หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
winnermax
Joined: จันทร์ มี.ค. 26, 2012 10:58 pm
38
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - winnermax
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: การเพิ่มทุนและการลดทุน
dome@perth wrote: parporn wrote: tatar_2522 wrote: เรียนสอบถามครับ ถ้ามีทุนจดทะเบียน 100 บาท แต่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 50 บาท ต่อมาบริษัทประกาศลดทุนทะเบียนเหลือ 50 บาทเท่าทุนจดทะเบียนชำระแล้ว โดยตัดหุ้นที่ยังไม่ได้จำหน่ายออก ไม่ทราบว่ามีผลต่อผู้ถือหุ้นอย่างไร ทำให้จำนวนหุ้นลดลงหรือไม่ครับ แล้วมีผลในงบต่างๆอย่างไรครับ งงมานาน ขอบคุณมากครับ การลดทุนทำได้ 2 แบบค่ะ ไม่ลดจำนวนหุ้น ก็ลดจำนวนเงิน คุณต้องหาข้อมูลมาให้ชัดเจนว่า บริษัททำการลดราคาพาร์ หรือลดจำนวนหุ้น และในกระบวนการลดทุนนั้น บริษัทได้ลดส่วนเกินมูลค่าหุ้นและขาดทุนสะสมด้วยหรือไม่ ข้อมูลที่คุณให้ไม่ชัดเจนและฟังขัดแย้งกัน ตกลงบริษัทลด "ทุนจดทะเบียน" หรือ "ทุนเรือนหุ้น (ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว) ถ้าบริษัทลดทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว บริษัทต้องซื้อคืนหุ้นที่ออกไปแล้ว เพื่อนำมาลดทุน ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ได้ขายหุ้นคืนต้องจ่ายชำระค่าหุ้นให้เต็มจำนวน ทุนเรือนหุ้นจึงจะมีจำนวนกับ 50 บาทตามที่ต้องการ แต่ถ้าบริษัทลดราคาพาร์ บริษัทก็คงไม่ได้ลดจำนวนหุ้น ทุนเรือนหุ้นในงบการเงินจะเท่าเดิมคือ 50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าบริษัทลดราคาพาร์โดยไม่ทำอย่างอื่น เช่น ลดส่วนเกินมูลค่าหุ้นและขาดทุนสะสม งบการเงินจะไม่เปลี่ยนแปลง ยกเว้นราคาพาร์ที่ระบุไว้จะลดเหลือเพียงครึ่งเดียวเทียบกับที่เคยแสดงไว้เดิม อย่าลืมนะคะ.... คำตอบขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ให้มา ถ้าข้อมูลเป็นอย่างอื่น คำตอบอาจเปลี่ยนไปได้ค่ะ อาจารย์ครับในกรณีที่บริษัทจะลดทุนโดยวิธีการลดราคาพาร์ นอกจากบริษัทต้องได้รับอนุมัติจาก ผู้ถือหุ้น 3 ใน 4 แล้ว ต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าหนี้ด้วยหรือเปล่าครับ และต้องมีเงื่อนไขอื่นใดไหมครับ ที่จะต้องปฏิบัติ เพื่อให้การลดพาร์ได้สำเร็จครับ ขอบพระคุณครับ เรื่องกฎระเบียบต้องอาจารย์วิเชษฐ์ winnermax ค่ะ เดี๋ยวคงเข้่มาตอบให้ การบอกกล่าวเจ้าหนี้ เมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติพิเศษให้ลดทุน และแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 5 (ทุน) แล้ว บริษัทต้องประกาศโฆษณาการลดทุนในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อย 1 ครั้ง และต้องมี หนังสือบอกกล่าวไปยังเจ้าหนี้ของบริษัทเพื่อให้เจ้าหนี้ทราบการลดทุนและมีสิทธิคัดค้านภายใน 30 วัน นับแต่วันที่บอกกล่าว การยื่นขอจดทะเบียน • กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทต้องยื่นคำขอจดทะเบียนมติพิเศษให้ลดทุนภายใน 14 วัน นับจากวันที่มีมติพิเศษให้ลดทุน • เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวัน นับแต่วันประกาศหนังสือพิมพ์ หรือวันบอกกล่าวเจ้าหนี้ซึ่งเป็นวันที่ดำเนินการหลังสุด และไม่มีเจ้าหนี้คัดค้านการลดทุนหรือกรณีเจ้าหนี้คัดค้านให้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้หรือวางประกันหนี้ให้แก่เจ้าหนี้จนพอใจไม่คัดค้านแล้ว ให้กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท ยื่นคำขอจดทะเบียนลดทุน และแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิข้อ 5 (ทุน)
โดย
winnermax
ศุกร์ มิ.ย. 22, 2012 2:47 pm
0
0
Re: การปันผล หุ้นปันผล หุ้นแตกพาร์ หุ้นซื้อคืน
ขอเรียนถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเครดิตภาษีหน่อยครับ คือว่าผมได้ปันผลจากหุ้นที่ลงทุน แต่ปัจจุบันผมเป็นนักศึกษาเลย ยังไม่ต้องเสียภาษี จะขอเครดิตภาษีคืนได้รึเปล่าครับ ถ้าได้ ต้องทำยังไงครับ สงสัยมาก _________________ ว. วีไอ อดทน คุณ ว.วีไอ สามารถขอเครดิตภาษีจากเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทจดะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ครับ โดยยื่น ภงด.90 ซึ่งต้องลองคำนวณภาษีดูว่า ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียนี้มีจำนวนที่น้อยกว่าจำนวนที่ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย 10% ซึ่งผมคาดว่า โอกาสที่จะได้รับเงินภาษีคืนจากกรมสรรพากรค่อนข้างมา ก เพราะคุณไม่มีรายได้ประเภทอื่นเขามารวมด้วย
โดย
winnermax
ศุกร์ มิ.ย. 22, 2012 9:07 am
0
1
Re: การปันผล หุ้นปันผล หุ้นแตกพาร์ หุ้นซื้อคืน
เครดิตภาษีคืน คืออะไรเหรอครับ เครดิตภาษีเงินปันผลคืออะไร โดยปกติบริษัทจดทะเบียน (บริษัทที่เราสามารถซื้อหุ้นได้ในตลาดหลักทรัพย์) จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น โดยปันออกมาจากกำไรสุทธิที่บริษัททำได้ ซึ่งกำไรส่วนนี้ได้ผ่านการเสียภาษีให้กับทางรัฐบาลไปแล้ว โดยเสียในอัตราที่แตกต่างกันไป แล้วแต่บริษัท เช่น 50%, 30%, 20%, 15%, 10% เป็นต้น ทีนี้ปัญหามันเกิดตรงที่ว่า เวลาที่ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลมา ทางรัฐบาลจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 10% กลายเป็นว่าผู้ถือหุ้นเสียภาษีซ้ำ 2 รอบ รอบแรก กำไรที่บริษัทที่ตนลงทุนได้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว รอบที่ 2 โดนหัก ณ ที่จ่าย ตอนที่ได้รับเงินปันผลที่จ่ายจากกำไรมา การเครดิตภาษีเงินปันผลจึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นการให้สิทธิผู้ถือหุ้น ในการที่จะเรียกคืนภาษีที่ตนเองเสียเกินไป กลับมา โดยการให้ผู้ถือหุ้นสามารถนำกำไรสุทธิที่บริษัททำได้ หลังจากหักภาษีแล้ว ในส่วนที่ผู้ถือหุ้นควรจะได้รับ (นั่นก็คือ ตามสัดส่วนหุ้นที่ถืออยู่) มารวมคิดเป็นรายได้ของผู้ถือหุ้น แล้วก็คิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปตามปกติ ถ้าภาษีที่คิดได้ น้อยกว่าที่เสียไปแล้ว (ทั้ง 2 ต่อรวมกัน) ผู้ถือหุ้นก็สามารถเรียกภาษีส่วนที่ผู้ถือหุ้นเสียเกินไปกลับมาได้ จำเป็นต้องเครดิตภาษีเงินปันผลหรือไม่ ผู้ถือหุ้นที่ได้รับเงินปันผล ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการเครดิตภาษีเงินปันผลก็ได้ ซึ่งก็ทำได้ง่ายมากครับ คือ การรับเงินปันผลมาเฉยๆ โดยไม่ต้องดำเนินการใดๆเลย (แต่แน่นอนก่อนที่จะได้เงินปันผลมา เราก็ต้องลงทุนไปซื้อหุ้นบริษัทนั้นๆมาก่อนนะครับ) ตัวอย่าง การคำนวณเงินที่จะได้คืนจากการเครดิตภาษีเงินปันผล ทีนี้เรามาลองคิดกันดูนะครับ ว่าเราทำการเครดิตภาษีเงินปันผลแล้ว เราจะได้เงินคืนซักเท่าไร สมมติว่าเราถือหุ้น ABC อยู่ 100 หุ้น ซึ่งในปี 50 ที่ผ่านมา หุ้น ABC ได้ทำการจ่ายเงินปันผลมาให้กับเรา หุ้นละ 10 บาท โดยปันผลมาจากกำไรสุทธิที่ผ่านการเสียภาษีมาแล้ว (โดยบริษัท ABC เนี่ย เสียภาษีที่อัตรา 30% ของกำไร) ดังนั้นเราก็จะได้เงินปันผลจากหุ้น ABC มาทั้งหมด 100 * 10 = 1,000 บาท แต่เดี๋ยวก่อน ! เนื่องจากทางรัฐจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายด้วย 10% ดังนั้นก็จะมีเงินตกมาถึงมือเรา 1,000 - (1,000 * 0.1) = 900 บาท ภาษีกรณีไม่ทำการเครดิตภาษีเงินปันผล จะเห็นได้ว่า เรามีการเสียภาษีไป 2 ต่อ - ต่อแรก เสียไปจากการที่บริษัทโดนเก็บภาษีเงินได้นิติบุุคคลจากกำไร เสียภาษีไป = (30% * 1,000) / 70% = 428.57 บาท (คิดง่ายๆ ก็คือ เอา 3/7 * 1,000) - ต่อที่ 2 เสีย ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตอนที่ได้เรารับเงินปันผล = 10% * 1,000 = 100 บาท ภาษีรวม = 428.57 + 100 = 528.57 บาท ภาษีกรณีที่ทำการเครดิตภาษีเงินปันผล เราจะต้องทำการคำนวณ 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 : ทำการคำนวณกำไรของบริษัทก่อนหักภาษี = (100% * 1,000) / 70% = 1,428.57 บาท ขั้นที่ 2 : นำเงินที่คำนวณได้จากขั้นที่ 1 รวมเป็นรายได้ของเรา ในการคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แล้วคิดภาษีออกมา ตามฐานภาษีของช่วงรายได้ ที่รายได้ส่วนนี้ไปตกอยู่ (ในที่นี้สมมติว่าเป็น 10%) = 1,428.57 * 10% = 142.86 บาท ภาษีรวม = 142.86 บาท จะเห็นได้ว่า เรามีการเสียภาษีเกินไปจำนวน = 528.57 - 142.86 = 385.71 บาท ซึ่งเงินส่วนนี้ เราจะสามารถขอคืนได้ ผ่านทางการเครดิตภาษีเงินปันผลนั่นเองครับ (จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยเลยนะครับ จากเดิมได้รับเงินปันผลตกมาถึงมือแค่ 900 บาท ถ้าทำการเครดิตภาษีเงินปันผล จะได้เงินปันผลเพิ่มมาอีก 385.71 บาทครับ)
โดย
winnermax
พฤหัสฯ. พ.ค. 10, 2012 3:42 pm
0
2
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
1. หุ้น IPO นี่ใช่หุ้นที่ขายให้ประชาชนเป็นครั้งแรกนอกตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่าครับ แล้วพอขายแล้วก็นำหุ้นที่ขายไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ 2. หุ้น : PTT ราคาจอง : 35 วันแรกที่เข้าตลาด : 6 ธค 44 ราคาเปิดวันแรก : 35.75 ราคา ณ วันที่ 26 มิย. 45 : 35.75 คำถาม 2.1 จากข้อมูลข้างบน ราคาจอง 35 บาทนี่ใช่ราคาพาร์ไหมครับ ถ้าไม่ใช่คือราคาอะไรครับแล้วราคานี้มาจากไหน 2.2 ราคาเปิดวันแรก 35.75 บาทคืออะไรครับ 1. ใช่ครับ 2.1 ราคาพาร์ของ PTT คือ 10 บาท ราคา 35 บาทคือราคาที่เสนอจำหน่ายครับ 2.2 ราคาเปิดวันแรกที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยครั
โดย
winnermax
ศุกร์ พ.ค. 04, 2012 1:51 pm
0
0
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
“หนังสือชี้ชวน” หมายความว่า เอกสารใด ๆ ที่ออกโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาชี้ชวนให้บุคคลอื่นจองซื้อหรือซื้อหลักทรัพย์ที่ตนหรือบุคคลอื่นออกหรือเสนอขาย โดยต้องมีข้อมูลตามที่ กลต. กำหนด เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้สนใจที่จะซื้อหลักทรัพย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับกิจการ โครงการ รวมทั้งความเสี่ยง ก่อนทำการตัดสินใจลงทุน ครับ
โดย
winnermax
ศุกร์ พ.ค. 04, 2012 9:38 am
0
0
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
1. หุ้น IPO คืออะไรครับ 2. การซื้อหุ้นครั้งแรกนอกตลาดเราจะซื้อได้จากที่ไหนครับ และเราจะรู้ข่าวได้อย่างไรว่าบริษัทเปิดขายหุ้นครั้งแรก 1.Initial Public Offering หรือ IPO หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งแรก 2.ติดตามข่าวสารได้จากเวปไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย www.set.or.th คลิ๊กดูที่หุ้นไอพีโอ แล้วหากเราสนใจหุ้นที่จำหน่ายให้ดูข้อมูลใน Filing ว่าบริษัทแต่งตั้งให้ใครเป็นผู้จัดจำหน่าย (Underwriter) แล้วหากจะซื้อให้ติดต่อไปที่บริษัทผู้จัดจำหน่าย เพื่อขอใบจองซื้อหุ้น ซึ่งหากบริษัทผู้จัดจำหน่ายเป็น Broker ที่เราซื้อขายหุ้นด้วยแล้วจะได้รับความสะดวกอย่างมาก เพราะหุ้นบางตัวอาจมีผู้สนใจมาก จนกระทั่งเราไม่สามารถจองซื้อได้ครับ
โดย
winnermax
พฤหัสฯ. พ.ค. 03, 2012 8:47 am
0
0
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
0 UpvoteDownvote รบกวนขอถาม คุณ winnermax ครับ 1. รายละเอียดเกี่ยวกับทุน ราคาพาร์ 1.00 บาท หุ้นสามัญ ทุนจดทะเบียน 4,997,459,800.00 บาท ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,973,095,330.00 บาท (จากข้อมูลข้างบนบริษัทนี้ไปจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพานิชย์ใช่ไหมครับ ยังไม่ได้เข้ามาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ และจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้ว 2973.09 ล้านหุ้นนี้ก็จำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้วนอกตลาดหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ) 2. รายละเอียดเกี่ยวกับทุน ราคาพาร์ 1.00 บาท หุ้นสามัญ ทุนจดทะเบียน 4,997,459,800.00 บาท ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,973,095,330.00 บาท (จากข้อมูลข้างบนที่บอกว่าบริษัทนี้มีทุนจดทะเบียน 4997.45 ล้านหุ้น ได้ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้ว 2973.09 ล้านหุ้นนี้จำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าตามราคาพาร์หรือเปล่าครับ สูงกว่าราคาพาร์ได้ไหม หรือต่ำกว่าได้ไหมครับ) 3. รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนหุ้น หุ้นสามัญ จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. 2,973,095,330 หุ้น จำนวนหุ้นชำระแล้ว 2,973,095,330 หุ้น จากข้อมูลข้างบนจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ 2,973,095,330 หุ้นนี้เกิดจากการที่นำหุ้นที่ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้ว 2,973,095,330 หุ้นนอกตลาดมาจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ และจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว 2,973,095,330 หุ้น(ตัวหนังสือสีน้ำเงิน) นี้ก็ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้วผ่านตลาดหลักทรัพย์ใช่ไหมครับ 4. % การถือหุ้นแบบไร้ใบหุ้น 80.86 หมายถึงอะไรครับ 1. ตัวอย่างนี้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครับ แต่หลักทรัพย์หุ้นสามัญหากมีการออกเพิ่มต้องไปนำไปจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดฯ ตามกฎเกณฑ์ของ ตลท. 2. บริษัทนี้ออกจำหน่่ยหุ้น สูง หรือต่ำกว่ามูลค่า นั้นต้องตามไปดูงบแสดงฐานะการเงิน ในส่วนของผู้ถือหุ้น หากจำหน่ายสูงจะมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญแสดงอยู่ ในทางตรงข้ามหากขายต่ำกว่ามูลค่า ก็จะมีรายการส่วนต่ำกว่ามูลค่าแสดงอยู่ หากขายได้ตามมูลค่าพอดี จะไม่มีรายการส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นแสดงครับ 3. การขายออกจำหน่ายหุ้นในครั้งแรกต้องทำนอกตลาดเสมอครับ เพราะตลาดหลักทรัพย์ทำหน้าที่เป็นตลาดรอง(secondary market) ไม่ได้ทำหน้าที่ดป็นตลาดแรก(primary market) 4. หมายถึงหุ้นที่อยู่ในระบบไร้ใบหุ้น (scripless) ซึ่งบริษัทศูนย์รับฝากทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่เป็นบริษัทลูกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะทำหน้าที่ดูแลหลักทรัพย์ในส่วนนี้ ส่วนนอกเหนือจากนี้จะเป็นหุ้นสามัญที่มีการออกใบหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเหมือนที่เราพบได้ทั่วไปในบริษัทจำกัด หุ้นในระบบในระบบไร้ใบหุ้นให้ความสะดวกในการซื้อขายและส่งมอบ และสามารถลดขั้นตอนด้านเอกสารการโอนหุ้น ไม่ต้องเสียเวลาการพิสูจน์ว่าใบหุ้นที่นำมาซื้อขายเป็นของจริงหรือไม่
โดย
winnermax
จันทร์ เม.ย. 30, 2012 10:43 pm
0
0
Re: สาระน่ารู้: กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานและกำไรต่อหุ้นปรับลด
ขอแก้ไขวิธีที่ 2 บรรทัดก่อนรวมจำนวนหุ้น ไม่ต้องคูณ 1.5 นะครับ วิธีที่ 2 ใช้หุ้นที่เปลี่ยนแปลงระหว่างงวด X สัดส่วนของเวลา มาใช้ปรับปรุงจำนวนหุ้นต้นงวด หากใช้วิธีนี้สัดส่วนของเวลาที่ใช้ก็จะเป็นไปตามของผู้ถาม 150,000 x 1.5 x 12/12 = 225,000 (30,000) x 1.5 x 10/12 = (37,500) 30,000 x 2/12 = 5,000 รวม = 192,500 หุ้น ทั้งสองวิธีได้คำตอบเท่ากันครับ
โดย
winnermax
จันทร์ เม.ย. 30, 2012 11:49 am
0
0
Re: สาระน่ารู้: กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานและกำไรต่อหุ้นปรับลด
usa.s wrote: การรวมพาร์ การแตกพาร์ และการปันผลด้วยหุ้นนั้น ให้คิดเสมือนทำตั้งแต่วันแรกของปีทั้งหมดค่ะ แต่ในกรณีที่เพิ่มทุน หรือซื้อหุ้นคืนนั้นที่เราจะคิดตามสัดส่วนเวลาจริงคือมีผลไม่เต็มปีค่ะ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างในกรณีของการปันผลหุ้นให้ดูค่ะ สมมติใน 1 ปีบริษัทมีกิจกรรมเกี่ยวกับทุนดังนี้ 1 มกราคม: จำนวนหุ้นที่ถือเริ่ม เป็น 150,000 หุ้น 1 พฤษภาคม: ซื้อหุ้นคืน 30,000 หุ้น กลายเป็น 150,000 – 30,000 = 120,000 หุ้น 1 กรกฎาคม: ปันผลหุ้น 50% ต้องออกหุ้นเพิ่ม = (150,000-30,000) *50% = 60,000 หุ้น กลายเป็น = 120,000 + 60,000 = 180,000 หุ้น 1 พฤศจิกายน: ออกทุนเพิ่ม 30,000 หุ้น กลายเป็น 180,000 + 30,000 = 210,000 หุ้น 1 ธันวาคม: จำนวนหุ้น ณ วันสิ้นปี กลายเป็น 210,000 หุ้น การคิดจำนวนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วในกรณีนี้จะเป็นไปตามนี้ค่า 1 มกราคม : (จำนวนหุ้น: 150,000) * (factor ส่วนของหุ้นปันผล: 1.5) * (อัตราส่วนเวลา: 2/12) จำนวนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก = 25,000 1 พฤษภาคม: (จำนวนหุ้น: 120,000) * (factor ส่วนของหุ้นปันผล: 1.5) * (อัตราส่วนเวลา: 3/12) จำนวนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก = 45,000 1 กรกฎาคม: (จำนวนหุ้น: 180,000) * (อัตราส่วนเวลา: 5/12 ) จำนวนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก = (A *B*C)= 75,000 1 พฤศจิกายน: (จำนวนหุ้น: 210,000) * (อัตราส่วนเวลา: 2/12) จำนวนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก = (A *B*C)= 35,000 ดังนั้นจำนวนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้ว สำหรับปี คือผลรวมของทั้งหมด 25,000+45,000+75,000+35,000 = 180,000 หุ้น สังเกตว่า เราต้องคูณจำนวนหุ้นที่เรามีก่อนหน้าวันออกปันผล คือออกวันที่ 1 มกราคม และ1 พฤษภาคม ด้วยเลข 1.5 เพื่อทำให้เป็นเสมือนว่าหุ้นที่ออกปันผลได้มีมมาตั้งแต่ต้นปีค่ะ ขอบคุณครับผม แต่ว่ายังสังสัย อัตราส่วนเวลา ว่าทำไม 1 มกราคม : (อัตราส่วนเวลา: 2/12) ไม่เป็น 12/12 1 พฤษภาคม: (อัตราส่วนเวลา: 3/12) ไม่เป็น 8/12 1 กรกฎาคม: (อัตราส่วนเวลา: 5/12 ) ไม่เป็น 6/12 หรือครับ ทำไมถึงเป็นตัวเลขดังกล่าวครับ ขอเสนอแนะนะครับ ผมคิดว่าโจทย์น่าจะผิด 1 พฤษภาคม น่าจะเป็น 1 มีนาคม ครับ (เนื่องจากหุ้นที่ถือเริ่มต้น ใช้ 2/12 เป็นตัวคูณ) ดังนั้นจำนวนหุ้นเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามเวลา จะคิดได้ 2 วิธี วิธีที่ 1 ใช้หุ้นคงค้างคูณด้วยสัดส่วนของเวลา (ตามวิธีที่แสดงข้างบน) 150,000 x 1.5 x 2/12 = 37,500 120,000 x 1.5 x 3/12 = 45,000 180,000 x 5/12 = 75,000 210,000 x 2/12 = 35,000 รวม = 192,500 หุ้น วิธีที่ 2 ใช้หุ้นที่เปลี่ยนแปลงระหว่างงวด X สัดส่วนของเวลา มาใช้ปรับปรุงจำนวนหุ้นต้นงวด หากใช้วิธีนี้สัดส่วนของเวลาที่ใช้ก็จะเป็นไปตามของผู้ถาม 150,000 x 1.5 x 12/12 = 225,000 (30,000) x 1.5 x 10/12 = (37,500) 30,000 x 1.5 x 2/12 = 5,000 รวม = 192,500 หุ้น ทั้งสองวิธีได้คำตอบเท่ากันครับ
โดย
winnermax
จันทร์ เม.ย. 30, 2012 11:44 am
0
0
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
winnermax wrote: Quote: ADVANC : บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) รายละเอียดเกี่ยวกับทุน ราคาพาร์ 1.00 บาท หุ้นสามัญ ทุนจดทะเบียน 4,997,459,800.00 บาท ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,973,095,330.00 บาท รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนหุ้น หุ้นสามัญ จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. 2,973,095,330 หุ้น จำนวนหุ้นชำระแล้ว 2,973,095,330 หุ้น สิทธิออกเสียง 1 : 1 จำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง หัก หุ้นซื้อคืน ณ วันที่ 24 เม.ย. 2555 2,973,095,330 หุ้น ณ วันที่ 31 มี.ค. 2555 2,973,095,330 หุ้น ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลของบริษัท ADVANC : บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ครับรบกวนช่วยอธิบายด้วยครับ สรุป บริษัทนี้มีทุนจดทะเบียน 4997.45 ล้านหุ้น ได้ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้ว 2973.09 ล้านหุ้น ดังนั้นยังมีส่วนที่ไม่ได้ออกจำหน่าว 4997.45-2973.09 ล้านหุ้น หุ้นที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายนี้ บริษัทสามารถออกจำหน่ายได้เมื่อต้องการระดมทุนจากนักลงทุน หากการจำหน่ายหุ้นสามัญสูงกว่า หรือต่ำกว่าราคาพาร์ บริษัทก็จะบันทึกส่วนต่างนี้ไว้เป็นส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญครับ ในส่วนของผู้ถือหุ้นในงบแสดงฐานะการเงิน หุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วเมื่อนำไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ก็จะสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่เหมือนกับทุนจดทะเบียนอันนั้นเป็นไปตาม พรบ.มหาชน ที่ต้องไปจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ขออภัยหากคำตอบเกาไม่ถูกที่คัน เพราะไม่ทราบท่านผู้ถามสงสัยในประเด็นใด ที่อยากให้ อธิบายครับ 1. จากข้อความข้างบนที่บอกว่าบริษัทนี้มีทุนจดทะเบียน 4997.45 ล้านหุ้น ได้ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้ว 2973.09 ล้านหุ้น ที่ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้ว 2973.09 ล้านหุ้นนี้ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าให้ใครครับ 2. ส่วนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่าย 4997.45-2973.09 ล้านหุ้น หุ้นที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายนี้บริษัทสามารถออกจำหน่ายได้เมื่อต้องการระดมทุนจากนักลงทุน (ที่ว่าระดมทุนจากนักลงทุนนี้ใช่นักลงทุนรายย่อยที่เป็นประชาชนทั่วๆไปใช่ไหมครับ ถ้าไม่ใช่เป็นการระดมทุนจากนักลงทุนประเภทไหนครับ) 3. ส่วนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่าย 4997.45-2973.09 ล้านหุ้น หุ้นที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายนี้บริษัทสามารถออกจำหน่ายได้เมื่อต้องการระดมทุนจากนักลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่าครับ 4. การจำหน่ายหุ้นสามัญจะต้องสูงกว่าราคาพาร์ หรือ ต่ำกว่าราคาพาร์ เท่านั้นหรือครับ เท่ากับราคาพาร์ได้ไหม (และการจำหน่ายจะจำหน่ายให้ใครและจะต้องจำหน่ายผ่านตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่าครับ) 5. จากข้อมูลข้างบนรบกวนช่วยอธิบายตั่งแต่บริษัทไปจดทะเบียนกับกระทรวงพานิชย์เท่าไหร่ยังงัย ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้วเท่าไหร่ยังงัย ส่วนที่ยังไม่ได้จำหน่ายเท่าไหร่ อธิบายไปทีละขั้นตอนไปจนถึงเข้าตลาดหลักทรัพย์ยังงัยขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังงัย ขายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นเท่าไหร่ยังงัยจนถึงขั้นตอนสุดท้ายเลยได้ไหมครับ (แบบที่สรุปมาข้างบนนั่นแหละครับแต่ขอละเอียดนิดนึงครับ) 1. เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามส่วนจำนวนที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนมีอยู่แล้วก่อน หรือจะเสนอขายต่อประชาชนหรือ บุคคลอื่นไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ ทั้งนี้ ตามมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น 2. เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (Public Offerring) หรือเสนอขายต่อนักลงทุนกลุ่มเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ก็ได้ แล้วแต่ความต้องการของบริษัท 3. ถ้าเป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่แล้ว เมื่อจำหน่ายหุ้นออกครั้งแรกไปแล้ว(Primary Market) ก็จะนำหุ้นไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์เพื่อผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายในตลาดรองได้ (Secondary Market) 4. บริษัทมหาชน สามารถจำหน่ายหุ้นในราคาต่ำหรือสูงกว่ามูลค่าได้ หรือจะจำหน่ายในราคาตามมูลค่าก็ได้ การขายหุ้นต่ำกว่ามูลค่าต้องระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนด้วยครับ 5. ขั้นตอนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด ขั้นตอนที่ 1 จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ 1. ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอย่างน้อย 15 คนขึ้นไปจัดทำหนังสือ บริคณห์สนธิ 2. หนังสือบริคณห์สนธิ ต้องมีรายการดังต่อไปนี้ เป็นอย่างน้อย (1) ชื่อบริษัท ต้องมีคำว่า “บริษัท” นำหน้า และมีคำว่า “จำกัด (มหาชน)” ต่อท้าย หรือจะ ใช้อักษรย่อว่า “บมจ.” แทนก็ได้ (2) ความประสงค์ของบริษัทที่จะเสนอขายหุ้นต่อประชาชน (3) ทุนจดทะเบียนต้องแสดงชนิด จำนวน และมูลค่าของหุ้น (4) ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ต้องระบุว่าจะตั้งอยู่ ณ ที่ใด ในประเทศไทย (5) ชื่อ วัน เดือน ปีเกิด สัญชาติ ที่อยู่ของผู้เริ่มจัดตั้งบริษัท และจำนวนหุ้นที่แต่ละคนจอง ไว้ และลายมือชื่อของผู้เริ่มจัดตั้งบริษัท 3. เอกสารที่ใช้ 3.1 คำขอจดทะเบียน (แบบ บมจ.101) 3.2 หนังสือบริคณห์สนธิ (แบบ บมจ.001) 3.3 วัตถุประสงค์ (แบบ บมจ.002) 3.4 แบบจองชื่อนิติบุคคล 3.5 หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี) ขั้นตอนที่ 2 การเสนอขายหุ้น วิธีที่ 1 เสนอขายหุ้นทั้งหมด ต่อผู้เริ่มจัดตั้ง หรือ วิธีที่ 2 เสนอขายหุ้นต่อประชาชน (1) ต้องขออนุญาตจาก สำนักงาน ก.ล.ต. ก่อน (2) ส่งเอกสารเสนอขายหุ้นที่ยื่น สำนักงาน ก.ล.ต. ให้นายทะเบียนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ส่งให้แก่หน่วยงานดังกล่าว ขั้นตอนที่ 3 การนัดผู้จองหุ้นประชุมตั้งบริษัท 1. ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องเรียกประชุมจัดตั้งบริษัท ภายใน 2 เดือน นับแต่มีการจองซื้อหุ้นครบ จำนวนที่กำหนดไว้ ในหนังสือชี้ชวน และไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจด ทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ 2. ถ้าไม่สามารถจัดประชุมผู้ถือหุ้นภายใน 2 เดือนได้ ผู้เริ่มจัดตั้งอาจทำหนังสือขอ ขยายกำหนดระยะเวลาต่อนายทะเบียนออกไป ได้อีกไม่น้อยกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน (ต้องยื่นต่อนายทะเบียนก่อนครบกำหนดไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน) 3. การนัดผู้จองซื้อหุ้นเพื่อประชุมจัดตั้งบริษัท มีวิธีดำเนินการดังนี้ 3.1 ส่งหนังสือนัดประชุมให้ผู้จองซื้อหุ้น ไม่น้อยกว่า 14 วัน ก่อนวันประชุม 3.2 ส่งหนังสือนัดประชุม ไปยังนายทะเบียนไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันประชุม 3.3 ต้องมีระเบียบวาระการประชุม ดังนี้ (1) การพิจารณาข้อบังคับ (2) ให้สัตยาบัน แก่กิจการที่ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทได้ทำไว้ และอนุมัติค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปใน การจัดตั้งบริษัท (3) กำหนดจำนวนเงินที่จะให้แก่ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัท (ถ้าระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน) (4) กำหนดลักษณะของหุ้นบุริมสิทธิ (ถ้ามี) (5) กำหนดจำนวนหุ้นสามัญ หรือหุ้นบุริมสิทธิ (6) เลือกตั้งกรรมการ /อำนาจกรรมการ (7) เลือกตั้งผู้สอบบัญชี และกำหนดจำนวนเงินค่าสอบบัญชี ขั้นตอนที่ 4 จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท 4.1 ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัท ต้องมอบงานแก่คณะกรรมการที่ได้รับเลือกตั้ง ภายใน 7 วัน นับแต่วัน ประชุมจัดตั้งบริษัท 4.2 คณะกรรมการต้องเรียกให้ผู้จองหุ้นชำระเงินค่าหุ้นเต็มจำนวน 4.3 คณะกรรมการต้องยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ภายใน 3 เดือน นับแต่วันประชุมจัดตั้งบริษัท 4.4 เอกสารที่ต้องใช้ - คำขอจดทะเบียน (แบบ บมจ. 101) - รายการจดทะเบียนบริษัท (แบบ บมจ.005) - บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท (แบบ บมจ.006) - ข้อบังคับของบริษัท - สำเนารายงานการประชุมตั้งบริษัท - หนังสือของธนาคาร แสดงว่าได้รับชำระเงินค่าหุ้น - สำเนาหนังสือแจ้งให้โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินให้บริษัท (ถ้ามี) - หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี) หน้าที่ของบริษัทมหาชนจำกัด 1. บริษัทต้องยื่นบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น วันประชุมสามัญประจำปีต่อนายทะเบียนภายใน 1 เดือน นับแต่วันเสร็จการประชุม 2. บริษัทต้องจัดส่งรายงานประจำปี สำเนางบการเงิน สำเนารายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับ อนุมัติงบการเงิน การจัดสรรกำไร และการแบ่งเงินปันผลไปยังนายทะเบียนภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติงบการเงินนั้นและต้องโฆษณาทางหนังสือพิมพ์อย่างน้อย 1 วัน 3. บริษัทต้องจัดทำป้ายชื่อไว้หน้าสำนักงานแห่งใหญ่และสำนักงานสาขา 4. บริษัทต้องแสดงชื่อ ที่ตั้งสำนักงาน และเลขทะเบียนไว้ในจดหมายประกาศใบแจ้งความ ใบส่งของและใบเสร็จรับเงิน 5. บริษัทต้องจัดทำใบหุ้นมอบแก่ผู้ถือหุ้นภายใน 2 เดือน นับแต่วันที่ได้รับจดทะเบียนเป็น บริษัทมหาชนจำกัด หรือนับแต่วันที่ได้รับเงินค่าหุ้นครบและได้จดทะเบียนเพิ่มทุนแล้ว 6. บริษัทต้องจัดทำทะเบียนผู้ถือหุ้น ทะเบียนกรรมการ รายงาน การประชุมคณะกรรรมการ และรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท เก็บไว้ ณ สำนักงานแห่งใหญ่หรือเก็บไว้ที่บุคคลอื่นที่ได้แจ้งให้นายทะเบียนทราบแล้ว 7. บริษัทต้องจัดทำและเก็บรักษา บัญชี งบดุล บัญชีกำไรขาดทุน รวมทั้งให้ผู้สอบบัญชี ตรวจสอบ และนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติ 8. บริษัทต้องจัดส่งรายงานประจำปีของคณะกรรมการ งบดุล บัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้สอบบัญชี ตรวจสอบแล้ว ให้ผู้ถือหุ้นพร้อมหนังสือนัดประชุมสามัญประจำปี 9. บริษัทต้องโฆษณาทางหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเอกสารดังต่อไปนี้ 9.1 หนังสือนัดประชุมตั้งบริษัท 9.2 หนังสือนัดประชุมผู้ถือหุ้น 9.3 การจ่ายเงินปันผล 9.4 งบดุลที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติ 9.5 การเพิ่มทุนและลดทุน ภายหลังได้รับจดทะเบียนแล้ว กิจการที่กฎหมายกำหนดระยะเวลาในการยื่นจดทะเบียน 1. ส่งเอกสารการขายหุ้นหรือหุ้นกู้ต่อประชาชนให้นายทะเบียนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2. ผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องส่งหนังสือนัดประชุม ระเบียบวาระการประชุม เอกสารที่จะให้ที่ประชุม จัดตั้งบริษัทพิจารณาให้สัตยาบันหรืออนุมัติ โดยมีผู้เริ่มจัดตั้งบริษัทสองคนรับรองว่าถูกต้องพร้อมด้วยร่าง ข้อบังคับของบริษัทไปยังนายทะเบียนไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันประชุม 3. ให้คณะกรรมการดำเนินการขอจดทะเบียนบริษัทภายใน 3 เดือน นับแต่วันประชุมจัดตั้ง บริษัทเสร็จ 4. ให้คณะกรรมการดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระ กรรมการ อำนาจกรรมการ สำนักงานแห่งใหญ่และสำนักงานสาขาของบริษัท ภายใน 14 วันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง 5. บริษัทเพิ่มทุนหรือลดทุนได้ โดยนำมติที่ประชุมไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียน ภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมลงมติ (1) จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้ว (เพิ่มทุน) ภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับชำระ เงินค่าหุ้นครบ (2) จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้ว (ลดทุน) ภายใน 14 วัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาการ คัดค้าน ของเจ้าหนี้ 6. จดทะเบียนควบบริษัท ภายใน 14 วัน นับแต่วันเสร็จสิ้นการประชุมร่วมกัน 7. ผู้ชำระบัญชีต้องจดทะเบียนเป็นผู้ชำระบัญชี จดทะเบียนเลิกบริษัทและโฆษณาการเลิก บริษัททางหนังสือพิมพ์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง 8. ผู้ชำระบัญชีต้องส่งงบการเงินที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติพร้อมด้วยรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ให้นายทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติ 9. ผู้ชำระบัญชีต้องจัดทำรายงานการชำระบัญชีพร้อมกับบัญชีรายจ่ายในการชำระบัญชี ต่อนายทะเบียนทุกระยะ 3 เดือน นับแต่วันได้รับการแต่งตั้งจนกว่าจะเสร็จสิ้นการชำระบัญชี 10. ผู้ชำระบัญชีต้องจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น อนุมัติรายงานผลการชำระบัญชี พร้อมกับส่งมอบบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี 11. กรณีบริษัทเอกชนประสงค์จะแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด คณะกรรมการที่ได้รับ แต่งตั้งใหม่ ต้องจดทะเบียนแปรสภาพบริษัทเอกชนเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ภายใน 14 วัน นับแต่วัน เสร็จสิ้นการประชุม หุ้นสามัญฯ การที่บริษัทจำกัดจะสามารถระดมเงินทุนจากประชาชนได้จะต้องดำเนินการแปรสภาพให้เป็นบริษัทมหาชนจำกัดก่อน ภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนผู้ถือหุ้น ในการยื่นคำขอจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทอาจยื่นคำขอภายหลังจากได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และเสนอขายหุ้นต่อประชาชนแล้ว หรืออาจยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมกันก็ได้ (ยื่นแบบคู่ขนาน) โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะแจ้งผลการพิจารณาภายใน 30 วันนับแต่วันที่เอกสารครบถ้วน ทั้งนี้ในการยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และมีความเป็นอิสระจากบริษัทผู้ยื่นคำขอร่วมจัดทำคำขอด้วย หมายเหตุ : • รายชื่อที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. สามารถหาได้ที่ http://www.sec.or.th • การแปรสภาพบริษัทจำกัดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดสามารถหารายละเอียดได้ที่กรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ http://www.moc.go.th • การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนสามารถหารายละเอียดได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต http://www.sec.or.th
โดย
winnermax
จันทร์ เม.ย. 30, 2012 10:07 am
0
0
Re: น้องๆ BBA จุฬาหมดหน้าที่ในการตอบคำถามแล้ว
หวังว่าน้อง ๆ คงแวะเวียนมาถาม ตอบ ในบอร์ดนะครับ ความรู้ยิ่งให้ยิ่งได้ ยกระดับตนเองและสังคมรอบข้าง สมองยิ่งใช้จะยิ่งเพิ่มค่า (Appreciation) ไม่เหมือนสินทรัพย์ถาวรที่ใช้แล้วมีแต่ค่าเสื่อมราคาครับ ขอให้ประสบความสำเร็จนะครับ
โดย
winnermax
ศุกร์ เม.ย. 27, 2012 9:46 am
0
9
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
ADVANC : บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) รายละเอียดเกี่ยวกับทุน ราคาพาร์ 1.00 บาท หุ้นสามัญ ทุนจดทะเบียน 4,997,459,800.00 บาท ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 2,973,095,330.00 บาท รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนหุ้น หุ้นสามัญ จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. 2,973,095,330 หุ้น จำนวนหุ้นชำระแล้ว 2,973,095,330 หุ้น สิทธิออกเสียง 1 : 1 จำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง หัก หุ้นซื้อคืน ณ วันที่ 24 เม.ย. 2555 2,973,095,330 หุ้น ณ วันที่ 31 มี.ค. 2555 2,973,095,330 หุ้น ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลของบริษัท ADVANC : บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ครับรบกวนช่วยอธิบายด้วยครับ สรุป บริษัทนี้มีทุนจดทะเบียน 4997.45 ล้านหุ้น ได้ออกจำหน่ายและชำระเต็มมูลค่าแล้ว 2973.09 ล้านหุ้น ดังนั้นยังมีส่วนที่ไม่ได้ออกจำหน่าว 4997.45-2973.09 ล้านหุ้น หุ้นที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายนี้ บริษัทสามารถออกจำหน่ายได้เมื่อต้องการระดมทุนจากนักลงทุน หากการจำหน่ายหุ้นสามัญสูงกว่า หรือต่ำกว่าราคาพาร์ บริษัทก็จะบันทึกส่วนต่างนี้ไว้เป็นส่วนเกินหรือส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นสามัญครับ ในส่วนของผู้ถือหุ้นในงบแสดงฐานะการเงิน หุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วเมื่อนำไปจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ก็จะสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่เหมือนกับทุนจดทะเบียนอันนั้นเป็นไปตาม พรบ.มหาชน ที่ต้องไปจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ขออภัยหากคำตอบเกาไม่ถูกที่คัน เพราะไม่ทราบท่านผู้ถามสงสัยในประเด็นใด ที่อยากให้อธิบายครับ
โดย
winnermax
อังคาร เม.ย. 24, 2012 11:28 pm
0
0
Re: ส่วนแบ่งกำไรตามวิธีส่วนได้เสีย กรณีถือหุ้นไขว้
มีข้อสงสัยถามครับ สมมติบริษัท A ถือหุ้นในบริษัท B 40% และบริษัท B ถือหุ้นในบริษัท B 40% บริษัท A มีกำไรสุทธิในธุรกิจปกติ 20 ล้านบาท (ไม่รวมส่วนแบ่งกำไรและปันผลจากบริษัท B) บริษัท B มีกำไรสุทธิในธุรกิจปกติ 10 ล้านบาท (ไม่รวมส่วนแบ่งกำไรและปันผลจากบริษัท A) บริษัท B ได้รับปันผลจากบริษัท A 4 ล้านบาท บริษัท A ได้รับปันผลจากบริษัท B 2 ล้านบาท บริษัท A กำไรจากธุรกิจ 20 ล้านบาท รับปันผลจากบริษัท B 2 ล้านบาท บริษัท B กำไรจากธุรกิจ 10 ล้านบาท รับปันผลจากบริษัท B 4 ล้านบาท คำถามครับ 1. งบกำไรขาดทุนซึ่งแสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย ของบริษัท A และ B จะแสดงกำไรก่อนภาษีเท่าไร ( ข้อนี้สมมติว่า ทั้งสองบริษัทไม่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล) จะคิดง่ายๆอย่างนี้ได้ไหมครับ กำไรของบริษัท A = 20+(0.4x10) = 24 กำไรของบริษัท B = 10+(0.4x20) = 18 หรือคิดแบบนี้ A = 20 + 0.4B B = 10 + 0.4A A = 28.57 , B = 21.43 2. ถ้า่ต้องเสียภาษีนิติบุคคล กำไรที่จะนำมาคำนวณภาษี ของแต่ละบริษัท คือเท่าไร (คิดจากกำไรปกติ+ปันผล หรือ คิดจากกำไรปกติ+ส่วนแบ่งกำไรตามวิธีส่วนได้เสีย) ในทางทฤษฎีคงต้องใช้การแก้สมการครับ เนื่องจากการถือหุ้นไขว้ อย่างไรก็ตามในไทย การจัดโคร สร้างผู้ถือหุ้นอย่างนี้ไม่เกิดประโยชน์ในด้านภาษี เพราะการถือหุ้นไขว้ เงินปันผลจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเหมือนกรณีถือหุ้นแบบ pyramid กำไรที่ใช้ในการเสียภาษีใช้จากงบการเงินเฉพาะกิจการครับ ซึงบันทึกเงินลงทุนในบริษัทร่วมแลบริษัทย่อยตามราคาทุน ดังนั้นกำไรที่เสียภาษีค่อกำไรบวกเงินปันผลครับ
โดย
winnermax
อังคาร เม.ย. 24, 2012 11:10 pm
0
1
Re: เงินลงทุนในบริษัทร่วม วิธีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนแบ่งกำไ
ตามที่ผมอ่านและพยายามทำความเข้าใจ ถ้าบริษัทร่วม ปันผลเยอะหรือน้อย มันจะทำให้มีความแตกต่างกันมาก ของงบกำไรขาดทุน ระหว่างงบรวมกับงบเดี่ยว ของบริษัทใหญ่ เช่นถ้าบริษัทร่วมกำไรปีนี้ไม่สูงมาก แต่ดันปันผลจากกำไรสะสมออกมามาก มันจะทำให้ บริษัทใหญ่ งบกำไรขาดทุนเพิ่มไม่มาก แต่ถ้าเป็นงบเดี่ยวซึ่งบันทึกเงินจากการปันผลมีกำไรสูง ถูกต้องไหมครับ ความเข้าใจไม่ถูกต้องครับ งบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทใหญ่รับรู้เงินปันผลจากบริษัทร่วมเมื่อมีการประกาศจ่าย และงบการเงินรวมก็ยังมีรายการนี้คงอยู่ เนื่องจากบริษัทใหญ่ไม่ต้องนำงบการเงินของบริษัทร่วมมาจัดทำงบการเงินรวม ความเข้าใจของคุณจะใช้ได้ในกรณีการจ่ายปันผลของบริษัทย่อยคร้บ เพราะบริษัทย่อยจะถูกนำมาจัดทำงบการเงินรวม และรายการระหว่างบริษัทใหญ่กับบริษัทย่อยจะถูกขจัดออกไป เพราะถือว่าเป็นหน่วยงานที่เสนอรายงานเดียวกันครับ
โดย
winnermax
อาทิตย์ เม.ย. 22, 2012 9:53 am
0
2
Re: เงินลงทุนในบริษัทร่วม วิธีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนแบ่งกำไ
หากเงินลงทุนระยะยาวเกิดการด้อยค่า บริษัทต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุน ซึ่งทำให้มูลค่าสุทธิของเงินลงทุนระยะยาว (ราคาทุน - ค่าเผื่อการด้อยค่า) ลดลง และต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยในงบกำไรขาดทุน ดังนั้น จึงมีผลกระทบทั้งงบดุล และงบกำไรขาดทุนครับ ผลต่อ ROA น่าจะลดลงนะครับ สมมติให้ X = ขาดทุนจากการด้อยค่านะครับ ROA = Net Income / Total Assets หากนำ X ไปลบทั้งตัวเศษ และตัวส่วน ผลต่อ ROA น่าจะลดลงกว่าเดิมครับ ปล. ขออภัยที่ต้องโพสต์เพื่อความชัดเจนอีกครั้ง
โดย
winnermax
ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 8:39 am
0
1
Re: เงินลงทุนในบริษัทร่วม วิธีส่วนได้ส่วนเสีย และส่วนแบ่งกำไ
ผมเป็นมือใหม่นะครับ ขอรบกวนถามคำถาม แต่ไม่ทราบว่าควรจะไปถามในกระทู้ไหน คิดว่าเนื้อหา น่าจะสอดคล้องกับ กระทู้นี้ที่สุด ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้านะครับ ผมอยากทราบว่า เงินที่บริษัทบันทึกว่าเป็น เงินลงทุนระยาวนั้นบันทึกไว้ในส่วนของทรัพย์สิน แล้วถ้าเกิดเหตุขัดข้อง เงินลงทุนนั้นมีค่าน้อยลง หรือแทบจะเป็นศูนย์ ที่นี้บริษัทจะหักออกอย่างไรอะครับ หรือบันทึกค่าด้อยค่าของมันยังไงอะครับ แล้ว ในส่วนที่บันทึกเงินลงทุนระยาวนี่มีผลต่อ งบกำไรขาดทุน รึปล่าวครับ หรือแค่งบดุล แล้ว ถ้าสมมุติว่าการลงทุนนั้นขัดข้อง มูลค่าของการลงทุนมีค่าเกือบจะเป็น ศูนย์เท่ากับ ว่าบริษัทมีทรัพย์สินน้อยลง แต่ถ้าบริษัทมีกำไรเท่ากับตอนที่มีการบันทึกว่ามีเงินลงทุนระยะยาว(ทรัพย์สิน) อย่างนี้จะทำให้ตัวเลข roa สูงขึ้นรึปล่าวครับ เพราะว่า ทรัพย์สินน้อยลงแต่กำไรเท่าเดิม ขออภัยถ้าคำถามเข้าใจยากนะครับ ผมไม่รู้จะเรียบเรียงยังไงจริงๆ ช่วยชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณมากครับ หากเงินลงทุนระยะยาวเกิดการด้อยค่า บริษัทต้องบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุน ซึ่งทำให้มูลค่าสุทธิของเงินลงทุนระยะยาว (ราคาทุน - ค่าเผื่อการด้อยค่า) ลดลง และมีขาดทุนเกิดขึ้นซึ่งทำให้กำไรสุทธิที่เกิดการด้อยค่านั้นลดลงด้วย ผลต่อ ROA น่าจะลดลงนะครับ สมมติให้ X = ขาดทุนจากการด้อยค่านะครับ ROA = Net Income / Total Assets หากนำ X ไปลบทั้งตัวเศษ และตัวส่วน ผลต่อ ROA น่าจะลดลงกว่าเดิมครับ
โดย
winnermax
ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 8:37 am
0
1
Re: งบกระแสเงินสด
0 UpvoteDownvote ตามปกติ เราจะเห็นบริษัทนำดอกเบี้ยจ่่ายไปหักจากกิจกรรมจัดหาเงินแทนที่จะหักจากกิจกรรมดำเนินงาน ดังนั้น เราต้องปรับตัวเลขเอง >>> บริษัทที่เน้นโชว์ EBI เจอแล้วครับ ส่วนใหญ่ ทำแบบนั้นด้วย นอกจากกรณีแบบนี้ ที่อาจารย์บอกว่า งบเงินสดแต่งง่าย รบกวนอาจารย์ยกตัวอย่างกรณีศึกษา งบเงินสด+งบกำไรขาดทุน ของ บ.ต่างๆในอดีต(ถ้าเป็นนอกตลาดจะยิ่งดี>ไม่ชี้นำหุ้น) มายกตัวอย่างได้ไหมครับ อีกคำถามครับ ถ้างบเงินสดแต่งง่าย ทำไมนักบัญชีถึงไม่แก้มาตรฐานทางบัญชีของงบเงินสดให้เข้มงวดมากกว่านี้ล่ะครับ _________________ มือใหม่หัดถาม ึ ตัวอย่างการตกแต่งงบการเงิน ขอยกตัวอย่าง กรณีปิคนิค ลองอ่านบทความนี้นะครับ เป็นการวิเคราะห์การตกแต่งงบกระแสเงินสด http://www.ecba.tsu.ac.th/web/th/admin/journal_file/journaly2book1/6-Wasan.pdf หวังว่าคงได้ประโยชน์นะครับ การตกแต่งงบกระแสเงินสดคงไม่ได้มาจากมาตรฐานการบัญชีที่ไม่เข้มงวด แต่ปัญหาน่าจะมาจากบริษัทขาดการกำกับดูแลกิจการที่ดี จริยธรรมของผู้บริหารและนักบัญชีที่ไม่ยึดมั่นตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ ความโลภเป็นแรงจูงใจ ที่ทำให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ครับ
โดย
winnermax
พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2012 11:23 pm
0
1
Re: กระทู้ถามตอบวิเคราะห์เชิงบัญชี ผสมผสานการเงิน การลงทุน
0 UpvoteDownvote ผมเริ่มจะเข้าใจละ อาจารย์ สมการพวกนี้สำัคัญมากมั้ยครับ ผมจะได้ลองคำนวณดูสักอีก 10 20 บริษัท น่าจะช่วยให้จำได้ครับ ถ้ารู้จักงบทดลอง (Trial Balance) ก็จะเข้าใจสมการได้ เดบิต = เครดิต เสมอ ไม่รู้จักครับ มันสำคัญมากมั้ยครับสำหรับนักลงทุน _________________ Simon Dhando สมการข้างต้น เป็นหัวใจของระบบบัญชีคู่ (double entry) ซึ่งเป็นนวัตกรรมในการบันทึกบัญชีที่เกิดขึ้นประมาณคริสตศตวรรษที่ 15 โดยนักบวชชาวอิตาลี โดยรายการทางธุรกิจที่เกิดขึ้น จะต้องบันทึก เดบิต เครดิต ซึ่งประโยชน์ก็คือ ข้อมูลตัวเลขสามารถสอบยันยอดในงบทดลอง ที่ยอดดุลด้านเดบิต กับด้านเครดิต ต้องเท่ากัน ซึ่งระบบบัญชีเดี่ยวไม่สามารถทำได้ หากเราเข้าใจสมการพื้นฐาน จะช่วยให้เราเห็นความเชื่อมโยงของข้อมูล ระหว่างงบแสดงฐานะการเงิน และงบกำไรขาดทุน อันเป็นบันไดไปสู่การอ่านงบการเงินได้ จึงมีผู้เปรียบว่าการบัญชีคือ ภาษาทางธุรกิจ ดังจะเห็นว่ามาตรฐานการบัญชี ซึ่งเป็นหลักที่นักบัญชีใช้เป็นเกณฑ์ในการบันทึกรายการ และเปิดเผยข้อมูล หลายฝ่ายจึงพยายามลดความแตกต่างที่เกิดชึ้นในระหว่างประเทศ โดยการผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ มาใช้มาตรฐานการรายงานการเงินระหว่างประเทศเป็นเกณฑ์ เพื่อให้ภาษาธุรกิจ(งบการเงิน)เป็นภาษาสากล ผู้ใช้งบไม่ต้องมาปวดหัวกับเกณฑ์การบันทึกบัญชีที่แตกต่างกัน หรือที่เรียกว่า accounting Babel ถึงตรงนี้คนที่เคยอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาเดิมคงร้องอ้อ ตอนนั้นมนุษย์อหังการมาก พยายามสร้างหอบาเบลให้สูงเสียดฟ้า พระเจ้าจึงพิโรธหอบาเบลทลายลง หลังจากนั้นมนุษย์จึงพูดกันหลายภาษา สับสนอลหม่านไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างถูกต้อง นอกเรื่องไปมากแล้วครับ ผมคิดว่าอย่าไปเสียเวลากระทบตัวเลขในงบเลยครับ เพราะหน้าที่อันแสนน่าเบื่อ งานไม่น่าพิสมัยนี้ปล่อยให้นักบัญชีทำ ผู้สอบบัญชีตรวจสอบดีกว่า เราฐานะผู้ใช้อ่านงบการเงินให้เป็นดีกว่าครับ หากเปรียบงบการเงินเป็นภาษา นักบัญชีก็เป็นเพียงอาลักษณ์ผู้ส่งสาร ผู้ใช้ในฐานะผู้รับสารมีหน้าที่แปลความหมายให้ออก งบการเงินเป็นตัวเลขในอดีต เป็นเหมือนโหง้วเฮ้งของบริษัท อดีตแม้ผ่านไปแล้วแต่ก็มีประโยชน์ให้เราคาดคะเนอนาคตได้ เปรียบเหมือนสารถีที่ขับรถไปข้างหน้า โดยดูกระจกมองหลัง เพื่อการมุ่งหน้าอย่างปลอดภัยครับ ราตรีสวัสดิ์ หากมีปัญหายินดีตอบทุกคำถามครับ
โดย
winnermax
พฤหัสฯ. เม.ย. 19, 2012 10:48 pm
0
2
Re: กระทู้ถามตอบวิเคราะห์เชิงบัญชี ผสมผสานการเงิน การลงทุน
21. เงินปันผลจ่าย เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2552 ที่ประชุมสามัญของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับ หุ้นสามัญจำนวน 1,214,498,745 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท รวมเป็น เงินทั้งสิ้น 728.7 ล้านบาท บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลดังกล่าวแล้วในเดือนเมษายน 2552 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2553 ที่ประชุมสามัญของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับ หุ้นสามัญจำนวน 1,214,498,745 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท รวมเป็น เงินทั้งสิ้น 850.1 ล้านบาท บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลดังกล่าวแล้วในเดือนเมษายน 2553 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับหุ้นสามัญจำนวน 1,246,035,935 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) ในอัตราหุ้นละ 0.80 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 996.8 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้รับแจ้งจาก บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ว่ามีผู้ถือหุ้นที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลเป็นจำนวนประมาณ 6.9 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทฯ จึงบันทึกเงินปันผลค้างจ่ายจำนวน 989.9 ล้านบาท บริษัทฯได้จ่ายเงินปันผลดังกล่าวแล้วในเดือนมกราคม 2554 เงินปันผลจ่าย = 850.1+989.9 = 1840.0 ล้านบาท รายได้และค่าใช้จ่ายที่รับรู้โดยตรงในส่วนของผู้ถือหุ้น จะเป็นข้อยกเว้นตามข้อกำหนดของมาตรฐานการบัญชี ตัวอย่าง เช่น ปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนประเภทเผื่อขาย ผลต่างจากการแปลงค่างบการเงินสำหรับการดำเนินงานในต่างประเทศ ครับ
โดย
winnermax
พุธ เม.ย. 18, 2012 9:01 am
0
0
Re: งบเกี่ยวกับสถาบันการเงิน
หลักการไม่ยาก แต่ตอนหาข้อมูลจะยุ่งครับ อย่าเพิ่งท้อนะครับ
โดย
winnermax
อังคาร เม.ย. 17, 2012 9:40 am
0
0
Re: กระทู้ถามตอบวิเคราะห์เชิงบัญชี ผสมผสานการเงิน การลงทุน
รบกวนถามอาจารย์อีกข้อครับ สินทรัพย์ + ค่าใช้จ่าย = หนี้สิน + ทุน + รายได้ และ อีกสมการหนึ่ง สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน + รายได้ - ค่าใช้จ่าย มันได้เท่ากันจริงๆเหรอครับ (ทุนใช้ทุนงวดก่อน ) ผมได้มากจาก รู้บัญชีมีประโยชน์ ของอาจารย์ ภาพร หน้า 58 ครับ ผมลองทำกับงบปี BGH ปี 53 ได้ดังนี้ครับ ปี 53 ปี52 รวมสินทรัพย์ 32,197,024,443 30,358,709,499 รวมหนี้สิน 15,914,119,909 15,611,587,184 รวมส่วนของผู้ถือหุ้น 16,282,904,534 14,747,122,315 รวมรายได้ 24,051,214,555 21,974,002,708 รวมค่าใช้จ่าย 20,607,026,766 19,202,575,853 สินทรัพย์ + ค่าใช้จ่าย = หนี้สิน + ทุน + รายได้ = 52804051209 และ 54712456779 มันได้ไม่เท่ากันอ่ะครับ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน + รายได้ - ค่าใช้จ่าย = 32,197,024,443 และ 34105430013 ผมใช้ส่วนทุนตอนต้นงวดคือปี 52 นะครับ ทำไมผมทำแล้วมันไม่เท่ากันครับ จากงบการเงินปี 2553 BGH ตัวเลขที่เก็บมายังขาด รายได้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 299.75 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายขาดไป 2 รายการ คือ ค่าใช้จ่ายทางการเงิน 584.35 ล้านบาท ภาษีเงินได้นิติบุคคล 779.38 ล้านบาท และสำหรับทุน นั้นมีการเปลี่ยนแปลงในปี 53 จาก รายได้และค่าใช้จ่ายที่รับรู้โดยตรงในส่วนของผู้ถือหุ้น 1,028.81 ล้านบาท เงินปันผลจ่าย 1,840.05 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยลดลง 33.17 ล้านบาท ลองกระทบยอดใหม่ได้ดังนี้ (หน่วย: ล้านบาท) สินทรัพย์ + ค่าใช้จ่าย = หนี้สิน + ทุน + รายได้ 32,197.02+20,607.03+584.35+779.39 = 15,914.12+14,747.12+24,051.21+299.75+1,028.81-1,840.05-33.17 54,167.79 = 54,167.79 ดังนั้น ทุนที่ใช้ของปี 52 ต้องนำรายการที่รับรู้โดยตรงในส่วนทุนมาด้วย และ รายการที่สำคัญอีกรายการหนึ่งคือ เงินปันผลจ่าย ครับ เมื่อจ่ายออกไป แล้วส่วนทุนจะลดลง ต้องนำมาคำนวณด้วยครับ
โดย
winnermax
อังคาร เม.ย. 17, 2012 9:27 am
0
1
Re: การบันทึกบัญชีสินทรัพย์ถาวร : วิธีการตีราคาใหม่ VS ราคาท
+1 UpvoteDownvote ขอบคุณอาจารย์มากครับ ผมเข้าใจชัดเจนเลยครับว่าบริษัทเปลี่ยนทำไม ผมสงสัยเกียวกับคำศัพท์ "หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี" ว่าคืออะไร เลยไปอ่าน "อ่านงบการเงินให้เป็น" ทำให้พอเข้าใจว่ามันคืออะไรในระดับหนึ่ง ทีนี้ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ >> "ที่บริษัทเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีสินทรัพย์ถาวร เพราะจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์" ตามที่สรุปความแตกต่างไว้ด้านล่างครับ ใช้วิธีราคาทุน สินทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น >>ไม่มีการบันทึกหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี >> บริษัทไม่ต้องจ่ายภาษีจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ ใช้วิธีตีราคาใหม่ สินทรัพย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้น >> มีการบันทึกหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี >> บริษัทต้องจ่ายภาษีจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ ผมขอตอบแทน อ ภาพร นะครับ ความแตกต่างสำหรับการใช้วิธีราคาทุน กับวิธีตีราคาใหม่ เกี่ยวกับการบันทึกหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ตามผังที่สรุปนั้นถูกต้อง แล้วครับ แต่การภาระการจ่ายภาษีเงินได้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการขายจริง แล้วเกิดกำไร ที่เป็นผลต่างระหว่างราคาขายกับราคาทุนเดิมหลังจากหักค่าเสื่อมราคาสะสมที่คิดจากราคาทุนเดิม ครับ เนื่องจาก การตีราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้น (ยกเว้นสินค้าคงเหลือ) สรรพากรถือว่าส่วนที่ตีเพิ่มหรือลดลงนั้นไม่ต้องนำมาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีครับ ดังนั้นประเด็นที่ควรทำความเข้าใจให้กระจ่างคือ ความแตกต่างระหว่าง หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี กับ ภาษีเงินได้ค้างจ่าย ครับ หนี้สินภาษีเงิินได้รอการตัดบัญชี เกิดขึ้นจากความแตกต่างระหว่างเกณฑ์ที่ใช้บันทึกบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีกับเกณฑ์ที่ใช้สำหรับการคำนวณภาษีเงินได้ของกรมสรรพากร สังเกตได้ว่า หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี จะแสดงในงบการเงินเป็นรายการไม่หมุนเวียน สำหรับภาษีเงินได้ค้างจ่าย นั้นเป็นภาษีเงินได้ที่บริษัทมีภาระจะต้องเสียให้กรมสรรพากร ซึ่งรายการนี้คำนวณขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร และแสดงไว้ในงบการเงินเป็นหนี้สินหมุนเวียนครับ ดังนั้น การรับรู้หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ไม่น่าจะเป็นแรงจูงใจในการเปลี่ยนนโยบายการบัญชี
โดย
winnermax
จันทร์ เม.ย. 16, 2012 9:40 am
0
3
Re: งบเกี่ยวกับสถาบันการเงิน
0 UpvoteDownvote หุ้นสถาบันการเงินนี้เราสามารถคำนวณมูลค่าซากหรือมูลค่าเลิกกิจการ หรือ replacement value ได้มั้ยครับ เพราะเห็นคนเขาแนะนำให้ซื้อต่ำกว่าbv มากๆกัน ยิ่งต่ำยิ่งดีครับ _________________ Simon Dhando หาได้ยากครับ เพราะงบการเงินของสถาบันการเงิน แสดงมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สิน ตามข้อสมมติเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง(going concern) มิใช่ตามเกณฑ์เลิกกิจการ (liquidation basis) แต่เข้าใจว่าที่วิเคราะห์งบการเงินนั้น เป็นการปรับตัวเลขอย่างหยาบ ๆ โดยใช้ดุลพินิจส่วนตัว เนื่องจากราคาสินทรัพย์แต่ละตัวจะถูกปรับลด เพื่อปรับรายการสินทรัพย์แต่ละตัวลงให้เป็นมูลค่าเมื่อเลิกกิจการ บางตัวอาจตัดเหลือศูนย์ เช่น สินทรัพย์ไม่มีตัวตนบางรายการ เช่น ค่าความนิยม สินทรัพย์บางตัวอาจตีราคาเพิ่มให้ เช่น ธนาคารมักมีทีี่ทำการ สำนักงาน หลายแห่ง และซื้อมานาน มูลค่าจึงอาจเพิ่มสูงกว่าที่ปรากฎในงบการเงิน หนี้สินอาจใช้ตามงบการเงิน หรืออาจปรับเพิ่มเช่น หนี้สินที่คาดว่าต้องจ่ายค่าชดเชยในการปลดพนักงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เมื่อประเมินอย่างคร่าว ๆ ก็จะได้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นตามเกณฑ์ที่ต้องการ ภายใต้ดุลพินิจของผู้วิเคราะห์ หากราคาตลาดของหุ้นต่ำกว่าที่คำนวณได้ นักลงทุนอาจมองว่าเป็นราคาที่ถูกน่าลงทุนครับ งบการเงินตามเกณฑ์เลิกกิจการที่เชื่อถือได้นั้นต้องใช้นักการเงินและนักบัญชีในการประเมินมูลค่า (due diligence) ชึ่งโดยปรกติจะเป็นงบการเงินที่ใช้ภายใน เพื่อวัตถุประสงค์ของผู้บริหาร หรือ เพื่อการซื้อ หรือ รวมกิจการครับ
โดย
winnermax
เสาร์ เม.ย. 14, 2012 4:08 pm
0
0
Re: ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ หนี้สงสัยจะสูญ และหนี้สูญ
0 UpvoteDownvote parporn wrote: prasaen wrote: ผมขอสรุปความเข้าใจนิดหนึ่งนะครับ ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่ายังไงช่วยตรวจสอบให้หน่อยนะครับ 1. ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จะสรุปจากลูกหนี้ในปลายงวด และจะชี้แจงอายุของลูกหนี้ในหมายเหตุประกอบการเงินในหมวดลูกหนี้ และบริษัทส่วนใหญ่จะตัดเป็นค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ สำหรับลูกหนี้ที่มีระยะเวลาค้างชำระเกิน 12 เดือน 2. หนี้สงสัยจะสูญ คือหนี้สงสัยจะสูญสำหรับแต่ละงวด พองวดต่อไปลูกหนี้ที่เคยตัดจากงวดที่ผ่านมา จะไม่นำมาตัดอีก แต่ส่วนใหญ่บริษัทจะตัดเป็นหนี้สงสัยจะสูญเมื่อค้างชำระเกิน 12 เดือน แต่งบรายไตรมาสหรืองวดรายปียังไงก็ไม่น่าเกิน 12 เดือน เพราะฉะนั้นในงบกำไรขาดทุนจะไม่มีหนี้สงสัยจะสูญ แต่ผมเจอหนี้สงสัยจะสูญ (โอนกลับ) ที่ระบุไว้ในงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน น่าจะบวกกลับจากการหักในงบกำไรขาดทุนใช่ไหมครับ แต่มันเป็นไปได้เหรอครับจากเหตุผลเรื่องอายุหนี้ตามข้างบน หรือผมเข้าใจอะไรผิด ขอบคุณครับ ความเข้าใจเบื้องต้นก็ถูกอยู่ แต่..... 1. เรื่องอายุหนี้กับการตัดหนี้สูญนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายและสิ่งแวดล้อมของบริษัท อาจารย์ไม่เคยทำวิจัยเลยสรุปให้คุณไม่ได้ว่า "บริษัทส่วนใหญ่" ตัดหนี้ค้างชำระเกิน 12 เดือนเป็นหนี้สงสัยจะสูญหรือไม่ เพราะบางบริษัทตั้งประมาณการหนี้สูญเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ เช่น เกิน 3 เดือน แต่ไม่เกิน 6 เดือน ตัด 80% ส่วนบางบริษัท ถ้าลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือนก็ตั้งเป็นหนี้สงสัยจะสูญทันที 2. ในงวดไตรมาส หนี้สงสัยจะสูญจะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับงบปี เพียงแต่จำนวนอาจน้อยกว่า เรื่องเกี่ยวกับว่าลูกหนี้ค้างชำระเกิน 1 ปีจะไม่ทำให้เกิดหนี้สงสัยจะสูญในงบไตรมาสนั้นไม่จริง เนื่องจากลูกหนี้ทยอยเกิดขึ้นทุกวัน แม้บริษัทจะมีนโยบายที่จะถือลูกหนี้ที่ค้างชำระเกิน 1 ปีเป็นหนี้สงสัยจะสูญทั้งจำนวน ในแต่ละไตรมาส ก็ยังจะมีหนี้สงสัยจะสูญให้ตัดเป็นค่าใช้จ่ายอยู่ดี 3. เมื่อเราพูดถึงการตัดหนี้สูญ เรามักหมายถึงการตัดบัญชีหนี้สูญ (คือการล้างลูกหนี้) ออกจากงบดุล ในขณะเดียวกับที่ล้างค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ แต่บริษัทในประเทศไทยชอบที่จะตัดลูกหนี้ที่เป็นหนี้สูญเป็นค่่าใช้จ่ายหนี้สูญในงบกำไรขาดทุนทันที ดังนั้น ถ้าลูกหนี้ที่ตัดบัญชีไปแล้วเกิดกลับใจมาจ่ายหนี้ บริษัทต้องกลับบัญชีหนี้สูญ โดยถือเป็นค่าใช้จ่ายติดลบ (เพราะเคยหักเป็นค่าใช้จ่ายไปแล้วในงวดก่อน) ในส่วนที่คุณเห็นหนี้สงสัยจะสูญในงบกระแสเงินสดนั้น เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 กรณีคือ ทั้งการตั้งหนี้สงสัยจะสูญซึ่งถือเป็นรายการบวกกลับในงบกระแสเงินสด และการกลับบัญชีหนี้สูญซึ่งถือเป็นรายการหักออก ถ้าการตั้งค่าหนี้สงสัยจะสูญถือเป็นรายการบวกกลับในงบกระแสเงินสด งั้นการกลับหนี้สงสัยจะสูญ ก็ต้องเป็นรายการบวกกลับด้วยสิครับ เพราะเหมือนหนี้ที่เราตัดหนี้เป็นหนี้สูญไปแล้ว ลูกหนี้กับเปลี่ยนใจมาจ่ายให้เรา เงินมันเข้ามา มันต้องบวกเพิ่มในงบกระแสเงินสดไม่ใช่เหรอครับอาจารย์ครับ _________________ Simon Dhando การกลับรายการหนี้สงสัยจะสูญ จะเป็นรายการต้องนำมาหักออกจากกำไรสุทธิ ในส่วนที่เป็นกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และเมื่อได้รับชำระหนี้ การลดลงของลูกหนี้จะเป็นกระแสเงินสดจากการดำเนินงานครับ ตัวอย่าง ปลายปีที่ 1 บริษัทมีลูกหนี้ 2.0 ล้านบาท มีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 0.7 ล้านบาท ดังนั้นลูกหนี้-สุทธิ จำนวน 1.3 ล้านบาท ต่อมามีการกลับรายการหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 0.2 ล้านบาท ในปีที่ 2 เนื่องจากคาดว่าจะได้รับเงินคืนจากลูกหนี้รายหนึ่งแต่ยังไม่รับชำระเงินจริงในปีที่ 2 ดังนั้นหากมีรายการเพียงเท่านี้ ลูกหนี้ก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญปลายปีที่ 2 เท่ากับ 2.0 ล้านบาท และค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจะเท่ากับ 0.5 ล้านบาท ยอดลูกหนี้-สุทธิ เท่ากับ 1.5 ล้านบาท ในงบกำไรขาดทุน จะมีรายการหนี้สงสัยจะสูญ(กลับรายการ) ซึ่งเป็นรายได้ของปีที่ 2 จำนวน 0.2 ล้านบาท ในงบกระแสเงินสด ก็จะต้องนำรายการนี้ไปหักออกจากกำไรสุทธิ เพื่อให้ได้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เนื่องจากเป็นรายการนี้เป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด สังเกตได้ว่า ในปีที่ 2 จะไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของยอดลูกหนี้ก่อนหักค่าเผื่อฯ เนื่องจากยอดเหลือเท่ากับ 2.0 ล้านเท่าปลายปีที่ 1 ครับ
โดย
winnermax
เสาร์ เม.ย. 14, 2012 3:47 pm
0
2
Re: การปรับโครงสร้างหนี้ กำไร???
0 UpvoteDownvote winnermax wrote: sun_cisa2 wrote: มีกำไรแล้วลดทุน ???? น่าสนมีด้วยหรือในตลาด ลดไปทำไม มักเจอแต่บริษัทมีขาดทุนสะสมและลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสม เพื่อเริมกันใหม่ ล้างไพ่ เพราะจะให้มีคนใหม่มาลงทุนด้วย ช่วยบอกทีว่ามีบริษัทไหนมีกำไร (สะสม) แล้วลดทุนบ้าง แต่ถ้ามีขาดทุนสะสมมาหลายปี พอมีกำไรฟื้นขึ้นมา แล้วลดทุน เป็นเพราะอยากจ่ายปันผล เพราะบริษัทจ่ายปันผลไม่ได้กฎหมายไม่ให้หากยังมีขาดทุนสะสมอยู่ ต้องเอากไรล้างให้หมดก่อนถึงจ่ายได้ วิธีล้างขาดทุนสะสมได้เร็วสุดคือลดทุน กำไรปีต่อไปก็จ่ายปันผลได้แล้ว การลดทุนโดยการตัดขาดทุนสะสมกับหุ้นทุน ส่วนผู้ถือหุ้นรวมไม่กระทบ เพราะขาดทุนสะสมก็นำมาหักลดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ข้อเสียคือ หุ้นเราหายไปแน่นอน ข้อดีคือ ถ้าปีหน้ามีกำไรจะจ่ายปันผลได้ เพราะถ้ามีขาดทุนสะสมอยู่ต้องเอากำไรไปล้างให้หมดก่อน จึงจ่ายปันผลได้ หลายบริษัทที่ลดทุนเพราะเมื่อปรับโครงสร้างหนี้ นักลงทุนใหม่จะมาเขาไม่มาแบกขาดทุนสะสมหลายๆปีหรอก เขาเข้ามาแล้วถ้ามีกำไร เขาต้องได้ผลอบแทนคืน การลดทุนแล้วได้กำไร?? ใครได้ครับ?? ผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นหายเงินหายทันที แต่ที่ได้ประโยชน์คือ คนเข้ามาลงทุนใหม่ อ่านเพิ่มเติมได้ใน topic ทุนจดทะเบียน การลดทุนน่าจะมี 2 แบบใช่ไหมครับ คือ 1. การลดจำนวนหุ้น แต่ราคาพาร์เท่าเดิม กรณีนี้ผู้ถือหุ้นเดิมมีจำนวนหุ้นลดแน่นอน แล้วมีผลกระทบอย่างอื่นอีกไหมครับ 2. การลดราคาพาร์ แต่จำนวนหุ้นเท่าเดิม กรณีนี้ไม่แน่ใจว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับผลกระทบยังไงบ้างครับ แล้วทั้งสองกรณี มีผลดี ผลเสียกับผู้ถือหุ้นเดิม และผู้ถือหุ้นที่จะเข้าใหม่ยังไงบ้างครับ แล้วส่วนใหญ่บริษัทต่างๆนิยมลดทุนแบบไหนครับ ขอบคุณครับ ถ้าข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยด้วยครับ Quote: การลดทุนมี ๒ วิธี ใช่แล้วครับ ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นเดิม ไม่แตกต่างกันครับ เพียงแต่ ราคาต่อหุ้นจะแตกต่างกัน กล่าวคืน หากใช้วิธีลดจำนวนหุ้น มูลค่าต่อหุ้นหลังจากลดทุน จะสูงกว่า การใช้วิธีลดพาร์ แต่จำนวนหุ้นจะน้อยกว่าวิธีลดพาร์ ดังนั้นมูลค่าหุ้น (จำนวนหุ้นxราคาต่อหุ้น) หลังลดทุน ทั้งสองวิธีจะให้ผลเท่ากัน การลดทุนโดยเฉพาะกรณีเพื่อล้างขาดทุนสะสมนั้น หมายความว่า ผู้ถือหุ้นเดิมแสดงความรับผิดชอบต่อผลประกอบการที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นใหม่จึงจะยินดีเข้ามาลงทุน หากไม่ยอมล้างขาดทุนสะสม การระดมทุนใหม่จะยากยิ่ง เพราะตราบใดที่ยังมีขาดทุนสะสมอยู่ การจ่ายปันผลจะกระทำไม่ได้ ผลตอบแทนอย่างเดียว ที่คาดหวังคือ capital gain เท่านั้นครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น 1. การลดทุนโดยการลดหุ้น หลังจากลดทุน ราคาหุ้นน่าจะสูงขึ้นเนื่องจาก ถ้ากำไรเท่าเดิม จำนวนหุ้นน้อยลง ทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ถ้าพีอีเท่าเดิม ราคาก็น่าจะเพิ่มขึ้น 2. การลดทุนโดยการลดพาร์ หลังจากลดทุน ราคาหุ้นน่าจะเท่าเดิม เนื่องจาก ถ้ากำไรเท่าเดิม จำนวนหุ้นเท่าเดิม ทำให้กำไรต่อหุ้นเท่าเดิม ถ้าพีอีเท่าเดิม ราคาหุ้นก็น่าจะเท่าเดิม 3. ถ้าเป็นอย่างนี้การลดทุนโดยการลดหุ้น น่าจะดีกับผู้ถือหุ้นมากว่าเพราะการลดทุนไม่ได้ทำให้จำนวนหุ้นที่เราถือมีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นการที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นหลังลดทุนย่อมดีกว่า ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ ขอตอบ ข้อ 1. เข้าใจถูกต้องแล้วครับ 2. เข้าใจถูกต้องแล้วครับ 3. ทั้งสองวิธีการ ผลคล้ายคลึงกันครับ ดังนั้นการสรุปว่าการลดทุนโดยการลดหุ้นดีกว่า ไม่น่าจะสรุปเช่นนั้น เพราะราคาต่อหุ้นที่สูงขึ้น แลกมาด้วยจำนวนหุ้นที่ลดลง ได้อย่าง เสียอย่างครับ
โดย
winnermax
เสาร์ เม.ย. 14, 2012 1:13 am
0
1
Re: ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์
0 UpvoteDownvote aai_aai wrote: miracle wrote: มีประเด็นต่อเนื่องไปอ่านเจอมาแล้วงงอยู่ เป็นเรื่องของนักบัญชีคิดกับนักการเงินคิด ว่าดอกเบี้ยที่เกิดระหว่างการซื้อที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์. คิดเป็นค่าใช้จ่ายทันทีหรือเป็นดอกเบี้ยดำเนินการ ประเด็นนี้อ่านแล้วงงอยากยิ่งยวด:) เรื่องเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมเงินมา "สร้าง" อาคารและอุปกรณ์ อาจบันทึกรวมในอาคารและอุปกรณ์ ถ้าเข้าเงื่อนไขที่กฎบัญชีกำหนด แทนที่จะบันทึกเป็นดอกเบี้ยจ่ายในงบกำไรขาดทุนทันที แต่ถ้าบริษัทกู้ยืมเงินมา "ซื้อ" ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ ดอกเบี้ยนั้นต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทันทีไม่มีข้อแม้ ดอกเบี้ยจ่ายต้องแยกแสดงเป็นรายการต่างหากในงบกำไรขาดทุน ไม่นำไปรวมกับค่าใช้จ่ายในการขายหรือบริหาร โดยแสดงก่อนภาษีเงินได้ ถ้าสนใจอยากหาความรู้ต่อ ให้อ่านเรื่อง "ต้นทุนการกู้ยืม" และ "ต้นทุนขาย" ดูได้นะคะ เพราะใน 2 เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยจ่ายและค่าเสื่อมราคา (ที่อาจมีดอกเบี้ยจ่ายรวมอยู่) ที่เกิดกับอาคารและอุปกรณ์ที่บริษัทสร้างใช้เองค่ะ แล้ว ใช้ตัวดอกเบี้ยตัวไหนที่คิดเรื่อง ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยละครับ _________________ อดีตเป็นเหตุอดีตที่ผ่านไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ ปล่อยให้ผ่านไป ปัจจุบันเป็นเหตุปัจจุบันขณะนี้เดี๋ยวนี้ เราเลือกได้ อนาคตเป็นผล และแสวงหาความสุขได้ทุกสถานการณ์ การวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ ตัวเลขที่นำมาใช้ต้องปรับปรุง ตัวเลขดอกเบี้ยจ่ายครับ โดยกรณีที่มีการรวมดอกเบี้ยดป็นราคาทุนของสินทรัพย์ ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน จะมีการเปิดเผยจำนวนต้นทุนการกู้ยืม(ดอกเบี้ยจ่าย)ที่รวมเป็นราคาทุนของสินทรัพย์ในระหว่างงวดบัญชี ให้นำตัวเลขนี้ไปรวมกับดอกเบี้ยจ่ายที่ปรากฎในงบกำไรขาดทุน เท่านี้ก็จะได้ตัวเลขภาระดอกเบี้ยของงวดบัญชีนั้น ซึ่งนำไปใช้ในการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน เช่น อัตราส่วนดอกเบี้ยจ่ายต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่นิยมใช้เป็นเครื่องชี้วัดความสามารถการจ่ายดอกเบี้ยของกิจการตรับ
โดย
winnermax
ศุกร์ เม.ย. 13, 2012 9:04 am
0
0
Re: กระทู้ถามตอบวิเคราะห์เชิงบัญชี ผสมผสานการเงิน การลงทุน
1. Bank Management & Financial Services (Finance, Insurance and Real Estate) by Peter Rose (Author), Sylvia Hudgins (Author) 2. An Introduction to Banking: Liquidity Risk and Asset-Liability Management (Securities Institute) by Moorad Choudhry 3. Financial Institutions Management: A Risk Management Approach (McGraw-Hill/Irwin Series in Finance, Insurance and Real Estate) by Anthony Saunders (Author) (Highly Recommended)
โดย
winnermax
พฤหัสฯ. เม.ย. 12, 2012 3:20 pm
0
1
Re: การเพิ่มทุนและการลดทุน
tatar_2522 wrote: เป็นหุ้น gsteel ครับ มีเนื้อหา ที่ประชมุมีมติอนุมัตการลดทุนจดทะเบียนจำนวน 12770032300 หุ้น มูลค่าที่ตรา ไว้ 1 บาท จากเดิมทุนจดทะเบียน 29798589773 เป็น 17028557473 โดยการตัดหุ้นที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายของบริษัท แล้วบริษัทก็ประกาศเพิ่มทุนต่อครับ แต่งง ตรงที่ลดทุนเนี่ยครับไม่ทราบว่า ลดพาร์หรือลดหุ้น หรือว่าเป็นเพียงลดทุนจดทะเบียนให้เท่าทุนจดทะเบียนชำระแล้วซึ่งไม่มีผลต่องบครับ กรณีของ บมจ.จี สตีล ขอมติลดทุนจดทะเบียนครับบมจ.จีสตีล (GSTEEL) คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนบริษัท จำนวน 12,770,032,300 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากเดิมทุนจดทะเบียน 29,798,589,773 บาท เป็น 17,028,557,473 บาทโดยการตัดหุ้นที่ยังมิได้ออกจำหน่ายของบริษัทและให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจากจำนวน 17,028,557,473 บาท เป็นไม่เกิน 48,004,743,297 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวนไม่เกิน 30,976,185,824 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จัดสรรให้แก่เจ้าหนี้ของบริษัทตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน จำนวนไม่เกิน 9,000 ล้านหุ้น ในราคาจองซื้อ 0.50-0.60 บาท /หุ้น, จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท จีเอส โน๊ตส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และ/หรือบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นอยู่ร้อยละ 99 จำนวนไม่เกิน 4,800 ล้านหุ้น ราคาจองซื้อหุ้นละ 0.50-0.60 บาท ดังนั้น การลดทุนนี้เป็นการลดทุนจดทะเบียนเท่านั้นครับ ไม่กระทบต่อทุนที่ชำระแล้ว หลังจากนั้นมีการเพิ่มทุนจดทะเบียน เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นสามัญเพื่อรองรับการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งจะกระทบกับทุนที่ชำระแล้ว เมื่อการแปลงหนี้เป็นทุนเสร็จสมบูรณ์ครับ
โดย
winnermax
พฤหัสฯ. เม.ย. 12, 2012 3:02 pm
0
0
Re: งบเกี่ยวกับสถาบันการเงิน
เห็นด้วยครับ ว่างบของสถาบันการเงิน วิเคราะห์ยากที่สุด เนื่องจากสถาบันการเงิน เป็นภาคเศรษฐกิจที่ทันสมัย มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากกว่า ธุรกรรมที่เกิดขึ้นมีความสลับซับซ้อนกว่า การบันทึกรายการบัญชี งบการเงินจึงอ่านยากกว่า การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะสถาบันการเงินต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risk) และความเสี่ยงจากการดำเนินงาน (Operational Risk) และความเสี่ยง Systemic Risk คือความเสี่ยงในลักษณะลูกโซ่ เมื่อสถาบันหนึ่งในระบบไม่สามารถชำระภาระผูกพันเมื่อถึงกำหนดเวลาต้องชำระ แล้วส่งผลให้สถาบันอื่นๆ ไม่สามารถชำระภาระผูกพันตามไปด้วย มีผลกระทบต่อระบบการชำระเงินในวงกว้าง ในกรณีที่เลวร้าย อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจ ดังกรณีวิกฤติสินเชื่อเคหะ วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อ 1997 แต่ความยากก็ต้องพ่ายความเพียรครับ หากเรามีความอุตสาหะในการอ่านงบการเงิน ขวนขวายค้นคว้า เพราะเชื่อว่าเราสามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปได้ งบการเงินของสถาบันการเงินปัจจุบันมีคุณภาพสูงขึ้นเพราะมีข้อกำหนด จาก ธปท. และจากมาตรฐานการบัญชี ที่กำหนดให้บันทึกรายการและเปิดเผยข้อมูล ผู้ใช้งบการเงินจึงมีข้อมูลมากมายให้วิเคราะห์ ข้อสำคัญผู้ใช้อย่าได้เกรงกับงบการเงินที่มีความหนาหลายหน้า อย่าเพิ่งเกิดอาการสำลักข้อมูล ค่อย ๆ อ่านไปนะครับ การอ่านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ ก็ช่วยได้มากเพราะนักวิเคราะห์จะสรุปย่อข้อมูล มีการเปรียบเทียบข้อมูลของแต่ละสถาบันการเงิน มีการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม มีการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน การให้ข้อมูลเชิงคุณภาพซึ่งผ่อนแรงได้มาก เป็นกำลังใจนะครับ
โดย
winnermax
พุธ เม.ย. 11, 2012 2:06 pm
0
1
Re: กระทู้ถามตอบวิเคราะห์เชิงบัญชี ผสมผสานการเงิน การลงทุน
ขอรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำหลักการวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทในกลุ่มการเงิน/ธนาคาร/ประกัน ให้ด้วยครับ เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจ และการแสดงงบการเงินที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ค่า ROE, D.E ROIC เหมือนจะใช้งานได้ไม่ดีนักในธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้นเราควรพิจารณา profitability, cash flow, financial health และ efficiency อย่างไรจึงจะเหมาะสม ขอบคุณครับ ขอรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำหลักการวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทในกลุ่มการเงิน/ธนาคาร/ประกัน ให้ด้วยครับ เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจ และการแสดงงบการเงินที่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ค่า ROE, D.E ROIC เหมือนจะใช้งานได้ไม่ดีนักในธุรกิจเหล่านี้ ดังนั้นเราควรพิจารณา profitability, cash flow, financial health และ efficiency อย่างไรจึงจะเหมาะสม ขอบคุณครับ การวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร นิยมใช้ CAMEL ดังนี้ C = Capital ดูว่าเงินกองทุนเพียงพอที่จะ Absorb Loss จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้หรือไม่ เช่นในกรณีวิกฤต Capiatal อาจดูได้จาก Capital Ratio (BIS Ratio) หากเป็น บริษัทหลักทรัพย์ ดูจาก Net Capital Ratio A = Asset Quality ดูว่าคุณภาพของสินทรัพย์ดีหรือไม่ เช่น คุณภาพของสินเชื่อ เงินลงทุน โดยอาจดูจากการจัดชั้นสินรัพย์ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เปรียบเทียบกับสินเชื่อรวม M = Management ผู้บริหาร มีความสำคัญยิ่ง อาจดูจากประวัติในอดีต ว่ามีจริยธรรมในการบริหารเพียงใด สไตร์การบริหาร วิสัยทัศน์ การให้ความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้เสีย การมีธรรมาภิบาล การบริหารความเสี่ยง ความโปร่งใส Earning = การทำกำไร มี ROE ROA เมื่อเปรียบเทียบในแต่ละงวด หรือเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน คุณภาพการทำกำไร (quality of Earning) Liquidity = สภาพคล่อง วิเคราะห์ได้จากงบการเงินว่ากิจการถือสินทรัพย์สภาพคล่องมากน้อยเพียงใด มีหมายเหตุประกอบงบการเงิน เดี๋ยวนี้จะมีการเปิดเผยเกี่ยวกับ Liquidity GAP
โดย
winnermax
พุธ เม.ย. 11, 2012 1:23 pm
0
3
Re: หนี้สินผลประโยชน์พนักงาน
คำถามผมต่อเนื่องนิดหน่อย การตัิดหนี้สินผลประโยชน์พนักงานออกจากงบในส่วนหนี้สินนั้น มีวิธีการตัดอย่างไงละครับ ตัวเมื่อพนักงานลาออก เกษียณอายุ ตายเนื่องจากสาเหตุต่างๆ ตามกฏหมายแรงงานหรือตามกฏบริษัท ใช่หรือไม่ครับ ประมาณการหนี้สินผลประโยชน์พนักงาน จะถูกตัดออกจากงบการเงิน เมื่อมีการจ่ายผลประโยชน์ให้พนักงาน แล้วครับ หรือเมื่อหนี้สินดังกล่าวระงับไปด้วยเหตุอื่น เช่น พนักงานทำผิดระเบียบร้ายแรง จึงถูกไล่ออก โดยไม่ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ฯลฯ
โดย
winnermax
อาทิตย์ เม.ย. 08, 2012 9:15 am
0
0
Re: เครื่องมือทางการเงิน
[ขอบคุณครับ ในงบการเงิน เราจะสามารถพอบอกได้ไหมครับ ว่า อนุพันธ์ที่บริษัทฯ ใช้ไปนั้น ถูกใช้ไปในทางป้องกันความเสี่ยง หรือ ใช้ในแง่เก็งกำไร หรือถามใหม่คือว่า จะมีวิธีบอกได้ไหมครบ ว่าบริษัทฯ ไม่ได้ใช้ อนุพันธ์ในแง่เก็งกำไรมากเกินไปครับ ให้ดูที่หมายเหตุประกอบงบการเงิน บริษัทให้รายละเอียดระหว่างอนุพันธ์เพื่อค้ากับอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยง และในหมายเหตุที่เกี่ยวข้องกับ นโยบายบริหารความเสี่ยง ของกิจการ อย่างไรก็ตามในงบการเงิน หากมีรายการกำไรหรือขาดทุนจากอนุพันธ์ ตัวเลขก็จะเป็นที่สะดุดตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกิจการนั้นไม่ควรมีรายได้หลักจากการค้าอนุพันธ์ครับ
โดย
winnermax
เสาร์ เม.ย. 07, 2012 5:33 pm
0
1
Re: หนี้สินผลประโยชน์พนักงาน
[quote][/miracle wrote: คำถามต่อมา ในเมื่อคิด Present Value ดังนั้น ตัว Discount rate ที่นำมาใช้ ตัวนี้หาอะไรมาเป็นตัวเทียบครับ (อาจจะถามลึกไปละครับ) เพราะผมเห็นบ้างบริษัทตั้งไว้ที่ 6.5% ต่อปี ผมเลยสงสัยว่าตัว Discount rate นี้ใครเป็นตัวกำหนดออกมาละครับ โดยสังเขปนะครับ แต่ละบริษัทจะประมาณการเองครับที่เห็นก็มีใช้อัตราความเสี่ยงของบริษัทเองโดยดูจากอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัท ครับ ซึ่งที่มาของเลขนั้นบริษัทประมาณเองจาก ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ร่วมกับความเสี่ยงของบริษัทและอัตราเงินเฟ้อครับquote] อัตราส่วนลดที่ใช้สำหรับผลประโยชน์พนักงานระยะยาว คือ อัตราดอกเบี้ยตลาดของหุ้นกู้เอกชนที่จัดอยู่ระดับดี AAA ยกเว้นในกรณีที่ตลาดตราสารหนี้เป็นตลาดที่ไม่ค่อยมีรายการซื้อขาย กรณีนี้อาจใช้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลแทนครับ
โดย
winnermax
เสาร์ เม.ย. 07, 2012 5:07 pm
0
1
Re: ผลต่างจากการแปลงค่างบการเงินและกำไรที่ยังไม่เกิดจริงจากเ
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ แล้วจะมีระบุไว้ในหมายเหตุประกอบงบหรือเปล่าครับว่าบริษัทเลือกใช้อัตราของ ธ.แห่งประเทศไทยหรือของบริษัทเอง บริษัทจะเปิดเผย ว่าใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยสำหรับงบกระแสเงินสดกับงบกำไรขาดทุน และใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่รายงานในการแปลงค่างบแสดงฐานะการเงินสำหรับ กิจการในต่างประเทศ เท่านั้นครับ จะไม่ระบุที่มาว่ามาจาก ธปท หรือ บริษัทคิดเอง เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่ควรมีความแตกต่างที่มีสาระสำคัญ และผู้สอบบัญชีมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและความเหมาะสมของอัตราแลกเปลี่ยนที่นำมาใช้อยู่แล้วครับ
โดย
winnermax
เสาร์ เม.ย. 07, 2012 11:17 am
0
1
Re: การปรับโครงสร้างหนี้ กำไร???
sun_cisa2 wrote: มีกำไรแล้วลดทุน ???? น่าสนมีด้วยหรือในตลาด ลดไปทำไม มักเจอแต่บริษัทมีขาดทุนสะสมและลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสม เพื่อเริมกันใหม่ ล้างไพ่ เพราะจะให้มีคนใหม่มาลงทุนด้วย ช่วยบอกทีว่ามีบริษัทไหนมีกำไร (สะสม) แล้วลดทุนบ้าง แต่ถ้ามีขาดทุนสะสมมาหลายปี พอมีกำไรฟื้นขึ้นมา แล้วลดทุน เป็นเพราะอยากจ่ายปันผล เพราะบริษัทจ่ายปันผลไม่ได้กฎหมายไม่ให้หากยังมีขาดทุนสะสมอยู่ ต้องเอากไรล้างให้หมดก่อนถึงจ่ายได้ วิธีล้างขาดทุนสะสมได้เร็วสุดคือลดทุน กำไรปีต่อไปก็จ่ายปันผลได้แล้ว การลดทุนโดยการตัดขาดทุนสะสมกับหุ้นทุน ส่วนผู้ถือหุ้นรวมไม่กระทบ เพราะขาดทุนสะสมก็นำมาหักลดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ข้อเสียคือ หุ้นเราหายไปแน่นอน ข้อดีคือ ถ้าปีหน้ามีกำไรจะจ่ายปันผลได้ เพราะถ้ามีขาดทุนสะสมอยู่ต้องเอากำไรไปล้างให้หมดก่อน จึงจ่ายปันผลได้ หลายบริษัทที่ลดทุนเพราะเมื่อปรับโครงสร้างหนี้ นักลงทุนใหม่จะมาเขาไม่มาแบกขาดทุนสะสมหลายๆปีหรอก เขาเข้ามาแล้วถ้ามีกำไร เขาต้องได้ผลอบแทนคืน การลดทุนแล้วได้กำไร?? ใครได้ครับ?? ผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นหายเงินหายทันที แต่ที่ได้ประโยชน์คือ คนเข้ามาลงทุนใหม่ อ่านเพิ่มเติมได้ใน topic ทุนจดทะเบียน การลดทุนน่าจะมี 2 แบบใช่ไหมครับ คือ 1. การลดจำนวนหุ้น แต่ราคาพาร์เท่าเดิม กรณีนี้ผู้ถือหุ้นเดิมมีจำนวนหุ้นลดแน่นอน แล้วมีผลกระทบอย่างอื่นอีกไหมครับ 2. การลดราคาพาร์ แต่จำนวนหุ้นเท่าเดิม กรณีนี้ไม่แน่ใจว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับผลกระทบยังไงบ้างครับ แล้วทั้งสองกรณี มีผลดี ผลเสียกับผู้ถือหุ้นเดิม และผู้ถือหุ้นที่จะเข้าใหม่ยังไงบ้างครับ แล้วส่วนใหญ่บริษัทต่างๆนิยมลดทุนแบบไหนครับ ขอบคุณครับ ถ้าข้อมูลผิดพลาดต้องขออภัยด้วยครับ[quote][/quote] การลดทุนมี ๒ วิธี ใช่แล้วครับ ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นเดิม ไม่แตกต่างกันครับ เพียงแต่ ราคาต่อหุ้นจะแตกต่างกัน กล่าวคืน หากใช้วิธีลดจำนวนหุ้น มูลค่าต่อหุ้นหลังจากลดทุน จะสูงกว่า การใช้วิธีลดพาร์ แต่จำนวนหุ้นจะน้อยกว่าวิธีลดพาร์ ดังนั้นมูลค่าหุ้น (จำนวนหุ้นxราคาต่อหุ้น) หลังลดทุน ทั้งสองวิธีจะให้ผลเท่ากัน การลดทุนโดยเฉพาะกรณีเพื่อล้างขาดทุนสะสมนั้น หมายความว่า ผู้ถือหุ้นเดิมแสดงความรับผิดชอบต่อผลประกอบการที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นใหม่จึงจะยินดีเข้ามาลงทุน หากไม่ยอมล้างขาดทุนสะสม การระดมทุนใหม่จะยากยิ่ง เพราะตราบใดที่ยังมีขาดทุนสะสมอยู่ การจ่ายปันผลจะกระทำไม่ได้ ผลตอบแทนอย่างเดียว ที่คาดหวังคือ capital gain เท่านั้นครับ
โดย
winnermax
เสาร์ เม.ย. 07, 2012 10:50 am
0
1
Re: กระทู้ถามตอบวิเคราะห์เชิงบัญชี ผสมผสานการเงิน การลงทุน
doodeemak wrote: รบกวนสอบถามอาจารย์เกี่ยวกับกรณีเงินกู้บริษัทในเครือที่มีสกุลเงินต่างประเทศครับ หากบริษัทที่เราลงทุนทำการกู้เงินจากบริษัทแม่ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ต่างประเทศตอนกลางปี เป็นสกุลเงินดอลล่า และยังไม่ถึงกำหนดชำระในปีนั้นๆ เมื่อตอนบริษัททำรายงานงบกำไรขาดทุนสิ้นงวด 1) บริษัทจะต้องทำการแปลงค่าอัตราแลกเปลี่ยนตอนสิ้นปีหรือไม่ครับ สำหรับกรณีกู้จากบริษัทในเครือ 2) ถ้าต้องปรับ หากมีกำไรหรือขาดทุนจะบันทึกไว้ตรงส่วนใดครับ 3) บริษัทจะมีภาระทางภาษีจากกำไรขาดทุนส่วนนี้รึเปล่าครับ ขอบคุณครับ ตอบคำถาม 3) บริษัทมีต้องนำกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมาคำนวณกำไรทางภาษีครับ โดยอัตราแลกเปลี่ยนให้ใช้อัตราถัวเฉลี่ยที่ธปท ประกาศ ดังที่ อ.ภาพร ได้ตอบไว้ครับ
โดย
winnermax
ศุกร์ เม.ย. 06, 2012 12:21 pm
0
0
Re: สอบถามเกี่ยวกับความแตกต่าง 56-1 และรายงานประจำปีหน่อยครั
วัตถุประสงค์ในการจัดทำรายงานทั้งสองต่างกัน กล่าวคือ แบบ 56-1 หรือ แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี เป็นรายงานการเปิดเผยข้อมูลที่บริษัทจดทะเบียน (“บริษัท”) จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปีและส่งให้ ก.ล.ต. ภายใน 3 เดือน นับแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี ซึ่ง ก.ล.ต. จะนำแบบ 56-1 เผยแพร่ข้อมูลต่อผู้ลงทุนบนเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. ต่อไป โดยวัตถุประสงค์ของการจัดทำแบบ 56-1 เพื่อให้ผู้ลงทุนที่สนใจได้ศึกษาข้อมูลในรายละเอียดและเข้าใจภาพรวมของบริษัท เนื้อหาสาระของแบบ 56-1 จึงมีข้อมูลที่สำคัญของบริษัทในด้านต่าง ๆ เช่น ลักษณะธุรกิจ ลักษณะรายได้ โครงสร้างการถือหุ้นและการบริหารงาน และข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน เป็นต้น เหมือนเป็นข้อมูลที่ update จากหนังสือชี้ชวนให้ผู้ลงทุน ในขณะที่รายงานประจำปี หรือ แบบ 56-2 เป็นรายงานที่บริษัทจัดทำขึ้นและส่งให้ผู้ถือหุ้น พร้อมกับหนังสือนัดประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีของบริษัท ภายใน 120 วัน นับแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี โดยวัตถุประสงค์ของการจัดทำรายงานประจำปี เพื่อให้คณะกรรมการบริษัทและฝ่ายจัดการรายงานให้ผู้ถือหุ้นรับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่สำคัญ รวมทั้งผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัท ในรอบปีที่ผ่านมา จากวัตถุประสงค์ที่ต่างกันของแบบทั้งสองข้างต้น ข้อมูลที่อยู่ในแต่ละแบบจึงต่างกัน โดยข้อมูลในรายงานประจำปี (แบบ 56-2) จะเป็นข้อมูลที่กระชับและเน้นการเปิดเผยข้อมูลที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับบริษัท เกณฑ์จึงเปิดทางเลือกให้บริษัทสามารถจัดทำรายงานประจำปี โดยใช้ข้อมูลเหมือนที่เปิดเผยในแบบ 56-1 ก็ได้ สิ่งที่แบบ 56-1 แตกต่างจากรายงานประจำปี คือ ต้องเปิดเผยข้อมูลขั้นต่ำต้องเพิ่มเติมเรื่องต่อไปนี้ - การประกอบธุรกิจของแต่ละสายผลิตภัณฑ์ - ทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ - ข้อพิพาททางกฎหมาย - การควบคุมภายใน
โดย
winnermax
พุธ เม.ย. 04, 2012 1:39 pm
0
9
Re: "ทุนจดทะเบียน…เรื่องง่ายๆที่หลายคนยังไม่เข้าใจ"
ทุนจดทะเบียน หมายถึงจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนคูณด้วยราคาพาร์ของหุ้นใช่ไหมครับ บรรทัดนี้มันเขียนเส้นใต้ทีึบหรือเส้นใต้สองเส้นแสดงว่ามันจบครบถ้วนขบวนความ แต่ประเด็นที่ผมสนใจคือ 1. ถ้าขายหุ้นมากกว่าราคาพาร์หรือน้อยกว่าราคาพาร์ มันจะไปบันทึกบัญชีที่ส่วนเกินมูลค่าหรือส่วนด้อยมูลค่าใช่ไหมครับ ซึ่งส่วนนนี้หากบริษัทขาดทุนสามารถใช้ส่วนนี้ล้างขาดทุนสะสมได้ใช่ไหมครับ 2. ถ้าหากทุนจดทะเบียนจดไว้ 200 หุ้น แต่ขายจริง 100 หุ้น เหลือหุ้นที่ยังไม่ขาย มันจะไประบุที่ไหนละครับ ว่าขายไม่หมด 3. การจดทะเบียนเพิ่มทุนหรือลดทุนนั้น จดได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์่ใช่ไหมครับ โดยที่ต้องมีมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นประกอบการจดทะเบียนดังกล่าว หากมีข้อโต้แย้งจากเจ้าหนี้ของบริษัทก็ไม่สามารถจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ครับ :) ตอบ ข้อ 1. หากออกจำหน่ายหุ้นมากกว่าหรือน้อยกว่าราคาพาร์ ผลต่างระหว่างราคาพาร์กับราคาที่จำหน่ายได้ จะบันทึกเป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้น หรือ ส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น แล้วแต่กรณี หากบริษัทมีส่วนเกินกว่ามูลค่าหุ้น สามารถนำขาดทุนสะสมมาล้างได้ครับ แต่ทั้งนี้ต้องได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน ข้อ 2 ต้องอ่านที่หน้างบแสดงฐานะการเงิน ในส่วนของผู้ถือหุ้น จะอธิบายว่าบริษัทมีหุ้นจดทะเบียนจำนวนกี่หุ้น ออกจำหน่ายแล้วกี่หุ้น ส่วนที่ยังไม่ได้จำหน่ายก็คือจำนวนผลต่างระหว่างจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว ข้อ 3 การเพิ่มทุนหรือลดทุน ต้องได้ขอมติพิเศษจากผู้ถือหุ้นก่อนและให้นำมติไปจดที่กระทรวงพาณิชย์ กรณีลดทุนนั้น หากเจ้าหนี้ยื่นคำคัดค้าน บริษัทไม่สามารถจดทะเบียนได้ การเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้ยื่นคำคัดค้านเนื่องจากการลดทุนทำให้ฐานะและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทด้อยลง กฎหมายจึงต้องปกป้องเจ้าหนี้โดยเปิดโอกาสให้ยื่นคำคัดค้านครับ
โดย
winnermax
พฤหัสฯ. มี.ค. 29, 2012 4:12 pm
0
3
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
winnermax
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
จันทร์ มี.ค. 26, 2012 10:58 pm
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ ก.ค. 09, 2012 8:47 am
โพสต์ทั้งหมด:
38 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว