หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
amornkowa
Joined: ศุกร์ มิ.ย. 24, 2011 10:46 pm
2195
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - amornkowa
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
อดีต VS อนาคตที่คนรุ่นใหม่อาจ ไม่ต้องมีหุ้นไทย ในมุมมองของ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พูดคุย เจาะลึก โดย เฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี สรุปจากความเข้าใจของ แอดมิน เพจ Seminar Knowledge ตลาดหลักทรัพย์ไทย เปิดทำการวันแรก 30 เมษายน 2518 อายุตลาดหลักทรัพย์ไทย ครบ 46 ปีแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงที่1 พศ. 2518-2538 ถือว่าเป็นยุคเก็งกำไรอย่างแท้จริง ช่วงนี้ คนทำงานยังไม่เข้ามาลงทุน มีแต่เศรษฐีมีเงิน ก็เข้ามาเก็งกำไร เหมือนปลาใหญ่ไล่กินเหยื่อ พอเหยื่อหมด ก็มาไล่กินปลาเล็ก (ประกอบกับไทย เริ่มมีEastern Seaboard ทำให้เกิดการจ้างแรงงาน มีเงินทุนไหลจากต่างประเทศ จาก BIBF การกู้เงินจากต่างประเทศก็ง่าย ดอกเบี้ยถูกกว่าไทยเยอะ ทำให้หุ้นไทย หลังจากเกิดพฤษภา ทมิฬ เพิ่มอย่างรวดเร็ว ประกอบ กองทุนรวม เริ่มขยับขยาย จาก เมื่อก่อนมีแค่ บลจ เอ็มเอฟซี เพียงแห่งเดียว ก็เริ่มอนุญาตให้เปิดบลจ เพิ่มขึ้น ทำให้ระดมเงินทุนจากประชาชนเข้ามาลงทุนหุ้นได้ จำได้ว่า ตอน ipo ถ้าไม่ได้จอง หรือไม่มีเงินฝากอยู่เยอะ ก็จองไม่ได้ ) ตอนนั้นบรรยากาศคึกคักมาก คนมีเงินที่ชอบเสี่ยงดวง ก็เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดย จะเข้าไปนั่งในห้องค้าหลักทรัพย์ ซึ่งตอนนั้น ถือเป็นสังคมการลงทุนอีกแบบนึง (มีการหาข้อมูลจากห้องค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข่าวลือบ้างจริงบ้าง นำข้อมูลมาเก็งกำไร แต่เดี๋ยวนี้ เนื่องจากสามารถซื้อขาย ผ่านมือถือได้ ห้องค้าต่างๆก็ยุบหายไป) หลังจากดัชนีพุ่งทำ new highในวันที่ 4มค 2537 ที่ 1789 จุด ก็ปรับตัวลดลงมาตลอด สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อยมากมาย จนกระทั่ง นักลงทุนกลุ่มนี้ที่ขาดทุนหนัก และ หายจากตลาดหุ้นไป ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่2 พศ. 2540 ซึ่งเปลี่ยนจาก การเก็งกำไร มาเป็นยุควีไอ ช่วงแรกๆ (ดร นิเวศน์ เริ่มก่อนลงทุนก่อนนั้น ตอนดัชนีประมาณ 800 จุด แต่เลือกลงทุนหุ้นที่ มีปันผล 10% ดังนั้นตอนดัชนีตกต่ำสุด 204 จุด ปรากฏว่า หุ้นที่ถือไม่ขาดทุนแถมได้ปันผลด้วย ตอนนั้น พอร์ตเริ่มต้น 10 ล้านบาท ปันผล 1ล้านบาท ก็สามารถอยู่ได้แล้ว ถือว่า อาจารย์มีอิสรภาพทางการเงินแล้วตั้งแต่ช่วงนั้น อาจารย์ก็ออกหนังสือ ตีแตก ซึ่งถือเป็นหนังสือที่ คนลงทุนแนววีไอ จะอ่านเป็นเล่มแรก จะพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ผ่านมาของอาจารย์) หลักการ คือ หาหุ้นที่ราคาถูก ปันผลดี ซึ่งตอนนั้น หุ้นดีๆ ปันผลสูง PE แค่5 เท่าเอง และ ถือหุ้นยาวๆไป อาจารย์ถือหุ้นบางตัวถึง 20 ปี ช่วงนั้นก็มีก่อตั้ง สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) ขึ้นมา นักลงทุนวีไอที่ลงทุนช่วงแรก ก็มี พี่ พีรนารถ และ ไก่ ธันวา อดีต CEO IBM และ อดีตนายกสมาคมThaiviคนแรก ที่ลงทุนในแนววีไอ จนถึงตอนนี้ (ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ทางการอยากส่งเสริมตลาดหุ้นไทย เลยมีการริเริ่ม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองประหยัดภาษี RMF,LTF ทำให้มีเงินสถาบันเข้ามาลงทุนในหุ้นเยอะขึ้น) นักลงทุนที่เข้ามาลงทุน มีการศึกษาดีขึ้น จนถึง เคยเป็นที่1ในการสอบข้าวของประเทศไทย มีทั้ง วิศวกร หมอ เข้ามาลงทุนแทน ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนก่อนหน้านั้นช่วงต้มยำกุ้ง ขาดทุน ก็สาปแช่ง และ ห้ามลูกหลานเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่ 3 เปลี่ยนจาก หุ้นvalue มาเป็น value growth หลังจากเกิด วิกฤต Subprime ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกจาก 900 จุด มาที่ 380 จุด แนวทางการลงทุนของนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ตอนนั้น เปลี่ยนจาก การลงทุนแบบ value มาเป็น Value growth ถือเป็น วีไอยุคที่สอง เพราะว่า หุ้นราคาถูกๆแบบช่วงที่2 หายาก และระยะเวลาในการถือหุ้น ก็สั้นลง ไม่ได้ถือยาวเหมือน ยุควีไอตอนแรก ดัชนีก็ปรับจาก 380 จุดมาที่ 1,650 จุด ในปี พศ 2556 สร้างวีไอมากมายในช่วงนั้น ถือเป็นยุคทองของวีไออีกยุคนึง ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่4 ปี พศ 2559 เปลี่ยนจาก Value growth เป็น growth อย่างเดียว ช่วงนี้ อาจารย์บอกว่า การลงทุนแนววีไอ ช่วงนี้ไม่ค่อยworkแล้ว (อาจมาจาก หุ้นมีราคาแพงมาก หาหุ้นแนววีไอยากขึ้น ) คนก็เลยไปหาหุ้นgrowth ลงทุน ซึ่งอาจารย์เคยเตือนว่า หุ้นgrowth จริงๆอาจไม่growthจริง เช่นหุ้นที่ขยายตลาดไปต่างประเทศ อาจไม่โตจริง ซึ่งหลังจากนั้นปีเดียว คนก็เริ่มเห็นจริง ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนางฟ้าตกสวรรค์กันหมด ตอนนี้อาจารย์ เริ่มมีย้ายเงินลงทุนส่วนนึงไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียด ได้จากบทความที่สรุปก่อนหน้านี้ ดังนั้น พอร์ต อาจารย์ แบ่งเป็น ไทย 80% และ เวีดยนาม 20% อาจารย์บอกว่า ต่อไป เราอาศัยอยู่ประเทศนึง แต่ไปลงทุนในอีกประเทศนึงได้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังไม่ได้ถึง ยุคที่5คือ ยุคลงทุนใน passive fund ซึ่งเหมาะกับประเทศที่พัฒนาแล้ว สำหรับคนที่พึ่งเริ่มเข้ามาลงทุน ก็สามารถลงทุนใน ETF ได้โดย น้องเฟิร์น สรุปจากที่อาจารย์เคยพูดดังนี้ แบ่งเป็น4 ส่วน โดยลงใน เวียดนาม , จีน , US , อินเดีย อาจารย์บอกว่า อินเดีย น่าสนใจ แต่ยังไม่ได้ลงทุน
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 19, 2021 6:00 pm
0
1
Re: VI หาดใหญ่
อดีต VS อนาคตที่คนรุ่นใหม่อาจ ไม่ต้องมีหุ้นไทย ในมุมมองของ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร พูดคุย เจาะลึก โดย เฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี สรุปจากความเข้าใจของ แอดมิน เพจ Seminar Knowledge ตลาดหลักทรัพย์ไทย เปิดทำการวันแรก 30 เมษายน 2518 อายุตลาดหลักทรัพย์ไทย ครบ 46 ปีแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงที่1 พศ. 2518-2538 ถือว่าเป็นยุคเก็งกำไรอย่างแท้จริง ช่วงนี้ คนทำงานยังไม่เข้ามาลงทุน มีแต่เศรษฐีมีเงิน ก็เข้ามาเก็งกำไร เหมือนปลาใหญ่ไล่กินเหยื่อ พอเหยื่อหมด ก็มาไล่กินปลาเล็ก (ประกอบกับไทย เริ่มมีEastern Seaboard ทำให้เกิดการจ้างแรงงาน มีเงินทุนไหลจากต่างประเทศ จาก BIBF การกู้เงินจากต่างประเทศก็ง่าย ดอกเบี้ยถูกกว่าไทยเยอะ ทำให้หุ้นไทย หลังจากเกิดพฤษภา ทมิฬ เพิ่มอย่างรวดเร็ว ประกอบ กองทุนรวม เริ่มขยับขยาย จาก เมื่อก่อนมีแค่ บลจ เอ็มเอฟซี เพียงแห่งเดียว ก็เริ่มอนุญาตให้เปิดบลจ เพิ่มขึ้น ทำให้ระดมเงินทุนจากประชาชนเข้ามาลงทุนหุ้นได้ จำได้ว่า ตอน ipo ถ้าไม่ได้จอง หรือไม่มีเงินฝากอยู่เยอะ ก็จองไม่ได้ ) ตอนนั้นบรรยากาศคึกคักมาก คนมีเงินที่ชอบเสี่ยงดวง ก็เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดย จะเข้าไปนั่งในห้องค้าหลักทรัพย์ ซึ่งตอนนั้น ถือเป็นสังคมการลงทุนอีกแบบนึง (มีการหาข้อมูลจากห้องค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข่าวลือบ้างจริงบ้าง นำข้อมูลมาเก็งกำไร แต่เดี๋ยวนี้ เนื่องจากสามารถซื้อขาย ผ่านมือถือได้ ห้องค้าต่างๆก็ยุบหายไป) หลังจากดัชนีพุ่งทำ new highในวันที่ 4มค 2537 ที่ 1789 จุด ก็ปรับตัวลดลงมาตลอด สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อยมากมาย จนกระทั่ง นักลงทุนกลุ่มนี้ที่ขาดทุนหนัก และ หายจากตลาดหุ้นไป ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่2 พศ. 2540 ซึ่งเปลี่ยนจาก การเก็งกำไร มาเป็นยุควีไอ ช่วงแรกๆ (ดร นิเวศน์ เริ่มก่อนลงทุนก่อนนั้น ตอนดัชนีประมาณ 800 จุด แต่เลือกลงทุนหุ้นที่ มีปันผล 10% ดังนั้นตอนดัชนีตกต่ำสุด 204 จุด ปรากฏว่า หุ้นที่ถือไม่ขาดทุนแถมได้ปันผลด้วย ตอนนั้น พอร์ตเริ่มต้น 10 ล้านบาท ปันผล 1ล้านบาท ก็สามารถอยู่ได้แล้ว ถือว่า อาจารย์มีอิสรภาพทางการเงินแล้วตั้งแต่ช่วงนั้น อาจารย์ก็ออกหนังสือ ตีแตก ซึ่งถือเป็นหนังสือที่ คนลงทุนแนววีไอ จะอ่านเป็นเล่มแรก จะพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ผ่านมาของอาจารย์) หลักการ คือ หาหุ้นที่ราคาถูก ปันผลดี ซึ่งตอนนั้น หุ้นดีๆ ปันผลสูง PE แค่5 เท่าเอง และ ถือหุ้นยาวๆไป อาจารย์ถือหุ้นบางตัวถึง 20 ปี ช่วงนั้นก็มีก่อตั้ง สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) ขึ้นมา นักลงทุนวีไอที่ลงทุนช่วงแรก ก็มี พี่ พีรนารถ และ ไก่ ธันวา อดีต CEO IBM และ อดีตนายกสมาคมThaiviคนแรก ที่ลงทุนในแนววีไอ จนถึงตอนนี้ (ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ทางการอยากส่งเสริมตลาดหุ้นไทย เลยมีการริเริ่ม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองประหยัดภาษี RMF,LTF ทำให้มีเงินสถาบันเข้ามาลงทุนในหุ้นเยอะขึ้น) นักลงทุนที่เข้ามาลงทุน มีการศึกษาดีขึ้น จนถึง เคยเป็นที่1ในการสอบข้าวของประเทศไทย มีทั้ง วิศวกร หมอ เข้ามาลงทุนแทน ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนก่อนหน้านั้นช่วงต้มยำกุ้ง ขาดทุน ก็สาปแช่ง และ ห้ามลูกหลานเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่ 3 เปลี่ยนจาก หุ้นvalue มาเป็น value growth หลังจากเกิด วิกฤต Subprime ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกจาก 900 จุด มาที่ 380 จุด แนวทางการลงทุนของนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ตอนนั้น เปลี่ยนจาก การลงทุนแบบ value มาเป็น Value growth ถือเป็น วีไอยุคที่สอง เพราะว่า หุ้นราคาถูกๆแบบช่วงที่2 หายาก และระยะเวลาในการถือหุ้น ก็สั้นลง ไม่ได้ถือยาวเหมือน ยุควีไอตอนแรก ดัชนีก็ปรับจาก 380 จุดมาที่ 1,650 จุด ในปี พศ 2556 สร้างวีไอมากมายในช่วงนั้น ถือเป็นยุคทองของวีไออีกยุคนึง ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่4 ปี พศ 2559 เปลี่ยนจาก Value growth เป็น growth อย่างเดียว ช่วงนี้ อาจารย์บอกว่า การลงทุนแนววีไอ ช่วงนี้ไม่ค่อยworkแล้ว (อาจมาจาก หุ้นมีราคาแพงมาก หาหุ้นแนววีไอยากขึ้น ) คนก็เลยไปหาหุ้นgrowth ลงทุน ซึ่งอาจารย์เคยเตือนว่า หุ้นgrowth จริงๆอาจไม่growthจริง เช่นหุ้นที่ขยายตลาดไปต่างประเทศ อาจไม่โตจริง ซึ่งหลังจากนั้นปีเดียว คนก็เริ่มเห็นจริง ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนางฟ้าตกสวรรค์กันหมด ตอนนี้อาจารย์ เริ่มมีย้ายเงินลงทุนส่วนนึงไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียด ได้จากบทความที่สรุปก่อนหน้านี้ ดังนั้น พอร์ต อาจารย์ แบ่งเป็น ไทย 80% และ เวีดยนาม 20% อาจารย์บอกว่า ต่อไป เราอาศัยอยู่ประเทศนึง แต่ไปลงทุนในอีกประเทศนึงได้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังไม่ได้ถึง ยุคที่5คือ ยุคลงทุนใน passive fund ซึ่งเหมาะกับประเทศที่พัฒนาแล้ว สำหรับคนที่พึ่งเริ่มเข้ามาลงทุน ก็สามารถลงทุนใน ETF ได้โดย น้องเฟิร์น สรุปจากที่อาจารย์เคยพูดดังนี้ แบ่งเป็น4 ส่วน โดยลงใน เวียดนาม , จีน , US , อินเดีย อาจารย์บอกว่า อินเดีย น่าสนใจ แต่ยังไม่ได้ลงทุน
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 19, 2021 5:57 pm
0
1
Re: VI หาดใหญ่
ทางเลือกการลงทุนใหม่ของ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน ตลาดหุ้นไทยในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ขึ้นมาจาก 1,572 เมื่อ 12 พค จนถึงวันที่ 11 มิย 2564 ขึ้นมา 64.71 จุด หรือ ขึ้น 4.12% แต่ พบว่า หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นน้อยมาก ยกเว้นมีหุ้นขนาดใหญ่ตัวนึงที่ดันตลาดไว้ ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเยอะ จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาแรง ดัชนีตลาดMAI ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ขึ้นมากว่า 50% ถ้านับจากต้นปี ซึ่งการหาหุ้นที่จะลงทุนจะยากขึ้น เมื่อกลางเดือน พค ได้พูดคุยกับ อาจารย์ ยังไม่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มใหม่เลย แต่หลังจากให้สัมภาษณ์กับ รายการทันหุ้น พบว่า อาจารย์มีแนวทางการลงทุนใหม่แล้ว เรามาติดตามกันครับ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ช่วงก่อนหน้า หาหุ้นที่จะลงทุนในไทยยากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ลงทุนหุ้นไทยอยู่ 30ตัว ในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ได้อ่านบทความจากน้องสมาชิกของ Thaivi ได้โพสลงว่า หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฮ่องกง หรือ H-share บางตัวที่จดใน A-share (ในจีนแผ่นดินใหญ่) แต่ราคาที่A-share มีpremiumมากกว่าที่ H-share 100% ทำให้เป็นจุดสนใจเริ่มลงทุนหุ้นรายตัว แหล่งข้อมูลในการค้นหาหุ้น 1.Website AA Stock 2.Website ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง 3.บทวิเคราะห์ฟรี จาก Broker ที่ฮ่องกง ผู้ฟังบางท่านแย้งว่า ลงทุนกองทุนหุ้นจีน H-share ยังขาดทุนอยู่ อาจารย์บอกว่า ส่วนใหญ่กองทุนรวมจะออกกองตอนที่ Performanceดี เช่น ขึ้นไป 40-50% ทำให้ราคาที่ซื้อกองทุนไม่ถูก และอีกเหตุผลคือ อาจารย์เคยลงทุนในETF หุ้นจีน ปรากฏว่า ETF ก็ขึ้นน้อยกว่า การขึ้นของหุ้นรายตัวมาก สอดคล้องกับ อาจารย์ หลิน นายกสมาคมThaivi เคยบอกว่าลงทุนETF ในตลาดกำลังพัฒนา อาจสู้หุ้นรายตัวไม่ได้ เคยสอบถามอาจารย์โจว่า ถ้าลงทุนETFที่ไหนจึงจะได้ผลตอบแทนดี อาจารย์บอกว่า ตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น US หุ้นรายตัว ที่อาจารย์สนใจลงทุนในH-share มีจุดเด่นคือ 1. ราคาถูกกว่าหุ้นไทย เช่นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า พลังงานทดแทน PE 10 เท่าเอง 2. ปันผลดีกว่าหุ้นไทย ซึ่งตอนนี้อัตราปันผล 5.5% เทียบกับไทย เกือบ 3% 3. มีหุ้นใน new technologyให้เลือกลงทุน เช่น หุ้นinternet หุ้นกลุ่ม EV อาจารย์ยังไม่สนใจลงทุน เพราะตอนนี้ยังหาผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้ คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า ตอนรถยนต์จะเกิดขึ้นทดแทนรถม้า เมื่อ100ปีก่อน มีบริษัทเข้ามาลงทุน 2,000 บริษัท แต่เหลือรอดมาถึงตอนนี้2 บริษัทคือ Ford,GM ดังนั้นการลงทุนช่วงนี้ มีความเสี่ยงสูงเกินไป ไม่น่าสนใจ เอาไว้รอรู้ว่า มีผู้ชนะ ค่อยเข้าไปลงทุน แต่อาจได้ผลตอบแทนไม่สูง ซึ่งต้องลงก่อนที่จะรู้ว่าใครชนะ จึงจะได้ผลตอบแทนสูง แต่ถ้าสนใจลงทุน ควรลงทุนในบริษัทในจีน ซึ่งมี 4-5 บริษัท และได้สิทธิประโยชน์ภาษีมาขายในไทย เสียภาษีน้อยมาก จะน่าลงทุนกว่า บริษัทในไทย ที่ลงEV แค่บางส่วน กลยุทธ์ในการลงทุนและพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน ให้กระจายความเสียงในการลงทุน ตัวอาจารย์เองได้กระจายไปลงในหลายประเทศ และหลายอุตสาหกรรมเกือบ 80บริษัท แบ่งเป็น 1.หุ้นไทย ประมาณ 30 ตัว ตอนนี้นอกจากหุ้นเล็กแล้ว ยังมีหุ้นขนาดกลางและใหญ่ที่สถาบันลงทุนด้วย 2.หุ้นUS 2 บริษัท ที่อยู่ในกลุ่ม FAANG (FB,Amazon,Apple,Netflix,Geogle) น่าจะเดาไม่ยากเพราะมีใช้บริการในไทยด้วย อาจารย์เลือกจากที่ใช้บริการบ่อยๆ 3.หุ้นเวียดนาม ประมาณ 15 ตัว 4.หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง 20 ตัว สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์ในTheme เปิดเมืองนั้น พบว่า อาจารย์บอกว่า ตอนนี้Covidเริ่มคลี่คลายหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้ว (ตอนนี้มากกว่า 5 ล้านโดส) ตอนนี้ตลาดหุ้นไม่ค่อยสนใจเรื่องCovidแล้ว ดังนั้นจะมาเล่นหุ้นในTheme เปิดเมืองจะช้าไป Q&A 1. หุ้นสนามบิน และ โรงแรมบางบริษัทตอนนี้ market cap มากกว่าตอนก่อนcovidแล้ว 2. กลุ่มก่อสร้าง จะมีรอบวัฐจักรของกลุ่มนี้ ไม่ค่อยเกี่ยวกับCovid ปีนี้มีโครงการภาครัฐมา อาจเป็นรอบใหม่ของcycleก็ได้ 3. กลุ่มธนาคาร ยังไม่ดี เพราะ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ถ้าสนใจลงทุน ก็เลือกธนาคารที่ไม่มีพอร์ต ในโรงแรง ท่องเที่ยว และ SMEมากนัก เน้นในสินเชื่อที่มีหลักประกันจะปลอดภัยกว่า ข้อแนะนำสำหรับนักลงทุน 1. เน้นลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตในระยะยาว 2. สำหรับคนที่เงินลงทุนน้อย ให้กระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัว และ ห้ามซื้อหุ้นที่ไม่เติบโต
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2021 9:15 am
0
5
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
ทางเลือกการลงทุนใหม่ของ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน ตลาดหุ้นไทยในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ขึ้นมาจาก 1,572 เมื่อ 12 พค จนถึงวันที่ 11 มิย 2564 ขึ้นมา 64.71 จุด หรือ ขึ้น 4.12% แต่ พบว่า หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นน้อยมาก ยกเว้นมีหุ้นขนาดใหญ่ตัวนึงที่ดันตลาดไว้ ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเยอะ จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาแรง ดัชนีตลาดMAI ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ขึ้นมากว่า 50% ถ้านับจากต้นปี ซึ่งการหาหุ้นที่จะลงทุนจะยากขึ้น เมื่อกลางเดือน พค ได้พูดคุยกับ อาจารย์ ยังไม่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มใหม่เลย แต่หลังจากให้สัมภาษณ์กับ รายการทันหุ้น พบว่า อาจารย์มีแนวทางการลงทุนใหม่แล้ว เรามาติดตามกันครับ อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ช่วงก่อนหน้า หาหุ้นที่จะลงทุนในไทยยากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ลงทุนหุ้นไทยอยู่ 30ตัว ในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ได้อ่านบทความจากน้องสมาชิกของ Thaivi ได้โพสลงว่า หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฮ่องกง หรือ H-share บางตัวที่จดใน A-share (ในจีนแผ่นดินใหญ่) แต่ราคาที่A-share มีpremiumมากกว่าที่ H-share 100% ทำให้เป็นจุดสนใจเริ่มลงทุนหุ้นรายตัว แหล่งข้อมูลในการค้นหาหุ้น 1.Website AA Stock 2.Website ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง 3.บทวิเคราะห์ฟรี จาก Broker ที่ฮ่องกง ผู้ฟังบางท่านแย้งว่า ลงทุนกองทุนหุ้นจีน H-share ยังขาดทุนอยู่ อาจารย์บอกว่า ส่วนใหญ่กองทุนรวมจะออกกองตอนที่ Performanceดี เช่น ขึ้นไป 40-50% ทำให้ราคาที่ซื้อกองทุนไม่ถูก และอีกเหตุผลคือ อาจารย์เคยลงทุนในETF หุ้นจีน ปรากฏว่า ETF ก็ขึ้นน้อยกว่า การขึ้นของหุ้นรายตัวมาก สอดคล้องกับ อาจารย์ หลิน นายกสมาคมThaivi เคยบอกว่าลงทุนETF ในตลาดกำลังพัฒนา อาจสู้หุ้นรายตัวไม่ได้ เคยสอบถามอาจารย์โจว่า ถ้าลงทุนETFที่ไหนจึงจะได้ผลตอบแทนดี อาจารย์บอกว่า ตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น US หุ้นรายตัว ที่อาจารย์สนใจลงทุนในH-share มีจุดเด่นคือ 1. ราคาถูกกว่าหุ้นไทย เช่นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า พลังงานทดแทน PE 10 เท่าเอง 2. ปันผลดีกว่าหุ้นไทย ซึ่งตอนนี้อัตราปันผล 5.5% เทียบกับไทย เกือบ 3% 3. มีหุ้นใน new technologyให้เลือกลงทุน เช่น หุ้นinternet หุ้นกลุ่ม EV อาจารย์ยังไม่สนใจลงทุน เพราะตอนนี้ยังหาผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้ คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า ตอนรถยนต์จะเกิดขึ้นทดแทนรถม้า เมื่อ100ปีก่อน มีบริษัทเข้ามาลงทุน 2,000 บริษัท แต่เหลือรอดมาถึงตอนนี้2 บริษัทคือ Ford,GM ดังนั้นการลงทุนช่วงนี้ มีความเสี่ยงสูงเกินไป ไม่น่าสนใจ เอาไว้รอรู้ว่า มีผู้ชนะ ค่อยเข้าไปลงทุน แต่อาจได้ผลตอบแทนไม่สูง ซึ่งต้องลงก่อนที่จะรู้ว่าใครชนะ จึงจะได้ผลตอบแทนสูง แต่ถ้าสนใจลงทุน ควรลงทุนในบริษัทในจีน ซึ่งมี 4-5 บริษัท และได้สิทธิประโยชน์ภาษีมาขายในไทย เสียภาษีน้อยมาก จะน่าลงทุนกว่า บริษัทในไทย ที่ลงEV แค่บางส่วน กลยุทธ์ในการลงทุนและพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน ให้กระจายความเสียงในการลงทุน ตัวอาจารย์เองได้กระจายไปลงในหลายประเทศ และหลายอุตสาหกรรมเกือบ 80บริษัท แบ่งเป็น 1.หุ้นไทย ประมาณ 30 ตัว ตอนนี้นอกจากหุ้นเล็กแล้ว ยังมีหุ้นขนาดกลางและใหญ่ที่สถาบันลงทุนด้วย 2.หุ้นUS 2 บริษัท ที่อยู่ในกลุ่ม FAANG (FB,Amazon,Apple,Netflix,Geogle) น่าจะเดาไม่ยากเพราะมีใช้บริการในไทยด้วย อาจารย์เลือกจากที่ใช้บริการบ่อยๆ 3.หุ้นเวียดนาม ประมาณ 15 ตัว 4.หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง 20 ตัว สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์ในTheme เปิดเมืองนั้น พบว่า อาจารย์บอกว่า ตอนนี้Covidเริ่มคลี่คลายหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้ว (ตอนนี้มากกว่า 5 ล้านโดส) ตอนนี้ตลาดหุ้นไม่ค่อยสนใจเรื่องCovidแล้ว ดังนั้นจะมาเล่นหุ้นในTheme เปิดเมืองจะช้าไป Q&A 1. หุ้นสนามบิน และ โรงแรมบางบริษัทตอนนี้ market cap มากกว่าตอนก่อนcovidแล้ว 2. กลุ่มก่อสร้าง จะมีรอบวัฐจักรของกลุ่มนี้ ไม่ค่อยเกี่ยวกับCovid ปีนี้มีโครงการภาครัฐมา อาจเป็นรอบใหม่ของcycleก็ได้ 3. กลุ่มธนาคาร ยังไม่ดี เพราะ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ถ้าสนใจลงทุน ก็เลือกธนาคารที่ไม่มีพอร์ต ในโรงแรง ท่องเที่ยว และ SMEมากนัก เน้นในสินเชื่อที่มีหลักประกันจะปลอดภัยกว่า ข้อแนะนำสำหรับนักลงทุน 1. เน้นลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตในระยะยาว 2. สำหรับคนที่เงินลงทุนน้อย ให้กระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัว และ ห้ามซื้อหุ้นที่ไม่เติบโต
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2021 9:14 am
0
3
Re: VI หาดใหญ่
หุ้นเวียดนามปรับฐาน ถึงเวลาเข้าซื้อแล้ว? By Rangsan Pangsoon Chatree M Head of Equities บลจ พรินซิเพิล การปรับฐานของตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น เพื่อจะได้มีเงินใหม่เข้ามาลงทุน เหตุผลที่ปรับฐานในต้นสัปดาห์ไม่น่าจะมา จากCovid-19เพียงอย่างเดียว ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าก็เงียบเหงาไปบ้าง แต่ภาคการผลิตก็ยังดำเนินต่อไป ระบบการเทรดหุ้น ช่วงมกราคมที่ผ่านมา volumnการซื้อขายเข้ามามาก ทำให้ ระบบการซื้อขายหุ้นรวน ทำให้ราคาปรับตัวลงมา10% แต่ก็กลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นมีการupgradeระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเปิดบัญชีใหม่ 100,000 ราย ถือเป็นเรื่องใหม่ของตลาดหุ้นเวียดนาม ที่มีรายย่อยเข้ามาลงทุนเยอะ อาจมาจากดอกเบี้ยต่ำมาก รวมถึงราคาที่ดินที่ร้อนแรง เลยเป็นแรงผลักดันให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเยอะ HOSE handleการเทรดไม่ไหว ทำให้ Price Board เจ๊งในช่วงที่ระบบรวน ทำให้Keyคำสั่งซื้อแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ราคาอะไร ระบบต้องการแก้ไข ก็เลยlockไม่ให้แก้ไขราคาหลังจากส่งคำสั่งซื้อเข้าระบบไป ยิ่งทำให้วุ่นขึ้นไปอีก หลายคนไม่อยากเทรด และขายออกไป ทำให้ตลาดเกิดการปรับฐาน จากนักลงทุนupset ไม่มั่นใจในระบบซื้อขาย ไม่รู้ว่าจะขายได้ที่ราคาไหน ทำให้ดัชนีลงจากPeak 4-5% ส่วนตัวอยากให้ปรับฐาน 8% (1,300จุด) ปรากฏว่า ศุกร์ที่11 มิย ดัชนีดีดกลับ สัปดาห์หน้า ก็ยังมีโอกาสที่ดัชนีลงไปทดสอบที่ 1,300 จุด แต่ก็ต้องขึ้นกับ การซื้อขายของรายย่อย ด้วย เพราะต่างชาติขายมาตลอดทาง ดังนั้น กลยุทธ์ในการซื้อหุ้น สำหรับคนที่อยากซื้อ คือ แบ่งเป็น3ไม้ เข้าไม้แรกก่อน แล้วค่อยสังเกต สถานการณ์อีกที ส่วนที่เกาหลีซึ่งจะมาทำระบบ ก็ยังไม่คืบหน้า ตอนนี้เลยจ้างบริษัทในประเทศแก้ไขให้เสร็จภายใน มิย ส่วนตัว รับได้กับตลาดที่เจอdisconnect แต่รับไม่ได้กับ Price Boardเจ๊ง เวียดนามมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เพียง 2-3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลต่อ การเปิดประเทศ ได้ล่าช้ากว่าเพื่อนบ้าน เวียดนาม concern budget เพราะได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ และ เจอปัญหา สายส่งไฟฟ้า bottom neck บ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเงินมาซื้อวัคซีน ตอนนี้พยายามหาเงิน 1,000 ล้าน$ มาซื้อวัคซีน ทางภาคเอกชนจากต่างประเทศ ก็มาช่วยเหลือ 200 ล้าน$ เช่น ซัมซุงจากเกาหลี ,Foxcon จากจีน รวมถึง CP จากไทย และ ญี่ปุ่น ดังนั้น lotแรก 600ล้าน$ น่าจะได้มาเพื่อซื้อวัคซีน ซึ่งอาจได้ถึง 170ล้านโดส คิดเป็น 60-70%ของประชากรทั้งหมด ปัญหาคือ จะได้ฉีดวัคซีนตอนไหน อาจจะเป็น key risk กค น่าจะมีการฉีดวัคซีนอย่างจริงจัง และปลายปี หรือ ต้นปีหน้า ก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้น Q&A 1.อยากรู้ว่า ตั้งแต่ตลาดหุ้นเวียดนามก่อตั้งมา เกิดเหตุPrice Boardเจ๊งมากไหม ตอบ พึ่งเจอ Price Boardเจ๊งเป็นครั้งแรก แต่ที่เจอบ่อยคือ disconnect ตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องใหม่กับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่คิดว่าตลาดจะบูม ขนาดนี้ ทางแก้ คือ สำหรับนักลงทุน พยายามส่งorderภายในครึ่งเช้า เพื่อป้องกันไม่ให้เจอปัญหา 2.PE ตอนนี้แพง หรือไปต่อได้อีก ตอบ PE ตอนนี้ 13 เท่า ถ้าเริ่มรู้สึกว่าตึงๆ เมื่อPE ขยับไปที่ 18 เท่า แต่gap ระหว่าง PE 13 ไป 18 เท่า กว้างมาก 3. ผู้ฟังท่านนึง พูดว่า ได้ลงทุนหุ้นเวียดนามมา 3-4 ปี สิ่งที่เจอต่างกับSET PE ใช้valuationไม่ได้ แต่ขึ้นกับ demand&supply ตอนนี้demandมาจากคนเวียดนามแห่มาลงทุนเยอะ รวมถึงคนไทยด้วย ถามว่าควรยึดพื้นฐานจริงๆหรือเปล่า ถึงแม้ถูก แต่ราคาก่อนหน้าไม่ไปไหนเลย ถ้าตลาดหุ้นจะถูกขายถล่มมาไหม ตอนนี้กำลังหาจุดขายอยู่ ตอบ PE debateกันไม่จบ เป็นทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านศิลป PE ตัวเลขดูจะถูก แต่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับ ตลาดหุ้นของไทยและสิงคโปร์ มีปัจจัยกดดันPEอยู่ เช่น หุ้นแบงค์ ซึ่งเป็นหุ้นหลักซึ่งติดFL ทำให้ฝรั่งไม่สามารถเข้าไปซื้อ ทำให้ราคาหุ้นถูกกด แต่ ETFเกิดใหม่ เช่น Diamond ทำให้ข้อจำกัดหายไป ทำให้หุ้นแบงค์เกิด unlock value ได้ เรื่องความถูกของPE ในช่วงปี 2018-2019 สะท้อนถึงเศรษฐกิจไม่ดีเหมือนตอนนี้ รวมถึงค่าเงินยังไม่นิ่ง และตอนนี้ต่างชาติเช่น Foxcon เริ่มเข้ามาลงทุน PE ยังจับต้องได้ แต่คำว่าถูก ไม่สามารถนำมาเทียบกับSETได้ ต้องมีการdiscount ลง ทำให้ ถ้าเจอ PE 17-18 เท่าก็ถือว่าสูงแล้ว ทางตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม ต้องแก้ไขเรื่อง FL เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ 4. ผู้ฟังอ้างว่า คราวที่แล้ว บอกว่า กลุ่มBank , Construction Material อย่างละ40% ถามว่ามีอุตสาหกรรมไหนที่ปรับตัวขึ้นได้อีก จะมีการปรับพอร์ตในกองทุนหรือไม่ ตอบว่า Bankเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย Property เป็นอันดับสอง มองว่ายังlaggardในช่วง6เดือนแรก เพราะ Flow ของ developer จะมาเน้นในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มBankยังดี แต่ที่โดดเด่นคือ property ในช่วงครึ่งปีหลัง Propertyทางภาคใต้มีการทุจริต ทำให้มีการชะลอwork permit เราต้องจับตาดูก่อน และ รอดูสัญญาณจากรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามไปต่อได้ สุดท้ายขอขอบคุณ คุณ Rangsan และ คุณ Chatree มากๆนะครับ
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 12, 2021 11:45 am
0
1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
หุ้นเวียดนามปรับฐาน ถึงเวลาเข้าซื้อแล้ว? By Rangsan Pangsoon Chatree M Head of Equities บลจ พรินซิเพิล การปรับฐานของตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น เพื่อจะได้มีเงินใหม่เข้ามาลงทุน เหตุผลที่ปรับฐานในต้นสัปดาห์ไม่น่าจะมา จากCovid-19เพียงอย่างเดียว ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าก็เงียบเหงาไปบ้าง แต่ภาคการผลิตก็ยังดำเนินต่อไป ระบบการเทรดหุ้น ช่วงมกราคมที่ผ่านมา volumnการซื้อขายเข้ามามาก ทำให้ ระบบการซื้อขายหุ้นรวน ทำให้ราคาปรับตัวลงมา10% แต่ก็กลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นมีการupgradeระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเปิดบัญชีใหม่ 100,000 ราย ถือเป็นเรื่องใหม่ของตลาดหุ้นเวียดนาม ที่มีรายย่อยเข้ามาลงทุนเยอะ อาจมาจากดอกเบี้ยต่ำมาก รวมถึงราคาที่ดินที่ร้อนแรง เลยเป็นแรงผลักดันให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเยอะ HOSE handleการเทรดไม่ไหว ทำให้ Price Board เจ๊งในช่วงที่ระบบรวน ทำให้Keyคำสั่งซื้อแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ราคาอะไร ระบบต้องการแก้ไข ก็เลยlockไม่ให้แก้ไขราคาหลังจากส่งคำสั่งซื้อเข้าระบบไป ยิ่งทำให้วุ่นขึ้นไปอีก หลายคนไม่อยากเทรด และขายออกไป ทำให้ตลาดเกิดการปรับฐาน จากนักลงทุนupset ไม่มั่นใจในระบบซื้อขาย ไม่รู้ว่าจะขายได้ที่ราคาไหน ทำให้ดัชนีลงจากPeak 4-5% ส่วนตัวอยากให้ปรับฐาน 8% (1,300จุด) ปรากฏว่า ศุกร์ที่11 มิย ดัชนีดีดกลับ สัปดาห์หน้า ก็ยังมีโอกาสที่ดัชนีลงไปทดสอบที่ 1,300 จุด แต่ก็ต้องขึ้นกับ การซื้อขายของรายย่อย ด้วย เพราะต่างชาติขายมาตลอดทาง ดังนั้น กลยุทธ์ในการซื้อหุ้น สำหรับคนที่อยากซื้อ คือ แบ่งเป็น3ไม้ เข้าไม้แรกก่อน แล้วค่อยสังเกต สถานการณ์อีกที ส่วนที่เกาหลีซึ่งจะมาทำระบบ ก็ยังไม่คืบหน้า ตอนนี้เลยจ้างบริษัทในประเทศแก้ไขให้เสร็จภายใน มิย ส่วนตัว รับได้กับตลาดที่เจอdisconnect แต่รับไม่ได้กับ Price Boardเจ๊ง เวียดนามมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เพียง 2-3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลต่อ การเปิดประเทศ ได้ล่าช้ากว่าเพื่อนบ้าน เวียดนาม concern budget เพราะได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ และ เจอปัญหา สายส่งไฟฟ้า bottom neck บ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเงินมาซื้อวัคซีน ตอนนี้พยายามหาเงิน 1,000 ล้าน$ มาซื้อวัคซีน ทางภาคเอกชนจากต่างประเทศ ก็มาช่วยเหลือ 200 ล้าน$ เช่น ซัมซุงจากเกาหลี ,Foxcon จากจีน รวมถึง CP จากไทย และ ญี่ปุ่น ดังนั้น lotแรก 600ล้าน$ น่าจะได้มาเพื่อซื้อวัคซีน ซึ่งอาจได้ถึง 170ล้านโดส คิดเป็น 60-70%ของประชากรทั้งหมด ปัญหาคือ จะได้ฉีดวัคซีนตอนไหน อาจจะเป็น key risk กค น่าจะมีการฉีดวัคซีนอย่างจริงจัง และปลายปี หรือ ต้นปีหน้า ก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้น Q&A 1.อยากรู้ว่า ตั้งแต่ตลาดหุ้นเวียดนามก่อตั้งมา เกิดเหตุPrice Boardเจ๊งมากไหม ตอบ พึ่งเจอ Price Boardเจ๊งเป็นครั้งแรก แต่ที่เจอบ่อยคือ disconnect ตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องใหม่กับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่คิดว่าตลาดจะบูม ขนาดนี้ ทางแก้ คือ สำหรับนักลงทุน พยายามส่งorderภายในครึ่งเช้า เพื่อป้องกันไม่ให้เจอปัญหา 2.PE ตอนนี้แพง หรือไปต่อได้อีก ตอบ PE ตอนนี้ 13 เท่า ถ้าเริ่มรู้สึกว่าตึงๆ เมื่อPE ขยับไปที่ 18 เท่า แต่gap ระหว่าง PE 13 ไป 18 เท่า กว้างมาก 3. ผู้ฟังท่านนึง พูดว่า ได้ลงทุนหุ้นเวียดนามมา 3-4 ปี สิ่งที่เจอต่างกับSET PE ใช้valuationไม่ได้ แต่ขึ้นกับ demand&supply ตอนนี้demandมาจากคนเวียดนามแห่มาลงทุนเยอะ รวมถึงคนไทยด้วย ถามว่าควรยึดพื้นฐานจริงๆหรือเปล่า ถึงแม้ถูก แต่ราคาก่อนหน้าไม่ไปไหนเลย ถ้าตลาดหุ้นจะถูกขายถล่มมาไหม ตอนนี้กำลังหาจุดขายอยู่ ตอบ PE debateกันไม่จบ เป็นทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านศิลป PE ตัวเลขดูจะถูก แต่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับ ตลาดหุ้นของไทยและสิงคโปร์ มีปัจจัยกดดันPEอยู่ เช่น หุ้นแบงค์ ซึ่งเป็นหุ้นหลักซึ่งติดFL ทำให้ฝรั่งไม่สามารถเข้าไปซื้อ ทำให้ราคาหุ้นถูกกด แต่ ETFเกิดใหม่ เช่น Diamond ทำให้ข้อจำกัดหายไป ทำให้หุ้นแบงค์เกิด unlock value ได้ เรื่องความถูกของPE ในช่วงปี 2018-2019 สะท้อนถึงเศรษฐกิจไม่ดีเหมือนตอนนี้ รวมถึงค่าเงินยังไม่นิ่ง และตอนนี้ต่างชาติเช่น Foxcon เริ่มเข้ามาลงทุน PE ยังจับต้องได้ แต่คำว่าถูก ไม่สามารถนำมาเทียบกับSETได้ ต้องมีการdiscount ลง ทำให้ ถ้าเจอ PE 17-18 เท่าก็ถือว่าสูงแล้ว ทางตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม ต้องแก้ไขเรื่อง FL เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ 4. ผู้ฟังอ้างว่า คราวที่แล้ว บอกว่า กลุ่มBank , Construction Material อย่างละ40% ถามว่ามีอุตสาหกรรมไหนที่ปรับตัวขึ้นได้อีก จะมีการปรับพอร์ตในกองทุนหรือไม่ ตอบว่า Bankเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย Property เป็นอันดับสอง มองว่ายังlaggardในช่วง6เดือนแรก เพราะ Flow ของ developer จะมาเน้นในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มBankยังดี แต่ที่โดดเด่นคือ property ในช่วงครึ่งปีหลัง Propertyทางภาคใต้มีการทุจริต ทำให้มีการชะลอwork permit เราต้องจับตาดูก่อน และ รอดูสัญญาณจากรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามไปต่อได้ สุดท้ายขอขอบคุณ คุณ Rangsan และ คุณ Chatree มากๆนะครับ
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 12, 2021 11:42 am
0
1
Re: VI หาดใหญ่
ถามอิกกับอิก 8 June 2021 20.30 วันนี้มาฟังมุมมองของ ดร นิเวศน์ ว่ามองหุ้นเวียดนามร่วงหนักหลังเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่อย่างไร อจ นิเวศน์ บอกว่า อยากย้อนไปที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเปิดตลาดหุ้นในปี 2000 จากดัชนี 100 จุดขึ้นไป 1,319 จุด ผลตอบแทนทบต้นเกือบ 15% ภายใน20ปี ถ้ารวมปันผลก็เป็น 17% ขึ้นมา 13 เท่า รอบนี้ขึ้นไปแตะ 1,400 จุด และลงมาแรง เปรียบเทียบตลาดหุ้นไทย ปี2518 เป็นปีแรกที่เปิดให้ซื้อขายหุ้นในไทย SET ขึ้นไป20ปีแรก เท่ากับตลาดหุ้นเวียดนาม ประมาณ 1,200 จุด แต่พอช่วงที่สอง ตลาดหุ้นไทยขึ้นจาก 1,320 ไปที่ 1,600จุด ใน 24 ปีหลัง หุ้นขึ้นแค่ 320 จุด คิดเป็น 2-3 % ต่อปี ถามว่า ตลาดหุ้นเวียดนามจะเหมือนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่สองหรือไม่ ดร นิเวศน์ ไม่คิดว่า ตลาดหุ้นเวียดนามจะเหมือนกับตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทย ในช่วง20ปีที่สอง ไม่ค่อยผันผวน แกว่งตัวช้าๆ แต่ก็มีหุ้นเล็กที่ผันผวนแรง ซึ่งนักลงทุนไทยเล่นอยู่ ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นใหญ่มีคนเล่น โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ต้นปีจาก 1,100 จุดมาอยู่ที่ 1,300 แล้ว ต่อจากนี้น่าคิด ตลาดหุ้นไทย ล้อไปกับ ศก ไทย ซึ่งโตช้า อีก1-2ปี ก็จะโต 3-4% ศก ไทย หายไป 3 ปี แต่ ศก เวียดนาม ก็โตต่อใน3 ปีนี้ ปีนี้น่าจะโตไม่ต่ำกว่า 7% เวียดนาม ศก ไม่อิงกับการท่องเที่ยวเหมือน ไทย แต่อิงกับการส่งออก ศก ไทย อีก3ปี จะไปต่อไหม ก็เป็นคำถามที่น่าคิด ส่วน ตลาดหุ้นเวียดนาม ไม่ห่วงว่าตอนนี้ดัชนีอยู่ระดับสูง ถ้าเทียบในอาเซียนจะต่ำที่สุด ETF Diamond โตเร็วมาก บริษัทที่อยู่ในกองETF เป็น หุ้นTop ที่ต่างชาติที่ถือ เป็นหุ้นSuperstock ปีนี้ ETF Diamond ขึ้นมาไม่น้อยกว่า 30-40% อจ นิเวศน์ก็พึ่งไปซื้อมา ก่อนหน้านี้หุ้นไม่ขึ้น แต่ตอนนี้ นักลงทุนรายย่อยที่เวียดนาม 3 ล้านคนแล้ว เล่นกันvolumn 30,000ลบต่อวัน แต่ต่างชาติขายหุ้นตลอดในช่วงนี้ รายย่อยเปิดบัญชีเดือนละแสนคน เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เวลารายย่อยมาเล่น ก็เหมือนสมัยก่อนของไทย เล่นหุ้นแบงค์ ซึ่งแต่ละแบงค์ ต่างคนก็ไม่ได้แข่งขันกันเหมือนเมืองไทย แบงค์ก็โตเร็ว เพราะคนยังกู้แบงค์น้อย มีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะ รายย่อยที่เวียดนาม สนใจแต่หุ้นที่วิ่งเร็วๆ บริษัทเล็กๆมีเยอะ อจ ลงทุนธนาคาร ที่ทำ consumer finance ลงทุนไม่นาน ราคาก็ขึ้นมา100% แต่ไม่สามารถซื้อหุ้นได้เยอะ(น่าจะติดFL) หลังๆ ถ้าจะซื้อหุ้นที่มีpremium ก็ซื้อผ่าน ETF Diamond ดัชนีหุ้นเวียดนาม ถ้าเป็นทั้งตลาด คือ ดัชนี VN ตอนนี้1319 จุด, VN30 1438 จุด(คล้ายSET50) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นขนาดใหญ่ 30ตัวแรก ในนั้นจะมีหุ้นแบงค์เยอะ อจ บอกว่า ขาขึ้นของตลาดหุ้นเวียดนามรอบนี้ ขึ้นอย่างเดียวเลย อจ บอกว่า หุ้นขึ้นเร็ว มาจากรายย่อยเป็นแรงผลักดัน แต่ก็มีอิงกับfundamental แต่หุ้นที่เล่นไม่ใช่หุ้นกลุ่มนี้หมายถึงหุ้นพื้นฐาน แต่รายย่อยไปเล่นกลุ่มเหล็ก ยาง เป็นต้น ดังนั้นหุ้นพื้นฐาน เช่น ACV ซึ่งเป็นหุ้นสนามบินคล้ายกับ AOT ในเมืองไทย สนามบินเวียดนามในอนาคตจะโตมากกว่านี้ คนเวียดนามต้องเดินทางโดยเครื่องบิน เพราะระยะจากเหนือไปใต้(Hojimin to Hanoi)ต่างกัน 2,000 กม ส่วนถนน ที่อยู่นอกเมือง สถาพไม่ดี ใช้เวลาเยอะในการเดินทาง ต้องใช้เครื่องบินอย่างเดียว การมองหุ้นเวียดนาม ให้เปรียบกับหุ้นในเมืองไทย เช่น ธุรกิจห้างสรรพสินค้า Vincom เทียบกับ CPN ธุรกิจสนามบิน ACV เทียบกับ AOT ดูแล้วที่เวียดนาม มีmarket cap เล็กกว่าของไทยเยอะ เพราะคนเวียดนามยังไม่รู้จักหุ้น Superstock เลยไม่เล่นกลุ่มนี้ ดังนั้นในตลาดหุ้นเวียดนาม โอกาสไม่ใช่แค่ดัชนีหุ้นขึ้นอย่างเดียว แต่จะได้ประโยชน์จากการถือหุ้นsuperstockที่เวียดนาม ตอนหุ้นไทย สมัยก่อนขึ้นเฉลี่ย 6%ต่อปี จากใน40กว่าปี แต่คนที่ลงทุนแบบวีไอ จะได้กำไรมากกว่านี้เยอะ กลุ่มProperty ก็น่าสนใจ กลุ่ม Vinhome ที่มีmarket capแสนล้าน ตลาดหุ้นไทยสมัยก่อน กลุ่มproperty จะมาช่วงแรกๆ เช่น กลุ่มบางกอกแลนด์ เวียดนามก็คงคล้ายๆกัน จะมีผู้ชนะรายใหม่ๆของกลุ่มproperty หมุนเวียนกันไป เป็นโอกาสของนักลงทุนแนววีไอที่ลงทุนหุ้นเวียดนาม อจ ไม่มีเวลาในศึกษาหุ้นรายตัว แต่เข้าใจตลาดหุ้นดีจากประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมาในตลาดหุ้นไทย เลยเลือกหุ้นจากกลุ่มที่เคยขึ้นของเมืองไทย หุ้นพลังงานที่ลงทุนไป เมืองไทยโตมาก แต่หุ้นที่เวียดนามไม่โต กลับจ่ายปันผลดี อจ บอกว่า สู้ลงทุนในกลุ่มแบงค์ไม่ได้ มาเร็วกว่าเยอะ เราไม่มีเวลา และไม่รู้จักหุ้นมากพอ ไม่ได้ไปเวียดนามหลายปี เลยไปลงทุนในETF Diamond ตัวTopในport ก็เป็นตัวที่สนใจอยู่แล้ว เลยซื้อได้เยอะเลย มุมมองของความเสี่ยงของตลาดหุ้นเวียดนาม ตอนปี2018 คุณอิกบอกว่า ดัชนีก็เคยขึ้นสูงและตกลงมา ถามว่า ตอนนี้จะเหมือนกันไหม อจ บอกว่า ปี2008 ตลาดหุ้นเวียดนามมีการreform ปฏิรูป เมื่อก่อน ไปซื้อหุ้น เอาเงินอัดกระเป๋าไปซื้อ เพราะเงินเฟ้อสูง ยังมีกลิ่นอายของคอมมิวนิสต์ หลังปี2008 reform ค่าเงินเคยลด30% และค่าเงินเริ่มนิ่ง รัฐต้องการส่งเสริมการลงทุน นโยบายเริ่มมีมาตรฐาน เงินเฟ้อ อยู่ 2-3% คล้ายเมืองไทยแล้ว ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นมาเยอะเลย ค่าเงินเริ่มstableมากขึ้น จีนเมื่อก่อน ศก โตแบบ miracle รอบนี้ เวียดนามถือว่าเป็นstarเลย การส่งออกของเวียดนามปีนึงมากกว่า 20,000 ล้าน มากกว่าเมืองไทยแล้ว ภาคconsumerโตมาก หุ้น VRE โตไว (อจ ยังไม่ได้ซื้อ) คนแน่นห้างเทียบกับ4ปีก่อน ไม่มีคนเดินเยอะ หุ้นทุกSector มีโอกาสเติบโตสูง Q&A 1.กังวลว่าเทคโนโลยีกำลังมา ทำให้หุ้นเวียดนามหมดเสน่ห์ในการลงทุนไหม ตอบ เวียดนามสามารถอยู่กับold economyได้ ค่าแรงถูก ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆเลย ห้างยังเติบโตอีกเยอะ ตลาดเสื้อผ้า ก็ยังเติบโตได้ ยังไม่มีธุรกิจไหนที่อิ่มตัว ตอนอจ ออกไปตจว ไอศครีมยังเป็นยี่ห้อlocalเลย ธุรกิจยังไม่ถึงระดับstandardระดับโลกเลย 2.ระหว่างหุ้นธนาคารเล็กที่ยังมีroomในการลงทุนกับธนาคารขนาดใหญ่ที่มีRoomอาจเต็ม อจ เลือกกลุ่มไหนดีครับ ตอบ เลือกหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ที่มีmanagementดีๆ เมืองไทยมีตัวอย่างเรื่องนี้ ถ้าบริหารไม่ดี ก็เจ๊งได้ แต่ต้องระวังว่า ให้ซื้อไว้ในพอร์ตระดับนึง แนะให้กระจายความเสี่ยง เช่น ลง VN30 เพราะธนาคารจะดีมากจนถึงวันนึงแล้วเจ๊งเลย ต้องระวัง 3. ETF Diamond มีเงินเข้ามาลงทุนเยอะจะเหมือน กองเทคโนโลยีที่สหรัฐซึ่งนิยมมากในช่วงต้นปี และหลังจากนั้นราคาร่วงลงมาแรงไหม ตอบ กองนี้มีหุ้นดีๆ 12ตัวเช่น หุ้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ตอนที่คนเข้ามาลงทุน ทำให้ราคาหุ้นในกองนี้ก็ขึ้นตามไปด้วย แต่หุ้น12ตัวนี้ ก็ยังไม่แพง PE เฉลี่ยก็ยังไม่สูง หุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง แต่ถ้าถือหุ้นในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนดี ถ้าต่างชาติเข้ามาเมื่อไหร่ หุ้นเวียดนามก็สามารถขึ้นได้อีก 4.ผู้ฟังถามว่า ถ้าเราคิดสวน เรื่องคนแห่ไปลงทุนในต่างประเทศกันเยอะ ลงทุนหุ้นไทยดีไหม ตอบว่า ขนาดจำนวนเงินที่ไปลงทุนต่างประเทศ ก็ยังไม่เยอะ และหุ้นไทย ก็มีการลงทุนต่อวันแสนล้านบาท นาทีนี้ ถ้าบอกว่าลงทุนหุ้นเวียดนามเสี่ยง ตลาดหุ้นต่างประเทศและไทยเสี่ยงกว่า ดังนั้นให้ดูภาพใหญ่ของบริษัท เช่น ถึงแม้เป็นold economy ก็ยังมีคนใช้บริการ ให้ลงทุนและถือยาวไป สุดท้ายขอขอบคุณ อจ นิเวศน์ และคุณอิก นะครับที่มาให้ความรู้และข้อคิดเห็นสำหรับ ตลาดหุ้นเวียดนาม
โดย
amornkowa
อังคาร มิ.ย. 08, 2021 10:31 pm
0
5
Re: VI หาดใหญ่
https://www.facebook.com/100000173120829/posts/4737090119640045/
โดย
amornkowa
อังคาร มิ.ย. 08, 2021 10:28 pm
0
0
Re: มองหุ้นเวียดนามอย่างไรหลังจากทำจุดสูงสุดแล้วร่วงลง โดย ดร นิเวศน์
สนใจดูคลิป สัมภาษณ์ ได้จากlinkด้านล่างครับ https://www.facebook.com/100000173120829/posts/4737090119640045/
โดย
amornkowa
อังคาร มิ.ย. 08, 2021 10:25 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
10. Makro. ROE 30.1% มีความน่าสนใจในเชิงพื้นฐาน ราคาไม่แพงนัก สินทรัพย์ 75,000 ลบ หนี้สินระยะสั้น 36,000 ลบ แบ่งเป็น เจ้าหนี้การค้า28,466ลบ หนี้สินระยะยาว 14,000ลบ D/E Ratio 2เท่า ถ้าราคาหุ้นลงมา ก็น่าสนใจ มีปันผลต่อเนื่อง
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:48 pm
0
4
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
9. FORTH ROE 31.3% หุ้นขึ้นมาเยอะมาก มีStory ทำตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ (ตู้เต่าบิน) ธุรกิจตู้เต่าบินน่าสนใจ ถ้าทำได้จริงๆ ตู้นึงขายได้วันละ 50 แก้ว ติดตั้งถ้าได้ 7,000 ตู้ GP ค่อนข้างok ทำให้ Fsmart ซึ่งเดิมธุรกิจเติมเนชะลอไป ได้ธุรกิจนี้มาช่วย Valuation Fsmart มีpremiumขึ้นมา โดยถือในธุรกิจ เต่าบิน 19% Forth ยังมี Enterprise solution และได้สัญญาซื้อขายระบบสื่อสารวิทยุเฉพาะกิจ Digitalมาด้วย หนี้สิน ระยะสั้น 5,200 ลบ แบ่งเป็นหนี้การค้า 2,100 ลบ และ เงินเบิกเกินบัญชี 2,400ลบ งบการเงินช่วงที่ผ่ามมา รายได้ 6000-7000 ลบ กำไร 200-400 ลบ ROE ที่ผ่านมา +-20%
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:46 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
8. NOBLE ROE 33% เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักการในการดู คือ Back log และ โครงสร้างส่วนทุน หนี้ค่อนข้างสูง D/E Ratio 2 เท่านิดๆ ธุรกิจอสังหา กำไรไม่สม่ำเสมอ ขึ้นกับBacklog ว่ามีโอนเยอะหรือไม่ ดังนั้น เราต้องมองในส่วน Backlog ว่าพร้อมจะโอนมาก น้อย แค่ไหน
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:41 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
7. Advance ROE 37.8% คล้าย DCC รายได้ และ กำไร ไม่หวือหวามาก รายได้สม่ำเสมอ ทุกคนต้องใช้ อยู่คู่กับสังคมไทยอีกนาน ปันผล 4-5%
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:39 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
6. CBG ROE 38.1% เติบโตค่อนข้างโดดเด่น มาจากการควบคุมการผลิตดี มีการส่งไปขายต่างประเทศด้วย สินทรัพย์ จากปี 2560 = 12,519 ลบ เพิ่มเป็น 17,043 ลบ ใน Q1 2564 หนี้สิน จากปี 2560 = 5,514 ลบ เพิ่มเป็น 6,707 ลบ ใน Q1 2564 D/E Ratio น้อยกว่า 1 เท่า รายได้ปี 2560 13,067 ลบ เฉพาะรายได้ Q1 2564 = 4,065 ลบ กำไรสุทธิ (2560) 1,245 ลบ เติบโตเป็น 700 ลบ ใน Q1 2564 Net profit Margin (2560) 6.13% เติบโตเป็น 17.11% ใน Q1 2564 ROE (2560) 17.81% เติบโตเป็น 36.83% ใน Q1 2564 เพราะมีการปรับปรุงเรื่องการผลิต เป็นหุ้นคุณภาพค่อนข้างดี ยอดขายโตไปเรื่อยๆ มองการเติบโตในต่างประเทศ CLMV Q1 2564 โดนกระทบจากCovid ในไทยและCLMV ยอดขายกลับมาได้ไม่ยาก
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:38 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
5. DCC ROE 39% บริษัท ทำกระเบื้องเซรามิค ช่วงนี้ยอดขายตกแต่งบ้าน เติบโตพอสมควร ฟื้นต้วจากการเติบโตของบ้านเดี่ยว Demandสินค้าตกแต่งบ้านค่อนข้างดี และ หุ้นจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่อง สินทรัพย์ จากปี 2560 = 7,097 ลบ เพิ่มเป็น 8,633 ลบ ใน Q1 2564 หนี้สิน จากปี 2560 = 3,316 ลบ เพิ่มเป็น 3,631 ลบ ใน Q1 2564 ส่วนผู้ถือหุ้น จากปี 2560 = 3,525 ลบ เพิ่มเป็น 4,904 ลบ ใน Q1 2564 ส่วนทุนไม่ค่อยโต เพราะจ่ายปันผลมาก ทำให้Eเติบโตน้อย รายได้ปี 2560 7,392 ลบ เฉพาะรายได้ Q1 2564 = 2,435 ลบ กำไรสุทธิ (2560) 1,116 ลบ เติบโตเป็น 493 ลบ ใน Q1 2564 Net profit Margin (2560) 14.10% เติบโตเป็น 20.32% ใน Q1 2564 ROE (2560) 32.50% เติบโตเป็น 39.62% ใน Q1 2564 เพราะสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาลดลง ปรับราคา ได้ค่อนข้างดี ทำให้อัตรากำไรดี ราคาหุ้นไม่หวือหวา เป็น Theme ปันผล , ROE สูง แต่จ่ายปันผลเยอะ
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:27 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
4.COM7 ROE 41.2% เป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีค่อนข้างมาก สินทรัพย์ จากปี 2560 = 7,000 ลบ เพิ่มเป็น 10,872 ลบ ใน Q1 2564 หนี้สิน 6,438 ลบ แบ่งเป็น หนี้สินระยะสั้น 5,500 ลบ มาจาก เงินเบิกบัญชี 1,712 ลบ และ เจ้าหนี้การค้า 3,xxx ลบ ส่วนผู้ถือหุ้น 4,416 ลบ ซึ่งปันผลน้อย ทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นโต รายได้ปี 2560 22,562 ลบ เฉพาะรายได้ Q1 2564 = 11,965 ลบ ROE (2560) 28% เติบโตเป็น 43.94% ใน Q1 2564 ( 2563 = 41% ) กำไรสุทธิ (2560) 608 ลบ เติบโตเป็น 565ลบ ใน Q1 2564 ( 2563 = 1,400 ลบ ) Margin 3-4% กำไรน้อย แต่หมุนสินค้าได้เร็ว Valuation P/B ratio (2560) 9.38 เท่า เติบโตเป็น 19.56 เท่า ใน Q1 2564 มองว่าหุ้นแพงมาก การดูbook value มีจุดอ่อน แค่ว่าซื้อได้ถูกกว่าbook valueเท่าไหร่ แต่ไม่คำนึงถึงกำไรของกิจการ P/E ratio (2560) 36 เท่า เติบโตเป็น 48.86 เท่า ใน Q1 2564 ROE (2560) 28.41% เติบโตเป็น 43.94% ใน Q1 2564 บริษัทไม่ได้มีการลงทุนหนัก หรือ สร้างโรงงานเลย ขยายสาขา โดยเช่าหน้าร้าน หุ้นแบบนี้มีไม่เยอะ และ โตได้อีก 3-5 ปี
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:25 pm
0
4
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
3.STARK ROE 53.8% เป็นหุ้นเติบโตจากการ take over หรือควบรวมกับกิจการอื่นเข้ามา D/E Ratio 2-3 เท่า โดยหักหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ยจ่ายออก Equity 4,000 ลบ , Debt 25,724 ลบ
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:18 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
2.STGT ROE 79.8% หุ้นอยู่ในรอบวัฐจักรค่อนข้างดี ราคาต่อหน่วยขึ้นมามาก กำไรกระโดดมากใน Q1 2564 = 10,051 ลบ แรงมากจริงๆ หนี้สิน 12,896 ลบ และ ส่วนผู้ถือหุ้น 41,270 ลบ กำไรปี63 14,400 ลบ เป็น effect มาจากวัฐจักรขาขึ้นของcommodity ข้อควรระวัง เป็นหุ้นวัฐจักร ตั้งแต่ Q2 2563 เริ่มมีการปรับราคาขายdropลงมาบ้างแล้ว ทำให้กระทบต่อGPพอสมควร ต้องติดตามให้ดี PE = 5 เท่า , PB = 3 เท่า จะยืนได้นานแค่ไหน กำไรปกติจะมี Valuation ขนาดไหน อาจยืนได้ในราคาปัจจุบันได้ไหม ต้องติดตามต่อไป
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:09 pm
0
3
Re: หุ้นที่มีROEสูงสุด by เพจซั่มหุ้น
1.AS ROE 107.7% ถือเป็นหุ้นturnarround โดย กำไรในปี2563-2564 ระเบิด จากเดิมรายได้ 600-800 ลบ ในช่วง5ปีที่ผ่านมา โตเป็น 1,300 ลบ กำไรสุทธิ 307 ลบ จากเดิม 4 ลบ เนื่องจาก เกิดโรคระบาดCovid-19ตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้นและมีเกมที่ออกใหม่เข้ามามากขึ้น D/E Ratio ต่ำ หนี้ค่อนข้างน้อย เป็นกิจการที่หนี้ไม่เยอะ ROE 107% ถือเป็นหุ้นturnarround กลับมาหลายเด้ง ดูต่อไปว่าสามารถจะรักษากำไรให้โตแบบนี้ตลอดไปไหม
โดย
amornkowa
อาทิตย์ มิ.ย. 06, 2021 4:03 pm
0
3
Re: VI หาดใหญ่
#อวสานของโควิด & #อนาคตของประเทศไทย โลกในมุมมองของ Value Investor 5 มิถุนายน 64 #ดรนิเวศน์ #เหมวชิรวรากร ในวันเสาร์ที่ 5มิถุนายน 2564 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประเทศไทยก็จะเริ่มมีการ “ระดมฉีด”วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนทั้งประเทศและจะทำต่อเนื่องจนคนทั้งประเทศมี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่จะป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงจนกลายเป็น “วิกฤติ” ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตามแผนการที่กำหนด คาดว่าภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าก็น่าจะภายในกลางปีหน้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเดินทางจะกลับมาเป็นปกติ และ GDP หรือ ผลผลิตมวลรวมของประเทศก็น่าจะกลับมามีขนาดเท่าเดิมก่อนเกิดโควิดภายใน 1 ปีหลังจากนั้น หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทย “หายไป” หรือหยุดนิ่งไปประมาณ 3 ปี โดยที่การฟื้นตัวหลัก ๆ จะเกิดขึ้นในปี 2565 โดยในวันสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 สภาพหรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะใกล้เคียงกับวันสิ้นปี 2562 นั่นคือ เราจะมีภาคอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกสินค้า “ยุคเก่า” เช่นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและอุตสาหกรรมที่เป็น “เทคโนโลยีเก่า” ที่เน้นแรงงานเหมือนเดิม มีภาคเกษตรกรรมที่อิงอยู่กับการใช้ที่ดิน เครื่องจักร และแรงงานของคนสูงอายุ ที่อิงอยู่กับเทคโนโลยีดั้งเดิม และเราก็จะยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว “ยอดนิยม” ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยเฉพาะจากจีนจำนวนประมาณ 40 ล้านคนซึ่งจะกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้งหลังจากที่ต้องอยู่แต่ในประเทศของตนเองมานานอย่างน้อย 2-3 ปี การเกิดขึ้นของโควิด-19 ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่าโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” นั้น อาจจะไม่ใช่สำหรับประเทศไทยในวันสิ้นปี 2565 สามปีที่ผ่านไปนับจากวันเกิดการระบาดของโควิด-19 นั้น อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยในประเทศไทยยกเว้นพฤติกรรมบางอย่างเช่น การซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้นและการทำงานบางอย่างผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่จะอยู่กับเราต่อไปหลังจากโควิด-19 อนาคตของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2566 จะไปทางไหน? นี่เป็นคำถามสำคัญที่เราจะต้องตอบ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ในวันนี้ ผมคิดว่าอนาคตของประเทศจะ “มืดมน” เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้น กำลัง “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เอาแค่รถยนต์ใช้น้ำมันที่ทั่วโลกต่างก็จะเลิกใช้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านั้นก็อาจจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของเรา “เซ” ไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอุตสาหกรรม “ไฮเท็ค” อย่างเครื่องมือสื่อสารหรืออิเล็คโทรนิคที่เราถูก “ผ่าน” ไปยังประเทศที่เป็นแหล่งลงทุนใหม่ ๆ อย่างเวียตนามเพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ดูเหมือนจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ สินค้าด้านการเกษตรซึ่งเคยเป็น “กระดูกสันหลัง” ของไทยตั้งแต่ช่วงสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเองนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันก็ดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักยกเว้นการใช้เครื่องทุ่นแรงที่มีการใช้เกือบเต็มเท่าที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญก็คือรูปแบบและแนวคิดในการทำงานดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก คนไทยก็ยังปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ด้วยที่ดินส่วนตัวหรือพื้นที่เช่าขนาดเล็กซึ่งก็มักจะไม่มี “Economies of Scale” หรือการประหยัดเนื่องจากขนาดซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เกษตรกรขาดความรู้สมัยใหม่ทั้งทางด้านของตัวสินค้าและความรู้ในด้านของการผลิตยุคใหม่ที่เน้นในด้านของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่จะสามารถดูแลและควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงวันนี้เราก็ยังเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเช่นข้าวธรรมดาแทนที่จะเป็นแบบออร์แกนนิค หรือเลี้ยงกุ้งในแบบเดิมที่นับวันจะแข่งขันไม่ค่อยได้กับประเทศที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ ๆ ในด้านของการท่องเที่ยวที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ค่อนข้างใหม่ของไทยนั้น ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นเราได้อานิสงค์มหาศาลจากประเทศจีนที่คนร่ำรวยขึ้นมากจนมีความสามารถและได้รับอนุญาตจากรัฐให้ออกมาเที่ยวต่างประเทศได้เต็มที่ นั่นประกอบกับการที่ประเทศไทยมีองค์ประกอบในการแข่งขันค่อนข้างดีมากทำให้การท่องเที่ยวก้าวขึ้นมาเป็น “กระดูกสันหลังอันใหม่” ทางเศรษฐกิจของไทยอย่างรวดเร็ว และเมื่อโควิด-19 ผ่านไป ผมคิดว่าการท่องเที่ยวจากต่างชาติจะกลับมาอย่างรวดเร็ว และเราจะต้องทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าจะสามารถรับ “คลื่น” ของการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นทันทีที่โลกและประเทศไทยพร้อมที่จะเดินทาง อย่างไรก็ตาม หลังจากการพุ่งขึ้นของการท่องเที่ยวที่จะมาอย่างรุนแรงแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องคิดถึงความ “ยั่งยืน” ของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศเพื่อที่จะใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปอีก อาจจะเป็นสิบ ๆ ปี เพราะนี่คือภาคเศรษฐกิจที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน การที่จะเปลี่ยนแปลงภาคเศรษฐกิจของประเทศเพื่อที่จะทำให้ไทยมีการเติบโตของ GDP ต่อไปในอนาคตจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้นั้น ผมคิดว่าเราไม่สามารถ “ทำแบบเดิม” ได้อีกต่อไปในสถานการณ์โลกปัจจุบัน พูดง่าย ๆ เราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ด้วยเทคโนโลยีและความคิดแบบเก่าแบบเดิมได้ และเราก็ไม่สามารถทำเพิ่มขึ้นได้โดยการเพิ่มกำลังคนเนื่องจากแรงงานของเราไม่เพิ่มแล้วและแถมแก่ตัวลง วิธีที่เราจะทำได้ก็คือการคิดและทำใหม่ ในอดีตนั้น ผมไม่เคยเชื่อว่ารัฐหรือรัฐบาลสามารถผลักดันหรือสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้ การพัฒนาตลอดมาตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กนั้นส่วนใหญ่เกิดจากภาคเอกชน ข้อดีของรัฐบาลในขณะนั้นก็คือ ไม่ขวางการพัฒนาและเข้ามาสนับสนุนเอกชนซึ่งรวมถึงต่างชาติให้ทำธุรกิจตามความต้องการของ “ตลาด” รัฐอาจจะบอกว่าเรามี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” มาตลอดเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ผมคิดว่าแต่ละแผนก็แค่ต่อเส้นกราฟออกไปจากของเดิม ไม่ได้มียุทธศาสตร์อะไรที่เป็นของใหม่จริง ๆ แต่สำหรับครั้งนี้- หลังวิกฤติโควิด-19 ผมคิดว่าถ้าจะให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ เราจะต้องมาคิดกันอย่างจริงจังถึงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยว่าจะไปทางไหน อย่าบอกว่าจะไปทุกทางเพราะนั่นเหมาะเฉพาะสำหรับประเทศที่ยังจนอยู่ ทุกอย่างยังเล็ก หลายภาคส่วนเพิ่งจะเริ่มต้นพัฒนาหรือเริ่มโต และนั่นก็คงคล้าย ๆ กับสถานการณ์ที่เวียตนามที่คนมักถามว่าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดี ซึ่งผมก็มักจะบอกไปทุกครั้งว่าทุกเซคเตอร์ก็ยังโตหมด ไม่มีกลุ่มไหนที่อิ่มตัว แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว เซคเตอร์ใหญ่ ๆ ทั้งหมดดูเหมือนว่าจะอิ่มตัวแล้วในรูปแบบ “เศรษฐกิจเก่า” การที่จะสร้างการเติบโตต่อไปได้ เราจะต้องรุกเข้าไปในบางจุด ไม่ใช่ทุกจุด เพราะถ้าเราทำทุกจุดเท่า ๆ กัน ทรัพยากรจะไม่พอ เราต้องเลือก และเมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องทุ่มความคิดและทรัพยากรเข้าไป การที่จะเดินหน้ารอบนี้ไม่ง่ายและผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีนักคิด มีผู้นำ มีการจัดเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยคนที่เข้ามาร่วมต้องมาจากทุกภาคส่วน และแน่นอนต้องมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง ต้องมีพรรคและนักการเมืองที่จะทำ ตัวอย่างของสิงคโปร์เป็นโมเดลที่น่าสนใจมากในแง่ที่ว่าเขาสามารถเปลี่ยนจาก “เศรษฐกิจเมืองท่า” ซึ่งจะเติบโตได้จำกัด กลายเป็น “Financial Hub” หรือศูนย์กลางทางการเงินโลก เปลี่ยนเป็นเมือง “ไฮเท็ค” ซึ่งจะเป็นแหล่ง Startup ที่สำคัญสำหรับคนย่านนี้ และสิ่งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวก็คือ คุณภาพของคนหรือการศึกษาที่จะมารองรับ และนั่นก็ทำให้สิงคโปร์สร้างมหาวิทยาลัยชันนำของประเทศให้กลายเป็นมหาวิทยาลัย “ระดับโลก” ได้สำเร็จภายในเวลาไม่กี่สิบปี สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์แล้ว แม้แต่การพูดภาษาอังกฤษให้ได้สำเนียงที่ดีก็ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างประเทศให้เป็น Hub หรือศูนย์กลางของหลาย ๆ สิ่งที่สำคัญของโลก ถึงนาทีนี้ ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าประเทศไทยจะสามารถทำอย่างที่กล่าวได้ยกเว้นว่าจะมี “ปาฏิหาริย์” ดูเหมือนว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะทางการเมือง เอาแค่เรื่องของงบประมาณที่ใช้ในแต่ละปีนั้นก็ไม่ตอบโจทย์อะไรเลย ดูเหมือนว่างบประมาณที่ได้ของแต่ละหน่วยงานจะขึ้นอยู่กับอำนาจของเจ้ากระทรวงหรือพรรคการเมืองเป็นหลักและก็ทำแบบ “เทียบกับงบปีที่แล้ว” มากกว่าที่จะดูว่างบนั้นจะสนับสนุนนโยบายหรือยุทธศาสตร์อะไรที่จะนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปในอนาคต ดังนั้น ผมเองต้องตั้งสมมุติฐานว่าอนาคตของประเทศไทยนั้น จนถึงสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 เราคงกลับมาที่เก่าได้ แต่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เวลาลงทุนผมก็จะคิดว่าตลาดหุ้นคงจะถึงจุดสูงสุดในวันใดวันหนึ่งก่อนหน้านั้น คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะไปถึง 1,800 หรือ 2,000 จุด แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ก๊อกสุดท้าย” ถ้าไทยไม่สามารถปรับตัวเพื่อต่อสู้ใน “โลกยุคใหม่” ได้
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 05, 2021 9:07 pm
0
3
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
#อวสานของโควิด & #อนาคตของประเทศไทย โลกในมุมมองของ Value Investor 5 มิถุนายน 64 #ดรนิเวศน์ #เหมวชิรวรากร ในวันเสาร์ที่ 5มิถุนายน 2564 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประเทศไทยก็จะเริ่มมีการ “ระดมฉีด”วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนทั้งประเทศและจะทำต่อเนื่องจนคนทั้งประเทศมี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่จะป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงจนกลายเป็น “วิกฤติ” ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตามแผนการที่กำหนด คาดว่าภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าก็น่าจะภายในกลางปีหน้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเดินทางจะกลับมาเป็นปกติ และ GDP หรือ ผลผลิตมวลรวมของประเทศก็น่าจะกลับมามีขนาดเท่าเดิมก่อนเกิดโควิดภายใน 1 ปีหลังจากนั้น หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทย “หายไป” หรือหยุดนิ่งไปประมาณ 3 ปี โดยที่การฟื้นตัวหลัก ๆ จะเกิดขึ้นในปี 2565 โดยในวันสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 สภาพหรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะใกล้เคียงกับวันสิ้นปี 2562 นั่นคือ เราจะมีภาคอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกสินค้า “ยุคเก่า” เช่นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและอุตสาหกรรมที่เป็น “เทคโนโลยีเก่า” ที่เน้นแรงงานเหมือนเดิม มีภาคเกษตรกรรมที่อิงอยู่กับการใช้ที่ดิน เครื่องจักร และแรงงานของคนสูงอายุ ที่อิงอยู่กับเทคโนโลยีดั้งเดิม และเราก็จะยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว “ยอดนิยม” ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยเฉพาะจากจีนจำนวนประมาณ 40 ล้านคนซึ่งจะกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้งหลังจากที่ต้องอยู่แต่ในประเทศของตนเองมานานอย่างน้อย 2-3 ปี การเกิดขึ้นของโควิด-19 ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่าโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” นั้น อาจจะไม่ใช่สำหรับประเทศไทยในวันสิ้นปี 2565 สามปีที่ผ่านไปนับจากวันเกิดการระบาดของโควิด-19 นั้น อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยในประเทศไทยยกเว้นพฤติกรรมบางอย่างเช่น การซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้นและการทำงานบางอย่างผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่จะอยู่กับเราต่อไปหลังจากโควิด-19 อนาคตของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2566 จะไปทางไหน? นี่เป็นคำถามสำคัญที่เราจะต้องตอบ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ในวันนี้ ผมคิดว่าอนาคตของประเทศจะ “มืดมน” เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้น กำลัง “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เอาแค่รถยนต์ใช้น้ำมันที่ทั่วโลกต่างก็จะเลิกใช้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านั้นก็อาจจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของเรา “เซ” ไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอุตสาหกรรม “ไฮเท็ค” อย่างเครื่องมือสื่อสารหรืออิเล็คโทรนิคที่เราถูก “ผ่าน” ไปยังประเทศที่เป็นแหล่งลงทุนใหม่ ๆ อย่างเวียตนามเพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ดูเหมือนจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ สินค้าด้านการเกษตรซึ่งเคยเป็น “กระดูกสันหลัง” ของไทยตั้งแต่ช่วงสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเองนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันก็ดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักยกเว้นการใช้เครื่องทุ่นแรงที่มีการใช้เกือบเต็มเท่าที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญก็คือรูปแบบและแนวคิดในการทำงานดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก คนไทยก็ยังปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ด้วยที่ดินส่วนตัวหรือพื้นที่เช่าขนาดเล็กซึ่งก็มักจะไม่มี “Economies of Scale” หรือการประหยัดเนื่องจากขนาดซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เกษตรกรขาดความรู้สมัยใหม่ทั้งทางด้านของตัวสินค้าและความรู้ในด้านของการผลิตยุคใหม่ที่เน้นในด้านของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่จะสามารถดูแลและควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงวันนี้เราก็ยังเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเช่นข้าวธรรมดาแทนที่จะเป็นแบบออร์แกนนิค หรือเลี้ยงกุ้งในแบบเดิมที่นับวันจะแข่งขันไม่ค่อยได้กับประเทศที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ ๆ ในด้านของการท่องเที่ยวที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ค่อนข้างใหม่ของไทยนั้น ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นเราได้อานิสงค์มหาศาลจากประเทศจีนที่คนร่ำรวยขึ้นมากจนมีความสามารถและได้รับอนุญาตจากรัฐให้ออกมาเที่ยวต่างประเทศได้เต็มที่ นั่นประกอบกับการที่ประเทศไทยมีองค์ประกอบในการแข่งขันค่อนข้างดีมากทำให้การท่องเที่ยวก้าวขึ้นมาเป็น “กระดูกสันหลังอันใหม่” ทางเศรษฐกิจของไทยอย่างรวดเร็ว และเมื่อโควิด-19 ผ่านไป ผมคิดว่าการท่องเที่ยวจากต่างชาติจะกลับมาอย่างรวดเร็ว และเราจะต้องทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าจะสามารถรับ “คลื่น” ของการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นทันทีที่โลกและประเทศไทยพร้อมที่จะเดินทาง อย่างไรก็ตาม หลังจากการพุ่งขึ้นของการท่องเที่ยวที่จะมาอย่างรุนแรงแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องคิดถึงความ “ยั่งยืน” ของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศเพื่อที่จะใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปอีก อาจจะเป็นสิบ ๆ ปี เพราะนี่คือภาคเศรษฐกิจที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน การที่จะเปลี่ยนแปลงภาคเศรษฐกิจของประเทศเพื่อที่จะทำให้ไทยมีการเติบโตของ GDP ต่อไปในอนาคตจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้นั้น ผมคิดว่าเราไม่สามารถ “ทำแบบเดิม” ได้อีกต่อไปในสถานการณ์โลกปัจจุบัน พูดง่าย ๆ เราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ด้วยเทคโนโลยีและความคิดแบบเก่าแบบเดิมได้ และเราก็ไม่สามารถทำเพิ่มขึ้นได้โดยการเพิ่มกำลังคนเนื่องจากแรงงานของเราไม่เพิ่มแล้วและแถมแก่ตัวลง วิธีที่เราจะทำได้ก็คือการคิดและทำใหม่ ในอดีตนั้น ผมไม่เคยเชื่อว่ารัฐหรือรัฐบาลสามารถผลักดันหรือสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้ การพัฒนาตลอดมาตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กนั้นส่วนใหญ่เกิดจากภาคเอกชน ข้อดีของรัฐบาลในขณะนั้นก็คือ ไม่ขวางการพัฒนาและเข้ามาสนับสนุนเอกชนซึ่งรวมถึงต่างชาติให้ทำธุรกิจตามความต้องการของ “ตลาด” รัฐอาจจะบอกว่าเรามี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” มาตลอดเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ผมคิดว่าแต่ละแผนก็แค่ต่อเส้นกราฟออกไปจากของเดิม ไม่ได้มียุทธศาสตร์อะไรที่เป็นของใหม่จริง ๆ แต่สำหรับครั้งนี้- หลังวิกฤติโควิด-19 ผมคิดว่าถ้าจะให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ เราจะต้องมาคิดกันอย่างจริงจังถึงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยว่าจะไปทางไหน อย่าบอกว่าจะไปทุกทางเพราะนั่นเหมาะเฉพาะสำหรับประเทศที่ยังจนอยู่ ทุกอย่างยังเล็ก หลายภาคส่วนเพิ่งจะเริ่มต้นพัฒนาหรือเริ่มโต และนั่นก็คงคล้าย ๆ กับสถานการณ์ที่เวียตนามที่คนมักถามว่าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดี ซึ่งผมก็มักจะบอกไปทุกครั้งว่าทุกเซคเตอร์ก็ยังโตหมด ไม่มีกลุ่มไหนที่อิ่มตัว แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว เซคเตอร์ใหญ่ ๆ ทั้งหมดดูเหมือนว่าจะอิ่มตัวแล้วในรูปแบบ “เศรษฐกิจเก่า” การที่จะสร้างการเติบโตต่อไปได้ เราจะต้องรุกเข้าไปในบางจุด ไม่ใช่ทุกจุด เพราะถ้าเราทำทุกจุดเท่า ๆ กัน ทรัพยากรจะไม่พอ เราต้องเลือก และเมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องทุ่มความคิดและทรัพยากรเข้าไป การที่จะเดินหน้ารอบนี้ไม่ง่ายและผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีนักคิด มีผู้นำ มีการจัดเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยคนที่เข้ามาร่วมต้องมาจากทุกภาคส่วน และแน่นอนต้องมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง ต้องมีพรรคและนักการเมืองที่จะทำ ตัวอย่างของสิงคโปร์เป็นโมเดลที่น่าสนใจมากในแง่ที่ว่าเขาสามารถเปลี่ยนจาก “เศรษฐกิจเมืองท่า” ซึ่งจะเติบโตได้จำกัด กลายเป็น “Financial Hub” หรือศูนย์กลางทางการเงินโลก เปลี่ยนเป็นเมือง “ไฮเท็ค” ซึ่งจะเป็นแหล่ง Startup ที่สำคัญสำหรับคนย่านนี้ และสิ่งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวก็คือ คุณภาพของคนหรือการศึกษาที่จะมารองรับ และนั่นก็ทำให้สิงคโปร์สร้างมหาวิทยาลัยชันนำของประเทศให้กลายเป็นมหาวิทยาลัย “ระดับโลก” ได้สำเร็จภายในเวลาไม่กี่สิบปี สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์แล้ว แม้แต่การพูดภาษาอังกฤษให้ได้สำเนียงที่ดีก็ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างประเทศให้เป็น Hub หรือศูนย์กลางของหลาย ๆ สิ่งที่สำคัญของโลก ถึงนาทีนี้ ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าประเทศไทยจะสามารถทำอย่างที่กล่าวได้ยกเว้นว่าจะมี “ปาฏิหาริย์” ดูเหมือนว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะทางการเมือง เอาแค่เรื่องของงบประมาณที่ใช้ในแต่ละปีนั้นก็ไม่ตอบโจทย์อะไรเลย ดูเหมือนว่างบประมาณที่ได้ของแต่ละหน่วยงานจะขึ้นอยู่กับอำนาจของเจ้ากระทรวงหรือพรรคการเมืองเป็นหลักและก็ทำแบบ “เทียบกับงบปีที่แล้ว” มากกว่าที่จะดูว่างบนั้นจะสนับสนุนนโยบายหรือยุทธศาสตร์อะไรที่จะนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปในอนาคต ดังนั้น ผมเองต้องตั้งสมมุติฐานว่าอนาคตของประเทศไทยนั้น จนถึงสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 เราคงกลับมาที่เก่าได้ แต่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เวลาลงทุนผมก็จะคิดว่าตลาดหุ้นคงจะถึงจุดสูงสุดในวันใดวันหนึ่งก่อนหน้านั้น คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะไปถึง 1,800 หรือ 2,000 จุด แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ก๊อกสุดท้าย” ถ้าไทยไม่สามารถปรับตัวเพื่อต่อสู้ใน “โลกยุคใหม่” ได้
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 05, 2021 9:04 pm
0
1
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
จากหอเอนถึงวีไอ / คนขายของ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆนักลงทุนคงรู้จัก กาลิเลโอ บ้างไม่มากก็น้อย กาลิเลโอเป็นนักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้เปิดโลกการศึกษาวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เขาได้พิสูจน์ว่าความเชื่อหลายๆอย่างที่เคยมีมานั้น ไม่เป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ให้เห็น (Proof) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล การที่กาลิเลโอพัฒนากล้องส่องทางไกลซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขนาดดูดวงดาวได้เห็นชัดเจน ทำให้เกิดการปฏิวัติการศึกษาดาราศาสตร์กันขนานใหญ่ กาลิเลโอเป็นผู้ที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของ Nicolaus Copernicus ที่ว่าระบบสุริยะจักรวาลนั้น มีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่โลกเป็นศูนย์กลาง ได้เป็นผลสำเร็จ มีบางคนกล่าวว่า แนวคิดของ Copernicus นั้นตอนถูกเผยแพร่ ทางฝ่ายศาสนจักรยังไม่เห็นว่ามีพิษภัยอะไร แต่พอกาลิเลโอสามารถพิสูจน์ได้ ทำให้ผู้คนบางส่วนเริ่มสงสัยในคำสอนบางอย่างของศาสนจักรในตอนนั้น เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งทำให้กาลิเลโอ ถูกสั่งจำกัดให้อยู่แต่ในบ้านพักเท่านั้นในช่วงปลายของชีวิต ผลงานการศึกษาของเขาไม่สามารถถูกตีพิมพ์ในอิตาลีได้ ต้องมีการลักลอบนำออกไปพิมพ์ที่เนเธอร์แลนด์ กาลิเลโอเสียชิวิตในปี 1642 ต่อจากนั้นมาอีกถึง 350 ปี พระสันตะปาปา John Paul II ได้กล่าวยอมรับว่า ศาสนจักรได้ผิดพลาดไปที่ได้กล่าวโทษกาลิเลโอเรื่องโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ (source: wikipedia) เรื่องประวัติของกาลิเลโอนี้ ให้แง่คิดใดกับนักลงทุนบ้าง? เนื่องจากทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเร็วมาก การลงทุนในหุ้น มีเรื่องของเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องมาก ยิ่งถ้าเป็นพวกเหรียญคริปโตด้วยแล้ว เท่าที่ผมมีความรู้อันน้อยนิด แต่ได้ฟังจากผู้ที่ศึกษามาพอสมควร ทำให้ทราบว่า คนที่จะลงทุนควรมีความรู้เรื่อง IT ประกอบด้วย ไม่อย่างนั้นเหรียญที่มีอยู่อาจจะหายวับไปได้ ดังนั้น ผมจึงไม่แปลกใจ ที่พี่ๆน้องๆนักลงทุนหลายท่าน ทุ่มเทในการศึกษาเรื่องเทคโนโลยีกันอย่างจริงจัง โดยส่วนตัวผมคิดว่า คำถามสำคัญในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบหลักนั้น นอกจาก “What” คือ เทคโนโลยีไหนน่าจะเป็นที่ยอมรับ คำถามอีกอันก็คือ “When” คือเมื่อไหร่ ผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะยอมรับให้มีการใช้ได้ในวงกว้าง? อย่างการพิสูจน์ของกาลิเลโอ เรื่องโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล กว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับ ศาสนจักรเปลี่ยนใจผ่อนผัน ยอมให้กลับมาตีพิมพ์ผลงานการศึกษาของกาลิเลโอได้อีกครั้ง ก็เป็นเวลาถึง 76 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว แล้วถ้าเรื่องนี้เปลี่ยนเป็น เทคโนโลยีของบริษัทที่เราสนใจลงทุนอยู่ละจะเป็นอย่างไร? ถ้ามีหน่วยงานใดเห็นว่า เทคโนโลยีนี้เป็นอันตรายแล้วออกกฎมาควบคุมละเราจะทำอย่างไร? ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน การศึกษาความเสี่ยงให้รอบด้านเป็นงานที่เราไม่อาจจะมองข้ามไปได้ มีกรณีศึกษาหลายๆกรณีที่แสดงให้เห็นว่า ในโลกของการลงทุนนั้น ก็ไม่ต่างกันกับโลกของวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ถูกทุกอย่าง แต่ผิดเวลา ผิดยุค ผิดสมัย การลงทุนนั้นก็สามารถนำอันตรายมาให้ได้เสมอ
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 05, 2021 9:44 am
0
3
Re: VI หาดใหญ่
จากหอเอนถึงวีไอ / คนขายของ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆนักลงทุนคงรู้จัก กาลิเลโอ บ้างไม่มากก็น้อย กาลิเลโอเป็นนักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้เปิดโลกการศึกษาวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เขาได้พิสูจน์ว่าความเชื่อหลายๆอย่างที่เคยมีมานั้น ไม่เป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ให้เห็น (Proof) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล การที่กาลิเลโอพัฒนากล้องส่องทางไกลซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขนาดดูดวงดาวได้เห็นชัดเจน ทำให้เกิดการปฏิวัติการศึกษาดาราศาสตร์กันขนานใหญ่ กาลิเลโอเป็นผู้ที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของ Nicolaus Copernicus ที่ว่าระบบสุริยะจักรวาลนั้น มีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่โลกเป็นศูนย์กลาง ได้เป็นผลสำเร็จ มีบางคนกล่าวว่า แนวคิดของ Copernicus นั้นตอนถูกเผยแพร่ ทางฝ่ายศาสนจักรยังไม่เห็นว่ามีพิษภัยอะไร แต่พอกาลิเลโอสามารถพิสูจน์ได้ ทำให้ผู้คนบางส่วนเริ่มสงสัยในคำสอนบางอย่างของศาสนจักรในตอนนั้น เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งทำให้กาลิเลโอ ถูกสั่งจำกัดให้อยู่แต่ในบ้านพักเท่านั้นในช่วงปลายของชีวิต ผลงานการศึกษาของเขาไม่สามารถถูกตีพิมพ์ในอิตาลีได้ ต้องมีการลักลอบนำออกไปพิมพ์ที่เนเธอร์แลนด์ กาลิเลโอเสียชิวิตในปี 1642 ต่อจากนั้นมาอีกถึง 350 ปี พระสันตะปาปา John Paul II ได้กล่าวยอมรับว่า ศาสนจักรได้ผิดพลาดไปที่ได้กล่าวโทษกาลิเลโอเรื่องโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ (source: wikipedia) เรื่องประวัติของกาลิเลโอนี้ ให้แง่คิดใดกับนักลงทุนบ้าง? เนื่องจากทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเร็วมาก การลงทุนในหุ้น มีเรื่องของเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องมาก ยิ่งถ้าเป็นพวกเหรียญคริปโตด้วยแล้ว เท่าที่ผมมีความรู้อันน้อยนิด แต่ได้ฟังจากผู้ที่ศึกษามาพอสมควร ทำให้ทราบว่า คนที่จะลงทุนควรมีความรู้เรื่อง IT ประกอบด้วย ไม่อย่างนั้นเหรียญที่มีอยู่อาจจะหายวับไปได้ ดังนั้น ผมจึงไม่แปลกใจ ที่พี่ๆน้องๆนักลงทุนหลายท่าน ทุ่มเทในการศึกษาเรื่องเทคโนโลยีกันอย่างจริงจัง โดยส่วนตัวผมคิดว่า คำถามสำคัญในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบหลักนั้น นอกจาก “What” คือ เทคโนโลยีไหนน่าจะเป็นที่ยอมรับ คำถามอีกอันก็คือ “When” คือเมื่อไหร่ ผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะยอมรับให้มีการใช้ได้ในวงกว้าง? อย่างการพิสูจน์ของกาลิเลโอ เรื่องโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล กว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับ ศาสนจักรเปลี่ยนใจผ่อนผัน ยอมให้กลับมาตีพิมพ์ผลงานการศึกษาของกาลิเลโอได้อีกครั้ง ก็เป็นเวลาถึง 76 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว แล้วถ้าเรื่องนี้เปลี่ยนเป็น เทคโนโลยีของบริษัทที่เราสนใจลงทุนอยู่ละจะเป็นอย่างไร? ถ้ามีหน่วยงานใดเห็นว่า เทคโนโลยีนี้เป็นอันตรายแล้วออกกฎมาควบคุมละเราจะทำอย่างไร? ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน การศึกษาความเสี่ยงให้รอบด้านเป็นงานที่เราไม่อาจจะมองข้ามไปได้ มีกรณีศึกษาหลายๆกรณีที่แสดงให้เห็นว่า ในโลกของการลงทุนนั้น ก็ไม่ต่างกันกับโลกของวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ถูกทุกอย่าง แต่ผิดเวลา ผิดยุค ผิดสมัย การลงทุนนั้นก็สามารถนำอันตรายมาให้ได้เสมอ
โดย
amornkowa
เสาร์ มิ.ย. 05, 2021 9:41 am
0
6
Re: ปรับพอร์ตอย่างไร ในสภาวะเงินเฟ้อสูง
ข้อมูลประกอบในส่วนTactical Asset Allocation
โดย
amornkowa
จันทร์ พ.ค. 31, 2021 1:57 pm
0
3
Re: หุ้นเวียดนาม All Time High by ดร นิเวศน์
Link ไปฟังดร พูดถึง ตลาดหุ้นเวียดนาม All Time High ต้องทำอย่างไรดีกันครับ https://fb.watch/5QeNrrXQ71/
โดย
amornkowa
จันทร์ พ.ค. 31, 2021 1:32 pm
0
3
Re: กลยุทธ์หุ้นเวียดนามหลังAll-Time High ดร นิเวศน์
ขอแก้ไขข้อมูล ผลตอบแทน1ปีของแต่ละตลาด หุ้นเวียดนามขึ้นมา 52%(27พค64) S&P500 ขึ้นมา38% H-Share ของจีน ขึ้นมา 25% SET ขึ้นมา 17.69% แต่ถ้านับจากต้นปี ตลาดหุ้นเวียดนามก็ยังถือว่าขึ้นสูงสุดเลย 18.09% เทียบกับไทยขึ้น 7.81%% ,S&P500 12.02%, H-Share 6.91% ขอบคุณข้อมูลจากน้องเต๋าครับ
โดย
amornkowa
ศุกร์ พ.ค. 28, 2021 6:11 am
0
6
Re: VI หาดใหญ่
MoneyTalk : วีไอกับการลงทุนต่างประเทศ คุณ ชาย มโนภาศ อดีตนายกสมาคมไทยวีไอ คุณ วีระพงษ์ ธัม (หลิน) นายกสมาคมไทยวีไอ สัมภาษณ์ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Q: ดร ไพบูลย์ถามว่า วีไอต้องไปลงทุนหุ้นต่างประเทศไหม A: อจ ชาย ตอบว่า ต่างประเทศมีoptionให้เลือกมาก ถ้าอุตสาหกรรมไหนเป็นอนาคต เช่น AI, Internet , Technology ก็น่าลงทุน กลุ่มFANG มีผลประกอบการ Q1 ขึ้นอย่างมาก บางบริษัทโต 40-50% แต่ต้องคำนึงถึงราค่าไหนจะเหมาะสมในการลงทุนด้วย นักลงทุนระยะยาว เหมาะกับการไปลงทุนในต่างประเทศ ไทยยังมีอุตสาหกรรมแบบ old economy เรามีแค่บริษัทที่ซื้อเทคโนโลยีมาใช้ ไม่ได้เป็นเจ้าของเอง ไม่ได้เป็นเจ้าของ Patent อจ หลิน บอกว่า การลงทุนต้องพิจารณาสองปัจจัยคือ ผลตอบแทนและความเสี่ยง จากบทความวิเคราะห์ของแวงการ์ด พบว่าถ้าเราลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงจะลดลง และผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ดร นิเวศน์ สอบถามว่า การลงทุนผ่านกองทุนรวมในต่างประเทศไม่สนุก ไม่ใช่การลงทุนแบบวีไอ มีประเด็นนี้ไหม ดร ไพบูลย์ สรุปคำถามอีกที นักลงทุนไปต่างประเทศ ในไทยเลือกหุ้นแบบฺBottom up พอไปต่างประเทศ จะทำแบบBottom up หรือ ไปซื้อ ETF ดีกว่า อจ หลิน เห็นด้วยกับดร นิเวศน์ เราอยู่ในไทย ได้เปรียบเรื่องข้อมูลของบริษัท เข้าใจculture พอไปต่างประเทศ การเลือกอุตสาหกรรมที่ชอบ ต้องอ่านหุ้นทีละตัวในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นต้นทุนอย่างนึง ต้องทุ่มเทมาก เพื่อต้องการให้ผลตอบแทนดี แต่ก็ไม่ได้เสมอไป แต่การลงทุนแบบ ETF ก็เคยทำมาก่อนเมื่อ 6-7 ปีก่อน ผลตอบแทนสู้การลงทุนหุ้นไทยรายตัวไม่ได้ อจ ชาย เสริมว่า ประเด็นหลักคือ 1.ความรู้ในแต่ละอุตสาหกรรมเรามีพอไหม 2.เรามีเวลาเพียงพอไหมในการศึกษา แต่หลายคนที่ทำงานประจำ ซื้อETFน่าจะดีกว่า โดยคิดว่าปีนี้Theme อะไรมา เช่น มองต้นปี Commodityน่าจะมา ก็ไปซื้อ ETF commodity ก็จะได้ 20% YTD หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี การแข่งขันไมได้แข่งกันเฉพาะในประเทศ แต่แข่งกับทั้งโลก ซึ่งกินเวลาในการศึกษามาก รวมถึงTime Zoneต่างกันด้วย แต่ถ้าเป็นนักลงทุนวีไอ ที่มีเวลา ก็หาเวลาไปศึกษาลงทุน จะได้ความรู้ใหม่ๆมากขึ้น Domino Pizza ราคาหุ้นขึ้นไปแพง 10 เท่า ไม่แพ้หุ้นเทคโนโลยี ดร นิเวศน์เสริมว่า Domino Pizza ไม่มีสาขา และ ระบบการส่งที่ดี แต่ในไทยรสชาติอร่อยสู้ที่USไม่ได้ อจ ชายบอกว่า บางบริษัทก็มาเปิดสาขาในไทย เช่น Domino Pizza เปิดมา10ปี และ Starbuck มาเปิดที่ไทยเมือ 30 ปีก่อน บางบริษัท เราก็สามารถใช้บริการได้ไม่ช้ากว่า ต่างประเทศ เช่น NetFlix แต่บางกิจการที่ไม่เคยใช้บริการ ซึ่งเป็นบริษัทที่ดี ซื้อช้าหน่อยก็ยังทำกำไรได้ Q: คนที่ไปลงทุนต่างประเทศ ต้องมีcharacterอย่างไร หลายคนที่ไม่มีความสามารถเหมือนอจ ชาย จะไหวไหม A: อจ หลิน ยกตัวอย่างว่า สมมติเราไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี แต่ภรรยามีความรู้เรื่อง กระเป๋า Hermes ดี รู้ว่ารุ่นไหนขายดี ก่อนที่ราคาหุ้นขึ้น ก่อนสามารถไปซื้อดักก่อน นักวิเคราะห์จะรู้ หรือ ถ้าเราทำงานเป็นเภสัช เราก็สามารถลงทุนในบริษัทยาเพราะมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่ทำงานดี มีอีกmodel คือ model China Town หมายถึงย่านที่คนจีนไปอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกัน เปรียบการลงทุน ถ้าเราลงทุนคนเดียว ความสำเร็จอาจไม่ดีเหมือนตอนนี้ที่ อจ หลิน ได้เรียนรู้การลงทุน กับ ดร นิเวศน์ ดร ไพบูลย์ และมีเพื่อนนักลงทุนมาเรียนรู้ด้วยกัน พอเลือกหุ้นได้ 10-20 บริษัท เราค่อยๆมาดูรายละเอียดแต่ละบริษัทเพื่อตัดสินใจว่าจะลงทุนบริษัทไหน Q: ดร นิเวศน์ ถามว่า ในThaivi มีคนชำนาญเฉพาะด้านไหม A: อจ หลินบอกว่า ตอนสมัย อจ ชายเป็นนายกสมาคมThaivi ได้จัด Stock Global และ สร้างห้อง 100คน100หุ้นต่างประเทศขึ้นมา Q: ถาม ดร นิเวศน์ ว่า การลงทุนในเวียดนาม ระหว่าง ซื้อหุ้นด้วยตนเอง กับ ซื้อETFที่เวียดนาม อันไหนน่าสนใจมากกว่า A: คิดว่าได้ทั้งคู่ ทุกsectorยังโตหมด มีหุ้นผู้ชนะ หลายบริษัทมีโอกาสเป็น Superstock สำหรับการทุ่มเท ศึกษาอย่างลึกซึ้ง สามารถหาsuperstockได้ แต่คนเวียดนามเองไม่สนใจกลุ่มนี้ หุ้นสนามบินที่เวียดนามคล้ายกับในไทย ที่เป็นเจ้าของสนามบินส่วนใหญ่ ตอนที่เปิดประเทศก็มีโอกาสโต ซื้อทิ้งไว้ อีกด้านการซื้อ ETF Diamond มีหุ้นPremium 10กว่าตัวในพอร์ต ดีมากและราคาขึ้นมาเยอะ ลงทุนเอง ตามไม่ทัน เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า ในเวียดนามไม่เหมือนไนไทย ต้องมีการbidแข่งเพื่อขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้า หลังๆก็เลิกซื้อประเภทนี้ ตอนนี้สัดส่วน ETF มากกว่า หุ้นที่ซื้อรายตัว Q: ถาม อจ ชาย โอกาสลงทุนในต่างประเทศ มีจีน เวียดนาม ยูโร ตลาดเกิดใหม่ และ อเมริกา แนะนำว่าควรไปประเทศไหน A: อจ ชาย ยังชอยอเมริกา มีดีหลายอย่างเช่น ภาษา ขนาดธุรกิจ ขนาดของตลาดหุ้นเป็น 50%ของทั้งโลก อุตสาหกรรมมีหลากหลาย มีหุ้นจีน , Latin America , Brazil ซึ่งเป็นบริษัทที่ดีไปจดทะเบียนที่อเมริกา ความเสี่ยง US มีหุ้นมาIPOปีที่แล้ว 80%เป็นบริษัทที่ไม่มีกำไร แสดงถึง ภาวะบางอย่างที่เอาอะไรก็ได้มาออก IPO เงินที่แจกจ่าย 1.9 ล้านล้าน$ แบ่งเป็น 25% ไปใช้จ่ายซื้อของ แต่มีอีกส่วนที่นำไปลงทุน ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หลักการของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ ซื้อของดี ราคาถูก ยังใช้ได้ตลอดเวลา สภาวะตอนนี้ ค่อนข้างจะมีฟองสบู่เล็กๆ อจ หลิน มีของให้เลือกเยอะ แต่ตลาดหุ้นอเมริกาเป็น Market efficient หุ้นทุกตัวที่ขึ้น มาจาก performanceของธุรกิจ และ ราคาจะขึ้นล่วงหน้า นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ลงทุนตามทีหลัง ยกตัวอย่างเช่น บริษัททำ Software as a service เราก็ไปลงทีหลัง ดังนั้นราคาหุ้นไม่ค่อยขึ้น แต่ไอเดีย เรื่องสนามบินของดร นิเวศน์ อจ หลิน Buy ideaมากกว่า เรามีความรู้วิเคราะห์ AOT ก็เอาความรู้ไปวิเคราะห์สนามบินทั่วโลกว่าที่ไหนน่าสนใจ Q: ดร ไพบูลย์ถามทั้งสามท่านว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของพอร์ต A: ดร นิเวศน์ ลงตลาดหุ้นเวียดนามคิดเป็น ใกล้ 20% อจ ชาย ตอบว่า แล้วแต่ช่วง ส่วนใหญ่ 20% หลักๆลงทุนหุ้นไทย ซึ่งถนัดกว่า ไทยยังมีลักษณะกึ่งผูกขาด อย่างเช่น Operator มือถือในไทยมีน้อยราย แต่ต่างประเทศบางที่มี 10บริษัท อจ หลิน ลงทุนประมาณ 30% เห็นด้วยกับ อจ ชาย ว่า ที่ไทย ตลาดเป็นแบบ Oligopoly market แต่ในต่างประเทศ ลงผิดตัว อาจเหลือ 0 เลย แต่หุ้นไทย ถ้าลงผิดตัว ราคาก็สามารถกลับมาที่เก่าได้ Q: เอาเงินไปลงทุนต่างประเทศ อยากฝากอะไรให้ผู้ชม A: ดร นิเวศน์ บอกว่า อย่าลงทุนต่างประเทศเยอะเกินไป แต่ถ้าอายุน้อยก็อาจลงมากหน่อยได้ แต่หลักการต้องเข้มข้นมาก ไม่งั้นมีโอกาสขาดทุนได้ ดร ไพบูลย์สรุปว่า วิทยากรแต่ละท่าน เฉลี่ยแล้วลงทุนในต่างประเทศ 20% ไม่เหมือนลงทุนในไทย ที่สามารถหาข้อมูลได้ง่ายกว่า สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อจ ชาย และ อจ หลินครับ
โดย
amornkowa
พุธ พ.ค. 19, 2021 2:26 pm
0
5
Re: VI หาดใหญ่
สรุปความรู้งาน meeting VI ภาคใต้ Q1/64 (16 พ.ค.64) สรุป by earthcu » Mon May 17, 2021 5:31 pm พอดีเห็นน้องearthcuสรุปไว้ครับเลยนำมาให้อ่านกัน ขอบคุณนะครับ เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ วิทยากร 1.พี่โจ ลูกอีสาน 2.พี่ตี้ 3.พี่วรพงศ์ 1.หนังสือแนะนำ by P’โจ ลูกอีสาน Peter Lynch 1.)เหนือกว่าวอลสตรีท (One Up On Wall Street) 2.)ลงทุนอย่างปีเตอร์ ลินช์ (Beating the Street) 3.)เรียนให้รวย (Learn to Earn) 4.)แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (The most important by Thing Illuminated) by Howard Marks 5.)The Five Rules for Successful Stock Investing by Pat Dorsey 6.)ก้าวเล็กๆในตลาดหุ้น ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 7.)คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า The Intelligent Investor by Benjamin Graham โดยบทที่สำคัญมี 2 บท คือบทที่เกี่ยวข้องกับส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย Margin Of Safety และบท นายตลาด (Mr.Market) นักลงทุนและความผันผวนของตลาด -หนังสือแนะนำ by พี่ๆ ท่านอื่น 8.)ตีแตก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 9.)ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์ Buffettology by Mary Buffett and David Clark 10.)นักลงทุนดันโด The Dhandho Investor by Monish Pabrai 2.สิ่งที่ควรจะลงทุนมากที่สุด คือการลงทุนกับความรู้ก่อน 3.ในตลาดหุ้น โชคอาจจะมีผล แต่คุณไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในระยะยาว ถ้าอาศัยแค่โชคเพียงอย่างเดียว 4.เราต้องพยายามหา style การลงทุนของตัวเองให้เจอ โดยพยายามปรับแต่งวิธีการลงทุนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ 5.ไม่พยายามไปลงทุนหุ้นวัฏจักรตอนที่ดีเกินจริง โดยส่วนใหญ่คนที่ติดดอยนานหลายปีก็เป็นเพราะไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรในช่วงที่ Peak ยกตัวอย่าง เคยมี case ที่ไปลงทุนในบริษัทที่รับทำ Project ซึ่งในปีนั้นได้ไปประมูลงานนึงซึ่งได้ margin ดีสูงเป็นพิเศษ ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำ Project ลดลง ทำให้กำไรของบริษัทในปีนั้นดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งต่อมาพอกลับสู่สภาวะปกติก็ทำให้กำไรของบริษัทลดลงเป็นอย่างมาก 6.Question ทัศนคติและมุมมองสำหรับ นักลงทุนมือใหม่ Answer. สำหรับมือใหม่เบื้องต้นแนะนำให้อ่านหนังสือ One Up On Wall Street เหนือกว่า Wallstreet ของ Peter Lynch ก่อนเพื่อให้สามารถแยกแยะประเภทของหุ้นได้ (หุ้นโตช้า,หุ้นแข็งแกร่ง,หุ้นเติบโต,หุ้นวัฏจักร, หุ้นฟื้นตัว, หุ้นสินทรัพย์มาก) หลักการ 4 ข้อสำหรับแก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า 1.)ลงทุนในหุ้นเหมือนลงทุนในธุรกิจ 2.)ลงทุนในธุรกิจต้องรู้จักการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ว่าถูกหรือแพง 3.)เลือกซื้อหุ้นหรือกิจการที่ราคาหุ้นมี Margin of safety เท่านั้น 4.)เราต้องรู้จักนายตลาด และประกาศอิสรภาพ โดยแยกจากกระแสอารมณ์จากนายตลาด มีความมั่นคงทางอารมณ์ 7.คลังกระทู้คุณค่า ของพี่โจ ลูกอีสาน คำแนะนำธรรมดาๆ เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=27346 ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=33509 8.ผลตอบแทน 3 อย่างจากการลงทุน 1.)Capital Gain 2.)เงินปันผล 3.)เครดิตเงินปันผล โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ยังไม่สูงมาก แนะนำให้ลองยื่นภาษีเงินได้เพื่อ ขอคืนเครดิตเงินปันผลคืนได้ มองการลงทุนเป็น passive income เราไม่จำเป็นต้องออกแรงทำงาน โดยการให้เงินทำงานแทนแต่จำเป็นต้องใช้แรงสมองและความคิด 9.กับดัก VI พึงระวังบางบริษัทที่อาจจะดูกิจการมั่นคงดี รายได้สม่ำเสมอด้วย เพราะในบางครั้งกิจการนั้นอาจจะเป็นกิจการที่มีอายุสัมปทาน ซึ่งเมื่อหมดอายุสัมปทานก็อาจจะทำให้รายได้และกำไรลดลงอย่างมีนัยยะได้ 10.P/E ของกิจการที่เหมาะสม มีความสัมพันธ์กับการเติบโตของกำไรของกิจการ การเติบโตสูง , P/E อาจจะสูงได้ การเติบโตต่ำ , P/E ต่ำ นอกจากนี้การลงทุนควรจะมอง Business Model ของกิจการให้ออก โดยเลือกกิจการที่มีความแข็งแกร่ง สามารถเอาชนะได้ในระยะยาว รวมถึงมีความสามารถในการเติบโตของกำไรได้ในระยะยาวได้ พิจารณาบริษัทหรือกิจการในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น งบการเงิน, Business Model, ความสามารถในการแข่งขัน, คู่แข่งของกิจการ, วิสัยทัศน์ของผู้บริหารเป็นต้น เพื่อใช้ในการประเมิน P/E ที่เหมาะสมหรือมูลค่ากิจการ 11.การลงทุนในหุ้นหรือบริษัทต่างประเทศ ถ้าเพิ่งจะเริ่มต้นก็ไม่ควรลงทุนเป็น % ที่สูงนักของ Port โดยสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุน ETF หรือลงทุนในหุ้นโดยตรง ซึ่งกรณีถ้าจะลงทุนหุ้นโดยตรงก็อาจจะเลือกพิจารณาจากกิจการที่พวกเราสามารถสัมผัสได้ โดยจำเป็นที่ต้องพิจารณาทั้งอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทในอนาคต เปรียบเทียบกับ P/E ปัจจุบันของบริษัทว่าเหมาะสมหรือไม่ รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆอย่างละเอียดก่อนการเลือกซื้อกิจการ 12.พึงระวังในการซื้อหุ้นเพื่อหวังเงินปันผล แต่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินต้น เพราะพื้นฐานทางกิจการค่อยๆแย่ลงหรืออาจจะเกิดจากปันผลพิเศษเนื่องจากมีกำไรพิเศษเป็นต้น 13.Question เลือกหุ้นอย่างไรให้ต่ำกว่ามูลค่า ขอให้ยกตัวอย่าง Answer 1.)ยกตัวอย่างเราอาจจะไปเจอหุ้นที่การเติบโตของกำไร 20% แต่ปัจจุบัน trade ด้วย P/E 15 เท่า ซึ่งเมื่อคำนวณ PEG Raito = P/E Ratio/Earning Growth = 15/20 =0.75 ซึ่งต่ำกว่า 1 ก็ถือว่าบริษัทนั้นราคาไม่แพง เป็นต้น โดย Growth ของกำไรนั้น เน้นว่าควรจะเป็น Growth ที่ต้องมองไปข้างหน้า 2-3 ปี 14.พยายามอ่าน 56-1 เพื่อมองหาบริษัทที่น่าสนใจ จากนั้นทำการ shortnote ใส่กระดาษ/สมุด จะทำให้เรารู้จักบริษัท/กิจการเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นทำการ update ข่าวสาร/พัฒนาการใหม่ๆของบริษัท เพื่อติดตามบริษัท 15.การเลือกซื้อหุ้นที่มอง Theme ว่าหลังจากวิกฤติ Covid-19 ผ่านไป กิจการจะกลับมาดีนั้น มีจุดที่พึงต้องระวังเพราะในบางบริษัทนั้น ราคาหุ้นในปัจจุบันนั้น ถ้าคิดเทียบกับกำไรของบริษัทในช่วงปรกติก่อนที่จะเกิด Covid-19 แล้วนั้น เปรียบเทียบมูลค่าหุ้นแล้วนั้นราคาปัจจุบันก็ไม่ถือว่าถูก (มี Margin of safety ต่ำ) แถมยังมีในเรื่องของระยะเวลาที่เราต้องรอคอย เพราะบางกิจการนั้นอาจจะใช้เวลาอีกอย่างนัอย 2-3 ปีกว่าที่กำไรของบริษัทจะฟื้นตัวกลับไปสู่สภาวะปรกติ 16.พึงระวังการซื้อหุ้นในช่วงตลาดดีเกินจริง โดยส่วนใหญ่นั้นกำไรที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากช่วงเวลาที่เราไม่ค่อยมั่นในในตอนซื้อหุ้น (ยกตัวอย่างเช่นในบางครั้งเราต้องฝืนใจเอาชนะอารมณ์เพื่อเข้าไปซื้อหุ้นหรือกองทุนในช่วงตอนที่คนอื่นพยายามเทขายอย่างบ้าคลั่ง) 17.หลักเกณฑ์ในการขายหรือswitching หุ้น 1.)พิจารณาขายหุ้นเพื่อไปซื้อหุ้นอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่มีอยู่ในมือ (เช่นขายหุ้นที่มี upside 20% เพื่อไปซื้อหุ้นที่มี upside 50%) 2.)พิจารณาขายหุ้น เมื่อสิ่งที่เราคิดไว้ผิด เช่นเมื่อพื้นฐานกิจการที่เปลี่ยนแปลงในทางแย่ลงอย่างถาวร เป็นต้น ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (พี่โจ ลูกอีสาน, พี่ตี้, พี่วรพงศ์) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ ขอขอบคุณทีมงานที่จัดงานมีตติ้งวีไอภาคใต้ ทุกท่านครับ และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ earthcu/ 17 May 21
โดย
amornkowa
พุธ พ.ค. 19, 2021 4:00 am
0
10
Re: สนทนาหุ้นไทยประจำQ2 กับเซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์
7.สอบถามหุ้นกลุ่มธนาคาร ตอบ คนทำธุรกิจ ตอนcovid ระลอก1 ยังสบาย แต่พอระลอก2 เริ่มแย่ สอบถามคนทำธุรกิจ สำหรับระลอก3 บางคนอยากเลิกทำธุรกิจ แต่ภาพรวมอาจดีขึ้นตามลำดับ ได้ข่าวจาก นสพ ประชาชาติธุรกิจ ว่า ทางการมีแนวคิดว่าอาจให้Bank ,non bank hair cut แล้วให้ลูกหนี้จ่ายแต่เงินต้น ส่วนที่hair cut สามารถมาลดหย่อนภาษี ถ้าทำได้ ก็ทำให้กลุ่มมีกำไร กลุ่มธนาคารบางธนาคาร P/B = 0.5 หรือ บางธนาคารไปเทคธนาคารที่อินโดนีเซียมา แต่ราคาลงเพราะคนกลัวNPLยังเพิ่มได้อีก ถ้าเรากลัวว่าSMEจะมีปัญหา ก็ไปเลือกธนาคารที่ปล่อยกลุ่มSMEน้อยก็ได้ 8.มีหลักเก็งกำไรในการลงทุนคลิปโตอย่างไร ตอบ ใช้กราฟ หรือ เทคนิเคิลมาดู หรือ ใช้เรื่องราวdecentralize ,swapต่ำสุด ทำFarming APRสูง ถ้าเราเล่นเหมือนเขา เราได้เงิน เป็นเรื่องซับซ้อน ต้องศึกษาเพิ่มเติม ให้คนเชี่ยวชาญมาพูด แล้วให้ อาจารย์มี่มาพูดด้วย 9.Bond Yieldปรับตัวขึ้นมาสูง ควรถือเงินสดเยอะใช่ไหม ตอบ ก่อนหน้านี้ถือเงินสด 30% ซึ่งเมื่อก่อนก็เคยถือระดับนี้ พอเมื่อวานหุ้นลงมา ก็ซื้อไป15% ถ้าลงมาอีก ก็ลงหมด และถือฝ่าวิกฤตไป (แต่ต้องเลือกหุ้นจากbottom upด้วย) 10.ขอทราบมุมมองหุ้น US-China ตอบ หุ้นUS ปรับฐานไปบ้างแล้ว กลุ่มแข็งแกร่ง ถ้ามีข่าวร้ายสะสมได้ หุ้นกลุ่มจีน โดยเฉพาะTechจีน ให้รอไปก่อน เพราะมีกองทุนUS เริ่มเทขายETF เพราะไม่ชอบผู้นำจีน ตอนเฮียเหลียนบอกว่า Babaลงมา 240$ ยังไม่น่าสนใจ แต่ตัวเองคิดต่างเลยเข้าตอน 220$ ตอนนี้ราคา 200$ สรุปว่า ถ้าอีก 2-3 สัปดาห์ ถ้ายังย่อลง ก็ไม่ลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าอีก 2-3 สัปดาห์ เริ่มนิ่ง ค่อยหาจังหวะเข้าไปลงทุน
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 15, 2021 12:15 pm
0
4
Re: สนทนาหุ้นไทยประจำQ2 กับเซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์
3. สอบถามกลุ่มขนส่ง logistic ตอบ ปีนี้ดี รวม E-commerce เติบโตดี ตอนนี้ไปท่องเที่ยวไม่ได้ ดังนั้น ทำให้การซื้อสินค้าผ่าน E-commerce ส่งผลดีต่อกลุ่มLogistic เรือตู้ดี ตู้containerขาด ทำให้เขาchargeได้เพิ่มขึ้นก กลุ่มนี้ยังดีต่ออีก แต่ต้องดูvaluationด้วย น่าสนใจบางตัว แต่เรือเทกองติดลบมาสองวันแล้ว 4.สอบถามเทคนิคการซื้อหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ตอบ ให้ลงทุนแบบBottom up การลงทุนต้องยึดตามเหตุผล ตามvaluation และซื้อตอนหุ้นราคาลง เราไม่ค่อยสบายใจตอนซื้อ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับขายตอนหุ้นขึ้น เราสบายใจ แต่คนส่วนใหญ่จะซื้อตอนหุ้นขึ้น ตัวอย่างเช่น ซื้อคลิปโตตอนราคาร่วงจาก 10,000$กว่า มาที่ 3,000$ จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ได้ราคาถูก ช่วงเวลาที่สบายใจ ให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง 5.กลุ่มอุตสาหกรรม/ธุรกิจใดที่อาจารย์คาดว่าตอบสนองทางบวก/ลบ สูงต่อภาพรวมเศรษฐกิจ จากเหตุการณ์/สถานการณ์อื่นๆเช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย ตอบ ดอกเบี้ยคงไม่ขึ้นแรงอย่างเร็วปลายปีหน้า และ คิดว่าcommodityรอบนี้ยังไม่ใช่supercycle ทำให้ภาพไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก กลยุทธ์ในการเลือกหุ้น เลือกหุ้นที่ราคาต่ำมาก ในอุตสาหกรรมที่ไม่ดี เลือกหุ้นราคาไม่แพง ในอุตสาหกรรมทีดี เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมไอที และ อสังหา มีบริษัทบางแห่งที่มีผลประกอบการโดดเด่น ปีนี้ควรvaluationก่อนตัดสินใจลงทุน 6.ขอทราบมุมมองเกี่ยวกับ กลุ่มฟิล์ม ตอบ กลุ่มพลาสติกโชคดี พอช่วงเกิดcovid จำเป็นต้องใช้ แต่supplyจำกัด ทำให้ราคาดี ส่วนฟิล์มเป็นอนาคต คนน่าจะใช้มากขึ้นในช่วงcovid เช่น ซองน้ำจิ้ม ภาพรวมโต PE ไม่แพง แต่ก็มีโอกาสและความเสี่ยง ราคามาไกลแล้ว รวมถึงอาจเปลี่ยนใจขายได้ ถึงแม้ภาพกำไรยังดีอยู่
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 15, 2021 11:52 am
0
3
Re: สนทนาหุ้นไทยประจำQ2 กับเซียนมี่ ทิวา ชินธาดาพงศ์
Q&A 1.ตลาดคลิปโตเคยลงบ้างไหม ตอบ เคยลงบ้าง กระจายแยกหลายเหรียญ ภาพคลิปโต ชอบผู้ชนะในระยะยาว ถ้าชอบ Alternative คือไม่รวมบิตคอยที่ไปไกลแล้ว คือ ประเทศเกาหลี จีน โดยศึกษาused case , real yield ตอนนี้ลงทุนเหรียญเกาหลี และศึกษาเพิ่มเติมตลอดเวลา 2.Bxx เป็นหุ้นกลุ่ม AMC ยังน่าสนใจไหม ตอบ ตอนนี้อยู่ในช่วงน่าสนใจ สินทรัพย์ 500,000 ลบ มีผู้บริหารมืออาชีพ จากบริษัทประกันอันดับหนึ่งมาเริ่มงานในเดือน มค 64 การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มนี้ว่า ดี หรือ ไม่ดี วิเคราะห์โดยดู 1.สินทรัพย์ เมื่อเทียบกับ Market cap ตอนนี้ Market cap 50,000 ลบ 2. Cash collection ต้องดี เพื่อให้บริษัทเติบโต ปีนี้ Q1 พลาด แต่ตลาดลงโทษแรงไป ถ้าผู้บริหารทำได้จริง ก็น่าสนใจ ซื้อราคานี้แพ้ยาก ดังนั้นต้องตามไปดูรายไตรมาสว่าทำได้ไหม Q1 เจอ Covid ระลอก2,3 ทำให้ทำงานยาก กรมบังคับคดีก็ปิด
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 15, 2021 9:42 am
0
4
Re: VI หาดใหญ่
ขอส่งlink อ โจ อีกรอบ https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=26058&view=unread#unread
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 08, 2021 12:21 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
บทความที่พูดคุยกับคุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=1250&p=1895937#p1895937
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 08, 2021 12:19 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
บทความที่คุณโจ ลูกอีสานเขียนเมื่อปี2007 https://board.thaivi.org/viewtopic.php? ... ead#unread
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 08, 2021 12:16 pm
0
0
Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา
บทความที่คุณโจ ลูกอีสานเขียนเมื่อปี2007 https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=26058&view=unread#unread
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 08, 2021 12:14 pm
0
0
Re: AGM 2564
AGM SQ 22 Apr 64 วาระที่ 3 พิจารณารับทราบรายงานผลการดำเนินงานของบริษัท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี สิ้น สุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ประธานได้เรียนเชิญนายศาศวัต ศิริสรรพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเป็นผูร้ายงานวาระนี้ต่อที่ประชุม นายศาศวัต ศิริสรรพ์ได้ชี้แจงผลการดำเนินงานของบริษัทสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด วันที่31ธันวาคม2563โดยสรุปดังนี้ รายได้รวมของบริษัทในปี 2563 มีจานวนเท่ากับ 4,776 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2562 ที่มี รายไดร้วมเท่ากับจำนวน4,773ล้านบาทเป็นจำนวน3ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ0.1 กำไรก่อนหักค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจ่าย (EBITDA) ของปี 2563 เท่ากับ 1,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จานวน 76 ล้า นบาทจากในปี 2562 ที่มีกำไรขั้นต้น จานวน 1,571 ล้า นบาท หรือเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 5 โดยมีEBITDAmarginเพิ่มขึ้นจากร้อยละ34ในปี2562เป็นร้อยละ35ในปี2563 กำไรสุทธิของบริษัทในปี2563มีจานวนเท่ากับ 241ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปี2562ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 1 ล้านบาท บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนลดลงจาก3.59เท่าในปี2562 เป็น2.85เท่าในปี2563 และมีแนวโนม้ที่จะลดลงในปี2564และในปีต่อๆไป การใช้คืนเงินกู้ระยะยาวในปี 2563 มีจานวน 859 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ที่ใช้คืนเงินกู้ จานวน 1,296 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ประกอบกับสถานการณ์ดินสไลดท์ ที่สืบเนื่องมาจาก ปีก่อนทำให้ธนาคารยินยอมให้บริษัทลดสัดส่วนการใช้คืนเงินกลับ ต้นทุนทางการเงินลดลงจากจำนวน 389 ล้านบาท ในปี 2562 เหลือจำนวน 314 ล้านบาท ในปี 2563 ในปี2563ได้ปรับปรุงโครงสร้างการบรหิารที่เหมืองแม่เมาะโดยเริ่มต้นปลายปี2562 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันให้ประสิทธิภาพการบริหารโครงการที่เหมืองแม่เมาะดีขึ้นรวมถึงการปรับสวัสดิการและ ผลตอบแทนของพนักงาน แรงจูงใจของพนักงานซึ่งส่งผลใหผ้ลประกอบการของบรษิดีขึ้น เป็นอย่างมาก อีกทั้งในปีนี้บริษัทขุดขนดินไดสูงถึง 83 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณที่มากที่สุดตั้ง แต่ ดำเนินงานมา รวมทั้งได้จัดงานและทำโครงการประหยัดต้นทุนทั้งในเรื่องของการซ่อมบารุงและการจัดซื้อและจัดจ้างทำให้ ค่าใช้จ่ายต่างๆลดลงอย่างมีนัยสำคัญ. นอกจากนี้ปี2563เป็นปีแรกที่บริษัททำรายได้ของโครงการบริหาร การระบบสายพานหงสา (Hongsa O&M) สำหรับรายได้ในแต่ละโครงการของบริษัทจำนวน3โครงการคือ โครงการเหมืองแม่เมาะ8 และ โครงการเหมืองหงสา และโครงการเหมืองแม่เมาะ 7 • โครงการเหมืองแม่เมาะ8มีรายได้ในปี2563จานวน3,277ล้านบาทเพิ่มขึ้นจำนวน816ล้าน บาทจากในปี 2562 ที่มีรายได้จำนวน 2,461 ล้านบาท สำหรับกำไรขั้นต้น ที่หักค่าเสื่อมราคาปี 2563 มีจำนวน 775 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 94 ล้านบาท จากในปี 2562 ที่มีกำไรขั้นต้น จำนวน681ล้านบาทเนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานที่มรประสิทธิภาพมากขึ้นและการเพิ่มเครื่องจักรช่วยทำงาน • โครงการเหมืองหงสามีรายได้ในปี 2563 จานวน 1,203 ล้านบาท เพิ่ม จานวน 96 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มีรายได้จำนวน 1,107 ล้านบาท GPหักค่าเสื่อมในปี 2563 มีจานวน 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จานวน 12 ล้านบาท จากในปี 2562 ที่มีกาไรขั้นต้น 231 ล้าน บาท แต่มีอัตราการทากำไรลดลงเนื่องจากโครงการได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและการ Shut-downmaintenanceนอกกำหนดของโรงไฟฟ้าหงสาและผลกระทบเล็กน้อยจากCOVID- 19ในเรื่องการเข้าพื้นที่งานและต้องมีการกักตัวตามสาธารณสุขในพื้นที่กำหนด • โครงการเหมืองแม่เมาะ 7 มีรายได้ในปี 2563 เฉพาะในไตรมาสที่ 1 จานวน 223 ล้านบาท สาหรับกำไรขั้นต้นหลังหัก ค่าเสื่อมราคา มีจานวน 56 ล้านบาท สิ้นสุดโครงการในไตรมาสที่1/2564 โดย บริษัทได้ส่งมอบพื้นที่งานให้ ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตามเงื่อนไขในสัญญาเมื่อ30เมษายน63
โดย
amornkowa
เสาร์ พ.ค. 08, 2021 11:56 am
0
2
Re: AGM 2564
AGM VIH สรุปคำถาม คำตอบ ในที่ประชุม ประธานฯ เปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นซักถามและแสดงความเห็น คุณณัฐกิติ์ สุนทรบุระ ผู้ถือหุ้น สอบถามถึงงบลงทุนจากงบการเงินรวมจานวน 200 ล้านบาท ได้ใช้ไปกับรายการใดบ้าง เงินสดและรายการเทียบเท่ากับ เงินสดปลายปี19 ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน กล่าวอธิบายว่า งบลงทุนดังกล่าวนำไปใช้กับการก่อสร้างอาคารประกันสังคมที่ โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย ซึ่งคาดว่าจะเปิดทำการได้ภายในปี 2564 คุณชลิตา ตรีกิตตินุรักษ์ ผู้ถือหุ้น สอบถามว่า ปี 2562 อัตราการครองเตียงของโรงพยาบาลแต่ละสาขาเป็นอย่างไร นายแพทย์มงคล วณิชภักดีเดชา กล่าวชี้แจงว่า ปกติอัตราการครองเตียงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดในทุกๆ ช่วง ใน ภาพรวมของโรงพยาบาลทุกสาขามีอัตราการครองเตียงที่ค่อนข้างดี ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 – 70 ของจำนวนเตียง ทั้งหมด โดยในทางปฏิบัติอัตราการครองเตียงที่สูงจะอยู่ใน Ward ที่ดูแลคนไข้ของประกันสังคม และในปี 2563 ซึ่งเกิด สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 โรงพยาบาลได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากเนื่องจากคนไข้ไม่กล้ามาโรงพยาบาล ทาให้อัตราการครองเตียงทั้งในส่วนของคนไข้ประกันสังคมและคนไข้ทั่วไปลดลงเป็นอย่างมาก และต้องปิดการให้ บริการในบาง Ward บริษัทฯ จึงถือโอกาสนี้ในการบริหารจัดการด้านการลดค่าใช้จ่ายตามไปด้วย คุณฐิติพัฒน์ ตรีกิตตินุรักษ์ ผู้ถือหุ้น สอบถามว่า รายได้ที่จะเบิกจาก สปสช.จากการตรวจและรับรักษา COVID – 19 คิดเป็นรายได้ต่อหัวเท่าใด อัตราการทำกำไรเท่าใด และรายได้ส่วนนี้แปรผันตามความยากง่ายในการรักษาหรือไม่ รายได้ที่เบิก จาก สปสช.จะได้รับชำระเงินจริงจากทางรัฐเมื่อใด นายแพทย์มงคล วณิชภักดีเดชา กล่าวว่า เป็นนโยบายที่กาหนดขึ้นโดย สปสช. ในการดำเนินการที่จะรับมือกับ สถานการณ์ COVID – 19 ซึ่ง สปสช. ได้มีการกำหนดช่องทางระบบพิเศษขึ้นมา เพื่อให้โรงพยาบาลรับคนไข้ที่เป็น COVID -19 ซึ่งเป็นคนไทยและมีสิทธิ์สปสช.เข้ารับการรักษาตามปกติแล้ว หากเป็นโรคอื่นๆ โรงพยาบาลจะต้องรับดูแลและเบิกค่าใช้จ่ายไป ยัง สปสช.ตามระบบของ UC ซึ่งอัตราการเบิกของ UC จะค่อนข้างต่ำ แต่กรณีการเบิกของ COVID – 19 จะเรียกว่า UCEP- รายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2564 หน้า 4 ของจำนวน 15 หน้า COVID-19 ซึ่งภาครัฐได้กำหนดให้เป็นกรณีพิเศษ โดยสามารถเบิกในระบบของ UCEP ได้เช่นเดียวกับกรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน และมี อัตราการเบิกที่สูงกว่าระบบ UC และรายได้ที่เบิกจาก สปสช.ทางโรงพยาบาลจะได้รับชำระเงินจากทางภาครัฐประมาณ 2-3 เดือนหลังจากที่เบิก ไม่มีผู้ถือหุ้นซักถามหรือแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ประธานฯ เสนอให้ที่ประชุมตอบคำถามเพิ่มเติมหลังปิดประชุม ดังรูปด้นล่าง
โดย
amornkowa
ศุกร์ พ.ค. 07, 2021 3:34 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
9:28 Strategic Global Asset Allocation โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล บันทึกจากรายการ CSISociety ดร วิศิษฐ์ พูดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ในรายการ CSI Society ว่า เฟดจะทำการขึ้นดอกเบี้ยก่อนกำหนด ซึ่งตรงกับคุณเจเนต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐ ออกมาบอกเมื่อวันที่4พค2564 ว่าอาจจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อสกัดไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป มาฟังดร วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจโลกและแต่ละประเทศในช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไรกันครับ ดร เริ่มจากการที่พูดว่า เฟตอาจเริ่ม QE Tapering ก่อนกำหนด หลังจากที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐขึ้นร้อนแรงในปีนี้ ดร มองว่า GDP สหรัฐ ปีนี้อาจโตถึง 7-8% มาตรการต่างๆในปีนี้ แต่ตอนหลัง ดร ก็บอกว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยช่วงปลายปี2022ถึงต้นปี2023 เศรษฐกิจหลายประเทศหลังCovidที่ฟื้นตัวเป็นรูปตัววี เช่น จีน ฟิลิปินส์ เวียดนาม ส่วนอินเดียน่าจะเป็นรูปตัววี แต่ยังหาฐานไม่เจอ น่าสนใจ แต่ต้องรอจังหวะ ไทย ฟื้นตัวเป็นรูปไนกี้ ซึ่งจะพูดถึงรายละเอียดในภายหลัง มาดูดัชนีหุ้นของแต่ละประเทศกัน เริ่มจากDevelop Market - s&p500 ตอนนี้แพง Forward PE 23.7 ช่วงที่เจอวิกฤตรอบก่อน Forward PE 30เท่า แต่ดัชนีก็ทำ New high เพราะ US Equity ETF ไหลเข้าลงทุนเยอะ ยูโรโซน เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยโต -Eurozone Forward PE 17.7 เท่า ส่วนประเทศจีนฟื้นจากCovidเร็ว ราคาไม่แพง -China Forward PE 12.4 เท่า ถูกสุด -Japan Forward PE 21.5 ถูก ต่ำกว่าช่วงวิกฤตปี2009 ที่ขึ้นไปมากกว่า 40 เท่า -SET Forward PE 19.5 เท่าถือว่า แพง ไม่สามารถลงทุนแบบTop down ต้องใช้กลยุทธ์แบบ Bottom up คือSelective buys หุ้นที่ประโยชน์ PE bandของSET 5ปีเฉลี่ย จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย การปรับกำไรของตลาดประมาณ 5%ไม่เยอะ ถ้าเทียบกับ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ ไต้หวัน แต่เงินปันผลถ้าเทียบกับในกลุ่มเอเซียด้วยกัน ประมาณ 2%กว่าๆ อยู่กลางๆของกลุ่ม ดร มองว่าเศรษฐกิจจะโต3%กว่า มากกว่าที่คาดการณ์เพราะมองว่ากลุ่มส่งออก โรงงานจะได้ประโยชน์ จากเศรษฐกิจโลกที่โตมากกว่าที่คาดการณ์ หลักๆก็มาจาก สหรัฐ และ จีน โตกว่าที่คาดการณ์นั่นเอง หุ้นไทยจะขึ้นเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เน้นกลุ่ม - Logistic - Hospital - Sugar export - Electronic,export - Alternative Energy - Some Auto - Steel - Manufacturing Underperform Sector - Service and Leisure - Bank sector - Retail กลยุทธ์การลงทุน เราควรลงทุนในประเทศที่เข้าถึงทรัพยากรเช่น commodity ได้มากกว่าไทย หลายๆกองทุนก็ย้ายจากกลุ่มเทคมาที่ลงทุนกลุ่มEV และcommodityที่ใช้ในEV Global Manufacturing PMI new high Semiconductorน่าสนมาก มองที่ประเทศไต้หวัน เพราะทำnew high Trinity มีกองทุนprivate fund ที่จะออกในพค เป็น กองทุน ที่ลงทุนใน Asian Private Fund.ปีที่แล้ว performance ดีมาก เพราะเริ่มลงในพค สรุป สหรัฐอเมริกา มีแนวโน้ม ปรับฐานในกลางเดือน พค ถึง มิถุนายน ส่วนไทย หุ้นจะไม่ลงเพราะหุ้นลงไปในเดือนเมษาแล้ว ไม่เกิด Sell in May ,go away
โดย
amornkowa
พฤหัสฯ. พ.ค. 06, 2021 10:50 am
0
2
Re: รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 1/2564
จอง1ที่ อาวุโส ครับ
โดย
amornkowa
จันทร์ พ.ค. 03, 2021 8:32 pm
0
0
Re: AGM 2564
AGM JSP 29 Apr 2021 10.00 มีผู้เข้าประชุมด้วยตนเอง 11 คน รับมอบฉันทะ 24. คน รวม 35 คน คิดเป็นคะแนน 45.1104 %ของคะแนนเสียงทั้งหมด วาระที่2 รับทราบผลการดำเนินงานของบริษัทปี2563 รายได้ 1.รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 39% เหลือ 1,166 ลบ 2.รายได้รวม ลดลง 42% เหลือ 1,201 ลบ ต้นทุน 1.ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 1,678ลบ 2.ขาดทุนการปรับมูลค่าโครงการ 121 ลบ รายการนี้เกิดเมื่อสค63 ขายโครงการเพื่อเสริมสภาพคล่อง มีการตั้งสำรอง และขาดทุนจริง121ลบ 3.ผลขาดทุนด้านเครดิตจากการให้กู้ยืม157 ลบ กำไร 1.จากการดำเนินงาน จากปีที่แล้วกำไร 90 ลบ ปีนี้ขาดทุน 755ลบ 2.กำไรสุทธิ ปีที่แล้ว ขาดทุน 157 ลบ ปีนี้ขาดทุนหนักขึ้นอีก 477% เป็น – 907 ลบ รายได้จากการขาย แบ่งเป็น 1.อาคารพาณิชย์ 6.1% 2.คอนโด. 40.95% 3.ทาวน์เฮ้าส์. 39.30% 4.บ้านแฝด บ้านเดี่ยว. 13.65% รวม รายได้ 1,166.87 ลบ Q&A 1.ทำอย่างไรให้มีกำไร และ ธุรกิจใหม่ที่มาเสริมรายได้ให้มั่นคงหรือเปล่า มีแผนลดค่าใช้จ่ายอย่างไร ตอบ การขาดทุนมี2ส่วน 1.ขาดทุนจากผลประกอบการ เนื่องจากปีที่แล้วcovidทำให้อำนาจในการซื้อลดลง ปีนี้น่าจะดีขึ้น 2.ตัวเลขขาดทุนจริงๆ คือ การด้อยค่าของสินทรัพย์ และ การขายสินทรัพย์ต่ำกว่าทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง เรามีแผนแบ่งเป็น 1.ระยะสั้น 1.1ประคองตัวให้องค์กรอยู่รอดด้วยกระแสเงินสด สภาพคล่องเป็นปัจจัยสำคัญ เราพยายามแปลงสินทรัพย์ ให้เป็นเงินสด และ ลดภาระหนี้ รวมถึงการเข้าลงทุนสินทรัพย์ใหม่ 1.2 ระยะกลาง พอได้สภาพคล่อง จะเริ่มไปลงทุนในปีหน้าสำหรับโครงการใหม่ๆ ปีนี้จะเห็นการลดกู้ยืมจากบุคคลที่เกี่ยวข้องลดลง 2. ถามว่าเราจะจัดการกับหุ้นกู้ที่ครบกำหนดปีนี้อย่างไร ตอบว่า หุ้นกู้บริษัทมีสามรุ่น รุ่นมีนาคม เราต่ออายุไปแล้ว ส่วนอีกสองรุ่น ก็พยายามต่ออายุออกไป 3.ข่าวเรื่องให้ต่างชาติถือครองอสังหาได้3-5 ปีส่งผลต่อบริษัทอย่างไร ตอบ ยังไม่มีการอนุมัติ บริษัทสร้างและขายให้คนไทยเป็นหลัก ถ้าอนุมัติก็ส่งผลต่อภาพรวมของอสังหา
โดย
amornkowa
พฤหัสฯ. เม.ย. 29, 2021 11:48 am
0
1
Re: AGM 2564
AGM PYLON 28 Apr 2021 14.30 มีผู้ถือหุ้นเข้าประชุม 45 ราย คิดเป็นคะแนน 475,614,974 หุ้น วาระที่3 รายงานผลการดำเนินงานปี63 รายได้ลดลง34% มาจากการชะลอของ โครงการภาครัฐ และ โครงการภาคเอกชน ภาครัฐ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีชมพู สภาวิศวกร ภาคเอกชน เช่น โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมสิริกิต บางกอกมอลล์ คอนโด AIA east gateway งบแสดงฐานะทางการเงิน Asset 1,321 MB Liability 274 MB Equity 1,047 MB DE ratio 0.26 CA. 3.78 Q&A 1.ยอดขายที่ลดลง อยากทราบสาเหตุ ตอบ รายได้ลดลงจาก 1,550 เป็น 1,415 ลบ ลดลง 9% แต่กำไรสุทธิลดลง30% สาเหตุมาจาก งานที่รับมาปี62 ตอนนั้นการแข่งขันยังไม่สูง marginดีมาก GP 25% ปลายปี62 มีโครงการใหญ่ปรับปรุงศูนย์ประชุมสิริกิต์ พย 62 ทำให้งบปี62 กำไรnew high 277 ลบ GP 26% , NP 17.8% และยังดีถึงQ1 63 ทำให้มีกำไร70 ลบ หลังเจอCovid ตลาดอสังหา คอนโด ประสบปัญหาค่อนข้างมาก การแข่งขันก็สูงขึ้น ทำให้ marginของQ2-Q4 ลดลง ทำให้กำไรต่ำลง 2.Backlog ตอนนี้เท่าไหร่ ตอบว่า Backlog ณ ตอนที่ออก oppday 500 ลบ รอปิดงบQ1 จะแจ้งอีกครั้ง 3. สถานการณ์เหล็ก ราคาเพิ่มขึ้น มีผลต่อโครงการที่รับมาแล้วอย่างไร ตอบ เราได้โครงการมาก็จะlockราคาเหล็กไว้เลย ดังนั้นไม่ได้ผลกระทบจากราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น มีข่าวดีว่า รัฐน่าจะเริ่มก่อสร้างในครึ่งปีหลัง หลายโครงการเช่น รถไฟความเร็วสูง. ไทย จีน และรถไฟเชื่อมสามสนามบิน น่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ทำให้อุตสาหกรรมดีขึ้น
โดย
amornkowa
พุธ เม.ย. 28, 2021 6:23 pm
0
4
Re: AGM 2564
AGM BIG 28 Apr 2021 14.00 มีผู้มาลงทะเบียนด้วยตนเองและรับมอบฉันทะรวมคะแนน 2,508,727,740 คะแนน วาระที่2 กลุ่มธุรกิจแบ่งเป็น 1.สินค้ากล้อง เช่น Bigcamera,Exclusif 2.สินค้ามือถือ ขายผ่าน AIS shop , Telewiz shop 3.บริการภาพพิมพ์ เช่น Image plus , Wonder Photo shop 4.บริการอื่นๆ เช่น Bigcamera Care , Piccasus เรามุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจใหม่ โดย ใช้ 5G network มาใช้บนdevice ที่รองรับ5G และไปใช้ในSocial media เช่น FB , Instagram Distribution Network 1.Bigcamera ลดสาขาจาก 196 เหลือ 156 สาขา 2.Bigcamera Galleria 7 สาขา 3.Wonder Photo shop 10 สาขา 4.Exclusive by Big Camera 1สาขา 5.AIS 3 shop , Telewiz 4 shop 6.สินค้าใหม่ Olympus 1 สาขา เปิด พย 63 รวม 181 สาขา Flagship store at central world ถูกกระทบอย่างหนัก จากนักท่องเที่ยวหายไป ตลาดกล้องหายไปเยอะมาก จากนักท่องเที่ยวหายไป ทำให้รายได้ลดลง 40% แต่เราไปรุกตลาด Streaming,Vedioมากขึ้น เชื่อมต่อสัญญาณ เราเปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ Piccasus ซึ่งได้เปิดตัว Olympus ไปแล้ว จะมี Dji ซึ่งเป็น Gadget เช่น Drone โดยเริ่มนำเข้า เมื่อ 1เมษายน64 ยอดขายปี63 เริ่มถูกกระทบตั้งแต่ กพ 63 หลังCovidแพร่ระบาดที่จีน ทำให้รายได้ลดลงจาก 4,580 ไปที่ 2,536 ลบ Q4 รายได้เริ่มกลับมาใกล้เคียงเดิม แต่กลาง ธค มีแพร่ระบาดระลอกสอง ทำให้ยอดขายไม่ดีเท่าที่คาด ไม่มีคำถาม ถามในที่ประชุม ปิดการประชุม เวลา 15.04 น
โดย
amornkowa
พุธ เม.ย. 28, 2021 5:45 pm
0
4
Re: AGM 2564
AGM BEM 28 Apr 2021 14.00 ผู้เข้าร่วมประชุมและผู้รับมอบฉันทะ รวม 1,162 ราย คิดเป็น 10,033,270,551 หุ้น วาระที่2 ปี63 เราได้เปิดโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแบบเก็บเงิน สถานีเพิ่มขึ้น38สถานีคิดเป็นระยะทาง 48 กม จากโรคCovidระบาดในช่วงปลายq1 ภาครัฐได้ควบคุมการแพร่เชื้อ ทำให้การเดินทางในประเทศและต่างประเทศหยุดชะงัก ปริมาณ ผู้โดยสารลดลง แบ่งเป็น 1.ทางด่วน ผู้ใช้บริการต่ำสุดในเมษายน ลดลง50% คิดเป็น 589,900 เที่ยวต่อวัน เฉลี่ยทั้งปี 1,049,928 เที่ยวต่อวัน 2.รถไฟฟ้า ผู้ใช้บริการต่ำสุดในเมษายน ลดลง23% คิดเป็น 78,500 เที่ยวต่อวัน เฉลี่ยทั้งปี 260,471 เที่ยวต่อวัน หลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการ ทำให้ผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นตามลำดับ ผลประกอบการ 1.ทางด่วนพิเศษ รายได้ลดลงจาก 10,302 เป็น 8,145 ลบ ลดลง 21% สาเหตุจาก 1.1 รับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ผ่านทาง 322 ลบ 1.2 ยกเว้นค่าผ่านทางในช่วงวันหยุดยาว 305 ลบ 1.3 ผลกระทบจากCovidเป็นจำนวน 1,530 ลบ 2.รถไฟฟ้า รายได้ลดลงจาก 5,022เป็น 4,420 ลบ แยกเป็น 2.1 สายสีน้ำเงิน รายได้ลดลงจาก 3,140 เป็น 2,613 ลบ 2.2 สายสีม่วงได้รับเป็นค่าเดินรถ รายได้เพิ่มจาก 1,882 เป็น 1,907 ลบ 3.รายได้เชิงพาณิชย์ รายได้เพิ่มขึ้นจาก 783 เป็น 825 ลบ รายได้รวม 14,323 ลบ หักค่าใช้จ่าย แบ่งเป็น ต้นทุน 8,426 ลบ ค่าใช้จ่ายการขายและบริการ 1,347 ลบ ค่าใช้จ่ายทางการเงินและภาษี 2,499 ลบ กำไรสุทธิ ลดจาก 5,435 เป็น 2,051 ลบ รายละเอียดเพิ่มเติมดูจากสไลด์ Q&A 1.อยากทราบมาตราการที่รับมือกับCovid ตอบ เรามีพนักงาน 4,000คน รวมถึงผู้รับเหมา และ รฟม เราเป็นfront line ไม่เทียบกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เราหยุดบริการไม่ได้ ลูกค้ากว่า 2ล้านคน ก็มาใช้เส้นทางของเราตลอดเวลา ส่วนทางด่วนดูจะปลอดภัยระดับนึง เราก็ลดความเสี่ยงเพิ่มโดยลดการจ่ายเงินสด โดยใช้ E-money สำหรับรถไฟฟ้า ประชาชนมาสัมผัสโดยตรง เราต้องระวังความเสี่ยงของพนักงานไม่ให้ไปติดกับผู้โดยสาร ต้องขอความร่วมมือจากผู้โดยสาร ซึ่งตอนนี้มีประสบการณ์จากครั้งก่อน ถึงแม้จะติดเชื้อมากขึ้น 2. การปรับค่าโดยสารถูกชะลอมีแผนอย่างไร ตอบ การปรับค่าโดยสารเป็นไปตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งปรับตามเงินเฟ้อ กรณีรัฐให้ความช่วยเหลือประชาชน ส่วนใหญ่จะเคารพกับสัญญา และจะลดในส่วนของภาครัฐ 3.การประมูลสายสีส้มเป็นอย่างไร ตอบว่า หลังจากยกเลิกประมูลครั้งก่อน จะมีการเปิดประมูลใหม่ประมาณQ2 64 ปลายปีก็จะทราบผล
โดย
amornkowa
พุธ เม.ย. 28, 2021 5:25 pm
0
4
Re: AGM 2564
AGM RJH by Tiwa ผมไปมาครับ สรุปเป็นข้อข้อเท่าที่จำได้นะครับ 1. Rw>2 ของปีที่แล้วได้รับครบแล้วครับ ได้ที่ราคา 12000 บาทต่อแต้ม ทาง rjh บันทึกไป 10679 บาท ดังนั้นในไตรมาส 1 จะมีรายการพิเศษตรงนี้ 30 ล้านบาท และปีนี้ทาง audit อนุญาติให้บันทึกที่ 12000 บาทต่อแต้มตั้งแต่ไตรมาสแรกเลยครับ 2.ผู้ป่วย ipd ก่อนเจอระลอกสาม กลับมาเกือบปกติครับ พอมีระลอกสามก็หายไปบ้าง แต่ไม่ได้น่าตกใจเหมือนล็อคดาวน์ช่วง เมษาปีที่แล้วครับ ทาง rjh เอาเตียง 50 เตียงมาดูแลผู้ป่วย covid ตอนนี้เต็มทั้ง 50 เตียงครับ 3.การตรวจ covid q2 ปีก่อน ยังไม่มีแลปเอง ปีนี้ทำแลปเองแล้ว กำไรน่าจะค่อนข้างดี บวกกับช่วงปลายมีนา ต้นเมษา คนมาตรวจเยอะมากครับ หลักพันคนต่อวัน ตอนนี้เริ่มลงมาเหลือวันละ 300 คน เราสามารถตรวจได้สูงสุดวันละ 1xxx เคสครับ ปกติสงกรานต์จะเป็นช่วงที่เงียบสุดของโรงพยาบาล อาจจะเพราะ คนงานในนิคมคงกลับบ้าน ปีนี้กลายเป็นช่วงคึกคักสุดช่วงหนึ่งครับเพราะมีผู้ป่วยมารอตรวจ Covid เยอะมากมาก 4.หลังคาลานจอดรถ ติด solar cell ไป 70% ลดค่าไฟฟ้าได้ 5 ล้านบาทต่อเดือนครับ 5. เรื่องฉีดวัคซีน หรือนำเข้าวัคซีนมาเองให้รอฟังภาครัฐ ถ้าเราฉีดให้ก็ได้หัวละ 50 บาท ( อาจจะมีโอกาสขายวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม) และลูกค้าวัคซีนในนิคม เรามีแชร์เป็นอันดับ 1 รอวัคซีน covid มา ก็จะเริ่มฉีดครับ ตอนนี้ตลาดเป็นของผู้ขายครับ สรุปงบครึ่งปีแรก คงไปได้ดีครับ ลุ้นอีกทีเรื่องวัคซีนครับ ผมเดินเดินดูผู้ป่วยก็เยอะนะครับ ดูคนเริ่มชินไม่ได้ตกใจโรงพยาบาลเหมือนรอบแรกครับ ขอบคุณครับ
โดย
amornkowa
พุธ เม.ย. 28, 2021 2:22 am
0
3
Re: AGM 2564
AGM MATI 27 Apr 2021 9.30 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมติชน อนุมัติจ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น “ปานบัว บุนปาน” เผยทิศทางปี 2564 เดินหน้า ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น สู่การสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เน้นปรับกิจกรรมต่าง ๆ ไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ เมื่อวันที่ 27 เมษายน บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ครั้งที่ 1/2564 ซึ่งผู้ถือหุ้นได้มีมติให้ความเห็นชอบอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท จากกำไรสะสม ซึ่งเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ในอัตรา 23% โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นที่ปรากฏรายชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พฤษภาคม 2564 นางสาวปานบัว บุนปาน กรรมการผู้จัดการ ชี้แจงที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2564 ขณะนี้ผ่านไตรมาสที่ 1 มาแล้ว ผลประกอบการอย่างเป็นทางการจะชี้แจงในเดือนหน้า เป็นไปด้วยดีตามการปรับยุทธศาสตร์อย่างรวดเร็วของบริษัท ซึ่งมีการทำงานอย่างต่อเนื่อง วางแผนรัดกุม หลังสามารถสร้างผลประกอบการ ปี 2563 ที่น่าพอใจท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ส่วนในช่วงสำหรับไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ประเทศไทยต้องกลับมาเผชิญการแพร่ระบาดโควิด 19 ระลอกใหม่ เครือมติชน ซึ่งได้ผ่านประสบการณ์ ในช่วง ปี 2563 จนถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ยังเน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีเป้าหมายร่วมกัน อย่างชัดเจน จึงคาดว่าตลอดปี 2564 น่าจะสามารถประคับประคองสถานการณ์ ได้ในระดับเดียวกับในปี 2563 ทั้งนี้ดังจะเห็นได้จากในช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา แม้จะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ เครือบริษัทมติชน กลับไม่หยุดการเคลื่อนไหว ทั้งเรื่องสื่อ กิจกรรม รวมถึง ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อเนื่องตลอดไตรมาส 1 โดยเดินหน้าจัดกิจกรรมราว 13 งาน ผ่านการสัมมนาใน 3 รูปแบบ ได้แก่ การสัมมนาออนไลน์ (Virtual conference) การสัมมนาแบบผสม (Hybrid) และ การสัมมนาภาคสนาม (On ground) รวมถึงการสัญจรจัดกิจกรรมไปยังจังหวัดต่าง ๆ คือ งานกัญชง-กัญชา 360 เพื่อประชาชนที่ จังหวัดบุรีรัมย์ และงานหนังสือที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น “ส่วนการขายอื่นๆ ก็ปรับมาใช้รูปแบบออนไลน์เกือบทั้งหมด เช่น หนังสือพ็อกเกตบุ๊ก ใช้กลยุทธ์การขายแบบพรีออร์เดอร์ (สั่งจอง) เปิดรับ 1-2 แคมเปญต่อเดือน เปลี่ยนการพรีออร์เดอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือหลักของการขายสินค้าจนสามารถชดเชยตัวเลขที่หายไปจากการขายหน้าร้านได้ การพรีออเดอร์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จดี ได้รับผลตอบรับอย่างสูง เช่น หนังสือความรักของวัลยา, Accidentally Wes Anderson, สังคมจีนในไทย และ เรื่องธรรมดาสามัญประจำบ้าน โดย หนุ่มเมืองจันท์ เป็นต้น เช่นเดียวหลักสูตรการอบรมอาชีพ ของ มติชนอคาเดมี่ ก็ปรับเปลี่ยนเป็นสอนหลักสูตรออนไลน์ และเมื่อสถานการณ์ปกติจึงกลับมาเปิดหลักสูตรให้เรียนในห้องเรียนได้เช่นเดิม ทั้งหมดคือแนวทางที่แสดงให้เห็นว่ามติชนมีเป้าหมายที่ชัดเจนในทุกส่วน ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่งดและไม่เลิกกิจกรรมต่างๆ แต่จะใช้การปรับตัวไปสู่แพลตฟอร์มใหม่แทน” นางสาวปานบัวกล่าว นางสาวปานบัวกล่าวต่อไปว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีดิจิทัล (ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น) ของเครือมติชน ได้แปลงสู่การสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้มติชนสามารถผ่านพ้นวิกฤติในปี 2563 และเติบโตอย่างต่อเนื่องมาถึงปี 2564 โดยรายได้โฆษณานิวมีเดีย ในปี 2563 มีสัดส่วน 52% ของรายได้โฆษณารวม ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจนในช่วงที่มีโควิด-19 ทั้งยังสอดคล้องกับ ยอดการติดตามที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะยอดการติดตามคลิปและวิดีโอที่ซึ่งถือว่าสูงสุดในประเทศสำหรับกลุ่มพับบลิชเชอร์ ทั้งนี้ เฉพาะในไตรมาส 1 ปี 2564 ยอดวิวเฟซบุ๊ก 3 เพจหลัก คือ มติชนออนไลน์ ข่าวสดออนไลน์ และประชาชาติออนไลน์ มียอดเติบโตรวม 140 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 จึงมั่นใจว่า เครือมติชนจะสามารถเดินหน้า ปรับตัวท่ามกลางสถานการณ์ปี 2564 ตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ ในการประชุมครั้งนี้ ยังได้เห็นชอบแต่งตั้ง นายพัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์ บรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เป็นกรรมการใหม่ของบริษัท มติชน โดยพิจารณาอย่างรอบคอบ แล้วว่า นายพัฒนพันธุ์ เป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระราชบัญญัติ บริษัทมหาชนจำกัด ปี 2535 จะสามารถจัดการงานบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) มีคณะกรรมการ รวม 14 ท่าน โดยมี นายขรรค์ชัย บุนปาน เป็นประธานกรรมการของบริษัท
โดย
amornkowa
พุธ เม.ย. 28, 2021 2:07 am
0
2
Re: AGM 2564
E-AGM EKH 27 Apr 2021 14.00 By torpongsak รวมคำถามใน eAGM (27 เม.ย. 64) ในวาระที่ 8 ผถห.ได้ส่งคำถามหลายๆคำถามไปในchat แต่อาจด้วยเวลาที่น้อย ผบห. ไม่ได้ยกทุกคำถามมาตอบ เท่าที่ผมเรียบเรียงได้มีดังนี้ครับ 1. ความคืบหน้าของการสร้าง รพ ผู้สูงอายุ ว่าสถานะการโควิด มีผลกระทบแผนหรือไม่ (มีupdateช่วงรอคำถาม จากที่ผมดู ตึก 5 ชั้นสร้างรวดเร็วมาก ตอนนี้ส่วนโครงสร้าง สร้างไปถึงชั้น 5 แล้ว 2. สถานการณ์โควิดปีนี้ อยากให้ ผบห ประเมิน ผลกระทบต่อรายได้ในปีนี้อย่างไร คาดว่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมาหรือไม่ (ผบห. ไม่ได้อ่านคำถามนี้) 3. ช่องทางรายได้ใหม่ๆในการแก้ปัญหาจากวิกฤติมาจากช่องทางใด วิธีการใด (ผบห. ไม่ได้อ่านคำถามนี้) 4. การลดต้นทุน ค่าไฟฟ้า และ ต้นทุนพนักงานทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้เท่าไหร่ครับ (ผบห. ไม่ได้อ่านคำถามนี้) 5. พนักงานลาออก 23 คนในปีก่อน สาเหตุจากอะไร (ตอบ พนักงานลาออก จากเรื่องส่วนตัว บ้างก็กลับภูมิลำเนา) 6. มีบุคลากรทางการแพทย์หรือพนักงานติดโควิดจากการปฏิบัติงานบ้างหรือไม่ (ตอบ มีพ่อบ้านซึ่งทำงานในหอผู้ป่วย ติดเชื้อ 1 คน รักษาเรียบร้อยแล้ว) 7. หากไม่มีลูกค้าชาวจีนเข้ามา ศูนย์IVFจะขาดทุนไตรมาสละเท่าไหร่ครับ (ตอบ จะขาดทุนราว 5 ลบ. ต่อไตรมาส แต่เริ่มมีลูกค้าเข้ามาบ้างแล้ว) 8. กำไรจากการขายหุ้นที่ซื้อคืน จะบันทึกกำไรในไตรมาสไหนและบันทึกลงbottom Lineเลยหรือไม่ครับ (ผบห. ไม่ได้อ่านคำถามนี้) 9. โรงพยาบาลผู้สูงอายุ(EKN) ที่จะเปิดในq1/65 มีค่าเสื่อมเท่าไหร่ต่อปี (ตอบ โรงพยาบาลผู้สูงอายุ จะตัดค่าเสื่อม 6-7 ลบ.ต่อปี) 10. ไม่มีโครงการทำHospitel 11. อัตราครองเตียงตอนนี้เกิน 100% มานานแล้ว ปิดท้ายด้วยสโลแกน “สัมผัสจากใจ ห่วงใยดูแลคุณ” ถ้าข้อมูลผิดพลาด หรือ บางคำถามที่ ผบห. ยังไม่ตอบ ก็รบกวนเพื่อนๆที่ตามตัวนี้มาตลอด ช่วยเพิ่มเติมด้วยครับ :) ปล. ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณป๊อบที่โพสในห้องนี้และทางเพจ “เม่ากลับใจ” ทำให้มีความเข้าใจEKHมากขึ้น ย่นเวลาในการทำการบ้าน และ เข้าประชุมAGMได้สนุกขึ้น...ขอบคุณมากๆครับ
โดย
amornkowa
พุธ เม.ย. 28, 2021 1:54 am
0
4
Re: AGM 2564
AGM BCH 26 Apr 2021 10.30 ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 6 ราย ผู้รับมอบฉันทะ 883 ราย รวม 889 ราย คิดเป็น 73.3404% วาระที่ 1 อาจารย์ เฉลิมเปิดการประชุม และ พูดเกี่ยวกับประวัติของ รพ เปิดเมื่อปี 2527 และนำรพ เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 BCH มีฐานลูกค้าประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีรพ ทั้งหมด 14 แห่ง 2,144 เตียง แบ่งเป็น 1.WMC 1แห่ง , 150 เตียง 2.BCH Inter 2 แห่ง ,184 เตียง 3.BCH 9 แห่ง ,1,505 เตียง 4. การุณเวช 2 แห่ง ,305 เตียง อัตราการใช้บริการผู้ป่วยนอก ตั้งแต่2 มีนาคม63 ที่covidเริ่มระบาด. ทำให้Q2 63. คนไข้ในลดลง ได้ทำการset ห้องLAB ทุกสาขาเพื่อตรวจCovid ได้ตรวจไป250,000คน และเปิดรับคนไข้Covid ที่ อยุธยา บางแค และ ประชาชื่น ผู้ป่วยนอก เพิ่มขึ้น 10% และ ผู้ป่วยในลดลง 20% รายได้ของกิจการ เพิ่มขึ้น 0.5% ( WMC -2.1% ตค เริ่มรับคนไข้เบาหวานกลับมารักษาได้) คนไข้ประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9% OPD เพิ่มขึ้น 19.1% คนไข้เงินสด เพิ่มขึ้น 10%. รายได้ต่อบิล เพิ่มขึ้น 8.3% IPD ลดลง 20.8% คนไข้เงินสดลดลง 27.5%. รายได้ต่อบิลเพิ่มขึ้น 9.3% ลูกค้าประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9%. และจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น2.6%. รายได้โตขึ้น 0.5% ค่าใช้จ่าย หลังการทำLean process ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง GP เพิ่มขึ้นจาก 31.9 เป็น 33.1% กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น จาก 19 เป็น 20.3 % EBITDA เพิ่มจาก 26.4 เป็น 28.9 % กำไรสุทธิ เพิ่มจาก 1,135 เป็น 1,229 ลบ ความคืบหน้า 1. รพ BCH ปราจีนบุรี เปิดเมื่อ 1มค 64 มี115เตียง แบ่งเป็นคนไข้ทั่วไป ญี่ปุ้น ประกันสังคม ซึ่งใช้โควตาของ ฉะเชิงเทรา ปีนี้ได้โควตาของปราจีน 138,000คน 2. รพBCH Inter เวียงจันทน์ จะติดตั้งเครื่องมือเสร็จในกลาง มิย และคาดจะเปิดปลาย q3 หรือ ต้น q4 วาระที่2พิจารณาและอนุมัติงบการเงินปี 63 Asset 16,527,297 MB เพิ่มขึ้น 17.1% Liability 8,900,986 MB เพิ่มขึ้น 24.7% Equity. 7,626,311 MB เพิ่มขึ้น 9.3% รายได้รวม 9,014 mB เพิ่มขึ้น 0.3% กำไรเบ็ดเสร็จ 1,212,413 MB เพิ่ม 10.7% กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 151,384,000 วาระที่3 พิจารณาและอนุมัติการจ่ายปันผล ปันผลครั้งนี้ 0.13 บาท รวมระหว่างกาล 0.10บาท จ่ายทั้งปี 0.23 บาท ตัวเลขของการจ่ายปันผลเท่ากันมาตั้งแต่ปี61-63 วาะที่8 เรื่องอื่นๆ ผลการดำเนินงาน ผู้ป่วยใน ช่วงปี63 หาย หรือ ลดลง แต่รายได้ผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น แต่ปี64 มีการตรวจCovid ในQ1ค่อนข้างเยอะ เดือนเมษายน รพ ออกinnovation และขยายเตียง คนไข้ที่ติดcovid เราได้เปิดhospitel ทำให้คนไข้ที่ป่วยหนักมีเตียงเพิ่มขึ้น ขณะนี้ ยอดเจอแต่ละวันมากกว่า200เคส ต้องรับเข้ารักษาที่ รพ ปีนี้ต่างจากปีที่แล้วมาก ทำงานกันหนักมาก ขยายเตียง เอาคนไข้สีเขียวไปอยู่hospitel
โดย
amornkowa
จันทร์ เม.ย. 26, 2021 12:48 pm
0
7
Re: VI หาดใหญ่
AGM BCH 26 Apr 2021 10.30 ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 6 ราย ผู้รับมอบฉันทะ 883 ราย รวม 889 ราย คิดเป็น 73.3404% วาระที่ 1 อาจารย์ เฉลิมเปิดการประชุม และ พูดเกี่ยวกับประวัติของ รพ เปิดเมื่อปี 2527 และนำรพ เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 BCH มีฐานลูกค้าประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีรพ ทั้งหมด 14 แห่ง 2,144 เตียง แบ่งเป็น 1.WMC 1แห่ง , 150 เตียง 2.BCH Inter 2 แห่ง ,184 เตียง 3.BCH 9 แห่ง ,1,505 เตียง 4. การุณเวช 2 แห่ง ,305 เตียง อัตราการใช้บริการผู้ป่วยนอก ตั้งแต่2 มีนาคม63 ที่covidเริ่มระบาด. ทำให้Q2 63. คนไข้ในลดลง ได้ทำการset ห้องLAB ทุกสาขาเพื่อตรวจCovid ได้ตรวจไป250,000คน และเปิดรับคนไข้Covid ที่ อยุธยา บางแค และ ประชาชื่น ผู้ป่วยนอก เพิ่มขึ้น 10% และ ผู้ป่วยในลดลง 20% รายได้ของกิจการ เพิ่มขึ้น 0.5% ( WMC -2.1% ตค เริ่มรับคนไข้เบาหวานกลับมารักษาได้) คนไข้ประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9% OPD เพิ่มขึ้น 19.1% คนไข้เงินสด เพิ่มขึ้น 10%. รายได้ต่อบิล เพิ่มขึ้น 8.3% IPD ลดลง 20.8% คนไข้เงินสดลดลง 27.5%. รายได้ต่อบิลเพิ่มขึ้น 9.3% ลูกค้าประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9%. และจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น2.6%. รายได้โตขึ้น 0.5% ค่าใช้จ่าย หลังการทำLean process ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง GP เพิ่มขึ้นจาก 31.9 เป็น 33.1% กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น จาก 19 เป็น 20.3 % EBITDA เพิ่มจาก 26.4 เป็น 28.9 % กำไรสุทธิ เพิ่มจาก 1,135 เป็น 1,229 ลบ ความคืบหน้า 1. รพ BCH ปราจีนบุรี เปิดเมื่อ 1มค 64 มี115เตียง แบ่งเป็นคนไข้ทั่วไป ญี่ปุ้น ประกันสังคม ซึ่งใช้โควตาของ ฉะเชิงเทรา ปีนี้ได้โควตาของปราจีน 138,000คน 2. รพBCH Inter เวียงจันทน์ จะติดตั้งเครื่องมือเสร็จในกลาง มิย และคาดจะเปิดปลาย q3 หรือ ต้น q4 วาระที่2พิจารณาและอนุมัติงบการเงินปี 63 Asset 16,527,297 MB เพิ่มขึ้น 17.1% Liability 8,900,986 MB เพิ่มขึ้น 24.7% Equity. 7,626,311 MB เพิ่มขึ้น 9.3% รายได้รวม 9,014 mB เพิ่มขึ้น 0.3% กำไรเบ็ดเสร็จ 1,212,413 MB เพิ่ม 10.7% กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 151,384,000 วาระที่3 พิจารณาและอนุมัติการจ่ายปันผล ปันผลครั้งนี้ 0.13 บาท รวมระหว่างกาล 0.10บาท จ่ายทั้งปี 0.23 บาท ตัวเลขของการจ่ายปันผลเท่ากันมาตั้งแต่ปี61-63 วาะที่8 เรื่องอื่นๆ ผลการดำเนินงาน ผู้ป่วยใน ช่วงปี63 หาย หรือ ลดลง แต่รายได้ผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น แต่ปี64 มีการตรวจCovid ในQ1ค่อนข้างเยอะ เดือนเมษายน รพ ออกinnovation และขยายเตียง คนไข้ที่ติดcovid เราได้เปิดhospitel ทำให้คนไข้ที่ป่วยหนักมีเตียงเพิ่มขึ้น ขณะนี้ ยอดเจอแต่ละวันมากกว่า200เคส ต้องรับเข้ารักษาที่ รพ ปีนี้ต่างจากปีที่แล้วมาก ทำงานกันหนักมาก ขยายเตียง เอาคนไข้สีเขียวไปอยู่hospitel
โดย
amornkowa
จันทร์ เม.ย. 26, 2021 12:46 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
AGM FSMART 21 Apr 2021 14.00 ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 30 คน ผู้รับมอบฉันทะ 30 คน รวม 60 คน คิดเป็น 62.52% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด วาระที่2 ผลประกอบการ Core Revenue 2,859 ลบ ลดลงจาก 3,147 ลบ สาเหตุการลดลงของ mobile top upเป็นหลัก เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป แต่มีใช้บริการอื่นเสริม EBITDA 1,073 ลบ NP 464 ลบ และ กำไร 0.61 บาทต่อหุ้น Payout ratio 98% ,จ่ายปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น ROE 37.4% , ROA 13.3% Asset 3,454 ลบ ไม่ค่อยเพิ่ม แต่มีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง DE 2 เท่า มีการซื้อหุ้นคืน ทำให้หุ้นในตลาดลดลง Q&A 1.ตู้ที่ค่าเสื่อมหมดไปสิ้นปีที่แล้ว 19,000ตู้ ปีนี้ 28,500 ตู้จะประหยัดค่าเสื่อมไป ส่วนใหญ่จะหมดในปี2023 14,500 ตู้ ประหยัดไป 120 ลบ 2.รายได้บุญเติมลดลงตั้งแต่ปี 2561 ฝ่ายบริหารได้ทำแผนบริหารความเสี่ยงจากเดิม ทำธุรกิจเติมเงินมือถือ ใน3-4ปีมีการขยายไปธุรกิจใหม่ เช่น -Banking Agent 3-4ปีทีผ่านมา โตดี -ทำเพิ่ม เช่น Vending machine ถือเป็นรายได้แหล่งใหม่ วาระที่3 พิจารณาปันผล 0.6 บาทต่อหุ้น จ่ายจากกำไรที่เสียภาษี 20% ในวันที่29 เมษายน 0.3 บาท โดยจ่ายระหว่างกาลแล้ว0.3บาท วาระที่7 เรื่องอื่นๆ ทิศทางการดำเนินงาน Vision : เราเห็นเทรน ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป เรามุ่งเน้นเติมเงินมือถือก่อนหน้า ปลายปี 62 Visionก็เปลี่ยนไป โดยขยายให้กว้างขึ้น จากจุดรับชำระ และขยายตู้อัตโนมัติ เพิ่มธุรกิจการเงินครบวงจร เป็นตัวแทนธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ เราเพิ่มอีก2 ธุรกิจ หารายได้แหล่งใหม่ที่มี S-curve , ไม่โดนdisrupt 1.ธุรกิจการเงินครบวงจร โดยใช้ลูกค้าเดิม 1.1 ตัวแทนธนาคาร เราเป็นตัวแทนของ6ธนาคาร ตอนนี้รับฝากเงินอย่างเดียว28 ล้านรายการ(60%) 1.2 ปล่อยสินเชื่อ 100กว่าลบ กำไร 10กว่าลบ โดยเรียนรู้จากการปล่อยสินเชื่อมา1 ปี สร้างทีม ตามหนี้ รวมถึงการวิเคราะห์ลูกค้า 2. ธุรกิจกินอยู่ โดยใช้ความชำนาญจากการทำตู้ , online โดยใช้ลูกค้าเดิมเป็นฐานราก และ ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาด้วย ปีนี้เรามี 2.1 ธุรกิจดั้งเดิม เติมเงินมี 20ล้านคน ก็ให้ใช้บริการเพิ่ม เช่น เติมเพลง ,E-wallet โดยกลุ่มนี้ปกติเติมเงินอย่างเดียว 18 ล้านคน 10%ใช้บริการอื่น ชวนมาเติมเงิน E-wallet เช่น 3 ล้านคน 2.2 ใส่อุปกรณ์เพิ่มเติม หารายได้มากขึ้น เพิ่มกล้องให้สามารถอ่านQR code ตอนนี้คู่แข่งหายหมด จะเพิ่มตู้ 4-5,000 ตู้ 2.3 ทำรายได้เพิ่มขึ้น โดยให้ลูกค้า เติมเงิน โอนเงิน จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ซื้อประกันผ่านตู้ การซื้อพรบ การต่อทะเบียนรถยนต์ ซึ่งเหมาะกับลูกค้าที่อยู่ไกลมาซื้อที่ตู้ได้ ธุรกิจดาวเด่น ปีนี้ทำสามเรื่อง 1.เพิ่ม BBL,TMB,Thanachart จากเดิมที่มีBanking agent 6 ที่ 2.เพิ่มฐานลูกค้าจาก 20 ล้านคน ให้ใช้บริการเพิ่มขึ้น จาก 1 คนใช้ 3.7 ครั้ง เป็น 5 ครั้งต่อเดือน มีคที่ผ่านมา มีการโอนเงิน เพิ่มขึ้น 8% 3.เพิ่มประเภทของธุรกรรม เช่น เปิดบัญชี ถอนเงิน ซึ่งมีtransactionมากกว่าฝาก8เท่า รวมถึงให้คนต่างด้าว โอนเงินกลับประเทศได้ ธุรกิจที่สอง สินเชื่อปีนี้เป็นปีที่2 ปล่อยสินเชื่อจากฐานลูกค้าเดิมมากขึ้น เป้า แสนราย จากปีที่แล้วที่ปล่อยได้ 2,000-3,000ราย NPL น้อยกว่า 2% ดอกเบี้ยคิด น้อยกว่า 20% ธุรกิจที่สาม จาก Vending Machine ปีนี้เราทำ EV Charger ตู้คาเฟ่ Automatic Café (Tao-Bin) โดย Forth Vending ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนกับ บุญรอด Forth บุญเติม และSCMC 1.Vending Machine 3,000 ตู้ 2.Tao-Bin ซึ่งเป็นตู้รุ่นใหม่ มีจุดเด่น6อย่างคือ 2.1 Beverage 100 กว่าเมนู ในตู้มีเครื่องทำน้ำแข็ง น้ำร้อน ทำโซดาได้ 2.2 รสชาติจะเป๊ะทุกแก้ว 2.3 แต่ละบุคคลเลือกรสชาติที่ชอบ ระดับความร้อน ความหวาน เพิ่มช๊อตกาแฟได้ 2.4 จ้างบาเร็ตต้า onlineมาให้คำแนะนำเพื่อให้รสชาติที่อร่อย 2.5 การจ่ายเงินหลายรูปแบบ เช่น เงินสด QR code,E-wallet , Burn แต้ม 2.6 ระบบบริหารจัดการตู้ โดยonline , ส่วนผสม รู้ว่าต้องเติมอะไร 3. EV Charge จากข้อมูลรถ EV จะเพิ่มจากปี2021 200,000คัน เพิ่มเป็น 2ล้านคัน ในปี 2026 ธุรกิจนี้มีรายได้มาจากสองทางคือ 1. กำไรจากการขาย EV Net Charger และการติดตั้ง 2. Recurring income จาก การใช้ EV Net Charger เรามีทั้งระบบ AC , DC charger รองรับการชำระ ผ่าน E-payment และ ใช้ระบบ Real-time Billing system สามารถจองการใช้เงินผ่าน ระบบ Online Reservation สถานที่จะติดตั้ง Condo,Hotel, office building , parking Lots Q&A 1. Q3 บริษัทได้อะไรจาก Forth Vending ตอบว่า พยายามให้ได้ 5,000ตู้ๆละ 30 แก้ว เป้า3ปี 20,000จุดจะได้วันละ 600,000 แก้วๆละ30บาท วันละ 8 ลบ ปีละ5,000ลบ กำไรขั้นต้น 60% มีค่าเสื่อมตู้ละ 200,000กว่าบาท และ ค่าพนักงาน ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ กำไร บวกลบ 20% ก็จะได้ประมาณ หลักพันลบ บุญเติม ถือ 19% = 190 ลบ นอกจากตู้Tao-Binนี้ยังทำได้เหมือนตู้บุญเติม เช่น เติมเงินมือถือ ก็ได้รายได้เพิ่มในlocationคนละที่กับบุญเติม ได้ค่าบริหารจัดการคิดเป็น % ของยอดขาย ทดสอบ 10 กว่าตู้ จะได้อย่างต่ำ 30 แก้วต่อตู้ margin 60% ลองลงที่ รพ ศิริราช ซึ่งขายได้ตลอดเวลา บางวันได้ถึง 100 แก้ว พยายามจูนเครื่องให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ปริมาณแก้วที่ขายต่อวันเพิ่มขึ้น ลองที่คอนโด รัชโยธิน สะพานควาย และ office building จะได้ 50กว่าแก้วต่อวัน สัดส่วนที่ขายได้แบ่งออกเป็น 6เมนู 1.กาแฟ 35% 2.โซดา 21% 3.ชา 18% 4.นม 17% 5.โปรตีน 6% 6.น้ำผลไม้ 3%
โดย
amornkowa
เสาร์ เม.ย. 24, 2021 10:11 am
0
3
Re: AGM 2564
AGM FSMART 21 Apr 2021 14.00 ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 30 คน ผู้รับมอบฉันทะ 30 คน รวม 60 คน คิดเป็น 62.52% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด วาระที่2 ผลประกอบการ Core Revenue 2,859 ลบ ลดลงจาก 3,147 ลบ สาเหตุการลดลงของ mobile top upเป็นหลัก เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป แต่มีใช้บริการอื่นเสริม EBITDA 1,073 ลบ NP 464 ลบ และ กำไร 0.61 บาทต่อหุ้น Payout ratio 98% ,จ่ายปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น ROE 37.4% , ROA 13.3% Asset 3,454 ลบ ไม่ค่อยเพิ่ม แต่มีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง DE 2 เท่า มีการซื้อหุ้นคืน ทำให้หุ้นในตลาดลดลง Q&A 1.ตู้ที่ค่าเสื่อมหมดไปสิ้นปีที่แล้ว 19,000ตู้ ปีนี้ 28,500 ตู้จะประหยัดค่าเสื่อมไป ส่วนใหญ่จะหมดในปี2023 14,500 ตู้ ประหยัดไป 120 ลบ 2.รายได้บุญเติมลดลงตั้งแต่ปี 2561 ฝ่ายบริหารได้ทำแผนบริหารความเสี่ยงจากเดิม ทำธุรกิจเติมเงินมือถือ ใน3-4ปีมีการขยายไปธุรกิจใหม่ เช่น -Banking Agent 3-4ปีทีผ่านมา โตดี -ทำเพิ่ม เช่น Vending machine ถือเป็นรายได้แหล่งใหม่ วาระที่3 พิจารณาปันผล 0.6 บาทต่อหุ้น จ่ายจากกำไรที่เสียภาษี 20% ในวันที่29 เมษายน 0.3 บาท โดยจ่ายระหว่างกาลแล้ว0.3บาท วาระที่7 เรื่องอื่นๆ ทิศทางการดำเนินงาน Vision : เราเห็นเทรน ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป เรามุ่งเน้นเติมเงินมือถือก่อนหน้า ปลายปี 62 Visionก็เปลี่ยนไป โดยขยายให้กว้างขึ้น จากจุดรับชำระ และขยายตู้อัตโนมัติ เพิ่มธุรกิจการเงินครบวงจร เป็นตัวแทนธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ เราเพิ่มอีก2 ธุรกิจ หารายได้แหล่งใหม่ที่มี S-curve , ไม่โดนdisrupt 1.ธุรกิจการเงินครบวงจร โดยใช้ลูกค้าเดิม 1.1 ตัวแทนธนาคาร เราเป็นตัวแทนของ6ธนาคาร ตอนนี้รับฝากเงินอย่างเดียว28 ล้านรายการ(60%) 1.2 ปล่อยสินเชื่อ 100กว่าลบ กำไร 10กว่าลบ โดยเรียนรู้จากการปล่อยสินเชื่อมา1 ปี สร้างทีม ตามหนี้ รวมถึงการวิเคราะห์ลูกค้า 2. ธุรกิจกินอยู่ โดยใช้ความชำนาญจากการทำตู้ , online โดยใช้ลูกค้าเดิมเป็นฐานราก และ ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาด้วย ปีนี้เรามี 2.1 ธุรกิจดั้งเดิม เติมเงินมี 20ล้านคน ก็ให้ใช้บริการเพิ่ม เช่น เติมเพลง ,E-wallet โดยกลุ่มนี้ปกติเติมเงินอย่างเดียว 18 ล้านคน 10%ใช้บริการอื่น ชวนมาเติมเงิน E-wallet เช่น 3 ล้านคน 2.2 ใส่อุปกรณ์เพิ่มเติม หารายได้มากขึ้น เพิ่มกล้องให้สามารถอ่านQR code ตอนนี้คู่แข่งหายหมด จะเพิ่มตู้ 4-5,000 ตู้ 2.3 ทำรายได้เพิ่มขึ้น โดยให้ลูกค้า เติมเงิน โอนเงิน จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ซื้อประกันผ่านตู้ การซื้อพรบ การต่อทะเบียนรถยนต์ ซึ่งเหมาะกับลูกค้าที่อยู่ไกลมาซื้อที่ตู้ได้ ธุรกิจดาวเด่น ปีนี้ทำสามเรื่อง 1.เพิ่ม BBL,TMB,Thanachart จากเดิมที่มีBanking agent 6 ที่ 2.เพิ่มฐานลูกค้าจาก 20 ล้านคน ให้ใช้บริการเพิ่มขึ้น จาก 1 คนใช้ 3.7 ครั้ง เป็น 5 ครั้งต่อเดือน มีคที่ผ่านมา มีการโอนเงิน เพิ่มขึ้น 8% 3.เพิ่มประเภทของธุรกรรม เช่น เปิดบัญชี ถอนเงิน ซึ่งมีtransactionมากกว่าฝาก8เท่า รวมถึงให้คนต่างด้าว โอนเงินกลับประเทศได้ ธุรกิจที่สอง สินเชื่อปีนี้เป็นปีที่2 ปล่อยสินเชื่อจากฐานลูกค้าเดิมมากขึ้น เป้า แสนราย จากปีที่แล้วที่ปล่อยได้ 2,000-3,000ราย NPL น้อยกว่า 2% ดอกเบี้ยคิด น้อยกว่า 20% ธุรกิจที่สาม จาก Vending Machine ปีนี้เราทำ EV Charger ตู้คาเฟ่ Automatic Café (Tao-Bin) โดย Forth Vending ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนกับ บุญรอด Forth บุญเติม และSCMC 1.Vending Machine 3,000 ตู้ 2.Tao-Bin ซึ่งเป็นตู้รุ่นใหม่ มีจุดเด่น6อย่างคือ 2.1 Beverage 100 กว่าเมนู ในตู้มีเครื่องทำน้ำแข็ง น้ำร้อน ทำโซดาได้ 2.2 รสชาติจะเป๊ะทุกแก้ว 2.3 แต่ละบุคคลเลือกรสชาติที่ชอบ ระดับความร้อน ความหวาน เพิ่มช๊อตกาแฟได้ 2.4 จ้างบาเร็ตต้า onlineมาให้คำแนะนำเพื่อให้รสชาติที่อร่อย 2.5 การจ่ายเงินหลายรูปแบบ เช่น เงินสด QR code,E-wallet , Burn แต้ม 2.6 ระบบบริหารจัดการตู้ โดยonline , ส่วนผสม รู้ว่าต้องเติมอะไร 3. EV Charge จากข้อมูลรถ EV จะเพิ่มจากปี2021 200,000คัน เพิ่มเป็น 2ล้านคัน ในปี 2026 ธุรกิจนี้มีรายได้มาจากสองทางคือ 1. กำไรจากการขาย EV Net Charger และการติดตั้ง 2. Recurring income จาก การใช้ EV Net Charger เรามีทั้งระบบ AC , DC charger รองรับการชำระ ผ่าน E-payment และ ใช้ระบบ Real-time Billing system สามารถจองการใช้เงินผ่าน ระบบ Online Reservation สถานที่จะติดตั้ง Condo,Hotel, office building , parking Lots Q&A 1. Q3 บริษัทได้อะไรจาก Forth Vending ตอบว่า พยายามให้ได้ 5,000ตู้ๆละ 30 แก้ว เป้า3ปี 20,000จุดจะได้วันละ 600,000 แก้วๆละ30บาท วันละ 8 ลบ ปีละ5,000ลบ กำไรขั้นต้น 60% มีค่าเสื่อมตู้ละ 200,000กว่าบาท และ ค่าพนักงาน ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ กำไร บวกลบ 20% ก็จะได้ประมาณ หลักพันลบ บุญเติม ถือ 19% = 190 ลบ นอกจากตู้Tao-Binนี้ยังทำได้เหมือนตู้บุญเติม เช่น เติมเงินมือถือ ก็ได้รายได้เพิ่มในlocationคนละที่กับบุญเติม ได้ค่าบริหารจัดการคิดเป็น % ของยอดขาย ทดสอบ 10 กว่าตู้ จะได้อย่างต่ำ 30 แก้วต่อตู้ margin 60% ลองลงที่ รพ ศิริราช ซึ่งขายได้ตลอดเวลา บางวันได้ถึง 100 แก้ว พยายามจูนเครื่องให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ปริมาณแก้วที่ขายต่อวันเพิ่มขึ้น ลองที่คอนโด รัชโยธิน สะพานควาย และ office building จะได้ 50กว่าแก้วต่อวัน สัดส่วนที่ขายได้แบ่งออกเป็น 6เมนู 1.กาแฟ 35% 2.โซดา 21% 3.ชา 18% 4.นม 17% 5.โปรตีน 6% 6.น้ำผลไม้ 3%
โดย
amornkowa
เสาร์ เม.ย. 24, 2021 10:09 am
0
3
1414 โพสต์
of 29
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
amornkowa
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ มิ.ย. 24, 2011 10:46 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2021 8:56 am
โพสต์ทั้งหมด:
2195 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.12% จากโพสทั้งหมด / 0.45 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว