนาคารไม่ยอมปล่อยหุ้นบริษัทจัดการกองทุนของตัวเองเข้าตลาด ไม่งั้นอาจได้เห็น หุ้น growth stock ที่มีอัตราการเติบโตสูงเหมือนกัน เช่น จัดการกองทุนกสิกร หรือบัวหลวง ในเมืองนอกก็มี Fidelity ที่ปีเตอร์ ลินซ์ เคยสังกัด ก็เป็นหุ้น super stock เหมือนกัน
โดย
so simple
อังคาร พ.ย. 04, 2014 1:05 pm
0
0
Re: เหตุการณ์สำคัญ ที่จะทำให้คนเป็น VI น้อยลง (กระทู้ขำขันนะ
ต้นทุนทางสังคมน้อย และไม่รู้จะไปท้าใคร กลัวเขาไม่รับคำท้า ขอไม่ ice bucket แต่ขออาบน้ำแบบใช้. Rain drop shower. แทน. แต่ขอช่วยท่านอาจารย์ บริจาคให้ สภากาชาด ก็แล้วกันครับ หวังว่าผลบุญคงทำให้มีความสุข. สุขภาพแข็งแรง หุหุ :P
โดย
so simple
อาทิตย์ ส.ค. 24, 2014 11:55 pm
0
6
Re: จัดเก็ภาษีมรดก มีผลกระทบดีหรือไม่ดีกับประเทศไทย และนักลง
อยากจะฟังความเห็นเพิ่มขึ้นอีกครับ เพราะนโยบายนี้มีผลกระทบต่อพวกเราแน่ เพราะมันจะมีทั้ง pro และ con. นโยบายของรัฐจะต้องเป็นธรรมและสมดุล ส่วนที่เป็น con คือ คนรวย หรือเจ้าของบริษัท มีวิธีที่จะหลีกเลี่ยงภาษีได้อยู่แล้ว ด้วยวิธีการต่างๆ ที่พวกเราเองก็รู้กันอยู่. (คงไม่ขอพูดในที่นี้นะครับ เพราะคนรวย ก็มีทนาย ที่ปรึกษาทางภาษีที่เก่งกันอยู่แล้ว). และถ้าอัตราภาษีที่มากเกินไปเช่น ญี่ปุ่น ถึง 50%. จะไม่มีแรงกระตุ้นจูงใจให้เกิดการจ้างงาน สร้างงานโดยเจ้าของกิจการ ซักเท่าไหร่ เผลอๆ ทำให้ gdp. ไม่เติบโตเอา ภาษีโดยรวมเก็บได้ ไม่คุ้มเสีย ส่วนที่เป็น pro คือ ถ้าอัตราภาษีเหมาะสม ไม่มากเกินไป (ประมาณ 10% ก็น่าจะพอนะหวังว่า) และมีวัตถุประสงค์การนำไปใช้ได้ดีจริง โปร่งใสควบคุมได้ โดยเฉพาะนำไปใข้ในการศึกษาและสาธารณสุข ให้ผู้ที่ต้องเสียยอมรับได้ว่าทำให้คุณภาพชีวิตของลูกหลาน หรือคนในประเทศดีขึ้นจริง คนก็คงจะยอมเสียกัน แต่ถ้านำไปทำโครงการชักเปอร์เซนต์อะไรก็ไม่รู้ต่างๆ ก็คงจะไม่ไหว อีกประการหนึ่ง มันน่าจะทำให้เรารู้จักวิธีการวางแผนภาษี (tax planning) และชีวิตน่าจะสมดุล มากขึ้น เพราะจะทำให้ไม่โลภเกินเขตจำกัดเกินไป. ลูกหลานก็จะได้คิดเหมือนกันว่า พ่อแม่ รวยแต่ตัวเองไม่ทำอะไร ซักวันมันก็หมดได้เหมือนกัน แต่นโยบายนี้มันก็ต้องมีผลกระทบแน่. ก็ต้องช่วยกันออกเสียงส่งสัญญานให้ คสช. และสภาปฎิรูป รับรู้กันไป. ว่ามันควรจะมีหรือไม่ ถ้ามีแล้วควรจะเป็นยังไง. แต่ถ้ามันออกมาแล้วก็เรียบร้อย อยู่ในประเทศไทยก็ต้องเสียสละกันไป
โดย
so simple
อาทิตย์ ส.ค. 24, 2014 11:39 am
0
2
Re: จัดเก็ภาษีมรดก มีผลกระทบดีหรือไม่ดีกับประเทศไทย และนักลง
อีกหนึ่งความเห็นจาก www.thaihomeonline นะครับ แต่ไม่ได้ลงชื่อผู้เขียนบทความเอาไว้ แต่ค่อนข้างเห็นด้วยกับบทความนี้มาก คือถ้าจะจัดเก็บขอให้ไปลงที่การศึกษา น่าจะดีที่สุด ทุกวันนี้โรงเรียนดีๆ เก็บค่าเรียนแพงมาก บางโรงเรียนเป็นล้านบาทต่อไป โอกาสในการศึกษาเป็นเรื่องของคนมีเงินล้วนๆ เลย ภาษีมรดกจะลดช่องว่างความมั่งคั่งได้จริงหรือ ช่วงนี้มีการพูดถึงการจัดเก็บภาษีมรดกกันอย่างกว้างขวาง ความจริงเป็นเรื่องที่มีการดำริกันมานาน ย้อนไปได้หลายสิบปี แต่ไม่มีรัฐบาลไหนกล้านำมาใช้เนื่องจากกลัวเสียคะแนนนิยม ภาษีมรดกเป็นภาษีทางตรง คือ ผู้เสียภาษีรับภาระเองทั้งหมด ซึ่งต่างกับภาษีทางอ้อม อาทิเช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนำเข้า หรือภาษีทรัพย์สิน ที่ผู้เสียภาษีอาจผลัดภาระไปให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการได้ ดิฉันจะไม่ขอวิจารณ์ว่ารัฐควรจะจัดเก็บหรือไม่ เพราะมีผู้ให้ความเห็นไว้มากแล้ว แต่อยากพุ่งความสนใจไปที่วัตถุประสงค์ของการจัดเก็บมากกว่า วัตถุประสงค์แรกของการจัดเก็บภาษีทุกประเภท ก็คือ เพื่อเป็นรายได้ของรัฐบาล นำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ใช้ในการดูแลเรื่องสาธารณูปโภค สวัสดิการ การดูแลความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย การรักษากฎหมาย การให้บริการสาธารณะ ฯลฯ วัตถุประสงค์ที่สอง ของการเก็บภาษีมรดกที่คนกล่าวขวัญถึง คือ การช่วยลดช่องว่างของความมั่งคั่ง โดยเชื่อว่าเมื่อผู้มีความมั่งคั่งสูงต้องเสียภาษีจากมรดกที่จะสืบทอดให้ทายาท รัฐก็จะสามารถนำส่วนภาษีที่จัดเก็บนั้นมาทำประโยชน์อื่นให้กับส่วนรวมได้ตามที่กล่าวไปแล้ว แต่การนำเงินไปใช้นั้น ถ้าถูกกระจายไปใช้ในประโยชน์สาธารณะ ก็จะเป็นการนำไปใช้ทั่วไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ไม่สามารถทำให้ผู้มีความมั่งคั่งน้อยกว่า มีความมั่งคั่งสูงขึ้นได้ เว้นแต่รัฐจะนำไปจ่ายแจกโดยตรงให้กับผู้มีความมั่งคั่งน้อย ซึ่งไม่มีรัฐไหนทำ นอกจากโรบินฮู้ด เพราะจะจูงใจให้เกิดผู้คนที่ไม่ทำงานหาเลี้ยงชีพ จะรอรับความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียว ไม่ยอมช่วยตัวเอง ผลพลอยได้ (พลอยเสีย) การเก็บภาษีมรดกในอัตราที่สูงมาก ก็คือ ทำให้คน "ไม่สะสม" ซึ่งอาจจะตรงกับแนวคิดว่า ตายแล้วก็เอาสมบัติติดตัวไปไม่ได้ แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า ถ้าเกิดแรงไม่จูงใจแบบนี้ ผู้คนก็อาจจะไม่อยากทำงานเต็มที่ตามศักยภาพของตนเอง ผลผลิตมวลรวมก็อาจจะไม่เติบโตมากนัก การจัดเก็บภาษีเงินได้ในอนาคตก็จะลดลง การจัดเก็บภาษีมรดกจึงต้องกำหนดอัตราและวิธีการเก็บให้พอดีๆ ดิฉันไปค้นหาดูก็พบว่าประเทศที่จัดเก็บภาษีมรดก ส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป และอเมริกา และมีหลายประเทศยกเลิกการเก็บภาษีมรดกไป เพราะมองว่าได้เก็บภาษีเงินได้ส่วนบุคคลไปแล้ว ปัจจุบัน ประเทศที่ยังจัดเก็บภาษีมรดกอยู่ มีอัตราการจัดเก็บที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่เป็นขั้นบันได คือ สหรัฐอเมริกา (18-55%) เบลเยียม (3-30%) สาธารณรัฐเช็ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส (5-40%) เยอรมนี (7-30%) อิตาลี เนเธอร์แลนด์ (5-27%) สวิตเซอร์แลนด์ (บางรัฐ) สหราชอาณาจักร สเปน (7.65-34%) ญี่ปุ่น (10-70%) (ในวงเล็บคืออัตราจัดเก็บ---ข้อมูลจากหลายแหล่ง) ปริมาณที่จัดเก็บได้ถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับภาษีที่รัฐจัดเก็บทั้งหมด แต่ก็ไม่ถึงกับน้อยทีเดียว ดิฉันหาข้อมูลล่าสุดได้มาเพียงปี 1998 คือ 10 ปีที่แล้ว ตามตารางดังนี้ ประเทศ ภาษีมรดกคิดเป็นสัดส่วนของ GDP ปี 1998 /ภาษีมรดกคิดเป็นสัดส่วนของภาษีทั้งหมดที่จัดเก็บ ปี 1998 สหรัฐอเมริกา 0.36% 1.16% เบลเยียม 0.39% 0.86% ฝรั่งเศส 0.51% 1.13% เยอรมนี 0.13% 0.34% อิตาลี 0.08% 0.17% เนเธอร์แลนด์ 0.32% 0.78% สเปน 0.20% 0.57% สหราชอาณาจักร 0.21% 0.57% ที่มา : Helmuth Cremer & Pierrre Pestieau, “Wealth Transfer Taxation: A Survey”, The Levy Economics Institute, 2003 ส่วนประเทศที่ยกเลิกการจัดเก็บไป คือ ออสเตรีย (2008) ออสเตรเลีย (1979) ตุรกี อียิปต์ (1996) อิสราเอล (1981) สวีเดน (2005) สิงคโปร์ (2008) และตุรกี วางแผนที่จะยกเลิกในปี 2009 นี้ (ในวงเล็บคือปีที่ยกเลิก-ข้อมูลจาก wikipedia) บางประเทศแทนที่ภาษีมรดกด้วยการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มขึ้นเวลาเจ้าของมรดกเสียชีวิต บางประเทศถือว่าได้เก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปแล้วตอนเขามีเงินได้ครั้งแรก เพราะฉะนั้นเงินได้ที่เขาหามาจากเงินที่เสียภาษีแล้วก็ไม่ต้องนำมาเสียภาษีอีก แต่ใช้วิธีจูงใจให้บริจาคเพื่อโครงการต่างๆ ให้มากขึ้นจะดีกว่า เขียนมาอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าดิฉันไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีมรดกนะคะ แต่ หากมีการเก็บ ดิฉันอยากให้มีการนำไปใช้ที่จะช่วยลดช่องว่างความมั่งคั่งได้จริงๆ คือ นำไปใช้เพื่อ "การศึกษา" การศึกษาเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยยกระดับฐานะของคน และช่วยลดช่องว่างของความมั่งคั่งได้แบบยั่งยืน เพราะเป็นการสอนให้เขารู้จักทำมาหากิน ประกอบอาชีพ เป็นการเปิดโอกาสในการหารายได้ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่งคั่งในอนาคต ถ้าเราใช้เงินที่เก็บได้จากภาษีมรดกไปเพื่อการศึกษาแต่ประการเดียว ดิฉันเชื่อว่าผู้ที่จะถูกเก็บภาษี (ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เจ้าของมรดก แต่เป็นผู้รับมรดก) ก็จะรู้สึกว่า เจ้าของหรือผู้ให้มรดก ต้องการแบ่งปันมรดกให้กับคนอื่นๆ ที่ด้อยโอกาสกว่าด้วย เพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับการศึกษามากขึ้น เพื่อโอกาสที่ดีในชีวิตในวันข้างหน้า "โอกาส" เป็นเรื่องที่สำคัญค่ะ คนเราต่อให้เก่งเพียงใด หากไม่ได้รับ "โอกาส" ให้แสดงฝีมือแล้ว เราจะไม่ทราบเลยว่าเขาเก่ง โอกาสในการศึกษาที่ดีต้องกระจายไปทั่วประเทศ ต้องประกอบด้วย โรงเรียนที่ดี ได้มาตรฐาน ห้องเรียนคงทนถาวร ป้องกันแดดและฝนได้ ครูอาจารย์มีคุณภาพและมีรายได้และสวัสดิการที่ดี ทำให้มีกำลังใจถ่ายทอดวิชา อาชีพครูและอาจารย์ต้องเป็นอาชีพที่ทำรายได้สูง เพื่อจูงใจและรักษาคนเก่งให้มาเป็นแม่พิมพ์และพ่อพิมพ์ของชาติ หลักสูตรมีคุณภาพ อุปกรณ์การเรียนการสอนครบครัน เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย มีซอฟต์แวร์ที่จะใช้ครบถ้วน ใช้งานได้ จัดซื้อเมื่อพร้อมและต้องการ ไม่ใช่มีผู้จัดซื้อให้แบบเหมารวมแล้วนำมากองไว้จนหมดอายุ หรือล้าสมัยเป็นกองขยะ ดิฉันเชื่อว่าทุกวันนี้ผู้มีความมั่งคั่งส่วนหนึ่ง ก็หักรายได้ของตนจ่ายภาษีให้สังคมแบบสมัครใจด้วยการบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศล และเพื่อการศึกษาอยู่แล้ว ซึ่งจะมีข้อดีที่ว่าได้ทยอยช่วยเหลือไปทุกปี ไม่เหมือนภาษีมรดกที่จะต้องรอจัดเก็บเมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิตแล้ว เพราะคนสมัยนี้อายุยืน และรัฐบาลของหลายๆ ประเทศ ต้องการได้เงินภาษีมาใช้จ่ายในช่วงนี้ คิดว่านั่นคือสาเหตุที่หลายประเทศยกเลิกภาษีมรดกไปค่ะ
โดย
so simple
เสาร์ ส.ค. 23, 2014 10:17 am
0
8
Re: จัดเก็ภาษีมรดก มีผลกระทบดีหรือไม่ดีกับประเทศไทย และนักลง
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการให้ศึกษาการจัดเก็บภาษีมรดก ภาษีที่ดิน และรายได้ของรัฐจากสัมปทานต่าง ๆ เพื่อดูแลการจัดเก็บรายได้รัฐให้มีมาตรฐาน และเกิดความเป็นธรรม ในส่วนของภาษีมรดก จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นต้น ซึ่งได้มีการพิจารณาและเสนอหลักการ "ร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดกและภาษีการรับให้"แล้วเสร็จตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ดึงมีชัย-วิษณุกุนซือยกร่าง ล่าสุด คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช.ร่วมเป็นกรรมการ อยู่ระหว่างพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว และเป็นที่น่าสังเกตว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษชุดนี้ มีประชุมหารือเกี่ยวกับกฎหมายภาษีมรดกและภาษีการรับให้ต่อเนื่องและเร่งด่วน โดยทุกฝ่ายพยายามปิดเงียบ เนื่องจากเป็นประเด็นค่อนข้างอ่อนไหว และอาจมีกระแสต่อต้าน จึงมีแนวโน้มสูงที่กฎหมายฉบับนี้จะถูกผลักดันประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายฉบับแรก ๆ ในยุค คสช. ทั้งนี้ เดิมมีการยกร่างเป็นประกาศ คสช.เพื่อบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว แต่ทาง คสช.พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับประชาชน จึงเห็นควรให้เสนอเป็นร่าง พ.ร.บ. และให้มีการพิจารณากันในขั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วย แหล่งข่าวกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงจากเดิมที่เคยมีการศึกษากันไว้ โดยเปลี่ยนแนวทางจากเดิมจะเสนอให้เก็บภาษีจาก "กองมรดก" ควบคู่กับภาษี "การให้" แต่ร่างฉบับใหม่จะเสนอให้เก็บภาษีจาก "ผู้รับ" เป็นหลัก โดยเก็บภาษี "การรับมรดก" ที่เป็นการรับทรัพย์สินต่อจากผู้ตายกรณีที่ไม่มีการโอนให้ก่อนตาย และเก็บภาษี "การรับให้" ที่ผู้ตายมีการโอนทรัพย์สินให้ "ผู้รับ" ในช่วง 2 ปีก่อนตาย มรดกไม่เกิน 50 ล้านยกเว้นภาษี "การรับมรดกและการรับให้ จะดูทั้งเงินฝากในธนาคาร หลักทรัพย์ และที่ดิน แต่อาจจะมีข้อยกเว้นให้สำหรับการรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท" แหล่งข่าวกล่าวว่า ในส่วนของอัตราภาษีแม้ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ ทรัพย์มรดกสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 50 ล้านบาทแรก กำหนดจัดเก็บภาษีที่ร้อยละ 0 ทรัพย์มรดกสุทธิส่วนที่เกิน50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท จัดเก็บร้อยละ 10 และทรัพย์มรดกสุทธิตั้งแต่ 200 ล้านบาทขึ้นไป จัดเก็บร้อยละ 20 ขณะที่ภาษีการรับให้ กำหนดอัตราภาษีดังนี้ ทรัพย์สินสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทแรก จัดเก็บร้อยละ 0 ทรัพย์สินสุทธิส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 40 ล้านบาท ร้อยละ 10 และตั้งแต่ 40 ล้านบาทขึ้นไป จัดเก็บร้อยละ 20 ทั้งนี้ ในทางวิชาการมองว่า การเก็บภาษีการรับมรดก จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกที่ดีในการจัดเก็บภาษีมากกว่าการเก็บภาษีจากกองมรดก เพราะไม่รู้สึกว่าถูกเรียกเก็บภาษีซ้ำซ้อน เนื่องจากในการรับมรดกจะเสียภาษีก็ต่อเมื่อได้รับมรดกถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดว่าต้องเสียภาษีเท่านั้น ที่ดิน-เงินฝาก-หุ้นโดนหมด สำหรับมรดกและทรัพย์สินที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษีเป็นทรัพย์สินที่ได้รับโดยทางมรดกหรือการให้โดยเสน่หาได้แก่ ทรัพย์สินประเภทที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง เงินฝากพันธบัตร ใบหุ้น หลักทรัพย์อื่น ๆ โดยจะมีการประเมินราคาทุนทรัพย์ หรือใช้ราคาตลาดเฉลี่ยย้อนหลัง เป็นเกณฑ์ในการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินเพื่อการจัดเก็บภาษี ยกเว้นทรัพย์สินที่จะกำหนดยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีไว้ในพระราชกฤษฎีกา ขณะที่ผู้รับมรดกและผู้รับทรัพย์สินที่ไม่ต้องเสียภาษีอาทิสามีหรือภรรยา ส่วนราชการ วัด วัดบาทหลวง มัสยิด องค์การหรือสถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลของรัฐสถานศึกษาของรัฐ เป็นต้น ส่งไม้ต่อให้ สนช.ตัดสินใจ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายประสงค์พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากรระบุว่า ภาษีมรดกต้องรอความชัดเจนในขั้นการพิจารณาของ สนช. ซึ่งเป็นเรื่องที่เสนอมาจากแนวคิดจากหลาย ๆ ส่วน รวมทั้งนักวิชาการ โดยบางส่วนมองว่าผู้มีทรัพย์สินจำนวนมากบางราย ไม่เคยต้องเสียภาษีเลยดังนั้นเมื่อมีการให้ลูกหลาน ก็ควรมีภาระภาษีบ้าง หลักการของภาษีมรดกจะมองที่ความเป็นธรรมและการกระจายรายได้เป็นหลัก เพราะในแง่เม็ดเงินภาษีคงเก็บได้ไม่มาก "จะเก็บอย่างไร ต้องดูที่ สนช.อีกทีว่าจะยึดหลักการตัวไหน โดยทฤษฎี หลายประเทศเก็บจากกองมรดก บางประเทศเก็บจากผู้รับมรดก และหลายประเทศก็เก็บจากผู้ให้ด้วย ซึ่งมีเหตุมีผล มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ต้องมาชั่งใจว่าอะไรเหมาะกับประเทศไทย" ส่วนประเด็นข้อกังวลเรื่องการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินระหว่างประเทศที่อาจทำให้เก็บภาษีมรดกได้ยากอธิบดีกรมสรรพากรยอมรับว่าทรัพย์สินในโลกปัจจุบันมีการเคลื่อนย้ายมากขึ้นแต่ทุกประเทศก็จะเก็บภาษีลักษณะนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ต้องเจอ "ในโลกเรา วิ่งไปที่ไหนก็เจอ หรือพวก Tax Haven เดี๋ยวนี้ก็เริ่มถูกเปิดหมดแล้ว อัตราภาษีของเรา เมื่อเทียบกับในเอเชียเราถูกกว่า สมมติถ้าคุณมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง แต่ไม่เก็บไว้ในประเทศไทยแต่วันหนึ่งคุณอยากนำเงินมาซื้อบ้าน ซื้อรถ คุณจะลำบากไหมในการนำเงินกลับมา คุณจะตอบสังคมอย่างไร หรืออีกอย่าง ไม่มีใครเป็นอมตะ ไม่ตายหรอก ซึ่งถ้าคุณตายแล้ว ลูกคุณจะทำอย่างไร ก็ต้องมีการจัดการ สุดท้ายมันก็ไม่หนีไปไหน ต้องกลับมาอยู่ดี" อธิบดีกรมสรรพากรระบุ อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีมรดกจะไม่กระทบคนจน ผู้มีรายได้น้อยที่อาจได้รับมรดกเป็นที่ดินไม่กี่ไร่ จะได้รับการยกเว้น โดยกฎหมายจะกำหนดมูลค่าว่าทรัพย์สินเกินเท่าไหร่จึงจะต้องเสียภาษี ซึ่งจะกำหนดให้มีมูลค่าสูงระดับหนึ่ง ยอมรับว่าหากเก็บภาษีจาก "กองมรดก" จะได้เม็ดเงินมากกว่า แต่จะไม่เป็นธรรมกับผู้ได้รับมรดก ขณะที่การเก็บจาก "ผู้รับมรดก" จะเป็นธรรมมากกว่า เพียงแต่ยุ่งยากในการจัดเก็บและได้เงินเข้ารัฐน้อยกว่า ยุค คมช.ยึดอำนาจก็เคยถูกเสนอ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาษีมรดกเคยมีการผลักดันมาหลายครั้ง อย่างสมัยที่มีการยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ก็มีข้อเรียกร้องจากนักวิชาการเช่นกัน และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก็เคยศึกษาไว้ แต่สุดท้ายรัฐบาลช่วงนั้นก็ไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณา การศึกษา สศค.ขณะนั้น พบว่าระบบภาษีมรดกที่สมบูรณ์ต้องมีภาษี 3 ประเภท ได้แก่ ภาษีกองมรดก (Estate Tax) ภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) และภาษีการให้ (Gift Tax) อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากประเทศต่าง ๆ ที่มีการจัดเก็บภาษีมรดก พบว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่มีการนำภาษีทั้ง 3 ประเภทมาใช้พร้อมกัน อย่างมากจะเก็บควบคู่กัน 2 ประเภท เช่น สหรัฐอเมริกา จัดเก็บภาษีกองมรดกในระดับรัฐบาลกลาง (Federal Government) และภาษีการรับมรดกในระดับมลรัฐ (State Government) นอกจากนี้ ประสบการณ์ของประเทศที่มีระบบภาษีมรดก ยังพบว่ารัฐบาลไม่สามารถเก็บรายได้จากภาษีนี้ได้มากเพียงพอจนเป็นรายได้หลักที่รัฐบาลจะนำรายได้ไปพัฒนาประเทศได้เนื่องจากปัญหาด้านการบริหารจัดเก็บภาษีและจิตสำนึกของการเสียภาษีของคนรวยที่จะมีวิธีเลี่ยงการเสียภาษีประเภทนี้ได้
โดย
so simple
เสาร์ ส.ค. 23, 2014 9:57 am
0
0
Re: จัดเก็ภาษีมรดก มีผลกระทบดีหรือไม่ดีกับประเทศไทย และนักลง
ภาษีมรดกใกล้คลอด กรมสรรพากรเตรียมเสนอร่างให้ คสช. อนุมัติ ยังไม่เคาะอัตราภาษี แต่คาดเรียกเก็บตั้งแต่ 10% เฉพาะมรดกเกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป เร่งผลักดันใช้ให้ทันปี 2558 สืบเนื่องจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุมัติหลักการ "ร่างพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดกและภาษีการรับให้" และให้กรมสรรพากรไปศึกษาเพิ่มเติมถึงการจัดเก็บภาษีมรดกนั้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2557 นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวถึงความคืบหน้าเรื่องนี้ว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายภาษีมรดกอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกฤษฎีกา หากพิจารณาแล้วเสร็จจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ คสช. ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้ในเร็ว ๆ นี้ สำหรับอัตราการจัดเก็บนั้น อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าจะจัดเก็บจำนวนเท่าใด โดยมีข้อเสนอให้จัดเก็บจากผู้รับในอัตราระหว่าง 5% ของมูลค่าสินทรัพย์ แต่ไม่เกิน 30% แต่ก็มีข้อเสนอล่าสุดที่อยู่ระหว่างการพิจารณา คือเก็บภาษีจากกองมรดกในอัตราเดียว 10% และให้ยกเว้นภาษีกับผู้ที่มีมรดกไม่ถึง 50 ล้านบาท เพื่อไม่ให้กระทบคนจน ตามที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ย้ำมา นายประสงค์ ยังกล่าวต่อว่า ประเภทของสินทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องเสียมรดก คือ ทรัพย์สินที่ลงทะเบียนไว้เป็นหลักฐาน เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ พันธบัตร หุ้น ฯลฯ ส่วนทรัพย์สินที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน เช่น ของสะสมต่าง ๆ ในชั้นนี้จะยังไม่จัดเก็บภาษี ขณะที่จุดประสงค์ของการจัดเก็บภาษีมรดกนั้น เพื่อต้องการสร้างความเป็นธรรมในระบบ เพราะผู้รับมรดกได้รับมรดกมาโดยไม่ต้องทำงาน แต่ผู้เสียภาษีทั่วไปต้องเสียภาษีจากรายได้จากการทำงาน จึงควรสร้างมาตรฐานที่เป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีรายอื่น ในส่วนที่ว่าภาษีมรดกจะมีผลบังคับใช้เมื่อใดนั้น อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า คาดว่ากฎหมายจะสามารถบังคับใช้ได้ในช่วงปี 2558 เพราะต้องเร่งดำเนินการก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะหมดวาระ เนื่องจากที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันกฎหมายฉบับนี้มากว่า 20 ปีแล้ว แต่ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง หากไม่เร่งดำเนินการในช่วงรัฐบาล คสช. ก็คงยากที่จะผลักดันในสำเร็จ ขณะที่เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวกระทรวงการคลัง ว่า สำหรับอัตราการจัดเก็บภาษีการรับมรดกนั้นขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ผลการศึกษาก่อนหน้านี้คือ ทรัพย์มรดกสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 50 ล้านบาทแรก จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 0 ทรัพย์มรดกสุทธิส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 10 ทรัพย์มรดกสุทธิส่วนที่เกิน 200 ล้านบาทขึ้นไป จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 20 ในส่วนของอัตราภาษีการรับให้ ที่กำหนดไว้เพื่อพิจารณาคือ ทรัพย์สินสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทแรก จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 0 ทรัพย์สินสุทธิส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 40 ล้านบาท จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 10 ทรัพย์สินสุทธิส่วนที่เกิน 40 ล้านบาทขึ้นไป จัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 20
โดย
so simple
เสาร์ ส.ค. 23, 2014 9:55 am
0
0
Re: ถ้าดอกเบี้ยขึ้นหุ้นจะลงใช่ไหมครับ
เมื่อสมัยก่อนสังเกตุได้ว่าดอกเบี้ยแพง แต่ที่ดินกลับถูกนะครับ มาสมัยนี้ที่ดินโครตแพง แต่ดอกเบี้ย ก็โครตจะถูก. โดยเฉพาะทำเลดี ที่เป็นไข่แดง ว่ากันเป็นไร่ละหลายสิบล้านบาท ทำให้ลูกหลานที่บรรพบุรุษ ที่มีวิสัยทัศน์เสียสละอดออมและลงทุนซื้อที่ดิน แต่ตัวเองไม่ได้ใช่ มาถึงลูกหลานที่ทำบุญมาดี ก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีกันไป. โดยเฉลี่ยแล้วมีเศรษฐีที่เกิดจากที่ดินเพิ่มขึ้นมากและง่ายกว่า เศรษฐีหุ้น ผมว่าเป็นสัดส่วนที่มีกว่ากันมากครับ. เพราะบางกิจการก็เจ๊งกันไปเยอะ จากวิกฤตเศรษฐกิจ ยกเว้นบางกิจการที่ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งและอยู่ยงคงกะพันจริงๆ. เช่น scc เป็นต้น ออกนอกเรื่องไป. ความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มขึ้นหรือลง จะไม่เกี่ยวกันว่าหุ้นหรือจะลงเท่าไหร่ ถ้าไม่เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ที่ทำให้ดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นลงอย่ารวดเร็วมากจนธุรกิจ ต่างๆ ในประเทศตั้งรับไม่ทัน. ทำให้เกิดภาวะช๊อคและขาดทุนอย่างมาก. ถ้าดอกเบี้ยมีแนวโน้มขึ้นหรือลง แบบช้าๆ ซึ่งธนาคารกลางของโลกและต่างประเทศ พยายามควบคุมอยู่แล้ว นักธุรกิจจะคาดการณ์แนวโน้ม และบริหารความเสี่ยงและต้นทุนต่างๆ จนไม่กระทบกับผลกำไรมากนัก แต่ก็ยกเว้นว่าดอกเบี้ยสูงจนเกินไปนะครับ ในระดับที่นักธุรกิจคำนวณแล้วว่าทำธุรกิจไปก็ไม่คุ้มความเสี่ยง อยู่เฉยๆ ดีกว่า ก็จะไม่ขยายงานครับ อยู่เฉยๆ ดีกว่าซึ่งทำให้กิจการและผลกำไรอาจจะอิ่มตัวได้ และหุ้น อาจพร้อมที่จะลงได้
โดย
so simple
พฤหัสฯ. ส.ค. 07, 2014 10:15 pm
0
1
Re: ผู้บริหารของบริษัทที่ชื่นชอบ
อืมม์ ถ้าทั้งมีความสามารถและธรรมาภิบาล ด้วยนี่ยากเหมือนกันนะครับ คิดว่าเป็น. คุณฤทธิ์ ธีระโกเมน. แห่ง mk และคุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ แห่ง ps
โดย
so simple
อาทิตย์ มิ.ย. 22, 2014 8:23 pm
0
0
Re: เฮ้อ มัวแต่ต่อราคา
อ่านมาหลายครั้งเลยครับ ข้อเขียนของปรมาจารย์ Philip fisher. ยังไม่กระจางนักครับในข้อ ที่ 2 คือให้หลีกเลี่ยงหุ้นที่สถาบันที่เป็นที่นิยมคือหุ้น fifty nifty. ที่เริ่มมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามความเห็น ของผมหุ้นค้าปลีก โรงพยาบาล ต่างๆ ณ เวลาตอนนี้ก็เป็นหุ้น nifty fifty. ไปแล้วคือเป็นที่นิยมของสถาบัน และกองทุนต่างๆ ที่ต้องมีกันทุกกองทุน. แต่ความจริงก็คือมันก็ยังมีการเติบโตอยู่ ทำให้ราคาสามารถแพงแล้ว แพงอีกดูเหมือนจะเป็น infinity. ทำให้มันไม่สามารถมองว่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงดีหรือไม่ควรหลีกเลี่ยง คือยากจะจะตัดสินใจบ้างครั้งการตามฝูงชนก็อาจจะถูกก็ได้ครับ ไม่น่าจะผิดหมดหรือเปล่า ผมเข้าใจเองว่าแม้กิจการจะเทพแค่ไหน แต่คงไม่พ้นวัฎจักรเกิดแก่เจ็บตาย เพียงแต่หุ้นที่เป็น super stock อาจที่จะมีวัฎจักรการดำรงอยู่ที่ยาวนานกว่ากิจการอื่นๆ เท่านั้นเอง ท่านใดที่สามารถอธิบายเกี่ยวกับข้อ 2 ของอ.ฟิชเชอร์ ช่วยไขความกระจ่างด้วยจะเป็นพระคุณครับ
โดย
so simple
อาทิตย์ มิ.ย. 22, 2014 8:07 pm
0
2
Re: พรุ่งนี้งานสัปดาห์หนังสือ ขอความเห็นหนังสือในดวงใจท่าน 5
ช่วย promote เล่มใหม่ของ สำนักพิมพ์ nine อีกเล่มครับ คือ Think like Zuck (เกอร์เบิร์ก) ยังไม่ได้อ่านนะครับ แต่ไปซื้อแน่ๆ คำนิยมจากกาแฟดำ คุณสุทธิชัยหยุ่นครับ อยากให้เด็กไทย อ่านกันเยอะๆ เผื่อจะได้สร้างแรงบันดาลใจกันได้. :D ถ้าอัลเบิร์ท ไอน์ไสตน์ เป็นปู่อัจฉริยะ สตีฟ จ๊อปส์ ก็ต้องเป็นพ่ออัจฉริยะ เพราะมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก เป็นอัจฉริยะของคนรุ่นนี้. อย่างปฏิเสธไม่ได้ สองเล่มแรก ผมมีส่วนเกี่ยวกับการเป็นบรรณาธิการ และตรวจตัวหนังสือก่อนตีพิมพ์ และไม่ว่าจะย้อนอ่านกี่รอบก็ยังมีความทึ่งในรายละเอียดของชีวิต และวิธีคิดที่ Walter Issacson ไปเจาะค้นคว้าวิจัยมาอย่างพิสดาร Think Like Zuck เป็นเล่มล่าสุดในซีรีส์ชุด “นักคิด นักนวัตกรรมอัจฉริยะ” ของ NationBooks ที่ผมเห็นว่าสอดคล้องกับการนำเสนอเนื้อหาหนังสือที่มีความสำคัญต่อการเผยแพร่ชีวิต และวิธีสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนโลกให้คนไทยได้อ่านกัน หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Ekaterina Walter และแปลโดย ดร. พิมพ์ใจ สุรินทรเสรี ซึ่งจับเนื้อหาใจความได้อย่างน่าสนใจยิ่ง เพราะเคล็ดลับความสำเร็จของผู้ก่อตั้ง Facebook (ที่คนไทยเข้าไปมีส่วนร่วมสูงที่สุดประเทศหนึ่งของโลก) ที่สรุปได้ใจความอย่างชัดเจนยิ่งคือ “5P” หมายถึง Passion หรือความหลงใหลทุ่มเทสุดหัวใจ รักษาพลังงานและความมุ่งมั่นในการทำงานให้อย่างเต็มพิกัดเพราะเราเชื่อสิ่งนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ Purpose คือวัตถุประสงค์ นั่นหมายความว่าอย่าแค่สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น หากแต่จะต้องทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและมีความหมายสำหรับผู้บริโภคและสังคมโดยทั่วไปอีกด้วย People คือคน อันหมายถึงการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง ขับเคลื่อนให้วิสัยทัศน์กลายเป็นความจริงให้ได้ Product แน่นอนว่าตัวผลิตภัณฑ์จะต้องโดดเด่นแหวกจากกฎเกณฑ์ทุกข้อ และเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้อย่างน่าอัศจรรย์ และ Partnership อันหมายถึงการสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่ทรงพลังกับผู้คนที่ช่วยส่งเสริมจินตนาการ กระตุ้นให้เกิดการทำงานอย่างมีพลังยิ่ง หนังสือเล่มนี้เล่าเบื้องหลังวิธีคิด และการนำเอาจินตนาการที่คนอื่นคิดว่าฝันเฟื่อง และเป็นไปไม่ได้ มาทำให้เกิดเป็นความจริงที่โลกต้องตะลึง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั้งโลก ผมไปนั่งคุยกับผู้คนมากมายที่ไปงานสัปดาห์หนังสือเมื่อวันก่อน สนทนากับผู้แวะมาที่บูธเนชั่น อย่างสนุกสนานโดยเฉพาะเรื่อง “อัจฉริยะ 3 generations” ที่เป็นหนังสือแปลของเครือเนชั่นซึ่งสะท้อนความละม้ายกันใน 5Ps ของทั้งสามคนโดยไม่ต้องนัดหมายกัน เพราะ "คนเหนือคน" อย่างไอน์ไสตน์, สตีฟ จ็อปส์ และซักเกอร์เบิร์ก นั้น แม้จะไม่ได้พบปะกันเป็นการส่วนตัว แต่เราก็จัดให้มาเจอกันอย่างคึกคักในงานที่สัปดาห์หนังสือที่กรุงเทพฯได้เช่นกัน
โดย
so simple
อังคาร ต.ค. 22, 2013 7:30 pm
0
1
Re: พรุ่งนี้งานสัปดาห์หนังสือ ขอความเห็นหนังสือในดวงใจท่าน 5
ถ้าเป็นหนังสือทางการเงินและธุรกิจในดวงใจมีดังนี้ครับ (อ่านทุกครั้งก็โดนทุกครั้ง) 1. Richman. In babilon. หนังสืออมตะตลอดกาลเลยครับ มีขายที่ se-ed 2. Rich dad poor dad. พ่อรวยสอน/. ลูกเงินสี่ด้าน 3. Art of deal. โดนัลด์ ทรัมป์ (สุดยอดมากๆ) ผมมีเล่มเก่าเลย ไม่รู้ว่ามีคนเอามาขายทิ้งได้ไง. ถ้าของไทยน่าจะเป็น เถ้าแก่มือโปร ของ William. E Hinake. ครับ 4. Positive. thinking. นอร์แมน วินเซนต์ ฟีล. โดยสำนักพิมพ์ต้นไม้ 5. Steve job. วอลเตอร์ไอแซคสัน. สำนักพิมพ์ nine นั่นเอง
โดย
so simple
ศุกร์ ต.ค. 18, 2013 9:14 pm
0
1
Re: กลุ่ม it เมื่อไรจะฟื้นเหรอครับ ผมว่าsmartphone tablet ฆ่
ผมไม่ได้คิดในแง่นั้นหรอกคุณมิ. ถ้าใครเห็นว่าเป็นเหยื่อ หรือสินค้าในตลาด หรือไม่อยากแสดงตัวตนของตนเอง ก็ไม่ต้องใช้มันก็เท่านั้น. แต่ผมมองในเรื่องการทำธุรกิจ ความสะดวกสบาย ที่เราจะได้รับจากการใช้มันก็เท่านั้น และสำหรับคนที่เห็นโอกาสในแนวโน้มนี้ เขาก็ สามารถสร้างธุรกิจที่ให้บริการคนเป็น. 100 ล้าน พันล้านคนได้อย่างรวดเร็ว. ซึ่งผม ก็อยากให้คนไทยทำอย่างนั้นได้บ้าง. เหมือนคนไต้หวัน. เกาหลี. ญี่ปุ่น จีน ที่เขาทำได้ มาก่อนแล้ว
โดย
so simple
อังคาร ต.ค. 01, 2013 11:40 pm
0
3
Re: กลุ่ม it เมื่อไรจะฟื้นเหรอครับ ผมว่าsmartphone tablet ฆ่
ในมุมของผมนะครับ ตลาด PC ยังคงอยู่แน่นอนครับ แต่จะไม่เติบโตและเคระแกร่นไป เพราะส่วนใหญ่จะเป็นตลาดสำหรับธุรกิจ ส่วนตลาดคนใช้ที่บ้าน มีเครื่องเก่าก็ใช้เครื่องเก่าไปครับ จากเดิมที่เปลี่ยนบ่อยก็จะเปลี่ยนช้าลงอย่างมากถึงมากครับ โดยเอาเงินมาซื้อ Smartphone หรือ Tablet รุ่นใหม่ๆ แทนการใช้งานบางอย่างก็น้อยลงเยอะครับ เช่น การเช็ค email หาข้อมูล คนก็จะไปทำ Tablet แทน ตลาด Note Book อนาคตจะถูกแทนที่ด้วย Tablet PC ที่เป็นเครื่อง All in one ขณะนี้ ยังมีราคาแพงอยู่มากใน Spec ที่มีราคาสูง แต่ในอนาคตถ้าราคาถูกลงเรื่อยๆ Software App มีเยอะขึ้น เชื่อมต่อ 3G ได้ทุกเวลา คนจะมาใช้มากขึ้นซึ่งจะทำให้ Note Book ตายไปได้ (อันนี้เป็นวิสัยทัศน์ของ Bill Gate คือมีอันเดียวใช้ได้ทุกอย่างทั้งบัินเทิง ธุรกิจ) แต่ Bill มัวแต่ไปทำการกุศล เลยให้ Ballmer เป็นคนทำ ซึ่งยังไปได้ไม่ไกล มี Surface ก็ยังทำได้ไม่ดี อันที่จริง Tablet นี่ Microsoft คิดมาก่อน Apple ซะอีก แต่ขาดคนผลักดันที่มีวิสัยทัศน์ระดับ Jobsที่มองตลาดบันเทิงและ Lifestyle เป็นหลักมากกว่าตลาดธุรกิจ Jobs ทำการเปิดตลาดคอมไปสู่กลุ่มใหม่ๆ เช่น ตลาดเด็กๆ ก็ใช้ได้ ผู้ใหญ่คนชรา ก็ใช้ง่ายใช้ดี ทำให้ตลาดผู้ใช้ขยายไปได้อย่างมาก ในอนาคต คนจะมี Smart Phone 1 เครื่อง กับ Tablet PC อีกหนึ่งตัวที่มีคุณภาพสูง เชื่อมต่อ Internet 3G ได้ ก็จะสามารถติดต่อสื่อสาร และทำงานไปทั่วโลกได้เลย และ อาจจะมีอุปกรณ์ลักษณะคล้ายกับ Apple TV อีกตัว สำหรับการเสียบสายออกจอใหญ่ หรืออาจจะมีจอ Screen ที่พับได้ในอนาคต ชนิดเสียบ Tablet ภาพก็ขึ้นตาม Screen และสามารถพกพาไปได้ สำหรับผู้ใหญ่ที่สายตาเริ่มยาวอย่างผม ซึ่งเริ่มที่จะเล่นจอเล็กๆ ไม่ไหวแล้ว :)
โดย
so simple
อังคาร ต.ค. 01, 2013 2:16 pm
0
4
Re: กลุ่ม it เมื่อไรจะฟื้นเหรอครับ ผมว่าsmartphone tablet ฆ่
ในมุมของผมนะครับ ตลาด PC ยังคงอยู่แน่นอนครับ แต่จะไม่เติบโตและเคระแกร่นไป เพราะส่วนใหญ่จะเป็นตลาดสำหรับธุรกิจ ส่วนตลาดคนใช้ที่บ้าน มีเครื่องเก่าก็ใช้เครื่องเก่าไปครับ จากเดิมที่เปลี่ยนบ่อยก็จะเปลี่ยนช้าลงอย่างมากถึงมากครับ โดยเอาเงินมาซื้อ Smartphone หรือ Tablet รุ่นใหม่ๆ แทนการใช้งานบางอย่างก็น้อยลงเยอะครับ เช่น การเช็ค email หาข้อมูล คนก็จะไปทำ Tablet แทน ตลาด Note Book อนาคตจะถูกแทนที่ด้วย Tablet PC ที่เป็นเครื่อง All in one ขณะนี้ ยังมีราคาแพงอยู่มากใน Spec ที่มีราคาสูง แต่ในอนาคตถ้าราคาถูกลงเรื่อยๆ Software App มีเยอะขึ้น เชื่อมต่อ 3G ได้ทุกเวลา คนจะมาใช้มากขึ้นซึ่งจะทำให้ Note Book ตายไปได้ (อันนี้เป็นวิสัยทัศน์ของ Bill Gate คือมีอันเดียวใช้ได้ทุกอย่างทั้งบัินเทิง ธุรกิจ) แต่ Bill มัวแต่ไปทำการกุศล เลยให้ Ballmer เป็นคนทำ ซึ่งยังไปได้ไม่ไกล มี Surface ก็ยังทำได้ไม่ดี อันที่จริง Tablet นี่ Microsoft คิดมาก่อน Apple ซะอีก แต่ขาดคนผลักดันที่มีวิสัยทัศน์ระดับ Jobsที่มองตลาดบันเทิงและ Lifestyle เป็นหลักมากกว่าตลาดธุรกิจ Jobs ทำการเปิดตลาดคอมไปสู่กลุ่มใหม่ๆ เช่น ตลาดเด็กๆ ก็ใช้ได้ ผู้ใหญ่คนชรา ก็ใช้ง่ายใช้ดี ทำให้ตลาดผู้ใช้ขยายไปได้อย่างมาก ในอนาคต คนจะมี Smart Phone 1 เครื่อง กับ Tablet PC อีกหนึ่งตัวที่มีคุณภาพสูง เชื่อมต่อ Internet 3G ได้ ก็จะสามารถติดต่อสื่อสาร และทำงานไปทั่วโลกได้เลย และ อาจจะมีอุปกรณ์ลักษณะคล้ายกับ Apple TV อีกตัว สำหรับการเสียบสายออกจอใหญ่ หรืออาจจะมีจอ Screen ที่พับได้ในอนาคต ชนิดเสียบ Tablet ภาพก็ขึ้นตาม Screen และสามารถพกพาไปได้ สำหรับผู้ใหญ่ที่สายตาเริ่มยาวอย่างผม ซึ่งเริ่มที่จะเล่นจอเล็กๆ ไม่ไหวแล้ว :)
โดย
so simple
อังคาร ต.ค. 01, 2013 2:06 pm
0
1
Re: กลุ่ม it เมื่อไรจะฟื้นเหรอครับ ผมว่าsmartphone tablet ฆ่
ในมุมของผมนะครับ ตลาด PC ยังคงอยู่แน่นอนครับ แต่จะไม่เติบโตและเคระแกร่นไป เพราะส่วนใหญ่จะเป็นตลาดสำหรับธุรกิจ ส่วนตลาดคนใช้ที่บ้าน มีเครื่องเก่าก็ใช้เครื่องเก่าไปครับ จากเดิมที่เปลี่ยนบ่อยก็จะเปลี่ยนช้าลงอย่างมากถึงมากครับ โดยเอาเงินมาซื้อ Smartphone หรือ Tablet รุ่นใหม่ๆ แทนการใช้งานบางอย่างก็น้อยลงเยอะครับ เช่น การเช็ค email หาข้อมูล คนก็จะไปทำ Tablet แทน ตลาด Note Book อนาคตจะถูกแทนที่ด้วย Tablet PC ที่เป็นเครื่อง All in one ขณะนี้ ยังมีราคาแพงอยู่มากใน Spec ที่มีราคาสูง แต่ในอนาคตถ้าราคาถูกลงเรื่อยๆ Software App มีเยอะขึ้น เชื่อมต่อ 3G ได้ทุกเวลา คนจะมาใช้มากขึ้นซึ่งจะทำให้ Note Book ตายไปได้ (อันนี้เป็นวิสัยทัศน์ของ Bill Gate คือมีอันเดียวใช้ได้ทุกอย่างทั้งบัินเทิง ธุรกิจ) แต่ Bill มัวแต่ไปทำการกุศล เลยให้ Ballmer เป็นคนทำ ซึ่งยังไปได้ไม่ไกล มี Surface ก็ยังทำได้ไม่ดี อันที่จริง Tablet นี่ Microsoft คิดมาก่อน Apple ซะอีก แต่ขาดคนผลักดันที่มีวิสัยทัศน์ระดับ Jobsที่มองตลาดบันเทิงและ Lifestyle เป็นหลักมากกว่าตลาดธุรกิจ Jobs ทำการเปิดตลาดคอมไปสู่กลุ่มใหม่ๆ เช่น ตลาดเด็กๆ ก็ใช้ได้ ผู้ใหญ่คนชรา ก็ใช้ง่ายใช้ดี ทำให้ตลาดผู้ใช้ขยายไปได้อย่างมาก ในอนาคต คนจะมี Smart Phone 1 เครื่อง กับ Tablet PC อีกหนึ่งตัวที่มีคุณภาพสูง เชื่อมต่อ Internet 3G ได้ ก็จะสามารถติดต่อสื่อสาร และทำงานไปทั่วโลกได้เลย และ อาจจะมีอุปกรณ์ลักษณะคล้ายกับ Apple TV อีกตัว สำหรับการเสียบสายออกจอใหญ่ หรืออาจจะมีจอ Screen ที่พับได้ในอนาคต ชนิดเสียบ Tablet ภาพก็ขึ้นตาม Screen และสามารถพกพาไปได้ สำหรับผู้ใหญ่ที่สายตาเริ่มยาวอย่างผม ซึ่งเริ่มที่จะเล่นจอเล็กๆ ไม่ไหวแล้ว :) ซ้ำงข้างล่าง - Besmile
โดย
so simple
อังคาร ต.ค. 01, 2013 2:01 pm
0
1
Re: กํารรับซื้อไฟฟ้ําจํากกํารผลิตไฟฟ้ําพลังงํานแสงอําทิตย์ท่
กำลังศึกษาอยู่เหมือนกันครับ ว่าจะนำไปติดบนอพาร์ทเมนท์ที่บ้านทำอยู่. จะได้ประพยัดค่าไฟ รวมทั้ง สามารถกันความร้อนได้ด้วย. มีปัญหาชั้นข้างบนจะร้อนจนลูกบ้านบ่น. แต่ต้องรอจนแผงราคาถูกลงเยอะและมี Warranty เพียงพอ. เพราะถ้าทำหลังคา metal sheet นี่ก็หลายตังอยู่แล้ว. แต่ถ้า solar cell เสื่อมนี่ก็จะไม่เปลี่ยนละครับจะ ใช้เป็นหลังคากันร้อนไปเลย. :D 55
โดย
so simple
พฤหัสฯ. ก.ย. 26, 2013 9:23 pm
0
1
Re: ทำไมบริษัทญี่ปุ่นถึงชอบบริษัทน้ำตาลไทย??
Direct Investment จากญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ นะครับ ต้องคอยจับตาดูกรณี TMB ว่า จะเป็น Mizuho หรือ Maybank จะได้ไป LH Bank เองก็หาพันธมิตรอยู่ แต่สงสัยเกี่ยว กับธุรกิจสือสารว่าทำไมไม่มีญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเลย หรือเขาไม่ค่อยชอบธุรกิจนี้ จากที่เห็น ญี่ปุ่นเองก็มียักษ์ใหญ่อยู่เยอะ เช่น Softbank หรือ Docomo ผิดกับทางจีน เช่น Huawai หรือ ZTE ที่รุกหนักมากในหลายๆ ทาง หรือว่าญี่ปุ่นจะชอบการลงทุนด้านการผลิตต่างๆ หรือจำพวก Bank หรือ Financial Services เป็นหลัก อีกโครงการที่น่าจับตารถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตนะครับ ว่าจะเป็นเทคโนโลยีของชาติไหน ญี่ปุ่น, จีน, เยอรมัน หรือฝรั่งเศส กัน แต่ที่รู้ๆ อสังหาที่ทองหล่อ กับ ศรีราชา นี่บูมมากเลยครับ สำหรับให้คนญี่ปุ่นเช่านี่ ค่าเช่าดีมาก
โดย
so simple
พุธ ก.ย. 25, 2013 2:37 pm
0
1
Re: ทำไมบริษัทญี่ปุ่นถึงชอบบริษัทน้ำตาลไทย??
Direct Investment จากญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาเรื่อยๆ นะครับ ต้องคอยจับตาดูกรณี TMB ว่า จะเป็น Mizuho หรือ Maybank จะได้ไป LH Bank เองก็หาพันธมิตรอยู่ แต่สงสัยเกี่ยว กับธุรกิจสือสารว่าทำไมไม่มีญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนเลย หรือเขาไม่ค่อยชอบธุรกิจนี้ จากที่เห็น ญี่ปุ่นเองก็มียักษ์ใหญ่อยู่เยอะ เช่น Softbank หรือ Docomo ผิดกับทางจีน เช่น Huawai หรือ ZTE ที่รุกหนักมากในหลายๆ ทาง หรือว่าญี่ปุ่นจะชอบการลงทุนด้านการผลิตต่างๆ หรือจำพวก Bank หรือ Financial Services เป็นหลัก อีกโครงการที่น่าจับตารถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตนะครับ ว่าจะเป็นเทคโนโลยีของชาติไหน ญี่ปุ่น, จีน, เยอรมัน หรือฝรั่งเศส กัน แต่ที่รู้ๆ อสังหาที่ทองหล่อ กับ ศรีราชา นี่บูมมากเลยครับ สำหรับให้คนญี่ปุ่นเช่านี่ ค่าเช่าดีมาก
โดย
so simple
พุธ ก.ย. 25, 2013 2:37 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ดีใจมากที่ได้อ่านบทความนี้ของดร.ครับ. ตอนนี้ก็ได้โอกาสกลับมาคิด ทั้งๆ ที่ตอนนี้ลงทุน ก็กำไรเงินปันผลก็เยอะแยะ ทั้งจากอสังหา จากหุ้น. จนถ้าคิดว่าจะเกษียณ ก็ทำได้แล้ว แต่ทำไม ใจมันยังโลภยังรู้สึกไม่พอ อาจจะไปนึกเปรียบเทียบกับคนที่มี port. เยอะมากก็ได้. มันทำให้ มันยังอยากไขว่คว้่าอยู่. ยิ่งศึกษาเยอะบางครั้งก็สนุก บางครั้งก็เครียดที่มันไม่เป็นไปตามคาด ต้องต่อสู้กับความโลภกับความกลัวอยู่. ทำให้ใจมันไม่เป็นสุข. ถ้าสมมุติต้องตายตอนนี้ คง มีหวังตกนรกแน่ๆ ครับ. โลภ โกรธ หลง มีพร้อมมูลอยู่ครบ. ตอนนี้คงต้องกลับมาปฏิบัติให้เยอะขึ้นครับ. จากเดิมสวดมนต์แค่อาทิตย์ละครั้งเอง นั่งสมาธิก็นานๆ ที่. แต่จะทำได้คงต้องมา review port กันให้เป็น port ที่กระจายความเสี่ยง และอยู่ได้ระยะนานหน่อย. บางครั้ง return ที่ได้มากขึ้นอีกจากการต้องมาหาข้อมูลตัวหุ้น และ ดูตลาดเพื่อหาจังหวะซื้อขายที่เหมาะๆ. ความเครียดที่ได้รับ มันจะคุ้มกันหรือเปล่าไม่รู้. ท้ายที่สุด ผมก็คงจะออกจากตลาดเหมือนคุณ. Tum h แหละครับ. หรือไม่ก็อาจจะทิ้งหุ้นที่คิดว่าดีเอาไว้ 50% (เอาออกมาเป็นใบหุ้นเลย). และเรามาปฏิบัติทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ดีกว่า. ยังเป็นโสด ก็เขียนพินัยกรรม แบ่งสมบัติ ให้พี่น้องครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้มูลนิธิไป. ตายไปก็เอาไปไม่ได้ :cry:
โดย
so simple
ศุกร์ ก.ย. 20, 2013 8:14 pm
0
2
Re: อายุ 35 ปี ฉันจะมีเงิน'หกพันล้าน'ฝันสูง 'วีไอรุ่นเด็ก' น
ฮือม ผมว่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ สำหรับ return. 72% ทบต้นไปจน 15 ปี นี้. แต่ถ้า ทำได้จริงนี่ถือเป็น. Wonder kid เลยที่เดียว. ในต่างประเทศนี่เราก็เคยเห็นกันมาแล้วเยอะเชี่ยว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก พอทำสำเร็จระดับหนึ่งและก็จะถูกซื้อไปโดยยักษ์ใหญ่ พวกที่สำเร็จ จะถูกเรียกว่า wonder kid. มีเยอะแถวๆ silicon valley. ส่วนพวกนักลงทุนผมก็คิดว่ามีนะครับ แต่ว่า น่าจะมีน้อยมากๆ. ขนาดจอรจ์ โซรอส. ช่วงรุ่งๆ นี่ ก็ 40% ต่อปี. พวก hedge fund เก่งๆ รู้สึกจะมี ไม่กี่คนในโลกนะครับ. คือเขาลงเงินเองส่วนหนึ่ง และมีความสามารถในการชักจูงคนอื่นมาลงอีกส่วนหนึ่ง ประกอบกับการเก็ง หรืออาจจะวิเคราะห์ถูกก็ได้. ซึ่งส่วนใหญ่จะรวยมาจากภาวะวิกฤต ซะเป็นส่วนใหญ่ บางคนอายุแค่ 30 กว่าปีเองครับ. อย่าไปนึกว่ามันจะเป็นไปไม่ได้นะครับมีมาแล้ว แต่จะขอบ่นกับ stock tomorrow ซะหน่อยแถอะ คุณทำอะไรให้มันเวอร์ไว้เพื่อที่จะทำการขายหนังสือ promote คอร์สเรียนของคุณ. แต่อย่าให้มันเวอร์ไปจนกลายเป็นการกดดันน้องเขา. ซึ่งจะได้รับผลกระทบกดดัน ต่อไปในอนาคต. ว่าแต่ผมว่าทีม stock tomorrow นี่ก็รับรายได้ค่าสอนกัน return พุงเทียบปลิ้นแล้วนะครับ เจตนาเดิมดีครับคือทำให้คนเรียนเข้าใจในตลาดทุนมากขึ้น. แต่นับวันมันจะกลายเป็นการค้าไปทุกที. คุณภาววิทย์ เองแกก็ควรทบทวนหาจุดที่เหมะสมด้วย ท้ายสุดผมก็อยากเห็นเด็กไทยเป็น wonder kid เหมือนกันครับ. ซึ่งคิดว่าอาจจะมีก็ได้ เห็นบางคนมี การทำ application. หรือ program. บางอย่าง แล้วก็ได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ แล้วด้วย. จึงคิดว่าในอนาคตเมืองไทยอาจจะมี wonder kid. ปรากฎขึ้นได้ครับ. :D
โดย
so simple
พุธ ก.ย. 18, 2013 2:00 am
0
8
Re: จอง SYMC Company Visit
ฮิฮิ ไม่รู้ว่าจะขยายที่เพิ่มได้หรือเปล่ารับน้อยจัง. ขอไปด้วยครับถ้าไปได้ สำรอง 1 ที่. :D
โดย
so simple
พุธ ก.ย. 18, 2013 1:11 am
0
0
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 1) - ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขา
ข้อที่ 5 ถือสุดยอดมากครับ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย กลุ่มเซียนบางกลุ่ม เชียร์หุ้นหนัก เพื่อต้องการออกของ ให้ได้ราคาที่สุด พอปล่อยขายเสร็จ ก็มา Post ว่า มันไม่ดีแล้ว อย่างโง่นงี้ ดีไม่ได้ยืมหุ้นมาขายซ้ำซะอีก ยิ่งตอนนี้ยิ่งเป็นกันเยอะ ผมอยากให้มาอ่านในข้อที่ 5 นี้นะครับ บางที คุณคิดว่าคุณฉลาดแล้ว และจะซ้ำคนอื่นที่เขาหลงเชื่อ อย่าลืมว่าโลกของทุนนิยมวันหนึ่งคุณเองก็อาจพลาดเป็นอย่างนี้บ้าง จะทำยังไงก็ให้มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นเขาบ้างนะครับ
โดย
so simple
จันทร์ ก.ย. 09, 2013 1:16 pm
0
0
Re: 10 เกร็ดการลงทุน (ตอนที่ 1) - ร่วมฉลอง 10ปี THAIVI /คนขา
ข้อที่ 5 ถือสุดยอดมากครับ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย กลุ่มเซียนบางกลุ่ม เชียร์หุ้นหนัก เพื่อต้องการออกของ ให้ได้ราคาที่สุด พอปล่อยขายเสร็จ ก็มา Post ว่า มันไม่ดีแล้ว อย่างโง่นงี้ ดีไม่ได้ยืมหุ้นมาขายซ้ำซะอีก ยิ่งตอนนี้ยิ่งเป็นกันเยอะ ผมอยากให้มาอ่านในข้อที่ 5 นี้นะครับ บางที คุณคิดว่าคุณฉลาดแล้ว และจะซ้ำคนอื่นที่เขาหลงเชื่อ อย่าลืมว่าโลกของทุนนิยมวันหนึ่งคุณเองก็อาจพลาดเป็นอย่างนี้บ้าง จะทำยังไงก็ให้มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นเขาบ้างนะครับ
โดย
so simple
จันทร์ ก.ย. 09, 2013 1:07 pm
0
0
Re: ก.ล.ต.ถกโบรกฯสกัดแก๊ง 4 โมงเย็น ตัวการทุบดัชนีหุ้น...
วิธีแก้ง่ายนิดเดียวครับ กลต.และตลาดหลักทรัพย์. รวมมือกันสกัดแก๊งค์สี่โมงเย็นไม่ให้ทุบหุ้น โดนเลื่อนเวลาปิดตลาดขึ้นมาเป็น. 3 โมงครึ่ง รับรองแก๊งค์สี่โมงเย็นจะสลายตัวไปเองโดยอัตโนมัติ. 555 :B
โดย
so simple
เสาร์ ก.ย. 07, 2013 12:43 am
0
9
Re: ทำอย่างไรให้ได้ผลตอบแทน 3,304% เหมือนกับอาจารย์ AHC ครับ
คิดว่าอยู่ในเหตุการณ์ช่วงนั้นนะครับ หุ้น BGH ที่ AHC ได้มา มาจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BGH ท่านหนึ่งนะครับ ที่แบ่งขายให้ราคาถูกเนื่องจากความจำเป็นบางอย่าง ซึ่ง AHC ได้มาถูกมากครับ อาจจะถูกกว่าราคาตลาดช่วงนั้นซะด้วยซ้ำ แต่อาจจะมีการคุยกันว่า ขอไม่ให้ขาย ให้ถือลงทุนไป จึงยังไม่ได้มีการขายออกมาทำกำไร ซึ่งถ้าจะมีการขายคงต้องไปคุยกับผู้ถือหุ้นท่านนั้นก่อน ทำให้ AHC ถือยาวมาจนบัดนี้ครับ ราคาที่ได้มานั้นถูกมากนะครับ ยิ่งกว่าเมื่อตอนผู้บริหาร BGH เพิ่มทุนกันไปที่ 9 บาท เมื่อนานมาแล้วซะอีก ซึ่งก็ทำให้ผู้บริหารและพนักงาน BGH รวยกันไปเลย
โดย
so simple
พฤหัสฯ. ก.ย. 05, 2013 10:59 pm
0
1
Re: ทำอย่างไรให้ได้ผลตอบแทน 3,304% เหมือนกับอาจารย์ AHC ครับ
คิดว่าอยู่ในเหตุการณ์ช่วงนั้นนะครับ หุ้น BGH ที่ AHC ได้มา มาจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BGH ท่านหนึ่งนะครับ ที่แบ่งขายให้ราคาถูกเนื่องจากความจำเป็นบางอย่าง ซึ่ง AHC ได้มาถูกมากครับ อาจจะถูกกว่าราคาตลาดช่วงนั้นซะด้วยซ้ำ แต่อาจจะมีการคุยกันว่า ขอไม่ให้ขาย ให้ถือลงทุนไป จึงยังไม่ได้มีการขายออกมาทำกำไร ซึ่งถ้าจะมีการขายคงต้องไปคุยกับผู้ถือหุ้นท่านนั้นก่อน ทำให้ AHC ถือยาวมาจนบัดนี้ครับ ราคาที่ได้มานั้นถูกมากนะครับ ยิ่งกว่าเมื่อตอนผู้บริหาร BGH เพิ่มทุนกันไปที่ 9 บาท เมื่อนานมาแล้วซะอีก ซึ่งก็ทำให้ผู้บริหารและพนักงาน BGH รวยกันไปเลย
โดย
so simple
พฤหัสฯ. ก.ย. 05, 2013 10:48 pm
0
3
Re: สูงสุดคืนสู่สามัญ
เห็นน้อง Milky เปรียบหุ้นกับผู้หญิง พอดีเห็นมีคนเปรียบประเภทหุ้นกับดาราซุปตาร์นะครับ ลองดูกันครับใช่หรือไม่ใช่ ผมว่าฮาดี 1. หุ้นปันผล เป็นธุรกิจเก่าแก่ ในอดีตเคยเป็นหุ้นโตเร็วมาก่อน (แอน ทองประสม) 2. หุ้นยักษ์ใหญ่ดาวค้างฟ้า ไม่ว่าเศรษฐกิจตกต่ำยังไงก็ยังอยู่ได้ (อั๊ม พัชราภา) 3. หุ้นโตไว Growth Stock ยังไปได้อีกไกลเลย ขวัญใจผม (ญ่าญา อุรัสยา สเปอร์ปันด์) 4. หุ้นสินทรัพย์ กินบุญเก่า มีทรัพย์สินอร้าอร่ามที่ซ่อนเอาไว้เป็นทุนอยู่เดิม (ตั๊ก บงกช หวานใจ เจ้าสัวบุญชัย) 5. หุ้นตีกลับ หรือ Turnaround เป็นหุ้นที่ย่ำแย่มาก่อน และพลิกกับมาได้ (ญาญ่า หญิง) 6. หุ้นวงจร (Cycle) ขึ้นลงเป็นรอบๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ตามวงจรอุตสาหกรรม (เจนนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ) 7. ขอเพิ่มเองอีกหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนเมืองไทยชอบกันมาก คือหุ้นตามกระแส ตามข่าว ตามผู้บริืหาร มาๆ ไปๆ เล่นถึงบทบาท ตบจูบๆ คือ (น้องพลอย เจอมาร) จอมวีน นั่นเอง ที่สุดของที่สุดยอดนักปั๊น VI ในตำนานสายตาแหลมคม ระดับท่านดร.นิเวศน์ คือ เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร นั่นเอง :)
โดย
so simple
พุธ ส.ค. 28, 2013 12:57 am
0
3
Re: เครียดจริงๆ
ดูจาก Background ของเจ้าของกระทู้ จะไม่ตรงกับงานทางด้าน Capital Market เลย นะครับ ถ้าจะไปสายงานนี้เลย ตอนนี้น่าจะยากอยู่นะครับ เนื่องจากเขาต้องรับคนที่มีคุณ สมบัติประสบการณ์ตามสายงานก่อน แต่ก็น่าจะมีทางออกนะครับ ลองไปสมัครที่ Bank ต่างๆ ดูครับ ส่วนงานที่พอที่จะเป็นไปได้ แนะนำว่าควรจะเป็น สินเชื่อรายใหญ่ หรืออุตสาหกรรม ก่อนนะครับ ฝึกที่การวิเคราะห์ก่อน เพราะความรู้ที่ เรียนมาสามารถประยุกต์ได้บ้าง และ Bank ใหญ่ๆ ดีๆ เช่น BBL KBANK SCB พวกนี้จะ มีระบบการฝึกอบรมที่ดี ระหว่างทำงาน ก็เรียนต่อโททางการเงินไปนะครับ เช่น NIDA จุฬา ธรรมศาสตร์ ถ้าได้ทุน Bank ด้วยก็ดี แต่ก็จะต้องใช้ทุนเป็นภาระผูกพัน เมื่อจบโทมาพร้อมมีประสบการณ์ (ถ้าสอบ CFA ได้ Level ต่างๆ ด้วยก็จะยิ่งดี ทำสัก 3-4 ปี ก็จะมีประสบการณ์เพียงพอที่จะเปลี่ยนมาทำงานทางด้านนี้ได้ครับ สำหรับ Bank ใหญ่ๆ จะมีหน่วยงานทาง Investment ฺBanking อยู่แล้วนะครับ (แต่ค่อนข้างเน้นไปที่ตราสารหนี้) เจ้าของกระทู้ก็สามารถขอย้ายไปทำได้ หรือไม่พอใจก็สมัครเปลี่ยนงานได้ครับ Field งานด้าน Capital Market อาจเป็นได้ดังนี้ครับ 1. Investment ฺBanking การนำหุ้นเข้าตลาดหรือ IPO จะต้องสอบได้ License IB ด้วย 2. Fund Manager ของบลจ.ต่างๆ แล้วแต่ความถนัด ด้านตราสารหนี้ ตราสารทุน กองทุนอสังหา ฯลฯ 3. นักวิเคราะห์ ก็อย่างที่เรารู้กัน เงินเดือนก็ไม่ดีเท่าไหร่ นอกจากต้องออกสื่อเก่งๆ ขยัน Promote ตัวเอง 4. Marketing ก็อย่างที่เรารู้กัน อันนี้ไม่ต้องความรู้มากก็ได้ อาศัยความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นหลัก 5. งานที่ตลาดหลักทรัพย์ หรือกลต. ก็มีเปิดรับนะครับ (เป็นผู้คุมกฎแต่ไม่ควรเล่นหุ้นไปด้วย มีอิทธิพลดี) Field งานทางด้าน Bank อาจเป็นดังนี้ครับ 1. บริหารเงิน อันนี้ถ้า Trade เก่งนี่ มีการแย่งประมูลตัวกันเลย เงินเดือนเยอะเลยครับ ผมเคยเจอคนอายุ 30 กว่า เงินเดือนสามสี่แสนบาทเลยทีเดียว 2. Risk Management เป็นที่ต้องการตัวมาก และเงินเดือนดีทีเดียว หลักแสน แต่ต้อง เก็งตัวเลข (ต้องทำ Risk Model ต่างๆ) และแม่นกฎของ Bank 3. Credit ปล่อยสินเชื่อ รายใหญ่ รายเล็ก แต่ต้องใช้เวลาไต่เต้านานพอสมควรกว่าจะ เป็นผู้บริหาร ทั้งนี้ทั้งนั้น ตามเงื่อนไขออกจะเป็นงานที่หนักและโหดเอาการครับ เพราะต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แต่เอาใจช่วยนะครับ ความพยายามอยู่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น (อย่าลืมเรื่องภาษานะครับ การพูดการเขียน สำคัญมาก เพราะต่อไปจะเป็น AEC แล้ว การทำ Deal และการ Present ต่างๆ จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักเลย) :D
โดย
so simple
อังคาร ส.ค. 27, 2013 2:13 am
0
6
Re: 300 อันดับ หุ้น ขึ้น และ ลง ประจำปี 2012
ดูแล้วหลังจากที่หมอปราเสริฐ เอาการบินกรุงเทพ เข้าตลาดแล้ว คราวนี้ แกคงเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งยาวนานเลยไร้ผู้ท้าชิง ยกเว้นถ้าคุณวิชัย เอา Cth สำเร็จและเข้าตลาดได้ อาจจะขึ้นมาสูสี. ที่น่าสนใจและมากที่สุดในรอบนี้คือ คุณ สมโภช อาหุนัย แห่ง ea. มาถึงอันดับ 9 ได้อย่างรวดเร็วที่สุดน่าสนใจว่าแกจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้ ea. ได้ตามที่คุยและวางแผนไว้ได้หรือไม่. ถ้าทำได้จริงอาจจะขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 5 ท้าทายเศรษฐีหุ้นรุ่นเก่าๆ. ก็เป็นไปได้. ตรงนี้น่าจับตาดูอย่างมาก
โดย
so simple
อาทิตย์ ก.ค. 07, 2013 11:29 pm
0
0
Re: ถ้าพูดถึง well Fargo
เป็นประวัติของธนาคารย่อๆ นะครับ มาจาก Manager 360ํ' เอามา Post เป็นไว้เป็นข้อมูลและถกกันต่อนะครับ จากประวัติคร่าวๆ จะเห็นได้ว่าความสามารถของผู้บริหารบวกกับการบริหารงานอย่างรอบคอบระมัดวังทำให้ wells fargo สามารถผ่านวิกฤตได้ทุกครั้ง และสามารถสร้างโอกาสการเติบโตได้ตลอดครับ Wells Fargo & Company เป็นอีกผลิตผลหนึ่งของยุคตื่นทองที่อยู่คู่อเมริกามานานกว่า 150 ปี ปัจจุบันถือเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศในแง่ของสินทรัพย์รวม มีสาขากว่า 5,900 สาขาทั่วโลก มีพนักงาน 160,900 คน ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากสถาบันจัดอันดับอย่าง Moody's และ S&P ที่ระดับ AAA นิตยสารฟอร์จูน จัดให้เป็นองค์กรที่มีกำไรสูงสุดเป็นอันดับที่ 17 ของโลก นิตยสาร Financial Times จัดให้เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 18 ของโลก...ความสำเร็จนี้มีที่มาที่ไม่ได้เริ่มจากธุรกิจการเงินเพียงอย่างเดียว ธุรกิจของ Wells Fargo เริ่มต้นในปี 1852 สองปีหลังจากที่แคลิฟอร์เนียรับการสถาปนาเป็นรัฐที่ 31 ของสหรัฐอเมริกา จากการเล็งเห็นการณ์ไกลของ Herry Wells และ William Fargo สองนักธุรกิจผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร American Express จากนิวยอร์ก พวกเขาต้องการขยายธุรกิจ Express หรือการส่งไปรษณีย์แบบเร่งด่วนไปสู่ฝั่งตะวันตกมุ่งตรงไปที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นศูนย์กลางของยุค ตื่นทองรวมทั้งเปิดสำนักงานตัวแทนตามเมืองที่ตั้ง ของเหมืองทอง ใช้ชื่อว่า "Wells, Fargo & Co." โดยเริ่มจากธุรกิจส่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือสิ่งมีค่าอื่นๆ ไปทั่วอเมริกาและทั่วโลก ควบคู่กับบริการทางการเงินและหลักทรัพย์อีกด้วย เปิดโอกาส ให้ผู้คนสามารถนำทองคำมาขายแลกกับตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่าเท่ากับทองคำ ในขณะนั้น แคลิฟอร์เนียยังไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ในการก่อตั้งธนาคารหรือสถาบันการเงิน นับเป็นโอกาสทองของ Wells และ Fargo ที่เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกธุรกิจก่อนใคร เบื้องหลังความสำเร็จ ของ Wells Fargo ในยุคเศรษฐกิจอเมริกาที่เฟื่องฟู คือ ม้า 6 ตัวที่ลากรถดั้นด้นข้ามแดนไปมาด้วยความรวดเร็วมั่นคง ที่เรียกว่า "Stagecoach" อันเป็นสัญลักษณ์ของ Wells Fargo มาจวบจนทุกวันนี้ และรถม้าลาก Stagecoach นี่เองกลายเป็นกุญแจ สำคัญในการดำเนินธุรกิจในสมัยนั้นโดยรถม้าจะเข้าไปรับส่งผู้โดยสารและสิ่งของต่างๆ ที่มาจากทุกสารทิศทางรถไฟ เพื่อเดินทางต่อไปยังที่รถไฟเข้าไปไม่ถึง ทำให้ Wells Fargo กลายเป็นเจ้าของและผู้ให้บริการรถม้า Stagecoach รายใหญ่ที่สุดในโลก และเรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมของระบบการขนส่งทางบกในขณะนั้น หลังจากที่ Wells Fargo ดำเนินธุรกิจในภาคตะวันตกได้เพียงไม่กี่ปี วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ ได้จู่โจมสถาบันการเงินในแคลิฟอร์เนียในปี 1855 สาเหตุหลักมาจากการเก็งกำไรที่ดินในถิ่นตะวันตก จนทำให้เกิดความตื่นตระหนก ธนาคาร สถาบันการเงินหลายแห่งต้องปิดตัวไป หากทว่า Wells Fargo ยังคงเป็นหนึ่งสถาบันที่สามารถประคับประคองตัวให้อยู่รอดได้ แม้จะต้องสูญเสียสินทรัพย์ ไปถึง 1 ใน 3 ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มีอยู่ ปัจจัยหลักที่ Wells Fargo ฟื้นตัวได้เร็วมาจากการบริหาร ที่มีประสิทธิภาพและสภาพคล่องที่พร้อมให้บริการลูกค้า วิกฤติในครั้งนั้นสร้างโอกาสให้แก่ Wells Fargo 2 ทางคือ คู่แข่งทางธุรกิจลดลง และสามารถ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้ามากยิ่งขึ้น หลังจากที่ฝ่าวิกฤติไปได้แล้ว Wells Fargo ขยายธุรกิจอย่างทันทีทันใด โดยเริ่มผลิตรถม้า Stagecoach เป็นของตัวเอง ทั้งยังเข้าซื้อกิจการจาก Overland Mail Company ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Wells Fargo ที่ให้บริการไปรษณีย์ในพื้นที่ตะวันตก ตั้งแต่มิซซูรีไปอาร์คันซอ ไปพื้นที่ของชาวเนทีฟอเมริกัน ไปนิว เม็กซิโก ไปแอริโซนา และจบที่ซานฟรานซิสโก ด้วย รถม้า Stagecoach ที่ก่อตั้งโดย John Butterfield หนึ่งในหุ้นส่วนของ Wells และ Fargo ที่ American Express ในนิวยอร์ก พวกเขาได้ตั้งชื่อสายธุรกิจใหม่ นี้ว่า "Butterfield" เพื่อเป็นเกียรติแด่อดีตหุ้นส่วนของพวกเขา นอกจากนี้ Wells Fargo ยังเข้าไปเทกโอเวอร์ เส้นทางไปรษณีย์โซนตะวันตกของ "Pony Express" ซึ่งเป็นการบริการเมล์ด่วนด้วยการขี่ม้าส่งสาร นับว่า รวดเร็วกว่าเมล์ทางรถม้า ต่อเมื่อมีวิวัฒนาการก้าวไกล ได้มีการคิดค้นการใช้เครื่องโทรเลข เมื่อมีบริการ โทรเลข Pony Express ก็กลายเป็นตำนานไป แต่ธุรกิจของ Wells Fargo ยังคงขยายเส้นทางอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการขยายทางรถไฟ จนที่สุดในปี 1888 Wells Fargo กลายเป็นบริษัทแรกที่ให้บริการ ไปรษณีย์ด่วนครอบคลุมทั่วอเมริกา ทั้งยังมีบริการ "Ocean-to-Ocean" ที่เชื่อมเมืองต่างๆ กว่า 2,500 เมืองใน 25 มลรัฐ ธุรกิจส่งเมล์เป็นธุรกิจเสริมให้แก่ธุรกิจธนาคาร ของ Wells Fargo มีการเปลี่ยนมือผู้บริหาร มีการควบกิจการหลายครั้งหลายครา เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ ในปี 1918 บริษัทมีเครือข่ายประมาณ 10,000 แห่งทั่วประเทศ โดยตัวแทนแต่ละแห่งให้บริการตั้งแต่จำหน่ายตั๋วแลกเงิน เช็คเดินทาง การโอนเงินผ่านโทรเลข และการส่งสิ่งของ อย่างไรก็ดี ในปีนั้นเอง เป็นปีที่รัฐบาลเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการไปรษณีย์ ส่งผลให้ Wells Fargo เหลือเพียงสายธุรกิจ การเงินการธนาคารที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ Wells Fargo ในศตวรรษที่ 21 ยังคงความแข็งแกร่ง ภายหลังจากธุรกรรมทางการเงินเข้าควบ กิจการกับธนาคาร Norwest แห่งมินนิโซตา เมื่อปี 1998 ซึ่งในปีนั้น Wells Fargo มีมูลค่าสินทรัพย์เท่ากับ 31.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากนั้นเมื่อ Norwest ได้เปลี่ยนชื่อสาขาทุกสาขาเป็น Wells Fargo ทำให้บริษัทเพิ่มสถานะเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ในสหรัฐฯ ในปีนั้น มีสินทรัพย์เพิ่มเป็น 196 พันล้านเหรียญ และมียอดเงินฝากรวม 130 ล้านเหรียญ ปัจจุบันจากตัวเลขไตรมาสแรกของปีนี้ Wells Fargo มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 595 พันล้านเหรียญ ในปี 2008 นี้ Wells Fargo มีอายุครบ 156 ปี ยังคงดำเนินธุรกิจดั้งเดิม ด้วยชื่อเดิมและที่ตั้งสำนักงานใหญ่ยังคงอยู่ที่ถนน Montgomery ในซานฟรานซิสโก เช่นเดิมนับจากวันแรกของการดำเนินธุรกิ - See more at: http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=72801#sthash.xfCYb59V.dpuf
โดย
so simple
เสาร์ ก.ค. 06, 2013 1:11 am
0
12
Re: ถ้าพูดถึง well Fargo
ขอเห็นต่างนะครับ ผมว่า well farco เมืองไทยน่าจะเป็นเป็น tcap นะครับ. เหตุผลคือคุณบันเทิงเป็นผู้บริหาร ที่มีวิสัยทัศน์ และความสามารถ สามารถสร้าง tcap จากบริษัทเล็กๆ ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 5 ในชั่วระยะเวลารุ่นเดียวในขณะที่แบงค์ใหญ่อื่น ต้อง ใช้เวลาถึง 3 ชั่วอายุคนเลยทีเดียวกว่าจะใหญ่ได้ขนาดนี้ อีกทั้งการบริหารและการลงทุนที่รอบคอบระมัดระวัง ไม่ทำใหเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นเสียหาย ทำให้ผ่านวิกฤตรวมทั้งพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสมาได้ตลอด. ถือเป็นจุดเด่นของผู้บริหารกลุ่มนี้ครับ. :)
โดย
so simple
ศุกร์ ก.ค. 05, 2013 4:25 pm
0
7
Re: คิดยังไงครับ คนที่มี100ล้าน
ผมว่าไม่ยากนะครับสำหรับ 100 ลบ. มองว่าการรักษาไว้ไม่ให้ลดลงเป็นสิ่งที่ยากกว่า อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับความพอในใจครับ ถ้าเรายังไม่พอโลภเยอะได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ. การทนงตนก็เป็นส่วนหนึ่ง อาจทำให้พลาดได้สักวัน. ที่ผมเห็นส่วนใหญ่ที่เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จยาวนาน จะมีความ ถ่อมตัวจนน่าตกใจครับ เขาจะบอกว่าความสำเร็จของเขามาจากทุกๆ คนให้โอกาสให้ความช่วยเหลือ เขาจึงมีวันนี้. ผมจึงเห็นว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวก็ควรจะมีองค์ประกอบเช่นเดียวกัน กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จครับ. อีกอย่างที่สำคัญคือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะคืนกับให้ สังคมนะครับ ดูได้เลย เพราะเขาถือว่าเขาได้กำไรมาเพราะลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สนับสนุน นักลงทุน ที่ประสบความสำเร็จได้ในระยะยาวก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกันครับ. :P
โดย
so simple
พฤหัสฯ. เม.ย. 04, 2013 6:40 pm
0
2
64 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
so simple
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พฤหัสฯ. ต.ค. 11, 2012 10:47 am
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร ม.ค. 31, 2017 2:24 pm
โพสต์ทั้งหมด:
334 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.08 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว