หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
13055
Joined: อังคาร ก.ย. 13, 2011 3:17 pm
297
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - 13055
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: """งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2"""">>>จอง 16 ส
13055 / สมาชิกสมาคม / luz666/ สมาชิกสมาคม / 2 ที่นั่ง / 2,700.00 บาท / BBL / 16-08-2560 / 10.01 ลืมใส่เศษสตางค์มาครับ ขอโทษที
โดย
13055
พุธ ส.ค. 16, 2017 10:28 am
0
0
Re: """งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2"""">>>จอง 16 ส
13055 / สมาชิกสมาคม / luz666/ สมาชิกสมาคม / 2 ที่นั่ง / 2,700.14 บาท / BBL / 16-08-2560 / 10.01
โดย
13055
พุธ ส.ค. 16, 2017 10:12 am
0
0
Re: จอง “10ปี Thai Vi 60ปี ปูชนียาจารย์ วงการตลาดทุนไทย” 400
13055/สมาชิกสมาคม/เบน ณ นคร/บุคคลทั่วไป/2 ที่นั่ง/3,300.08 บาท/scb/23-07-2556/13:00
โดย
13055
อังคาร ก.ค. 23, 2013 1:01 pm
0
0
Re: เป็น FULLTIMETRADER มันผิดตรงไหนชีวิตฉันใครกํากับ
ผมว่าใจเย็นๆกันดีกว่านะครับ แต่ละคนมีมุมมองชีวิตและทัศนคติไม่เหมือนกัน การมองต่างกันไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ไม่มีใครถูกใครผิดทั้งคู่ อย่าไปบังคับให้คนอื่นคิดเหมือนตัวเองเลยครับ บางคนอาจจะแค่อยากมีเงินเหลือๆ บางคนอาจจะรู้สึกว่าเกิดมาทั้งทีต้องทำให้อะไรให้มีคุณค่า บางคนอาจจะแค่อยากหาความสุขไปเรื่อยๆ บางคนอาจจะมองการลงทุนเป็นงานอดิเรก บางคนอาจจะมองการลงทุนเป็นงานหลัก บางคนมองการลงทุนคือ passive income ในอนาคต เพราะคนเรามันต่างกันครับ จะดีกว่าไหมถ้ายอมรับในความคิดต่าง ด้วยความเคารพครับ
โดย
13055
พุธ ก.พ. 20, 2013 12:42 am
0
11
Re: ลงทุนในหุ้นสภาพคล่องน้อย แตกต่างจากหุ้นทั่วไปหรือไม่
ถ้าพอร์ทไม่ใหญ่ก็ไม่ต่างกันมากครับ แต่ในแง่การวางแผน money management อาจจะต่างกันนิดหน่อยครับ 1. ในวันที่ speculate มากๆเดี๋ยวมันจะขึ้นไปเองครับ การที่จะมีคนมา speculate ต้องขึ้นกับ story ผลประกอบการ และปัจจัยอื่นๆอีกเยอะครับ ตัว liquidity ต่ำๆอย่าง q-con, scblif, ssc, oishi ราคาขึ้นกันเป็นเด้งครับ 2. เหมือนจะมีแต่จำข้อมูลไม่ได้ครับ รู้สึกจะจำกัดจำนวน ผถห ซึ่งถ้าไม่ถึงจะถูกปรับวันละเท่าไหร่ไม่แน่ใจครับ 3.ลดพาร์น่าจะแค่ย้ายจากส่วนทุนไปลบหนี้นะครับ ไม่น่าจะเกี่ยวกับ liquidity ถ้าจะเพิ่ม liquidity อาจจะเลือกการแตกพาร์ ปันผลเป็นหุ้น เพิ่มทุน ออก wหรือ esop ไม่งั้นต้องลุ้นให้ ผถห รายใหญ่คายหุ้นออกมาครับ 4. ให้พอสมควรครับ แต่ถ้าพอร์ท 1m อาจจะไม่เป็นปัญหามากครับ แต่ถ้าการซื้อขายมันต่ำจริงบางทีเราเข้าทีนึงก็ต้องดันราคาไป 2-3% จะออกก็ต้องทุบลง 2-3% บางทีอาจจะเสียเปรียบคนอื่น 5% ได้เลยนะครับ บางทีต้องคำนวนรวมเข้าไปด้วย 5. แง่ดี เค้าต้องพยายามสร้าง wealth ให้ตัวเค้าเองมากๆครับ แง่ร้าย เค้ากำหนดนโยบายต่างๆในบริษัทได้แทบทั้งหมด เรื่องปั่นหุ้นผมว่าคนที่จะปั่นน่าจะเป็นเจ้ามือมากกว่า ผบห นะครับ
โดย
13055
อังคาร ก.ย. 11, 2012 12:33 pm
0
0
Re: Growth stock ดีจริงหรือ?
ผมชอบคำถามของคุณ blueplanet จังครับ เปิดโอกาสให้ถกกันได้สำหรับคนที่มองต่างกัน ผมขอลงออกความเห็นของผมนะครับ 1. ถามว่าทำไมถึงไม่ซื้อหุ้นที่ PE10 growth 10% ปันผล 7% ??? ผมว่ามันไม่น่าสนใจจริงๆแหละครับ กำไรก็เท่านี้ไม่ได้เพิ่ม ปันผลก็เท่านี้ เหตุผลที่ไม่น่าสนใจเพราะ capital gain มันต่ำมาก บนสมมติฐานว่า PE เท่าเดิม ยิ่งถ้าเทียบกับหุ้นที่ PEG 1 เหมือนกันอย่างหุ้นที่ PE 20 growth 20% capital gain ต่างกันชัดเจน แทบไม่ต้องพูดถึงหุ้นที่ PE 30 หรือ 40 ที่จะโตได้ตาม growth เลย 2. หุ้นที่ PE 30 growth 30% จะได้ 1 เด้งใน 3 ปี คิดเป็นเส้นตรงแล้วอันตรายมาก เห็นด้วยว่าอันตรายมาก เพราะหายากที่บริษัทไหนจะโตได้ 30% ต่อปีติดต่อกันนานๆ แต่มันก็คือ money game ที่ high risk high return เพราะถ้าทำได้จริง ต่อให้ถูกลด premium ไปบ้างก็ยังได้ capital gain เยอะกว่าหุ้น pe10 growth 10 หรือถ้าทำไม่ได้ แต่ไม่ถูกลด premium หรือถูกลด premium ไม่เยอะ ก็อาจจะยังได้ capital เยอะกว่าอยู่ดี แต่ถ้าทำไม่ได้แล้วถูกลด premuim อย่างหนัก ก็เป็นดาบสองคมที่ทำให้ต้นทุนหายได้ 3. แน่ใจหรือว่าหุ้น PE สูงจะกำไรดีตลอดไป ผมว่าอันนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองและความเข้าใจธุรกิจครับ ผมว่าส่วนมากหุ้นที่ PE สูงน่าจะทนต่อ economic crisis ในระดับนึงนะครับ(แต่ก็คงมีบางตัวที่มี major correctionจากตลาดอยู่) เช่น CPALL หรือ HMPRO ถ้าเกิดตลาด crash ขึ้นมาถามว่าคนจะซื้อน้อยลงไหม ก็อาจจะน้อยลงแต่ผมว่าไม่มาก มันก็คงจะเป็นเหตุผลสะท้อนกลับไปที่กลุ่ม real estate หรือ leasing ว่าทำไม PE ไม่สูง แม้ว่าจะกำไรสูงต่อเนื่องก็ตาม เพราะเค้าคงกลัว economic crisis กันส่วนนึง ผมว่าบางทีเรา underestimtaed Mr. Market ไปนะครับ เราอาจจะคิดว่าตลาดให้ PE ขนาดนั้นไปได้อย่างไร แต่บางทีนายตลาดก็ฉลาดกว่าที่เราคิด เค้าอาจจะเห็นอะไรมากกว่าเราก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ได้เชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ไม่งั้นผมคงไม่มาลงทุนแบบ VI ถ้าถามผมมองว่าตลาดเกิดจากการตัดสินของมวลชน ถ้ามวลชนมองว่ามันไม่ดี ผ่านไปกี่ปีก็ไม่ได้ cap gain หรอกครับ แต่ถ้ามวลชนมองว่ามันดี เดี๋ยว PE และสิ่งดีๆตามมาเองครับ p.s. ผมคิดเองเออเองหมดเลยนะ อาจจะมั่วก็ได้
โดย
13055
เสาร์ ก.ย. 01, 2012 7:04 pm
0
8
Re: ***เปิดจองงานสัมมนา กลยุทธ์เลือกหุ้นแบบวีไอ 9/9/2555***
จองสัมมนาครับ
โดย
13055
พฤหัสฯ. ส.ค. 30, 2012 9:10 am
0
0
Re: สำรองที่นั่ง"ย้อนรอยตำนาน VI"ไตรมาส 2/2555 จำนวน250ที่นั
2 ที่ครับ 13055(สมาชิกชมรม) และคุณกมลวรรณ(บุคคลทั่วไป) 2,280.01 เวลา 12:43 6/8/55 ครับ มันต้องดูเวลาที่ slip นี่นา ดันไปดูบนนาฬิกาตัวเอง ขออภัยอย่างสูงครับ :wall: :wall: :wall: รบกวนขอแก้ข้อมูลเป็นเวลา 12:50น 2,280.01 บาท จาก SCB ครับ รหัสไรไม่รู้ LOCAT 7706 กับ SEQ 4888 ครับ เผื่อสะดวกขึ้นต่อการเช็คข้อมูลครับ
โดย
13055
จันทร์ ส.ค. 06, 2012 1:18 pm
0
0
Re: สำรองที่นั่ง"ย้อนรอยตำนาน VI"ไตรมาส 2/2555 จำนวน250ที่นั
2 ที่ครับ 13055(สมาชิกชมรม) และคุณกมลวรรณ(บุคคลทั่วไป) 2,280.01 เวลา 12:43 6/8/55 ครับ
โดย
13055
จันทร์ ส.ค. 06, 2012 12:42 pm
0
0
Re: Vi กับ นิสัยขี้อวด
ผมชอบนะกับการโพสแง่คิดอีกมุมหนึ่งที่ทำให้เกิดการถกกัน(แต่ต้องไม่ตีกันนะ) มันจะทำให้เกิดการเปิดรับความคิดใหม่ๆเข้ามานะครับผมว่า ผมเห็นด้วยกับคุณ blueplanet ครับ ผมมองว่ามนุษย์โดยพื้นฐานเป็นสัตว์สังคมและต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคม การทำให้ตัวเองเหนือกว่าผู้อื่นก็เป็นวิธีหนึ่งในการทำให้สังคมยอมรับครับ และ VI ก็เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมด้วย ก็มีส่วนนึงต้องการให้เป็นที่ยอมรับในสังคมๆนึงเหมือนกันครับ เช่นในสังคมนักลงทุนก็ให้รู้ว่าตัวเองทำผลตอบแทน CAGR ได้ 50% หรือมีพอร์ทร้อยล้านใน X ปีจาก XX บาท(บางคนก็ต้องการให้สังคมรู้ในวงกว้างขึ้นโดยออกข่าวบ่อยๆ) อีกสังคมหนึ่งหรือสังคมคนทั่วไปอาจจะต้องการขับ Ferrari พักที่คอนโดหรูเพื่อบ่งบอกถึง life style ตัวเอง มันก็คล้ายๆกับการ check in ที่สตาร์บั๊กหรือ terminal 21 แหละครับ บางครั้งมี via iphone อีก ถามว่าทำไมต้อง check in ทำไมต้อง via iphone ใครจะอยากรู้ใครจะไปสนใจ แล้วทำไมร้านกาแฟข้างบ้านหรือ Big C ไม่ check in via i-mobile บ้าง ขี้อวดหรือเปล่า ??? ก็อาจใช่ แต่ในทางเศรษฐศาสตร์อะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้ครับ มันคือการบ่งบอกตัวตนหรือ life style ว่าชั้นน่ะไปเดิน shopping terminal 21นะ ชั้นกินแต่กาแฟแพงๆจ่ะ หลายคนอาจไม่ได้รวยแต่ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มา เพื่อการยอมรับในสังคมครับ ผมไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์มาโดยตรงคงไม่รู้หรอกครับว่ามันเรียกว่าอะไรบ้าง แต่เข้าใจว่ามันคือการต้องการให้สังคมยอมรับและรับรู้ว้าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาจจะเป็นการมีหน้าที่การงานเป็นใหญ่เป็นโต การมีแฟนเป็นพริตตี้ แต่ในที่นี้คือการใช้ชีวิตให้เหนือกว่าผู้อื่นครับ ผมไม่รู้หรอกนะครับว่า VI ส่วนใหญ่เป็นหรือเปล่า แต่คนรวยส่วนใหญ่น่าจะเป็นครับ คงเหมารวมทั้งหมดไม่ได้แน่นอนครับว่าเป็นทุกคน เพราะมี social ก็มี anti-social แต่จะมีสักกี่คนครับที่รวยระดับล้านล้าน แต่อยู่บ้านหลังละล้าน ใช้รถคันละไม่กี่แสน ผมว่าน้อยมากๆๆๆๆๆๆๆนะ เป็นผมถ้ารวยขนาดนั้นต้องคฤหาสน์กับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวแล้วครับ ถ้าบอกว่า"ทุกคน"ขี้อวดหรือคนรวยขี้อวดคงผิดแน่นอน แต่ถ้าเอาพฤติกรรมประชากรหรือหลักจิตวิทยาที่เอาพฤติกรรมคนส่วนมากมาสรุปแทนทุกคนว่า คนรวยขี้อวดหรือคนเราถ้ารวยจะขี้อวด อาจจะถูกก็ได้นะครับ(ผมไม่มีตัวเลขสถิติและ research กลัวมั่วเอาเอง แต่ก็ไม่ค่อยเห็นคนรวยขับ Yaris และมีคันเดียวหรืออยู่บ้านโทรมๆนะ) เหมือนกับที่บอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมหรือคนไทยรักอิสระ ซึ่งคนไทยหลายๆคนก็ไม่ได้รักอิสระ และมนุษย์บางคนก็เป็นคนเก็บตัว ก็เป็นการใช้สถิติมาจับแล้วเหมารวมทั้งหมด ผมว่าคนไทยชอบคำระรื่นหูครับ ถ้าโพสโดยเลี่ยงใช้คำว่า "คนรวยส่วนมากต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคมโดยการอยู่ในคอนโดหรูๆและขับรถที่มีราคาแพง" แทน อาจจะระรื่นหูกว่านี้ถ้าเทียบกับ "คนรวยส่วนมากขี้อวด ชอบซื้อรถแพงๆและคอนโดหรูๆ" ซึ่งจะบอกว่ามันเป็นความสละสลวยของภาษา การเลือกใช้คำหรืออะไรก็ตาม ผมก็ไม่เห็นใจความที่ต้องการสื่อต่างกันเท่าไหร่ครับ แต่ผมก็เชื่อว่าถ้าคุณ blueplanet เลือกใช้คำสละสลวยภาพของกระทู้นี้จะออกมาอีกแบบนึงโดยคงใจความไว้ได้ทั้งหมดครับ สำหรับผมคำว่า "ขี้อวด" "ต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคม" หรือ "อยากเด่นอย่างดัง" ไม่ได้มีความหมายต่างกันแต่ระรื่นหูและให้ความรู้สึกต่างกันครับ p.s. ผมไม่ได้มีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์และจิตวิทยาเลย โพสด้วยความเห็นและอคติล้วนๆ ถ้าข้อมูลผิดพลาดหรือทำให้ใครไม่พอใจต้องอภัยด้วยครับ
โดย
13055
จันทร์ ก.ค. 09, 2012 2:09 pm
0
3
Re: ด่วน การรับสมัครสมาชิกของสมาคมอย่างเป็นทางการ
สมาชิกเก่าก็ต้องสมัครใหม่นะครับ ผู้ที่ไม่สะดวกไปสมัครวันอาทิตย์ที่ 1 นี้ ทางสมาคมจะเปิดรับสมัครทางไปรษณีย์ โดยจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมภายหลังครับ ขอออกความเห็นนิดนึงสำหรับคนที่ไม่สะดวกไปสมัครวันอาทิตย์นี้นะครับ ผมว่าการสมัครทางไปรษณีย์มันอาจจะมีความล่าช้าไปมาก ถ้าต้องการเอกสารทั้งหมดคือ แบบฟอร์ม สำเนาบัตรประชาชนและบัตรนักศึกษา ใช้การ capture รูปและแบบฟอร์มก็กรอกทาง e-mail ส่งไปน่าจะสะดวกกว่าไหมครับ(แบบ pantip) อาจจะเพิ่มเงื่อนไขว่าต้องเป็นรูปสี ตัวอักษรในรูปต้องชัดเจนอะไรก็ว่าไป รบกวน Mod TVI ลองพิจารณาดูนะครับ
โดย
13055
พุธ มิ.ย. 27, 2012 12:47 pm
0
7
Re: VI meeting ครั้งที่3 ชลบุรีและจังหวัดใกล้เคียง
ขอโทษนะครับคือมือใหม่และยังไม่ค่อยรู้จักใครเลย อยากรบกวนให้ผู้จัดงานทิ้งเบอร์ติดต่อไว้เผื่อกรณีมีปัญหาไว้ได้ไหมครับ ขอบคุณมากครับ p.s. เพิ่งแอด FB กลุ่มไป รับน้องใหม่ด้วยนะครับ :D
โดย
13055
พุธ มิ.ย. 13, 2012 11:49 pm
0
1
Re: จะทำงบการเงินส่วนบุคคล แต่สงสัยเรื่องค่าเสื่อมราคา
ความเห็นส่วนตัวล้วนๆเลยนะครับ ผมว่า NB ตัดค่าเสื่อมสัก 3-5 ปีก็พอ ไม่น่าเกินนี้ ส่วนซากของ NB ผมตีว่าราวๆ 10-20% ครับ ส่วนรถปิกอัพผมว่าน่าจะตัดสัก 5-10 ปี จริงๆน่าจะ 8 ปี+ ด้วยซ้ำ ส่วนซากรถนี่ผมเคยจำได้ว่ารถปิกอัพจะขายได้ราคาดีกว่ารถยนต์ เพราะเค้าดูการใช้งานเป็นหลัก อาจจะต้องขึ้นอยู่กับสภาพความสมบุกสมบัน ผมเดาๆว่าซากน่าจะ 30-50% นะครับ ทั้งหมดเดาหมดเลยเน้อ ^^
โดย
13055
พุธ มิ.ย. 13, 2012 11:52 am
0
0
Re: VI meeting ครั้งที่3 ชลบุรีและจังหวัดใกล้เคียง
น้องใหม่ไม่รู้จักใครเลย แต่ขอ 2 ที่นะครับ ^^
โดย
13055
อาทิตย์ มิ.ย. 03, 2012 8:49 pm
0
0
Re: ท่านคิดว่า บ.ใด มีสัดส่วน %(เงินสดต่อหุ้น/ราคาซื้อขาย)สู
ผมโหวตให้ KYE ครับ เงินสด 120 บาทต่อหุ้น แทบไม่มีหนี้สักบาท ราคาหุ้นตอนนี้ราวๆ 22X แค่เงินสดก็ 50%+ แล้ว ไหนจะถือ 10% MCP อีก แค่ 2 อย่างนี้ก็เท่าราคาหุ้นแล้วครับ(เกินซะด้วยซ้ำ) แต่จะ unlock value ยังงัยเนี่ยสิ :D
โดย
13055
อังคาร พ.ค. 29, 2012 2:08 pm
0
13
Re: การลงทุนแบบดันโด
จะรอฟังความรู้ทางวิชาการจากอาจารย์ sun_cisa2 นะครับ ผมชอบนะครับการที่มีคนเห็นต่างจากเราแล้วเอาข้อมูลหรือความเห็นมาแชร์กัน มาถกกัน ผมจะได้เปิดหัวสมองมากขึ้นด้วยครับ :D :D ขอถกต่อนิดนึงนะครับ เรื่องความไม่แน่นอน = ความเสี่ยง ในทางทฤษษฏีผมก็ไม่รู้ว่าเค้านิยามกันอย่างไรนะครับ แต่ถ้าคิดจริงๆก็อาจจะอนุมานได้ว่าความไม่แน่นอนก็เป็น subset นึงของความเสี่ยง แต่ผมว่าดันโดเค้าอาจจะหมายความว่า ความเสี่ยง = downside risk ความไม่แน่นอน = upside gain ดังนั้นที่ดันโดบอกว่าความเสี่ยงต่ำ ความไม่แน่นอนสูง ผมว่าอาจจะพูดอีกอย่างว่า downside risk ต่ำแต่ upside gain ไม่แน่นอนอาจจะถูกกว่าครับ(แต่ผมก็เข้าใจเป็นอย่างนี้นะ) อย่างเช่นในเรื่องโมเต็ลของดันโด ที่โอกาสได้กำไรออกมาได้หลายหน้ามาก และโอกาสทำกำไรต่างๆกัน อันนี้ผมเข้าใจว่าดันโดเรียกว่าความไม่แน่นอนครับ แต่โอกาสเจ๊งหรือโดนธนาคารยึดก็มีไม่มาก ถึงมีก็ไม่เสียหายมาก อันนี้ผมว่าคือความเสี่ยงของเค้านะครับ แต่ผมและดันโดไม่ได้จบการบัญชี การใช้คำบางคำหรือความเข้าใจบางอย่างอาจจะคลาดเคลื่อนก็เป็นได้ครับ เห็นต่างอย่างไรน้อมรับฟังทุกความเห็นครับ :D :D
โดย
13055
พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2012 1:01 pm
0
1
Re: การลงทุนแบบดันโด
เพิ่งอ่านจบมาเช่นกัน ขอลองถกดูตามความเห็นนะครับ(ออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่มีความรู้ด้านการเงิน) 1.ผมว่ามันมีทั้ง high risk high return และ low risk high return นะครับ ผมมองว่าการมี DCA หรือไม่มีกับ low risk high return มันต่างกันอยู่นะครับ ถึง first comer ที่เข้ามาก่อนจะมีส่วนแบ่งลดลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่า return จะต่ำ และ fast follower หรือ late comer ถึงจะต้องแย่งกินเค้กก็ไม่ได้แปลว่าจะ low return เหมือนกันนะครับ แต่อาจจะไม่มากเหมือนเมื่อก่อนที่ทำไม่กี่ราย อย่างธุรกิจกวดวิชา ในกทม บางทีคนสอนมีแค่ตัวเปล่าไปสอน(นั่งสอนในร้านอาหารหรือใต้หอ) ไม่มีคนเรียนก็ไม่เจ็บตัว เพราะแทบไม่ลงทุนอะไรเลย หรืออาจจะลงแรงเป็นเก้าอี้ โต๊ะหรืออะไรก็ตามนิดๆหน่อยๆ(ถ้าไม่ได้เปิดใหญ่แบบ อ.อุ๊) เจ๊งขึ้นมาก็เจ็บตัวไม่มาก ผู้เล่นหน้าใหม่ๆก็มาเรื่อยๆ DCA อาจจะมีบ้าง แต่ barrier of entry แทบจะไม่มี ก็ยังมีหลายๆคนรวยจากการสอนพิเศษ แต่คนที่เจ๊งจากการสอนพิเศษผมว่าหายากนะ อันนี้ผมก็คิดว่าคือ low risk high return(return จะสูงหรือเปล่าอาจจะขึ้นกับตัวผู้สอนด้วยอ่านะครับ) ซึ่งผมว่ามันมีทั้งสองอย่าง แต่เราต้องมองหา low risk high return ครับ เพราะอย่างที่คุณ sun_cisa2 บอกว่าถ้า time frame มันยาวขึ้นอะไรๆมันก็เปลี่ยนไปได้ บางทีมันอาจะเปลี่ยนเป็น high risk low retrun เลยก็ได้ ผมว่า risk VS retrun ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ ไม่คิดว่าแปรผันตามกันครับ 2. เห็นด้วยว่าต้องคิดว่ามีโอกาส turn around กลับมาครับ แต่ไม่เห็นด้วยตรงที่คิดว่าเข้าไปซื้อกิจการเหมือน bet ว่าฟื้นไม่ฟื้น 50:50 เพราะโอกาสเกิดไม่เท่ากันและความเสียหายก็ไม่เท่ากันด้วยครับ บางทีโอกาสไม่ฟื้นมัน 80% แต่ความเสียหายอาจจะไม่มากกว่าที่ซื้อมาแล้วก็ได้ แต่โอกาสฟื้นแค่ 20% แต่กำไรอาจจะ 4-5 เท่าอันนี้ก็น่าคิดครับ ต่อให้โอกาสฟื้น 50% ผมก็ไม่คิดว่าความเสียหายเท่ากันครับ ถ้าเจ๊งแล้วเป็น 0 แต่กำไรแล้วแค่ 20% อันนี้ไม่น่าลงทุนแน่นอน ผมว่าควรจะใช้ความน่าจะเป็นหรือจะใช้ kellyตามดันโดคิดก็ได้ครับ อีกอย่างผมว่าสองคนยลตามช่องครับ ปัญหาที่คนนึงมองไม่เห็นแก้ไม่ได้ ไม่เท่ากับปัญหาที่แก้ไม่ได้ครับ 3. ผมกลับเห็นด้วยกลับหลักการนี้นะครับ เพราะผมว่าไม่ว่าหุ้นตัวไหนก็มีโอกาสเจ๊งอยู่ในตัว อย่าง CPALL พรุ่งนี้อาจจะถูกยกเลิก license หรือ CPN อาจจะถูกวางระเบิดพร้อมกันทุกสาขา แต่เข้าใกล้ 0 มากๆ อาจจะ 1 ในล้านหรือ 1 ใน 100 ล้านอย่างที่ จขกท ว่า ถ้าโอกาสกำไรมหาศาลแต่ความเสี่ยงต่ำมากๆๆๆๆๆ ถ้าไม่ทุ่่มกับการลงทุนแบบนี้ ผมยังสงสัยเลยว่าจะให้ลงทุนใน condition แบบไหนครับ บัฟเฟตเห็นต่างกับเกรแฮมในเรื่องการกระจายความเสี่ยง บัฟเฟตมองว่าถ้าเจอบริษัทชั้นยอดปัญหาคือจะซื้อได้มากแค่ไหน ผมคงไม่ได้บอกว่าวิธีการกระจายความเสี่ยงหรือ focus ถูกหรือผิด เกรแฮมกระจาย บัฟเฟต focus ดร.นิเวศให้กระจายสัก 5 ตัว lynch ก็ให้สัก 5 ตัว ผมว่าสองคนยลตามช่องนะ แต่ถ้าใน 2 ปีโอกาสได้กำไร 4 เท่า 80% กำไร 2 เท่า 10% โอกาสเท่าทุน 9% และเจ๊งหมดตัว 1% อยากลงทุนมากน้อยแค่ไหนครับ ผมว่าไม่มีคำตอบที่ถูกสำหรับทุกคนครับ อต่มีคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนแน่นอนครับ 4. ทำ arbritage ผมมองว่าดันโดให้มองหาเป็นอาวุธเสริมนะครับ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ช่างมันครับ 5. ผมว่ามี MOS เยอะๆก็ต้องทุ่มหนักๆสิครับ MOS ครอบคลุมถึง downside risk อยู่แล้วครับ แต่คงไม่ 100% ถึงขนาดไม่มีโอกาสเจ๊ง แต่ถ้า MOS เยอะแต่ upside ไม่เยอะมากก็อาจจะพิจารณาอัตราส่วนการลงทุนตามต่ละคนครับ 6. ผมว่าความไม่แน่นอนสูงไม่ใช่ high risk นะครับ ก็เหมือนผมเปิด รร กวดวิชา จะมีคนเข้าเรียนหรือเปล่าไม่รู้ อาจจะไม่มี มีน้อย หรือมากจนต้องเปิด รร เพิ่ม อันนี้มีคำตอบหลายทาง โอกาสเป็นไปได้มากทุกทาง ก็คือไม่แน่นอน แต่ถ้าไม่มีคนเรียนโอกาสจะเจ๊งแล้วเจ็บตัวน้อยครับ เพราะไม่ได้ลงทุนอะไรมาก อันนี้ผมมองว่าความเสี่ยงต่ำความไม่แน่นอนสูงนะครับ โดนส่วนตัวมองว่าความไม่แน่นอนก็คือความไม่แน่นอนครับ ความเสี่ยงก็คือความเสี่ยง 7. ผมมองว่าสมัยนี้ C&D(copy & development) ทำได้ง่ายกว่า R&D แล้วนะครับ(research & development) ยุคที่ coca-cola หรือน้ำหอม chanel จะไม่มีใครรู้สูตรหรือเลียนแบบได้มันหมดไปแล้ว การวิจัยต้องใช้เงินและทรัพยากรมหาศาล แถมไม่ได้การันตีโอกาสสำเร็จ(ซึ่งถ้าไม่สำเร็จก็คือเสียเวลาเปล่า) แต่ไม่ใช่จะไม่ทำซะเลย แต่ถ้าบริษัทหนึ่งออก product ใหม่ๆออกมา การ C&D แล้วออกมาแข่งเพื่อรักษาสภาวะการแข่งขันก็ต้องทำครับ บริษัทที่มี DCA สูงไม่ใช่ว่าจะผลิต product R&D ได้ทุกครั้ง แต่อาจจะมี R&D แล้วได้รับการปกป้อง เช่น สิทธิบัตรหรือเลียนแบบยาก ผมว่า R&D และ C&D ต้องควบคู่กันไป เพียงแต่ดันโดบอกว่า R&D ไม่ได้สำเร็จทุกครั้งไป แต่ C&D ทำแล้วสำเร็จทุกครั้งครับ(ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ) โดยส่วนมากผมเห็นด้วยกับดันโดนะครับ ผมมองว่าหลักการลงทุนมันต่างกันได้ไม่มีใครผิดใครถูกหรอกครับ เห็นต่างอย่างไรลองมาถกกันดูนะครับ
โดย
13055
พุธ พ.ค. 23, 2012 3:46 pm
0
1
Re: อัตราเงินเฟ้อทำไมมีแต่ปรับขึ้น
ทำให้เงินมีค่าเพิ่มขึ้นเช่นเงินฝืดหรอครับ วันดีคืนดีผมลดเงินเดือนคุณเหลือ 10,000 บาทคุณจะด่าผมไหมครับ ต่อให้ผมบอกว่าก็ของมันถูกลง เงินมันมีอำนาจการซื้อเพิ่มขึ้นนะ คนทั่วไปไม่เข้าใจเรื่องค่าของเงิน เงินฝืดเงินเฟ้อหรอกคร้บ เรื่องการเงินเนี่ยหาคนเข้าใจได้น้อยมากๆ 10 บาทวันนี้ กับ 10 บาทปีหน้าเค้าก็มองว่ามันเท่ากันครับ ขึ้นเงินเดือน 15,000 ก็ดีใจแทบเป็นแทบตายแล้ว หารู้ไม่ว่า....
โดย
13055
ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 3:22 pm
0
0
Re: ภาษีใหม่ 'เลิกอุ้มคนรวยช่วยคนจน' 2012-04-12
ภาษี นิติบุคคล บริษัท เก็บ 20 เก็บ คนธรรมดา 37 มากไปหรือเปล่าครับ..งง บริษัทได้ BOI ไม่เก็บอีก... เลิกอุ้มคนรวยช่วยคนโคตรรวยครับ
โดย
13055
พุธ เม.ย. 18, 2012 2:29 pm
0
5
Re: บริษัทต้องการนำหุ้นออกจากตลาด รับซื้อคืน เราไม่ยอมได้มั๊
ได้ครับ แต่มันจะไม่อยู่ในตลาด และติดตามผลประกอบการยากครับ
โดย
13055
จันทร์ เม.ย. 16, 2012 5:30 pm
0
0
Re: [สอบถาม] แนวคิดด้านการลงทุนและเวลาที่จะเข้าซื้อหุ้น
ไม่ใช่เซียนแต่ขอแชร์ความเห็นนะครับ 1. ระยะเวลาในการซื้อหุ้นนี่เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันค่อนข้างมากครับ โดยส่วนตัวมองว่าถ้าเป็น"เงินเย็น" และดูแล้วคุ้มค่าที่จะซื้อ ก็ซื้อไปเลยทีเดียวก็ได้ครับ ถ้าจะรอให้ตลาด crash รอให้เกิด bubble รอให้เกิด great depression ถามว่าเมื่อไหร่จะเกิดครับ ???? เพราะนอกจากเราจะต้องมาคาดเดาเวลาตกของมัน เรายังต้องคาดเดาจุดที่มันว่าลึกแค่ไหน ไม่งั้นตกเล็กๆน้อยๆเราก็ไม่ซื้อครับ แต่สุดท้ายก็แค่"เดา"ครับ ผมมองว่าส่วนมากคนที่เล่นหุ้นยังมีงานอย่างอื่นอยู่ด้วยครับ ยังมีธุรกิจหรืองานประจำทำอยู่ ดังนั้นก็พอจะมีกระแสเงินสดมาเติมเรื่อยๆในหุ้นอยู่แล้ว(ถ้าไม่เอาไปขยายกิจการหรือใช้อย่างอื่น) ผมว่าถ้าเจอตัวที่คิดว่าใช่ ลองแหย่ไปสักส่วนนึง แล้วรอดูก่อนครับที่เราคิดถูกจริงๆหรือเปล่า ถ้าถูกหรือมั่นใจก็ใส่เต็มที่ครับ เพราะการรอลงทุนแต่เวลาที่ตลาดตก นอกจากจะเสียเรื่อง money time value แล้ว การที่เรารอตลาดตกก็ไม่ได้ต่างกับการคาดเดาครับ จะมาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ และไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ด้วยครับ แต่ถ้ายังไม่เจอตัวที่ถูกใจ แล้วยังไม่เล่นอันนั้นถูกต้องครับ แต่รอตลาดตกสำหรับผมผมว่าไม่ควรนะ ผมคาดการณ์ไม่เก่งด้วยมั๊ง 2. ถ้าเจอหุ้นของบริษัทที่ราคาไม่ถูกไม่แพงเกินไป ถ้ามันเป็นบริษัทที่ดีมากๆ กวาดเรียบครับ อย่างที่ buffet ว่าไว้ว่า "อย่าซื้อ good company ในราคา wonderful price แต่ให้ซื้อ wonderful company ในราคา fair price" แต่หุ้นแต่ละตัวเราอาจจะมีจุดประสงค์ในการเล่นต่างๆกันครับ บางครั้งเจอถูกมากในบริษัทกลางๆเราก็เก็บเรียบเหมือนกัน แต่สำหรับคำถาม จขกท ผมมองว่าถ้าเป็น fair price ของบริษัทเติบโต หรือ wonderful company ซื้อได้ครับ ถ้าจะรอให้เกิดวิกฤตหรือราคาตกก็กลับมาที่คำถามเดิมครับว่า "เมื่อไหร่????" โดยส่วนตัวมองว่า VI ไม่จำเป็นต้องเล่นในภาวะวิกฤตเสมอไป หุ้นดีๆก็ยังมีอยู่บ้าง เพียงแต่ในยามวิกฤตหุ้นมันถูกมากๆๆๆๆๆๆ เหมือนถ้าผมเจอ iphone 4s ขายในราคา 10,000 ผมคงรีบเหมายกร้านมาขายต่อทันที แต่ในยามปกติผมอาจจะซื้อที่ 20,000 มาปล่อย 23,000 โดยไม่ต้องรอให้ตลาดตก แต่ถ้า iphone มันขายที่ 25,000 ผมก็รอไม่ต้องซื้อเพราะแพงไปครับ ส่วนถ้าเจอจะจัดหนักแค่ไหน ตอนนี้ผมใช้ DCA แบบจำเป็นครับ เพราะพอร์ทเป็นแบบรายเดือน แต่ถ้ามีเงินพร้อมคงจะแหย่ไปสักไม้ 2ไม้ มั่นใจก็ลงเต็มที่ครับ
โดย
13055
อาทิตย์ เม.ย. 15, 2012 1:15 am
0
0
Re: การดู growth ของกิจการควรดูที่ NIAT, CFO หรือ FCF ครับ
ผมว่าถ้าคำนวนได้ถูกต้อง "ส่วนใหญ่"ก็น่าจะใช้เป็น FCF แหละครับ(ยกเว้นบางกิจการจริงๆ) เหตุผลส่วนตัวคือถ้าผมเป็นเจ้าของกิจการคงชอบที่จะเห็นเงินสด"ที่มีอยู่จริง"เข้ามาเยอะๆ ส่วนตัวเลขทางบัญชีว่ากันอีกที แต่จะ forecast ได้แม่นยำแค่ไหน นั่นแหละปัญหาครับ
โดย
13055
พฤหัสฯ. เม.ย. 12, 2012 2:50 pm
0
0
Re: บริษัทที่มีสภาพคล่องน้อยมาก
ไม่น่าจะเป็นบริษัทไม่มีสภาพคล่องนะครับ น่าจะเป็นหุ้นไม่มีสภาพคล่องรึป่าว ตัวที่ผมมีอยู่ตัวนึงก็แทบไม่มีสภาพคล่อง บางวันซื้อกัน 100 หุ้น บางวันไม่มีเลย = =" แต่ผมก็ทยอยเก็บไปเรื่อยๆครับ โดยส่วนตัวมองว่าถ้าจะถือยาวและเป็นเงินเย็นไม่น่าจะกังวลเรื่อง liquiduty เท่าไรนะครับ แต่อาจจะต้องเพิ่ม exit stratigies มาอีกนิดครับ ส่วนเรื่องทยอยเก็บก็คงอย่างนั้นแหละครับ โดยส่วนตัวผมไม่ชอบไล่ราคาไปหลายๆไม้ เพราะจะจ่ายแพงกว่า(ต่อให้ทุกราคาต่ำกว่า fair vlaue ที่ผมคิดไว้ก็ตาม) ผมจะแหย่ไปทีละไม้ ขายมาใหม่ก็ค่อยแหย่เพิ่มครับ แต่ขั้นต่ำหรือไม่นี่ขึ้นอยู่กับว่า จขกท จะเทรดทีละมากๆหรือเปล่าครับ
โดย
13055
ศุกร์ เม.ย. 06, 2012 12:44 pm
0
0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
จริงๆผมว่า VI ไม่ได้รังเกียจ growth stock นะครับ เพียงแต่ว่ามันจะมีอะไรมาการันตีว่ามันจะ growth ได้อย่างนั้นต่อเนื่องกันอย่างที่เราคิด Mr. Market พร้อมจะตบรางวัลให้เราถ้าเราทายถูก แต่ก็พร้อมจะกระทืบเราซ้ำถ้าเราทายผิดครับ เอาง่ายๆเลยนะครับ ถ้าบริษัทผม กำไร 1 บาท PE 20 ปีหน้ากำไรออกมา 1.1 บาท กลายเป็นว่า growth ไม่ได้ตามคาด ตลาดก็กระทิบผมซ้ำโดยลด PE เหลือแค่ 10 พอครับ ปีนี้ผมซื้อมาที่ 20 ปีหน้า ปีหน้าราคาเหลือ 11 บาท นอกจากผมจะไม่กำไรแล้วยังขาดทุนอีกแน่ะ หรือต่อให้ตลาดใจดีลด PE ผมเหลือแค่ 15 ผมขายได้ 16.5บาทก็ยังขาดทุน นี่ขนาดผมทำกำไรเพิ่มต่อหุ้นเพิ่มได้นะครับ ดังนั้นถ้ามัน growth ได้ไม่ต่อเนื่องหรือไม่ได้ตามคาดก็เตรียมเจ็บได้เลยครับ เช่น CPALL มี PE 30 ตอนนี้มี 6,000 กว่าสาขาในไทย คิดว่าจะโตอย่างไรครับ ปีนี้เปิดอีก 1,800 สาขา ปีหน้าเปิดอีก 2,000 กว่าสาขา จะไปเปิดตรงไหนกันครับ ถ้าเปิดในไทยเปิดได้ยังงัยก็ไม่น่าจะเจ๊งครับ แต่ที่ขยายไปจีน จะไหวรึป่าวแล้วแต่คนมองครับ แต่ถ้าไปได้จะเปิดอีกสัก 5-6พันสาขาก็น่าจะไหว เกมนี้ จขกท จะเล่นไหมละครับ กับเดิมพันไว้ที่ capital gain 30%(เท่ากับ growth) หรือ จขกท จะหาตัวที่ growth น้อยกว่า ไม่โตก็เสมอตัว แต่ถ้าโตก็ได้ premium เพิ่มมาอีก ถ้าศึกษาดีๆ หาข้อมูลมาพร้อมมั่นใจว่าโตได้ ผลตอบแทนก็คุ้มค่าครับ เพราะ money game กับตัวที่ growth เยอะๆจะเดิมพันกันสูงครับ ลดความเสี่ยงได้โดยการหาความรู้ครับ ผมว่าเหมือนผมแทงว่า Vidic จะทำประตูได้ ถ้าทำไม่ได้ก็เสมอตัว ถ้าทำได้ก็กำไรครับ กับผมแทงว่า Messi จะยิงได้ ถ้ายิงได้ผมกำไร แต่ถ้ายิงไม่ได้ก็เจ็บตัวครับ จขกท อบากเล่นแบบไหนครับ
โดย
13055
เสาร์ มี.ค. 31, 2012 6:07 pm
0
0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
จริงๆถ้าสมมติตัวแปรให้ PE เท่าเดิม capital gain จะ = % growth ครับ เช่นที่กำไร 1 บาท ->1.5 บาท(growth 50%) ที่ PE 10 เท่า 10 -> 15 บาท ที่ PE 30 เท่า 30-> 45 บาท แต่ถ้ากำไร 1 บาท -> 1.15 บาท(growth 15%) ที่ PE 8 เท่า -> 9.2 บาท แต่ถ้าตลาดให้ premium เพิ่ม เป็น PE 16 จะได้ราคา 18.4 หรือกำไร 2.3เด้งครับ (คิดง่ายๆคือ capital gain = % growth คือกำไรโตมาเป็น 1.15 เท่า แล้วได้ premium มากกว่าเดิม 2เท่า 1.15x2=2.3) แต่ในทางเดียวกันถ้า premium ที่ให้ลดลงก็จะเป็นหารด้วยค่าที่ลดลง ก็จะไปลด growth ลงไปอีก เรียกว่า 2 เด้งครับ สรุปสูตรตีกรอบวิทยาศาสตร์ให้เลยครับ capital gain = % growth x PE ใหม่/PE เก่า ดังนั้นที่ pe เท่าเดิม จะได้กำไรส่วนต่างคือ % growth แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนไปคิดตามสูตรครับ ตอบโจทย์ของ จขกท ว่า ถ้ามีเคสเข่นนี้จริง ถ้าตลาดให้ PE บริษัทที่ 2 จาก 8->10.5 และมีแนวโน้มจะให้ PE เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทุกปี บริษัทที่ 2 จะน่าลงทุนกว่าครับ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ) โดยส่วนตัวมองว่าต่อให้ growth 30% แล้วตลาดจะให้ PE แค่ 3ผมก็ซื้อครับ จริงๆจะให้ PE เท่าไรก็ได้ขอแค่เท่าเดิมก็พอ ถ้า PE จะมากขึ้นก็ถือเป็นตัว multiply ครับ อันนี้คือในทางคณิตศาสตร์และคิดค่าตัวแปร 2 ตัวนะครับ แต่ในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วยตามทีท่านบนๆว่าครับ บริษัท A มี growth ที่สูง 30% แต่ PE คงที่แล้ว ในขณะที่บริษัท B มี growth แค่ 15% แต่ PE มีสิทธิเพิ่มขึ้นได้นิดหน่อย ส่วนที่ผมสงสัยก็คือ บริษัท A ได้ capital gain = 30% ในขณะที่บริษัท B ได้ = 15% x PEใหม่/PEเก่า การที่จะทำให้บริษัท B ได้ capital gain เท่าบริษัท A PE ของบริษัท B ต้องเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว ซึ่งแบบนี้เราลงทุนในบริษัท A ก็ดีกว่าสิครับ (PE ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นค่าที่ตลาดให้ซึ่งผมว่าคาดการได้ยากกว่า growth) ไม่ใช่นะครับ ผมจะอธิบายไม่ค่อยเก่งจริงๆ ลองดูใหม่นะครับ บริษัท A กำไร 1->1.5 บาท ผมซื้อที่ PE สมมติว่า 20เท่า ผมได้ 20->30 บาท หรือได้กำไร 50% แปลว่าผม 1.5 เท่า บริษัท B กำไร 1->1.15 บาท ผมซื้อที่ PE 8 แล้วปีต่อมา premium มันขึ้นไป 12 มาดู้กันนะครับว่าผมได้กี่เท่า ผมซื้อมาที่ 8 บาท ขายที่ 12x1.15=13.8 คิดแล้วได้กำไรมา 72.5% ครับ หรือผมได้ 1.725 เท่าของเงินเดิมมากกว่าบริษัทเดิมซะอีก มาดูนะครับว่าผมเอาเลข 1.725 เท่ามาได้ยังงัย คือผมได้ growth 1.15เท่า และได้ premium มาอีก 12 เท่าจาก 8 เท่า หรือ 12/8 คือ 1.5 ครับ ถ้าเอา 1.15x1.5=1.725 ครับ ถ้า จขกท จะใช้สูตรเดิมต้องใช้เป็น 1+%growth ด้วยครับ ขอเขียนสูตรใหม่นะครับ(สูตรนี้ผมคิดเองตอนตอบ จขกท เลยนะเนี่ย) capital gain = [(1+%growth)xPEใหม่/PEเก่า]-1 ผมว่ามันดูยากนรกและเยอะไปนิดครับ ผมว่ามองเป็นจำนวนเท่าแทนในสูตรดีกว่าครับ เช่น capital gain 50% ก็ใช้ 1.5 แทน growth 15% ก็ใช้ 1.15 แทน ถ้าลองแทนสูตรในโจทย์ของ จขกท จะได้ว่า บริษัทที่ 2 จะคุ้มกว่าบริษัทที่ 1 ก็ต่อเมื่อ ได้ capital มากกว่า 1.5 เท่าครับ(หรือ 150%รวมทุน) ลองแก้สมการดูนะครับจะได้ว่า PE ต้องโตในอัตรา 30.44% คือต้องโตจาก 8->10.4->13 ->17.75 ซึ่งการจะให้ premium โตต่อๆกันทุกปี ยากนรกกว่าครับ สรุป growth สำคัญสุดครับ premium เป็นตัว multiple แถมอ ซึ่งคาดหวังจากมันยากครับ ไม่เข้าใจตรงไหนลองถามต่อนะครับ จะพยายามอธิบายดูครับ
โดย
13055
เสาร์ มี.ค. 31, 2012 4:45 pm
0
0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
จริงๆถ้าสมมติตัวแปรให้ PE เท่าเดิม capital gain จะ = % growth ครับ เช่นที่กำไร 1 บาท ->1.5 บาท(growth 50%) ที่ PE 10 เท่า 10 -> 15 บาท ที่ PE 30 เท่า 30-> 45 บาท แต่ถ้ากำไร 1 บาท -> 1.15 บาท(growth 15%) ที่ PE 8 เท่า -> 9.2 บาท แต่ถ้าตลาดให้ premium เพิ่ม เป็น PE 16 จะได้ราคา 18.4 หรือกำไร 2.3เด้งครับ (คิดง่ายๆคือ capital gain = % growth คือกำไรโตมาเป็น 1.15 เท่า แล้วได้ premium มากกว่าเดิม 2เท่า 1.15x2=2.3) แต่ในทางเดียวกันถ้า premium ที่ให้ลดลงก็จะเป็นหารด้วยค่าที่ลดลง ก็จะไปลด growth ลงไปอีก เรียกว่า 2 เด้งครับ สรุปสูตรตีกรอบวิทยาศาสตร์ให้เลยครับ capital gain = % growth x PE ใหม่/PE เก่า ดังนั้นที่ pe เท่าเดิม จะได้กำไรส่วนต่างคือ % growth แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนไปคิดตามสูตรครับ ตอบโจทย์ของ จขกท ว่า ถ้ามีเคสเข่นนี้จริง ถ้าตลาดให้ PE บริษัทที่ 2 จาก 8->10.5 และมีแนวโน้มจะให้ PE เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทุกปี บริษัทที่ 2 จะน่าลงทุนกว่าครับ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ) โดยส่วนตัวมองว่าต่อให้ growth 30% แล้วตลาดจะให้ PE แค่ 3ผมก็ซื้อครับ จริงๆจะให้ PE เท่าไรก็ได้ขอแค่เท่าเดิมก็พอ ถ้า PE จะมากขึ้นก็ถือเป็นตัว multiply ครับ อันนี้คือในทางคณิตศาสตร์และคิดค่าตัวแปร 2 ตัวนะครับ แต่ในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วยตามทีท่านบนๆว่าครับ
โดย
13055
เสาร์ มี.ค. 31, 2012 3:13 pm
0
0
Re: แจก EPS16YEAR (งบดุล,ราคา,19ปี,Ratio ต่างๆ,แบบเครดิตภาษี
รบกวนขอด้วยนะครับ
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
13055
พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2012 11:33 am
0
0
Re: มีใครหาเพื่อนคุยมั้ยครับ อายุไม่เกิน 30
ลงชื่อด้วยคนครับ คุณสมบัติผ่านหมดครับ
[email protected]
M อาจจะไม่ค่อยได้เล่นนะครับ เล่นแต่ FB แต่ add เพื่อนๆทุกคนลงไปแล้วครับ ^^
โดย
13055
พุธ พ.ย. 16, 2011 3:40 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
13055
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ก.ย. 13, 2011 3:17 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2021 7:55 pm
โพสต์ทั้งหมด:
297 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.06 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว