หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
thawattt
Joined: พุธ ม.ค. 25, 2006 6:06 pm
1141
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - thawattt
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
VI ตอนนี้มีใคร cut loss ไปเรียบร้อยแล้วบ้างคับ หรือถือต่อ
อ่านอีกความเห็นหนึ่งของปีเตอร์ลินซ์ครับ น่าสนใจในมุมมองที่นำไปใช้ในการตัดสินใจว่า สมควรซื้อ อยู่เฉย ๆ หรือสมควรขาย ข้อสังเกตแนวทางที่ปีเตอร์ลินซ์มองเป็นอย่างไร ใกล้เคียงกับสถานการณ์ตลาดตอนนี้ของเราอย่างไรครับ :lol: http://www.bloggingstocks.com/2008/10/24/serious-money-peter-lynch-a-simple-view/ Serious Money: Peter Lynch, a simple view Posted Oct 24th 2008 3:47PM by Sheldon Liber Filed under: Rants and raves, Berkshire Hathaway (BRK.A), Market matters, Anadarko Petroleum (APC), Serious Money, Anglo Amer ADR (AAUK), Aluminum Corp of China ADS (ACH), Recession, Comic Relief During these times of crushing financial news, collapsing stock markets combined with tremendous volatility, government ineptitude (what else is new), doubt, pessimism, and yes -- fear --- we all need to hear the reassuring words of one of our most successful investment sages. 'My pal Warren' has been filling the media with market supporting bits of wisdom and backing it up by making strategic investments through Berkshire Hathaway (NYSE: BRK.A) and more investments utilizing his personal fortune. Yesterday I received the following in an email quoting Peter Lynch, who managed to gain an average of 29.7% per year for 13 straight years while he was running Fidelity Magellan fund. Once someone asked him how he knows what stage the market is at, he replied: * "If I go to a party, and introduce myself as a mutual fund manager to strangers, and they walk away from me and talk to other people instead, I know the market is near the bottom. If they sit down and ask me what stocks they should buy, the market is at normal levels. If they sit down and TELL ME what stocks to buy, the market is near the top." Clearly this is a case of the former, not the latter being the case. However this reminded me of the old Wall Street stock market titan that returns to his investment company after lunch and tells his staff to clear the books and sell everything. When his senior manager asks him why, he replies that he was getting his hair cut and his barber started giving him stocks tips. I have been buying lately. (see: Chasing Value: Intuitive Surgical Earnings -- what now?) If I said I knew anything for sure I would be lying, but my general sense of things is that there are stocks that have been "thrown out with the bath water". Three others that are old favorites I have yet to write up recently but hope to soon are Aluminum Corp of China ADS (NYSE: ACH) Anadarko Petroleum (NYSE: APC) Anglo American ADR (NASDAQ: AAUK) -- all with downtrodden commodities falling prey to the bearest of markets -- stay tuned. Sheldon Liber is the CEO of a small private investment company and the principal for design and research at an architecture & planning firm. He writes the columns Chasing Value and Serious Money. Disclosure: I own shares of BRK.B., ACH, APC, & AAUK. Tags: AAUK, ACH, APC, Berkshire Hathaway, BerkshireHathaway, BRK.A, BRK.B, Fidelity, inthenews, ISRG, Magellan fund, MagellanFund, Peter Lynch, PeterLynch, sheldon liber, SheldonLiber, stock market wisdom, StockMarketWisdom
โดย
thawattt
อังคาร พ.ย. 25, 2008 9:45 pm
0
0
VI ตอนนี้มีใคร cut loss ไปเรียบร้อยแล้วบ้างคับ หรือถือต่อ
อีกบทความหนึ่งครับ น่าสนใจในวิธีคิดที่เปลี่ยนไปจากอดีตถึงปัจจุบัน วิกฤต โอกาส มันอยู่บนเส้นด้ายระหว่าง การซื้อหุ้นที่ถูกต้อง และจังหวะการซื้อที่เหมาะสมเป็นอย่างไร กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ แพ้วันนี้หลาย ๆ ครั้ง แต่ขอเพียงสำเร็จเพียงครั้งเดียวกับหลักการและส_วิธีการลงทุนพื้นฐานที่ถูกต้องและเลือกจังหวะที่เหมาะสมขอเพียงชนะ 1 ครั้ง ก็อาจคุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่ แม้บางช่วงจังหวะแทบจะขาดใจ หรือท้อใจไปกับคนส่วนใหญ่แล้วก็ตาม ขอเพียงไม่ท้อ แต่ให้เอาความล้มเหลวเป็นตัวเรียนรู้เพื่อพัฒนาการลงทุนให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป มิฉะนั้นสิ่งที่แพ้ในวันนี้ทั้งหมด ก็อาจทำให้เราจะต้องกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งหรือไม่ หรือเราจะต่อยอดการลงทุนให้มีพื้นฐานที่แน่นยิ่งขั้น และมีจิตใจที่ห้าวหานไม่หวั่นไหว แต่ให้มีสติและใช้ปัญญาพิจารณา เพื่อให้เราได้เรียนรู้ในชีวิตที่ครั้งหนึ่งเราอยู่ในช่วงการเปลี่ยนถ่ายของวัฏจักรหุ้นที่มีจังหวะที่เพิ่มขึ้นมาก และลดลงอย่างหนัก ทำอย่างไรให้เราสามารถลงทุนในหลักการที่ถูกต้อง และทำให้เราสามารถผ่านรอบการลงทุนที่มีทั้งวิกฤตและโอกาสที่เกิดขึ้นในวัฏจักรของตลาดหุ้นเช่นนี้ได้ไปโดยตลอด เหมือนนักลงทุนประวัตศาสตร์เช่นบัฟเฟท ปีเตอร์ลินซ์ และคนอื่น ๆ ซึ่งในวงจรการลงทุนก็ผ่านหลายรอบของตลาดทั้งขึ้นและลงมาโดยตลอด แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป ทั้งดีและร้าย การเรียนรู้ของเรา และความได้เปรียบของนักลงทุนซึ่งแตกต่างกันก็อยู่ที่ เราต้องใช้ความได้เปรียบที่ไม่เกี่ยงในเรื่องระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานได้ ตราบเท่าที่คุณค่าของหุ้นนั้นมันมากกว่าราคาตลาด และมีส่วนต่างความปลอดภัยที่เหมาะสม ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญของนักลงทุนทุกคน ที่เราต้องไม่หวั่นไหวกับนายตลาดมากเกินไปครับ เสี่ยปู่ "ผมไม่ใช่ขาใหญ่ ผมไม่มีก๊วน" ขาใหญ่ "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของฉายา "เสี่ยปู่" พอร์ตหุ้นไม่ต่ำกว่า หลักพันล้านบาท เวลาขยับตัวเล่นหุ้นตัวไหน มักดึงดูดความสนใจรายย่อย ขอร่วมวงแจมตามลงทุนหวังกำไรติดไม้ติดมือกันไม่น้อย เสี่ยปู่ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงเส้นทางชีวิตที่วนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นมาราว 20 ปี วันนี้กลายเป็นอาชีพหลัก ว่า "ผม เข้าตลาดหุ้นปี 2530 ตอนนั้นทำงานอยู่สภาพัฒน์ เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบาย อยู่ฝ่ายบัญชีประชาชาติ หลังจากเรียนจบเศรษฐ ศาสตร์ เราได้มาดูตลาดหุ้นก็รู้สึกชอบแน่ๆ ทำให้ตัดสินใจลาออกจากราชการ ใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน แต่พอเข้ามาเล่นก็เจ๊งเลย ตอนนั้นพอร์ตประมาณ 1 ล้านบาท เจ๊งเหลือ 2 แสนบาท" เสี่ยปู่เล่า ว่า ตอนนั้นไปสมัครเป็นลูกค้า บล. เอ็มซีซี (ปิดกิจการแล้ว) แต่ไม่รับ ถ้าเป็นต้องใช้เงินขั้นต่ำ 5 แสนบาทเปิดบัญชีเล่นหุ้น (พอร์ต) จึงไปสมัครที่ บล.ธนสยาม ซึ่งตอนหลังๆ พอร์ตผมโตขึ้นเรื่อยๆ ทาง บล.เอ็มซีซี ก็มาเชิญ ไปเป็นลูกค้า แต่ผมปฏิเสธ ผมมาโตจริงๆ หลังช่วงเกิดเหตุซัดดัม ช่วงนั้น ดัชนีผันผวนมากๆ เราได้เวลาตลาดลง เริ่มเล่นหุ้นก็เก็งกำไรแล้ว "การ ลงทุนในช่วงแรกๆ ก็เป็นนักเก็งกำไรแล้ว เพราะสมัยนั้นเล่นหุ้นตัวที่แข็งกว่าตลาด ตอนนั้นเล่นหุ้นไม่มีหลอกเลย ถ้าบอกวันรุ่งขึ้นก็ขึ้น ส่วนใหญ่เป็นหุ้นหลักทรัพย์ที่ขึ้นเยอะมาก แล้วก็มีวอร์แรนต์ ตอนนี้เราก็ดูตลาดเอาว่าเล่นตัวไหน ตัวไหนที่แข็งก็จะซื้อตัวนั้น ตอนนั้น นักเก็งกำไรจะเล่นทางเดียวกัน เก็งกำไรกันจริงๆ ไม่มีพื้นฐาน เศรษฐกิจไม่เกี่ยวเลย ตัวไหนแข็งก็ซื้อ เล่น 1-2 ตัวก็เต็มพอร์ต" สมัยนั้นหุ้นดังๆ จะมีวอร์แรนต์ของ บล. เอกธำรง แล้วก็มีวอร์แรนต์ของ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ (IFCT) โดยเฉพาะในช่วงประกาศลอยค่าเงินบาท (ปี 2540) ตอนนั้นหุ้นแบงก์ขึ้นหมด ผมทำกำไรได้ถึง 53 ล้านบาท พอร์ตลงทุน ตอนนั้น โตประมาณ 100 ล้านบาท "ตอน นั้นเป็น pure speculate เลย เราซื้อทั้งๆ ที่รู้ว่า IFCT-W มีมูลค่า เหลือศูนย์แน่ๆ แต่บรรยากาศอารมณ์ตอนนั้นพาไป ให้ต้องซื้อติดพอร์ตไว้ ผมก็เติบโตมาจากการเก็งกำไร แต่จุดที่ทำให้ผมเปลี่ยน คือ มาซื้อหุ้น KK (เกียรตินาคิน) ที่เริ่มซื้อที่ 90 สตางค์ เก็บเรื่อยมาจน 1 บาทกว่า ต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 บาท ซื้อมา 60 ล้านหุ้น แต่หุ้นโดนบล็อกมากราคาไม่ค่อยขึ้น จนราคามาที่ 3-4 บาท ก็เริ่มขายออกไป ตรงกับขณะนั้นที่มีการออกหุ้นวอร์แรนต์ ในราคา 2.30 บาท ให้สัดส่วน 1 หุ้นต่อ 1 วอร์แรนต์ หุ้น KK วิ่งรวดเดียวถึง 80 บาท วอร์แรนต์อยู่ที่ 60 บาท จากราคาสิทธิที่ถือว่าต่ำ ก็เลยได้คิดว่าถ้าถือหุ้นดีๆ น่าจะทำกำไรได้มากกว่านี้" จุดเปลี่ยนความคิด "เล่นหุ้นพื้นฐาน" เสี่ยปู่บอก ว่า บทเรียนจากการเล่นเก็งกำไร ทำให้ขาดทุนมากกว่าได้กำไร เพราะเป็นคนที่เล่นขาลงไม่เก่ง ประกอบกับ "มนตรี ศรไพศาล" (กรรมการผู้จัดการ บล.กิมเอ็ง) เอาหนังสือของวอร์แรนต์บัฟเฟดมาให้ จึงอ่านแล้วอ่านอีก ทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมาก แต่หนังสือเล่มนี้ อ่านแล้ววางไม่ลงเลย ก็เลยคิดตลอดเวลาว่า จะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ value stock ให้ได้ เพราะเชื่อในปรัชญาที่ว่า ราคาหุ้นที่สุดแล้ว จะไปอยู่ในพื้นฐานของตัวหุ้นนั้นๆ ในระยะยาว ยิ่งในตลาดหุ้นสมัยนี้ การเล่นหุ้นเก็งกำไรที่ไม่มีพื้นฐานจะยากมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่เก็งกำไรกันได้ง่าย "แต่หุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน เวลาราคาขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก มักจะเป็นราคาที่ไม่จริง พอร์ตที่ผ่านมาแม้จะมีการเก็งกำไร แต่ก็เป็นการได้ๆ เสียๆ ถึงพอร์ตจะโตแต่ก็โตแบบเก็งกำไรไม่ยั่งยืน ในช่วงหลังๆ จึงแบ่งพอร์ตลงทุน เป็นหุ้นพื้นฐาน 70% สำหรับลงทุนระยะยาว (long term) และหุ้นเก็งกำไร 30% แต่ก็ยอมรับว่า บางครั้งหุ้นเก็งกำไร ทำกำไรได้เยอะกว่าหุ้นพื้นฐาน แต่บางครั้งการเก็งกำไรของผม ก็จะดูปัจจัยพื้นฐานด้วยเหมือนกัน อย่างเช่นหุ้นเดินเรือ ชอบ TTA เราไม่ได้ฟังนักวิเคราะห์ แต่จะดูค่าระวางเรือ" สำหรับเทคนิคการเลือกหุ้น เสี่ยปู่เล่า ว่า เวลาซื้อหุ้นจะเป็นช่วงตลาดขาลง ซึ่งเป็นการรอรับซื้อจนได้กำไร โดยหุ้นที่ซื้อจะดูผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นหลัก อย่างหุ้นอิออน ธนสินทรัพย์ (AEONTS) จะสังเกตมาตลอด ตั้งแต่เข้าตลาด โตมากกว่า 30% ทุกปี สูงมาก ถือว่าเป็นหุ้นดีแม้ราคาจะนิ่ง จึงเป็นหุ้นตัวหนึ่ง ที่ถือมาตลอดไม่ขาย ชอบมากตัวนี้ เปิดพอร์ตหุ้นลงทุนยาว-เก็งกำไร นอกจาก นี้ในพอร์ตยังมีหุ้นมูลค่าอื่นๆ อีก ได้แก่ หุ้นกรุงศรีอยุธยา (BAY) และวอร์แรนต์ (BAY-W1), หุ้น ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น (C.P.7-11), หุ้นเอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC), หุ้นไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) และวอร์แรนต์ (MINT-W3), หุ้นปริญสิริ (PRIN), หุ้นเอส แอนด์ พี ซินดิเคท (S&P) และหุ้น สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนต์ (SF) ส่วนพอร์ตหุ้นเก็งกำไร ช่วงนี้จะเน้นหุ้นพลังงาน ตามกระแสเงินต่างชาติ ที่ไหลเข้ามาช็อปหุ้นกลุ่มนี้ อย่างตัวเต็งๆ จะมีหุ้น ปตท.สผ. (PTTPT) และหุ้น ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และยังมีหุ้นโทรีเซนไทย เอเยนซีส์ (TTA) หุ้นอะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ ATC ซึ่งพวกนี้จะปรับตัว ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเก็งกำไรได้ง่าย "หุ้นเก็งกำไร ถ้าซื้อแล้วขาดทุน ก็ถือว่าดูผิดก็จะขาย ถ้าเป็นหุ้นแวลู ที่ยังดีอยู่ ก็จะถือต่อไป ผมจะดูถ้าช่วงไหนหุ้นขึ้นแรงๆ ในช่วงสั้นๆ ซัก 50% ผมก็จะพิจารณาขาย ถ้าเป็นวอร์แรนต์ ถ้ากำไรซัก 200% ผมอาจไม่ขาย ต้องดูหุ้นแม่เป็นตัวประกอบก่อน ซึ่งวอร์แรนต์หลายตัวที่ซื้อก็เพื่อ ใช้สิทธิแปลงสภาพ เป็นหุ้นสามัญ" เสี่ยปู่เล่า ว่า ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขึ้นบูมมาก ไม่ได้ซื้อเพิ่ม เรียกว่าลดพอร์ตเลย เพราะราคาหุ้นแพงเกินไป จากการที่ปรับขึ้นเร็วและแรง แต่ตัวที่จะซื้อเก็บ จะเลือกหุ้นที่คิดว่าดีและยังสะสมได้ โดยเฉพาะหุ้นเล็กๆ หรือถ้าเวลาที่ฝรั่งขาย ก็จะมานั่งดูหุ้นว่า ยังแพงอยู่หรือว่าถูกลงแล้ว โดยไม่สนใจว่า ในช่วงนั้น ใครซื้อหรือขายอยู่ สำหรับกำไรจากพอร์ต ลงทุน ถ้าเป็นหุ้นแวลู จะโตขึ้นเรื่อยๆ บางตัวก็โตเร็ว ส่วนหุ้นเก็งกำไรก็ขึ้นในทำนองเดียวกัน และเวลาที่ได้กำไรจากหุ้นเก็งกำไร จะเอามาซื้อหุ้นพื้นฐานเก็บไว้ โดยสถิติพอร์ตหุ้นมูลค่าเคยกำไรสูงสูดถึง 1,500 ล้านบาท !!! แต่ถ้านับรวมกับพอร์ตหุ้นเก็งกำไรแล้ว ตัวเลขกำไรที่ประมาณการ แบบเปิดเผย ก็เกิน 2,000 ล้านบาท !!! ชื่อเสียงดังเลยถูกนำมาหากินในห้องค้า ด้วยไซซ์พอร์ตใหญ่ขนาดนี้ เสี่ยปู่จึงยอมรับว่า บ่อยครั้งที่ชื่อเสี่ยปู่ ถูกนำไปใช้อ้างในตลาดหุ้นว่า "เข้าเล่นหุ้นตัวนั่นตัวนี่" หวังเรียกแมลงเม่า เข้ามาร่วมวงปั่นหุ้น หรือถูกข้อหาว่า "เป็นนอมินีให้กลุ่มนักการเมือง" ซึ่งตนขอยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองเลย ซึ่งที่ผ่านมา ก็เคยถูกตลาดหลักทรัพย์ฯเข้ามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไร และไม่เว้น แม้กระทั่งข่าวว่า "เสี่ยปู่รับจ้าง ทำราคาให้กับหุ้นใหม่ที่จะเข้าตลาด" ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า มีการติดต่อจริง แต่ก็บอกไปตรงๆ ว่าทำไม่ได้ เพราะหุ้นจอง พอเข้าตลาดวันแรกก็ขายกันแล้ว "ที่ ผ่านมาก็มีถูกเพ่งเล็งจากทางการบ้างเหมือนกัน ตามที่หนังสือพิมพ์ เอาไปลงกัน ว่าไปปั่นหุ้นตัวนั้นตัวนี้หลายๆ ตัวก็เป็นแค่ข่าวลือ เพื่อให้หุ้นวิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่จริงเลยที่เข้าไปซื้อแล้วหุ้นมันจะขึ้น ขายแล้วลงก็ไม่ใช่ เคยซื้อหุ้นเยอะไม่ขึ้นก็มี และ ผมก็ไม่ใช่ขาใหญ่อะไรด้วย เพราะขาใหญ่ๆ จริงมีไม่เยอะ เป็นข่าวลืออุปโลกน์กันไปมากกว่า ขาใหญ่ตัวจริงต้องมีเครือข่าย มีก๊วน เล่นตัวเดียวกัน พากันดันราคาขึ้นไป พอหัวหน้าเป่านกหวีด ปรี๊ดก็ขายกันหมดอย่างนี้ สำหรับผมจะเล่นลงทุนคนเดียว ไม่ค่อยมีก๊วน แต่ก็จะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ถ้าเห็นดีด้วยก็ซื้อบ้างถ้าไม่ก็ไม่ซื้อ" เป้าหมายชีวิต "เล่นหุ้นไปเรื่อยๆ" เสี่ยปู่บอก ว่า แม้อายุ 55 ปี ก็ยังชอบการลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ ซึ่งคิดว่า จะเล่นหุ้นไปเรื่อยๆ ชีวิตมีความสุขดี ทุกวันนี้ กลางคืนก็จะมีเข้าไปดูข่าว ในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับหุ้น ดูว่าเขาแชตหุ้นอะไรกันบ้าง มีหลายเว็บ ทั้งกระทิงเขียวในพันธุ์ทิพย์ฯ ทุกวันนี้ก็เล่นหุ้นเป็นอาชีพส่งลูกเรียนต่อเมืองนอก ขณะที่ภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้านอยู่ ตอนนี้ก็มาเล่นหุ้นเหมือนกัน แต่คนละพอร์ตกัน เพราะลงทุนคนละสไตล์ พอกลับถึงบ้านจะคุยหุ้นกันนิดๆ หน่อย ซึ่งปรากฏว่า ภรรยาได้กำไรมากกว่าในรอบหุ้นขึ้นที่ผ่านมา ส่วนลูกๆ 3 คน หากเรียนจบกลับมาในอนาคต ก็อยากให้เข้ามาเล่นหุ้นเหมือนกัน พอถามถึงงานอดิเรก เสี่ยปู่จะ บอกว่า จะมีทั้งการสะสมรูป ศิลปะ งานตัดแต่งต้นไม้ ปลูกต้นไม้ที่บ้าน ที่สำคัญ เงินส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้ฟุ่มเฟือย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่จะทุ่มสุดๆ เน้นแบรนด์ดังๆ เท่อย่างเวอร์ซาเช่ ที่ใส่มาให้สัมภาษณ์ด้วยมาดเนี้ยบ บุคลิกนิ่มๆ แบบนักวิชาการใส่แว่น แต่นี่เป็นขาใหญ่เล่นหุ้น "เสี่ยปู่" Source: http://www.ThaiDayTrade.com
โดย
thawattt
เสาร์ พ.ย. 22, 2008 11:00 am
0
0
VI ตอนนี้มีใคร cut loss ไปเรียบร้อยแล้วบ้างคับ หรือถือต่อ
จะลงทุนหรือถือต่อ กลับไปดูพื้นฐานการลงทุนก่อนว่า เราเล่นหุ้นหรือลงทุนในหุ้นครับ เอาบทความมาให้อ่านก่อนตัดสินใจครับ จะคัดหรือถือต่อดีครับ :lol: http://72.14.235.132/search?q=cache:2OMupYUuZJwJ:www.moneychannel.co.th/Menu6/LifeInvestment/tabid/132/newsid773/65244/Default.aspx+%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2&hl=th&ct=clnk&cd=4&gl=th&client=firefox-a ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร “การลงทุน ไม่ใช่การเล่นหุ้น” Posted on Saturday, August 30, 2008 “ทำไมไม่ทำธุรกิจบ้าง” เพาพิลาส เหมวชิรวรากร เอ่ยถามสามี ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร “ผมทำอยู่แล้ว” ดร.นิเวศน์ ตอบภรรยาสั้นๆ แต่ได้ใจความ ตลอดเกือบ 12 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าธุรกิจของ ดร.นิเวศน์เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม เป็นที่อิจฉาของใครต่อใครหลายๆ คน และดร.นิเวศน์ไม่ได้เป็นเจ้าของแค่ธุรกิจเพียงแห่งเดียว และอาจจะพูดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีธุรกิจหลาย 10 ธุรกิจ และแต่ละธุรกิจเป็นผู้นำทางธุรกิจชนิดคู่แข่งแทบจะวิ่งไม่ทัน ขอยก ตัวอย่างบริษัทของ ดร.นิเวศน์ มาให้อิจฉากัน เริ่มจาก บมจ.ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ (TF), บมจ.ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF), บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY), บมจ.ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ (BAT-3K) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC), บมจ.เสริมสุข (SSC) และ บมจ.ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) นิยามแห่งความเป็นเจ้าของ ธุรกิจของ ดร.นิเวศน์ ไม่ใช่เป็นผู้ก่อตั้ง บุกเบิกแล้วค่อยก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา แต่ใช้ความเป็นเจ้าของผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหุ้นแล้วก็ถือไปยาวๆ เพื่อรอรับเงินปันผลในแต่ละปี “บริษัทของเราดีๆ ทั้งนั้น” ดร.นิเวศน์ ตอบภรรยา ปี 2540 ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นกลัวและกระโดดหนีออกจากตลาดหุ้น ดร.นิเวศน์กลับมองว่าเป็นจังหวะโอกาสที่เข้าไปลงทุน ด้วยการมองหาหุ้นดีๆ ที่มีอนาคต ผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง จ่ายปันผลงาม ทนต่อสภาวะวิกฤติ เพียงแต่ในขณะนั้นเจอกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ราคาหุ้นตกลงมาตามตลาดโดย รวม ดร.นิเวศน์ ทุ่มสุดตัวด้วยการใช้เงินที่สะสมมาตลอดทั้งชีวิตราวๆ 10 ล้านบาท เข้าไปซื้อหุ้นที่ตัวเองได้ทำการวิเคราะห์แล้วว่ามีความปลอดภัยและจะอยู่กับ ตัวเองไปตลอดชีวิต โดยมองว่าถึงแม้หุ้นตัวนี้จะไม่มีสภาพคล่อง ไม่มีคนซื้อต่อ แต่ก็ได้รับเงินปันผลที่คุ้มค่าและจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง “ผมคิดว่าจะอยู่กับหุ้นที่ลงทุนไปตลอดชีวิต เพราะมองว่าตัวเองเป็นเจ้าของคนหนึ่งในบริษัทนั้น” จาก ปี 2540 จนถึงวันนี้ ดร.นิเวศน์กลายเป็นเศรษฐีหุ้นอย่างแท้จริง ด้วยการคัดกรองมองหาหุ้นที่มีความอยู่รอดปลอดภัยและแข็งแกร่ง ภายใต้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Value Investor การลงทุนแบบ Value Investor การ ลงทุนแบบ Value Investor ต้องคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจ ต้องมองหาธุรกิจที่เราอยากเป็นเจ้าของ แต่ธุรกิจที่เราอยากเป็นนั้นจะต้องอยู่ในโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน เพราะเป็นความคิดแบบฝันเฟื่อง ดังนั้นต้องรู้จัก รู้จริงในธุรกิจนั้นๆ พยายามหาธุรกิจที่เข้าใจง่ายและเห็นแล้วว่ามีความสามารถทำกำไรได้ หลักการใหญ่ของการลงทุนแบบ Value Investor คือ ต้องรู้ธุรกิจที่อยากจะเป็นเจ้าของ ถ้าไม่รู้จักธุรกิจนั้นๆ ไม่รู้ว่าขายสินค้าอะไร กำไรมาจากไหนอย่าไปลงทุนเด็ดขาด ความจริง แล้วการลงทุนแบบ Value Investor เป็นการลงทุนเพื่อชีวิต คือ ทำให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่การลงทุน “เล่นๆ” กำไรเล็กน้อยก็ดีใจ ขาดทุนเล็กน้อยก็เสียใจ ตลาดหุ้นดีก็เข้ามา ตลาดไม่ดีก็ถอยออกไป แต่การลงทุนแบบ Value Investor เหมือนกับกำลังปลูกต้นไม้ใหญ่ กำลังสร้างธุรกิจ และเมื่อถึงวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะกลับมาเลี้ยงชีวิตตัวเราให้อยู่แบบสบายๆ หุ้นในแบบ Value Investor ประเภท ของกิจการที่น่าลงทุนตามหลัก Value Investor คือ บริษัทนั้นๆต้องขายสินค้าที่เป็นผู้นำในตลาด คนจำเป็นต้องซื้อสินค้านั้นๆ อาจเป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ เป็นยี่ห้อที่คนชื่นชอบ ติดตลาดหรือขายอยู่เจ้าเดียว คู่แข่งเข้ามาตีตลาดยาก เลือกลงทุนใน ธุรกิจดีๆ ในราคาหุ้นที่ต่ำ ราคายุติธรรม ซื้อไม่กี่ตัวแล้วถือยาวๆ ใจเย็นๆ ช้าๆ แต่มั่นคง อาจจะเปลี่ยนหุ้นปีละ 1-2 ตัว และหากเห็นว่าราคาหุ้นตัวนั้นปรับขึ้นไปสูงแล้วก็ขายเพื่อนำเงินไปลงทุนใน หุ้นตัวใหม่ และติดตามหุ้นไปเรื่อยๆ และอย่าลืมแนวคิดที่ว่าคุณกำลังลงทุนทำธุรกิจและเป็นเจ้าของกิจการ นอกจาก นี้เมื่อได้กำไรหรือได้ผลตอบแทน ได้รับเงินปันผลก็นำเงินเหล่านี้ไปลงทุนเพิ่ม ซึ่งเรียกว่าการลงทุนแบบทบต้น ลงทุนทบต้นทุกปีๆ เพราะดร.นิวเศน์มองว่าการลงทุนแบบทบต้นเป็นสิ่งมหศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ปี 2540 เรียนรู้อะไร วิกฤติ การเงินปี 2540 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ดร.นิเวศน์มองว่าในท่ามกลางวิกฤติยังมีโอกาส ดังนั้นอย่าเพิ่งท้อถอย “ผมมองว่าเมื่อเกิดวิกฤติ การลงทุนจะต้องเปลี่ยนโฉม และผมรู้ว่าการเปลี่ยนโฉมครั้งนี้จะเป็นการลงทุนแบบ Value Investor ซึ่งเป็นการลงทุนที่ต้องใช้การวิเคราะห์ต่างๆ และการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความปลอดภัยทนต่อสภาวะวิกฤติ” เมื่อเขา คิดแบบนี้จึงยอมทุ่มสุดตัว “บอกได้เลยว่าตอนนั้นผมเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการลงทุน ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ มองว่าตลาดหุ้นไทยไม่มีความปลอดภัย แต่ผมมั่นใจว่ายังมีหุ้นที่ต้องอยู่รอดปลอดภัยและต้องดีขึ้นในอนาคต มีกำไร จ่ายเงินปันผลที่ดีขึ้น และจะมีศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น แต่ในปี 2540 ราคาหุ้นตกต่ำ เพราะคนกลัวและขายหุ้นทิ้ง” แนวคิดการเข้ามา ลงทุนแบบนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็น Value Investor เกิดจากแนวคิดว่าต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจผ่านการลงทุนในหุ้น ไม่ใช่เข้ามาเพื่อการเล่นหุ้น ซึ่งการเป็นเจ้าของธุรกิจเราต้องจ่ายแพงมากกว่าคนอื่น เพียงแต่ในช่วงปี 2540 เขาไม่ได้จ่ายแพง แต่จ่ายถูกกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นความเสี่ยงแทบจะไม่มีเลย ถือเป็นการตัดสินใจถูกจังหวะ ผม บอกได้เลยว่าตอนนั้นผมอ่านตลาดหุ้นไทย “ขาด” กว่าคนส่วนใหญ่ ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเงินลงทุนได้ อีกทั้งผมเป็นผู้นำความคิด Value Investor ซึ่งก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจยังไม่มีคำว่าการลงทุนแบบนี้ แต่หลังจากผ่านวิกฤติเศรษฐกิจคำเหล่านี้ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมเป็นต้นคิดในการลงทุนหุ้นด้วยการใช้การวิเคราะห์แบบละเอียด ผลตอบแทนจากการลงทุน ผล ตอบแทนที่ได้จากการลงทุนได้มาแบบไม่เคยคาดคิดมาก่อน โดยตลอด 11 ปีที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนโตมากกว่า 30 เท่า เพราะช่วงลงทุนไม่ได้คิดว่าจะได้มากมาย แต่จังหวะนั้นเป็นโอกาสทองในการลงทุน ผมมองว่าโอกาสทองในชีวิตคนเราเกิดขึ้นได้แค่หน สองหน ซึ่งเมื่อโอกาสมาคุณจะคว้าทันหรือไม่ หรือปล่อยให้โอกาสทองลอยหายไป ใน ช่วงนั้นไม่ได้ตั้งเป้าเอาไว้เลยว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไร ได้เท่าไรก็มีความพอใจ แต่บังเอิญได้มาโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว ซึ่งผมลงทุนไปเรื่อยๆ จนผลตอบแทนทบไปทบมาต่อปีสูงถึง 35% โอกาสทอง ไม่จำเป็นต้องเกิดท่ามกลางวิกฤติ แต่โอกาสทองของแต่ละคนมีอยู่ตลอดเวลา ประเด็น ก็คือว่า ต้องพร้อมที่จะคว้าโอกาสนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมไม่มีความรู้ ไม่ได้ศึกษามาก่อน ต่อให้โอกาสทองลอยมาก็ไม่สามารถคว้าได้ คิดอย่างไรกับคำว่า “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” คำ ว่า “เล่น” ทำให้เกิดความสับสน ซึ่งคำๆ นี้หมายความว่าการทำให้เกิดความสนุกนาน ไม่เอาจริงเอาจัง ไม่มีพื้นฐานมารองรับ และขึ้นอยู่กับโชคชะตา แต่คำว่า “ลงทุน” คือ การมีปัจจัยพื้นฐานมารองรับ มีการวิเคราะห์ละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจ และเป็นการลงทุนเพื่อมีเป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต มองอย่างไรกับการซื้อขายแบบรายวัน ผม ไม่เห็นด้วยการกับการเทรดหุ้นเป็นรายวัน หรือในระยะสั้นๆ เพราะกำลังคิดว่าจะมีนักลงทุนคนอื่นๆ มาซื้อหุ้นต่อจากเรา ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ได้กำไร แต่ถ้าไม่มีใครมาซื้อต่อ ราคาหุ้นจะปรับลดลง เพราะในระยะสั้นๆ ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง ขึ้นอยู่กับแรงซื้อและแรงขาย และแรงซื้อแรงขายเกิดความความกลัว ความโลภของนักลงทุน ดังนั้นถ้าลงทุนในตอนที่มีความกลัวจะเกิดความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ นั่น หมายความว่าโอกาสที่การลงทุนจะประสบความสำเร็จและล้มเหลวมีเท่ากัน คือ 50:50 และถ้าทำบ่อยๆ ตามสถิติแล้วผลตอบแทนจะเป็นศูนย์ ไม่ได้อะไรเลยจากการลงทุน เพราะโอกาสชนะ 50% โอกาสแพ้ 50% อีกทั้งจะสูญเสียค่าคอมมิชชั่น แม้จะเสียเพียงเล็กน้อยแต่ถ้าเสียบ่อยๆ ก็กลายเป็นเม็ดเงินที่สูงและไม่มีความคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม มีคนประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะสั้นๆ แต่เป็นแค่ 1 ใน 100 คนเท่านั้น แล้วคุณจะเป็น 1 ใน 100 หรือคุณจะเป็น 99 ใน 100 มองความร่ำรวยย่างไร เมื่อ ถึงจุดๆ หนึ่ง เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิต เมื่อมีถึงจุดหนึ่งก็เพียงพอ ความสุขของคนใช้เงินไม่มาก ถึงแม้จะมีเงินมากแต่ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย ความสุขมาจากด้านอื่นๆ เงินเป็นแค่องค์ประกอบเท่านั้น การลงทุนให้ครอบครัว ครอบครัว ผมตอนนี้อยู่บ้านฝ่ายภรรยา ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ผมกล้าลงทุน ส่วนภรรยาไม่ลงทุนในตลาดหุ้น ด้านลูกสาวคนเดียว (น้องพิซซ่า) กำลังเรียนอยู่ระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ จุฬาลงกรณ์ ดังนั้นการลงทุนครอบครัวจึงมุ่งไปที่ลูกสาว ในด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ ถึง แม้ว่าผมจะประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้น ผมเคยเล่าให้ภรรยาและลูกฟัง แต่ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังอะไร เพราะคิดว่าแต่ละคนก็มีบุคลิกและสไตล์เป็นของตัวเอง จะให้ภรรยาและลูกสาวเป็นเหมือนผมคงไม่ได้ และไม่สามารถบังคับกันได้ การลงทุนครั้งสำคัญในชีวิต การ ไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา ไปโดยไม่มีเงินเลย แต่เรามีแรง มีเวลา นี่คือการลงทุน ซึ่งคนที่ไม่ร่ำรวย การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญเพราะมีสมอง มีแรง มีความขยัน มีเวลา ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นเราไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่ผมคิดว่าถ้ามีความสามารถเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์จะออกมาดี ผมคิดว่าการศึกษาให้ผลตอบแทนที่ดี และมีความคุ้มค่า และทุกวันนี้ความรู้เป็นสิ่งที่สร้างความมั่งคั่งที่ดีที่สุด
โดย
thawattt
เสาร์ พ.ย. 22, 2008 10:30 am
0
0
เก็บก้นบุหรี่ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
100 อันดับแรกของหุ้นก้นบุหรีครับ (ดูจาก P/BV จากต่ำสุด ไปสูงสุดครับ) สแกนด์เบื้องต้นมาให้ดูกันครับ ถ้าผิดถูกอย่างไร ช่วยรบกวนแก้ไขให้ด้วยครับ เป็นข้อมูล ณ 17 พฤศจิกายน 2551 ครับ แถม ราคาปิด PE ถึงไตรมาส 2 (4 ไตรมาสล่าสุด) และ Dividend yield ให้เรียบร้อยครับ ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ ลองไปศึกษาเพิ่มเติมตามแนวทางของ อาจารย์นิเวศน์ ต่อไปครับ Rank Symbol Prior Close P/E (Times) P/BV (Times) Dividend Yield (%) 1 TPIPL 7.45 2.64 N/A 0.1 - 2 F&D 6.5 3 14.15 0.11 - 3 TT&T 0.91 0.34 N/A 0.11 - 4 SINGHA 2.42 0.3 12.9 0.12 14.73 5 KMC 0.84 0.22 N/A 0.12 - 6 GSTEEL 0.73 0.36 0.79 0.13 5.56 7 AFC 4.34 2.8 N/A 0.14 - 8 BTC 0.88 0.28 N/A 0.14 - 9 MIDA<NP> 0.84 0.49 7.22 0.15 - 10 GJS 0.24 0.11 4.35 0.16 - 11 THCOM 10.2 2.66 0.98 0.17 - 12 YNP 3.82 0.37 N/A 0.17 - 13 SSI 0.81 0.33 2.04 0.18 15.15 14 BLAND 0.76 0.25 3.77 0.18 - 15 NVL 0.55 0.29 11.31 0.18 5.24 16 SCAN 4.82 2.66 N/A 0.18 56.39 17 TCJ 5.25 2.62 19.01 0.19 - 18 PAF 1.79 0.99 N/A 0.19 - 19 NOBLE 4.2 1.5 2.1 0.2 10.67 20 SICCO 3.36 1.36 3.52 0.2 14.71 21 LALIN 3.28 0.83 3.68 0.2 7.23 22 TTTM 50.5 35 4.6 0.2 7.14 23 BNC 2.64 2.5 N/A 0.2 - 24 AMC 2.22 0.67 0.88 0.21 - 25 LRH 44 24 2.14 0.21 11.67 26 INET 1.47 0.54 4.46 0.21 3.7 27 CWT 2.72 2.2 N/A 0.21 - 28 TRUBB 15.9 7.75 N/A 0.21 - 29 RCI 1.24 0.54 N/A 0.21 - 30 TTL 25 17.5 N/A 0.22 - 31 NSI 13.5 9 N/A 0.22 - 32 SUSCO 0.4 0.26 N/A 0.22 - 33 UMI 0.8 0.48 N/A 0.22 - 34 AH 11 3.8 2.14 0.23 10.26 35 MK 2.32 1.06 2.65 0.23 13.21 36 KCE 3.62 1.26 3.84 0.23 6.35 37 SMC 1.24 0.47 N/A 0.23 - 38 JTS 1.52 0.53 N/A 0.23 16.39 39 SOLAR 2.92 0.66 N/A 0.23 - 40 THAI 39.25 8.2 N/A 0.23 5.49 41 RCL 29.75 6.3 1.54 0.24 23.81 42 THIP 26.75 16 3.92 0.24 6.25 43 ESTAR 0.35 0.22 5.89 0.24 - 44 CPH 6.75 5 N/A 0.24 - 45 SAWANG 10.4 6 N/A 0.24 - 46 FNS 8.8 4.32 N/A 0.24 - 47 GOLD 7.6 2.6 N/A 0.24 1.92 48 MLINK 1.41 0.71 0.43 0.25 21.13 49 UT 5.45 2.94 2.76 0.25 - 50 CI 3.7 1.89 3.97 0.25 7.94 51 BFIT 6.8 2.6 3.58 0.26 15.38 52 PLE 5.45 1.6 3.89 0.26 13.13 53 PREB 1.16 0.67 5.26 0.26 - 54 ACL 4.78 2.08 9.39 0.27 - 55 TCAP 14.6 5.75 2.27 0.28 15.65 56 PRIN 3.2 0.67 2.82 0.28 4.48 57 SITHAI 7.5 5 7.42 0.28 10 58 RASA 5 1.75 16.99 0.28 14.29 59 YCI 5.4 6.3 N/A 0.28 - 60 Q-CON 1.69 0.88 N/A 0.28 - 61 TWP 17.4 9.5 1.23 0.29 - 62 KK 28.25 10.2 2.47 0.29 22.49 63 KYE 39.25 31.25 3.26 0.29 5.12 64 SAM 1.97 0.71 4.03 0.29 - 65 SUC 18.2 13.7 4.3 0.29 9.12 66 VARO 6 3.98 5.12 0.29 3.59 67 MANRIN 22 7.5 N/A 0.29 9.33 68 PAP 6.9 0.81 1.81 0.3 10.86 69 BCP 14 6.35 1.96 0.3 4.72 70 PF 3.98 2.4 2.26 0.3 10 71 GBX 1.5 0.34 N/A 0.3 7.33 72 MDX 4 0.87 2.22 0.31 - 73 DTCI 7.5 7.7 6.22 0.31 - 74 TC 13 13.3 N/A 0.31 3.76 75 PRO 1 0.34 N/A 0.31 - 76 TSTH 1.82 0.7 1.33 0.32 10.86 77 VNT 7.85 3.76 2.52 0.32 4.52 78 METCO 197 86 4.2 0.32 11.63 79 KGI 2.78 0.69 4.59 0.32 17.39 80 TNITY 7.1 2.6 6.36 0.32 4.81 81 TCMC 6.5 3.5 6.6 0.32 - 82 TRU 2.7 1.57 9.59 0.32 - 83 ECL 0.52 0.36 11.89 0.32 - 84 TPP 7.6 6 N/A 0.32 - 85 PA 4.66 2.62 N/A 0.32 - 86 CHUO 8.4 5.4 2.15 0.33 18.52 87 SVOA 1.33 0.48 2.42 0.33 3.13 88 SC 13.4 5.4 2.98 0.33 12.04 89 KTC 31 7.55 3.48 0.33 15.89 90 SIRI 3.6 1.76 4.75 0.33 13.07 91 RAIMON 0.94 0.3 24.11 0.33 - 92 NWR 0.66 0.18 N/A 0.33 - 93 UTC 5 2.92 0.74 0.34 - 94 SYNTEC 0.86 0.37 2.19 0.34 - 95 SORKON 13.8 10.1 21.56 0.34 4.95 96 SYRUS 3.82 1.45 23.5 0.34 - 97 AOT 57.5 18.8 4.03 0.35 2.13 98 CNS 35.75 17.6 10.25 0.35 8.52 99 HTC 2.94 2.04 15.3 0.35 - 100 LTX 27.75 24 17.3 0.35 10.42
โดย
thawattt
จันทร์ พ.ย. 17, 2008 12:22 pm
0
0
ไทยเลือดไหลซิบ9เดือน2แสนล้าน
ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2008 14:32:42 น. ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รายงาน ตัวเลขทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทย วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่ 103.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวันที่ 31 ต.ค.2551 ที่ 103.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันฐานะ ฟอร์เวิร์ดสุทธิของไทย วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่ 9.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเมื่อวัน ที่ 31 ต.ค.2551 ซึ่งอยู่ที่ 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากัน เงินสำรองระหว่างประเทศในรูปเงินบาท วันที่ 7 พ.ย.2551 อยู่ที่ระดับ 3,607.0 พันล้านบาท จาก 3,603.5 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2551 31 ต.ค.51 7 พ.ย.51 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (พันล้านบาท) 3,603.5 3,607.0 (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 103.2 103.1 ฐานะสุทธิ Forward(พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 8.9 9.0 สินเชื่อสุทธิที่ให้กับรัฐบาล(พันล้านบาท) 72.8 88.1 สินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงิน -2,077.2 -2,125.0 (พันล้านบาท) ฐานเงิน(พันล้านบาท) 926.6 893.0 --อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์:
[email protected]
โดย
thawattt
อาทิตย์ พ.ย. 16, 2008 3:52 pm
0
0
Debt Bubble ????
loso วิกฤติการเงินและเศรษฐกิจรอบนี้ของเมกาจะทําให้คนอเมริกันเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการดําเนินชีวิตแบบเดิมๆหรือไม่ http://www.ryt9.com/news/2008-11-15/47096480/ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2008 09:30:00 น. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ร่วงลง 2.8% ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลงในช่วงที่วิกฤตการณ์การเงิน ลุกลามไปทุกภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็น คาดการณ์ว่า ยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ของสหรัฐจะร่วงลง 2.1% ซึ่งจะเป็นการร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบ 7 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นหลักฐานล่าสุดที่บ่งชี้ เศรษฐกิจสหรัฐทรุดตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี มาร์คัส โชเมอร์ นักวิเคราะห์จาก AIG Global Investment Group ในกรุงนิวยอร์กกล่าวว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาคเอกชนของสหรัฐมีแนวโน้มร่วงลงอีก เ นื่องจากตัวเลขว่างงานพุ่งสูงขึ้น ตลาดหุ้นดิ่งลง และราคาบ้านตกต่ำลง โดยล่าสุดมีบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง เบสท์บาย และนอร์ดสตรอม ปรับลดคาดการณ์คาดการณ์ " เดือนต.ค.เป็นเดือนที่ย่ำแย่ของกลุ่มค้าปลีก และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะยืดเยื้อมาจนถึงเดือนพ.ย.และธ.ค. ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีปฏิกริยาในด้านลบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และอัตราว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น" โชเมอร์กล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนต.ค.ที่ร่วงลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐ เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลง 337.94 จุด หรือ 3.82% ปิดที่ 8,497.31 จุด และส่งผลให้สัญญาน้ำมัน NYMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 57.04 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อคืนนี้ด้วย
โดย
thawattt
อาทิตย์ พ.ย. 16, 2008 3:44 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
thawattt
เสาร์ พ.ย. 01, 2008 11:25 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
thawattt
เสาร์ พ.ย. 01, 2008 11:17 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
thawattt
เสาร์ พ.ย. 01, 2008 11:03 am
0
0
Andrew Lahde แหม ทำไปได้...
last year http://ftalphaville.ft.com/blog/2007/09/27/7666/having-a-lahde-the-410-per-cent-man/ Having a Lahde — the 410 per cent man Hedge fund managers and big egos generally go together, but Andrew Lahde manages a new high with his latest investor letter, in which he says his Lahde Capital “has the top-rated performance for all hedge funds in the universe” for the year to August. Santa Monica, California-based Mr Lahde, to be fair, has good reason to boast: Series A of his fund was up 7.9 per cent in August, 410 per cent for the year so far, outpacing even the stellar performance of John Paulson’s (of Paulson & Co) Credit Opportunities fund. Like the far larger fund from Mr Paulson, Mr Lahde’s diminutive $60m Lahde Capital makes most of its money by shorting US subprime mortgage-related structured credits, particularly the ABX indices. Lahde, though, goes further. He predicts “100% likelihood” of a US recession, and this month launched a new fund shorting the CMBX indices, betting that commercial property will also tumble and his “commercial fund [will] act as a hedge for all of the carnage still to come ”. Also, Lahde is becoming even more bearish , if that were possible. He has upped his estimate of US subprime mortgage defaults from 30-40 per cent a month ago to 50-60 per cent. If he’s right, his conclusion pretty much sums up the likely outcome for the subprime market: “Game over.” Here’s a taster: Rising tides lift all boats. Rock, paper, scissors. Tsunami crushes all (except those who bought tsunami insurance and got the hell away from the water). The tsunami is this credit contraction I have been writing about for the past year. It has affected everything . Period… …Fellow CFAs probably remember learning about the mosaic theory, which distinguishes between plain old inside information and attaining information from different sources and combining them together to reach a conclusion that is virtually as good as ill-gotten inside information. I have so many sources of information, both the factual/statistical type and the anecdotal type. Everything I see tells me the ABX is going to fall further, as is the CMBX, the equity market, the dollar, etc… … If God comes down and miraculously fixes everything that is going to drive us into a deep recession , we probably still would not lose money on the CMBX trades… …There isn’t enough lipstick in the world to sell a pool of subprime loans right now… …Will Bush help? No. His plan would help some 80,000 borrowers out of the two million subprime borrowers whose mortgage payments jump in the next two years. Try again. Good night and good luck. This entry was posted by James Mackintosh on Thursday, September 27th, 2007 at 15:02 and is filed under Capital markets, Hedge funds. Tagged with Lahde Capital. You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. Responses are currently closed, but you can trackback from your own site. :bow:
โดย
thawattt
อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 7:53 am
0
0
กำไรหรือขาดทุน
ขอบคุณคุณปรัชญาครับ :lol: คนที่ประสบผลสำเร็จนั้น ล้มเหลวนับสิบครั้ง และความสำเร็จเพียงครั้งเดียว มันก็ทำให้เค้ากลายเป็นคนที่ประสบผลสำเร็จ :bow:
โดย
thawattt
อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 7:07 am
0
0
ถ้า pttep ลงมา 90 อีกครั้ง จะซื้อหรือเป่า
wait and see :lol: Energy Prices PETROLEUM ($/bbl) PRICE* CHANGE % CHANGE TIME Nymex Crude Future 80.13 -6.46 -7.46 11:24 Dated Brent Spot 74.90 -5.17 -6.46 11:53 WTI Cushing Spot 80.14 -6.45 -7.45 11:38 http://www.bloomberg.com/markets/commodities/energyprices.html
โดย
thawattt
ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 11:11 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
thawattt
ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 9:36 pm
0
0
ขอแสดงความยินดีกับท่าน ที่ผ่านบททดสอบสำคัญ
update 10 oct 2008 SET 451.96 -48.03 (-9.61 %) MARKET CAPITAL 3,635,322.12 M. FOREIGN -258.78 INSTITUTION -2192.04 CUSTOMER +2450.82 P/E 6.87 P/BV 0.99 YIELD 6.44
โดย
thawattt
ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 9:19 pm
0
1
ขอแสดงความยินดีกับท่าน ที่ผ่านบททดสอบสำคัญ
บททดสอบที่สำคัญ จงกลัวเมื่อคนอื่น ๆ กำลังโลภ จงโลภ เมื่อคนอื่น ๆ กำลังกลัวสุดขีด เวลาอ่านหนังสือแล้ว ดูเหมือนง่าย เห็น ๆ อยู่ว่า มูลค่าหุ้นพื้นฐานเทียบกับราคาหุ้นเป็นอย่างไร แต่เวลามีจิตวิทยามวลชนส่วนใหญ่มองไปในทางน่ากลัวไปหมด คาดหวังเหตุการณ์เลวร้าย ๆ หมด ขายแบบไม่กลัวขาดทุนกัน ไม่ต้องดูพื้นฐาน เห็นคนอื่น ๆ ขาย ก็อยากขายบ้าง กลัวจะขายไม่ทัน แล้วก็ขายจนเพลินไปหมดครับ โดยลืมนึกถึง อัตราส่วนของมูลค่าที่จะลดลงต่อจากนี้ เทียบกับ โอกาสของผลตอบแทนที่จะได้รับในอนาคต อัตราส่วนจะเป็นอย่างไร สมมุติว่า มองแบบคนที่ไม่มองพื้นฐาน ขาย ๆ ไปจนเพลิน แล้วจะเกิดอะไรต่อจากนี้ครับ ลองดูระดับการลดลงนะครับ อินเด็กซ์ตลาดตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 450 จุด ลดมาจาก 800 กว่าจุดมาแล้วภายในไม่กี่เดือน เกือบร้อบละ 50 วันนี้ก็ยังลงอีก และถ้าหากเอาแบบเลวร้ายสุด ๆ เหมือนวันนี้คือลดไปเลยวันละ 40 จุด อีกแค่ 11 วันเท่านั้น (ไม่ต้องไปดูจอให้ตื่นเต้น) อินเด็กซ์ก็จะมีลิมิตเข้าใกล้ 0 ไปทุกทีครับ ความเสี่ยง ดาวน์ไซด์ ก็จะเป็น 0 ในที่สุด (ทางทฤษฎ๊) แต่ อัฟไซด์ไม่มีที่สิ้นสุดครับ เพราะอย่างไรอินเด็กซ์ก็ไม่มีทางติดลบ แต่จุดที่จะบวกขึ้นไป อาจเป็น 100 500 1000 หรือ 10000 เป็นไปได้ครับในอนาคตไกล ๆ ข้างหน้า อันนี้เป็นทฤษฎีกรณีเลวร้ายสุด ๆ คือมูลค่าหุ้นทุกตัวในตลาดเป็น 0 ความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้น อย่างมากหุ้นที่ถืออยู่ก็เป็น 0 ไม่มีการจ่ายเพิ่มส่วนที่ติดลบอย่างแน่นอนครับ คนชอลต์เซลล์ไปเรื่อย ๆ หรือยืมหุ้นคนอื่น ๆ ขายไปเรื่อย ๆ หรือคนจะล้างหุ้นล้างพอร์ตออกไปจนหมด ก็จะต้องมีวันสิ้นสุดการลงอย่างแน่นอนเช่นกันครับ แต่ในความเป็นจริง อินเด็กซ์ของเราไม่น่าจะลงถึงระดับ 0 ครับ เพราะหุ้นในตลาดยังมีมูลค่าหุ้นของมันอยู่ครับ ซึ่งต่างจากการพนันที่เราอาจหมดตัวหรือติดลบได้จริง ๆ (ยกเว้นคนไปเล่นมาร์จิน หรือกู้ยืมเงินมา หรือไปเล่นอนุพันธ์ แบบนี้ก็ติดลบได้ แต่หากเราถือหุ้น อย่างมากก็คือกระดาษเปล่า ไม่มีหนี้สินกลับไปแน่นอนครับ) ในอดีต สถิติที่เลวร้ายในช่วง 10 กว่าปีนี้ เช่นช่วงปี 40 อย่างมากก็ลงไปจนเหลือประมาณ 200 จุด ก็ประมาณอีกร้อยละ 40 -50 จากอินเด็กซ์ปัจจุบันครับ ถ้าลงในอัตรา 40 จุด ก็จะเท่ากับ 5 วันหรือ 1 สัปดาห์เท่านั้นเอง อิ อิ ดังนั้น คนขายก็อย่าขายเพลินไป หรือเล่นฟิวเจอร์ชอล์ตจนเพลิน เห็นหุ้นลงหนัก ๆ เลยชอล์ตไปเรื่อยๆ ครับ เพราะนึกว่าอินเด็กว์จะติดลบได้นะครับ ระวังขายเพลินไปลืมนึกถึงข้อเท็จริงตามนี้ เดี๋ยวจะไล่ซื้อกลับแทบไม่ทันนะครับ ต่างกับดัชนีดาวน์โจนน์ หรือดัชนีของประเทศอื่น ๆ หลายประเทศที่อยุ่ระดับ หมื่นจุด หรือ พันกว่าจุด แบบนี้ยังมีโอกาสลงได้อีกมากครับ เพราะเส้นทางเดินยังอีกยาวไกล เช่นดาวน์โจนส์ลง 500 จุดเอาแบบเลวร้ายสุด ลงทุกวันนะครับ เทียบกับกับ อินเด็กซ์ประมาณ 10000 จุด แบบนี้ก็ประมาณ 20 วันครับ ก็ยังมากกว่าของประเทศไทย 2 เท่าครับ เป็นความโชคดีหรือไม่ก็ตามที่อินเด็กซ์บ้านเราอยู่ในระดับต่ำ มาก แถม พีอีก็ค่อนข้างต่ำ ราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่ำกว่า 1 เท่าไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัวแล้ว แถมปันผลขณะนี้ค่าเฉลี่ยในตลาดเกือบร้อยละ 6 แต่บางตัวเกินร้อยละ 10 ไปไม่รู้ต่อกี่ตัวแล้ว และบางตัวยังจ่ายปันผลไปรายไตรมาส รายครึ่งปี หรือใกล้ ๆ ก็จะจ่ายปันผลปีละครั้งถือไม่ถึงครึ่งปี ก็จะได้ปันผลแล้ว และผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกหลาย ๆ ตัวก็ยังทำกำไรได้ดีอยู่หลายตัวก็มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และหลายๆ ตัวก็ประกาศจ่ายปันผลกันจำนวนมากแล้ว แล้วลองไปดูอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของทุนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ก็ดีขึ้นกว่าปี 40 ค่อนข้างมากจนทำให้อัตราส่วนอินเตอร์เรทคอฟปอร์เรทเรโชว์ หรืออัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรเพื่อจ่ายชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของทั้งตลาดโดยเฉลี่ยอยู่ที่เกือบ 8 เท่ากว่า ๆ ไปแล้ว ทำให้ดาวน์ไซด์ต่อจากนี้จะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ เมื่อแคบลงจนถึงจุดนัดพบ แรงขาย ๆ ก็จะค่อย ๆ หมดไปในที่สุดครับ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาหุ้นที่ไหนมาขายได้อีกแล้วครับ เพราะอย่างไรการลงของหุ้น อย่างมากก็ลิมิตเข้าใกล้ 0 มากที่สุด ไม่มีติดลบแน่นอนครับ หุ้นมีขึ้นได้ ก็มีลงได้ ขึ้นแรง ๆ ได้ ก็ต้องลงแรง ๆ ได้เช่นกัน แต่หุ้นก็ต้องมีวันขึ้นและวันลงของมันอยู่อย่างนั้นครับ แต่ซื้อหรือดันหุ้นขึ้นไปแรง ๆ หมดแรง ก็ต้องขาย หรือขายไปมาก ๆ จนหมดแรงขาย เดี๋ยวก็ต้องมีแรงซื้อกลับอยู่ดี เป็นวัฏจักรของมันอยู่อย่างนั้น เราลองดูซิครับตอนหุ้นลง ๆ ก็มีคนทะยอยซื้อหุ้นเก็บไปเรื่อยๆ ยิ่งลงมาก ก็จะใช้เงินจำนวนน้อยลงแต่สามารถซื้อหุ้นได้จำนวนมากตัวขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้หุ้นเหล่านี้ไปอยู่ที่ใครบ้าง มีคนขายก็ต้องมีคนซื้อทุกวันครับ ดังนั้น คนถือหุ้นอยู่ ก็คงอดทนอีกหน่อย แค่ 1 สัปดาห์กรณ๊เลวร้ายสุด ๆ ถ้าลงในอัตราขนาดนี้ครับ ต่อจากนั้น ก็จะนิ่ง ๆ ไปอีกสักพัก หรือเกิดพวกขายชอล์ตออกไป ก็อาจต้องซื้อค้นกลับมาเพราะหมดแรงขายครับ :lol: :lol:
โดย
thawattt
ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 8:55 pm
0
1
อยากทราบความรู้สึกสมัย 200 จุดครับ
terati20 ตอน 200 จุด P/E ตลาดเท่าไหร่ Dividend เท่าไหร่ ครับ http://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html
โดย
thawattt
พฤหัสฯ. ต.ค. 09, 2008 11:01 pm
0
0
สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ จะกระทบ ผลประกอบการ Q3 หุ้นไรมั่ง
dtac ครับ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000104597 :lol:
โดย
thawattt
อาทิตย์ ก.ย. 07, 2008 10:12 am
0
0
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นคุณค่า(Value Investment)ใช้ไม่ได้ผลกับวิกฤติ
เรื่องการลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่านั้น มีข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับแนวคิดมาก ผมไปเจอบทความของ อาจารย์ดร.นิเวศน์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนแบบเน้นคุณค่า อาจารย์ได้หยิบยกคำถามที่มีผู้สนใจสอบถามกันมากว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นอย่างไร และความเข้าใจเรื่องคุณค่านั้นมีความเข้าใจที่แตกต่างกันในลักษณะอย่างไร ซึ่งวิธีการพิจารณาหุ้นคุณค่า บางครั้งก็มีแนวคิดแตกต่างกัน แต่ทุกวิธีก็มุ่งไปที่การดูพื้นฐานของหู้นเทียบกับราคาหุ้นครับ ลองอ่านบทความนี้ดูอีกครั้ง น่าจะเป็นประโยชน์นะครับ http://api.settrade.com/blog/nivate/2007/09/05/148 Wednesday, 5 September 2007 หลายคำถามกับหุ้นคุณค่า เมื่อ เร็ว ๆ นี้ ผมได้รับเชิญให้ไปออกรายการทีวีทาง Money Channel ของตลาดหลักทรัพย์ หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าและเป็นการโปรโมต หนังสือเล่มล่าสุดของผมชื่อ “รวยหุ้นอย่างพอเพียง” ผมเห็นว่าคำถามที่พิธีกรตั้งให้นั้น เป็นคำถามที่คนมักจะสงสัยหรือถามผมอยู่เนือง ๆ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับหุ้นคุณค่า ดังนั้นผมจึงคิดว่าคงจะมีประโยชน์ที่จะนำมาเขียนไว้ในที่นี้ คำถาม: หุ้นคุณค่าหมายถึงหุ้นแบบไหน มีหลักเกณฑ์ตายตัวไหมว่าหุ้นแบบไหนถึงเรียกว่าหุ้นคุณค่า คำตอบ: หุ้นคุณค่าหมายถึงหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของกิจการ ซึ่งมูลค่าพื้นฐานนี้จะต้องมีการคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ นักลงทุนเน้นคุณค่าหรือ Value Investor ที่เชี่ยวชาญจะต้องคิดและคำนวณหามูลค่าพื้นฐานเป็น โดยทางทฤษฎี มูลค่าพื้นฐานของกิจการนั้นจะคิดมาจากกระแสเงินสดรับที่เราจะได้รับจาก กิจการในอนาคต แต่ โดยทั่วไป เวลาพูดถึงหุ้นคุณค่า เรามักจะพิจารณาว่าหุ้นที่มีราคาถูกเป็นหุ้นคุณค่าโดยไม่ค่อยคำนึงถึงปัจจัย พื้นฐาน เช่น ถ้าบริษัทมีกำไร ก็ดูว่าหุ้นต้องมีค่า PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก ยิ่งต่ำมากก็ยิ่งดีเรียกว่าเป็นหุ้น Value มาก นอกจากค่า PE บางคนก็ดูค่า PB หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีด้วยโดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทขาดทุน นั่นก็คือ ยิ่งค่า PB ต่ำเทียบกับหุ้นในตลาดโดยเฉลี่ยก็ยิ่งถือว่าเป็นหุ้น Value มาก สรุปง่าย ๆ หุ้นที่มีค่า PE และ/หรือ PB ต่ำมักจะถือว่าเป็นหุ้นคุณค่า คำถาม: นักลงทุนในหุ้นคุณค่ามีลักษณะแบบไหน แตกต่างกับนักลงทุนที่เน้นหุ้นปันผลหรือไม่ คำตอบ: นักลงทุนหุ้นคุณค่ามักจะเน้นซื้อหุ้นที่มีราคาถูกเช่นซื้อหุ้นที่มีค่า PE และ/หรือ PB ต่ำถึงต่ำมาก ส่วนนักลงทุนที่เน้นหุ้นปันผลก็จะเน้นซื้อหุ้นที่ให้ปันผลสูงเมื่อเทียบกับ ราคาหุ้นหรือที่เรียกว่า Dividend Yield สูง ในความเป็นจริง หุ้นที่มีค่า PE ต่ำจำนวนมากมักจะมี Dividend Yield สูงด้วย และนักลงทุนเน้นคุณค่าจำนวนมากก็ชอบหุ้นที่ให้ปันผลตอบแทนสูงเหมือนกัน ดังนั้นอาจจะพูดได้ว่านักลงทุนหุ้นปันผลก็เป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของนัก ลงทุนเน้นคุณค่า แต่นักลงทุนเน้นคุณค่าจำนวนมากก็ไม่ได้เน้นหุ้นที่ให้ปันผลสูง คำถาม: ทำไม ดร. ถึงเลือกที่จะใช้วิธีลงทุนแบบ Value Investment ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นคุณค่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คำตอบ: วิธีนี้เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดี ผลตอบแทนการลงทุนที่ผ่านมา 10 ปี สูงถึงประมาณ 38% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น แต่นั่นเป็นเพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงที่โอกาสการลงทุนสำหรับหุ้นคุณค่ามีมหาศาลและพอร์ต การลงทุนของผมยังเล็ก อนาคตต่อจากนี้ผมคิดว่าผมตั้งเป้าหมายผลตอบแทนได้อย่างมากก็ 15% ต่อปี คำถาม: การลงทุนในหุ้นคุณค่าต้องเป็นการลงทุนระยะยาวเท่านั้นใช่หรือไม่ ซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ ได้หรือไม่ คำตอบ: ส่วนใหญ่คงต้องเป็นระยะยาว เพราะว่าราคาหุ้นมักจะต้องใช้เวลาที่จะปรับตัวให้เข้าหามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งมักจะมาจากผลประกอบการที่จะประกาศมาทุก ๆ ไตรมาศ ดังนั้น การซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับหลักการของ Value Investment น่าจะเป็นเรื่องของการเก็งกำไรมากกว่า คำถาม: กฎของการจะเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่ามีอะไรบ้าง คำตอบ: เยอะมาก แต่หัวใจสำคัญก็คือ เราจะต้องวิเคราะห์การลงทุนทุกครั้งเป็นอย่างดีโดยดูที่ปัจจัยพื้นฐานทาง ธุรกิจและการเงินของบริษัท ไม่ใช่ดูจากการวิ่งขึ้นหรือลงของราคาหุ้น คำถาม: ที่ผ่านมา ดร. นิเวศน์ เคยลงทุนแบบอื่นหรือไม่ คำตอบ: ก่อนลงทุนแบบ Value Investment ผมซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไร จะเรียกว่าเป็นการลงทุนคงไม่ได้เพราะไม่เคยคิดที่จะถือยาว และใช้เงิน “เสี่ยงโชค” เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คำว่า “การลงทุน” ควรมีความหมายและจริงจังมากกว่านั้น คำถาม: “รวยหุ้นอย่างพอเพียง” คืออะไร ใช่การลงทุนหุ้นคุณค่าหรือไม่ คำตอบ: หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 ห่วง คือ ความมีเหตุผล ความพอประมาณ และมีภูมิคุ้มกัน และมี 2 เงื่อนไขคือ ต้องมีความรู้และคุณธรรม ทั้ง 3 ห่วง 2 เงื่อนไขนั้นตรงกับเรื่องของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า Value Investor ที่ดีนั้นจะต้องมีความรู้และยึดหลักธรรมมาภิบาลในการลงทุน เขาจะต้องใช้เหตุผลในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน มีความคาดหวังและใช้เงินลงทุนอย่างพอประมาณไม่โลภและไม่รับความเสี่ยงมาก เกินไป เช่น ไม่ใช้เงินกู้ในการซื้อหุ้น และสุดท้ายก็คือ ต้องมีภูมิคุ้มกันหรือเรียกว่าต้องมี Margin Of Safety เวลาตัดสินใจลงทุน คำถาม: ลงทุนแบบเศรษฐกิจพอเพียงจะทำให้รวยได้หรือ คำตอบ: คนจะรวยหรือไม่นั้น มีองค์ประกอบใหญ่ ๆ 4 เรื่อง หนึ่ง นิยามของความรวยของแต่ละคน สอง เงินเริ่มต้นและ/หรือเงินลงทุนที่ใส่เพิ่มลงไป สาม ระยะเวลาในการลงทุน และ สี่ ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ทำได้ ผมคิดว่าถ้าคุณเป็น Value Investor พันธุ์แท้ที่จริงจัง คุณ “รวย” ได้อย่างแน่นอน เหตุผลก็เพราะว่า คุณจะมีเงินเริ่มต้นและเพิ่มเติมมากกว่าเพราะคุณจะออมมากกว่า คุณจะลงทุนยาวนานกว่าและไม่ถอนการลงทุนในยามที่ตลาดกำลังตกต่ำ ผลตอบแทนต่อปีโดยเฉลี่ยของคุณจะสูงกว่า และสุดท้ายก็คือ คุณจะรู้สึกว่าจำนวนเงินที่เรียกว่า “รวย” ของคุณนั้นมันจะต่ำกว่าคนอื่น ดังนั้น โอกาสที่คุณจะรวยได้นั้นสูงมาก แต่ถ้าคุณไม่รวย คุณก็จะไม่จนหรอก
โดย
thawattt
เสาร์ ก.ย. 06, 2008 6:07 pm
0
0
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นคุณค่า(Value Investment)ใช้ไม่ได้ผลกับวิกฤติ
คุณนริศ ลองดูWG เป็นตัวอย่างสิครับ ขอยกตัวอย่างตามที่คุณนริศพูดถึงครับ เตัวอย่างกำไรต่อหุ้นของWG งบปี 47 กำไรต่อหุ้น 3.89 งบปี 48 กำไรต่อหุ้น 4.90 งบปี 49 กำไรต่อหุ้น 5.64 งบปี 50 กำไรต่อหุ้น 7.35 ไตรมาส2/51 กำไรต่อหุ้น 4.42 สมมุติว่าเราซื้อหุ้นมาปี 47 ในราคา 30 บาท จะพบว่า พีอีของหุ้นที่เราถือจากปี 47 ถึง 50 จะเป็นดังนี้ 7.71 6.12 5.31 4.08 เท่า จากเดิม 7.71 เท่า เหลือเพียง 4.08 เท่า หรือมุมกลับกันก็คือ จากผลตอบแทนตอปีอยู่ที่ร้อยละ 12.96 เพิ่มเป็นร้อยละ 24.5 และสมมุติว่า ราคาหุ้นในตลาดยังอยู่ที่ 30 บาทเท่าเดิม แต่ผู้ลงทุนเริ่มแรกตั้งปี 47 จนถึงปัจจุบันจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในแต่ละปีที่เพิ่มขึ้นดังนี้ 2 2.25 2.5 และ 3.65 บาท ซึ่งคิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลเท่ากับร้อยละ 6.66 7.5 8.33 12.16 จะเห็นได้ว่ายิ่งถือนาน ก็ยังได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเริ่มแรกคือ ร้อยละ 6.6 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12.16 โดยไม่ต้องทำการซื้อมาขายไป แต่หากนายตลาดมีการขยับราคาเพิ่ม ก็ถือเป็นส่วนต่างของแถม คือ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 50 บาท ก็จะได้กำไรเท่ากับ 50 - 30 บาทหรือเท่ากับ 20 บาทเป็นส่วนต่างกำไร ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามเป็นต้น หรืออาจไม่เกิดขึ้น ก็ไม่เดือดร้อนครับ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภูมิคุ้มกันความเสี่ยงของหุ้นที่เราถือไปเรื่อย ๆ สำหรับหุ้นที่มีมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่าราคาตลาด ยิ่งถือนานขึ้นแม้ว่านายตลาดจะไม่ยอมตีราคาเพิ่มก็ตาม ผู้ถือหุ้นระยะยาวในหุ้นดังกล่าวไปเรื่อย ๆ ก็จะยังได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่สะท้อนจากผลการดำเนินงานของบริษัท จากร้อยละ 12.96 ขึ้นไปเป็น 24.5 และยังได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่เติบโตสูงขึ้น จาก ร้อยละ 6.66 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 12.16 ทำให้ไม่เดือดร้อนว่านายตลาดจะตีราคาให้เท่ากับมูลค่าที่แท้จริงเมื่อใดก็ตาม นอกจากนี้สมมุติฐานนี้ ยังไม่รวมที่เรานำปันผลมาซื้อหุ้นในราคาตลาดถ้าไม่ขยับเลยคือ 30 บาทต่อหุ้น เราก็จะยังสามารถเพิ่มผลตอบแทนที่นำปันผลมาลงทุนในบริษัทเดิมได้อีกไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้เราได้รับปันผลเพิ่มมากยิ่งขึ้นในอนาคตอีกด้วยครับ
โดย
thawattt
เสาร์ ก.ย. 06, 2008 4:11 pm
0
0
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นคุณค่า(Value Investment)ใช้ไม่ได้ผลกับวิกฤติ
Rocker เรามองFutureออกแล้ว คนส่วนมากในตลาดต้องมองแบบเราด้วยถูกใหมครับ ราคาหุ้นจึงจะปรับตัวขึ้น หากมองเราธุรกิจโตและพอประกาศงบออกมาข้อมูลsupportความคิดเรา ๆถูก แต่หากตลาดไม่คิดเช่นนั้นเพราะ ความไม่มั่นใจใน การเมือง เศรษฐกิจ ซึ่งความเสี่ยงแบบนี้เป็น undiversify risk ราคาก็ไม่ไปใหน แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเมื่อใหร่หุ้นจะขึ้นไปหามูลค่ามัน เป็นประเด็นที่ดีครับ อเสริมกับคุณนริศหน่อยนะครับ ผมคิดว่าไม่มีใครรู้หรอกครับว่า หุ้นจะขึ้นไปหามูลค่ามันเมื่อใด เพราะหากเรารู้แน่ชัด หรือมีเครื่องมือที่สามารถบอกเราได้แน่ชัด ถูกต้อง ร้อยเปอร์เซ้นต์ หรือหากมีสูตรหรือเครื่องมือดังกล่าว คงรวยกันทุก ๆ คนไปแล้วครับ แต่เนื่องจากเราซื้อหุ้นนั้น เพราะราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริงมาก มีส่วนต่างความปลอดภัยที่สูงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาซื้อหรือมาซื้อไล่ราคาหุ้นนั้นก็ได้ เราก็ถือหุ้นตัวนั้นไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่มูลค่าที่แท้จริงยังปรับตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ มากกว่าราคาตลาด และหากหุ้นนั้นมีความปลอดภัยหรือมีภูมิคุ้มกันเพิ่มกล่าวคือสามารถจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องด้วย ปันผลในอนาคตดังกล่าวก็จะมีโอกาสค่อย ๆ เพิ่มขึ้นให้กับผู้ลงทุนไปเรื่อย ๆ และสร้างผลแทนในแต่ละปีที่เพิ่มขึ้น และหากหุ้นดังกล่าวยังสร้างการเจริญเติบโตจากการดำเนินงานในระยะยาว ก็ยิ่งทำให้มูลค่าหุ้นที่แท้จริงขยับตัวเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นไปอีก แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลใจว่านายตลาดจะตีราคาหุ้นของเรา หรือวิ่งไปหามูลค่าหุ้นเมื่อใดก็ได้ครับ เพราะทุก ๆ ปี เราก็ยังได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่ากับการถือครองหุ้นดังกล่าว เหมือนกับเราได้ลงทุนในธุรกิจแบบหุ้นส่วน ซึ่งเราก็คงไม่หวังที่จะถอนทุนคืนในระยะสั้น แต่ต้องการให้ธุรกิจของเราได้เติบโตออกดอกออกผลสักระยะหนึ่งที่คุ้มค่ากับการลงทุนของเราครับ :lol:
โดย
thawattt
เสาร์ ก.ย. 06, 2008 3:32 pm
0
0
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นคุณค่า(Value Investment)ใช้ไม่ได้ผลกับวิกฤติ
Financial Engineer ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด กองทุนเหล่านี้เลือกหุ้นกิจการที่ "เคย" ดีในอดีต และราคาหุ้นตกต่ำลงจากช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างมา แล้วก็เข้าซื้อโดยเชื่อว่าซักวันราคาหุ้นมันจะกลับขึ้นไปใหม่ได้ ผมว่า หลายคนก็ใช้วิธีนี้อย่างผิดๆ และคิดว่าเป็นแนวทาง VI นะ เห็นด้วยกับคูณ Financial Engineer และขอเติมความเห็นเพิ่มครับ ภาวะวิกฤต หรือภาวะปกติก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนแบบการลงทุนแนว VI จะต้องยึดหลักพื้นฐานที่ว่า จะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้น ต่ำกว่า มูลคาที่แท้จริง และต่ำกว่ามาก ๆ คือ มี ส่วนต่างความปลอดภัย ที่จะทำให้เราไม่ขาดทุนในระยะยาว และจะขายเมื่อราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ๆ จนไม่เหลือส่วนต่างความปลอดภัยเลย ดังนั้น หุ้นที่เคยดีในอดีต อาจจะไม่ใช่หุ้นที่ดีในอนาคตก็ได้ เพราะพื้นฐานเปลี่ยนไป เราก็ต้องประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงใหม่ทุกครั้ง จะไปเอาพื้นฐานในอดีตมาวิเคราะห์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ที่กระทบพื้นฐานหุ้นโดยเฉพาะหากเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระทบกับพื้นฐานหุ้นในระยะยาวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ปัจจัยพื้นฐานในอนาคตเปลี่ยน มูลค่าที่แท้จริงก็เปลี่ยนด้วย จึงต้องมองที่มูลค่าหุ้นที่แท้จริง จะเป็นหุ้นก้นบุหรี จะเป็นหุ้นพลิกฟื้น จะเป็นหุ้นเติบโต จะเป็นหุ้นวัฏจักร จะเป็นหุ้นมั่นคงที่จ่ายปันผลต่อเนื่อง เป็นต้น ก็ต้องประเมินมูลค่าหุ้นที่แท้จริงทุกครั้ง เพราะซื้อด้วยเหตุผลอะไร เราก็ต้องขายไปเมื่อเหตุผลนั้นเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม หุ้นที่เคยดีในอดีตและกลับมาไม่ดีในปัจจุบันนั้น มีข้อสังเกตก็คือ สามารถ ประยุกต์ได้ในกลุ่มหุ้นวัฏจักรเป็นอย่างดี เพียงแต่หุ้นวัฏจักรในช่วงตกต่ำ บริษัทนั้นจะประคองให้ฐานะการเงิน และประคองผลการดำเนินงานให้นานเพียงพอที่จะรับกับวัฏจักรขาขึ้นในรอบต่อไปได้หรือไม่ นั้นคือความเสี่ยงที่สำคัญ แต่หากนำแนวคิดหุ้นเคยดีในอดีต และคาดว่าจะดีในอนาคต มาปรับใช้กับหุ้นทั่ว ๆ ไป อาจเป็นวิกฤตตามบทความได้ เพราะไม่เข้าใจมูลค่าหุ้นที่จะต้องสะท้อนตามผลประกอบการในอนาคตครับ
โดย
thawattt
เสาร์ ก.ย. 06, 2008 11:02 am
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
อีกตัวแล้วครับ หุ้น HFT ครับ เทคนิควิธีการคือ ลดทุนจดทะเบียน ขายทรัพย์สินที่เกินมูลค่าประเมินออกไป ทำให้มีเงินสดจำนวนมาก แถมยังมีกำไรสะสมในอดีต ผลการดำเนินงานมี กำไร Turnaround สภาพคล่องสูง ขายทรัพย์สินออกไป แล้วจ่ายปันผลท่วมมูลค่าตลาดไปเลย และทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นทันทีหลังจากประกาศจ่ายปันผลครับ ไม่น่าเชื่อ กำไรไม่ถึง 1 บาท แต่หลังจากขายสินทรัพย์ได้เงินสดมาจำนวนมาก มีกำไรสะสม แล้วลดทุนจดทะเบียนลง หลังจากนั้น จ่ายปันผลหุ้นละ 8 บาทครับ แบบนี้ คุณ Jeng ว่าบริหารเงินเป็นหรือเปล่าครับ อิ อิ จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นไปตัดสินใจลงทุนกันเองก็แล้วกันครับ น่าสนใจว่า จะมีบริษัทที่มีสภาพคล่องดี ๆ ตัวอื่น ๆ ทำแบบนี้ด้วยรึเปล่าครับ ที่ ฮฟ 0128 /2551 1 กันยายน 2551 เรื่อง ขอแจ้งมติที่ประชุมกรรมการครั้งที่ 4/2551 เรียน กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยข้าพเจ้า บริษัทฮั้วฟงรับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งมติที่ประชุมกรรมการ ครั้งที่ 4/2551 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2551 ดังนี้ 1. มีมติรับรองรายงานการประชุมกรรมการครั้งที่ 3/2551 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 2. มีมติให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักรและอุปกรณ์ โรงงานแห่งที่ 2 ของบริษัท ให้กับ บริษัท ในเครือซูมิโตโม่ รับเบอร์ ในราคา ประมาณ 732 ล้านบาท 3. มีมติลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจาก 774,200,000.00 บาท จำนวนหุ้น 77,420,000 หุ้น ลดลง เหลือ 658,434,300.00 บาท ทุนที่ชำระแล้ว เป็นเงิน 658,434,300.00 บาท จำนวนหุ้น 65,843,430 หุ้น 4. มีมติลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัท จาก 658,434,300.00 บาท ลดลงเหลือ 400,000,000.00 บาท จำนวนหุ้น 40,000,000 หุ้น โดยลดลงตามสัดส่วนการถือหุ้น จาก 1 หุ้นเดิม เหลือ 0.6075 หุ้น การลดทุนดังกล่าวบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการบริหารเงินทุนและบริหารทรัพย์สินของบริษัทและ ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นและพ้นกำหนดระยะเวลา 2 เดือนหลังจากคำคัดค้านของเจ้าหนี้ โดยบริษัทจะกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อวัตถุประสงค์ในการลดทุนชำระและทุนจดทะเบียน 5. มีมติให้จ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 8.00 บาท โดยต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นหลังจากขายทรัพย์สินและลดทุนแล้วโดยจะแจ้งวันปิดสมุด เพื่อสิทธิรับเงินปันผลในภายหลัง 6. มีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 ในวันที่ 30 ตุลาคม 2551 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมบางปูกอล์ฟ แอนสปอร์ด เลขที่ 191 หมู่ 3 ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัด สมุทรปราการ และกำหนดวาระในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 เป็นดังนี้ วาระที่ 1. พิจารณารับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2551 วาระที่ 2. พิจารณาขายทรัพย์สินบางส่วนของบริษัท วาระที่ 3. พิจารณาลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จาก 774,200,000.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 658,434,300.00 บาท ทุนที่ชำระแล้วเป็นเงิน 658,434,300.00 บาท วาระที่ 4. พิจารณาลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัท จาก 658,434,300.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 400,000,000.00 บาท โดยลดจำนวนหุ้นลงตามสัดส่วนการถือหุ้น วาระที่ 5. พิจารณาแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท วาระที่ 6. พิจารณาจัดสรรเงินกำไรและจ่ายเงินปันผล ปี 2551 วาระที่ 7. พิจารณาเรื่อง อื่น ๆ (ถ้ามี) 7. มีมติกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2551 ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2551 8. มีมติมอบอำนาจให้ประธานกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน Independent Financial Advisor (IFA) และมีอำนาจในการเจรจากำหนดค่าตอบแทน จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ นายสตีเว่น วาย จาง ประธานกรรมการ เอกสารแนบ ประกาศ HFT 1. วันที่เสนอรายงาน : 1 กันยายน 2551 2. รหัสบริษัท : HFT 3. เรื่อง : เอกสารที่เกี่ยวข้องในการประกาศขายทรัพย์สินของ บริษัท ฮั้วฟงรับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน 4. ชื่อและลักษณะทรัพย์สิน : ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, เครื่องจักรและอุปกรณ์ของ บริษัท ฮั้วฟงรับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน (โรงงานที่ 2) ตั้งอยู่เลขที่ 865/1 Soi 11B, Bangpoo Industrial Estate (GIZ) 5. วันที่เริ่มดำเนินการจริง : หลังจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติแล้ว 6. จำนวนที่ซื้อ-ขาย ราคาต่อหน่วยและจำนวนเงินซื้อ-ขายรวม : ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง,เครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตของโรงงานแห่งที่ 2 คิดเป็นเงินมูลค่ารวมประมาณ 732 ล้านบาท คิด เป็น 55.26% ของ Net Tangible Asset (NTA) ของไตรมาสที่ 2 /2551 7. ผู้ซื้อ-ขายและผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท : บริษัทในเครือ ซูมิโตโม่ รับเบอร์ (ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัทแม่ 8. ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการขายทรัพย์สิน : 8.1 ราคาซื้อ-ขาย 732 ล้านบาท (จำนวนเงินที่ถูกต้องยังคงมีการ เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย) 8.2 ราคาประเมิน 636 ล้านบาท 8.3 ราคาสุทธิตามบัญชี 541 ล้านบาท 8.4 ประมาณกำไรจากการขาย 191 ล้านบาท 9. การส่งมอบและเงื่อนไขการจ่ายเงิน เงื่อนไขการจ่ายเงินที่จำกัดในสัญญาและข้อตกลงที่ สำคัญอื่น ๆ : อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา 10. หน่วยงานที่ตัดสินใจกำหนดรูปแบบการซื้อ-ขาย และข้อมูลอ้างอิงในการกำหนดราคา : เมื่อผ่านมติที่ประชุมกรรมการ บริษัท ฮั้วฟงรับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน ครั้งที่ 4 ประจำปี 2008 และขอมติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เมื่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บริษัทมีมติอนุมัติในวันที่ 30 ตุลาคม จึงเริ่มมีผลบังคับใช้ 11. ชื่อบริษัทผู้เชี่ยวชาญการประเมินราคาและราคาที่ประเมิน : American Appraisal (Thailand) LTD. สรุปผลการประเมินราคา : 636 ล้านบาท 12. ชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ : K. Sommai Boonserm, K. Kittidej Prasitsa 13. รายงานการประเมินราคามีการจำกัดราคา กำหนดราคาเป็นพิเศษ หรือราคาพิเศษหรือไม่ : ไม่มี 14. วัตถุประสงค์ในการใช้หรือเป้าหมายการขายทรัพย์สินอย่างเป็นรูปธรรม : เพื่อบริหาร จัดการเงินทุนของบริษัทในเครือได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และโรงงานที่ 2 ก็ผลิตยางให้กับ กลุ่มบริษัทในเครือ ซูมิโตโม่ รับเบอร์ อยู่แล้ว แม้ขายทรัพย์สินไปแล้วก็ไม่มีผลกระทบกับบริษัท 15. การซื้อ-ขายครั้งนี้มีกรรมการตรวจสอบที่แสดงข้อคิดเห็นที่แตกต่างหรือไม่ : ไม่มีและ กรรมการที่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงไม่เข้าร่วมประชุม และไม่มีสิทธิ์ออกเสียง 16. ทรัพย์สินที่ประเมินราคา : ที่ดิน สิ่งปลูกสร้างและอุปกรณ์เครื่องจักรของ บริษัท ฮั้วฟงรับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด มหาชน (โรงงานที่ 2) สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่2(F45-1) บริษัท ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) สอบทาน (หน่วย : พันบาท) สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2551 2550 2551 2550 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 24,628 14,880 47,986 20,113 กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.37 0.23 0.73 0.31 ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน ไม่มีเงื่อนไขและไม่มีข้อสังเกต หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุ ประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ "ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบ การเงินฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว" ลงลายมือชื่อ _______________________ ( สตีเว่น วาย จาง ) ตำแหน่ง ประธานกรรมการ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
โดย
thawattt
พุธ ก.ย. 03, 2008 7:15 pm
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
นอกจากการลดทุนแล้ว มีเงินเหลือมาก ยังเอามาซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก ตามแนวทางของคุณJeng อีกด้วยครับ ครบสูตรเลยครับ สรุปผลในไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 28.749 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.06 บาทต่อหุ้น เทียบกับไตรมาส 2 ปีที่แล้ว บริษัทมีกำไรสทธิ 33.517 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.02 บาทต่อหุ้น งวด 6 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 76.88 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.15 บาทต่อหุ้น เทียบกับ 6 เดือนปีที่แล้ว กำไรสุทธิ 74.8 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.05 บาทต่อหุ้น ตรงนี้เห็นได้ชัดว่า เมื่อสามารถทำกำไรสุทธิเกิดขึ้นได้ และทำให้จำนวนหุ้นมันลดลงด้วยวิธีการลดทุนจดทะเบียนลง และการซื้อหุ้นคืน จะทำให้กำไรต่อหุ้นดีขึ้น แม้ไตรมาส 2 จะเห็นได้ชัดว่ากำไรสุทธิลดลง แต่กำไรต่อหุ้นยังเพิ่มขึ้นได้ครับ แบบนี้เขาเรียกว่า 2 เด้งรึเปล่าครับ อิ อิ ข้อมูลการซื้อหุ้นคืนของบริษัทครับ เอามาประกอบเป็นกรณีศึกษาครับ แบบรายงานผลการซื้อหุ้นคืนกรณีเพื่อการบริหารทางการเงิน บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) วันที่ 11 สิงหาคม 2551 1. วิธีการในการซื้อหุ้นคืน (/) ซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ครบกำหนดโครงการ 21 พฤศจิกายน 2551 (โครงการซื้อหุ้นคืนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 6 เดือน) ( ) เสนอซื้อเป็นการทั่วไป 2. โครงการซื้อหุ้นคืน 2.1 วันที่คณะกรรมการมีมติให้ซื้อหุ้นคืน 7 พฤษภาคม 2551 2.2 ผลการซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนสูงสุดตามโครงการ 41,232,816 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 8 ของหุ้น ที่จำหน่ายได้ แล้วทั้งหมด วันที่ซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นที่ซื้อคืน ราคาที่ซื้อต่อหุ้น ราคาต่ำสุด มูลค่ารวม หรือราคาสูงสุด (บาท/หุ้น) (บาท) 11 ส.ค.2551 -44,300- -1.85- -1.85- -81,955- 2.3 จำนวนหุ้นที่ซื้อคืนทั้งสิ้น จำนวนรวมของหุ้นที่ซื้อคืนในโครงการจนถึงปัจจุบัน (รวมข้อ 2.2) 23,058,900 หุ้น คิดเป็น 4.47% ของทุนที่ชำระแล้ว มูลค่ารวม 43,859,960 บาท บริษัทขอรับรองว่าสารสนเทศในแบบรายงานนี้ถูกต้อง และครบถ้วนทุกประการ ลงชื่อ......................... ( นายวีระ เหล่าวิทวัส ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน)
โดย
thawattt
จันทร์ ส.ค. 11, 2008 9:00 pm
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
case นี้ก็แปลกครับ อยากจ่ายปันผลแต่จ่ายไม่ได้ ทั้งที่ผลประกอบการปัจจุบันมีกำไร ก็เลยใช้วิธีการลดทุนจดทะเบียน แล้วเอาส่วนต่างของทุนจดทะเบียนแทนที่จะจ่ายคืนผู้ถือหุ้น ก็เอามาล้างส่วนขาดทุนที่เกิดจากการการจำหน่ายหุ้นในราคาต่ำกว่า PAR แล้วจึงเริ่มจ่ายปันผลได้ครับ วันที่ 10 สิงหาคม 2550 เรื่อง แจ้งมติกรรมการ- ลดทุนจดทะเบียน เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2550 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2550 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) เลขที่ 51/29 หมู่ที่ 3 ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพ ดังนี้ 1. จากผลการดำเนินงานของบริษัท สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทมีผลกำไรสุทธิ จำนวนเงิน 74.8 ล้านบาท มีเงินสด และเงินลงทุนชั่วคราว รวมเป็นจำนวนเงิน 79.4 ล้านบาท โดยไม่มีหนี้สิน ซึ่งคณะ- กรรมการเห็นว่าบริษัทมีผลกำไรเพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ แต่เนื่องจากมีประกาศของ สภาวิชาชีพฉบับที่ 8/2550 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2550ระบุว่าหากบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในกรณีที่บริษัท มีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น ให้บริษัทกันกำไรสะสมไม่น้อยกว่าส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นเสียก่อน ซึ่งบริษัทฯมีส่วนต่ำ กว่ามูลค่าหุ้น จำนวน 1,164,719,073.80 บาท คณะกรรมการจึงได้พิจารณาแล้วมีมติให้ดำเนินการลด ทุนจดทะเบียน โดยการลดจำนวนหุ้นจาก 3 หุ้นเดิมเป็น 1 หุ้นใหม่ อันจะทำให้จำนวนหุ้นเดิม 1,546,230,604 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เหลือจำนวนหุ้นใหม่ 515,410,201 หุ้น มูลค่าที่ตรา ไว้หุ้นละ 1 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ ไม่มีส่วนต่ำมูลค่าหุ้นและยังมีกำไรสะสมเหลือ อีก 107,781,571.05 บาท ดังนั้น บริษัทฯ สามารถจ่ายเงินปันผลได้ ซึ่งคณะกรรมการจะได้พิจารณาการจ่ายเงินปันผลระหว่าง- กาลอีกครั้งหลังการดำเนินการลดทุนจดทะเบียนเสร็จสิ้น กรณีที่การลดสัดส่วนจำนวนหุ้นตามอัตราส่วนข้างต้น ทำให้มีเศษหุ้นสามัญที่เกิดจากการคำนวณให้ดำเนินการดังนี้ 1.1. กรณีที่การลดสัดส่วนการถือหุ้นตามอัตราส่วนดังกล่าว ทำให้มีเศษหุ้นสามัญที่เกิดจากการคำนวณเป็น จำนวนน้อยกว่า 0.5 หุ้น เช่น นาย ก. มีหุ้นเดิม 7 หุ้น คำนวณตามอัตราส่วนจำนวน 3 หุ้น : 1 หุ้นใหม่ได้ 2.33 จะมีหุ้นคงเหลือ 2 หุ้น/หรือ 1.2. กรณีที่การลดสัดส่วนการถือหุ้นตามอัตราส่วนดังกล่าวทำให้มีเศษหุ้นสามัญที่เกิดจาการคำนวณเป็นจำนวน มากกว่า 0.5 หุ้น ให้ปัดขึ้นให้เป็นจำนวนเต็มหน่วยที่ใกล้ที่สุด โดยหุ้นที่นำมาเติมเศษให้เป็นจำนวนเต็ม หน่วยที่ใกล้ที่สุดนั้นจะเป็นหุ้นที่นำมาปัดลงในข้อ 1 เช่น นาย ข. มีหุ้นเดิม 8 หุ้น คำนวณตามอัตราส่วน จำนวน 3 หุ้น : 1 หุ้นใหม่ ได้ 2.67 จะมีหุ้นคงเหลือ 3 หุ้น 1.3. ในกรณีที่มีส่วนที่ขาดหรือเกินภายหลังจากการดำเนินการตามข้อ 1.1 และ 1.2 แล้ว และมีส่วนที่ขาด หรือเกินจากจำนวน 515,410,201 หุ้น ให้ขอจากหรือถือเป็นของ นายวีระ เหล่าวิทวัส ซึ่งเป็นประ- ธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ 1.4. การปิดสมุดทะเบียนเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะถูกลดทุนและกำหนดวันพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท จนกว่าจะดำเนินการลดทุนแล้วเสร็จนั้นคณะกรรมการจะมีการพิจารณาและจะแจ้งมติดังกล่าวให้ทราบต่อไป 2. พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ4 เพื่อให้สอดคล้องกับการลดทุนจดทะเบียนคณะกรรมการมีมติให้แก้ไข เพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิข้อ 4 เกี่ยวกับเรื่องทุนจดทะเบียนเพื่อให้สอดคล้องการลดทุนและเพื่อให้เป็นไปตามพระ- ราชบัญญัติ บริษัทมหาชน จำกัด เป็นดังนี้ ทุนจดทะเบียนจำนวน 515,410,201 บาท (ห้าร้อยสิบห้าล้านสี่แสนหนึ่งหมื่นสองร้อยหนึ่งบาทถ้วน) แบ่งออกเป็น 515,410,201 หุ้น (ห้าร้อยสิบห้าล้านสี่แสนหนึ่งหมื่นสองร้อยหนึ่งหุ้น) มูลค่าหุ้นละ 1 บาท (หนึ่งบาท) โดยแบ่งออกเป็น หุ้นสามัญ 515,410,201 หุ้น (ห้าร้อยสิบห้าล้านสี่แสนหนึ่งหมื่นสองร้อยหนึ่งหุ้น) หุ้นบุริมสิทธิ ไม่มี หุ้น (-) 3. มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2550 ในวันที่ 10 กันยายน 2550 เวลา 15.00น. ณ โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัล ลาดพร้าว โดยมีวาระการประชุม ดังนี้ วาระที่ 1 รับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2550 วาระที่ 2 พิจารณาอนุมัติเรื่องการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ วาระที่ 3 พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 4 เพื่อให้สอดคล้องกับการลด ทุนจดทะเบียน วาระที่ 4 พิจารณาอนุมัติการนำกำไรสะสม ไปชดเชยส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น เป็นจำนวน เงิน 133,898,670.80 บาท วาระที่ 5 พิจารณาเรื่องอื่นๆ ถ้ามี 4. มีมติอนุมัติวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2550 ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2550 เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมดังกล่าวจะแล้วเสร็จ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ (นายวีระ เหล่าวิทวัส) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผลของการทำวิธีนี้ก็คือ ปี 2550 สามารถจ่ายปันผลได้เพิ่มเติม 0.12 บาท และ 0.13 บาทต่อหุ้นได้ในที่สุดครับ อย่างว่า ปัญหาทุกอย่างมีคำตอบได้เหมือนกันครับ เอามาเป็นตัวอย่างกรณีศึกษาอีก 1 เรื่องครับ
โดย
thawattt
จันทร์ ส.ค. 11, 2008 1:39 pm
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
สำหรับ ตัวอย่าง KGI ครับ เกิดขึ้นเมื่อปี 2546 เดือนมกราคม ลองไปดู 56-1 ส่วนของลักษณะประกอบธุรกิจ ไล่ดูประวัติจะเห็นข้อมูลนี้นะครับ 3. อนุมัติแผนการปรับโครงสร้างทุนของบริษัทฯ ดังนี้ อนุมัติการลดทุนของบริษัทฯ โดย (ก) ลดทุนชำระแล้วจาก 30,732 ล้านบาท เป็น 23,049 ล้านบาท และ (2) ลดทุนชำระแล้วจาก 17,333 ล้านบาท เป็น 12,999 ล้านบาท โดยการลดมูลค่าที่ตราไว้จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 7.50 บาท และคืนทุนจำนวน 2.50 บาทต่อหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกรายตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้อนุมัติการลดทุนของบริษัทฯและไม่มีเจ้าหนี้รายใดคัดค้านการลดทุนดังกล่าว บริษัทฯ จึงได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนกับกระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2546 แต่กรณีของ KGI นั้นมีลักษณะพิเศษก็คือ บริษัทมีขาดทุนสะสมจำนวนมาก และมีการเพิ่มทุนมาโดยตลอด ต่อมาจึงหาทางเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยการลดทุนจดทะเบียนลง ทำให้สามารถจ่ายคืนทุนกลับผู้ถือหุ้นได้คนละ 2.50 บาทต่อหุ้น จาก PAR 10 บาทครับ เอามาเป็นกรณีศึกษาดูกันนะครับ ดังนั้น ยังพอมีทางออกบ้างสำหรับ บริษัทที่มีเงินสดจำนวนมากเกินความจำเป็น แม้ว่าจะมีผลการขาดทุนสะสมอยู่นะครับ เอากรณี KGI เป็นตัวอย่างได้ครับ
โดย
thawattt
จันทร์ ส.ค. 11, 2008 10:58 am
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
ส่วน Case zmico ผมลงผิดไปหน่อยคือ เป็นกรณีที่บริษัทจ่ายปันผลเพิ่มจากกำไรสะสม เพราะผู้ถือหุ้นเห็นว่า ฝ่ายบริหารเก็บเงินสดไว้กับบริษัทเกินความจำเป็น ก็เลยขอมติผู้ถือหุ้นจ่ายปันผลเพิ่มจากส่วนของกำไรสะสม ไม่ใช่เป็นการลดทุนจดทะเบียนลง ซึ่งเป็นอีกกรณีที่มีกำไรสะสมเก็บไว้มากเกินไป ก็เอามาจ่ายปันผลเพิ่มได้ครับ ปีที่แล้วทำวิธีนี้สามารถรับปันผลหุ้นละ 0.50 บาทต่อหุ้น จากเดิมปีก่อนหน้าที่รับปันผลประมาณ 0.1690 บาทต่อหุ้น เป็นอีก Case ที่ผู้ถือหุ้นรับเงินเพิ่มครับ แต่ต้องอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยต้องร่วมกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ด้วยนะครับ
โดย
thawattt
จันทร์ ส.ค. 11, 2008 10:37 am
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
เอาตัวอย่างการลดทุนมาให้ดูครับ หุ้น CSL รับส่วนต่างการลดทุนจดทะเบียนกลับไป จากมูลค่า PAR 1 บาท เหลือ .25 บาทต่อหุ้น ส่วนต่าง 0.75 บาทต่อหุ้น ก็คืนกลับไปที่ผู้ถือหุ้นทุกคนครับ สบายใจไปเลย สูงกว่ารับปันผลแต่ละปีอีกด้วย ที่สำคัญ พอคืนทุนกลับไป ก็ทำให้ส่วนของทุนลดลง หากสามารถทำกำไรได้เท่าเดิม ROE ก็สะท้อนผลงานที่ดียิ่งขึ้นด้วย เพราะใช้ส่วนของทุนอย่างคุ้มค่า ไม่เหลือสินทรัพย์ที่เกินความจำเป็นคือเงินสดเก็บไว้ที่บริษัทมากเกินควรครับ ไปลุ้นกันที่การประชุมผู้ถือหุ้นครั้งถัดไปของหุ้นตัวอื่น ๆ กันด้วยนะครับ อาจได้ปันผลจากส่วนต่างกำไรเพิ่มจากปันผลปกตินะครับ ที่ CSL-CP 050/2551 20 มิถุนายน 2551 เรื่อง แจ้งวันสุดท้ายของการได้รับสิทธิคืนทุน เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการของ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท") ครั้งที่ 6/2551 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2551 ได้กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น เพื่อ กำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นในการรับเงินคืนทุน ค่าหุ้นจำนวน 0.75 บาทต่อหุ้น (ก่อนหักภาษี) ในวันที่ 26 มิถุนายน 2551 ตั้งแต่เวลา 12.00 น. และกำหนดวันคืนเงิน ให้กับผู้ถือหุ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2551 นั้น บริษัทขอแจ้งว่า ในวันที่ 20 มิถุนายน 2551 เป็นวันสุดท้ายที่ผู้ที่ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจะมีสิทธิได้รับเงิน คืนทุนดังกล่าว จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ (นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน)
โดย
thawattt
จันทร์ ส.ค. 11, 2008 10:30 am
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
คุณ Jeng อืม น่าสนใจ ข้อสรุปนี้ น่าจะมีโอกาสถูกเกิน 80 % อิอิ ขอบคุณครับ อิ อิ :lol: นอกจากข้อสรุปเบื้องต้นที่ผมสรุปเรื่องความเสี่ยงของการบริหารเงินสดไปแล้วครับ หากคุณ Jeng จะต่อยอดจากคำถามนี้เพิ่มเติมก็คือ แล้วผู้ถือหุ้นจะได้ประโยชน์อะไรจากเงินสดจำนวนมากนะครับ แนวทางที่คนทั่วไปคิดก็คือ ให้ซื้อหุ้นคืน ให้จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นตามผลประกอบการ หรือจะเสี่ยงไปลงทุนหาผลตอบแทนที่มากกว่าเงินเฟ้อ ซึ่งพิสูจน์ในหลายธุรกิจก็คือ หากฝ่ายบริหารไม่มีการเตรียมตัวในเรื่องการขยายงานที่ชัดเจน ก็มักจะนำเงินไปลงทุนไปหาผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า สุดท้ายก็ขาดทุนจำนวนมากและด้อยค่าไปในที่สุด ดังนั้น หากผู้ลงทุนรายย่อยร่วมกับผู้ถือหุ้นใหญ่อาจใช้วิธีการอีกวิธีหนึ่งนะครับที่จะช่วยสร้าง wealth ให้กับผู้ถือหุ้น ยิ่งหุ้นที่มีเงินสดมากเกินความจำเป็น และมีมูลค่าเงินสดสูงกว่ามูลค่าหุ้นตลาด หรือเกือบเท่ากับราคาตลาด วิธีการนั้นก็คือ การลดทุนจดทะเบียนลงครับ แล้วนำเงินสดส่วนที่ลดทุนคืนกลับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคน ถามว่ากรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหรือยัง เกิดขึ้นหลายครั้งแล้วด้วย ตัวอย่างคือ หุ้น KGI Zmico ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ รับเงินไปหลาย ๆ เลยครับ หรือ กลุ่มสื่อสาร ล่าสุด คือ CSL รับทั้งปันผล และรับทั้งส่วนที่ลดทุนจดทะเบียนลงครับ ถ้ายังไงคนที่ถือหุ้นที่มีเงินสดมาก ๆ เวลาเข้าประชุมผู้ถือหุ้น ก็ถามแผนการลงทุนจากผู้บริหารด้วย หากไม่มีแผนการลงทุนชัดเจน หรือเห็นว่าเอาเงินสดเก็บไว้ที่บริษัทมีแต่ด้อยค่าเพราะเอาไปฝากเงินไว้ที่ธนาคาร ก็ให้ฝ่ายบริหารวางแผนการใช้เงินสดเท่าที่จำเป็นต่อการขยายงานในอนาคต บวกเรื่องความมั่นคงสภาพคล่องส่วนหนึ่งที่อาจ Bechmark กับอุตสาหกรรม เพื่อดูว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินสดเท่าไร ส่วนที่เหลือก็ขอมติผู้ถือหุ้น ลดทุนจดทะเบียนซะเลย ก็จะได้เงินสดคืนกลับมาที่ผู้ถือหุ้นทุกคน แบบนี ก็ Win Win และถ้าหากเราไปพบว่าผู้บริหารเป็นผู้ถือหุ้นร่วมอยู่ด้วย แบบนี้มีโอกาสสำเร็จ เพราะเขาเอาก็ได้ประโยชน์ด้วย อย่าลืมไปดูว่าผู้บริหารถือหุ้นอยู่ด้วยรึเปล่านะครับ :lol:
โดย
thawattt
จันทร์ ส.ค. 11, 2008 10:22 am
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
คุณ Jeng แสดงว่า asl เองก็ไม่มั่นใจว่า เงินที่มี จะมีค่าเท่ากับเงินที่มีใช่ปะ ถูกต้องครับ เพราะอยู่ที่บริษัทจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้คุ้มค่าหรือไม่ และควรคุ้มค่ากว่าเงินเฟ้อด้วย จะมีมูลค่ามาก หากสามารถบริหารเงินสดโดยการลงทุนและเพิ่มผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ จะเทากับเงินสดปัจจุบัน หากสามารถบริหารเงินสดโดยการลงทุนและเพิ่มผลตอบแทนที่เท่ากับเงินเฟ้อ และ อาจด้อยค่าลง หากไม่สามารถบริหารเงินสดเพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าเงินเฟ้อ และซ้ำร้าย หากบริหารเงินสดผิดพลาดจนเกิดผลขาดทุนมาก ก็จะทำให้เงินสดที่มีอยู่ ด้อยค่าไปเรื่อย ๆ จนไม่เหลือค่าก็ได้ครับ :lol:
โดย
thawattt
อาทิตย์ ส.ค. 10, 2008 9:47 pm
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
อ้อที่สำคัญทำไมจึงมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 นะครับ เนื่องจากเพิ่งมีการขายบริษัทหลักทรัพย์ในเครือออกไป ทำให้เกิดกำไรพิเศษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผลการดำเนินงานจริง ๆ ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ เท่าที่ดูงบเบื้องต้นในไตรมาส 2 นั้น ก็พบว่ามีปัญหาขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์สูงถึง 111.40 ล้านบาท (แสดงให้เห็นว่ายังมีปัญหาในเรื่องการบริหารเงินสดเพื่อไปลงทุนหาประโยชน์) มีหนี้สินและหนี้สงสัยจะสูญสูงถึง 59.28 ล้านบาท เนื่องจากมีลูกหนี้พ้นกำหนดชำระเพิ่มขึ้น โดยบริษัทอยู่ระหว่างการติดตามให้ลูกหนี้มาชำระหนี้และ/หรือนำหลักประกันมาเพิ่ม แต่ส่วนที่เป็นจุดเดนเพิ่งขึ้น ก็คือ มีค่านายหน้าเพิ่มสูงขึ้นมากในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 40.09 มีกำไรจากการขายเงินลงทุนบริษัทย่อยที่กล่าวถึงที่เป็นรายการพิเศษครั้งเดียวเท่านั้น 151.40 ล้านบาท และมีความคืบหน้าในการติดตามหนี้ค้างชำระได้บ้างและอยู่ระหว่างการฟ้องร้องจำนวนหนึ่ง ได้มาเท่าไรก็เป็นกำไรเพิมขึ้น เพราะส่วนนี้ตั้งสำรองไว้หมดแล้ว ดูแล้วยังเหนื่อยเรื่องผลการดำเนินงานที่ต้องสร้างความสมดุลย์ของรายได้ค่านายหน้า และรายได้จากการลงทุน รวมถึงการติดตามหนี้ค้างชำระ และสุดท้ายยังมีขาดทุนสะสมอยู่ เพราะขาดทุนจากไตรมาส 2 ช่วงที่ผ่านมาครับ เป็นข้อมูลประกอบครับ
โดย
thawattt
อาทิตย์ ส.ค. 10, 2008 8:37 am
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
คุณJeng อืม asl นี่ ทำไม ไม่เอาเงินสด มาซื้อหุ้นตัวเองนะนี่ คิดๆแล้ว ไปลงทุนอย่างอื่น จะดีกว่า ลงทุนกับตัวเองหรือ ณ เวลานี้ แค่ซื้อหุ้นตัวเอง 10 % กำไรก็เพิ่มแล้ว เพราะจำนวนหุ้นมาหาร eps น้อยลง ในขณะที่ ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ก็ยังต่ำกว่าเงินสดที่มี ระยะสั้น คงไม่สามารถทำให้กำไรเพิ่มขึ้นได้นะครับเพราะ บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) ก่อนตรวจสอบ (หน่วย : พันบาท) สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน งบการเงินรวม ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2551 2550 2551 2550 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0 46,562 0 (60,226) กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.00 0.0111 0.00 (0.0144) งบการเงินเฉพาะกิจการ ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2551 2550 2551 2550 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ (135,807) 46,111 585 (60,868) กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) (0.0324) 0.011 0.0001 (0.0145) จะเห็นได้ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ออกมายังขาดทุนอยู่ และในงบดุลล่าสุด ทำให้มีขาดทุนสะสมเกิดขึ้น ซึ่งทำให้แม้จะมีการซื้อหุ้นคืนกลับไป ก้ไม่ทำให้กำไรสุทธิดีขึ้น แต่กลับจะทำให้ตัวหารน้อยลง และทำให้ขาดทุนต่อหุ้นสูงยิ่งขึ้นครับ ตัวนี้หากจะซื้อหุ้นคืนแล้วทำให้กำไรเพิ่มขึ้น ต้องแก้ไขปัญหาความเสี่ยงเรื่องผลการดำเนินงานก่อนให้มีกำไรสุทธิให้ได้ ต่อจากนั้นหากจะซื้อหุ้นคืน ตรงนี้จะช่วยทำให้ตัวหารน้อยลง กำไรต่อหุ้นจึงเพิ่มขึ้นได้ตามสมมุติฐานครับ ตอนนี้ต้องพยายามแก้ไขผลงานให้ดีขึ้นให้ได้ และต้องทำให้เกิดกำไรสะสมก่อน เพราะตอนนี้ยังขาดทุนสะสมอยู่ แม้จะล้างขาดทุนสะสมไป 1 รอบเมื่อปีที่แล้วก็ตามครับ
โดย
thawattt
อาทิตย์ ส.ค. 10, 2008 8:26 am
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
ขอเข้ากระทู้ก็แล้วกันนะครับ ไปเลือกดูเพิ่มเติม มีอีก 1 ตัวอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์อีกเช่นกันครับ ตัวนี้ชื่อ SYRUS ราคาทั้งบริษัท 707 ล้านบาท มีเงินสด 314 ล้านบาท มีเงินฝากประจำกับสถาบันการเงิน 206 ล้านบาท มีเงินลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน 230 ล้านบาท รวมสินทรัพย์สภาพคล่องที่ใกล้เคียงเงินสด เท่ากับ 750 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 124.41 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อหักหนี้สินออกไปทั้งหมด จะเหลือเงินสดและทรัพย์สินใกล้เงินสด 625.59 ล้านบาท คิดเป็น 88.48 เปอร์เซ้นต์ ราคาปิดต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี 0.68 เท่า บริษัทไม่มีขาดทุนสะสม ก็ลองไปศึกษาต่อกันครับ แต่ผมไม่ได้ถือหุ้นตัวนี้เลยนะครับ และไม่ได้บอกว่าเป็นหุ้นที่ดีอีกเช่นกันครับ เพียงแต่ตอบตามกรทู้นี้ครับ
โดย
thawattt
เสาร์ ส.ค. 09, 2008 6:11 pm
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
คุณ Ent' วัตถุประสงค์ของคุณ jeng ที่ตั้งกระทู้คงเป็นช่วงที่มองว่า ของถูกมีเต็มตลาด ถ้าบริษัทไหนที่มีเงินสดเยอะๆ ก็คงเป็นอะไรที่ได้เปรียบ การมีเงินสดจำนวนมาก ในช่วงเศรษฐกิจผันผวนและมีแนวโน้มที่ดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้เเราเห็นคุณค่าของเงินสดตามค่าของระยะเวลาตามคำกล่าวที่ว่า I f you want to know the value of money, go try to borrow some ในการลงทุนเพิ่มเติมนั้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจะเป็นค่าเสียโอกาสของธุรกิจที่ต้องมีการขยายงาน และเป็นตัววัดการลงทุนว่าคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งเกิดจากโครงการลงทุนที่จะขยายงานเพิ่ม มีผลตอบแทนการลงทุนเทียบกับค่าเสียโอกาสของเงินที่อาจเกิดจากการกู้ยืมเงินอย่างไร ดังนั้น บริษัทที่มีเงินสดจำนวนมาก และใช้ในโอกาสที่เหมาะสม ก็จะมีความได้เปรียบจากการขยายงานที่มีต้นทุนการเงินที่ต่ำกว่าบริษัทที่ขยายงานโดยใช้เงินกู้เพียงอย่างเดียว ประเด็นคงอยู่ที่ว่า บริษัทสามารถจะนำเงินสดจำนวนมากไปใช้ในการขยายงานในอนาคตที่คุ้มค่ากับค่าเสียโอกาสหรือไม่ แต่ต้องระวังว่าเอาเงินสดไปลงทุนไม่คุ้มค่า หรือเก็บเงินสดไว้กับบริษัทโดยนำไปฝากเงินไว้เฉย ๆ ไม่มีแนวคิดในการขยายงานในอนาคต แบบนี้ ท้ายสุด อัตราเงินเฟ้อจะทำให้เงินสดด้อยค่าลงได้ในระยะยาว เพราะค่าเงินตามรยะเวลาจะลดลงตามอัตราเงินเฟ้อ โดยเมื่ออัตราผลตอบแทนจากเงินฝากเทียบกับเงินเฟ้อที่สูงกว่า จะทำให้เกิดการด้อยค่าเงินสดในที่สุด แต่ที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือ หากนำเงินสดไปลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอซึ่งเคยเกิดกับหลาย ๆ บริษัทมาแล้ว จนเกิดการขาดทุนจำนวนมาก แบบนี้การมีเงินสดจำนวนมากก็จะไม่ได้ช่วยสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับองค์กรแต่อย่างไรครับและจะบั่นทอนบริษัทไปตามระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น ก็แล้วแต่มุมมองครับ เพราะเงินสดที่มีอยู่เป็นทั้งโอกาส หากเลือกลงทุนในจังหวะที่เหมาะสมและได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ เป็นสภาพคล่องรองรับความผันผวน เช่น ในช่วงปี 40-41 ที่เราเคยเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องมาแล้ว และเป็นทั้งอุปสรรค เพราะบริษัทไม่มีความสามารถลงทุนหาผลตอบแทนที่เพียงพอและคุ้มกับเงินเฟ้อครับ
โดย
thawattt
เสาร์ ส.ค. 09, 2008 5:49 pm
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
ขอ version 2003 ครับ ขอบคุณมากๆครับ
[email protected]
โดย
thawattt
อังคาร ส.ค. 05, 2008 9:40 pm
0
0
บริษัทไหนมีเงินเยอะ และมีความรู้ในการลงทุน
ไปเจอตัวหนึ่งครับ เงินสดและทรัพย์สินใกล้เงินสด คือเงินฝากธนาคารและตั๋วเงิน 230 ล้านบาท ลูกหนี้การค้า 138 ล้านบาท มีหนี้ที่ค้าง 12 เดือนประมาณ 13 ล้านบาท สำรองหมดแล้ว รายได้ค่าบริการที่รอเรียกเก็บเท่ากับ 247 ล้านบาท ส่งใบรอเรียกเก็บไปแล้วประมาณ 110 ล้านบาท ลูกหนี้มั่นคงมากเพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ คงไม่เบี้ยวแน่ ๆ สินทรัพย์รวม 823 ล้านบาท ไม่มีหนี้สินกับธนาคาร มีเพียงหนี้หมุนเวียนทางการค้า รายได้รับล่วงหน้า ประมาณ 173 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 651 ล้านบาท เป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้นเท่ากับ 272 ล้านบาท และกำไรสะสมเท่ากับ 128 ล้านบาท เป็นกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรเท่ากับ 105 ล้านบาท กำไรไตรมาสแรกเริ่มฟื้นตัวเล็กน้อย กำไร 5 ล้านบาทดีกว่าไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เข้าตลาดมา จ่ายปันผลได้ทุกปี ปีแรก ๆ จ่ายมาก ปีละ 2 ครั้ง หลัง ๆ กำไรหด จ่ายปีละครั้ง แต่ปีที่กำไรไม่ดี หรือไม่มีกำไร ก็จ่ายปันผลเหมือนกัน แต่จ่ายน้อยมาก เนื่องจากนโยบายจะจ่ายปันผลตามผลการดำเนินงาน คือกำไรมากในแต่ละปี ก็จ่ายปันผลเกือบหมด ทำให้มูลค่าหุ้นทางบัญชีไม่เพิ่ม มูลค่าทางบัญชีปัจจุบันอยู่ที่ 2.60 บาทใกล้เคียงกับในอดีตที่อยู่ที่ประมาณณ 2.7 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าที่ใกล้เคียงกับสมัยที่เพิ่งเริ่มเข้าตลาดใหม่ ๆ เหมือนกัน ทำธุรกิจให้บริการครบวงจร ธุรกิจหลักแข่งขันกันสูงมาก รอวันที่คู่แข่งขันจะตายจากไปบ้างครับ ต้องดูกันยาว ๆ ธุรกิจมีรายได้หลักค่อนข้างแน่นอนจำนวนหนึ่งีละไม่ต่ำกว่า 550 ล้านบาท จากรายได้รวมประมาณ 700 – 800 ล้านบาท โดยบริษัทพยายามจะหารายได้อื่น ๆ มาแทนรายได้หลักปัจจุบันที่แข่งขันกันสูงมาก เพราะตัดราคากันเหลือเกิน ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 255 ล้านบาท เทียบกับในอดีตที่เคยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 2250 ล้านบาท ก็ลดลงกว่า 90_เปอร์เซ็นต์เทียบกับสมัยรุ่งเรืองครับ ข้อจำกัดคือ เป็นหุ้นที่มีรัฐวิสาหกิจถือหุ้นใหญ่กว่า 50 เปอร์เซ้นต์ เลยไม่สามารถทำการควบรวมได้ ทำให้ยากที่จะซื้อแล้วมาแบ่งแยกทรัพย์สินหรือแบ่งกำไรจากเงินสดได้ง่าย คงหวังได้แต่เพียงว่า เมื่อไหร่บริษัทจะฟื้นคืนกำไร และจะได้จ่ายปันผลสูง ๆ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ลองไปค้นดูครับ ไม่ได้บอกว่าเป็นหุ้นที่ดีครับ เพราะราคาลดลงทำจุดต่ำสุดมาโดยตลอดเหมือนกันครับ ล่าสุดก็ยังปรับตัวลดลงต่อยังไม่มีแนวโน้มราคาฟื้นตัวแต่อย่างไร จนทำให้มูลค่าหุ้นตลาดเกือบจะเท่ากับราคาพาร์แล้วครับ
โดย
thawattt
ศุกร์ มิ.ย. 20, 2008 10:49 pm
0
0
โห tnh อะไรกันนี่ กำไรขนาดนี้ ไม่มีคนโวยวายได้ไง งง
:kq: :kq: :kq: :D
โดย
thawattt
พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2008 9:16 pm
0
0
รวม LINK ร้อยคนร้อยหุ้น
มาเห็นกระทู้นี้แล้ว ต้องรีบเข้ามาขอบคุณพี่ครรชิตด้วยครับ
โดย
thawattt
เสาร์ เม.ย. 26, 2008 8:50 pm
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
ขอรบกวนพี่ครรชิตด้วยครับ ขอFile งบดุล งบกำไรขาดทุน 15 ปี V2003 ครับ
[email protected]
โดย
thawattt
พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2008 6:28 pm
0
0
Turn around stock top pick
code]crazyrisk[/code] [quote]คุณ thawatt เอามาจากเล่มไหนเหรอคับ[quote] ผมอ่านจากหนังสือชื่อ the market masters ซึ่งรวบรวมข้อคิดเห็นของผู้จัดการกองทุน ใน Wall street โดยผู้รวบรวมคือ Kirk Kazanjian หน้าที่พูดถึง คือ หน้า 125 การหาหุ้น Turnaround stock ของผู้จัดการกองทุนคนนี้คือ คุณ Susan suvall นั้น เขาต้องการหาหุ้น Value โดยเน้นหุ้นที่ undervalued asset , และมีแนวโน้ม Turnaround ตลอดจน ดู undervalued growth ซึ่งการพิจารณา Value ของผู้จัดการกองทุนคนนี้เขาจะคิดแตกต่างจากผู้จัดการกองทุน Value manager คนอื่น ๆ ด้วยครับ ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ของเขาครับ ผมซื้อหนังสือนี้จากร้าน B2S ครับ แต่เป็นหนังสือค่อนข้างเก่าหน่อยนะครับ ไม่ทราบว่ายังเหลือหนังสือเล่มนี้อยู่รึเปล่านะครับ ผมได้ทะยอยอ่านข้อเขียนไปเรื่อย ๆ ครับ มีหลาย ๆ อย่างในหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจทีเดียว เพราะเขาสัมภาษณ์ผู้จัดการกองทุนหลาย ๆ ประเภท เช่น กลุ่มที่เป็น Growth Gurus กลุ่ม Value Stock และแนวทางการลงทุนอื่น ๆ เช่นเน้นกลุ่มที่ specialists หรือแนวงทางการลงทนใน Fixed income ด้วยเป็นต้นครับ :lol:
โดย
thawattt
จันทร์ ก.พ. 25, 2008 9:32 pm
0
0
Turn around stock top pick
ผมไปอ่านเจอแนวความคิดหาปลาหุ้น Turnaround stock ครับ เขาให้ดูดังนี้ 1. เลือา P/BV ที่ค่อนข้างต่ำ 2. เลือก Market Cap to sale หากได้ประมาณสัก 2 เท่ายิ่งดี เขาให้เหตุผลคือ หากบริษัทดังกล่าวสามารถปรับปรุงเพิ่มยอดรายได้สูงขึ้น หรือ เพิ่มMargin ที่สูงขึ้นได้ในอนาคต จะทำให้บริษัทดังกล่าวสามารถได้ประโยชน์ในเชิงของ Leverage ของ Top line ที่สูง จนเกิด Impact กับ Bottom Line ที่สูงมาก ตัวนี้เป็นตัวหนึ่งในการสะท้อน Leverage ratio ที่ดีของหุ้น Turnaround 3. Good Balance sheet เพราะไม่ต้องให้เผชิญกับ permament Capital loss โดยผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ทำอยู่ และธุรกิจปัจจุบันที่ทำก็มีความเชี่ยวชาญ และดำเนินงานมาหลายปีแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จนทำให้ธนาคารที่ให้สินเชื่อให้ความวางใจหรือมั่นใจในบริษัท 5. ผลการดำเนินงานยอดขายตกต่ำมาอย่างน้อย 3 - 4 ปีมาแล้ว จนธุรกิจเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานเกิดขึ้นบ้างแล้ว 6. ให้ความสำคัญกับกำไรปกติของกิจการ โดยเน้นแนวโน้มของกำไรในระยะยาว 2 - 3 ปี และให้ความสำคัญกับแนวโน้มของกำไรที่กำลังโต แต่ไม่ใช่กำไรที่ใกล้จุดสูงสุดแล้ว หลังจากนั้นจึงค่อยคำนวณหามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมจาก มูลค่าสินทรัพย์ normalized earning power และ POTENTIAL Growth รวมถึงค่า PE ที่ผ่านการ Normalized earning power แล้ว 7. เมื่อผ่านขั้นตอนเชิงปริมาณในขั้นตอน 1 ถึง 6 แล้ว หากเป็นหุ้นที่น่าสนใจ จึงค่อยลงรายละเอียดเชิงคุณภาพ ก็เอามา share Idea เผื่อใครจะเจอหุ้น Turnaround ตาม Spec นี้บ้างครับ อิ อิ :lol:
โดย
thawattt
อาทิตย์ ก.พ. 24, 2008 8:54 pm
0
0
สูตรมหัศจรรย์!! สไตล์ VI
ขอบคุณสำหรับความเห็นทุก ๆ ท่านที่ดีครับ เพราะทำให้เรามีความรู้ในเรื่องการลงทุนเพิ่มเติม โดยมีข้อมูลและความเห็นที่ประกอบการลงทุนอย่างชัดเจน ในทางปฏิบัติ แม้ผลตอบแทนจะเป็นไปตามแบบที่คุณ Ryuga คำนวณมาให้และดูเหมือนว่าผลตอบแทนเมื่อเทียบกับตลาดจะดีกว่าจริง แต่ผมมีข้อสังเกตดังนี้ 1. ในการประเมินผลตอบแทนเทียบกับตลาดนั้น ข้อมูลผลการดำเนินงานแต่ละไตรมาสที่ได้มานั้นจะมี Lag Time อยู่ประมาณ 1 เดือนครึ่ง ถึง 2 เดือน ( 1 เดือนครึ่ง กรณีเป็นงบไตรมาสปกติ และ 2 เดือน กรณีไตรมาสสุดท้าย) ดังนั้นการปรับปรุงค่า ROA PE หรือ ROE ก็ตาม ก็ต้องใช้เวลาในการคำนวณตามระยะเวลาดังกล่าว ผมไม่แน่ใจว่า เมื่อได้คำนวณตามเวลาที่ควรจะเป็นหลังจากที่นักลงทุนทุกคนได้ข้อมูลกันครบถ้วนแล้ว ผลตอบแทนหลังจากนั้นจะดีกว่าตลาดจริงหรือไม่ครับ 2. ปัญหาการปรับปรุงข้อมูลกำไรหรือขาดทุนที่ผิดปกติ ซึ่งต้องใช้ดุลยพินิจส่วนหนึ่งในการพิจารณา อาจทำให้ตัวเลขที่คำนวณได้ของแต่ละคนไม่ตรงกัน 3. เท่าที่ดูตัวเลขผลตอบแทนที่คุณ Ryuga คำนวณมาให้ จะพบว่า ตัวเลขผลตอบแทนนั้นค่อนข้างผันผวนสุด ๆ เหมือนกัน ดังนั้นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนตามข้อมูล จึงต้องมีการกระจายความเสี่ยงในกลุ่มดังกล่าว และต้องมีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมในหุ้นแต่ละตัวด้วยครับ เอาข้อสังเกตเบื้องต้นก่อนนะครับ :lol:
โดย
thawattt
พฤหัสฯ. ก.พ. 14, 2008 9:51 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
thawattt
อาทิตย์ ม.ค. 27, 2008 11:32 am
0
0
สนใจหุ้นที่เป็นเทคโนโลยีเฉพาะทางไหมครับ
ลองเทียบกับ AKR ดูนะครับ แล้วลองหาจุดอ่อนและจุดแข็งของธุรกิจ 2 รายนี้ดูก่อนนะครับ โดย Solar ผลประกอบการจากกำไร เป็น ขาดทุน แต่ AKR ประกอบการยังมีกำไรอยู่ครับ โดย AKR กระจายความเสี่ยง โดยมี 2 ธุรกิจหลักคือ หม้อแปลงไฟฟ้า และ ทำ ธุรกิจ solar Cell เหมือนกันครับ
โดย
thawattt
อาทิตย์ ม.ค. 13, 2008 6:58 pm
0
0
=-=-= TVI Index =-=-=
คุณ Ryuga ไม่ Update TVI Index เพิ่มเติมหรือครับ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่า ตอนขาลง หุ้นที่เราเลือกกันมานั้น ทานกับภาวะขาลงได้มากน้อยเพียงใดครับ อิ อิ ช่วยกันลุ้นหน่อยครับ
โดย
thawattt
จันทร์ ม.ค. 07, 2008 10:59 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
thawattt
จันทร์ ม.ค. 07, 2008 10:48 pm
0
0
คำถามเกียวกับเรื่องหุ้นนะ
ขอร่วมสนุกครับ ถ้าลงบัญชีแบบนักบัญชีทั่วไปนั้น นาย ก. ได้กำไร 200 บาท (กำไร 2 ครั้ง ๆ ละ 100 บาท) และได้ทรัพย์สินต้นทุนใหม่อยู่ที่ 900 บาท แต่ถ้าคิดแบบทั่วไป นาย ก. ขาดทุนกำไร(ค่าเสียโอกาสที่ขายไปในราคาต่ำกว่าตลาดที่ควรจะเป็นไป 2 ครั้ง คือ 200 บาทให้กับ นาย ข.) เพราะ นาย ก. ได้ทรัพย์สินเดิมซึ่งมีต้นทุนใหม่ ณ ราคาตลาดปัจจุบันที่ 900 บาท
โดย
thawattt
อาทิตย์ ม.ค. 06, 2008 9:09 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
thawattt
ศุกร์ ธ.ค. 28, 2007 6:08 pm
0
0
อุทาหรณ์สอนใจหมอทั้งหลาย
ความเห็นของผมที่ได้ลองอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้ว ผมรู้สึกเห็นใจทั้ง 2 ฝ่ายมาก ๆ คุณหมอตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ ต้องรักษาคนไข้อย่างสุดฝีมือ และคงไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นครับ ฝ่ายผู้เสียหายนั้น จากข้อมูลที่นำมา Post ให้ดู ก็จะพบว่า เขาก็ดูเหมือนจะหมดหนทางไปในขณะนั้น ที่มีคุณแม่เสียชีวิต และคุณพ่อที่ไม่ได้ทำงาน ในขณะที่ตัวเองก็ยังอยู่ในวัยศึกษาอยู่ น้องก็กำลังเรียนหนังสือ ในขณะนั้นก็คงหมดหนทาง และพยายามดิ้นรนเพื่อหาทางออกให้กับตนเองและครอบครัวเพื่อให้สามารถอยู่รอดในสังคมต่อไป ทั้งหมดนี้ ผมอ่านข้อมูลแล้ว ก็อยากให้กำลังใจคุณหมอทุกคนให้อดทน อดกลั้น
โดย
thawattt
พุธ ธ.ค. 19, 2007 9:49 pm
0
0
อุทาหรณ์สอนใจหมอทั้งหลาย
เหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว ได้แต่ภาวนาในศาลสูงต่อไป แม้ฝ่ายโจทย์เองก็ไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เครือข่ายทางการแพทย์โต้กลับหมอ คดีผ่าตัดไส้ติ่งตาย วอนใช้สติและดูข้อ เท็จจริงก่อนแล้วค่อยวิจารณ์หรือตัดสิน ว่าใครถูกใครผิด หรือใครเป็นต้นเหต ุ ย้ำไม่เคยสนับสนุนให้คนไข้ฟ้องอาญา แพทย์และไม่เคยต้องการเห็นแพทย์ติดคุก วันนี้ (11 ธ.ค.) นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ พร้อม น.ส.ศิริมาศ แก้วคงจันทร์ บุตรสาวของนางสมควร แก้วคงจันทร์ ผู้เสียชีวิตเนื่องจากคดีการผ่าตัดไส้ติ่ง ซึ่งศาลทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุก พญ.สุทธิพร ไกรมาก เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่เกิดกระการต่อต้านอย่างมากในแวดวงแพทย์ ทำให้ทั้ง สองตัดสินใจเดินทางยังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมได้นำแถลงการณ์กล่าวมายื่นให้กับสื่อมวลชนด้วย ทั้งนี้ แถลงการณ์ ระบุว่า แม้ว่าคดีจะยังไม่ถึงที่สิ้นสุด แต่ทำให้หลายคนในวงการณ์แพทย์ออกอาการไม่พอใจ ที่แพทย์ด้วยกันต้องรับโทษทั้งที่ยังไม่รับรู้ข้อเท็จจริง พร้อมขู่ยุติการทำผ่าตัดที่รพ.ชุมชน และจะมีการส่ง ต่อผู้ป่วยกันมากขึ้น ต่างวิพากษ์วิจารณ์และโยนความ ผิดทั้งหมดให้กับผู้เสียหายและเครือข่ายฯ หน่วยงาน ที่รู้รายระเอียดดีอย่างแพทยสภาและสำนักงานปลัด กระทรวงสาธารณสุข ก็ออกมาตอบโต้และบิดเบือน ข้อเท็จจริง อาศัยเหตุการณ์นี้เล่นละครตบตาวงการ แพทย์และสังคม เรียกร้องความชอบธรรมให้กับตน เองและให้แพทย์ไม่ต้องถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ทั้งที่รู้ดีว่า เหตุการณ์ที่บานปลายนั้น แพทยสภาและสำนักงานปลัด กระทรวงสาธารณสุขเป็นต้นเหตุใหญ่ เครือข่ายฯ เห็นใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พญ.สุทธิพร แต่อยากให้ใช้สติและดูข้อเท็จจริงก่อน แล้วค่อยวิจารณ์หรือตัดสินว่าใครถูกใครผิด หรือใคร เป็นต้นเหตุ ทั้งนี้ ในวันที่ศาลตัดสิน พญ.สุทธิพร ไม่ได้เข้าไปอยู่ในคุกแม้แต่นาทีเดียว กุญแจมือ ก็ไม่ถูกใส่ เพราะศาลท่านให้เกียรติแพทย์ อีก ทั้งน.ส.ศิริมาศ ลูกสาวผู้ตายได้ขอร้องศาลผ่าน เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ว่า ขอไม่ให้ใส่กุญแจมือและ ไม่ให้นำพญ.สุทธิพร ไปคุมขังในระหว่างรอประกันตัว เพราะไม่เคยคิดที่จะเอาหมอเข้าคุก เพียงแต่ต้อง การให้ใครสักคนบอกว่าแม่เป็นอะไรตาย แต่ไม่คิด ว่า เหตุการณ์จะบานปลายมาจนเป็นแบบนี้ เวลาที่คนไข้ถูกรังแก ยัดเยียดความอยุติธรรมให้ เครือข่ายไม่เคยเห็นว่าวงการแพทย์ส่วนใหญ่จะเห็นใจ และออกมาเรียกร้องเพื่อให้คนไข้ทั้งๆ ที่รู้ดีกันอยู่ว่า แพทย์ทำผิดและหน่วยงานไม่มีความเป็นธรรม แต่ก็ปล่อย ให้คนไข้ถูกกระทำ วงการแพทย์ไม่ควรเห็นแก่พวกพ้อง อย่างน่าเกลียด และออกมาตอบโต้เหมือนจับคนไข้เป็น ตัวประกัน จะไม่รักษา จะลาออก การเอาชีวิตคนไข้มา ต่อรองในทางที่ผิดนั้นเป็นสิ่งไม่สมควรทำอย่างยิ่ง แถลงการณ์ระบุ แถลงการณ์ระบุอีกว่า สังคมแพทย์ควรเห็นใจผู้เสียหาย และหาทางช่วยเหลือกันอย่างมีมนุษยธรรม เพราะที่ใดไ ม่มีความเป็นธรรม สันติย่อมไม่เกิดขึ้น แพทย์อยากให้คน ไข้เข้าใจแพทย์เห็นใจในความเหนื่อยยากของแพทย์ แพทย์ก็ต้องเห็นใจคนไข้ด้วยถึงจะมีความสงบสุข ด้วยกันทั้งทุกฝ่าย ทุกวันนี้ทั้งแพทย์คนไข้และหมอ คือเหยื่อ ของระบบ เหยื่อของหน่วยงานที่ผู้บริหารเหลิงและลุ แก่อำนาจไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา มัว แต่ห่วงภาพพจน์และศักดิ์ศรีของตัวเอง จนลืม ความมีมนุษย์ ทำให้เหตุการณ์เล็กๆ บานปลาย มาจนถึงทำให้แพทย์ต้องโทษจำคุก 3 ปี โดย ไม่รอลงอาญาอย่างวันนี้ สุดท้ายเครือข่ายฯ ก็ได้แต่หวังว่าศาลชั้น อุทธรณ์และศาลฏีกาท่านจะให้ความเมตตาต่อ แพทย์ ให้ได้รับโทษสถานเบาที่สุดเพียงรอลง อาญา เนื่องจากเครือข่ายฯ ไม่เคยสนับสนุนให้คน ไข้ฟ้องอาญาแพทย์และไม่เคยต้องการเห็นแพทย์ติดคุก
โดย
thawattt
พุธ ธ.ค. 19, 2007 9:19 pm
0
0
อุทาหรณ์สอนใจหมอทั้งหลาย
และแล้วหลายความเห็นก็สร้างกระแสความรู้สึกขัดแย้งในสังคมที่ยากเกินบรรยายเช่นกัน 'แพทย์สภา' เสียใจศาลสั่งจำคุก 'พญ.' 3 ปี ฉีดยาชาคนไข้ตาย แนะให้เป็นอุทธาหรณ์ โดยคดีเกิดจากศาลจังหวัดทุ่งสงสั่งจำคุก ฐานฉีดยาชาให้คนไข้ผ่าตัดไส้ติ่งโดยประมาทเลินเล่อ ไม่ควบคุมให้มีปริมาณที่เหมาะสม ทำให้ยาลุกลามไปทั่วตัว จนเกิดอาการช็อค หัวใจหยุดเต้น ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ขาดอากาศหายใจ ก่อนเสียชีวิต 'แพทย์สภา' เสียใจศาลสั่งจำคุกพญ.ฉีดยาชาคนไข้ตาย ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เลขาธิการแพทยสภา แถลงข่าวกรณีศาลจังหวัดทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มีคำพิพากษาให้จำคุก พญ.สุทธิพร ไกรมาก แพทย์ประจำโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราชเป็นเวลา 3 ปี ในข้อหากระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต จากการฉีดยาชาเข้าไขสันหลังเพื่อระงับความรู้สึกในการผ่าตัดไส้ติ่งคนไข้ โดยไม่ได้ควบคุมในประมาณที่เหมาะสม จนทำให้เกิดอาการช็อคและเสียชีวิต ทั้งนี้ ศ.คลินิก นพ.อำนาจ กล่าวว่า คณะแพทยสภาขอแสดงความเสียใจและ ขอให้เรื่องดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์ต่อไป ว่า หากมีการผ่าตัดใดๆ ที่จะต้องมีการดมยาสลบ หรือยาระงับความรู้สึกโดยฉีดเข้าช่วงไขสันหลัง จะต้องทำในโรงพยาบาลที่มีวิสัญญีแพทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม จากคำพิพากษาในคดีนี้มีผลกระทบต่อวงการแพทย์และสังคม โดยเฉพาะวงการแพทย์จะมีผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะ ไทยยังขาดแคลนวิสัญญีแพทย์ รวมทั้งแพทย์จะเกิดความกลัวจนทำให้ไม่กล้าลงมือรักษา ซึ่งจะเป็นปัญหาได้ในอนาคตอันใกล้นี้ และทางแพทย์สภาได้เรียกร้องให้สังคมและนักกฎหมายช่วยพิจารณาว่า จะมีส่วนป้องกันและแก้ไขอย่างไรเพื่อให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ได้รับความช่วยเหลือ หรือความคุ้มครองจากการรับโทษทางอาญาในกรณีที่อาจจะเกิดเหตุการณ์ทำนองดังกล่าวขึ้นอีก
โดย
thawattt
พุธ ธ.ค. 19, 2007 9:17 pm
0
0
384 โพสต์
of 8
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
thawattt
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ม.ค. 25, 2006 6:06 pm
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร พ.ค. 11, 2021 12:22 pm
โพสต์ทั้งหมด:
1141 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.06% จากโพสทั้งหมด / 0.16 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว