หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
สามัญชน
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
Joined: เสาร์ ส.ค. 16, 2003 8:58 pm
5162
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - สามัญชน
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
“Stay Hungry. Stay Foolish” อ่านตอนแรกก็ไม่รู้สึกว่าดีอะไร “Stay Hungry." หิวบ่อยๆ อ้าว.....หิวบ่อยๆก็ต้องกินบ่อยๆไม่อ้วนแย่หรือ คนอะไรเห็นแก่กินขนาดนี้ยังกะชูชก “Stay Foolish” โง่อยู่เสมอ ทำตัวโง่ๆไว้ อ้าว......อุตส่าห์ร่ำเรียนจนมีความรู้ ยังจะทำอะไรโง่ๆอีก อ่านต่อไปจึงเข้าใจว่า หิวบ่อยๆคือ เป็นคนก็ต้องแสวงหาตลอดเวลา คือรู้สึกหิวเข้าไว้ จะอิ่มแล้วนอน อิ่มแล้วนอน ไม่ได้ จะต้องมีแรงขับอยู่ตลอดเวลาเพราะวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขาก็ได้ และรู้สึกโง่เข้าไว้ เพื่อหาสิ่งที่ฉลาดกว่าตลอดเวลา จะทำตัวฉลาดแล้วไม่เรียนรู้เพิ่มเติม ไม่ได้ แปลว่าการเรียนรู้นี้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด(อันหลังนี้รู้สึกคุ้นๆว่าคล้ายๆลายเซ็นต์ของใครคนหนึ่ง) อย่างไรก็ตามคำพูดคมๆสั้นๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก เพราะเป็นการตกผลึกประสบการณ์ทั้งชีวิตทีเดียว อย่างของดร.นิเวศน์ก็ต้อง " stay calm. stay invest) เย็นไว้(สงบไว้) ลงทุนเข้าไว้ ของผมก็มีกะเขาด้วยนะ ( stay know) รู้เข้าไว้ :D
โดย
สามัญชน
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 8:24 pm
0
1
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
ผมอยู่กับความรู้สึกว่าเป็นมะเร็งและต้องตายเร็วๆนี้ทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นหมอต้องตัดเอาเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์อีกครั้ง อ้าว......แปลว่ารู้ว่าเป็นมะเร็งตอนเช้า แล้วตอนเย็นรู้ว่าผ่าตัดหาย ตอนแรก ผมเข้าใจผิดว่าสตีฟตกอยู่ในความเศร้าหลายเดือนเพราะเข้าใจว่าตัวเองจะตาย แล้วมารอดตายทีหลังเนื่องจากหมอวินิจฉัยผิดหรืออะไรนี่แหละ คือเข้าใจว่าเขามีเวลาอยู่ใน "มรณานุสติ" เป็นเดือนๆ ถ้าเป็นอย่างนี้แปลว่าเขาเก็ตอะไรๆเร็วมากเลยนะครับ สมกับเป็นอัฉริยะ มรณานุสตินี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สำคัญมากๆและน่าจะเป็นปัจฉิมโอวาทด้วยมั้งครับ ถ้าตีความไม่ผิด เพราะเรื่องมรณานุสติก็ส่งผลให้ไม่ประมาทอีกทางหนึ่ง มรณานุสตินี้เป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆคนที่จะพลิกชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีๆกว่าเดิม หลายคนเคยพูดว่า ที่สุดของมนุษย์ก็คือความตาย เมื่อระลึกถึงความตายแล้ว โดยเฉพาะความตายของตัวเอง ความอื่นๆก็กลายเป็นเรื่องเล็กกว่าโดยอัตโนมัติ เมื่อเล็กลงๆ อะไรๆก็ง่ายขึ้น ตัด(สิน)ใจได้ง่ายขึ้น ที่จริงเขาใช้มรณานุสติมาตั้งแต่อายุ 17 ปีโน่นแน่ะ จากคำพูดนี้ “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นแน่นอน " นี่คืออานุภาพของ มรณานุสติ ท่านสอนให้คิดถึงความตายทุกลมหายใจ ไม่ได้สอนว่าเป็นเรื่องอวมงคลและห้ามพูดถึง เพราะพูดถึงหรือระลึกถึงบ่อยๆแล้ว มีคุณอนันต์ เป็นสัจจธรรมที่ไม่เลือกกาลเวลา และใช้ได้ผลโดยไม่เลือกเชื้อชาติศาสนาจริงๆ :D
โดย
สามัญชน
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 8:21 pm
0
0
Re: คำถามสุดท้าย ที่ลืมถาม เหล่าเซียน ในงาน Money Talk ครับ
ความฝันของผม อยากเป็นผู้มีปัญญาครับ ไม่อยากทำอะไรแล้ว เพราะเป็นผู้ทำมานานแล้ว ผู้คิดก็ไม่อยากเป็น เพราะปัญญาจากการคิดไม่ถูกใจผมนัก ขอปัญญาจากการเป็นผู้รู้ครับ(ถ้ามีบุญพอนะครับ)
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 28, 2011 5:37 pm
0
0
Re: หุ้นปั่น กับ หุ้น undervalue
อ๋อ........ผมเข้าใจประเด็นพี่เด่นแล้วครับ พอเข้าใจแล้วผมรู้สึกชื่นชมพี่เด่นนะครับ เพราะตัวผมยังทำแบบนั้นไม่ได้เลย
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 28, 2011 5:27 pm
0
0
Re: หุ้นปั่น กับ หุ้น undervalue
มีเพียงสองเรื่องที่ผมไม่ยอมซื้อแม้ว่าจะ undervalue มากแค่ไหนก็ตาม ๑ ผู้บริหารไซฟ่อนเงินด้วยวิธีการต่างๆนาๆ ๒ มีการตกแต่งบัญชีอย่างมีนัยสำคัญ อนาคตอาจจะมีข้อสามข้อสี่ แต่ตอนนี้มีเพียงสองข้อ :D รู้สึกว่าพี่จะสนใจธรรมภิบาลต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก แล้วเรื่องธรรมภิบาลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตามหลักการลงทุนของพี่ ให้ควมสำคัญมากน้อยแค่ไหนครับ ผมคิดเหมือนพี่ drsp ครับ :D ตลาดหุ้นเป็นสถานที่แห่งควาามโลภและมนุษย์กินคน ผมก็เห็นด้วยในมุมมองหนึ่ง แต่บางทีสิ่งที่สําคัญอาจไม่ได้อยู่ที่คนอื่นคิดอย่างไร แต่อยู่ที่ตัวเราเองคิดอย่างไร สําหรับผมตลาดหุ้นคือสถานที่ซึ่งเรา ใช้เงินทุนสติปัญญาทักษะความสามารถในการเอาชนะ เพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สินและมาตรฐานความเป็นอยู่ สัาหรับผมตลาดหุ้นเป็นintellectual game ที่ได้รางวัลเป็นตัวเงินตอบแทน เวลผมชนะได้เงินผมไม่คิดว่าผมกินเลือดเนื้อใคร เวลาผมแพ้ผมก็ไม่คิดว่าใครกินเลือดเนื้อผม ถ้าผมคิดว่าตลาดหุ้นคือการกินเลือดเนื้อกันผมคงเลิกเล่น ถ้าตลาดหุ้นไม่มีความสนุกและบันเทิงปัญญาผมก็คงเลิกเล่น Buffetชนะคนทั้งโลก แต่บริจาคทรัพย์สิน90%เข้าองค์กรการกุศล buffetกินเลือดเนื้อใครหรือเปล่า โลภมากไปหรือไม่ สัาหรับผมปรัชญาและทัศนคติมีผลกับการดําเนินชีวิต ผมจึงเลือกเชื่อปรัชญาที่ทําให้จิตใจผมสงบมีความสุข และมีมุมมองแง่บวก ปรัชญาในแง่ลบถึงแม้เป็นความจริง แต่ผมไม่มีความสุขที่จะเชื่อหรือยึดถือ ผมก็ปล่อยมันผ่านไป แล้วพี่เด่นคิดยังไงครับ :D
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 28, 2011 4:19 pm
0
1
Re: หุ้นปั่น กับ หุ้น undervalue
ทำไมผมจะต้องเอาเรื่องปั่นมาอยู่เหนือเรื่อง undervalue ทำไมผมจะต้องเอาเรื่องเจ้าลากเจ้าทุบมาอยู่เหนือเรื่่อง undervalue ถ้าไปเจอหุ้น overvalue ต่อให้บริสุทธ์ผุดผ่องไม่มีใครมาลากมาปั่น ผมก็ไม่เอา มีเพียงสองเรื่องที่ผมไม่ยอมซื้อแม้ว่าจะ undervalue มากแค่ไหนก็ตาม ๑ ผู้บริหารไซฟ่อนเงินด้วยวิธีการต่างๆนาๆ ๒ มีการตกแต่งบัญชีอย่างมีนัยสำคัญ อนาคตอาจจะมีข้อสามข้อสี่ แต่ตอนนี้มีเพียงสองข้อ :D
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 28, 2011 2:30 pm
0
1
Re: อคติ กับ การลงทุน
จริงๆMain ideaคงเหมือนกันครับ คิดเหมือนกันเลยครับ ผมกะจะโพสท์คำนี้อยู่ แต่คุณ ^^ คิดไวกว่าผม :D
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 8:43 pm
0
0
Re: อคติ กับ การลงทุน
ทีนี้ผมเสนอเพิ่มเติม ผิดถูกอย่างไรช่วยชี้แนะด้วยนะครับ เมื่อมีแฟคเป็นตัวเริ่มต้น จิตของเราก็จะปรุงแต่งโดยอัตโนมัติ ตัวปรุงแต่งนี้เรียกว่าสังขาร ผลของการปรุงแต่งจะได้ opinion คือความเห็น ความเห็นนี้มีสามกลุ่มใหญ่ๆ คือบวกลบและกลาง จะเป็นแบบไหนขึ้นอยู่กับว่าเราเอาสัญญาเดิมๆแบบไหนมาร่วมปรุง ระหว่างปรุงก็มีเวทนามาแทรกเป็นยาดำ ที่สำคัญคือถ้ามีกิเลสมาแจมด้วยไม่ว่าจะเป็น โลภโกรธหลง ผลที่ออกมาก็จะเป็นอคติ คือ ฉันทาคติ = ความลําเอียงเพราะรัก โทสาคติ = ความลําเอียงเพราะโกรธ ภยาคติ = ความลําเอียงเพราะกลัว โมหาคติ = ความลําเอียงเพราะเขลา. (ป.). ผมเข้าใจอย่างนี้ไม่่รู้ว่าถูกหรือผิดครับ
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 4:18 pm
0
0
Re: อคติ กับ การลงทุน
ผมคิดอยู่นานครับว่าระหว่างแฟคกับอคติมันยังขาดอะไรไปบางอย่าง Opinion จะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวขั้นตอนไหน และตัว opinion นี้มีประโยชน์และโทษอย่างไร อ่านของคุณ drsp แล้วจึงถึงบางอ้อ.... ขอบคุณครับ :)
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 3:57 pm
0
0
Re: เผื่อจะเป็นประโยชน์เล็กน้อยก็ยังดีครับ
ไหนๆพีี่หมอก็แวะมาเยี่ยมแล้ว ถ้าช่วยชี้แนะเรื่องหุ้นรถยนต์ว่าเทียบกันแล้วทำไม sat 10 เด้งจากโลว์ stanly 4 เด้งกว่าก็จะเยี่่ยมไปเลยครับ :D ผมก็ไม่รู้หรอกครับ เดาว่าอย่างนี้ครับ 1 sat ราคาลงมาต่ำเกินไปเพราะคนกังวลเรื่องไม่มีเงินจ่ายหนี้ และหนี้ก็เยอะท่วมบริษัท แถมจะจ่ายปันผลไม่ได้ด้วยเพราะเจ้าหนี้บังคับไว้ ในขณะที่ stanly หนี้น้อยมากแทบไม่มีเลย ฐานะทางการเงินดีกว่าเยอะ ราคาหุ้นเลยลงไม่หนักเท่า 2 mk chare ของ sat ยังน้อยและยังโตได้อีกเยอะ อย่างน้อยก็โตได้สองทางคือ แย่งแชร์ผู้อื่นและโตจากการฟื้นตัวของยานยนต์ แต่ stanly กินแชร์ไปเยอะแล้ว ส่วนมอไซต์กินไป 97% ไม่รู้จะแย่งใครอีก. จึงโตได้จากการฟื้นตัวอย่างเดียว ผิดถูกช่วยชี้แนะด้วยครับ
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 3:35 pm
0
3
Re: เผื่อจะเป็นประโยชน์เล็กน้อยก็ยังดีครับ
ลินช์อาจจะหมายถึงอย่างนี้หรือเปล่า ตอนปกติราคาหุ้น 2 บาท eps 0.2 พีอี 10 เท่าและก็อยู่อย่างนี้หลายๆปี ตอนขาขึ้น ราคาเริ่มขยับขึ้นเป็น 3 บาท แต่ eps ก็เพิ่มขึ้นเป็น 0.5 พีอีลดเหลือ 6 เท่า ต่อมาราคาขยับขึ้นไป 40 บาท eps เพิ่มขึ้นเป็น 10 บาท พีอี เหลือ 4 เท่า ลินช์เลยแนะนำให้ซื้อตอนพีอีสูง ตอน 10 เท่าคือราคา 2 บาท ขายตอนพีอีต่ำ 4 เท่า คือราคา 40 บาท มั้งครับ
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 3:23 pm
0
3
Re: เผื่อจะเป็นประโยชน์เล็กน้อยก็ยังดีครับ
และจริงๆแล้วคำกล่าวของ ปีเตอร์ลิน ที่บอกว่าให้ซื้อหุ้น cycle เมื่อ pe แพงๆแล้วขายตอน pe ถูกๆ จากที่ผมไป cover มา ผมคิดว่าคำกล่าวนี้ใช้ไม่ค่อยได้กับหุ้น cycle รอบนี้ เลย cycle แต่ละครั้งจะมาด้วยเหตุผลทาง demand supply ที่แตกต่างกันไป อย่างหุ้นเรือสมัยก่อนก็เรื่องเศรษฐกิจจีนเป็นสำคัญ ฟิลม์รอบนี้ก็มี demand ในสินค้าใหม่ๆเช่น solar cell ,lcd ส่วนใหญ่หุ้นที่จะขึ้นเป็น 10 เด้งนั้นจะต้องอาศัยราคาที่ถูกเป็นพิเศษอยู่ด้วยระดับนึงดังนั้นจะค้นพบได้ง่ายหลังจากตลาด crash แต่มันจะมีเหตุผลบางอย่างที่ฟื้นตัวเร็วมากและราคาหุ้นก็จะไปได้ไกลมาก ผมก็พบว่ามันไม่ค่อยจริงเหมือนกันครับ :D 1. ตอนซื้อหุ้นวัฎจักร เราอาจจะซื้อตอนพีอีต่ำๆก็ได้ถ้ามันมีวิกฤตในอนาคตรออยู่ 2. ตอนขายหุ้นวัฏจักรเราอาจจะขายตอนพีอีสูงๆก็ได้ ถ้ามันมีอนาคตที่ดีรออยู่ แค่สองข้อนี้ก็จะทำกำไรให้เราได้หลายเด้ง ยิ่งถ้ามีข้อสาม 3. มีเหตุให้ราคามันต่ำผิดปกติอย่างฮงว่า กำไรก็กระฉูดไปเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ลินช์เขาว่าไว้อย่างนั้น อาจจะมีเหตุผลว่า โดยส่วนใหญ่ในสภาวะเศรษฐกิจปกติ หุ้นวัฏจักรมันเป็นอย่างนั้น แต่ครั้งนี้มันมีวิกฤติเป็นตัวทุบราคา. แล้ววิกฤติครั้งนี้ฟื้นเร็วเป็นตัวดันราคา :D
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 2:55 pm
0
3
Re: อคติ กับ การลงทุน
อ่านของคุณ drsp แล้วผมชอบนะครับ ก็ผมยังเป็นสามัญชนยังไม่ใช่อริยบุคคล ดังนั้นอคติต่างๆจึงมีอยู่ในตัวผมอย่างเต็มเปี่ยม ได้แต่หวังว่าในอนาคตผมคงจะลดอคติลงได้ แต่ตอนนั้นผมคงไม่ใช้ชื่อสามัญชนแล้ว :D ผมจะชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเองนะครับ แล้วคุณ drsp จะเห็นความจริง ตอนซื้อหุ้น sat ตอนนั้นผมคิดเองทำเองอยู่ครับ ไม่ปฏิเสธ แต่ตอนซื้อ hemraj ผมได้จากกัลยาณมิตรครับ น้อง saichon บอกมา น้องลูกอิสานเป็นผู้จุดประกาย และน้องนริศเป็นผู้สรุปปิดท้าย ผมก็เลยได้หุ้นกับเขาด้วย ตอนซื้อหุ้น jas (ผมพูดได้นะ เพราะชื่อออกสู่สาธารณะไปแล้ว) ได้น้องนริศเป็นผู้จุดประกายพร้อมด้วยบทวิเคราะห์อีกยาวเหยียดที่นริศทำขึ้นเอง แล้วผมก็มาอ่านในร้อยคนร้อยหุ้น ได้ไอเดียดีๆจากคุณchinn. คุณ besmile และอีกหลายๆท่าน ขอถือโอกาสขอบคุณมา ณที่นี้เลยครับ ผมก็เลยได้หุ้นกับเขาอีกแล้ว ตอนซื้อ mcs ก็ได้ไอเดียจากพี่ sv2 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รองจากคุณ ไน ยวน ชิ แล้วก็เข้าไปอ่านในร้อยคนร้อยหุ้น ได้จากคุณ nevercry boy และอีกหลายท่าน ตอนซื้อหุ้น sf ได้จากน้อง picatos ครับ สรุปว่าผมหาเองจริงๆคือตัวเดียว อีกสี่ตัวได้จากกัลยาณมิตรครับ อันนี้ไม่ใช่อคติแต่เป็น fact :D
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 2:30 pm
0
0
Re: อคติ กับ การลงทุน
ถามคนเกลียดเรา ไม่ได้เชื่อนะครับ แต่มีข้อมูลให้มองที่มากกว่าด้านเดียว โปรดมองในแง่นี้ครับ ผมขออธิบายอย่างนี้นะครับ อคติแปลว่าความลำเอียง ก็คือไม่ตรงกับที่มันเป็นจริง คือมันเป็นเท็จ หรือจะเปรียบเหมือนการใส่แว่นตากันแดดก็ได้ หรือแว่นตาสีก็ได้ ภาพที่ออกมามันจะผิดจากความจริง ในเมื่อมันเป็นเท็จ เราจะสะสมข้อมูลที่เป็นเท็จมากมายหลายด้านไปทำไม ยิ่งมีเยอะมันยิ่งหลอกเราง่าย ถ้าเรามีภูมิต้านทานที่ดีเรายังอาจจะมีสติระลึกขึ้นได้ว่ามันหลอกเราอยู่ แต่เราเผลอเมื่อไหร่เราก็เป็นเหยื่อมันเมื่อนั้น เราควรสะสมความจริงให้รอบด้านไม่ดีกว่าหรือ ลำพังความจริงเองก็มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี ความจริงก็มีทั้งที่ให้ประโยชน์และให้โทษ มันจะเลวอย่างไรจะประเสริฐอย่างไร ถ้ามันเป็นความจริงเราก็ต้องรับ. :D
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 26, 2011 9:59 am
0
0
Re: อคติ กับ การลงทุน
มีคนบอกว่าให้นำความคิดที่เราคิดว่าดีที่สุด ไปถามคนที่เกลียดเราที่สุด เพราะเขาจะพยายามค้านเราตลอด แล้วจะได้คำตอบในอีกด้านที่คาดไม่ถึง ไปถามคนที่รักเราที่สุดก็คือไปถามคนที่มีอคติ ไปถามคนที่เกลียดเราที่สุดก็คือไปถามคนที่มีอคติ คำตอบที่ได้ก็เจือด้วยอคติ ที่ไม่ตรงกับความจริง เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ แถมยังเกิดโทษที่คาดไม่ถึงด้วยซ้ำ ยิ่งทำบ่อยๆยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ เหมือนอยากได้นมวัว แต่ไปรีดเอาจากเขาวัว ไม่เป็นเหตุเป็นผลอะไรเลย นอกจากเสียเวลา อาจจะโดนวัวขวิดเอา :D
โดย
สามัญชน
ศุกร์ มี.ค. 25, 2011 4:00 pm
0
0
Re: อคติ กับ การลงทุน
เข้ามาแซวคุณปรัชญาว่าตกรถjasหรือเปล่า แต่เดี๋ยวอีกสักพักพอมันแหกโค้งเหมือนptl อาจะดีใจที่ตกรถนะครับ :P พี่ drsp พูดจาแบบนี้หาเรื่องคนถือ แจ๊ดดดดด นะครับพี่... แถมมาแลบลิ้นใส่อีกต่างหาก... ผิดกฎเว็บเปล่าเนี่ย... อิๆ ล้อเล่นนะครับพี่... :B :B :B ไม่ได้หาเรื่องหรอกครับ :D ใจผมอยากให้พูดทั้งข้อดีข้อเสียจะได้มองทุกด้าน พูดแต่ข้อดีอย่างเดียวอันตรายมากเพราะเป็นการมองด้วยอคติ ทำให้รักหุ้นมากเกินไป พูดแต่ข้อเสียก็เป็นอคติทำให้เกลียดหุ้นมากเกินไป ถ้ามองด้วยความเป็นกลางได้นั่นแหละประเสริฐที่สุด ปล1. พี่ปรัชญาเขียนกระทู้ได้เยี่ยมมากครับ ปล2. พี่dsrpมีมุมมองในการลงทุนที่ถูกใจผมมาก :D เอาของดีๆมาโฆษณาอีกที สําหรับผมตลาดหุ้นคือสถานที่ซึ่งเรา ใช้เงินทุนสติปัญญาทักษะความสามารถในการเอาชนะ เพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สินและมาตรฐานความเป็นอยู่ สัาหรับผมตลาดหุ้นเป็นintellectual game ที่ได้รางวัลเป็นตัวเงินตอบแทน เวลผมชนะได้เงินผมไม่คิดว่าผมกินเลือดเนื้อใคร เวลาผมแพ้ผมก็ไม่คิดว่าใครกินเลือดเนื้อผม ถ้าผมคิดว่าตลาดหุ้นคือการกินเลือดเนื้อกันผมคงเลิกเล่น ถ้าตลาดหุ้นไม่มีความสนุกและบันเทิงปัญญาผมก็คงเลิกเล่น Buffetชนะคนทั้งโลก แต่บริจาคทรัพย์สิน90%เข้าองค์กรการกุศล buffetกินเลือดเนื้อใครหรือเปล่า โลภมากไปหรือไม่ สัาหรับผมปรัชญาและทัศนคติมีผลกับการดําเนินชีวิต ผมจึงเลือกเชื่อปรัชญาที่ทําให้จิตใจผมสงบมีความสุข และมีมุมมองแง่บวก ปรัชญาในแง่ลบถึงแม้เป็นความจริง แต่ผมไม่มีความสุขที่จะเชื่อหรือยึดถือ ผมก็ปล่อยมันผ่านไป
โดย
สามัญชน
ศุกร์ มี.ค. 25, 2011 2:42 pm
0
0
Re: จะทำตามที่ ดร.นิเวศน์ แนะนำดี หรือ ทำตาม ที่ดร.นิเวศน์ทำ
ใช่ สิ่งที่เราอยากให้คนทำและสิ่งที่เราทำอาจจะไม่เหมือนกัน ลึกๆแล้ว เรากล้าเสี่ยงแต่เราก็กลัวว่าเค้าจะไม่ปลอดภัย ผมเห็นด้วยครับ จริงๆแล้วถ้าเราติดตามดร.มานานาพอเราจะเห็นเลยว่า แม้ดร.จะเตือนเรื่องความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ซึ่งผมเห็นด้วยเต็มๆว่าเป็นอย่างนั้นจริง แต่ผมก็เห็นความมีน้ำใจของมนุษย์อีกจำนวนมาก ซึ่งดร.ก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังที่ผมเคยโพสท์ว่า ทำไมดร.รู้หลักการวีไอแล้ว ไม่เก็บเงียบไว้คนเดียว เหมือนเสือค่อยๆจับกินกวางวันละตัวๆ ผลิตเสือสิงห์กระทิงแรดจำนวนมากมาแย่งกินกวางทำไม หนังสือทั้งหลายที่ดร.เขียน ผมว่าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ได้ตังค์มาแค่นี้ผมว่าน้อยมากเมื่อเทียบกำไรจากหุ้น และที่ออกมาเตือนนี้ก็น่าจะด้วยหวังดีนะครับ เคยเห็นเสือเตือนกวางแบบนี้ไหมครับ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=47123
โดย
สามัญชน
ศุกร์ มี.ค. 25, 2011 2:26 am
0
1
Re: จะทำตามที่ ดร.นิเวศน์ แนะนำดี หรือ ทำตาม ที่ดร.นิเวศน์ทำ
หุ้นตก ดร.เขียน"ถูก" เพราะแกเตือนไว้แล้ว หุ้นขึ้น ดร.ทำ"ถูก" เพราะแกถือหุ้นอยู่ สรุปว่าถูกตลอด ไม่มีพลาด จะตำหนิดร.อย่างนั้นก็ไม่ถูกครับ ลองมองอีกมุมดูสิครับ หุ้นตก ดร.ทำ"ผิด" เพราะแกถือหุ้นอยู่ หุ้นขึ้น ดร.เขียน"ผิด" เพราะแกไปเตือนเขาไว้ มองให้ผิดมันก็ผิดตลอดได้เหมือนกัน
โดย
สามัญชน
ศุกร์ มี.ค. 25, 2011 2:12 am
0
2
Re: จะทำตามที่ ดร.นิเวศน์ แนะนำดี หรือ ทำตาม ที่ดร.นิเวศน์ทำ
ดร.เขียนบทความไปสู่สาธารณะ ใครๆก็อ่านได้ ไม่ได้ล็อคเสปคว่าคนอ่านจะต้องเป็นมือเก๋าๆหรือเซียนๆเท่านั้น แปลว่ากลุ่มเป้าหมายอาจจะเป็นคนที่ยังไม่ใช่เซียนก็ได้และน่าจะเป็นเป้าหมายหลักด้วยซ้ำไป ดังนั้นการตัดสินใจว่าเราจะทำตามที่ดร.พูด หรือที่ดร.ทำ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิดว่าเราอยู่กลุ่มไหน ถ้ายังไม่เก่ง ก็ทำตามที่ดร.พูดจะดีกว่า เพราะเซตก็ขึ้นมามากแล้ว แต่ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งมากๆแล้ว และคิดว่าตัวเองเอาตัวรอดได้แม้ว่าตลาดจะไม่ดี ก็ทำตามที่ดร.ทำแล้วก็รับผิดชอบตัวเองอย่าไปโทษใคร พ่อคนหนึ่งบอกลูกวัยหกขวบว่า อย่าไปเล่นมีดนะลูกเดี๋ยวมันบาดมือเอา ลูกบอกว่า ทีพ่อยังเล่นได้ ขอเล่นมั่งดิ มันจะถูกหรือ
โดย
สามัญชน
พฤหัสฯ. มี.ค. 24, 2011 11:50 pm
0
1
Re: เรียนรู้ชีวิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
กลับมาเรื่องจิตวิทยาวิวัฒนาการ นิยามตามที่ดร.สรุปก็คือ นักจิตวิทยามาตรฐานนั้นเปรียบง่ายๆเหมือนสมองของคนในวันที่เกิดนั้นว่างเปล่า เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ที่มีแต่ "เครื่อง" แต่ยังไม่ได้ลง "โปรแกรม" เลย ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้เขาเป็นอย่างไร เราก็สอน หรือลง "โปรแกรม" ให้เขาเป็นอย่างนั้นได้ ส่วนนักจิตวิทยาวิวัฒนาการนั้นเชื่อว่า ในสมองของเรานั้น มี "โปรแกรมพื้นฐาน" หรือระบบแนวคิด และพฤติกรรมที่ถูก "ถ่ายเท" และ "ปรับแต่ง" หรือวิวัฒนาการ มาจากบรรพบุรุษมานานเป็นแสนเป็นล้านปีแล้ว ที่ผมเห็นว่าถูกก็เพราะในกระบวนการวิวัฒนาการนั้นจะต้องมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นผ่านทางยีนเท่านั้น ถ้าไม่ผ่านทางยีนแล้วจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนั้น อันนี้คือถูกต้องตามกฎธรรมชาติ. ทั้งแนวคิดและพฤติกรรมถูกถ่าเทลงมาในยีนและส่งมาสู่สมองตั้งแต่ต้น อันที่จริงทฤษฎีนี้ก็เป็นการ copy แนวคิดของชาร์ลมานั่นเอง ทีนี้ทำไมผมถึงคิดว่าถูกตามกฎธรรมชาติแต่ไม่ถูกในสังคมมนุษย์ เพราะทฤษฎีของชาร์ลนั้นถือว่าธรรมชาติเป็นใหญ่และเป็นผู้ตัดสินแบบไม่มีความลำเอียงรวมทั้งไม่มีความเมตตาปรานีใดๆในการคัดเลือกหรือไม่เลือก เขาถึงตั้งชื่อว่า natural selection ยีราฟคอสั้นกินอาหารไม่ได้ ธรรมชาติพิพากษาให้ตาย มีลูกมากน้อยแค่ไหนธรรมชาติก็กำหนดให้ตายเหมือนเดิม ทุกวันนี้จึงมีแต่ยีราฟคอยาว แต่ในสังคมมนุษย์เรื่องจิตวิทยาวิวัฒนาการนี้เป็น human selection สังคมไม่ปล่อยให้มนุษย์อดตายและตัดโอกาสในการสืบทอดเผ่าพันธ์ด้วยเหตุผลว่ายากจนหรือโง่ ถ้าสมัยสองสามพันปีก่อนก็มีโรงทานเลี้ยงอาหารคนยากคนจน ต่อมาก็มีศาสนาสอนให้เมตตาต่อกัน ต่อมาก็มีการค้นพบการผลิตอาหารจำนวนมากที่เรียกว่าการปฏิวัติทางการเกษตร ต่อมาก็มีลัทธิทางการเมือง ปัจจุบันหลายๆประเทศต่างก็มุ่งไปสู่รัฐสวัสดิการ เมื่อสาเหตุที่จะทำให้ตายและไม่ได้สืบพันธ์ถูกมนุษย์เข้ามาจัดการแบบนี้ กฎนี้จึงไม่เกิดผลในสังคมมนุษย์ เมื่อยีราฟคอสั้นถูกอุ้มชูดูแล ยีราฟคอสั้นก็จะไม่สูญพันธ์ ดังนั้นเราจึงจะยังเห็นผู้ที่มียีนของโรคธาลัสซีเมียอยู่ในสังคม ยังเห็นผู้ป่วยฮีโมฟีเลียต่อไป ยังเห็นคนขยันทำมาหากินและคนขี้เกียจ ยังเห็นคนฉลาดและคนโง่ ยังเห็นคนดีและคนชั่ว ยังเห็นวีไอและนักเก็งกำไรอยู่คู่กันต่อไป และด้วยพฤติกรรมหลายๆอย่างของสังคม สัดส่วนของคนฉลาดต่อทั้งหมดควรจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนฉลาดมีโอกาสรวยกว่า เก่งกว่า น่าจะถูกเลือกเพื่อมีลูกมีหลานที่มากกว่า แต่เพราะเป็น human selection และความซับซ้อนองมนุษย์ทำให้สัดส่วนคนฉลาดน้อยลงเรื่อยๆในทุกประเทศ มีการพบว่าผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีขึ้นไปมักจะแต่งงานช้า นอกจากช้าแล้วจำนวนลูกยังน้อยด้วย ในขณะที่ผู้ที่เรียนไม่สูงมักมีลูกเร็วและมาก เป็นต้น
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 21, 2011 3:04 pm
0
0
Re: เรียนรู้ชีวิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดจิตวิทยาวิวัฒนาการนะครับ คือคิดว่าเป็นทฤษฎีที่ถูกตามธรรมชาติแต่ไม่ถูกในสังคมมนุษย์ เพราะอย่างนี้ครับ เดิมทีทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วินไม่เพียงแต่โดนค้านเพราะไปกระทบกับความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น แต่เพราะมีทฤษฎี use & disuse (ใช้และไม่ใช้) เป็นคู่แข่งสำคัญและเห็นผลชัดๆ ยีราฟคอสั้นกินอารได้ตามปกติก็จะไม่มีปัญหาอะไรแต่เมื่อใบไม้ด้านล่างร่อยหรอลง ยีราฟก็พยายามยืดคอขึ้นเพื่อเอาชีวิตรอด ทุกวันนี้ยีราฟจึงคอยาว คนเราใช้งานแขนขามากๆร่างกายก็กำยำล่ำบึ้ก ตรงกันข้ามอวัยวะไหนที่ไม่ถูกใช้ก็มักจะเหี่ยวแห้งลง ฟังดูสมเหตุผลและเห็นชัดๆกับตา แต่สุดท้ายทฤษฎี use & disuse ก็ได้รับการพิสูจน์ว่าผิด ผิดเพราะมันไม่ถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาน ผิดเพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงในระดับยีน ชาร์ล ดาร์วินต่างหากที่ถูกต้อง
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 21, 2011 3:02 pm
0
0
Re: เรียนรู้ชีวิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ทำไมดร.รู้หลักการวีไอแล้ว ไม่เก็บเงียบไว้คนเดียว เหมือนเสือค่อยๆจับกินกวางวันละตัวๆ ผลิตเสือสิงห์กระทิงแรดจำนวนมากมาแย่งกินกวางทำไม หนังสือทั้งหลายที่ดร.เขียน ผมว่าลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ได้ตังค์มาแค่นี้ผมว่าน้อยมากเมื่อเทียบกำไรจากหุ้น และที่ออกมาเตือนนี้ก็น่าจะด้วยหวังดีนะครับ เคยเห็นเสือเตือนกวางแบบนี้ไหมครับ
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 21, 2011 2:59 pm
0
0
Re: เรียนรู้ชีวิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อีกหนึ่งบทความที่น่าอ่านมากและอาจจะทำให้เรามองเห็นภาพใหญ่ เกิดเป็น Value Investor โลกในมุมมองของ Value Investor : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 09 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ในฐานะที่เป็นคนกลุ่มแรกๆ ในการลงทุน และเผยแพร่การลงทุนแบบ Value Investment ในเมืองไทย ผมได้พบกับ Value Investor มากมาย สิ่งที่ผมสังเกตเห็น และรู้สึกประหลาดใจก็คือ Value Investor โดยเฉพาะที่ค่อนข้างมุ่งมั่นกับการลงทุนจริงๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย และจำนวนมากกว่าปกติมีอาชีพหรือมีการศึกษาในสายวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะทางวิศวกรรมและแพทย์ ในช่วงแรกๆ ผมคิดว่าเป็นความบังเอิญ ต่อมาผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นเรื่องที่มีเหตุผล เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าอะไรคือ เหตุผลที่ทำให้ Value Investor ผู้มุ่งมั่นในตลาดหุ้นไทยวันนี้ประกอบไปด้วยวิศวกรผู้ชายจำนวนมากกว่าปกติ ถึงวันนี้ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ "จิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ" (Evolutionary Psychology) ซึ่งเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาใหม่ที่เพิ่งมีการศึกษามาเพียงสิบกว่าปี ผมก็คิดว่าผมพอรู้หรืออธิบายได้ว่า ทำไม Value Investor ผู้มุ่งมั่นในเมืองไทยเวลานี้จึงมักจะเป็นวิศวกรหรือหมอและเป็นผู้ชาย คำตอบสั้นๆ แบบหยาบๆ ก็คือ เพราะเขาอาจจะเกิดมาเป็น Value Investor จิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์โดยอิงกับทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ซึ่งบอกว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้นมี Mission หรือภารกิจหลักก็คือ การเอาตัวรอด และการแพร่เผ่าพันธุ์หรือยีนของตัวเองให้มากที่สุด ร่างกายและพฤติกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้น มี " วิวัฒนาการ" หรือการปรับตัวอย่างช้าๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตนั้นสามารถเอาตัวรอดได้ดี และแพร่พันธุ์ได้มากที่สุด สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวไม่ได้ก็จะตายหรือค่อยๆ สูญพันธุ์ไป มนุษย์เราก็เป็นสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากลิงหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ดังนั้นร่างกาย และพฤติกรรมของคนเรา จึงมีการปรับตัวหรือมีวิวัฒนาการให้เข้ากับธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมซึ่งก็คือ โลกเรานั่นเอง แต่โลกที่ว่านั้นไม่ใช่โลกในวันนี้ แต่เป็นโลกในยุคดึกดำบรรพ์หรือในยุคน้ำแข็งที่ผ่านมาเป็นหมื่น แสน หรือล้านปีมาแล้ว เหตุผลก็เพราะว่า โลกในยุคปัจจุบันที่เป็นสังคมอุตสาหกรรมและข้อมูลข่าวสารนั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ร้อยปี ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ยังปรับตัวไม่ทัน ความแตกต่างระหว่างจิตวิทยาวิวัฒนาการกับจิตวิทยาแบบมาตรฐานก็คือ นักจิตวิทยามาตรฐานนั้นคิดว่า พฤติกรรมของคนนั้นไม่ได้เกิดมาจากวิวัฒนาการ แต่เกิดจากการเรียนรู้ และสังคมกับคนอื่นซึ่งเริ่มต้นหลังจากที่คน ๆ นั้นเกิด พูดง่ายๆ สมองของคนในวันที่เกิดนั้นว่างเปล่า เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ที่มีแต่ "เครื่อง" แต่ยังไม่ได้ลง "โปรแกรม" เลย ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้เขาเป็นอย่างไร เราก็สอน หรือลง "โปรแกรม" ให้เขาเป็นอย่างนั้นได้ ส่วนนักจิตวิทยาวิวัฒนาการนั้นเชื่อว่า ในสมองของเรานั้น มี "โปรแกรมพื้นฐาน" หรือระบบแนวคิด และพฤติกรรมที่ถูก "ถ่ายเท" และ "ปรับแต่ง" หรือวิวัฒนาการ มาจากบรรพบุรุษมานานเป็นแสนเป็นล้านปีแล้ว ดังนั้น ถ้าเด็กเกิดมาเป็นผู้ชาย เขาก็จะมีโปรแกรมหรือสมองของผู้ชาย เขาจะมีพฤติกรรมแบบผู้ชาย เราจะสอนให้เขามีพฤติกรรมแบบผู้หญิงไม่ได้หรือได้ก็น้อยมาก อย่างที่พูดไว้ข้างต้น มนุษย์ในปัจจุบันนั้น มี "โปรแกรม" ของการอยู่รอดและแพร่พันธุ์ที่เหมาะสำหรับคนในยุคหิน และคนในยุคหินที่เหมาะจะเอาตัวรอดและแพร่พันธุ์ได้ดีนั้นก็คือ ผู้ชายต้องเป็นสมาชิกหลักที่จะหาอาหาร และทรัพยากรซึ่งในปัจจุบันก็คือ ทรัพย์สมบัติและเงินทอง ผู้ชายต้องเป็นคนที่มีความคิดที่ "เป็นระบบ" และเป็นเหตุเป็นผล หรือคิดเกี่ยวกับตัวเลขและเข้าใจวิธีการทำงานของสิ่งหรือระบบต่างๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมเพื่อที่จะสามารถคาดการณ์ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และสามารถคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ได้ดีกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงนั้นถูกกำหนดให้เป็นคนหลักในการเลี้ยงลูก ดังนั้นจึงเข้าใจเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวกับคนหรืออารมณ์และจิตใจของคน ดีกว่าผู้ชาย พูดโดยสรุปก็คือ ผู้ชายมีสมอง "แบบผู้ชาย" มากกว่าผู้หญิงและผู้หญิงมีสมอง "แบบผู้หญิง" มากกว่าผู้ชายโดยเฉลี่ย คนที่เรียนเป็นวิศวกรหรือแพทย์นั้น ส่วนใหญ่แล้วก็คือคนที่มีสมองที่คิดเป็นระบบ เป็นตัวเลข และเป็นเหตุเป็นผลสูง ซึ่งต้องใช้สมอง "แบบผู้ชาย" มิฉะนั้นเขาก็คงจะเรียนไม่ได้ การลงทุนนั้น เป็นเรื่องของการหาและสะสมทรัพยากร ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญของผู้ชาย ส่วนการลงทุนแบบ Value Investment นั้น จำเป็นต้องใช้หลักการวิเคราะห์ที่เป็นระบบ ใช้หลักของเหตุผลและตัวเลขประกอบ ทั้งหมดนั้นรวมกันทำให้คนๆ หนึ่งที่เราเห็นว่าเป็น Value Investor ที่มุ่งมั่น และมีความสามารถสูงนั้น แท้ที่จริงแล้วอาจจะไม่ใช่เป็นเพราะการศึกษาหรือเรียนรู้หลักการจากหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเกิดตั้งแต่เขายังอยู่ในครรภ์มารดา และได้ยีนที่เป็นสมองแบบผู้ชายสูง พูดง่ายๆ เขาอาจจะต้องเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะเป็น Value Investor ก่อน และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เหมาะสมเขาก็กลายเป็น Value Investor คนที่เกิดมาไม่ได้เป็น Value Investor เช่น คนที่เกิดมาเป็นผู้หญิง และมีสมองของผู้หญิงสูงทำอย่างไรก็ยากที่เธอจะเป็น Value Investor (หมายเหตุ: เธออาจจะเป็นนักเก็งกำไรรายย่อยที่ชอบอ่านความรู้สึกของคนที่เล่นหุ้นในตลาด และซื้อขายหุ้นเพื่อความสนุกสนานมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับครอบครัว) แน่นอน ผู้หญิงหรือคนที่ไม่ได้เป็นวิศวกรหรือหมอก็สามารถเป็น Value Investor ที่มุ่งมั่น และเก่งกาจได้ เพราะผู้หญิงบางคนก็อาจจะมีสมองแบบผู้ชายสูงกว่าผู้ชายโดยเฉลี่ย เช่นเดียวกัน คนที่มีความคิดแบบเป็นระบบ หรือมีสมองแบบผู้ชายสูงก็ไม่จำเป็นต้องเรียนวิศวะหรือแพทย์ ดังนั้นคนในสาขาอาชีพอื่นก็สามารถเป็น Value Investor ที่มุ่งมั่นได้ เพียงแต่ในสภาวะปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยนั้น ดูเหมือนว่ากลุ่มผู้นำของ Value Investor จะประกอบไปด้วยคนที่เกิดมา เพื่อที่จะเป็น Value Investor และพวกเขามักจะเป็นผู้ชายที่ทำงานในสายวิทยาศาสตร์ เฉพาะอย่างยิ่งวิศวกรและแพทย์
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 21, 2011 1:08 pm
0
0
Re: ความรักของผู้ชายเท้าเปล่า
ความรักก็เหมือนเงา เราวิ่งเข้าหามัน มันก็วิ่งหนีเรา วิ่งตามจนเหนื่อย มันยังไม่ใยดีเรา เหนื่อยมากๆเข้า เราก็วิ่งหนีมันบ้าง ทีนี้มันกลับวิ่งตามเรา จะเอายังไงแน่. กำจริงๆ นี่...ตอนไม่แก่ผมรู้สึกอย่างนี้ ครั้นแก่แล้วความรักก็ยังเป็นเหมือนเงานะ แต่เป็นเงาของร่มไม้ ไม่ใช่เงาแบบเมื่อกี้ ตากแดดนานๆเข้าก็ร้อน ก็ลำบาก ครั้นเข้ามาในเงารัก ก็เย็นสบายดี :D ขออวยพรให้คุณเท้าเปล่าพบรักที่ดีแบบวีไอนะครับ :D
โดย
สามัญชน
ศุกร์ มี.ค. 18, 2011 9:53 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
หวัดดีครับพี่ป้อม
โดย
สามัญชน
อังคาร มี.ค. 15, 2011 10:42 pm
0
0
Re: เด็กเลี้ยงแกะมาแว้ว ตอน อดไปงานเฮฮา (เซ็งเว้ยงุงิๆ) 12/3
:welcome: :welcome: :welcome:
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 14, 2011 6:31 pm
0
0
Re: เคล็ดลับเซียนหุ้นบันลือโลก
เข้ามาคิดถึงพี่ป้อมและวิบูลย์ครับ :D
โดย
สามัญชน
จันทร์ มี.ค. 14, 2011 5:26 pm
0
0
Re: วิเคราะห์การลงทุนจากพอร์ต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในอนาคตผมตั้งใจจะถ่ายทอดวิชาวีไอให้ลูก แต่ถ้าเขาทั้งสามไม่สนใจเลย หรือไม่ประสบผลสำเร็จเลย จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ผมมีไม้ตายที่จะมอบให้เขาอยู่ครับ ใช้สูตรมหัศจรรย์ตามนี้เลยครับ ง่ายมากและสำเร็จแน่นอนในระดับที่น่าพอใจทีเดียว http://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=32021&start=0 http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=41152 http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=46129
โดย
สามัญชน
อาทิตย์ มี.ค. 13, 2011 9:53 pm
0
0
Re: ขอชื่นชมทีมงาน tvi สำหรับงานเฮฮา
รอบหน้าถ้าน้องฮงขึ้นบรรยาย พี่ขอจองณวันนี้เลย :D
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 12, 2011 8:12 pm
0
0
Re: สำหรับคนที่ไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไร ณ เวลานี้ครับ
ผมก็เจอปัญหานี้เหมือนกัน คิดเหมือนกันว่าน่าจะลดพอร์ทได้แล้ว แต่พอมองดูพอร์ท อ้าว ทำไมมันเกินร้อย% สงสัยผมจะใช้วิธีของท่านสุมาอี้อยู่ เขาบอกว่า ถือเงินสดก็เหมือนซื้อหุ้นนั่นแหละ แต่เป็นหุ้นที่ชื่อว่า cash หุ้นตัวนี้ให้ผลตอบแทนปีละ 1 % แม้จะน้อยแต่ไม่ขาดทุนแน่ แต่ผมก็ยังไปเลือกหุ้นตัวอื่นที่ไม่ใช่ cash มีโอกาสขาดทุน แต่ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่า 1% อนาคตก็คงรู้. ว่าผมคิดถูกหรือคิดผิด
โดย
สามัญชน
เสาร์ มี.ค. 12, 2011 10:57 am
0
0
Re: เคล็ดลับ VI คือ แค่การลงทุน หรือ การใช้ชีวิตทั้งชีวิต ?
พอมีเงิน เราก็อยากจะมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าใครมีเงินแล้ว ไม่อยากมีความสุขอย่างนั้นอย่างนี้ ก็อาจจะโดนตั้งข้อสงสัยเหมือนที่บัฟเฟตต์โดน ดร.นิเวศน์โดน ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเขาคิดไม่เหมือนเรา คำตอบก็คือ เพราะตัวเขาไม่เหมือนตัวเรา ความสุขเขาไม่เหมือนความสุขเรา ลองมาฟังความสุขของหลวงปู่ดูลย์ดูครับ * ขอให้ท่านทั้งหลาย สำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้วมันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่แค่นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ร่ำไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย
โดย
สามัญชน
อาทิตย์ มี.ค. 06, 2011 9:02 pm
0
1
Re: หุ้นไทยเทียบกับเพื่อนบ้าน
PE = 13.6 ( < Indo , malay มาก ) พีอีเราใกล้เคียงเกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ วิธีที่จะทำให้พีอีบ้านเราสูงขึ้นมีสองวิธี 1. ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น 2. ผลกำไรปรับตัวลดลง หวังว่าบ้านเราคงไม่ใช้บริการข้อ 2 :D
โดย
สามัญชน
พุธ มี.ค. 02, 2011 11:44 pm
0
0
Re: สวนสยาม ทะเลกรุงเทพ เตรียมเข้าตลาดหุ้นปี2556
ผมพาลูกไปสวนสยามบ่อยๆ ลูกชอบมาก มีต่างชาติน้อยจริงๆ ยังนึกเสียดายแทน ศุกร์ที่แล้วได้ไปสยามนิรมิตร ทัวร์ต่างชาติมาลงเยอะมาก ถ้าจัดแพ็คเกตด้วยกัน ต่างชาติน่าจะชอบนะ :D เรื่องสันทนาการแบบนี้ น่าจะเป็นเทรนด์ของอนาคตได้นะ สวนสนุกที่เกาหลี ญี่ปุ่น คนแน่นยังกับอะไรดี เข้าตลาดแล้วอย่าลืมไอพีโอที่ไทยวีไอด้วยนะครับ :D
โดย
สามัญชน
พุธ มี.ค. 02, 2011 11:23 pm
0
0
Re: สอบถามผู้รู้ เกี่ยวกับ หุ้นถูก หรือ แพง
ตามทฤษฎีเขาว่าอย่างนั้นครับ และผมเชื่อตามทฤษฎีเขา อย่างตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง ทุกโรงบาลแย่หมด ไม่เว้นแม้แต่รพ.ดังๆอย่าง BH BGH SVH ยานยนต์ก็เช่นกัน เวลาเกิดวิกฤติคนก็จะลดพวกค่าใช้จ่ายสูง อสังหาก็เช่นกัน เพราะบ้านต้องใช้เงินก้อนใหญ่ โรงพยาบาลเอกชนก็น่าจะคล้ายๆกันเพราะถือว่ามีค่าใช้จ่ายสูง เวลาเกิดวิกฤติคนก็ไปรพ.รัฐประหยัดกว่า คนรวยๆอาจจะยอมจ่าย แต่คนส่วนใหญ่อาจจะจ่ายไมไหว รายได้รพ.ก็เลยลดลง และรพ.มักมีฟิกส์คอสสูง ก็เลยแย่ไปด้วย
โดย
สามัญชน
พุธ มี.ค. 02, 2011 11:05 pm
0
0
Re: คำแนะนำสำหรับคนที่สนใจจะเข้ามาลงทุนจริงๆ
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้(ลอกไอสไตน์มา) แต่จินตนาการที่ไม่มีความรู้เป็นฐานคือความเพ้อฝันที่เลื่อนลอย
โดย
สามัญชน
พุธ มี.ค. 02, 2011 10:27 pm
0
0
Re: สอบถามผู้รู้ เกี่ยวกับ หุ้นถูก หรือ แพง
อ้อ. ลืมไป ในระยะสิบปีบวกลบนิดหน่อย หุ้นโรงพยาบาลอาจจะแสดงผลประกอบการเหมือนหุ้นเติบโตนะครับ แต่ในระยะยาวๆแล้ว หุ้นโรงพยาบาลเป็นหุ้นวัฏจักร ซึ่งอยู่ในกลุ่ม economical cyclical stock ต้องระวังตรงนี้ด้วยครับ :D
โดย
สามัญชน
พุธ มี.ค. 02, 2011 8:02 pm
0
0
Re: สอบถามผู้รู้ เกี่ยวกับ หุ้นถูก หรือ แพง
และการดู PE และ P/BV ควรพิจารณา ตัวไหนเป็นอันดับแรก ครับ ต้องดู พีอี พีบี ในอนาคตสัก 2-3 ปีครับ นั่นคือเราควรจะเดาได้คร่าวๆว่าอีก 2-3 ปี บริษัทจะได้กำไรเท่าไหร่ ถ้าเดาผิดเราก็มีสิทธิขาดทุนดังนั้น ๑ ถ้าจะเดาให้ถูกเราต้องรู้ข้อมูลเชิงคุณภาพให้มากพอ ทั้งเรื่งแนวโน้มธุรกิจ ยอดขาย ค่าใช้จ่าย คู่แข่ง โอกาส ภัยคุกคาม ฯลฯ รู้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเราต้องการให้แม่นแค่ไหน ตรงนี้สำคัญมาก เพราะไม่แม่นเมื่อไหร่ก็มีสิทธิขาดทุนเมื่อนั้น ๒ ทำข้อหนึ่งจนชำนาญแล้ว ต้องมาดูต่อว่า กำไรที่จะได้นั้น ทำให้ค่าพีอีเป็นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบัน อันนี้แหละที่เราเรียกว่าพีอีในอนาคต เราก็ดูว่าพีอีในอนาคตนี้ เหมาะสมหรือยัง ถ้าเหมาะสมแล้วเราก็ไม่ซื้อ เราจะซื้อเฉพาะตัวที่ต่ำกว่าค่าที่เหมาะสม ยิ่งต่ำยิ่งดี แปลว่าเรามีโอกาสได้กำไรสูงมากๆ อาจจะเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว หรืออย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน ทีนี้มาตอบหุ้นโรงพยาบาลที่ว่าซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นตัวไหน เอาแต่หลักการนะครับ แค่พีอีปัจจุบันก็ 19 เท่าแล้ว ถ้าใช้หลัก PEG ตามสูตรปีเตอร์ ลินช์(เอาพีอี/การเติบโต) ค่านี้จะน่าสนใจถ้ามีค่าน้อยกว่าหนึ่ง นั่นแปลว่าบริษัทควรจะทำกำไรโตขึ้นอย่างน้อย 20% ซึ่งผมมองว่ายาก บางปีอาจจะเฮงแล้วได้จริง แต่ระยะยาวผมว่ายากมากสำหรับธุรกิจโรงพยาบาล เอ้า สมมติว่าเฮงสุดๆ ทำได้ทุกปี ก็มาดูว่ากำไรที่ว่าจะทำให้พีอีในอนาคตเหลือสักเท่าไหร่ ปี 54 เหลือ 15.8 ปี 55 เหลือ 13.2 สมมติว่าเราให้พีอีที่เหทาะสมคือ 19 เท่าเหมือนเดิม(ซึ่งถือว่าสูงมากในสายตาผม) ราคาหุ้นก็จะสามารถขึ้นไปได้ปีละ 20% แต่จริงๆแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นตามนี้ก็ได้หรือไม่เป็นตามนี้ก็ได้ อาจจะขึ้นเร็วกว่าหรือช้ากว่าก็ได้ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นจริงก็จะมีคนมองหาพีอีในอนาคตอีกว่า ปี 56 57 58 ว่าเป็นเท่าไหร่ เป็น dynamic ไปเรื่อยๆ ขอให้ประสบผลสำเร็จนะครับ :D
โดย
สามัญชน
พุธ มี.ค. 02, 2011 11:12 am
0
0
Re: ทำไงดี? เรารู้ข้อมูลแค่อดีตเมื่อสองเดือนก่อน ในขณะที่.
อยากจะถามว่า นักลงทุนแนว VI (Value Investor) มีวิธีบริหาร MOI ( Margin of Information ) กันอย่างไรบ้างครับ เห็นบางคนเขาใช้วิธี company visit จริงๆการทําcompany visit ก็เหมือนการขอดูข้อสอบ ขอดูเฉลย ก่อนประกาศผลสอบดีดีนั่นแหละ ........... แต่ก็เคยมีนักลงทุน VI ไป company visit แล้วได้ข้อสอบมาผิดฉบับ ได้เฉลยมาแบบผิดๆ โดนเต็มๆครับ ตายด้วยความมั่นใจ อย่าให้บอกเลยว่าหุ้นตัวไหน .......................... case นั้นนี่ เขาเตี๊ยมกันไว้ทั้งโรงงาน นักลงทุนVI จะไปถามพนักงานคนไหน ดีหมด เจ๋งหมด เยี่ยมหมด โตโลดดดดดดดดดด ...... ฟังน้ำเสียงเหมือนจะเยาะเย้ยชาววีไอ ถ้าผมฟังผิดก็ขออภัย การคอมวิสิทเป็นการเพิ่มความรู้ให้นักลงทุน ใหม่ๆอาจจะมีมือใหม่โดนหลอก หรือมือเก่าก็อาจจะโดนด้วย แต่คงไม่โดนหลอกตลอดกาลหรอกมั้งครับ :D แต่โดยรวมกิจกรรมนี้มีประโยชน์มากกว่าโทษนะครับ
โดย
สามัญชน
อังคาร มี.ค. 01, 2011 1:39 pm
0
0
Re: ทำไงดี? เรารู้ข้อมูลแค่อดีตเมื่อสองเดือนก่อน ในขณะที่.
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นที่ดีๆครับ แต่ยังไงผมก็คิดว่า ความสำคัญอันดับต้นๆของการซื้อหุ้นตัวนั้นๆน่าจะเป็น ธรรมาภิบาลของเจ้าของบริษัท :B :B :B :B :B :B :B :B เรื่องธรรมาภิบาลผมก็ให้เป็นอันดับต้นๆเช่นเดียวกัน :D เพียงแต่คำว่าอันดับต้นๆอาจจะเป็นอันดับหนึ่งหรือสองหรือสามก็ได้ ไม่ทราบว่าท่านคลายเครียดจะพอเผยมุมมองได้ไหมว่าอันดับหนึ่งสองสามคืออะไร อันนี้เป็นมุมมองของผม บริษัทที่มีธรรมาภิบาลดีๆมีไม่กี่แห่งในตลาดหลักทรัพย์ นับตัวได้ไม่ถึงยี่สิบบริษัท ที่ผมพอรู้ๆฟังๆมาครับซึ่งที่คิดว่ารู้เอาเข้าจริงก็ไม่ชัวร์เท่าไหร่ ที่เหลือก็กลางๆพอรับได้ที่จริงอาจจะดีก็ได้หรือไม่ดีก็ได้. เพราะไม่รู้ชัดและไม่มีหลักฐานพยานไปพิสูจน์ และส่วนน้อยที่แย่จริงๆจนรับไม่ได้ และบริษัทที่ลือๆกันว่าธรรมาภิบาลแย่ๆ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้แย่ตามที่ลือๆกันก็มี อันที่แย่กว่าที่ลือไม่ค่อยมี เข้าข่ายข่าวลือมักจะถูกใส่สีตีไข่เพิ่มความเข้มข้นจนเกินจริง อันที่ลือๆแล้วจางลงจนน้อยกว่าความจริงนั้นไม่ค่อยเจอ เรื่องธรรมาภิบาลผมเลยใช้หลักกลางๆเข้าไปจับ หลายๆเรื่องออกอาการให้รู้ว่าธรรมาภิบาลอาจจะไม่ดีแต่ก็ยังซื้อ ถ้าไม่เข้านิยามต่อไปนี้ 1. ตกแต่งงบการเงิน. อันนี้ต่อให้กำไรมากแค่ไหนก็ไม่อยากซื้อเพราะเป็นเรื่องร้ายแรงมาก และกำไรที่เห็นว่าดีอาจจะเป็นอย่างไรก็ได้ ที่จริงอาจจะขาดทุนก็ได้ ข้อนี้ความเห็นของผู้สอบบัญชีก็พอจะช่วยได้บ้าง ช่วยไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย 2. ไซฟ่อนเงิน ดูจากประวัติว่าเคยให้บริษัทลูกหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องยืมเงินแล้วกลายเป็นหนี้เสียบ้างไหม เคยซื้อ/ขายอะไรที่ไม่โปร่งใสไหมในรายการเกี่ยวโยงระหว่างกัน หรือรายการอื่นๆที่เป็นสัญญาณว่ามีการถ่ายเทเงินออกอย่างไม่สมควร เป็นต้น คิดออกแค่สองข้อครับสรุปว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินๆทองๆ เรื่องอื่นๆก็พอทนได้
โดย
สามัญชน
อังคาร มี.ค. 01, 2011 1:35 pm
0
0
Re: ทำไงดี? เรารู้ข้อมูลแค่อดีตเมื่อสองเดือนก่อน ในขณะที่.
อีกอย่างก็คือ ไม่หาเศษหาเลยในระยะสั้นๆ ข้อนี้ผมเองก็ทำไม่ได้บ่อยๆ เป็นวิบากกรมจากชาตินี้แหละ ยังดีที่ทำแค่นิดๆหน่อยๆพอขำๆ :D
โดย
สามัญชน
อังคาร มี.ค. 01, 2011 12:10 pm
0
0
Re: ทำไงดี? เรารู้ข้อมูลแค่อดีตเมื่อสองเดือนก่อน ในขณะที่.
ประเด็นน่าสนใจมากครับ ผมชอบคำตอบของนริศกับลูกอิสานนะครับ และถ้าทำได้ตามนั้นก็น่าจะเซฟตัวเองได้เยอะ ประเด็น อินไซเดอร์นี้ จะเป็นข้อเสียเปรียบของรายย่อยไปอีกนานแสนนาน แม้ในประเทศที่อ้างว่าพัฒนาแล้วก็ยังมีประเด็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ ประเทศเราคงเป็นอย่างที่เห็น ตรั้นจะรอให้ใครมาแก้ให้ก็คงอีกนาน เราพึ่งตัวเองไปพลางๆก่อน ผมว่า ความสามารถในการประเมินมูลค่าน่าจะพอช่วยได้ ผมมีตัวอย่างที่เห็นบ่อยๆคือ ๑ คนที่รู้งบก่อนว่าจะขาดทุน ก็เลยชิงขายก่อน พองบออก กลายเป็นราคาหุ้นขึ้นสวนแทน แบบนี้ก็มี ๒ คนที่รู้งบก่อนว่ากำไรจะโตมหาศาล เลยซื้อดักก่อน พองบออก กลายเป็นราคาร่วงเอาๆ เพราะ sale on fact ก็มี ๓ ลูกสาวของบริษัทแห่งหนึ่งรู้ว่าบริษัทกำลังจะได้งานชิ้นหนึ่ง เลยใช้นอมินีไปซื้อดักก่อน ภายหลังได้งาน ตามนั้นจริงได้กำไรตามนั้นจริง แต่ราคาหุ้นก็ยังสาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ เขาก็งง งงหลายๆครั้ง ขาดทุนหลายๆครั้งตอนนี้เลิกเล่นหุ้นไปแล้วรอรับปันผลอย่างเดียว ผมเดาว่าเขาขาดความสามารถในการประเมินมูลค่าหุ้นแม้จะรู้กำไร ๔ md ของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง มีลูกน้องเป็นนักวิเคราะห์มากมายจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลลึกๆได้ก่อนใคร เลยแอบใช้นอมินีซื้อหุ้น ปรากฏว่ากำไรบ้างขาดทุนบ้าง แต่ขาดทุนจะเยอะกว่า ตอนหลังเลยเลิกเล่นหุ้นไปแล้ว เป็นเอ็มดีอย่างเดียวดีกว่า สิ้นเดือนก็รับเงินเดือนชัวร์ๆ ๕ บริษัทแห่งหนึ่ง ผู้บริหารคร่ำหวอดในวงการมายาวนาน ก็ตัดสินใจขายสินค้าล่วงหน้าจำนวนมากเพราะเห็นราคาวิ่งขึ้นมาเยอะและมั่นใจอย่างสูงใครห้ามก็ไม่ฟัง อ้างว่าตนเองรู้ลึกรู้จริงกว่าใครๆ แต่กลายเป็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมหันต์เพราะราคาวิ่งขึ้นไปกว่าที่ล็อคราคาไว้เยอะ ในภายหลังผู้บริหารคนนี้ก็ถูกให้ออกโดยผู้ถือหุ้นใหญ่ ๖ เมื่อหกปีก่อนเจ้าของบริษัทเดินเรือแห่งหนึ่ง ตัดสินใจขายหุ้นของตัวเองออกทั้งหมดที่ราคาเอ็กซ์. นักลงทุนก็พากันหนีตายไปด้วยเพราะเห็นว่าเจ้าของขายทิ้งทั้งหมด แต่ภายหลังจากนั้นไม่นาน ราคาหุ้นปรับตัวไปเป็นสองเอ็กซ์กว่าๆท่ามกลางความงวยงงของเจ้าของ ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่พอจะให้รายย่อยมีแรงสู้ขึ้นบ้าง คนที่มองใกล้เกินไปภาพก็เบลอโดยธรรมชาติ มองไกลนักก็เห็นแค่ลางๆไม่รู้อะไรเป็นอะไร บางทีระยะการมองที่พอดีๆและมีเครื่องมือที่ดีน่าจะดี :D
โดย
สามัญชน
อังคาร มี.ค. 01, 2011 12:05 pm
0
0
Re: social network เปลี่ยนโลกได้ แล้วมันมีผลกับการลงทุนเพียง
เกิดใน social มีคน follow มากๆ สัก 1000 คน ก็มีโอกาสปั่นหุ้นแล้วละ ถ้ามันปั่นหุ้นได้นี่น่ากลัว กลต คงไปปิด server เขาไม่ได้ด้วย ธรรมชาติน่าจะปรับสมดุลให้ครับ ตามครั้งแรกได้กำไรก็คงตามอีก ตามแล้วขาดทุนบ่อยๆ ก็คงเลิกตามเอง
โดย
สามัญชน
จันทร์ ก.พ. 28, 2011 7:17 pm
0
1
Re: เมื่อ VI เต็มตลาดแล้วมือใหม่จะเป็นใช่ไร ???
ตอนนี้หาหุ้นยาก ไม่ใช่เพราะวีไอเต็มตลาดหรอกครับ แต่เป็นเพราะดัชนีมันขยับมาสูงมากต่างหาก สัดส่วนของวีไอตอนนี้กับตอนสองปีก่อนที่สามร้อยกว่าจุดก็คงจะมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน ต่างกันตรงที่ขนาดของพอร์ทคงจะใหญ่ขึ้นเท่านั้น ณ วันนี้หาหุ้นยากจริงไหม ผมว่ายากครับ หินจริงๆ ตัวที่เจอก็หวังอัพไซต์ได้ไม่มาก ขณะที่ดาวไซต์สูงกว่า ความเสี่ยงก็สูงกว่าเมื่อเทียบกับสองปีก่อน สถานการณ์อย่างนี้ควรทำอย่างไร ก็หาหุ้นต่อไป ถ้าเจอและมี mos พอก็ซื้อ ถ้าไม่เจอก็ไม่ซื้อ ตัวที่มีอยู่ถ้ายังundervalue ก็ถือไป ไม่ควรไปทำนอกเหนือจากนี้ ช่วงที่มือใหม่เข้าตลาดกันเยอะๆเป็นช่วงที่ต้องระวังครับ ยิ่งถ้าใครๆก็ล้วนแต่พูดเรื่องหุ้นทั้งๆที่ไม่เคยสนใจเลย ปีเตอร์ ลินช์แนะนำให้ขายเลยทีเดียว :D
โดย
สามัญชน
จันทร์ ก.พ. 28, 2011 6:55 pm
0
0
Re: ข้อคิดจากนักลงทุนเอกของโลก>> Peter Lynch
เรื่องกับดักคนเก่งมีอยู่ครับ คล้ายๆกับกรณีที่เราหาหุ้นด้วยวิธีของวีไอซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ได้ดีมากและกำไรก็ดีมาก แต่เมื่อนำไปใช้กับหุ้นวัฏจักร กลายเป็นตกลงไปในหลุมพรางและทำให้ขาดทุน และกลายเป็นกับดักไปเสียได้ แต่ว่าเรื่องกับดักคนเก่งนั้นพอผ่านวันเวลามานานขนาดนี้ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ แต่อันนี้มีต่อนิดหน่อยครับ ต่างคอนเซปกันผลลัพธ์ของการพัฒนาย่อมต่างกัน แต่ในระยะยาวผมไม่เคยเห็นนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคร่ำรวยได้มหาศาลเพราะ[color=#0040BF]คอนเซปไม่สอดคล้องกับปรัชญาการลงทุน[/color] หรือเป็นเพราะสาเหตุอะไรอย่างอื่น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน........ คอนเซ็บของเดย์เทรดหรือนักเก็งกำไรคือการเดาในระยะสั้น ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้เดาถูกได้แก่ เรื่องจิตวิทยามวลชน เรื่องเงินทุนจะไหลเข้าหรือออก รวมทั้งเศรษฐศาสตร์มหภาค และฯลฯ เรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็คล้ายๆกัน วิเคราะห์โดยใช้ราคาหุ้นย้อนหลังซึ่งเหตุของมันก็คือเรื่องจิตวิทยามหาชน ซึ่งถ้าใครเชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ก็ย่อมจะทำกำไรได้ดี แต่ก็อย่างที่เห็นกันบ่อยๆว่าเป็นการยากมากที่จะเดาได้แม่นยำและถูกต้องติดต่อกันยาวนาน เพราะปัจจัยเหล่านี้มีความแปรปรวนมาก รวมทั้งผลที่เกิดก็มีความแปรปรวนมากเป็นทวีคูณ ทฤษฎีเคออสอาจจะช่วยได้เยอะ แต่ทฤษฎีนี้ก็ยังล้มลุกคลุกคลานไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรก็ด้วยเพราะความแปรปรวนที่มากและ unpredictable น้ัน จึงหวังจะยึดทฤษฎีนี้เป็นสรณะยังไม่ได้ และข้อเสียอีกอย่างก็คือมันไม่ตรงกับคอนเซ็บของหุ้น คือมันอาจจะใช้แทนกันได้แต่มันไม่ใช่ตัวจริง เพราะมันไม่ validity มันมีความเที่ยงอยู่(realiable). แต่มันขาดความตรง(validity) เพราะหุ้นคือ บริษัทที่ทำธุรกิจจริงๆ ปัจจัยที่จะทำให้บริษัทรุ่งเรืองมีกำไรก็คือปัจจัยพื้นฐานในแง่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ ปัจจัยอันนี้ต่างหากที่เป็นตัวจริง เพราะมีทั้งความเที่ยงและความตรง ตัวจริงย่อมเที่ยงตรงกว่าตัวแทน และดีกว่าในระยะยาว
โดย
สามัญชน
อาทิตย์ ก.พ. 27, 2011 10:00 pm
0
0
Re: คุณผิดพลาดเรื่องการลงทุนอะไรบ้าง กรุณาเล่าให้ฟังหน่อยได้
ตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ ผมพยายามหาวิธีที่ดีที่สุด เลยลองทุกวิธีเลย ลองทุกรูปแบบเพื่อหาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง ฟังแคนี้ก็ดูจะไม่น่าผิดอะไรใช่ไหมครับ เชื่อว่าบางท่านอาจจะคิดในใจด้วยซ้ำว่าทำแบบนี้ไม่ใช่แค่ไม่ผิด แต่ถูกมากๆด้วยซ้ำไป จะมีอะไรดีกว่านี้ล่ะ แต่พอคิดทบทวนหลายๆครั้งแล้วก็เจอจุดที่ผิดอยู่ครับ ยกตัวอย่าง ตอนวัยรุ่นก็ทำทั้งที่ถูกและที่ผิด หนึ่งในที่ผิดก็คือ ผมลองสูบบุหรี่ สูบใหม่ๆก็สำลักควันบ้าง เจ็บคอบ้าง แต่ด้วยความมุ่งมั่น(เพราะคิดว่าเท่)ก็อดทนสูบไปเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่ง ใจมันได้รางวัล คือสูบแล้วอร่อย สูบแล้วสบาย สูบแล้วครึ้มๆ ทีนี้มันติดหนึบเลย ก็ใจมันชอบ จะเลิกก็คงได้ แต่ใจมันชอบ แล้วจะเลิกไปทำไม เลยยังไม่เลิกจนบัดนี้ เรื่องบุหรี่นี้นับว่าเป็นตัวอย่างที่เห็นชัดๆอันหนึ่งที่ผมยังต้องรับวิบากกรรมอยู่ กลับมาเรื่องหุ้นซึงเป็นเรื่องทำนองเดียวกัน หนึ่งในความผิดพลาดก็คือ ผมเคยลอง short against port คือว่าพอดูราคาหุ้นทุกวัน มันจะคิดว่าตัวเองรู้ว่าถ้าหุ้นออกอาการอย่างนี้เดี๋ยวมันก็ลง ถ้าอาการอย่างนั้นเดี๋ยวมันก็ขึ้น ก็เลยลองวิชา แล้วก็มีทั้งขาดทุนบ่อยๆและได้กำไรบ้าง แต่ด้วยความุ่งมั่นอย่างผิดๆก็อดทนทำไปเรื่อยๆ และแล้วมันก็ได้รางวัลคือได้กำไรมาพิสูจน์ว่าเราถูก(ทั้งที่จริงๆมันผิดมากกว่าถูกแต่ไม่รู้ตัว) แล้วมันก็ติดใจเหมือนติดบุหรี่เลิกไม่ได้ โชคดีที่ผมไม่ได้ทำเป็นล่ำเป็นสัน ทำแค่นิดๆหน่อยๆ บทเรียนก็คือ ไม่ควรเปิดโอกาสให้ใจเราได้รับรางวัลจากสิ่งที่ผิดๆเพราะมันจะติดใจ รางวัลจากสิ่งที่ถูกนั้นดีกว่า ได้เยอะกว่า สบายกว่า ยั่งยืนกว่า ประะหยัดเวลากว่า และสุดท้ายมีคุณค่ากว่า :D
โดย
สามัญชน
ศุกร์ ก.พ. 25, 2011 9:32 am
0
0
Re: แถมให้เพิ่มเติมจากกระทู้หาหุ้นสิบเด้ง
เท่าที่ทราบ มีวีไออินเดีย วีไอจีน วีไอเมกา ที่ไม่ทราบน่าจะมีอีกหลายประเทศ ไม่ทราบว่าหลักการของเขาคล้ายๆของเรามั้ย มีอะไรที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดบ้างครับ
โดย
สามัญชน
ศุกร์ ก.พ. 25, 2011 8:57 am
0
0
Re: งานเฮฮาประสาวีไอ Q1/54 ตอน แพ้ศึก อย่าแพ้สงคราม (12มีค)
2 ที่ครับ :D
โดย
สามัญชน
ศุกร์ ก.พ. 11, 2011 4:49 pm
0
0
Re:
ดังนั้นที่จริงแล้วตัวผมเองจึงไม่ได้มีความกล้าอะไรเลย ผมเพียงแต่ทำสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็เท่านั้นเอง ผ่านไปสามปีกว่าๆ ผมก็ยังคิดเหมือนเดิมนะครับ ความกล้าควรมีน้อยๆ ไม่ควรมีเยอะ ความกลัวก็ควรมีน้อยๆ ไม่ควรมีเยอะ ที่จริง ทั้งสองอย่างนี้ถ้าไม่มีเลยจะดีที่สุด มีความกลัวจึงเกิดความกล้า มีความกล้าจึงเกิดความกลัว ถ้าเรายังใช้ความกล้าในการซื้อหุ้น นั่นแปลว่าลึกๆแล้วเรามีความกลัวแฝงอยู่ และมีสิ่งที่เรายังไม่รู้เป็นต้นกำเนิดให้เกิดความกลัว กล้าแล้วเจ็บจะทำให้เกิดความกลัวไปอีกเรื่อยๆ ความกล้าและความกลัวเป็นอารมณ์ซึ่งจะบดบังความจริง เป็นเหมือน bias ที่จะทำให้งานวิจัยนั้นผิดพลาด เป็นเหมือนฝุ่นในลูกตาที่ทำให้ภาพพร่ามัวและผิดเพี้ยน ผมคิดอย่างนี้นะ ผิดถูกอย่างไรก็แนะนำได้ครับ
โดย
สามัญชน
จันทร์ ก.พ. 07, 2011 12:35 pm
0
11
Re: ผมอยาก Reserch ข้อมูลเหมือน "15ปี ผลตอบแทนพันเท่า" เหมือ
คุณโคทาโร่ลองทำทุกครึ่งปี จะได้ผลแตกต่างกันไหมครับ
โดย
สามัญชน
อาทิตย์ ก.พ. 06, 2011 10:49 pm
0
0
Re: มารวบรวมความเชื่อที่ผิดผิด เกี่ยวกับตลาดหุ้นกันครับ
ความเชื่อว่าค่าพีอีนั้นไม่สำคัญ. เป็นความเชื่อที่ผิด และความเชื่อว่าค่าพีอีในอนาคตก็ไม่สำคัญ. เป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์
โดย
สามัญชน
อังคาร ก.พ. 01, 2011 11:06 am
0
0
3207 โพสต์
of 65
ต่อไป
ต่อไป
สมาชิกกิตติมศักดิ์
ชื่อล็อกอิน:
สามัญชน
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
เสาร์ ส.ค. 16, 2003 8:58 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ ม.ค. 13, 2013 9:27 am
โพสต์ทั้งหมด:
5162 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.27% จากโพสทั้งหมด / 0.66 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว