หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
[L]
Joined: อาทิตย์ ม.ค. 29, 2006 5:28 pm
200
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - [L]
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ขอความรู้เรื่อง salomon brothers and us treasury 1991
ถ้าหมายถึงการทุจจริตในการค้าพันธบัตรของ salomon ก็เรื่องยาวครับ แนะนำให้อ่านหนังสือ THE SNOW BALL มีแปลไทยชื่อ เปิดปมชีวิต สู่วิธีคิดแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เล่ม 2 บทที่ 47 โหมโรง บทที่ 48 เตะถ่วง บทที่ 49 เทพเจ้าพิโรธ
โดย
[L]
พุธ ม.ค. 21, 2015 12:44 am
0
5
Re: ถ้าหุ้นเติบโต 15% ขึ้นทุกปีพอกัดฟันซื้อ PE 30 ไหวไหมครับ
คงต้องเป็นหุ้นเติบโต ที่ยังขยายตลาดได้อีกหลายสิบปี แถมยังต้องมีความสามารถสูงมากๆ กันคู่แข่งหรือกินคู่แข่งตายหมด จนขยายอยู่คนเดียว ถ้าหุ้นแบบนี้มีจริงนะครับ จะเป็นยังไง ถ้าซื้อราคาแพงมากที่ PE 30 แล้วถือจนเกษียณอายุอีกประมาณ 30 ปี แล้ว PE ตกเหลือ 15 เท่า เริ่มต้น กำไรต่อหุ้น 1 บาท PE 30 ราคาหุ้น 30 บาท ปีที่ 30 กำไรต่อหุ้น = 1*(1+15%)^30 = 66.2 บาท PE 15 ราคาหุ้น 993 บาท คิดเป็นราคาเพิ่มขึ้น 33 เท่า หรือ 12.4% ต่อปีทบต้น ถ้ากิจการกระแสเงินสดดี จ่ายปันผล เช่น 80% ของกำไร ก็จะได้ปันผล 0.8บาท หาร 30 คิดเป็น 2.7% ดังนั้น ผลตอบแทนรวม 12.4 + 2.7 = 15% ทบต้น หรือ (1+15%)^30 = 66 เท่า ไหนๆก็ไหนๆ ถ้าลงทุนต่ออีกซัก 3 ปี ก็จะได้ 66*1.15^3 = 100 เด้ง ครับ อืม สงสัยคงฝันไป 55
โดย
[L]
พุธ ก.ย. 10, 2014 12:44 am
0
9
Re: ขอเชิญร่วมแสดงมุทิตาจิต แด่ ดร.นิเวศน์ 60 ปี ผ่านช่องทาง
ดร.นิเวศน์เป็นฮีโร่ในดวงใจผู้เปลี่ยนชีวิตผมเลยครับ อาจารย์เป็นทั้งผู้จุดประกายความหวัง เป็นผู้นำทางความคิดและเป็นแบบอย่างที่ดีเสมอมาทั้งการใช้ชีวิตและการลงทุน ความจริงใจและความมีน้ำใจของอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งโดยเฉพาะในวงการหุ้นที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์และความโลภ ผมติดตามผลงานของอาจารย์เรื่อยมาและจะติดตามต่อเรื่อยไป ทั้งงานเขียน งานสัมมนา รายการทีวี วิทยุ จนถึงวันนี้น่าจะเป็นเวลานับสิบปีแล้ว ตั้งแต่บทความแรกที่บอกว่า Value Investor คือใคร? จวบจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครแล้วที่ไม่รู้จักวีไอ นอกเหนือจากการเป็นบิดาแห่งนักลงทุนเน้นคุณค่าในประเทศไทยแล้ว อัจฉริยภาพด้านการเป็นนักเขียนของอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ผมคิดว่าไม่ง่ายเลยที่ใครคนนึงจะเขียนบทความได้ทุกสัปดาห์ติดต่อกันมาเป็นเวลาสิบกว่าปีเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะบทความของอาจารย์ได้ให้แง่คิดและมุมมองใหม่ๆกับผมเสมอ แนวความคิดของอาจารย์ได้ช่วยให้คนจำนวนมากมีความหวัง หลายคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชิวิตมีความสุขมากขึ้น คำสอนต่างๆของอาจารย์ผมยังจำใส่ใจและนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้ ผมรู้สึกซาบซึ่งจากใจจริง ขอบคุณอาจารย์มากๆครับ สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยอวยพรให้อาจารย์นิเวศน์มีสุขภาพแข็งแรง จิตใจคึกคัก หัวสมองแจ่มใส ทันสมัยเหมือนวัยหนุ่ม อยู่คู่กับพวกเราชาว thaivi ไปอีกนานแสนนานครับ
โดย
[L]
เสาร์ ส.ค. 17, 2013 4:24 pm
0
0
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
ผมขอแนะนำงานสัมมนาที่น่าสนใจ พูดถึงแนวการลงทุนที่ดีมาก คิดว่า VI ส่วนใหญ่สามารถนำไปใช้ได้ และเป็นแนวทางที่ควรศึกษาไว้ครับ เนื้อหาที่นำมาโพสนี้อาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่คิดว่าเพียงพอ (ช่วงแรกๆผมไปสายนิดหน่อยครับ :oops: ) บางคำพูดอาจไม่เหมือนเปะๆแต่ก็น่าจะใกล้เคียงและคิดว่าใจความหลักยังคงเดิม ผมขออนุญาตและขอบคุณ อ.นิเวศน์ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ :bow: งาน Shareholder Day at เอสพลานาด โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 25-08-2007 ชีวิตนี้ต้องการหุ้นที่ยอดเยี่ยม เจ๋งๆ แค่ 10 บริษัทก็พอแล้ว 2 ปีเจอตัวก็ไม่เป็นไร ขอให้ถูกตัวละกัน บางทีหุ้นดี แต่เราซื้อตอนมันขึ้นพรวด แล้วต่อมามันลง เราอาจคิดว่ามันไม่ดีแล้ว ทำให้ขายทิ้งไป หรือถ้าเราซื้อหุ้นโดยไม่ดูตัวเลข ใหม่ๆอาจจะขาดทุนนานพอควร อาจจะเป็นจิตวิทยา ทำให้เราขายทิ้งไป พอตอนหลังมันกลับมา เราก็ลืมมันไปแล้ว แต่ถ้าเราดูตัวเลข ซื้อหุ้นไปแล้วได้กำไร เราก็จะเก็บหุ้นนั้นไว้ได้ เพราะฉะนั้น ภาพใหญ่เราต้องดูว่า เราอยากเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นรึเปล่า อย่าไปดูตลาดหุ้นมากเกินไป วิธีการที่ง่ายและปลอดภัยและได้ผลตอบแทนดีมาก คือการลงทุนในบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าอันดับสองเยอะ และเติบโตได้ และแข็งแกร่ง และเก็บไว้นานๆ ในอดีตเมืองไทยเช่น SCC ถือเมื่อ 30 ปีก่อน กำไร 200 เท่า ในเมืองนอกเช่น WAL-MART หรือ MICROSOFT เติบโตยาวนานมาก หลายสิบปี จนคนที่ถือรวยไปตามกัน หุ้นพวกนี้บางทีเราคิดว่ามันเติบโตขึ้นมาหลายปี ราคาขึ้นมาพอสมควร เราคิดว่ามันคงจะหยุดแล้ว แต่หุ้นที่เติบโตมันจะเติบโตยาวนานมาก โดยเฉพาะถ้าเรามองออก เราก็ถือมันไว้ อย่าไปสนใจอะไรมาก ถ้ามีเงินก็เก็บเพิ่ม มีหุ้นอย่ามากเกินไป หลักๆแค่ 5-6 ตัว นี่จะเป็นโอกาสสร้างความมั่งคั่ง บางครั้ง ซื้อหุ้นถูกตัวเดียว ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว บางครั้งตัดสินใจถูกครั้งเดียวพอแล้ว อย่าไปวอกแวกมาก ว่าหุ้นตัวนู้นดี ตัวนั้นดี เพราะเราอาจจะไม่เก่งจริง ผมเองส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเองวิเคราะห์ไม่ค่อยเก่ง รู้สึกว่ารุ่นใหม่เก่งกว่าเราเยอะ นอกจากเก่งไม่พอแล้ว ยังค่อนข้างขี้เกียจอีก คิดเลขก็ไม่ค่อยถูก คอมก็ใช้ไม่เป็น มีคนมาถามว่า เลขนั้น เลขอย่างนี้เป็นไง เราก็ไม่รู้เพราะไม่เคยคิด กระแสเงินสดเป็นไง เราก็ไม่รู้ เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้อมความรู้อะไรไว้หรอก ผมซื้อหุ้นไม่เคยคิดตัวเลข แค่ดูเฉยๆไม่เคยเอาเครื่องคิดเลขมากดคำนวณ แค่ดูว่า กำไรเท่าไหร่ ปันผลเท่าไหร่ เรามั่นใจว่า ไม่มีวันลง มีแต่จะดีขึ้น บางทียังไม่คิดด้วยซ้ำว่า growth เท่าไหร่ เชื่อแค่ว่า กิจการจะดีขึ้นเรื่อยๆ และดียาวนาน 5 ปี 10 ปี ด้วยความเชื่อมั่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ โตช้าหน่อยไม่เป็นไร ผมซื้อเลย มีความเชื่ออย่างนึงว่า ถ้ากิจการยอดขายโตได้ 10% ต่อปีเรื่อยๆแทบไม่มีวันลงเลย นี่คือสวรรค์บอกได้เลย ตอนเราแก่ มันทบต้นเรื่อยๆ มันจะท่วมจนเราไม่รู้จะทำไงเลย เจอกิจการแบบนี้ ซื้อแล้วสบายใจ ไม่มีวันเครียด เพราะรู้ว่ามันจะโตขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นๆ ราคาหุ้นจะลงหน่อย จะอะไรหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเราเห็นมันเปิดร้านใหม่/ขยายกิจการตลอดเวลา กำไรเพิ่ม ยอดขายเพิ่ม เหมือนเด็กที่โต หรือเปรียบเหมือนเรากำลังเลี้ยงช้าง มันโตไปเรื่อยๆ มันไม่ได้โตเร็วนะ แต่โตตลอด เราดูตั้งแต่วันแรก เห็นเลยว่าไอนี่มันช้าง แต่ถ้าเราดูว่านี่คือกระต่าย เลี้ยงไว้วันแรกๆ โตเร็วมาก แต่ในที่สุดก็โตได้แค่นี้ เพราะกิจการมันเป็นกระต่าย มันจะโตไปได้ยังไง ผู้ใช้มันจำกัด แต่กิจการช้างมันโตไปเรื่อย เพราะสิ่งที่มันทำเป็นสิ่งที่พวกเราใช้กันทั่วประเทศ แบบนี้จะโตใหญ่มาก แต่กิจการอีกแบบ ที่คู่แข่งเยอะเหลือเกิน ไล่ๆกันมา พอโตมาหน่อย อีกคนก็จะมาแข่ง โตไม่ได้มาก แต่ถึงจะโตก็ไม่กำไร วิธีแบบนี้เป็นวิธีลงทุนแบบง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่เป็น แต่มีจิตใจที่มั่นคง ที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ และนี่ก็เป็นแนวทางการลงทุนแบบนึง ที่ไม่อาจอ้างได้ว่าดีที่สุด หรือกำไรสูงสุด แต่เป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก ลงทุนแล้วสบายใจ พอร์ตจะไม่มีวันลง จะโตเรื่อยๆ เป็นสิบๆปีก็ร่ำรวยและทุกคนก็ใช้ได้ เป็นพนักงานกินเงินเดือนจะร่ำรวยได้ยังไงถ้าไม่ลงทุนในหุ้น โลกสมัยใหม่นี้ทำธุรกิจมันยากมาก ถ้าเราเพิ่งเริ่มขณะที่คนอื่นมีมานานแล้ว เราไปจอยธุรกิจที่ยิ่งใหญ่แล้วดีกว่า
โดย
[L]
อาทิตย์ ก.พ. 14, 2010 11:56 pm
0
3
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
ไม่มีฝีมือเลย ลงทุนได้ไหม ? (ขอพูดถึงหัวข้อนี้หน่อย ถึงแม้ไม่ค่อยเกี่ยวกับชาว VI เท่าไหร่ แต่เพื่อนๆผมส่วนมากก็ยังเป็นชาวฝากเงินอยู่เลย และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่พนักงานทุกคนต้องมี ผมก็ทำใจไว้แล้วว่า "ไม่มีฝีมือ" แน่เลย :)) เคยได้ยินว่า เวลาช่วยเยียวยาได้ทุกโรค นี่ก็น่าจะด้วยเช่นกัน เพราะ ฝีมือไม่ใช่ทั้งหมดของการลงทุน ต่อให้เราวิเคราะห์หุ้นไม่เป็นเลย ถ้าเวลานานพอ ลงทุนในกองทุนหุ้นดัชนีก็รวยได้ (แต่ไม่รู้ว่าดัชนีประเทศไหนนะ อาจจะไม่ใช่ดัชนีหุ้นไทยก็ได้ :twisted: อันนี้ล้อเล่นนะ 555 :lol: ) ขอแค่มีความศรัทธาในการลงทุนระยะยาวในหุ้นก็สร้างความแตกต่างจากคนฝากเงินทั่วไปอย่างมหาศาลแล้ว แต่ คนส่วนใหญ่กลับไม่กล้าลงทุนหุ้นเพราะกลัวความเสี่ยง กลัวหุ้นตก เพราะชอบมองแต่ระยะสั้น ครับ เลยออมเงินไว้กับธนาคารเป็นส่วนใหญ่ หรืออย่างเก่งก็ซื้อกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 1-2% ต่อปี) โดย ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำตัวเองให้เสี่ยงอยู่...จากเงินเฟ้อ บางคนอาจไม่เห็นความสำคัญเพราะปีต่อปีมันไม่ค่อยรู้สึกอะไร เหมือนกบที่อยู่ในหม้อน้ำแล้วค่อยๆถูกต้มอย่างช้าๆๆ กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว :( (ฟังดูน่ากลัวเหมือนกันแหะ) แต่ถ้าลองมองยาวๆ...สมัยรุ่นพ่อยังเด็ก ก๋วยเตี๋ยว/ข้าวแกงชามละ 1 บาท ต่อมาตอนผมเป็นเด็กจำได้ว่า 10-15 บาท ต่อมาอีกหน่อย 20-25 บาท ต่อมาอีก 25-30 บ จนปัจจุบันผมว่าผมเห็น 35-40 บาทแล้ว เดาว่าต่อไปรุ่นลูกได้กินชามละ 100 บาทแน่ confirm! :twisted: แบบนี้ ถ้าเอาแต่ฝากเงินกินดอกเบี้ยอย่างเดียว ตอนเกษียณ ชีวิตคงไม่สดใสเป็นแน่ (อีกอย่างผมเดาว่า ต่อไปอาจจะไม่ได้เห็นดอกเบี้ยออมทรัพย์ระดับ 10% ต่อปี อีกเลยก็ได้) เห็นแบบนี้แล้ว ผมนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นแล้วต่อไปจะอยู่ได้ยังไง :? ผมมองว่าการออมเงินยามเกษียณหรือการลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ก็คือการลงทุนระยะยาว 30 ปี แล้วทำไมเราต้องมากังวลด้วยว่า หุ้นจะตกในเดือนนี้เดือนหน้าหรือแม้กระทั่งปีหน้าด้วยล่ะ เพราะ ต่อให้เริ่มต้นไม่ดี และดูเหมือนว่าหุ้นจะเสียเปรียบ แต่สุดท้ายแล้วหุ้นก็ยังชนะอยู่ดี ยกตัวอย่าง ถ้าสมมุติผมเริ่มลงทุนตอนต้นปี 2008 ก่อนเกิดวิกฤต ลงทุนเท่าๆกันทุกๆเดือนโดยหักจากเงินเดือน พอเกิดวิกฤตหุ้นตกหนัก ผมต้องขาดทุนแน่นอน ขาดทุนมากด้วย :vm: คนที่เลือกลงทุนตราสารหนี้อาจจะเป็นผู้ชนะในตอนนั้น แต่หลังจากนั้น พอหุ้นฟื้นขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะยังไม่เท่ากับตอนก่อนเกิดวิกฤต ผมก็ยังได้กำไร (เนื่องจากต้นทุนเฉลี่ยจะต่ำลงเรื่อยๆ) กำไรมากกว่าคนที่ฝากเงินหรือลงทุนตราสารหนี้(ระยะสั้น)ตั้งเยอะ (ที่จริงผมว่าหุ้นยังขึ้นเร็วไปด้วยซ้ำ ถ้ารออีกซัก 5 ปีค่อยขึ้น ผมคงรวยขึ้นกว่านี้อีกเยอะทีเดียว :) ) บางคนอาจจะคิดว่า ทำไมเราไม่สลับไปสลับมาระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ล่ะ ตอนหุ้น จะตก เราก็เปลี่ยนไปถือตราสารหนี้ก่อน แล้วพอตอนหุ้น จะขึ้น เราก็ค่อยเปลี่ยนมาถือหุ้น แบบนี้มันไม่ดีกว่าหรือ ที่พูดมาดูเหมือนจะง่าย แต่รู้มั้ยว่าปี 2009 มีคน ตกรถไฟ มากแค่ไหน ขนาด มืออาชีพ ก็ไม่เว้น ถ้าผมจำไม่ผิด ในปี 2009 กองทุนรวมหุ้นส่วนใหญ่ (เดาว่าประมาณ 90%) ก็แพ้ดัชนี (เรื่องการสลับระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้ Graham บอกให้ดูปันผลเทียบกับดอกเบี้ย แทนที่จะจับจังหวะตลาดจากข้อมูลเศรษฐกิจ) คงเคยได้ยินว่า ชนะในสนามรบย่อย แต่แพ้ในสงครามหลัก ถ้าคิดเป็นสงครามระหว่าง ชาวหุ้น กับ ชาวฝาก ในระหว่างสู้รบ บางครั้งคนลงทุนตราสารหนี้หรือคนฝากเงินอาจดูเหมือนเป็นฝ่ายชนะ หรือต่อให้ตลาดหุ้นตกต่ำเป็น 10 ปีก็ไม่เป็นไร แค่ขอให้ปีสุดท้ายตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นมา แค่เพียงปีเดียว ก็เพียงพอแล้วที่ ชาวหุ้น จะชนะขาดในสงครามครั้งนี้ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้เห็นถึง อันตรายจากเงินเฟ้อ และ ความไม่สมเหตุสมผลของ "การฝากเงินเพื่อการเกษียณ" เผื่อจะมีใครที่ยังฝากเงินอยู่เปลี่ยนใจมาลงทุนหุ้นบ้างก็ยังดีครับ :D ... ปล. เกือบลืม ยังไงก็ตาม หลังจากเชียร์หุ้น ต้องต่อด้วยประโยคนี้ด้วยครับ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน :D
โดย
[L]
อาทิตย์ ก.พ. 07, 2010 12:51 am
0
3
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
ผลตอบแทน VS ระยะเวลา (2) ต้องลงทุนนานแค่ไหน? สำหรับนักลงทุนพันธุ์แท้คงไม่ต้องถามคำถามนี้แล้ว เพราะ ถึงแม้จะมีอิสรภาพทางการเงินแล้วVI หลายคนก็อยากที่จะ ลงทุนตลอดชีวิต แต่สำหรับมือใหม่แบบผม ก็เคยบ่นในใจเหมือนกันว่า ต้องลงทุนอีกนานแค่ไหนกว่าจะรวยซะที ? เพื่อความสบายใจ สำหรับผมเลยคิดแบบนี้ครับ เจ้าของกิจการใช้เวลานานเท่าไร กว่าจะค่อยๆสร้างธุรกิจมารวยได้ เราซึ่งเป็นเพียงนักลงทุนก็คงใช้เวลาไม่ต่างจากนั้น กว่าจะค่อยๆสร้างพอร์ตมารวยได้เช่นกัน ดังนั้น อย่าคาดหวังว่าการเป็น VI จะทำให้เรารวยได้เร็วๆ การลงทุนต้องใช้เวลา ต้องยอมรับความจริงข้อนี้ สรุปคือ ต้องเตรียมใจ ตั้งแต่ต้นเลยว่า เรายัง ต้องลงทุนอีกนาน เป็นสิบๆปี อาจตลอดชีวิต (ถ้าไม่ตายซะก่อนนะ :) ) จะรวยเร็วหรือรวยช้า ก็ไม่เกี่ยง เพราะยังไงสุดท้ายแล้วก็รวยอยู่ดี :8) ระยะเวลาลงทุนสำคัญแค่ไหน? ที่จริงผมคิดว่า ระยะเวลาลงทุนและความสม่ำเสมอ สำคัญกว่า ผลตอบแทนสูงๆซะอีก เพราะถึงแม้ว่าเราจะได้ผลตอบแทนที่ใครๆก็คิดว่างั้นๆ เช่น 10-15% ต่อปี แต่ถ้าระยะเวลาลงทุนยาวพอเราก็รวยได้ ในทางกลับกัน การได้ผลตอบแทนสูงๆแค่ครั้งสองครั้ง ไม่สามารถทำให้รวยได้ หลังจากเริ่มลงทุนมาได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าพอร์ตยังเล็ก (โตช้าไม่ทันใจวัยโจ๋เลย ) เลยคิดว่า เราควร "พยายามเร่งความเร็ว" ทำผลตอบแทนให้สูงขึ้นกว่านี้อีกดีมั้ย? ผมเลยลองคำนวณดูเล่นๆว่า ถ้าทำผลตอบแทนได้ 15% ต่อปี จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ในอีกกี่ปี (สมมุติตั้งเป้าไว้ 40 ล้านบาท) แล้วเปรียบเทียบกับ ถ้าทำผลตอบแทนได้ 30% ต่อปีล่ะ (ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับผม) จะมีอิสรภาพทางการเงินได้ในอีกกี่ปี (อันนี้อย่าเอาไปเทียบกับเซียนๆ ทั้งหลายใน thaivi ที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 50-100% ต่อปีทบต้นนะครับ นั่น เป็นสามารถเฉพาะตัวห้ามลอกเลียนแบบ ครับ สำหรับเทพเท่านั้น :bow: ส่วนผมคนธรรมดาเดินดิน 30% นี่ก็โอ มากๆ แล้วครับ :oops: ) ผลปรากฏว่า การทำผลตอบแทนได้ 30% จะทำให้ได้อิสรภาพทางการเงินเร็วกว่าเดิมแค่ 5-6 ปี เท่านั้น (อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรของแต่ละคนด้วย เช่น เงินทุนเริ่มต้น เงินออมแต่ละเดือน การขึ้นเงินเดือน ...เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับพนักงานระดับกลางๆผลที่ออกมาก็คงไม่ต่างจากนี้มากนัก...) ซึ่ง ผมไม่เห็นความแตกต่าง ระหว่างคนที่รวยตอนอายุ 40 กับคนที่รวยตอนอายุ 45 เพราะ ยังไงก็ต้องอีกนานทั้งคู่อยู่ดี :( เมื่อคิดได้แบบนี้ ก็ ทำให้ความโลภอยากจะทำผลตอบแทนสูงๆรวยเร็วๆลดลงไปเยอะเลยครับ :) ( แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ห้ามได้ผลตอบแทนสูงๆนะครับ แต่เราจะมีอารมณ์โลภน้อยลงและลงทุนไปตามเหตุผลได้มากขึ้น จังหวะไหนควรเร่งก็เร่งได้ จังหวะไหนไม่ควรเร่งก็อย่าเร่ง) เปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอนที่มีกติกาว่า ถ้าใครถึงเส้นชัยได้ ไม่ว่าก่อนหรือหลัง จะ ได้เหรียญทองทุกคน ดังนั้น เราก็วิ่งๆเดินๆเรื่อยๆไปตามกำลังที่มี เรา ไม่จำเป็นต้อง "พยายามเร่งความเร็ว" วิ่งจนเหนื่อยหอบเพื่อแข่งกับใคร ถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ล้มเลิกออกไปกลางทางซะก่อน ก็ถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน ส่วนใครจะถึงเส้นชัยได้เร็ว ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน แต่ละคนขาแข็งแรง ปอดแข็งแรงไม่เหมือนกัน สรุปคือ ขอให้เราลงทุนไปเถอะครับ ใหม่ๆก็ต้องอดทนกันทุกคน ถึงเพิ่งจะเริ่มต้น ถึงจะไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แต่ถ้าเรายึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องแล้ว เราอยู่ในเกมส์นานพอ สะสมไปเรื่อยๆไม่ล้มเลิกออกไปกลางทางซะก่อน ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางได้ทุกคนล่ะครับ ...
โดย
[L]
อาทิตย์ ก.พ. 07, 2010 12:21 am
0
2
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
ผลตอบแทน VS ระยะเวลา (1) คาดหวังผลตอบแทนแค่ไหนดี? แน่นอนว่านักลงทุน VI ใหม่ๆทุกคนคาดหวังผลตอบแทนสูงๆทั้งนั้นครับ ผมเองก็ด้วย แล้วผลตอบแทนจากการลงทุนมาจากไหนกัน ถ้าการซื้อหุ้นคือการลงทุนในธุรกิจ ผลตอบแทนจากการลงทุนก็ต้องมาจากผลกำไรของธุรกิจ แล้วเราควรคาดหวังผลกำไรจากธุรกิจแค่ไหน มีการสำรวจว่า โดยทั่วไปธุรกิจใหญ่ๆที่ดีมีความสามารถเหนือคู่แข่ง ในระยะยาวแล้ว (เช่น 10-20 ปี) สามารถทำผลกำไรให้เติบโตได้ 10-15% ต่อปี ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวๆแล้ว ควรคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เกิน 15% ต่อปีก็พอแล้ว ครับ อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นของการลงทุนที่พอร์ตไม่ได้ใหญ่มากนัก เราอาจจะทำผลตอบแทนให้สูงกว่านี้ได้ เช่น การซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าแล้วขายเมื่อราคาสูงกว่าหรือเข้าใกล้มูลค่า หรือการซื้อธุรกิจในช่วงที่กำลังเติบโตมากในช่วงต้นและขายเมื่อถึงจุดอิ่มตัว หรือการหาโอกาสในสถานการณ์พิเศษต่างๆ และอื่นๆ แต่ข้อควรระวังคือ อย่าเพิ่มความเสี่ยงเพียงเพื่อจะหวังผลตอบแทนสูงๆ สำหรับเรื่องทั่วไป เรารู้ว่า ถ้าเราเพิ่มความพยายามเข้าไปอีก เราจะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตามความพยายามของเรา แต่การลงทุนเป็นเรื่องที่แปลก มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น บางเรื่องถ้าเราไม่รู้จริง (แต่กลับคิดว่าเรารู้จริง) ความพยายามที่ใส่เพิ่มเข้าไปนั้น แทนที่ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นมันอาจจะลดลงมากกว่า การลงทุนที่ถ้าพลาดแล้วจะเสียหายหนักต้องพึงหลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าถ้าสำเร็จจะได้กำไรสูงๆก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไม่เสี่ยงอะไรเลย นโยบายของผมก็คือ เมื่อคิดจะเสี่ยง ถ้าพลาดเราต้องไม่เสียหายมากนัก แต่ถ้าสำเร็จต้องได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เหมือนที่นักลงทุนดันโดกล่าวไว้ ออกหัวผมได้เงิน ออกก้อยผมเสียเงินนิดหน่อย หรือที่พี่นักลงทุน VI ท่านนึงว่าไว้ ผมชอบการลงทุนที่มี Potential Loss น้อยๆ มี Upside Gain สูงๆ สรุปคือ เราก็ทำตามความสามารถที่เรามีอยู่ ได้ผลแค่ไหนก็ต้องยอมรับ และอย่าหวังผลเลิศเกินไป การลงทุนเป็นการแข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับคนอื่น อย่าคาดหวังว่าเราจะต้องทำผลตอบแทนให้สูงๆเท่านั้นเท่านี้ จนทำให้เราต้องทำอะไรเสี่ยงๆโดยไม่จำเป็น เครียดขนาดนั้น มันไม่มีความสุขหรอกครับ ผมว่านักลงทุนระยะยาวที่ดี ต้องสบายๆ ต้องมีความสุขระหว่างทางด้วยครับ เหมือนเคยได้ยินว่า ถ้าเราลงทุนตามหลักที่ถูกต้อง เราทำเหตุที่ดี แต่อย่าคาดหวังผล แล้วผลลัพธ์ที่ดีจะตามมาเอง แต่ถ้าเรามัวแต่จะหวังที่ผล ผลลัพธ์มักจะออกมาไม่ดี สำหรับผมเองถึงเพิ่งจะผ่านปี 2009 ที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ก็รู้ว่า นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานๆๆที สำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนปี 2009 อย่าคาดหวังว่า ต่อไปจะได้ผลตอบแทนสูงๆขนานนั้นครับ (ที่จริงตอนนี้ก็น่าจะพอรู้แล้ว :) ) ต่อจากนี้ ผมตั้งเป้าไว้ 10-15% ต่อปีก็พอใจแล้ว สำหรับเรื่องการลงทุน ตั้งความหวังไม่สูงจนเกินไปแล้วเราจะมีความสุขครับ (อันนี้ขัดกับหลักการบริหารเลยครับ ผู้บริหารบริษัทมักจะตั้งเป้าให้สูงๆเข้าไว้ จนบางครั้งเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ ลูกน้องก็จะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว(ส่วนใหญ่) จะทำไม่ได้ก็ตาม ประมาณว่า ถึงตี(ลูกกอฟล์)ไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่ก็ตกอยู่ท่ามกลางดวงดาวอยู่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลดีต่อบริษัทครับ) ...
โดย
[L]
อาทิตย์ ม.ค. 31, 2010 8:31 pm
0
2
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
บทเรียน/ สิ่งที่ได้เรียนรู้ ผมลองนึกดูว่า ที่ผ่านมาลงทุนยังไง เห็นอะไรมาบ้าง พบว่า - การลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ มีวิธีเดียว มีหลายวิธีที่สำเร็จได้ แนวทางใครแนวทางมัน - หลังวิกฤตย่อมมีโอกาส แต่ก่อนจะมีโอกาสต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงเราต้องกล้า - อย่าให้ความสำคัญกับผลตอบแทนการลงทุนมากจนเกินไป ความสม่ำเสมอและระยะเวลาการลงทุนต่างหากที่สำคัญมากกว่า - และข้อสังเกตอื่นๆที่น่าสนใจ การลงทุนให้สำเร็จไม่ได้มีวิธีเดียว เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า น่าจะมีแนวทางการลงทุนอันเดียวที่ดีที่สุด ที่เหมาะกับทุกคน ต้องลงทุนแบบนี้ถึงจะดี ลงทุนแบบอื่นๆนั้นไม่ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงรู้ว่า จริงๆแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะคนเรานั้นต่างกัน ทางที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ มีทางเดียว แต่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักมีแนวทางเป็นของตัวเอง บางคนเก่งหุ้น Cyclical บางคนชอบหุ้นถูกมีตัวเร่ง บางคนหุ้นฟื้นตัว บ้างก็หุ้นประมูลงาน บางคนชอบ Super Stock บางคนเก่ง Commodities บางคนเก่ง Arbitrage บางคนเก่งทุกอย่างเลย :bow: หรือบางคนก็ใช้ Technical ใช้ Fund Flow ประกอบ เรื่องการบริหารพอร์ต บางคนก็ชอบถือนานหลายปี บางคนถือไม่นานมากหุ้นขึ้นก็ขายเปลี่ยนตัว บางคนถือแค่ไม่กี่หุ้น แต่บางคนก็ชอบกระจายหลายหุ้น หรือบางคนอาจจะเหมาะลงทุนในกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเลยก็ยังได้ ไม่มีใครถูกใครผิด แนวทางไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเราต้องแน่ใจว่าเรารู้เรื่องเหล่านั้นจริงๆ (มีนักลงทุนฝีมือดีท่านนึงเคยกล่าวว่า แมวสีไหนไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอแล้ว) ดังนั้น เรา ไม่จำเป็น ต้องเก็บหุ้นเด็ดทุกตัว เอา แค่ไม่กี่ตัวที่เราเข้าใจ ได้ก็พอแล้ว ผมเองพลาดหุ้นเด็ดไปตั้งเยอะ บางตัวก็เป็นโอกาสที่ดีซึ่งผมก็เสียดายเหมือนกัน :( แต่ส่วนใหญ่ไม่ลงทุนเพราะยังไม่เข้าใจพอ และบางตัวก็ไม่ใช่แนวที่ถนัด :oops: หุ้นที่ผม ไม่เคย ลงทุนเช่น AIT BANPU BGH BH BLA BOL CPF CPN DSGT GFPT ILINK IRP KH MINT PB PDI PS PTT PTTEP SAT SCIB SCNYL SIS SNC SPALI SSF STPI SVI TICON TNH TOP TPAC TTA UEC UMS UVAN WG ตลอด 4 ปีที่ลงทุนมา กว่า 80% ของผลตอบแทนการลงทุนเกิดจากหุ้นหลักๆเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น (4-5 ตัว) ส่วนผลงานอีก 20% ที่เหลือเกิดจากหุ้นจำนวนมากกว่าที่ผมลองซื้อขายบ่อยๆแบบเก็งกำไร ซึ่งช่วงหลังผมพยายามทำให้น้อยลง ที่ผ่านมาสไตล์การลงทุนหลักที่ผมใช้คือเน้นลงทุนน้อยตัว (Focus) ถ้าภาวะปกติ ผมจะเลือกหุ้นคุณภาพที่มี DCA + Growth ยกเว้นถ้าเกิดวิกฤตเหมือนปีที่แล้ว ผมจะเลือกหุ้นถูก + ฟื้นตัว + DCA ส่วนนักลงทุนท่านอื่นๆก็มีแนวทางของเค้า มีผลงานการลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงๆมากมาย ต้องรอดจากวิกฤต และเมื่อโอกาสมาถึงต้องกล้า การลงทุนที่ผ่านมา ผมคิดว่าผมมี โชค อยู่มากพอควร (จะเรียกว่าฟลุ๊คบ้างก็ได้) แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผลตอบแทนที่คิดเป็นเม็ดเงินส่วนใหญ่ของผมเกิดขึ้นในปี 2009 เหมือนมีคนเคยบอกว่า โอกาสใหญ่ๆของคนเรามีแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต เมื่อมันมาถึงเราต้องกล้า แต่ไม่ใช่อยู่ๆก็กล้า เราต้องศึกษาต้องเห็นมาก่อน ตอนผมอ่าน ตีแตก อ่านบทความ ผมทั้งดีใจและเสียใจ เสียใจที่โอกาสดีๆแบบตอนนั้น มันผ่านไปแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาอีก ผมพอรู้เรื่องราวของหุ้นเรือ หุ้นปี 2003 ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่า ถ้าโอกาสครั้งหน้ามาถึงผมต้องไม่พลาด แต่เนื่องจากโอกาสจะมาหลังวิกฤต ดังนั้นก่อนจะมีโอกาสได้ เราต้องรอดจากวิกฤตซะก่อน เพราะถ้าพลาดเราอาจไม่ได้แก้ตัวอีก (ที่จริงปี 2008 ผลตอบแทนผมก็ติดลบ 30% ไม่รู้จะเรียกว่ารอดดีรึเปล่า :oops: ) ดังคำกล่าวว่า ถ้าเรารู้ว่าเราจะตายที่ไหน ก็อย่าไปที่นั้น ดังนั้นถ้าเรารู้ว่าโอกาสขาดทุนครั้งใหญ่เกิดได้ยังไง เราก็อาจจะพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง เท่าที่ผมเห็น โอกาสขาดทุนครั้งใหญ่ มักจะเกิดจาก การลงทุนในหุ้นคุณภาพต่ำหรืองั้นๆในเวลาทองของธุรกิจนั้น และ การใช้ Margin ที่มากเกินไป หรือทั้งสองอย่างรวมกัน :vm: อีกอย่างคือ การลงทุนหุ้นคุณภาพดีในราคาที่แพงเกินไป เช่น PE 40 เท่าบนกำไรปกติ (ที่ผ่านมา VI น้อยคนที่จะลงทุนแบบนี้) หรือแม้แต่ การลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นที่ร้อนแรง เช่น ลองนึกถึงตลาดหุ้นจีนตอนก่อนวิกฤตที่ PE 40 เท่าดู (ไม่ต้องพูดถึงหุ้นปั่น หรือการเล่นเก็งกำไร Futures ซึ่งนักลงทุนทุกคนควรรู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสหมดตัวได้ทุกเมื่อ) ดูเหมือนผมจะพูดย้อนหลังใครก็พูดได้ (แต่ใครจะพูดย้อนหน้าได้ล่ะ :evil: ) ปลายปี 2008 - ต้นปี 2009 ทุกคนรู้ว่าหุ้นถูก แต่ไม่ค่อยมีคนกล้า (ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปที่ไม่ใช่ชาวหุ้น ซึ่งไม่เคยตระหนักถึง ไม่สนใจด้วยว่า โอกาสมาถึงแล้ว และผ่านไปแล้ว) แต่ ลงมือทำจริงมันไม่ง่าย เลย นอกจากจะเอาหลักเหตุผล หลัก VI มาสู้ทุกทางแล้ว ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องมี ความมั่นคงทางอารมณ์มากๆ และต้องมีความเชื่อมั่นในหลักการที่ใช้อย่างมาก (ช่วงนั้นก็ไปงานสัมมนาบ่อยๆ อ่านบทความอาจารย์บ่อยๆหลายๆรอบ) จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว อันนี้หลายคนเคยได้ยิน แต่พอถึงเวลาจริงๆกลับรู้สึก โลภไปกลัวไป โดยเฉพาะ เคาะซื้อไปใจสั่นไป :? VI รุ่นใหม่ที่พลาดปี 2009 ก็ไม่ต้องเสียดายมาก ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว วิกฤตหน้ายังมีอีกแน่นอน :twisted: แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ อาจจะปีเดียวหรืออาจจะ 10 ปีก็ได้ ไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆคือต้องเอาตัวรอดให้ได้ด้วย (แต่ต่อให้ไม่ต้องมีวิกฤตเลยก็ยังได้ ถ้าเราลงทุนตามหลักไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอไปเรื่อยๆ ก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน เพราะ ระยะเวลาต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลงทุน) ขอมาต่ออีกทีซักอาทิตย์หน้านะครับ :) (ไม่นึกว่าการเขียนจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย นับถือคนที่เค้าเขียนบทความให้ความรู้บ่อยๆจริงๆครับ :bow: )
โดย
[L]
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2010 11:58 pm
0
4
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
เริ่มต้นลงทุนยังไง ? ผมเพิ่งจะลงทุนมาเต็ม 4 ปีเองครับ ผมยังมือใหม่มากๆ ยังต้องเรียนรู้ ยังต้องลองผิดลองถูกอีกเยอะ :oops: ตอนเริ่มจะซื้อหุ้น ผมรู้ว่าผมไม่ได้เก่ง ประสบการณ์ลงทุนก็แทบไม่มี เวลาก็ไม่มีเพราะต้องทำงาน ข่าวสารต่างๆก็รู้ช้ากว่าคนอื่น แถมยังค่อนข้างขี้เกียจ(อันนี้เป็นปัญหาหนักสุด ห้ามลอกเลียนแบบ :oops: ) แทบไม่เคยโทรหา IR หรือ company visit เลย ดังนั้นด้วยข้อจำกัดต่างๆ ผมจึงไม่ค่อยได้คิดอะไรใหม่ๆ หรือเริ่มต้นหาหุ้นด้วยตัวเองเลย พูดง่ายๆคือ ผมอาศัยลอกการบ้านเอาจากอาจารย์และพี่ๆที่เค้าศึกษามาแล้ว :bow: ผมศึกษาเอาจากคนเก่งๆทั้งหลายนั่นแหละครับ เช่น ไปสัมมนาบ่อยๆ อ่าน thaivi อ่านหนังสือ จากนั้นผมก็มาเลือกลงทุนเองอีกที เรียกได้ว่าผมทำการบ้านของการบ้านของคนอื่นอีกทีครับ อย่างน้อยเราก็ต้องเข้าใจในกิจการและวิเคราะห์ตามหลัก VI เองตามปกติด้วย (ส่วนสไตล์การลงทุนแต่ละคนก็ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเอง) และ ต้องคิดด้วยตัวเองอีกทีก่อนตัดสินใจ เพราะถ้าพลาดจะได้ไม่โทษคนอื่น แต่ถ้ากำไรต้องชมเค้านะครับ :D ซึ่งส่วนใหญ่มีหุ้นน้อยตัวที่ผมจะซื้อ ( การแห่ซื้อตามเซียนโดย ไม่มี ความรู้เป็นเรื่องอันตรายมากๆนะครับ ) ผมจะมอง หาโอกาสที่ง่ายๆชัดๆ ซึ่งนานๆจะเจอที ปีๆเจอ 1 2 ทีก็พอแล้วครับ บางตัวก็อยู่หลายปี เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยทำอะไร แต่ก็จะติดตามข่าวสารไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องราวของหุ้นที่อยู่ในความสนใจของเรา ที่เหลือก็อ่านหนังสือบ้างไปตามเรื่องตามราว ในพอร์ตก็มีหุ้นหลักๆ 2-3 ตัว ระหว่างปีก็มีแบ่งเงินบางส่วนมาลองผิดลองถูกบ้าง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามภาษาคนมือใหม่ นี่คือผลงานการลงทุนที่ผ่านมาของผม 2006 +58.6% 2007 +31.6% 2008 -30.7% 2009 +369.3% คราวหน้าผมจะลองเล่าถึงประสบการณ์ลงทุนบ้าง เท่าที่นึกออกครับ
โดย
[L]
ศุกร์ ม.ค. 22, 2010 12:09 am
0
1
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
ทำไมถึงต้องลงทุนในหุ้น ? ถ้าไม่รู้ซึ้งถึงความสำคัญของข้อนี้แล้วละก็ มันก็ไปได้ไม่ถึงไหนหรอกครับ เดิมทีผมก็มีความคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ คือ หนทางที่คนเราจะรวยได้คือ เราต้องเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ (คนรุ่นเก่าจะเชื่อแบบนี้เยอะ แต่สำหรับผมมันคงจะยากลำบากมาก) หรือไม่ก็ต้อง เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ๆ (อันนี้พอมีลุ้น แต่หลังจากทำงานมาซักพัก ผมว่าผมคงไม่เหมาะจะเป็นผู้บริหาร :oops: ) หรือไม่ก็ต้อง พ่อแม่รวยอยู่แล้ว (อันนี้ก็ไม่ใช่ผม) หรือไม่ก็ต้อง ได้เมียรวย (ถ้าผมหล่อเหมือนดาราเกาหลี ก็ว่าไปอย่าง :twisted: ) สรุปคือ ผมไม่เอาถ่านเลยซักอย่าง :oops: แต่ผู้จุดประกายความหวังให้ผม คือหนังสือของ อ.นิเวศน์ ครับ ตอนนั้นรู้สึกจะมีอยู่ 3 เล่ม ตีแตก เคล็ดลับเซียนหุ้นพันธุ์แท้ และ เซียนหุ้นมือทอง ผมอ่านหมดเลยครับ อ่านแล้วรู้สึก ใช่เลย ต้องขอบคุณ อ.นิเวศน์ มากๆเลยครับ ถือว่าท่านเป็นอาจารย์ด้านการลงทุนของผมเลยครับ จากนั้นผมก็ติดตามผลงานของ อ.นิเวศน์ เรื่อยมาจนปัจจุบัน แล้วผมก็ตระหนักได้ถึงความสำคัญของ 2 สิ่ง คือ หนึ่ง อัตราผลตอบแทนทบต้นมันมหัศจรรย์มาก ในระยะยาว (เช่น 10-20 ปี) มันทำให้เรา รวยได้จริงๆ สอง ทางเดียวที่พนักงานกินเงินเดือนธรรมดาๆอย่างผม จะรวยได้คือ ต้องลงทุนในหุ้นเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงิน ก็เพื่อจะลงทุนในหุ้นต่อไปครับ เริ่มออมเงินยังไง ? ตอนเริ่มลงทุนจริงๆ ผมก็ค่อยๆสะสมเอาจากเงินเดือนครับ เริ่มจากหมื่น หลายๆเดือนก็เป็นแสน หลายๆปีก็เป็นล้านได้ ดังนั้น ช่วงแรกๆต้องอดทนมาก หน่อย กว่าจะเก็บเงินลงทุนได้ซักแสนก็หลายๆเดือนอยู่ ช่วงแรกที่ลงทุน ถึงจะได้กำไรมาตั้งหลายสิบเปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเม็ดเงินก็แค่ไม่กี่หมื่นบาท แต่ถ้าอดทนสะสมไปเรื่อยๆ หลังๆมันจะเร็วจนน่าตกใจเลยครับ (เวลาขาดทุนก็ตกใจเช่นกันครับ :lol: ) เงินเก็บสะสมในแต่ละเดือนผมลงทุนในหุ้นทั้งหมด ผมค่อนข้างจริงจัง ครับ เพราะผมรู้แล้วว่า การลงทุนในหุ้นมันสำคัญขนาดไหน ไม่มีลังเลครับ ผมไม่ซื้อรถ ไม่ซื้อคอนโด ไม่ซื้อบ้าน ไม่มีบัตรเครดิต ไม่ซื้อเครื่องใช้แพงๆโดยไม่จำเป็น มันทำให้ผมมีเงินเหลือไว้ลงทุนเป็นสัดส่วนค่อนข้างเยอะ ประมาณว่า อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารการกิน การท่องเที่ยว เสื้อผ้า ของใช้ทั่วไป หรือเรื่องอื่นๆที่จำเป็น เช่น สุขภาพ การเรียน หรือหนังสือ ผมไม่ค่อยได้ประหยัดเท่าไหร่ครับ แต่ผมจะหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายใหญ่ๆแทน เช่น บ้าน รถ คอนโด (แต่ถ้าใครจำเป็นซื้อ ก็ต้องซื้อนะครับ แต่อย่าให้เกินตัว) แค่นี้ผมก็มีความสุขได้ 80% โดยใช้เงินแค่ 20% แล้ว ผมว่าการซื้อรถ บ้าน โดยไม่จำเป็นน่าจะเป็นความทุกข์ด้วยซ้ำไป การทำแบบนี้ ก็ต้องมีจิตใจที่มั่นคง ต้องศรัทธาในการลงทุนหุ้นพอสมควร เพราะมันค่อนข้างจะสวนกระแสกับคนทั่วไป ใหม่ๆผมเล่าเรื่องการลงทุนแนว VI ให้เพื่อนที่รู้จักหลายคนฟัง ไม่มีใครเชื่อเลย แล้วยังมองว่าแปลกประหลาด หรือมองเป็นเรื่องตลกด้วยซ้ำไป VI เป็นศาสตร์(และศิลป์)ของคนส่วนน้อยจริงๆ เป็นคนประเภทต้องคิดต่างจากคนส่วนใหญ่ (แล้วก็น่าจะรวยต่างจากคนส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน) เหมือนเคยได้ยินว่า VI มันเป็นสิ่งติดตัวมา ผมยังไม่เคยเห็นใครค่อยๆเป็น VI เลย ถ้าใครได้ยินแนวทาง VI แล้วใช่ ก็ใช่เลย ถ้ามันไม่ใช่ตั้งแต่แรก ยังไงมันก็ไม่ใช่ เริ่มต้นลงทุนยังไง ?ไว้มาต่อคราวหน้าอีกทีนะครับ ...
โดย
[L]
อังคาร ม.ค. 19, 2010 10:56 pm
0
1
มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้ จริงหรือไม่
ขอโทษด้วยครับ ที่จริงผมไม่ได้อ่านกระทู้นี้เลยนะครับ ถ้าพี่ sai ไม่บอก ผมคงไม่รู้เรื่องเลย เพิ่งมารู้เรื่องเมื่อวานซึน งานก็ยุ่งๆด้วยครับ :oops: ผมขอออกตัวก่อนเลยนะครับ เพื่อนๆอย่าคาดหวังอะไรมากนะครับ ผมเป็นคนธรรมดาๆ ฝีมือก็ธรรมดาๆครับ ไม่ใช่ เทพ ไม่ใช่ เซียน ขอเล่าที่มาที่ไปสักเล็กน้อยนะครับ เมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้ไปกินข้าวกับพี่ๆเพื่อนๆ VI กลุ่มนึงรวมทั้งพี่ sai, พี่ biker ด้วย แต่ละคนก็เก่งๆกว่าผมทั้งนั้นครับ ก็กินไปคุยไปเรื่อยๆตามภาษา VI จนยังไงไม่รู้ พอพี่เค้ารู้ว่าผมถือหุ้นอยู่บริษัทนึง (ไม่ได้มากมายอะไรนะครับ) แล้วผมก็บอกว่าผมเริ่มต้นลงทุนจากศูนย์ โดยอาศัยเงินเก็บแต่ละเดือนจากเงินเดือนมาลงทุนสะสมไปเรื่อยๆ พี่ sai เค้าก็ตกใจใหญ่เลยครับ ผมก็งงๆว่าตกใจอะไร เริ่มต้นลงทุนจากศูนย์มันแปลกตรงไหน ปรากฏว่า VI หลายคนที่พี่เค้ารู้จักส่วนใหญ่มีเงินลงทุนเริ่มต้นเป็นหลักล้านทั้งนั้นเลย ผมเดาว่าคงเป็นเพราะ พี่ๆรุ่นก่อนๆเค้าน่าจะเป็นแบบที่เรียกว่า มีตังค์อยู่ก่อน ค่อยมารู้จัก VI ทีหลัง ส่วนผมคนรุ่นหลังหน่อย เลยรู้จัก VI ก่อน ค่อยมารู้จักตังค์ทีหลัง (หวังว่านะ :) ) ผมว่านักลงทุน VI รุ่นใหม่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเหมือนผม สรุปคือ ที่พี่ อิอิอิ (ซาอิ) ชักนำผมมาพูดเนี่ย หลักๆไม่ใช่เพราะผมเก่งเลยนะครับ แต่เพราะผมเริ่มต้นลงทุนจากศูนย์แล้วยังพอไปวัดไปวาได้ต่างหากล่ะครับ และคงพอเป็นกำลังใจให้น้องรุ่นใหม่ได้บ้าง :8) ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ขอเล่าไปแบบเรื่อยเปื่อย ไร้สาระบ้างอย่าว่ากันนะครับ มีเงินน้อยเป็น VI ไม่ได้จริงหรือ ? คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่จริง แต่ปัญหาคือ VI รุ่นใหม่หลายคนมักจะน้อยใจหรือเสียใจ ว่าเพิ่งเริ่มต้น เงินลงทุนยังมีน้อย ลงทุนเมื่อไหร่จะรวยซะที ผมว่าลอง คิดกลับกัน ดูสิครับ บางคน ที่เค้ามีเงินลงทุนเริ่มต้นหลายล้านน่ะ จริงๆแล้วเค้าก็ต้องค่อยๆเริ่มต้นทำงานเก็บเงินมาก่อนนะ ว่าที่จริงตอนนั้นเค้ายังไม่รู้จัก VI เลยด้วยซ้ำไป พวกเค้าต้องฝากเงินอยู่ในธนาคารตั้งนาน นานหลายๆปีจนมีเงินเยอะแล้ว ถึงเพิ่งจะมารู้จัก VI และมาลงทุนแบบ VI คิดดูสิว่า ถ้าพวกเค้ารู้จัก VI มาตั้งแต่ต้น ผลมันจะออกมาแตกต่างขนาดไหน พวกเค้าสูญเสียโอกาสไปขนาดไหน VI รุ่นใหม่อย่างพวกเราถือว่าโชคดีมากนะครับ ได้รู้จัก VI ตั้งแต่ช่วงต้นๆของการลงทุน ก็คิดซะว่าเราเป็นคนพอร์ตใหญ่สมัยตอนหนุ่มๆก็แล้วกัน ดังนั้นเราก็ไม่ควรไปอิจฉาเค้าเลยนะครับ เค้าต่างหากที่ควรอิจฉาเรา :D (ที่ยกตัวอย่างมานี้ ก็เพื่อเป็นกำลังใจ VI รุ่นใหม่ที่ยังเบี้ยน้อยหอยน้อยอยู่นะครับ มิได้มีเจตนาว่ากล่าวใครนะครับ ยังไงก็ตาม ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ) วันนี้ง่วงแล้ว ขอมาต่อใหม่คราวหน้านะครับ (สรุป เล่ามาตั้งนานยังไม่เข้าเรื่องเลย :oops: ) ....
โดย
[L]
อังคาร ม.ค. 19, 2010 2:15 am
0
3
ผมได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ครับ
ผลตอบแทน 11 ปี เฉลี่ยแบบทบต้น เท่ากับ... 16.5% ต่อปี ครับ
โดย
[L]
พุธ เม.ย. 16, 2008 9:14 pm
0
0
เสาร์นี้ ใคร ไปงาน ที่ มี ด.ร. นิเวศม์ และเพื่อนๆ ใน เวบบ้าง
ไปมาครับ คนเยอะมากจริงๆ ต้องขอบคุณคณะผู้จัดและวิทยากรที่มาให้ความรู้ครับ ได้ความคิดดีๆเยอะเลยครับ เช่น - บางครั้งความคิดดีๆในการลงทุน ไม่ได้มาจากการตั้งหน้าตั้งตาขยันหาข้อมูลทั้งวัน แต่กลับมาจาก จินตนาการ โดยอาศัยการหมั่นตั้งคำถามจากเรื่องราวในชีวิตประจำวันนี่เอง (ประมาณว่า จินตนาการ สำคัญกว่าความรู้ เหมือนที่ไอน์สไตน์บอก) เมื่อเริ่มมีไอเดียดีๆแล้ว ถึงมาหาข้อมูลเสริมทีหลัง - ซื้อหุ้นแล้วก็ให้ลืมต้นทุนเสีย ต้นทุนเท่าไหร่ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ราคาในปัจจุบันเท่านั้นที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ - การลงทุนก็เปรียบเสมือนส่งลูกให้เรียนหนังสือ การศึกษามีความสำคัญแค่ไหน การลงทุนในหุ้นก็มีความสำคัญแค่นั้น รายละเอียดต่างๆดูใน CD เอานะครับ
โดย
[L]
อังคาร เม.ย. 08, 2008 1:46 am
0
0
ขอเชิญร่วมงานเสวนา "วิธีสร้างสุข" วันเสาร์ที่ 15 ม
ขอบคุณครับ กี่โมงครับ?
โดย
[L]
อาทิตย์ มี.ค. 09, 2008 9:50 pm
0
0
บัฟเฟตต์ เบียด เกตส์ คว้าแชมป์มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก2007
เพิ่งเห็นรูปคุณ HI จริงๆ ปู่บัฟแกน่าจะหันหน้ามาอีกทางนะครับ :8)
โดย
[L]
พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2008 7:28 pm
0
0
บัฟเฟตต์ เบียด เกตส์ คว้าแชมป์มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก2007
ขอบคุณครับ รูปปู่บัฟแกเท่ห์จริงๆ :8) ชื่นชมปู่แล้วอย่าลืมทำตามหลักการแกด้วยนะครับ คุ้นๆเคยมีคนบอกว่า ปู่บัฟบอกทำนองว่า " มีแต่คนชื่นชมผม เอาชื่อผมมาอ้างอิง แต่ไม่ค่อยมีคนทำตามผมเลย " :wink:
โดย
[L]
พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2008 2:14 pm
0
0
บัฟเฟตต์ เบียด เกตส์ คว้าแชมป์มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก2007
ป.ล. 1. โทดทีครับ post หัวข้อผิด น่าจะเป็นปี 2007 ครับ 2. กะจะ post รูปปู่บัฟในข่าวด้วย แต่ทำไม่เป็นอะ :oops: 3. เห็นอีกกระทู้มีข่าวเป็น English แล้ว ผมขออนุญาติโพสเป็นไทยด้วยนะครับ
โดย
[L]
พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2008 10:30 am
0
0
Value เปลี่ยนสี
[quote="chatchai"] ไม่รู้ว่าสำหรับคนที่ซื้อหุ้นลักษณะที่ว่านี้
โดย
[L]
พุธ ก.พ. 20, 2008 1:41 pm
0
0
Value เปลี่ยนสี
[quote="chatchai"]น่าจะประกอบกับบทความของ ดร.นิเวศน์ เรื่อง
โดย
[L]
พุธ ก.พ. 20, 2008 1:08 am
0
0
ลินช์ บริหารกองทุนได้ผลตอบแทนเท่าไรครับ
จำนวนปีที่ทบต้น นี่สำคัญมากนะครับ 29% ทบต้น 10 ปี ก็แค่ 12 เท่า แต่ถ้า 29% ทบต้น 13 ปี จะกลายเป็น 27 เท่าครับ Buffett นี่แค่ 21% ก็จริง ถ้าแค่ 13 ปี ทบต้น ก็แค่ 12 เท่า แต่เค้าทำได้ 42 ปี ทบต้น นี่มันกว่า 3,000 เท่านะ :shock:
โดย
[L]
เสาร์ ก.พ. 09, 2008 5:45 pm
0
0
Creative Accounting
น่าจะเป็น www.thaiinvestors.com รึเปล่าครับ
โดย
[L]
จันทร์ ธ.ค. 03, 2007 2:04 pm
0
0
บัฟเฟตต์ ขาย หุ้นเพ็ทโตรไชน่า ไปจนเกลี้ยงพอร์ตแล้ว
แบบนี้แสดงว่า Buffett มีหุ้นตัวใหม่ที่จะซื้อแล้ว 8)
โดย
[L]
อังคาร ต.ค. 23, 2007 2:38 pm
0
0
เอาพอร์ตมายืนยัน ว่าหลักการ VI ใช้ได้ผลจริงๆ
ลงทุนมากี่ปีแล้วครับ การจะยืนยันว่าวิธีการลงทุนของเราได้ผลนั้น ผมว่าต้องพิสูจน์อย่างน้อย 5 ปี บางทีอาจจะ 10 ปี อันนี้ไม่ได้จะขัดคออะไรนะครับ แค่อยากจะเตือนว่าอย่าประมาท เพราะการได้ผลตอบแทนสูงๆในเวลาอันรวดเร็ว จะทำให้เราดีใจเกินไปและอาจจะขาดความระมัดระวังครับ ลองทบทวนดูว่าเหตุผลทที่หุ้นเราขึ้นมามันเพราะอะไร และจะอยู่ได้ในระยะยาวรึเปล่า :wink:
โดย
[L]
ศุกร์ ก.ค. 27, 2007 1:12 pm
0
0
CP STORY
ผมอาจจะมองในแง่ลบมากเกินไป อาจเป็นเพราะผมสนใจอยากลงทุนกับ7-11มากก็เป็นได้ แต่พอมาเจอการกระทำที่ไม่ค่อยแฟร์ในสายตาผมๆจึงไม่แฮปปี้ซักเท่าไหร่ ยังไงต้องขอโทษในสิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจด้วยครับ :bow: คราวหน้าเจออะไรที่ไม่ชอบจะเก็บไว้รับรู้ส่วนตัวครับ อย่าน้อยใจเลยครับพี่ ความเห็นของพี่มีประโยชน์ดีครับ มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังได้ครับ :wink:
โดย
[L]
อังคาร มิ.ย. 19, 2007 1:07 pm
0
0
CP STORY
ผมตัดศูนย์ไปแล้วครับ ไม่ได้หวังว่าเค้าจะมีตังค์จ่ายหุ้นกู้ คนลงทุนก็คิดถึงแต่ธุรกิจ 7-Eleven อย่างเดียวก็พอ อย่างอื่นตัดศูนย์ไปเลย ว่า Valuation ขนาดนี้จะเอามั้ย ตัดสินใจกันเองครับ ซิบอกไห่ :?:
โดย
[L]
จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 10:38 pm
0
0
CP7-11 กับ Lotus ที่จีน จบแล้วจริงหรือ
เออ มีท่านใดจะตอบคำถามนี้ได้ครับ (หันซ้ายหันขวา) ออ คุณ... เชิญครับ ....... ....... :shock: ... ลืมไป ผมไม่ใช่ท่านรองฯ นี่นา :oops: ....... ....... สงสัยซื้อหุ้นเค้ามากเกินไปหน่อย เลยเมาเล็กน้อย :lol: ........ ........
โดย
[L]
พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 11:46 pm
0
0
2007 Berkshire Hathaway Shareholders Meeting
เห็นสีหน้าปู่แกแล้ว ท่าทางยังดูมีสุขภาพแข็งแรงดีนะครับ :D ว่าแต่ เน็คไทล์ ของปู่แกนี่ดูคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นในหน้าปกหนังสือ "สิ่งที่ผมเรียนรู้ ก่อนขายกิจการให้บัฟเฟตต์" :shock:
โดย
[L]
พุธ พ.ค. 23, 2007 1:19 pm
0
0
ยอดขายไตรมาสแรกของโลตัสน้อยกว่าปีก่อน
ความเห็นเกี่ยวกับหุ้นหลายๆตัว ที่ถกเถียงกัน หลายครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป สุดท้ายกระทู้นั้นก็ถูกลืมหายไป บางความเห็น เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าลองย้อนกลับไปดู บางอันก็น่าขำ หรือผิดเพี้ยนความจริงไปเยอะเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเป็นกระทู้ที่น่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับหุ้นตัวไหน ผมก็อยากจะให้ตามย้อนอ่านทีหลังได้ที่ 100คน100หุ้น ของหุ้นตัวนั้นครับ เผื่อจะได้รู้ว่าที่ผ่านมาเราได้คิดอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง
โดย
[L]
เสาร์ เม.ย. 21, 2007 4:16 pm
0
0
ยอดขายไตรมาสแรกของโลตัสน้อยกว่าปีก่อน
ผมขออนุญาติ รบกวนให้ทาง Admin. นำกระทู้นี้ไปไว้ใน 100 คน 100 หุ้น ของ BIGC ได้มั้ยครับ จะได้ติดตามได้ครับ ขอบคุณครับ
โดย
[L]
เสาร์ เม.ย. 21, 2007 4:00 pm
0
0
ยอดขายไตรมาสแรกของโลตัสน้อยกว่าปีก่อน
บังเอิญผมคำนวณไม่ค่อยเก่งครับ ไม่ใช่นักวิเคราะห์มืออาชีพ คำนวณแบบประมาณๆ เอาง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แค่พยายามจะอธิบายให้เห็นภาพว่า ในเมื่อเค้าเปิดสาขาเพิ่มขึ้น ถ้ายอดขายโดยรวมจะลดลงได้ ก็ต่อเมื่อ ยอดขายเฉลี่ยต่อสาขาคงต้องลดลงมากพอสมควรเลยทีเดียว ส่วน Same store sale ความหมายทางวิชาการจะมีนิยามยังไง คำนวณยังไง อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ก็ต้องขออภัยที่ทำให้เข้าใจผิด ถ้าตัวเลขที่ผมสื่อออกไป ผิดเพี้ยนความจริงไปมาก ก็ขอให้ คุณ สุมาอี้ คำนวณแก้ไขให้ทีครับ :oops:
โดย
[L]
เสาร์ เม.ย. 21, 2007 3:54 pm
0
0
ยอดขายไตรมาสแรกของโลตัสน้อยกว่าปีก่อน
ปกติเวลาอ่านข่าว ฟังข่าว โดยเฉพาะข่าวที่ฟังดูดีมาก หรือ ข่าวที่ฟังดูร้ายมาก ผมก็มักจะตั้งข้อสงสัยอยู่เสมอ และปกติ ผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะอ่านข่าวแล้วเชื่อไปหมด หรือตกใจอะไรง่ายๆ เพราะเราจะเป็นกระต่ายตื่นตูมที่จะ trade หุ้นบ่อยๆ ข่าวนี้ก็เหมือนกัน ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นไปได้ยากมากที่ห้างประเภท Super Center โดยเฉพาะที่เป็นห้างผู้นำที่มีการเปิดสาขาเพิ่มขึ้นตลอด จะมียอดขายโดยรวมลดลง เทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างน้อยก็ในระยะยาว ก็เลยลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้ายอดขายโดยรวมติดลบจริง same store sale จะต้องติดลบเยอะแค่ไหน ยกตัวอย่างของ BIGC 1Q06 มี 45 สาขา ยอดขายเฉลี่ยสาขาละ 343 ล้าน รวม 1Q06 มียอดขายรวม 15,435 ล้านบาท 1Q07 มี 49 สาขา ต้องมียอดขายเฉลี่ยสาขาละ ประมาณ 313 ล้านบาท ถึงจะทำให้ยอดรวมเท่ากับ 15,337 ล้านบาท ลดลงจาก 1Q06 same store sale เท่ากับ 313/343-1 = -8.75% ของ Tesco Lotus ยิ่งถ้าขยายสาขามากกว่านี้อีก same store sale จะต้องติดลบเยอะกว่านี้ ถึงจะทำให้ยอดขายโดยรวมติดลบ ก็เลยเอาง่ายๆ ขี้เกียจคำนวณ เลขกลมๆที่ -10% ละกัน ผมก็สงสัยต่ออีก ว่า same store sale ติดลบ 10% สำหรับห้างค้าปลีกขายของอุปโภคบริโภคที่เป็นผู้นำ จะเป็นไปได้มากแค่ไหน ความรู้สึกผมคือ ตลาดโดยรวมของกินของใช้ต่างๆ น่าจะโตตาม GDP ซึ่งก็คงโต 3-5% Tesco Lotus ซึ่งเป็นผู้นำจะโตติดลบเลยหรือ อีกอย่างเท่าที่เข้าใจ คือ ห้างสรรพสินค้าที่ขายของแพง ที่บอกแย่มาก ยอดขายโดยรวมก็ยังโต 3-5% จากที่เคยตั้งเป้าไว้ 10% ก็เลยบ่นว่าแย่ ร้าน Power Buy ที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ในภาวะแบบนี้ ถ้าผมจำไม่ผิด ไตรมาสแรกนี้ ยอดขายก็ยังโตอยู่ซัก 5% มั้ง อันนี้ ไม่ได้บอกว่าข่าวผิดนะครับ แต่ก็มีความเป็นได้เหมือนกัน ที่ความเข้าใจอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เช่น ที่บอกว่ายอดขายลดลง อาจหมายถึง ยอดขายของสาขาเดิมลดลง แต่โดยรวมยังเพิ่ม แต่น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ หรือ เค้าอาจจะพูดให้ดูแย่ๆ จะได้โดนต่อต้านน้อยลงก็ได้ เป็นต้น ก็ลองรอผลไตรมาส1 ดูก่อนแล้วกัน ยอดขายอาจลดลงจริงๆก็ได้ แต่ถึงจะลดลงจริงๆ ผมก็คิดว่าแค่ระยะสั้นๆ ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เดี๋ยวมันก็กลับมาเอง ระยะยาวคือสิ่งสำคัญกว่า สำหรับคนที่คิดเหมือนเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างผม 8)
โดย
[L]
เสาร์ เม.ย. 21, 2007 3:07 pm
0
0
ยอดขายไตรมาสแรกของโลตัสน้อยกว่าปีก่อน
เป็นไปได้ 3 ทาง 1. ยอดขายลดลงตามตัวอักษรที่ข่าวเขียนจริง (same store sale คงจะติดลบอย่างน้อย 10% (ผู้บริหารบอกพลาดเป้าเล็กน้อย :shock: )) 2. คนแปลอาจจะสื่อผิด ที่จริงน่าจะเป็นยอดขายโตลดลง 3. ข่าวเขียนถูกแล้ว แต่ ผู้บริหารอาจจะไม่เคยเจอยอดขายลดลงมานาน นานจนจำไม่ได้ ดังนั้น เวลาคนในวงการคุยกัน เลยพูดแค่ว่า "ลดลง" ก็เป็นที่เข้าใจกันว่า คือ "เติบโตลดลง" จากสามัญสำนึก เพื่อนๆคิดว่าน่าจะเป็นแบบไหนครับ 8)
โดย
[L]
เสาร์ เม.ย. 21, 2007 12:59 am
0
0
WARREN BUFFETT CEO ภาคภาษาไทย
หนังสือดีๆแบบนี้ ไม่พลาดแน่นอนครับ :D
โดย
[L]
จันทร์ ก.พ. 12, 2007 12:13 am
0
0
10 หุ้นเด่น ในรอบ 1 ปี นิดๆ
มี IT ด้วยครับ +76% :D
โดย
[L]
ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 5:36 pm
0
0
มาตราการใหม่ของ ธปท. จะมีผลอย่างไรบ้างครับกับตลาดไทย
อืม อยากรู้เหมือนกัน เมืองจีนเคยทำอะไรแบบนี้บ้างมั้ย
โดย
[L]
จันทร์ ธ.ค. 18, 2006 10:47 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
[L]
ศุกร์ พ.ย. 17, 2006 11:54 pm
0
0
อัตราการเติบโตของบริษัท
ผมไม่ทราบนะครับว่าพี่ Chatchai พยายามจะบอกอะไร แต่ตัวอย่างของพี่นั้น ค่าเสื่อมราคา มากกว่า กำไรสุทธิ ถึง 3 เท่า ซึ่งผมยังนึกไม่ออกครับว่าธุรกิจโตเร็วอะไรที่เป็นแบบนี้ และตัวอย่างนี้ยังทำให้ ยอดขาย กับ กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม เติบโตไม่แตกต่างกันมากนัก ธุรกิจที่จะเติบโตมั่นคงอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายๆปีข้างหน้า และมี Net Margin 3%กว่าๆเหมือนตัวอย่างของพี่ Chatchai ผมขอยกตัวอย่าง Modern Trade ละกันนะครับ น่าจะประมาณๆ ตามนี้ครับ บริษัท A มีรายได้ 100 ล้านบาท ต้นทุน (80%) 80 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 3 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย 12 ล้านบาท กำไรก่อนภาษี 5 ล้านบาท ภาษีเงินได้ 1.25 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3.75 ล้านบาท กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 6.75 ล้านบาท ----------------------------------------------------------------------------------- ปีต่อมารายได้โต 20% รายได้ 120 ล้านบาท ต้นทุน 96 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคา 3 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย(เพิ่ม 5%) 12.50 ล้านบาท กำไรก่อนภาษี 8.50 ล้านบาท ภาษีเงินได้ 2.125 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อม 9.4 ล้านบาท ----------------------------------------------------------------------------------- อัตราการเติบโตของบริษัทควรเป็นเท่าไร ก.คิดจากยอดขาย เพิ่มขึ้น 20% จาก 100 ล้านบาทเป็น 120 ล้านบาท ข. คิดจากกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 68% จาก 3.75 ล้านบาท เป็น 6.4 ล้านบาท ค. คิดจากเงินสดจากการดำเนินงาน (กำไรสุทธิ + ค่าเสื่อมราคา) เพิ่มขึ้น 38% จาก 6.75 ล้านบาท เป็น 9.4 ล้านบาท มูลค่าของบริษัทควรเพิ่มขึ้นในระดับไหนครับ ------------------------------------------------------------------------------------- ผมไม่ค่อยชำนาญเรื่องทฤษฏีทางบัญชีหรือ Finance เท่าไหร่หรอกครับ แต่สามัญสำนึกของผมบอกว่า แน่นอน มูลค่าของธุรกิจน่าจะโตมากกว่ายอดขาย เนื่องจากมี Economy of scale นอกจากนี้ธุรกิจจะต้องใช้เงินบางส่วนในการปรับปรุงกิจการให้สามารถแข่งขันได้อยู่ตลอด ดังนั้นผมคิดว่าคำตอบน่าจะอยู่ระหว่างข้อ ข. กับ ข้อ ค. อย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่ในธุรกิจที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะข้อ ข. หรือ ข้อ ค. ก็ดีทั้งนั้น
โดย
[L]
พุธ พ.ย. 15, 2006 11:32 pm
0
0
นักแปลหนังสือ VI มือ 1
เห็นด้วยครับ คุณ WEB แปลหนังสือ VI ดีๆ ให้พวกเราอ่านมามากมาย รวมถึงหนังสือในตำนานอย่าง The Inteligent Investor ซึ่งผมขอชื่นชมจากใจจริงครับ แต่ไหนๆ ก็จะชื่นชมกันแล้ว... ผมขอกล่าวถึงอีกท่านนึงด้วยครับ อ.นิเวศน์ ก็ยังเป็นอีกท่านที่ทั้งแต่งหนังสือ เขียนบทความ และแปลหนังสือแนว VI มามากมายเช่นกัน หนังสือตีแตก เป็นตัวจุดประกายให้ผมรู้จักและสนใจการลงทุนในหุ้นมาจนถึงทุกวันนี้ บทความในกรุงเทพธุรกิจ คอยให้หลักการและแนวคิดของ VI ในด้านต่างๆ ซึ่งค่อยๆ หล่อหลอมผม ให้เป็น VI ที่ดีได้จนถึงทุกวันนี้ รวมทั้งการแปลหนังสือการลงทุนระดับโลก อย่าง One Up On Wall Street และ Common Stocks and Uncommon Profit ซึ่งท่านก็แปลได้อย่างดีเยี่ยม หลายคนอาจจะบอกว่า Common Stocks and Uncommon Profit ที่ท่านแปลมา อ่านค่อนข้างจะอ่านยาก แต่ผมอยากจะบอกครับว่า สำนวนการเขียนที่อ่านยากนี้มาจากตัวผู้แต่งเอง คือ PHILIP FISHER (ถ้าไม่เชื่อลองอ่านต้นฉบับภาคภาษาอังกฤษดูครับ) ที่ท่านแปลมาถือว่าอ่านง่ายขึ้นมากแล้วครับ ลองตั้งใจอ่านดู เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ดีจริงๆครับ ขอย้ำ เนื้อหาดีจริงๆ ผมไม่อยากจะเปรียบเทียบหรอกครับ ว่าใครเป็นนักแปลหนังสือ VI มือ 1 หรือมือ 2 เพราะทั้งคู่ต่างก็มีความตั้งใจดีที่อยากให้พวกเราได้มีหนังสือการลงทุนดีๆได้อ่านกัน เอาเป็นว่าผมขอขอบคุณทั้งคุณ WEB และ อาจารย์ นิเวศน์ จากใจจริงครับ
โดย
[L]
อาทิตย์ พ.ย. 12, 2006 3:30 pm
0
0
เอาข่าวมาฝากครับ แฟนๆ มอเตอร์ไซด์
ยอดขายรถยนต์และรถมอเตอร์ไซด์ภายในประเทศคงไม่เติบโตเหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้วครับ แต่เห็นได้ข่าวว่า ยอดการส่งออกยังเติบโตดีอยู่ครับ โตโยต้าเองก็เพิ่งจะขยายโรงงานเพิ่มนะ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์/จักยานยนต์ น่าจะยังพอไปได้นะผมว่า แต่ที่ไม่รู้ว่าจะแย่รึเปล่าคือ คนปล่อยกู้ซื้อรถมอเตอร์ไซด์ แข่งกันค่อนข้างเดือดจริงๆ ยอดเบี้ยวหนี้ก็พุ่ง จะลงทุนต้องระวังดีๆ
โดย
[L]
เสาร์ ก.ค. 01, 2006 5:14 pm
0
0
ใครบอกวอเรนไม่ขายหุ้น
HomePro ก็เหมือน Home Depot ครับ แต่น่าแปลกนะ เมื่อปลายปีที่แล้ว เพิ่งจะได้ข่าวว่า Berkshire ลงทุน Home Depot เพิ่ม ผ่านมายังไม่ถึงปีเลย ก็ออกข่าวว่า ลดการลงทุนใน Home Depot ลง ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจของ Buffett เองหรือเป็นคนอื่น ผมก็ไม่รู้นะว่า เค้าลดการลงทุนใน Home Depot ลงมากน้อยแค่ไหน แต่คิดว่าคงน่าจะแค่ปรับพอร์ตเล็กๆน้อยๆมั้งครับ ใครมีข้อมูลช่วยบอกหน่อยนะครับ แต่อย่างน้อย ในตอนนี้ถึงแม้ว่า Home Depot อาจจะแย่ลงหรืออาจจะอยู่ในช่วงขาลงจริง ก็ไม่ได้หมายความว่า HomePro จะกำลังแย่ลงหรืออยู่ในช่วงขาลงด้วย เพราะภาวะตลาดน่าจะต่างกันมากพอควร จริงๆแล้ว HomePro ในตอนนี้ ผมคิดว่าในระยะยาวน่าจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นด้วยซ้ำ กว่าจะเริ่มอิ่มตัวคงอีกเป็นสิบปี
โดย
[L]
อาทิตย์ มิ.ย. 11, 2006 3:04 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
[L]
อาทิตย์ มิ.ย. 11, 2006 2:16 am
0
0
คิดอย่างไรกับบทความนี้ของ ดร. นิเวศน์ครับ
" พอร์ตของเราจะใหญ่หรือเล็กนั้นนอกจากจะขึ้นกับฝีมือแล้วก็ยังขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วย วิธีการลงทุนของเรานั้น ไม่ควรไปผูกกับขนาดของพอร์ต เพราะนั่นจะทำให้การลงทุนของเราผิดพลาดมากกว่าที่จะประสบความสำเร็จ ฝีมือนั้นช่วยเสริมโชคชะตาได้ แต่ ฝีมือนั้น น้อยครั้งที่จะสามารถฝืนโชคชะตา ยอมรับและลงทุนอย่างมีความสุขจะดีกว่า " ผมเห็นแบบนี้ครับ "โชคชะตา" ในที่นี้คงหมายถึง เช่น เป็นคนรวยอยู่แล้ว หรือ อาจเป็นผู้บริหารฝีมือดี เงินเดือนสูงมากๆ หรือ อาจจะเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น คนเหล่านี้ ยังไงซะก็น่าจะ "พอร์ตใหญ่" แน่นอน แต่พอร์ตของเขาจะเติบโตต่อไปได้อีกแค่ไหนก็ขึ้นกับ "ฝีมือ" ของเขาแล้วหละครับ แบบนี้เรียกว่า "ฝีมือจะช่วยเสริมโชคชะตาได้" แต่ถ้าเราเริ่มต้นจากศูนย์ พ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวย เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานเก็บเงิน เขาเหล่านี้ยังไงซะน่าจะ "พอร์ตเล็ก" แน่นอน และต่อให้เขามี "ฝีมือ" ดีแค่ไหนก็ตาม ในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี ยังไงพอร์ตก็คงจะไม่โตไปเทียบกับ "พอร์ตใหญ่" ได้ แบบนี้เรียกว่า "ฝีมือนั้น น้อยครั้งที่จะสามารถฝืนโชคชะตา" และยิ่งถ้าเราไปอิจจฉาคน "พอร์ตใหญ่" เราจะยิ่งใจร้อน เรายิ่งอยากจะเร่งพอร์ตของเรา โอกาสพลาดย่อมมีมากขึ้น ยิ่งเร่งอาจกลายเป็นยิ่งช้า ดังนั้นผมเชื่อข้อสรุปของ ดร.นิเวศน์ ที่ว่า "ยอมรับและลงทุนอย่างมีความสุขจะดีกว่า"
โดย
[L]
อังคาร มิ.ย. 06, 2006 11:51 pm
0
1
อยากหาบทความ "กฎบริหารกองทุน ของ วอเรน บัพเฟตต์" ค
ที่ settrade.com หัวข้อ บทความ กฎบริหารกองทุนของวอเรน บัฟเฟตต์ โดย เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ 23-Mar-2006 อยากจะให้มองว่าผู้ถือหุ้นไม่ใช่แค่เจ้าของกระดาษแผ่นหนึ่ง (ใบหุ้น) แล้วก็รอดูว่าเมื่อไหร่จะขายกระดาษแผ่นนี้ได้ในราคาที่สูงขึ้น แต่อยากให้มองเหมือนเป็นเจ้าของอะไรร่วมกัน เหมือนๆกับเป็นเจ้าของบ้านร่วมกันกับสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว เพราะตรงนี้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนหรือผู้ถือหุ้นคิดถึงคอนเซปต์การเป็นพาร์เนอร์ร่วมกันในระยะยาว มี คำประกาศ ไว้ชัดเจนถึงหลักการการจัดการบริษัทและกองทุน เรียกว่า เป็น Owner-related Business Principles ซึ่งเปิดเผยอยู่ในรายงานประจำปี ทั้งหมดมีอยู่ 13 ข้อ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนเข้าใจว่า กฎกติกามารยาท คืออะไร และรวมไปถึงความเกี่ยวโยงระหว่างผู้บริหารกองทุนกับจ้าของด้วย ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทุน และการบริหารจัดการกองทุน รวมไปถึงเรื่องการวิเคราะห์เลือกซื้อหุ้น คงไม่มีใครไม่รู้จัก วอเรน บัฟเฟตต์ เพราะเป็นคนที่โด่งดังมาก ในการเป็นทั้งผู้จัดการกองทุนและเจ้าของกิจการ เขาดังไปถึงขั้นมีการ์ตูนญี่ปุ่น เขียนเกี่ยวกับชีวประวัติของเขา ซึ่งก็ได้มีการแปลเป็นภาษาไทยออกมาเมื่อไม่นานนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า คุณลุงวอเรน นื่ ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แต่ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นเด็กต่างจังหวัด ที่มาประสบความสำเร็จอย่างสูงในการบริหารจัดการการลงทุน หรือกองทุนนั่นเอง โดยชื่อเสียงที่ลือลั่น ก็มาจากวิธีการเลือกลงทุน ที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนก้อนโต จนมาตอนหลัง เลยโด่งดังมากกับการเขียนหนังสือเล่าถึงเทคนิคการลงทุน และการเลือกวิเคราะห์ซื้อหุ้น วันก่อน ผมได้ลองเข้าไปดูในเว๊บไซด์ของบริษัท Berkshire Hathaway Inc. ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคุณลุงวอเรนนี่แหละ ก็เลยไปเจอเรื่องที่น่าสนใจ คือ มี คำประกาศ ไว้ชัดเจนถึงหลักการการจัดการบริษัทและกองทุน เรียกว่า เป็น Owner-related Business Principles ซึ่งเปิดเผยอยู่ในรายงานประจำปี ทั้งหมดมีอยู่ 13 ข้อ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนเข้าใจว่า กฎกติกามารยาท คืออะไร และรวมไปถึงความเกี่ยวโยงระหว่างผู้บริหารกองทุนกับจ้าของด้วย เพราะคุณวอเรนเอง นอกจากจะบริหารแล้ว ยังเป็นเจ้าของด้วย จะได้สบายใจ ไม่มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในอนาคต (Conflict of Interests) ก็ขอมาเล่าสู่กันฟังครับ หนึ่ง ถึงแม้ว่าการลงทุนจะอยู่ในรูปแบบของบริษัท แต่ความเป็นจริงแล้ว เรา (หมายถึง คุณวอเรนและหุ้นส่วน คือ คุณชาร์ลี) มุ่งหวังเป็นหุ้นส่วน (partnership) เราคิดถึงผู้ถือหุ้นเป็นเหมือนกับหุ้นส่วนเจ้าของ เราไม่ชอบที่จะมองว่าบริษัทเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่เป็นเพียงตัวเชื่อมให้พวกเราสามารถมาร่วมลงทุนหรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกันได้ คำอธิบายข้อนี้ ก็คือ คุณวอเรนอยากจะให้มองว่าผู้ถือหุ้นไม่ใช่แค่เจ้าของกระดาษแผ่นหนึ่ง (ใบหุ้น) แล้วก็รอดูว่าเมื่อไหร่จะขายกระดาษแผ่นนี้ได้ในราคาที่สูงขึ้น แต่อยากให้มองเหมือนเป็นเจ้าของอะไรร่วมกัน เหมือนๆกับเป็นเจ้าของบ้านร่วมกันกับสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว เพราะตรงนี้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนหรือผู้ถือหุ้นคิดถึงคอนเซปต์การเป็นพาร์เนอร์ร่วมกันในระยะยาว ตรงนี้ มีความสำคัญ เพราะว่า ถ้าผู้ถือหุ้นของบริษัทนี้ มีนิสัยการลงทุนที่มองยาวๆ เหมือนกับนโยบายการลงทุนของบริษัท Berkshire เอง ก็จะทำให้มีความสอดคล้องและไปกันได้ด้วยดี อย่างเช่น ในอดีตที่บริษัทลงทุนในบริษัทโคคา-โคลา หรือมีดโกนยิลเลตต์ ซึ่งบริษัทลงทุนเป็นระยะเวลาหลายๆปี แล้วก็มองถึงผลตอบแทนในระยะยาวแทนที่จะดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเป็นรายเดือน (นี่ ไม่ต้องมาพูดถึงรายวันเลยครับ ข้ามช็อตไปเลย) สอง สำหรับ Berkshire แล้ว กรรมการบริษัทส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารและดูแลการลงทุน ในขณะเดียวกันก็ถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทด้วย ไม่ใช่แค่คุณวอเรนและคุณชาร์ลี ที่เป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหารเท่านั้น ยังมีครอบครัว ญาติโยมของสองเซียนนี้ ถือหุ้นและร่วมลงทุนอยู่เต็มไปหมด ในข้อนี้ ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เขาไม่สนใจเรื่องการกระจายความเสี่ยงตามที่เราส่วนใหญ่ได้ยินกันมา ในการเอาเงินไปไว้ที่อื่น หรือบอกให้คนในครอบครัวอย่าเอาเงินมาเสี่ยงรวมกัน ในทางตรงข้าม เขากลับสบายใจและพร้อมที่จะ เอาไข่ทั้งหมดใส่ในตะกร้าใบเดียว โดยไม่กลัวว่า ถ้าเกิดเดินสะดุด แล้วไข่จะแตกหมดในคราวเดียว เพราะเขาเชื่อว่า ตัวบริษัทเองมีขนาดใหญ่พอ และได้เป็นเจ้าของ (ถือหุ้น) ในบริษัทที่ค่อนข้างหลากหลายอยู่แล้ว คุณวอเรน และคุณชาร์ลี อธิบายไว้ได้เก๋มากว่า ไม่สามารถให้สัญญาเรื่องผลกำไรได้ แต่ขอการันตีว่า ผลกำไรของผู้ถือหุ้นคนอื่นจะเป็นอย่างไร ก็ย่อมเป็นไปด้วยกันกับเงินสะสมส่วนใหญ่ของท่านทั้งสอง เข้าทำนอง ไปด้วยกันมาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย เพราะ ทั้งสองท่านนี้ ไม่มีความสนใจที่จะให้เงินเดือนตัวเองสูงๆ หรือให้สิทธิพิเศษ แต่เชื่อมั่นในเรื่องการเมคมันนี่ จากการลงทุนเหมือนกับผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ สาม เป้าหมายในระยะยาว คือ ทำยังไงก็ได้ ให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยในมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทที่เพิ่มขี้น (Intrinsic Value) โดยดูผลตอบแทนต่อหุ้นเป็นหลัก เพราะฉะนั้น ก็จะให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทหรือกำไรรวมน้อยกว่า เพราะถึงแม้ว่าบริษัทจะใหญ่ขึ้น แต่ถ้าได้กำไรต่อหุ้นน้อยสู้บริษัทใหญ่ๆไม่ได้ ก็ถือว่า ผู้ถือหุ้นได้ผลประโยชน์ (ต่อหุ้น) น้อยลง สี่ ความตั้งใจในการลงทุนของบริษัท Berkshire ก็คือ ต้องการจะเป็นเจ้าของธุรกิจโดยตรง หรือถือหุ้นใหญ่ หรือมีอำนาจในการตัดสินใจในหลายๆธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสด และสามารถให้ผลตอบแทนต่อการลงทุน (Returns on capital) ได้สูงกว่าอัตราเฉลี่ยโดยทั่วไป ในขณะที่ความตั้งใจที่รองลงมาคือ ได้เป็นเจ้าของ บางส่วน โดยการไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นผ่านการลงทุนของบริษัทประกันที่ Berkshire เป็นเจ้าของอยู่ ในส่วนนี้ คุณวอเรน ก็ได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจด้วยว่า สิ่งที่ท้าทายสำหรับเขาก็คือ ความพยายามในการหาบริษัทเด็ดที่น่าลงทุน พร้อมๆกับที่จะต้องหาเงินมาซื้อธุรกิจพวกนี้น ซึ่งตรงนี้ การที่ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะที่ไม่ดี กลับเป็นประโยชน์ที่บริษัทประกันของเค๊าจะเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการที่น่าสนใจได้ผ่านการซื้อหุ้นในราคาที่ถูก ห้า ด้วยหลักการบัญชีและวิธีการในการบันทึกบัญชี ทำให้ตัวเลขที่เปิดเผยในงบการเงินเกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ ไม่เหมือนกับมูลค่าที่ควรจะเป็น (true economic performance) หมายความว่า ตัวเลขทางบัญชีส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง ตรวจสอบได้ และมองแบบอนุรักษ์นิยม คือ ถ้าเป็นเรื่องดี ก็ลงตัวเลขแบบต่ำๆ ถ้าเป็นเรื่องเสี่ยงก็ลงตัวเลขสูงๆเผื่อไว้ก่อน ซึ่งคุณวอเรนบอกว่า ไม่ค่อยสนใจตัวเลขพวกนี้ แต่เน้นที่การรายงานเพิ่มเติม คือ รายงานการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ Berkshire ไปถือหุ้นใหญ่ ซึ่งตัวเลขพวกนี้จะช่วยให้เห็นภาพเพิ่มเติมอีกด้านหนึ่งของมูลค่าที่แท้จริงได้ เพราะความต้องการสื่อสารให้เห็นข้อมูลในหลายๆด้าน ทำให้ในรายงานประจำปีของ Berkshire จะมีคำอธิบาย ถึงตัวเลขและข้อมูลต่างๆ ที่ผู้บริหารเชื่อว่ามีความสำคัญ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจที่ไปลงทุนกำลังไปได้ดีขนาดไหน และยังจะให้ความเห็นและสรุปถึงสภาวะอุตสาหกรรมและปัจจัยกระทบต่างๆด้วย เช่น ในการลงทุนในธุรกิจประกัน ก็จะมีการช่วยอธิบายให้เข้าใจถึง insurance float ในรายงานประจำปี เพื่อให้เห็นว่าเรื่องนี้มีประโยชน์อย่างไร ซึ่งก็แปลว่า ผู้บริหารพยายามที่จะสอนหรือให้ผู้ถือหุ้นเข้าใจว่า ธุรกิจเป็นอย่างไร จะได้ประเมินผลได้ธุรกิจการลงทุนของ Berkshire เป็นอย่างไร และสามารถประเมินถึงคุณภาพของการบริหารและการเลือกจัดสรรเงินลงทุน ( Capital Allocation) ด้วยว่า เหมาะสมหรือไม่ หก ในการตัดสินใจเลือกลงทุน หรือจัดสรรเงินลงทุนไปซื้อธุรกิจไหน คุณวอเรนและคุณชาร์ลี ให้ความสนใจกับมูลค่าที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว และมูลค่าที่มีอยู่จริง มากกว่าที่จะเป็นตัวเลขทางบัญชี อันนี้ไม่ได้ว่าตัวเลขบัญชีไม่ดี แต่ยินดีมากกว่าที่จะซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดีกว่า แต่ไม่ได้แสดงเป็นตัวเลขอยู่ในรายงานบัญชี เช่นอาจจะมีมูลค่าทรัพย์สินที่ตีมูลค่าไว้ต่ำกว่าที่เป็นจริง หรือตัวเลขพวกค่านิยม (Goodwill) เพราะเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว มูลค่าที่แท้จริงพวกนี้ หรือ ตัวเลขที่หลบซ่อนอยู่จะค่อยๆเผยออกมาให้เห็น และทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดกำไรจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น (Capital Gains) ในที่สุด แหม! มาได้ครึ่งทาง เนื้อที่ฉบับนี้หมดแล้ว ขอยกยอดไปเล่าต่อในฉบับหน้าครับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้สร้างชื่อเสียง เงินทอง จากการลงทุน โดย Settrade.com 17-Apr-2006 เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเขียนถึง เบนจามิน เกรแฮม และทฤษฎีที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาคือ Margin of Safety ซึ่งในบทความวันนั้นได้มีการกล่าวถึง ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการการลงทุนในหุ้น ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกท่านหนึ่งนั่นก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ผู้ซึ่งเป็นศิษย์เอกของเกรแฮม และดูเหมือนจะทำได้ดีกว่าผู้เป็นอาจารย์อยู่ขั้นหนึ่ง ดังนั้นวันนี้ขอใช้พื้นที่ตรงนี้พูดถึงบัฟเฟตต์ และหลักการลงทุนที่ทำให้ตัวเขาประสบความสำเร็จ ขนาดเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้นๆ ของโลก ว่ากันว่าบัฟเฟตต์นั้นมีหัวด้านการลงทุนตั้งแต่ยังเล็ก อย่างเมื่อตอนอายุเพียง 6 ขวบ เขาได้ซื้อโค้กกระป๋องมาขายและทำกำไรในการขายได้ประมาณ 20 % จากยอดรวมทั้งหมด โดยเขาได้เปรียบการลงทุนของตนเองไว้ว่า เหมือน สิงโตที่รอตะครุบเหยื่อในพงหญ้าสูงและจะเข้าจู่โจมเมื่อถึงเวลาที่เหยื่อเข้ามาใกล้ ( A lion in the tall grass ) ซึ่งเขาจะรอจนกว่าราคาหุ้นที่ต้องการเดินทางมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจที่สุดเพื่อเข้าครอบครอง และสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จจากการลงทุนนั้นคือ ไม่ใช้อารมณ์ในการลงทุน แต่ใช้ความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจแต่ละครั้ง อารมณ์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บัฟเฟต์แตกต่างจากผู้ลงทุนทั่วไปที่มักจะไม่ทำตามเป้าหมายการลงทุนที่วางไว้ และบ่อยครั้งที่มักจะเข้าซื้อขายอย่างหุนหันพลันแล่น เช่นซื้อด้วยแรงกระตุ้น และการรับข่าวสารสั้นๆ และขายหุ้นด้วยความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ตามกฎการตัดขาดทุน คือ ขายหุ้นที่ขาดทุน และถือหุ้นที่มีกำไร แต่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักจะทำตรงกันข้ามคือ ขายหุ้นที่กำไร และถือหุ้นที่ขาดทุนไว้ อาจจะด้วยความกังวลใจที่หุ้นที่ถืออยู่และมีกำไร เริ่มปรับตัวลง จึงตัดสินใจขายหุ้นออกไป และพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ขายทำกำไรดีกว่าปล่อยให้ขาดทุน และตรงกันข้ามกับผู้ลงทุนที่ถือหุ้นและขาดทุนอยู่ จึงได้แต่บอกกับตัวเองว่า จะขายถ้าราคาหุ้นกลับขึ้นมาถึงราคาที่เคยซื้อไว้ ซึ่งการลงทุนแบบนี้นั้นมีโอกาสเกิดการขาดทุนสูงเนื่องจากไม่มีใครสามารถคาดเดาจังหวะการขึ้นลงของหุ้นที่แน่นอนได้ ดังนั้นวิธีการหลีกเลี่ยงการซื้อขายผิดจังหวะก็คือ เดินตามรอยของบัฟเฟตต์ที่จะเลือกซื้อหุ้นในจุดที่ราคายังต่ำ และกิจการมีโอกาสเติบโตได้มาก โดยไม่นำพากับสภาวะตลาดผันผวนระหว่างทาง เพราะเขาเชื่อมั่นว่าหุ้นที่ดี จะมีการเดินทางของราคาที่สูงขึ้นในที่สุด แนวทางหลักอีกอย่างของบัฟเฟตต์ในการซื้อหุ้นก็คือ เขาจะมองว่าการซื้อหุ้นคือการเข้าร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ใช่การซื้อสินค้าที่ต้องซื้อขายเพื่อทำกำไรอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนจะเข้าลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้น ๆ ให้ละเอียด รอบคอบ และเมื่อลงทุนแล้วต้องเชื่อมั่นในบริษัท ซึ่งแนวคิดนี้นั้นคล้ายกับ Value Investor มือทองของเมืองไทยท่านหนึ่ง คือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี และไม่ซื้อขายบ่อย ๆ และท่านก็มองว่านี่คือการทำธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ต้องดำเนินธุรกรรมเองทั้งหมด เพียงแต่คัดสรรกิจการที่ดีและร่วมเป็นเจ้าของ โดยเงินปันผลก็เหมือนเงินเดือนที่นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องซื้อขายหุ้นเพื่อนำกำไรมาใช้ในระยะสั้น แต่ต้องมีวินัยในการลงทุนนั่นคือเก็บหุ้นไว้ให้มีมูลค่าเติบโตทบต้นทบดอกด้วยตัวมันเอง และไม่หวั่นไหวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ส่วนหลักการลงทุนของบัฟเฟตต์ ที่ใช้เป็นประจำในการเลือกซื้อหุ้นแต่ละตัวได้แก่ เป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยม และมีฐานลูกค้าแข็งแกร่ง หรือเป็นธุรกิจที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ยกตัวอย่างหุ้นที่เขาถืออยู่ อาทิ โค้ก และอเมซอน สามารถคาดเดารายได้ และรายจ่ายได้ไม่ยาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน ดังนั้นเขาจะสามารถคาดเดาได้อย่างไม่ยากว่าจะมีกำไร หรือขาดทุนในแต่ละปี ผลตอบแทนต่อทุน ( ROE ) สูง บัฟเฟตต์ ให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้ค่อนข้างมาก คือน่าจะต้องมากกว่า 12% สำหรับธุรกิจประเภทผลิตสินค้า แต่หากเป็นธุรกิจสถาบันการเงินแล้ว ค่าตัวเลขนี้ปกติจะสูงมาก บัฟเฟตต์ จึงแนะนำให้ดูที่ตัวเลขของผลตอบแทนรวมของสินทรัพย์ ( ROA ) ประกอบด้วยหากสูงกว่า 10% ก็ถือว่าดี มีกระแสเงินสดที่ดี เพราะธุรกิจที่ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนสูงมากในการดำเนินงานและรักษาสถานภาพในตลาดเพื่อการแข่งขัน เพราะควรจะมีรายได้หล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ มีผู้บริหารที่ดี เห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ล งทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะไม่เพียงเลือกธุรกิจที่ดี แต่ควรเลือกช่วงเวลาที่ดีและราคาเหมาะสมด้วย และนี่ก็คือข้อมูลอย่างย่อ ๆ ที่เป็นหลักการของผู้ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งถ้าผู้อ่านสนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.buffetsecrets.com หรือหาซื้อหนังสือด้านการลงทุน ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ได้ที่ร้านหนังสือ Settrade.com ด้านหน้าอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทุกวันไม่มีวันหยุดครับ
โดย
[L]
พุธ พ.ค. 31, 2006 6:50 pm
0
0
The Warren & Charlie Show--2006
ขอบคุณครับ มีบทความดีๆ มาให้อ่านกันอีกแล้ว
โดย
[L]
เสาร์ พ.ค. 13, 2006 10:33 pm
0
0
เมื่อคืนเห็นลูงขวดออก Money Talk daily เวลา 22.00 น. กว่า ๆ
FM101 นี่ รายการอะไรหรือครับ พี่ฉัตรชัย แล้วกี่โมงครับ
โดย
[L]
อังคาร พ.ค. 09, 2006 8:41 pm
0
0
มีใครบ้างเป็นต้นแบบการลงทุนของคุณจริง บอกหน่อยดิ
ดร. นิเวศน์ ครับ ผมคิดว่า การที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนที่ง่ายที่สุดก็คือ เรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ "ตัวจริง"
โดย
[L]
เสาร์ พ.ค. 06, 2006 1:33 am
0
0
Poor Charlie's Almanack
เห็นด้วยครับ หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมักๆ พี่ๆ ช่วยย้ายไป "ร้อยคนร้อยเล่ม" ให้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
โดย
[L]
ศุกร์ เม.ย. 21, 2006 11:26 pm
0
0
Poor Charlie's Almanack
ขอบคุณครับ 8) ว่าแต่ พี่ WEB มีโครงการจะแปลหนังสือระดับ "Strong Buy" เล่มนี้มั้ยอะครับ? ถ้ามี ผมจะรออุดหนุนนะครับ :pray:
โดย
[L]
พฤหัสฯ. เม.ย. 20, 2006 5:56 pm
0
0
เวลาที่ทุกคนโลภเราควรกลัว แต่เวลานี้ทุกคนกลัวเราควรจะโลภ
หลักสำคัญผมคิดว่า เราจะต้องมีหุ้นอยู่ในใจอยู่แล้ว เป็นหุ้นคุณภาพดีที่เรามั่นใจ แต่ราคามันยังแพงอยู่ เมื่อราคาหุ้นตกลงมาอย่างไร้เหตุผล เราก็ต้องกล้าที่จะซื้อ ฟังดูเหมือนง่ายๆนะ เอาเข้าจริง เวลาราคาหุ้นตกลงมาก็ไม่กล้าซื้อกัน รอจนกระทั่งราคามันกลับขึ้นมาเยอะแล้วค่อยมาสนใจ แล้วก็มาเสียดายทีหลัง เอ้อ มันเป็นเช่นนั้นเอง แบบนี้ประสบการณ์เท่านั้นที่จะช่วยได้ 8)
โดย
[L]
อาทิตย์ มี.ค. 26, 2006 7:34 pm
0
0
เวลาที่ทุกคนโลภเราควรกลัว แต่เวลานี้ทุกคนกลัวเราควรจะโลภ
ซื้อ SE-ED ตอนกำไรปี 2004 สะดุด และมีกรรมการท่านนึงเทขายออกมา :D ซื้อ IT ตอนราคาดิ่งเหวเหลือ 3บาทกว่า ทั้งที่ผลการดำเนินงานยังดี :D
โดย
[L]
อาทิตย์ มี.ค. 26, 2006 4:27 pm
0
0
57 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
[L]
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ ม.ค. 29, 2006 5:28 pm
ใช้งานล่าสุด:
พุธ ม.ค. 21, 2015 12:44 am
โพสต์ทั้งหมด:
200 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.03 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว