หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
miracle57
Joined: พุธ ต.ค. 03, 2012 1:30 pm
15
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - miracle57
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่เสียสละเวลามาถ่ายทอดความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ แนวคิดดีๆ ให้แก่กัน เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแก่คนรุ่นหลังที่เกินตามกันมาในสายการลงทุนเน้นคุณค่า ในโอกาสนี้ผมขออนุญาตยกบทความของ ดร.นิเวศน์ฯ ซึ่งได้กรุณาเขียนบทความในห้วงใกล้เคียงหลังจากที่ผมตั้งกระทู้ถามในบอร์ดนี้ อ่านแล้วนับว่ามีความสอดคล้องทางแนวคิด และอาจเป็นคำตอบที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการตัดสินใจบนสายการลงทุน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านรุ่นต่อๆไป แม้ในห้าปี สิบปีข้างหน้านะครับ
โดย
miracle57
จันทร์ พ.ค. 01, 2017 4:52 pm
0
0
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
ศาสตร์แห่งความสุข / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 30 เมษายน 2560 ***************** เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์หรือคนเรานั้นไม่ใช่เงิน อำนาจ ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่คือ “ความสุข” สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงนั้นแท้ที่จริงมันเป็นเพียง “หนทางหรือทางผ่าน” ที่อาจจะหรือมักจะนำไปสู่ความสุขเท่านั้น ความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้แต่มันคือความรู้สึกของเรา มันอยู่ในใจ มันเป็นอารมณ์ที่มีแต่ “เจ้าตัว” เท่านั้นที่จะบอกได้ ความสุขนั้นอยู่ตรงกันข้ามกับ “ความทุกข์” ที่ก็เป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่อยู่ในใจที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้สึกเอง ตามนิยามของท่านพุทธทาสภิกขุที่ผมเคยอ่านสมัยที่เคยบวชเป็นพระในช่วงวัยหนุ่ม ความทุกข์ก็คือสิ่งที่เราต้องทนและอยากจะหลีกเลี่ยง อยากจะไปให้พ้น ส่วนความสุขนั้นเป็นอะไรที่เราไม่ต้องทน เราอยากได้และอยากอยู่กับมันนาน ๆ ในยุคปัจจุบันที่ความรู้ด้านของชีววิทยาก้าวหน้ามากนั้น เรารู้ว่าความทุกข์และความสุขของมนุษย์นั้นมีรากฐานมาจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตผ่านยีนที่สร้างอารมณ์ทุกข์และสุขขึ้นมาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ ความสุขมีไว้เพื่อกระตุ้นให้เราอยากทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีโอกาสรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่นอารมณ์ใคร่กระตุ้นให้คนอยากมีเพศสัมพันธ์ซึ่งจะทำให้มี “ความสุข” และในที่สุดก็นำไปสู่การมีลูก เราทำงานเพื่อหาทรัพยากรหรือเงินเพื่อที่จะได้มีอาหารกินซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขเพื่อที่เราจะได้รอดจากการอดตาย เวลาหิวเราจะเป็นทุกข์ซึ่งเราจะต้องทนและพยายามหลีกเลี่ยงก็โดยการรีบไปกินอาหารซึ่งจะก่อให้เกิดความสุข ความกังวลว่าพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าหรือปีหน้าจะมีอะไรให้เรากินหรือใช้ไหมก็ทำให้เราเป็นทุกข์และก็เป็นแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจให้เราวางแผนและทำกิจกรรมที่จะทำให้เรามีเงินเพื่อเอาไว้กินหรือใช้ซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขในอนาคต ดังนั้น ทั้งความสุขและความทุกข์ต่างก็เป็นอารมณ์ที่สำคัญมากที่ทุกคนต้องมี ถ้ามีอารมณ์แห่งความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียว เผ่าพันธุ์ของมนุษย์หรือสัตว์รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นก็คงอยู่ไม่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ดังนั้น คนที่เกิดมาทุกคนในปัจจุบันนี้จึงมียีนที่ผลิตฮอร์โมนของความทุกข์และความสุขในอัตราส่วนที่พอเหมาะหรือเหมาะสมที่สุดที่จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีโอกาสอยู่ได้ยั่งยืนที่สุด แน่นอน แต่ละคนอาจจะมีระดับของฮอร์โมนแตกต่างกัน แต่ความแตกต่างก็ไม่มาก และมันก็ขึ้นกับยีนของแต่ละคน บางคนโชคดีที่มียีนของคนที่มีความสุขมากกว่า ดังนั้น เขาก็อาจจะมีโอกาสมีความสุขมากกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม ความสุขหรือทุกข์ยังขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ๆ อีกมากในชีวิต ที่สำคัญและมีผลมากก็คือ การปฏิบัติหรือพฤติกรรมของเราที่อาจจะเอื้อให้เกิดความสุขมากกว่า เช่นเดียวกัน สิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ก็มีผลสำคัญต่อระดับความสุขหรือทุกข์ที่เราจะได้รับในชีวิต เรื่องของยีนและสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อความสุขสูงนั้นบางทีเราก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ผมจึงอยากจะพูดถึงวิธีหรือการปฏิบัติตัวที่จะช่วยเพิ่มความสุขที่เป็นสิ่งที่เราต้องการสูงสุดว่าควรจะทำอย่างไร สิ่งที่พูดนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ความคิดของผมเอง แต่มาจากการศึกษาเรื่องราวของ “ความสุข” จากผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่มีการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ถึงเรื่องของความสุขของคน ว่าที่จริงในขณะนี้เรารู้แม้กระทั่งว่าใครกำลังมีความสุขโดยการใช้เครื่องวัดที่นำมาครอบศีรษะคนที่ยอมให้ทดลอง ความสุขนั้นไม่ใช่เป็นเรื่อง “ในใจ” ของเจ้าตัวเท่านั้นอีกต่อไป ความสุขเป็นเรื่องของร่างกายที่เราสามารถรู้ได้ด้วยเครื่องตรวจวัดการทำงานของสมอง เรื่องของความสุขนั้นกว้างและซับซ้อนมาก ผมจึงอยากเพียงแต่สรุปหลักการใหญ่ที่เป็นหัวใจของมัน ประเด็นแรกก็คือ ความสุขของคนน่าจะมีสองส่วนนั่นก็คือ ความสุขในระยะสั้นและความสุขในระยะยาว หน้าที่ของเราก็คือพยายามทำให้ “ภาพรวม” ของชีวิตเรามีความสุขมากที่สุด ความสุขในระยะสั้นก็คือ ความพึงพอใจที่เราได้รับในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นสนุก ท้าทาย และเราประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย เราก็จะมีความสุข บางทีการไม่ทำอะไรเลยเอาแต่นอนก็ทำให้มีความสุขได้ เช่นเดียวกัน การกินหรือดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่หรือการเสพยาเสพติดก็เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขได้ แต่ความสุขเหล่านี้ก็มักจะเป็นความสุขสั้น ๆ หลังจากนั้นร่างกายก็ “ปรับตัว” กลับสู่ภาวะปกติ และในอนาคตก็อาจจะนำไปสู่ความทุกข์ได้ ความสุขในระยะยาวของคนนั้นขึ้นอยู่กับการที่เรา “บรรลุเป้าหมายที่มีความหมาย” ในชีวิตของเรา เป้าหมายที่มีความหมายของแต่ละคนก็แตกต่างกันแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างร่วมกันอยู่ คนบางคนอาจจะคิดถึงเรื่องของเงิน อำนาจ ชื่อเสียง การได้สร้างคุณูปการให้กับสังคมหรือคนอื่น บางคนอาจจะคิดถึงเรื่องของการอุดหนุนเกื้อกูลศาสนาและการ “นิพพาน” ใครก็ตามที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เขาก็จะมีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากขึ้น ประเด็นสำคัญก็คือ ความสุขในระยะสั้นนั้น บ่อยครั้งก็มักจะขัดกับเป้าหมายหรือความสุขระยะยาวซึ่งทำให้ความสุขโดยรวมของเรานั้นไม่ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น คนบางคนทำงานหนักมากและงานนั้นไม่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ เป็นงานที่ต้องทนทำ เป็นความทุกข์แต่เขาต้องทำเพื่อที่จะทำเงินให้มากเพื่อหวังที่จะรวยเพราะหวังที่จะได้รับความสุขในระยะยาว ซึ่งบางทีเมื่อรวยแล้วก็กลับพบว่าความสุขไม่ได้เกิดขึ้นจริง ความรวยอาจช่วยให้สามารถซื้อสิ่งของมาปรนเปรอตัวเองได้แต่มันก็เป็นเพียงความสุขสั้น ๆ ที่จะหายวับไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นความสุขระยะสั้น ความสุขที่จะอยู่ “ยาว” ก็คือกระบวนการในการเดินทางสู่เป้าหมายที่มีความหมายในชีวิต ดังนั้น คำพูดที่ว่า ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ที่เป้าหมาย แต่ความสุขคือการเดินทางสู่เป้าหมายนั้นผมคิดว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องแต่จะต้องเพิ่มอีกนึดหนึ่งว่าต้องเป็น เป้าหมายที่ “มีความหมาย” ด้วย การที่จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขเต็มที่ตามศักยภาพของตนเองนั้นก็คือ การพยายามทำให้กระบวนการเดินทางสู่เป้าหมายทุกอย่างนั้นก่อให้เกิดความพึงพอใจซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขในระยะสั้นให้มากที่สุด และสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวมากที่สุด แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ทำอะไรที่เราไม่พึงพอใจเลย คนส่วนใหญ่อย่างน้อยก็ยังต้องทำงานบ้านเช่น ล้างถ้วยชามทำความสะอาดซึ่งอาจจะไม่เกิดความพึงพอใจ วิธีแก้ก็คือ “ทำใจ” ให้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่อง “ผ่อนคลาย” คิดเสียว่าแม้แต่ บิล เกต เองก็ยังบอกว่าตนเองชอบล้างจาน เพราะมันคลายเครียดดี แต่สิ่งที่เราควรต้องตระหนักจริง ๆ ก็คือ เราจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรืองานที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจสูงและเป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก ตัวอย่างเช่น งานประจำโดยเฉพาะงานที่เราต้องทำเพื่อหาเงินมาใช้ในชีวิตประจำวันและเก็บออมไว้ใช้ในอนาคต สิ่งที่เราควรทำก็คือ เราควรหางานที่เราทำแล้วรู้สึกสนุก ท้าทาย เป็นงานที่มีความหมาย ในขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนเป็นเงินที่ดีหรือยอมรับได้แม้ว่าอาจจะไม่ใช่งานที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด นี่จะทำให้เราทำอย่างมีความสุขและอยากไปทำงานทุกวัน และมันก็ยังสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวที่มีความหมายเช่น ความมั่นคงทางการเงิน เป็นต้น งานหรือเป้าหมายที่มีความหมายเองนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นงานที่ต้อง “เสียสละ” ความสุขของตนเองให้เป็นความสุขของผู้อื่น นี่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าคุณต้องเสียสละ มันก็จะไม่ใช่สิ่งที่คุณพอใจ ถ้าคุณพอใจ คุณย่อมมีความสุข มันก็ไม่ใช่การเสียสละ มันเป็นเรื่องที่ได้กันทุกคนไม่มีคนเสีย และนี่ก็คือเรื่องราวของความสุขแบบสั้นที่สุด ซึ่ง VI ควรจะต้องเข้าใจและต้องแสวงหากลยุทธ์ที่จะนำเราไปสู่ความสุขที่มากกว่า แทนที่จะเป็นเงินที่มากกว่า
โดย
miracle57
จันทร์ พ.ค. 01, 2017 4:49 pm
0
2
Re: ศาสตร์แห่งความสุข/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ศาสตร์แห่งความสุข / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 30 เมษายน 2560 ********************** เป้าหมายสูงสุดของมนุษย์หรือคนเรานั้นไม่ใช่เงิน อำนาจ ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่คือ “ความสุข” สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงนั้นแท้ที่จริงมันเป็นเพียง “หนทางหรือทางผ่าน” ที่อาจจะหรือมักจะนำไปสู่ความสุขเท่านั้น ความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้แต่มันคือความรู้สึกของเรา มันอยู่ในใจ มันเป็นอารมณ์ที่มีแต่ “เจ้าตัว” เท่านั้นที่จะบอกได้ ความสุขนั้นอยู่ตรงกันข้ามกับ “ความทุกข์” ที่ก็เป็นอีกหนึ่งอารมณ์ที่อยู่ในใจที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้สึกเอง ตามนิยามของท่านพุทธทาสภิกขุที่ผมเคยอ่านสมัยที่เคยบวชเป็นพระในช่วงวัยหนุ่ม ความทุกข์ก็คือสิ่งที่เราต้องทนและอยากจะหลีกเลี่ยง อยากจะไปให้พ้น ส่วนความสุขนั้นเป็นอะไรที่เราไม่ต้องทน เราอยากได้และอยากอยู่กับมันนาน ๆ ในยุคปัจจุบันที่ความรู้ด้านของชีววิทยาก้าวหน้ามากนั้น เรารู้ว่าความทุกข์และความสุขของมนุษย์นั้นมีรากฐานมาจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตผ่านยีนที่สร้างอารมณ์ทุกข์และสุขขึ้นมาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ ความสุขมีไว้เพื่อกระตุ้นให้เราอยากทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีโอกาสรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่นอารมณ์ใคร่กระตุ้นให้คนอยากมีเพศสัมพันธ์ซึ่งจะทำให้มี “ความสุข” และในที่สุดก็นำไปสู่การมีลูก เราทำงานเพื่อหาทรัพยากรหรือเงินเพื่อที่จะได้มีอาหารกินซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขเพื่อที่เราจะได้รอดจากการอดตาย เวลาหิวเราจะเป็นทุกข์ซึ่งเราจะต้องทนและพยายามหลีกเลี่ยงก็โดยการรีบไปกินอาหารซึ่งจะก่อให้เกิดความสุข ความกังวลว่าพรุ่งนี้หรือเดือนหน้าหรือปีหน้าจะมีอะไรให้เรากินหรือใช้ไหมก็ทำให้เราเป็นทุกข์และก็เป็นแรงกระตุ้นหรือแรงจูงใจให้เราวางแผนและทำกิจกรรมที่จะทำให้เรามีเงินเพื่อเอาไว้กินหรือใช้ซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขในอนาคต ดังนั้น ทั้งความสุขและความทุกข์ต่างก็เป็นอารมณ์ที่สำคัญมากที่ทุกคนต้องมี ถ้ามีอารมณ์แห่งความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียว เผ่าพันธุ์ของมนุษย์หรือสัตว์รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นก็คงอยู่ไม่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ดังนั้น คนที่เกิดมาทุกคนในปัจจุบันนี้จึงมียีนที่ผลิตฮอร์โมนของความทุกข์และความสุขในอัตราส่วนที่พอเหมาะหรือเหมาะสมที่สุดที่จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีโอกาสอยู่ได้ยั่งยืนที่สุด แน่นอน แต่ละคนอาจจะมีระดับของฮอร์โมนแตกต่างกัน แต่ความแตกต่างก็ไม่มาก และมันก็ขึ้นกับยีนของแต่ละคน บางคนโชคดีที่มียีนของคนที่มีความสุขมากกว่า ดังนั้น เขาก็อาจจะมีโอกาสมีความสุขมากกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม ความสุขหรือทุกข์ยังขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น ๆ อีกมากในชีวิต ที่สำคัญและมีผลมากก็คือ การปฏิบัติหรือพฤติกรรมของเราที่อาจจะเอื้อให้เกิดความสุขมากกว่า เช่นเดียวกัน สิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ก็มีผลสำคัญต่อระดับความสุขหรือทุกข์ที่เราจะได้รับในชีวิต เรื่องของยีนและสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อความสุขสูงนั้นบางทีเราก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก ผมจึงอยากจะพูดถึงวิธีหรือการปฏิบัติตัวที่จะช่วยเพิ่มความสุขที่เป็นสิ่งที่เราต้องการสูงสุดว่าควรจะทำอย่างไร สิ่งที่พูดนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ความคิดของผมเอง แต่มาจากการศึกษาเรื่องราวของ “ความสุข” จากผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่มีการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ถึงเรื่องของความสุขของคน ว่าที่จริงในขณะนี้เรารู้แม้กระทั่งว่าใครกำลังมีความสุขโดยการใช้เครื่องวัดที่นำมาครอบศีรษะคนที่ยอมให้ทดลอง ความสุขนั้นไม่ใช่เป็นเรื่อง “ในใจ” ของเจ้าตัวเท่านั้นอีกต่อไป ความสุขเป็นเรื่องของร่างกายที่เราสามารถรู้ได้ด้วยเครื่องตรวจวัดการทำงานของสมอง เรื่องของความสุขนั้นกว้างและซับซ้อนมาก ผมจึงอยากเพียงแต่สรุปหลักการใหญ่ที่เป็นหัวใจของมัน ประเด็นแรกก็คือ ความสุขของคนน่าจะมีสองส่วนนั่นก็คือ ความสุขในระยะสั้นและความสุขในระยะยาว หน้าที่ของเราก็คือพยายามทำให้ “ภาพรวม” ของชีวิตเรามีความสุขมากที่สุด ความสุขในระยะสั้นก็คือ ความพึงพอใจที่เราได้รับในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นสนุก ท้าทาย และเราประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย เราก็จะมีความสุข บางทีการไม่ทำอะไรเลยเอาแต่นอนก็ทำให้มีความสุขได้ เช่นเดียวกัน การกินหรือดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่หรือการเสพยาเสพติดก็เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขได้ แต่ความสุขเหล่านี้ก็มักจะเป็นความสุขสั้น ๆ หลังจากนั้นร่างกายก็ “ปรับตัว” กลับสู่ภาวะปกติ และในอนาคตก็อาจจะนำไปสู่ความทุกข์ได้ ความสุขในระยะยาวของคนนั้นขึ้นอยู่กับการที่เรา “บรรลุเป้าหมายที่มีความหมาย” ในชีวิตของเรา เป้าหมายที่มีความหมายของแต่ละคนก็แตกต่างกันแม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างร่วมกันอยู่ คนบางคนอาจจะคิดถึงเรื่องของเงิน อำนาจ ชื่อเสียง การได้สร้างคุณูปการให้กับสังคมหรือคนอื่น บางคนอาจจะคิดถึงเรื่องของการอุดหนุนเกื้อกูลศาสนาและการ “นิพพาน” ใครก็ตามที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เขาก็จะมีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากขึ้น ประเด็นสำคัญก็คือ ความสุขในระยะสั้นนั้น บ่อยครั้งก็มักจะขัดกับเป้าหมายหรือความสุขระยะยาวซึ่งทำให้ความสุขโดยรวมของเรานั้นไม่ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น คนบางคนทำงานหนักมากและงานนั้นไม่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ เป็นงานที่ต้องทนทำ เป็นความทุกข์แต่เขาต้องทำเพื่อที่จะทำเงินให้มากเพื่อหวังที่จะรวยเพราะหวังที่จะได้รับความสุขในระยะยาว ซึ่งบางทีเมื่อรวยแล้วก็กลับพบว่าความสุขไม่ได้เกิดขึ้นจริง ความรวยอาจช่วยให้สามารถซื้อสิ่งของมาปรนเปรอตัวเองได้แต่มันก็เป็นเพียงความสุขสั้น ๆ ที่จะหายวับไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นความสุขระยะสั้น ความสุขที่จะอยู่ “ยาว” ก็คือกระบวนการในการเดินทางสู่เป้าหมายที่มีความหมายในชีวิต ดังนั้น คำพูดที่ว่า ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ที่เป้าหมาย แต่ความสุขคือการเดินทางสู่เป้าหมายนั้นผมคิดว่าเป็นคำพูดที่ถูกต้องแต่จะต้องเพิ่มอีกนึดหนึ่งว่าต้องเป็น เป้าหมายที่ “มีความหมาย” ด้วย การที่จะทำให้ชีวิตเรามีความสุขเต็มที่ตามศักยภาพของตนเองนั้นก็คือ การพยายามทำให้กระบวนการเดินทางสู่เป้าหมายทุกอย่างนั้นก่อให้เกิดความพึงพอใจซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขในระยะสั้นให้มากที่สุด และสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวมากที่สุด แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ทำอะไรที่เราไม่พึงพอใจเลย คนส่วนใหญ่อย่างน้อยก็ยังต้องทำงานบ้านเช่น ล้างถ้วยชามทำความสะอาดซึ่งอาจจะไม่เกิดความพึงพอใจ วิธีแก้ก็คือ “ทำใจ” ให้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่อง “ผ่อนคลาย” คิดเสียว่าแม้แต่ บิล เกต เองก็ยังบอกว่าตนเองชอบล้างจาน เพราะมันคลายเครียดดี แต่สิ่งที่เราควรต้องตระหนักจริง ๆ ก็คือ เราจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรืองานที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจสูงและเป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก ตัวอย่างเช่น งานประจำโดยเฉพาะงานที่เราต้องทำเพื่อหาเงินมาใช้ในชีวิตประจำวันและเก็บออมไว้ใช้ในอนาคต สิ่งที่เราควรทำก็คือ เราควรหางานที่เราทำแล้วรู้สึกสนุก ท้าทาย เป็นงานที่มีความหมาย ในขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนเป็นเงินที่ดีหรือยอมรับได้แม้ว่าอาจจะไม่ใช่งานที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด นี่จะทำให้เราทำอย่างมีความสุขและอยากไปทำงานทุกวัน และมันก็ยังสอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวที่มีความหมายเช่น ความมั่นคงทางการเงิน เป็นต้น งานหรือเป้าหมายที่มีความหมายเองนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นงานที่ต้อง “เสียสละ” ความสุขของตนเองให้เป็นความสุขของผู้อื่น นี่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะถ้าคุณต้องเสียสละ มันก็จะไม่ใช่สิ่งที่คุณพอใจ ถ้าคุณพอใจ คุณย่อมมีความสุข มันก็ไม่ใช่การเสียสละ มันเป็นเรื่องที่ได้กันทุกคนไม่มีคนเสีย และนี่ก็คือเรื่องราวของความสุขแบบสั้นที่สุด ซึ่ง VI ควรจะต้องเข้าใจและต้องแสวงหากลยุทธ์ที่จะนำเราไปสู่ความสุขที่มากกว่า แทนที่จะเป็นเงินที่มากกว่า
โดย
miracle57
จันทร์ พ.ค. 01, 2017 4:46 pm
0
3
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
เป้าหมายการลงทุน / ดร.นิเวศน์ เหมิรวรากร 9 เมษายน 2560 ********************** ถ้าคิดจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราควรจะมี “เป้าหมายในการลงทุน” อย่างชัดเจนเพื่อที่ว่าเราจะได้รู้ว่าเราสามารถทำได้ตามเป้าหมายไหม เพราะถ้าทำไม่ได้ในแง่ที่ว่าเราทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายมากติดต่อกันนาน เราก็อาจจะต้องเลิกหรือเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่ มิฉะนั้นแล้วเราก็จะเสียหายหนักโดย “ไม่รู้ตัว” เราอาจจะได้รับ “ความบันเทิง” และความตื่นเต้นสนุกสนานจากการเห็นหุ้นขึ้นลงและเม็ดเงินกำไรที่เกิดขึ้นรวดเร็วในบางครั้งและได้ “ลุ้น” อยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งหมดนั้นต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงมาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราสามารถทำได้ตามหรือดีกว่าเป้าหมายที่ถูกกำหนดไว้อย่างดีและสมเหตุสมผล อนาคตทางการเงินและชีวิตเราก็จะดีขึ้นมาก เป้าหมายแรกที่ผมคิดว่าเป็นเป้าหมายใหญ่และสำคัญมากเพราะมันจะเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายต่อ ๆ ไปก็คือเป้าหมายที่ว่าเรา “ลงทุนเพื่อการเกษียณ” หรือสำหรับบางคนที่อาจจะมีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายไปได้ตลอดชีวิตอยู่แล้วก็คือ “ลงทุนเพื่อเป็นมรดก” ให้ลูกหลานหรือบริจาคให้คนอื่นเมื่อตนเองตายไปแล้ว นี่เป็นเป้าหมายที่จะคอยเตือนให้เราลงทุนอยู่ตลอดเวลาและไม่เอาผลตอบแทนจากการลงทุนมาใช้ฟุ่มเฟือยในยามที่เรายังสามารถหาเงินจากการทำงานได้อยู่ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะได้กำไรหรือปันผลจากการลงทุนเท่าไร เราจะต้องเอาเงินนั้นกลับไปลงทุนต่อเพื่อให้มัน “ทบต้น” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้พอร์ตเงินลงทุนของเราโตขึ้นในอัตราเร่งตลอดเวลาและกลายเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” ที่จะทำให้เรารวยหรือมั่งคั่งอย่าง “ไม่อาจจะคาดคิดได้” เป้าหมายข้อสองก็คือ เราจะต้องทำผลตอบแทนแบบทบต้นในระยะยาวซึ่งอาจจะเป็นสิบหรือหลายสิบปีในอัตราไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี บางคนที่คิดว่าตนเองมีฝีมือในการลงทุนมากกว่าคนอื่นอาจจะตั้งเป้าหมายสูงกว่านั้น แต่การตั้งสูงขนาด 20% หรือมากกว่าในระยะยาวแล้ว ผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมากยกเว้นแต่ว่าขนาดของพอร์ตลงทุนยังเล็กและตนเองสามารถที่จะเสี่ยงลงทุนแบบ “กล้าได้กล้าเสีย” และไม่ได้มีภาระทางการเงินอะไรที่จะต้องเดือดร้อนหนักถ้าเกิดความเสียหาย โดยทั่วไปผมเองคิดว่าการตั้งเป้าผลตอบแทนทบต้นต่อปีในระยะยาวนั้นอย่างสูงสุดไม่ควรจะเกิน 15% ต่อปีสำหรับคนที่ “เก่ง” ที่สุด และการวัดผลตอบแทนแบบที่จะมีความหมายจริง ๆ ก็คือเริ่มต้นเมื่อเขามีพอร์ตลงทุนไม่ต่ำกว่า 5-10 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับ “คนกินเงินเดือน” ที่ไม่ได้มีเงินต้นทุนจากครอบครัวมาก่อน เป้าผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% นั้น หลายคนอาจจะคิดว่าง่ายเพราะเขาเชื่อนักวิชาการหรือกูรูที่บอกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาวของตลาดหุ้นคือ 10-12% ต่อปี แต่นั่นคืออดีตและเกิดขึ้นในประเทศ หรือสังคมที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วแบบมหัศจรรย์อย่างตลาดอเมริกาหรือไทยในช่วงหลายสิบปีก่อน ซึ่งสำหรับผมแล้วอนาคตอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ดังนั้น ถ้าใครคิดจะซื้อกองทุนอิงดัชนีเพื่อจะได้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10% อาจจะต้องมั่นใจว่าตลาดหุ้นที่เราจะลงทุนนั้นจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจมหัศจรรย์ในอนาคตอีกเป็นสิบ ๆ ปีข้างหน้าด้วย เป้าหมายต่อมานั้นสำหรับคนที่ต้องการลงทุนเองไม่ซื้อหน่วยลงทุนที่ต้องเสียค่าบริหารตลอดเวลาซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง ผมคิดว่าคือการตั้งเป้าว่าเราจะสามารถ “เอาชนะตลาด” ได้ไม่ต่ำกว่ากี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีโดยเฉลี่ย สำหรับเป้าหมายนี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ในขณะที่เริ่มตั้งกองทุนเพื่อบริหารเงินให้คนอื่นนั้น ได้ตั้งเป้าว่าเขาจะทำผลตอบแทนมากกว่าดัชนีตลาดหุ้นถึงปีละ 10% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม สถิติหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นได้พิสูจน์ว่าเขาทำได้ เขาได้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยประมาณ 20% ต่อปีเป็นเวลาถึง 50-60 ปี ซึ่งกลายเป็น “ตำนาน” ที่หาคนเทียบยาก แต่สำหรับนักลงทุนธรรมดาอย่างเราแล้ว ผมคิดว่าตั้งเป้าแค่ดีกว่าตลาดหุ้น 3-5% ต่อปีผมก็คิดว่าสุดยอดแล้ว แม้ว่า “เซียน” หลายคนจะบอกว่าเขาตั้งเป้าสูงกว่าตลาดปีละเป็น 10% และก็ทำได้มากกว่านั้นมาหลายปีแล้ว แต่นั่นคือเหตุการณ์ที่อาจจะไม่ต่อเนื่องยาวนานต่อไปก็ได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตลาดหุ้นไทยก็อาจจะอยู่ในสภาวะที่ “ไม่ปกติ” และเต็มไปด้วยแรงเก็งกำไรสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป้าหมายเรื่องของ “เม็ดเงิน” หรือขนาดของพอร์ตเมื่อถึงวันเกษียณหรือตอนตายก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญ เราต้องการมีเงินเท่าไร? สำหรับคนที่ไม่มี “เงินต้นทุน” และต้องอาศัยการออมเงินจากรายได้จากการทำงานประจำหรืองานที่ต้องใช้แรงงานตนเองจะต้องคิดคำนวณหรือคาดการณ์ไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ในปัจจุบันนี้มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่คิดให้เราได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่เราจะต้องใส่ข้อมูลที่เป็นไปได้และสมเหตุสมผลเช่นเรื่องของจำนวนเงินต้นที่เราจะลงทุนและทยอยลงทุนเข้าไปเรื่อย ๆ ผลตอบแทนแบบทบต้นต่อปีที่เราจะทำได้ และระยะเวลาที่เราจะลงทุนจนถึงวันเกษียณหรือ “วันตาย” ที่เราคาดไว้ ข้อเตือนใจของผมสำหรับเป้าหมายนี้ก็คือ เราต้องพยายาม “อนุรักษ์นิยม” เข้าไว้ เพราะการตั้งเป้าผิดไปนิดเดียว เช่น เราตั้งผลตอบแทนทบต้นจาก 10% เป็น 12% ต่อปี ด้วย “พลังของการทบต้น” เป็นเวลาหลายสิบปี จะทำให้เม็ดเงินสุดท้ายนั้นต่างกันหลายเท่า เมื่อได้กำหนดเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาก็คือการกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น เริ่มจากการที่จะต้องประเมินตัวเองว่าเป็นอย่างไร เริ่มต้นที่ความสามารถและศักยภาพในการทำงานหรือทำเงินของตนเองว่าเป็นอย่างไรและจะต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อที่จะทำให้สามารถเก็บออมเงินที่จะใช้ในการลงทุน บางคนโชคดีที่อาจจะมี “ต้นทุนเดิมจากครอบครัว” บางคนอาจจะเกิดมามีสมองดีและจบการศึกษาที่สามารถทำเงินได้มาก ซึ่งก็ทำให้มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรือบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายได้ง่ายกว่าคนที่ด้อยกว่า อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่เหมาะสมและวินัยของการปฏิบัติตามแผนก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน สำหรับคนที่เลือกหุ้นลงทุนเอง ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวแนว Value Investment ที่อิงอยู่กับราคาหุ้นที่ถูกหรือไม่ก็แนว วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่เน้นหุ้นซุปเปอร์สต็อกในราคายุติธรรม น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกว่าหุ้นที่เน้นการเติบโตแต่ราคาหุ้นแพง ส่วนการลงทุนหรือเล่นหุ้นแนว “เก็งกำไร” ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนนั้น ในระยะยาวแล้วคงไม่สามารถพาเราไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือการที่ต้องจ่ายค่าคอมมิสชั่นสูงมากและส่วนต่างราคาเสนอซื้อและเสนอขายที่สูงในทุกครั้งที่มีการซื้อหรือขาย สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าการที่จะเลือกหุ้นเองนั้นเป็นสิ่งที่อาจจะไม่เหมาะสมเนื่องจากความสามารถหรือเวลาที่จะใช้ในการวิเคราะห์ติดตามอาจจะไม่พอ ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีที่มีต้นทุนในการบริหารต่ำน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง จำไว้เสมอว่า ในตลาดที่พัฒนาแล้วและ/หรือในตลาดที่อยู่ในภาวะ “ปกติ” สถิติมันบอกว่ากองทุนอิงดัชนีต้นทุนต่ำคือ “เซียน” ที่สร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่านักลงทุนอื่นจำนวนมาก สุดท้ายที่ผมคิดว่าน่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ เราต้องการอยู่ในตลาดที่ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสูง เพราะนั่นคือจุดที่เราจะหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงง่ายกว่าตลาดที่ย่ำแย่—ในระยะยาว ดังนั้น การเลือกว่าเราจะลงทุนที่ไหนก็มีความสำคัญโดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่เราสามารถเลือกที่จะลงทุนในประเทศต่าง ๆ ได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าอย่างไรเราก็คงจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย เพราะนี่คือตลาดที่เราเข้าใจมากที่สุดและเงินที่เราจะใช้เป็นหลักก็เป็นเงินไทยด้วย
โดย
miracle57
จันทร์ พ.ค. 01, 2017 4:44 pm
0
2
Re: พอร์ตเท่าไรเรียกมีอิสระภาพทางการเงิน ปันผลต่อปีเท่าไรออก
นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่ประสบความสำเร็จในช่วงประมาณเกือบ 10 ปีที่ผ่านมานั้น รวมถึงนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลัง “อิน” หรือสนใจและศึกษาการลงทุนอย่างจริงจังในช่วงเร็ว ๆ นี้ ต่างก็มักจะมีเป้าหมายที่จะสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนในหุ้นอย่างรวดเร็วต่อเนื่องยาวนานจนถึงจุดที่ตนเอง “มีอิสรภาพทางการเงิน” และสามารถลาออกจากงานประจำในฐานะ “คนกินเงินเดือน” หรือการเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือองค์กรที่ตนเองทำงานอยู่ “อิสรภาพทางการเงิน” ในความหมายที่เป็นที่ยอมรับก็คือ การที่เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามปกติโดยอาศัยแต่รายได้จากการลงทุนและเงินลงทุนเพียงอย่างเดียวไปตลอดชีวิตโดยที่มีความเสี่ยงที่จะผิดพลาดน้อย ผมเองเคยให้นิยามว่าเราควรจะต้องมีเงินอย่างน้อยเท่ากับ 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยและเงินนั้นจะต้องถูกลงทุนในจุดที่ถูกต้องซึ่งรวมถึงการที่จะมักจะต้องลงทุนในหุ้นเป็นหลักตลอดไป พูดง่าย ๆ ถ้าเราต้องการใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท เราต้องมีพอร์ตหุ้นหรือพอร์ตลงทุนอย่างน้อย 4 ล้านบาท ถ้าต้องการเดือนละ 100,000 บาท ก็ต้องมีเงิน 20 ล้านบาทขึ้นไป ความเป็นอิสรภาพทางการเงินนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็น “ความฝัน” ของคนก็เพราะว่าเราอยากมีชีวิตที่มี “อิสระ” ไม่ต้องถูก “สั่ง” หรือถูก “จำกัด” อิสรภาพในเรื่องของเวลาที่เราจะทำอะไรหรือไม่ต้องถูก “วัด” ผลงานหรือความสามารถโดย “เจ้านาย” ซึ่งทั้งหมดนั้นมักก่อให้เกิดความคับข้องใจและทำให้เราเกิดความเครียด เป็นทุกข์ เราอยากทำอะไรที่เราอยากทำ เราอาจจะทำงานต่อไปก็ได้ถ้าเรามีความสุขที่จะทำ เราอาจจะอยากเป็น “ผู้ให้” ที่จะก่อให้เกิดความสุขทางใจมากกว่า หรือถ้าเราไม่อยากจะทำอะไรเลย เราก็สามารถใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ “กระดิกเท้า” ไปวัน ๆ ก็ไม่มีใครมาว่าหรือมายุ่งกับเราได้ นอกจากนั้น เขาก็อาจจะ “ฝัน” ต่อไปอีกว่า หลังจากมีเงินพอเลี้ยงชีพแล้ว ด้วยการลงทุนต่อไป เขาก็อาจจะ “ร่ำรวย” กลายเป็นเศรษฐีและสามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างฟุ่มเฟือยมากขึ้น มีบ้าน รถยนต์ และสิ่งของหรูหรา สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก และชีวิตมีแต่ “ความสุข” ผมเอง “ผ่าน” ประสบการณ์ดังกล่าวมาหมดแล้ว ว่าที่จริงผมผ่านประสบการณ์ “ก่อนหน้า” นั้นด้วย ความหมายก็คือ ผมผ่านประสบการณ์ที่ต้อง “เอาตัวรอด” ซึ่งก็หมายความว่าจะรักษา “มาตรฐานชีวิตเดิม” ได้หรือไม่ผลจากการที่เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤติในปี 2540 และกลายเป็นวิกฤติของชีวิตที่ต้อง “ตกงาน” และหางานที่จะจ่ายเงินเท่าเดิมยาก การเริ่มลงทุน “อย่างมุ่งมั่น” ในตลาดหุ้นของ ผมจึงเป็นการทำเพื่อ “เอาตัวรอด” ไม่ได้เป็นการลงทุนเพื่อความเป็นอิสรภาพทางการเงินไม่ต้องพูดว่าจะรวยเป็นเศรษฐี ถ้าจะว่าไป ในยามนั้น คำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” ยังไม่มีอยู่ใน “พจนานุกรม” ของผมหรือของใครด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้ว “ความมั่นคงทางการเงิน” และแน่นอนว่ามันคือความมั่นคงในชีวิต เป็นสิ่งสูงสุดที่ผมพยายามไขว่คว้า ด้วยอายุ 44 ปี ภรรยาที่มีอาชีพหลักเป็นแม่บ้านและลูกที่ยังเล็กและอนาคตการงานที่คงจะแย่ลงอย่างแน่นอนนั้น มันเตือนผมตลอดเวลาว่า สิ่งสำคัญของการลงทุนก็คือสิ่งที่วอเร็น บัฟเฟตต์ พูด นั่นคือ “อย่าขาดทุน” เจ็ดปีต่อมาในปี 2547 ด้วยอายุ 51 ปี ผมก็ลาออกจากงานประจำ มันเป็นการลาออกแบบ “กระทันหัน” ที่ผมไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแม้ว่าลึก ๆ แล้วผมคิดว่าผมมีพอร์ตหรือมีเงินมาก “เกินพอ” ที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องมีเงินเดือน อย่างไรก็ตาม เงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 7 ปีนั้น ผมเองก็ไม่มั่นใจว่ามันจะดำรงไว้ได้แค่ไหน ในช่วงปี 2547 พอร์ตผมเองก็ลดลงไปเกือบ 30% ในเวลาเพียงครึ่งปี แต่เงินเดือนนั้น ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรผมก็ยังได้รับมันทุกเดือน มันเป็น “ความมั่นคง” ที่จิตใจผมเองแสวงหามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กที่จำความได้ เพราะในสมัยก่อนที่สังคมไทยยังจนอยู่และผมเองก็เกิดในครอบครัวที่ต้อง “หาเช้ากินค่ำ” นั้น บางทีเราก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะมีวันไหนไหมที่เราจะต้อง “อดกิน” เนื่องจากวันนั้นเราไม่มีเงิน ดังนั้น วันที่ผมลาออกจากงาน ผม “ใจหาย” แม้ว่าจะมีพอร์ตหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉพาะจากเงินปันผลประมาณ 3 เท่าของเงินเดือน คนไทยรุ่นใหม่ที่เกิดมาในช่วงที่สังคมไทยรวยขึ้นและการ “อดอยาก” เป็นเรื่องที่ไกลตัวมักจะไม่รู้สึกมากถึง “ความมั่นคงทางการเงิน” ว่ามันเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขที่สำคัญเท่ากับคนรุ่นผม พวกเขาคิดว่าการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นนั้น เป้าหมายสูงสุดก็คือมีเงินพอและมากพอที่จะใช้ชีวิตที่มีอิสระและมีความสุขอย่างที่ตนเองต้องการ หลายคนลาออกจากงานประจำทันทีที่มีเงินมากพอที่จะ “มีอิสระทางการเงิน” โดยอิงกับตัวเลขการใช้จ่ายในปัจจุบัน บางคนก็ลาออกเร็วกว่านั้น พวกเขา “ตามฝัน” ที่จะทำอะไรที่เป็น “อิสระ” ซึ่งบางทีก็คือการไม่ต้องทำงานออฟฟิสที่น่าเบื่อและไป “ลงทุน” ซึ่งก็คือการซื้อขายหุ้นและลุ้นกับการขึ้นลงของหุ้นและของพอร์ตที่น่าสนุก การได้ไปเยี่ยมชมหรือไปฟังข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นเองก็เป็นเรื่องที่น่ารื่นรมย์กว่าการเป็นลูกจ้างเป็นไหน ๆ หลายคนประสบความสำเร็จอย่างงดงามอานิสงค์จากการที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่สูงอย่าง “มโหฬาร” แก่นักลงทุนโดยเฉพาะคนที่สังคมเรียกว่าเป็น “Value Investor” ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ในฐานะที่ผ่านประสบการณ์ตั้งแต่ศูนย์จนมีความมั่งคั่งผ่านการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ผมมีความรู้สึกว่าคนจำนวนมาก “Overestimate” หรือคาดหวังสูงเกินไปกับการที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินและความสุขที่จะตามมาจากการนั้น ประการแรกก็คือ การที่จะมีอิสรภาพทางการเงินโดยที่ตนเองไม่มี “ต้นทุน” หรือต้นทุนน้อยจากครอบครัวหรือคนอื่นนั้น และหวังจะลงทุนจนได้อิสรภาพทาง การเงินไม่ใช่เรื่องง่าย ปกติมันต้องใช้เวลาน่าจะเกือบทั้งชีวิต การตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถเกษียณตั้งแต่อายุ 40-50 ปี นั้น ไม่ใช่เรื่องผิดหรือเสียหายแต่ก็อย่าหมกมุ่นจนเกินไป ควรหางานและทำงานที่ไม่ได้ทำให้เราเครียดมากและมีความสุขตามอัตภาพ ทำงานไปเรื่อย ๆ จนกว่าเกษียณ ในขณะเดียวกัน ลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัยและมีการเติบโตพอประมาณไปในระยะยาวหลาย ๆ ตัวและหลาย ๆ อุตสาหกรรมเพื่อกระจายหรือลดความเสี่ยงการลงทุนลง เสร็จแล้วก็รอดูพอร์ตหุ้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเงินเดือนที่โตขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่จะได้ก็คือความมั่นคงทางการเงินที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งที่เรามั่นใจว่ามีเงินในพอร์ตมากพอและรายได้จากเงินปันผลสูงกว่าเงินเดือนมาก อย่างน้อยเป็น 2 เท่า เราก็อาจจะออกจากงานประจำเพื่อใช้ชีวิตที่เป็น “อิสระจริง ๆ” ไม่ห่วงว่าพอร์ตจะลดลงจนมีปัญหาแม้ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ สำหรับ “ความสุข” ที่เราแสวงหานั้น ผมคิดและเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของร่างกายเราเองที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดว่าเราจะมีความสุขอยู่ในระดับไหนถึงไหน คนบางคนอาจจะมีความสุขตั้งแต่ 70-100 หน่วย เงินนั้นอาจจะช่วยเราได้บ้างในแง่ที่จะช่วยซื้อ “ความทุกข์” บางอย่างทิ้งไป แต่ไม่สามารถสร้างความสุขของเราเกินร้อย ในขณะที่คนอีกคนหนึ่งนั้นอาจจะโชคดีที่เกิดมาก็มีความสุขระดับ 80-110 หน่วยโดยที่ใช้เงินน้อยมาก ดังนั้น สำหรับผมแล้ว สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ พยายามทำตัวเองให้มีความสุขเต็มศักยภาพของเราโดยที่ใช้เงินเป็น “ตัวช่วย” เท่าที่มันจะทำได้ อย่าไปหวังว่าถ้าเรามีเงินมากแล้วจะมีความสุขตามมาตามสัดส่วน มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย
โดย
miracle57
พุธ เม.ย. 19, 2017 11:09 pm
0
9
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
ผมจะตั้งกระทู้ว่า "คนที่ถึงอิสระภาพทางหารเงินแล้ว วันๆ กระดิกเท้ารับปันผล ชีวิตเป็นอย่างไรบ้างครับ" พอดีระบบตัดข้อความไปครับ
โดย
miracle57
อังคาร มี.ค. 28, 2017 1:50 am
0
1
Re: ดราม่าในตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตลท. เค้ามีระเบียบ ข้อกำหนดลงโทษ และดำเนินการเรียบร้อยแล้วไง กติกาเขียนไว้อย่างนั้น ที่นอกเหนือจากนั้นก็อารมณ์ดราม่า จะเอานั่นเอานี่ ซึ่งก็เป็นสิทธิทำได้เพื่อกดดันเจ้าตัว และผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจแต่งตั้ง/ถอดถอน ผู้บริหาร ซึ่งเมื่อทำไปแล้วมติเค้าก็ยืนยันตามนี้ ถ้าผู้ถือหุ้นคนใดไม่พอใจก็ขายหุ้นไปซะ หรือไม่ก็เก็บประเด็นไว้เสนอเป็นหัวข้อการประชุมในครั้งต่อไป ทางเดินไปตามครรลองมันก็อย่างนี้ ที่เหลือก็อารมณ์งอแงเหมือนเด็ก กับกรณีผู้บริหาร บลจ. บางแห่ง กีดกันผู้ถือหุ้นไม่ให้เข้าประชุม ดันเงียบกริบ ไม่รู้แบบนี้เรียกผิดธรรมาภิบาลหรือไม่ แต่ไม่เห็นพวกไหนพวกใดจะมาดราม่ากดดันเขาบ้างเลย
โดย
miracle57
ศุกร์ ก.พ. 26, 2016 7:24 am
0
13
Re: ร้อย8พัน9ความสุขในชีวิตการลงทุน
มันยากที่จะอธิบายความสุขออกมาเป็นคำพูดครับ มันเป็นเรื่องที่หัวใจเราบอกว่ามันใช่ ยิ่งทำมันยิ่งหลงรัก ตั้งแต่กระบวนการค้นหา วิเคราะห์ เข้าเป็นหุ้นส่วน ติดตาม ประเมินผล ทุกกิจกรรมมันเป็นความสุข ความท้าทาย มันไม่ใช่เพื่อตัวเงิน เพราะถึงตัวเงินจะเป็น infinity แต่เราก็ไม่ได้ใช้มันอยู่ดี ความเติบโตของพอร์ตเหมือนคะแนนบอกความสำเร็จมากกว่า ความสุขของการลงทุนจึงเป็นความสุขจากการได้ทำในกิจกรรมที่เรารัก และจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเมื่อกิจกรรมลงทุนที่เราทำนั้นมันประสบความสำเร็จด้วยมือของเรา
โดย
miracle57
อาทิตย์ ก.ค. 27, 2014 9:31 pm
0
3
Re: กระทู้รับสมัครหลักสูตรการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่น5 เปิดจอง 6ม
"สมัครเรียน"
โดย
miracle57
จันทร์ ม.ค. 06, 2014 9:01 am
0
0
Re: กระทู้รับสมัครหลักสูตรการลงทุนเน้นคุณค่ารุ่น5 เปิดจอง 6ม
"สมัครเรียน"
โดย
miracle57
จันทร์ ม.ค. 06, 2014 9:00 am
0
1
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
miracle57
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ต.ค. 03, 2012 1:30 pm
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ พ.ค. 01, 2021 12:26 pm
โพสต์ทั้งหมด:
15 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.00 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว