หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
rayvi
Joined: อาทิตย์ พ.ย. 14, 2010 7:24 pm
581
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - rayvi
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: บทเรียนจาก Starbucks / คนขายของ
ขอบคุณมากๆ ครับ
โดย
rayvi
ศุกร์ ส.ค. 26, 2016 11:46 am
0
1
Re: เติบโตด้วย M&A/วีระพงษ์ ธัม
ก่อนอื่นขอขอบคุณเจ้าของบทความและพี่ๆ ทุกคนนะครับ ความเห็นมีประโยชน์มากๆ เลยครับ ผมคิดว่า "ขอ" "อยากได้" "ให้" พวกนี้เป็นเรื่อง synergy ผมยกตัวอย่างกรณีที่คุ้นๆ ตอนนั้น GE ซื้อ BAY ซึ่ง BAY ไม่มีความสามารถในการสร้างพอร์ตสินเชื่อรายย่อยเลย ทั้งที่ลงทุนสาขาปรับภาพลักษณ์ และอื่นๆ (ไม่เก่ง) ในขณะที่ GE ตอนนั้นมี บ. ผมจำชื่อไม่ได้ครับ น่าจะ GE Retail Finance ทำตลาดสินเชื่อรายย่อย แต่ไม่ค่อยมีสาขา และไม่สามารถ funding เงินฝากได้เพราะ license การที่ GE ซื้อ BAY ที่ได้เลยคือ spread ที่สูงขึ้น ในขณะที่ใช้ช่องทางที่ BAY มีทำตลาดได้พอร์ตโตขึ้น นอกจากนั้น ยังเอาพอร์ตที่ BAY มี เอาความรู้จากการทำ retail finance สำเร็จมาหลายประเทศ เอามาใช้สร้างพอร์ตโตขึ้น นอกจากเรื่องสินเชื่อ ยังมีพวก fee base income ที่เอา knowhow มาช่วยเพิ่มรายได้ ผมไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไร เพราะบางทีอาจจะเป็นทั้งผู้อยากได้ และผู้ให้ และผู้ขอในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวมคือการ synergy ที่อาจจะแชร์ competitive advantage ที่ตัวเองมี pooling resource หรือนำ knowhow มาใช้ ในฐานะนักลงทุนผมว่าพื้นฐานอันดับแรกคือเข้าใจว่าบริษัท มีอะไรดี อาจเป็น resource, capability, license หรือ อื่นๆ และมันจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงไหม ซึ่งบางดีลฟังดูก็พอจะรู้เลยว่าน่าจะเกิด synergy ได้มาก กลับกันบางทีบางบริษัททำ M&A แล้วก็พยายามอธิบายว่าจะเกิด synergy อะไร แต่ฟังยังไงก็ไม่คล้อยตาม ส่วนประโยชนที่ได้ จากคำว่า synergy ฟังดูอาจจะดีกับทั้ง 2 ฝ่าย(บริษัท) แต่จริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็น เพราะจริงๆแล้ว จะดีกับ ผถหญ. ของบริษัทที่ต้องการทำ M&A มากกว่า ขอบคุณครับ
โดย
rayvi
พฤหัสฯ. ส.ค. 18, 2016 5:12 pm
0
3
Re: เข้า ไทยวีไอ แล้วขึ้นจอให้โหลดไวรัส ครับ
ผมชักไม่แน่ใจ อาจเป็นที่อุปกรณ์ผมก็ได้ครับ เดี๋ยวลองหาทางตรวจสอบอุปกรณ์ก่อน
โดย
rayvi
อังคาร เม.ย. 28, 2015 9:37 am
0
0
Re: ปีนี้ได้เป้าหรือยังครับ :)
ตอนต้นปีตั้งเป้าไว้ 1. สิ่งที่ทำผิดพลาดไป ว่าจะไม่ทำผิดพลาดแบบปีที่แล้ว = ตอนนี้ทำได้อยู่ เหลืออีก 2-3 เดือน ต้องดูต่อ 2. จำนวนบริษัทที่ศึกษา = ตอนนี้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย แต่ yoy เพิ่มขึ้นมาก 3. ออกกำลังกาย ลดความอ้วน = ตกเป้า แต่ยังมีเวลาอีก 2-3 เดือน ยังมีโอาสสำเร็จ 3 ข้อแรก ผมถือว่าลงทุนในตัวเอง 2 ข้อแรกเพื่อพัฒนา ข้อ 3 นอกจากพัฒนาแล้วยังลดความเสี่ยง ผมเชื่อว่าการแข่งนี้เป็นการวิ่งมาราธอน เดี๋ยวช่วงแย่มาร่างกายจิตใจต้องพร้อม 4. ผลตอบแทนการลงทุน = สำเร็จเป้าแรกคือชนะตลาด เป้าสองคือชนะ CAGR ที่ตั้งไว้ เหลืออีก 2-3 เดือน โอกาสลงไปต่ำสุดคือแพ้ CAGR ที่ตั้งไว้ แต่มั่นใจว่าชนะตลาด 5. การบริหารความเสี่ยงพอร์ต = หุ้นในพอร์ตเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน และพึ่งพาตลาดที่แตกต่างกัน คาดว่ากำไรโตหรือคงเดิมแม้ตลาดหุ้นจะตก น่าจะมีปันผลมาเลี้ยงตลอดได้ ดังนั้นเรื่อง cash flow ไม่น่ามีปัญหา มองตลาดตกเป็นโอกาสมากกว่าความเสี่ยง
โดย
rayvi
ศุกร์ ต.ค. 24, 2014 11:02 am
0
9
Re: วิเคราะห์หุ้นจากตัวเลข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณครับ ^^
โดย
rayvi
จันทร์ ก.พ. 13, 2012 1:56 pm
0
0
Re: CEO ไทย ท่านไหนเก่งกว่าหรือพอๆ กับ Steve Jobs บ้างครับ?
ก่อนจะเทียบ เราน่าจะลิสท์ข้อดีของ SJ ออกมาก่อน เพื่อดูว่าในฐานะ CEO ที่เก่ง นั้นเก่งอย่างไร (แน่นอนว่าหาก CEO ที่เก่งกว่า SJ จะมีด้านไหนที่เพิ่มขึ้นมาอีก) หากเราสามารถสรุปลักษณะร่วมที่ดีของ CEO ได้ ก็จะมีประโยชน์กับ นลท. ในการนำไปมองบริษัทที่ตัวเองลงทุน ในเมื่อผมเสนอ งั้นขอลองเริ่มต้นโดยเอาที่โดดเด่นสุดๆ ในสายตาผมครับ 1. Vision ผมคิดว่า SJ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลสุดๆ เหมือนกับว่าตัวเองวาดภาพนั้นขึ้นมาได้ ซึ่งต้องอาศัยความกระหายอยาก จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถ ในขอบเขตที่จะเขียนภาพอนาคตได้ ผมคิดว่า วิสัยทัศน์ คือคุณสมบัติยิ่งยวดที่ CEO ชั้นเลิศทุกคนต้องมี ให้เปรียบกับบริษัทต่างๆ บริษัทที่มีทรัพยากรทุนรอน ไพร่พลมากมายแต่ไร้ปัญญา ความรู้ ความสามารถ ก็สู้ไม่ได้กับ บริษัทที่ทรัพยากรทุนรอน ไพร่พลน้อยนิด แต่เปี่ยมไปด้วยปัญญา ความรู้ความสามารถ แต่บริษัทที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ล้ำเลิศท่ามกลางบริษัทที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถด้วยกัน (ขอไม่ยกตัวอย่างบริษัทนะครับ) และจากการที่ทำงานในองค์กรใหญ่ 3 แห่ง ผมคิดว่า วิสัยทัศน์ขององค์กรนั้นมาจากวิสัยทัศน์ของผู้นำสูงสุดในองค์กรนั้น 2. ความสามารถ ถ้ามีเพียงความกระหายอยาก จินตนาการ แต่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ คงเป็นพวกที่มีแต่ความฝันลมๆ แล้งๆ หรือเก่งแต่ฝัน ตรงข้อ 2 นี้ มีข้อปลีกย่อยมากมาย เพราะถ้าเปรียบเทียบเป็นลักษณะย่อยจะเทียบยากระหว่างกัน ตัวอย่างเช่นธุรกิจที่เน้น Creativity ของคนเป็นหัวใจของความสามารถกับ ธุรกิจที่เน้น Cost leadership จากความสามารถในการผลิต แต่ผมขอสรุปรวมว่า ความสามารถของ CEO คือ การกำกับให้องค์กร มีความสามารถ นำ input แปลงเป็น output ได้อย่างดีเยี่ยม ล่วงหน้าก่อนผู้อื่น สอดรับกับวิสัยทัศน์
โดย
rayvi
จันทร์ ก.พ. 13, 2012 1:36 pm
0
5
Re: ลูกค้า
@adi คุณ sakkaphan ยังคงพูดอยู่ในเรื่องแค่ CFO ครับ และเนื้อหาก็เห็นด้วยตามนั้น ซึ่งมันเป็นลักษณะเฉพาะพวกบริษัททำธุรกิจให้สินเชื่อ แต่ที่อ่านแล้วดูไม่ตรงกันน่าจะเป็นเพราะ เงินให้สินเชื่อของบริษัท leasing บันทึกในกิจกรรมการดำเนินงานครับ เพราะบริษัทตั้งขึ้นมาดำเนินกิจการในการให้สินเชื่อ ถ้าเป็นบริษัทขายหมูเห็ดเป็ดไก่ เงินให้สินเชื่อ บันทึกในกิจกรรมการลงทุนครับ (ขออภัยหากเข้าใจผิด) โดยหลักการที่ดียังคงใช้ได้เสมอ แต่บริษัทบางสายพันธุ์ จะมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนชาวบ้านก็ได้ อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนนำหลักการไปใช้ครับ
โดย
rayvi
จันทร์ ก.พ. 06, 2012 2:55 pm
0
1
Re: สรุปความรู้สัมมนา Super Exclusive K.Chinn,hong,moomoo 28
ขอบคุณมากๆครับ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
โดย
rayvi
อาทิตย์ ก.พ. 05, 2012 9:36 pm
0
0
Re: เวลาดูงบกระแสเงินสด ควรเน้นดูตรงไหน
รู้จักธุรกิจ รู้จักช่วงชีวิต แล้วรู้ว่าธุรกิจแบบนี้ ช่วงชีวิตแบบนี้ ควรมีรูปแบบกระแสเงินสดอย่างไร ตัวนึงอย่าง financing non-bank กู้เงินมาปล่อย CFO มักติดลบ ถ้ายึดว่า CFO ติดลบไม่ดี ตัวนี้อาจไม่ใช่ (คู่กันด้วย CFF จะติดบวกตลอดถ้าพอร์ตโตขึ้น) ต้องดูเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์จะเห็นชัดขึ้น เพราะบริษัทแบบนี้เงินคือสินค้า อะไรประมาณนั้น
โดย
rayvi
อังคาร ม.ค. 31, 2012 5:39 pm
0
1
Re: EPS16YEAR งบดุล Q4 2011 ที่ประกาศ อับเดท
เรียนพี่ครรชิตครับ รบกวนขอด้วยครับ
[email protected]
ขอบคุณมากๆครับ
โดย
rayvi
พุธ ม.ค. 25, 2012 10:52 am
0
0
Re: การคิดค่าเสื่อมและการตัดจำหน่าย จนทำให้บริษัทขาดทุนสุทธิ
ผมอ่านของจขกท. ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายนะครับ แต่สำหรับเรื่องค่าเสื่อม บริษัทสามารถใช้วิธีหักค่าเสื่อมแบบไหนก็ได้ตามที่มาตรฐานบัญชีให้ทำได้ สิ่งที่ควรดูคือ หากบริษัทเลือกใช้วิธีไหนแล้วก็ไม่ควรเปลี่ยนไปมา โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนแล้วส่งผลต่องบการเงินอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผู้ตรวจสอบบัญชีที่ดีมักจะให้ความเห็นต่อเรื่องการเปลี่ยนหลักเกณฑ์วิธีคำนวณที่ต่างไปจากเดิมไว้ในรายงานตรวจสอบบัญชีครับ ส่วนอีกเรื่องที่ผมมักจะตั้งขอสังเกต และดูเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับบริษัทที่ค้าขาย "ดี" แต่ "ขาดทุนสุทธิ" เสมอ คือเรื่องไซฟอนกับวางแผนภาษีครับ (ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นพูดเพราะต่อเนื่องกับการรายงานงบการเงินที่ต้องดูให้ละเอียดครับ)
โดย
rayvi
จันทร์ เม.ย. 25, 2011 1:19 pm
0
0
Re: ตลาดหุ้นเป็น zero-sum game จริงหรือไม่ ขอความเห็นและข้อโ
ถ้าเปรียบเป็นน้ำ น้ำไหลไปมาในภาชนะในระบบ ไม่มีน้ำออก ไม่มีน้ำลด ไม่มีน้ำเข้า ไม่มีน้ำเพิ่ม ณ เวลา t ใดๆ snapshot เป็น zero sum game ครับ แต่ถ้าปริมาณน้ำมีเปลี่ยนแปลง บริษัท X เกิดนวัตกรรม ต่อเนื่อง เกิด create value เป็น positive sum โดยส่วนเพิ่มตาม value ที่เกิดใหม่ ถ้าบริษัท X ดำเนินการแย่ เลวทราม เกิด destroy value เป็น negative sum โดยส่วนลดตาม value ที่หายไป
โดย
rayvi
ศุกร์ เม.ย. 08, 2011 12:21 pm
0
0
Re: อิทธิพลของviเทียบกับขาใหญ่ที่ปั่นหุ้น
เพื่อให้เห็นการใช้ 1. อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เราควรมีสติ ปัญญา ความรู้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับตนในการบรรลุเป้าหมาย หมั่นพัฒนาอาวุธ ลับอาวุธ ฝึกซ้อมและปฏิบัติ ให้หยิบใช้ได้ดังใจ ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น 2. กาลามสูตร แต่ถ้าเราต้องพึ่งพาคนอื่น เพราะการพึ่งพาย่อมก่อให้เกิดพลังประสาน อย่างที่เคยอ่านเจอว่า ช่างเย็บหนังสามคนรวมหัวกันยังเหนือกว่าจูกัดเหลียง (จากหงสาจอมราชันย์) ซึ่งเมื่อมีสิ่งที่มากกว่าตัวเองเข้ามา เราต้องใช้กาลามสูตร 3. กรรม สุดท้ายเมื่อลงมือปฏิบัติตามความคิด สติ ใจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นย่อมมาจากการกระทำของเราเอง ไม่ใช่ผู้อื่นใดทั้งสิ้น แต่ระบบโยนความผิดจากจิตใจ มักไม่ให้ตัวเองผิด ประมาณนี้ครับ (ความเห็นส่วนตัว)
โดย
rayvi
พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2011 9:44 am
0
0
Re: อิทธิพลของviเทียบกับขาใหญ่ที่ปั่นหุ้น
กรณีนี้ผมขอใช้ 3 อย่างสรุป 1. อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ถ้าเรา ไร้สติไตร่ตรอง ไร้ปัญญากลั่นกรอง ไร้สามารถ ขาดการศึกษาหาความรู้ 2. กาลามสูตร ถ้าเราเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน เชื่อเพราะศรัทธา เชื่อเพราะคิดว่าเชื่อถือได้ เชื่อเพราะถูกทฤษฎีตน จริตตน 3. กรรม และเมื่อความเชื่อ ---> ก่อให้เกิดคุณค่ายึดถือ ---> ก่อให้เกิดทัศนคติ ความคิด ---> และก่อให้เกิดพฤติกรรม การกระทำ (กรรม) ผลของกรรม เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
โดย
rayvi
พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2011 9:35 am
0
0
Re: กระแสe-bookและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ส่วนตัวคิดว่าน่าจะแยกเป็นกลุ่มๆ อันนี้คิดว่ากระทบจะทำให้ยอดพิมพ์น้อยลง กลุ่มข้อมูลรอบอายุสั้น + content กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ e-book เช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะ life style สำหรับกลุ่มเป้าหมายเดียวกับผู้ใช้ e-book กลุ่มข้อมูลรอบอายุยาว + ใช้ข้อดีของ e-book (function) เช่น การค้นหา การจัดเก็บ เช่น ตำราวิชาการ ความรู้ ซึ่งเป็นผลมาจากข้อดี เช่น ความสะดวก รวดเร็ว ของ e-book ที่ให้มากกว่าหรือสามารถทดแทนหนังสือได้สมบูรณ์ ในทางตรงกันข้ามหนังสืออย่าง นิยาย วรรณกรรม นั้น การอ่านจากหนังสือจริงๆ อาจจะยังคงความมีเสน่ห์กว่าเสมอ ผิวสัมผัสละเอียดของกระดาษ ละเมียดอารมณ์ปล่อยใจพาเพลิดเพลิน ให้จินตนาการเติมแต่งเข้าสู่โลกของตัวอักษร... ดูยังไง e-book วันนี้ก็ยังไม่ทดแทน
โดย
rayvi
ศุกร์ ก.พ. 04, 2011 12:02 am
0
0
Re: Economies of scale คืออะไร มีหลักพิจารณาอย่างไร
ขอตอบในมุมที่ผมคิดนะครับ ตรงไหนผิดถูกแลกเปลี่ยนได้ ยินดีครับ 1. มันคือการทำให้เกิดประโยชน์ (utilize) จาก asset ที่มีอยู่ให้มากที่สุด จากขนาด (scale) ที่สูงขึ้น โดย asset ทุกตัวมีต้นทุน และเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ ไม่ว่าจะเป็น PP&E ปัจจัยการผลิต ตราสินค้า ชื่อเสียง สิทธิทางการค้า หรือแม้กระทั่ง "คน" ลืมเรื่องประเภทต้นทุนจะ fixed จะ variable ไปได้เลยครับ เพราะในทางปฏิบัติ fixed คือ variable ในระยะยาว และ variable เองก็มาจาก fixed ในวันนี้ โดยถ้าพิจารณาตาม variable ของเราคือ fixed ของ supplier ดังนั้นเราก็จะใช้ประโยชน์จากขนาดที่สูงขึ้นนี้ utilize asset(cost) ของ supplier ด้วย ทำให้เราไ้ด้ประโยชน์จาก variable ที่ต่ำลง ตัวอย่างก็ไม่ขอยกนะเพราะคงเห็นกันดีอยู่แล้วตามที่หลายท่านอธิบาย ไหนๆ ก็พูดแล้ว พอดีมันมีอีกตัวที่คู่กันคือ economies of scope ก็ขอเสนอมุมมองไปด้วยเลย 2. มันคือการทำให้เกิดประโยชน์ (utilize) จาก asset ที่มีอยู่ให้มากที่สุด จากขอบเขต (scope) ที่สูงขึ้น โดย asset ทุกตัวมีต้นทุน และเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ ไม่ว่าจะเป็น PP&E ปัจจัยการผลิต ตราสินค้า ชื่อเสียง สิทธิทางการค้า หรือแม้กระทั่ง "คน" อันนี้แนวคิดเหมือนข้อ 1 แต่ Driver ไม่ใช่ ขนาด (scale) แต่เป็น ขอบเขต (scope) พูดง่ายๆ คือแทนที่จะนำไปใช้ประโยชน์แบบเดิมที่เป็นอยู่ ก็ขยายขอบเขตการใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น เช่น ตราสินค้าเดิมที่ดีและน่าเชื่อถือ ก็นำไปใช้ออกสินค้าอื่น หรือการใช้ waste หรือ by-product ทำเป็นสินค้า อันนี้ตอนนี้ผมนึกถึงฟาร์มโชคชัยครับ เพิ่งไปกินสเต๊กกับทำไอติมมา ^^ ส่วนตัวผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันใช้เป็นความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ เชิงเปรียบเทียบ ได้ แต่ dynamic ครับ เพราะทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่จะได้เปรียบกันตลอดกาลหรือยาวนานหลายๆสิบปี อีกแล้ว อันนี้เป็นมุมมองเรื่องกลยุทธ์ในการทำธุรกิจเท่าที่เข้าใจนะครับ ส่วนจะสะท้อนไปยังเรื่องอื่นๆอย่างไร ไม่รู้ครับ ^^
โดย
rayvi
พุธ ม.ค. 26, 2011 1:01 pm
0
0
Re: เล่นหุ้นตามสูตร /ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณครับ ^^
โดย
rayvi
จันทร์ ม.ค. 24, 2011 11:19 pm
0
0
Re: ทำอย่างไร ถึงจะมีวินัย ในการซื้อขาย ถ้าต้องดูจอบ่อยๆ
แต่การเลิกดูราคา ไม่ได้หมายความว่า เราไม่มี Price Action นะครับ... คนละเรื่องกัน... เราต้องวางกลยุทธ ถอยมาดูภาพกว้างแทน... ว่าถ้าราคาเป็นเท่านี้ เท่านั้น เราจะทำอะไร ถ้ามูลค่าซื้อขายเป็นเท่านี้เท่านั้น เราจะทำอะไร... ถ้าพื้นฐานกิจการ หรือมี event อะไรบางอย่างเกิดขึ้น เราจะทำอะไร... ดังนั้น การเลิกดูราคา ไม่ได้หมายความว่าเราเลิกมีวินัย เลิกสนใจตลาด เมินเฉยจนตลาดกลับมาทำร้ายเรา... แต่เป็นการถอยออกมามองภาพกว้าง อยู่นอกศึกสงคราม กำหนดกลยุทธโดยไม่ใช้อารมณ์แทน... ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับ... +1 ครับ นึกภาพออกเลยครับ เหมือนดูใบไม้ ก็จะไม่เห็นป่า ใช่ไหมครับ ถ้าเราดูใบไม้ร่วงทีละใบ ทีละใบ ใจก็อาจจะหาย อยากจะขายที่หนี ทั้งๆที่ป่ายังเขียวชะอุ่ม แต่ถ้าถอยมามองภาพกว้าง เห็นต้นโน่นก็ร่วง ต้นนี้ก็ปลิดปลิว ดินเริ่มเหือดแห้ง สัตว์ป่าเริ่มห่างหาย อันนี้ก็ค่อยเคลื่อนถิ่นฐานไปหาป่าที่อุดมสมบูรณ์กว่า ขอบคุณสำหรับความคิดนะครับเป็นประโยชน์มาก
โดย
rayvi
พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2011 1:09 pm
0
0
Re: ธุรกิจอะไรจะได้รับผลบวกจาก ศูนย์กระจายสินค้าของจีน
นึกถึงบ้านผมเลยครับ แถวสุวรรณภูมิ ก่อนมีกับหลังมี คนมามาก 1. คนต้องการ เคลื่อนที่ 2. คนต้องการ กิน 3. คนต้องการ นอน 4. คนต้องการ พักผ่อน จากภาพในอดีต 1. มาเป็นอันดับแรก มาเร็ว มาจากหน่วยเคลื่อนตัวเร็ว แล้วค่อยยักษ์ใหญ่ (ถนน --> รถเมล์ มอไซต์ รถตู้ แท็กซี่ ---> ทางเชื่อมโน่นนี่ ----> แอร์พอร์ตลิงก์) เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ ไปทำงานก่อน พักเที่ยงเขียนต่อครับ 2. ตัวมาท้องเริ่มหิว ของกินจึงคอยขาย (ตามสั่ง ร้านอาหาร --> ตลาด --> ร้านเชนสโตร์ --> ศูนย์อาหาร ร้านอาหาร ร้านเชนสโตร์พรีเมียม ของกินคู่ของใช้ อันนี้ก็ควบคู่ (โชวห่วย --> ตลาด --> ร้านเชนสโตร์ --> ศูนย์การค้า) 3. นอน / อันนี้ผมไม่ได้คิดเรื่องคอนโดเลยครับ คิดว่าน่าอพาร์ทเมนท์ หอพัก น่าจะผุดเป็นดอกเห็ด มากกว่าคอนโดหรือหมู่บ้านที่มีอยู่บ้างแล้ว 4. สุดท้ายพักผ่อน อันนี้กว้างขวางมาก แต่คิดว่ามองตามกลุ่มเป้าหมายครับ
โดย
rayvi
พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2011 1:01 pm
0
0
Re: ธุรกิจอะไรจะได้รับผลบวกจาก ศูนย์กระจายสินค้าของจีน
นึกถึงบ้านผมเลยครับ แถวสุวรรณภูมิ ก่อนมีกับหลังมี คนมามาก 1. คนต้องการ เคลื่อนที่ 2. คนต้องการ กิน 3. คนต้องการ นอน 4. คนต้องการ พักผ่อน จากภาพในอดีต 1. มาเป็นอันดับแรก มาเร็ว มาจากหน่วยเคลื่อนตัวเร็ว แล้วค่อยยักษ์ใหญ่ (ถนน --> รถเมล์ มอไซต์ รถตู้ แท็กซี่ ---> ทางเชื่อมโน่นนี่ ----> แอร์พอร์ตลิงก์) เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ ไปทำงานก่อน
โดย
rayvi
พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2011 8:33 am
0
0
Re: ทำอย่างไร ถึงจะมีวินัย ในการซื้อขาย ถ้าต้องดูจอบ่อยๆ
ผมเป็นเหมือนกันครับ ชอบซื้อขายกับราคาตรงหน้า ติดนิสัยเก่าจนลืมความตั้งใจเดิมที่จะลงทุนยาวในคุณค่าของหุ้นในเวลาข้างหน้าที่เราเชื่อจากการวิเคราะห์ เมื่อผมเข้าใจตัวเองแล้ว ผมจึงสร้างกลไกง่ายๆ ให้ตัวเองโดย ใช้ Excel ที่สร้างขึ้นมาบันทึกการซื้อ - ขาย (เพื่อเก็บเป็นข้อมูลนำไปวิเคราะห์) โดยเพิ่มช่อง เหตุผลในการซื้อ - ขาย เข้าไป ก็ไม่ยากครับ เช่น กำไรที่คาดหวังในช่วงนั้นนี้ ราคาที่คาดหวัง ซึ่งตรงนี้ก็เขียนไปตามข้อมูลที่เราวิเคราะห์ครับ ทำช่องรอไว้เลย ส่วนเหตุผลในการขาย ก็ทำช่องรอไว้เช่นกัน เช่น ติดตามกำไรแล้วต่ำกว่าประมาณการ จำเป็นต้องใช้เงิน ขายเพราะต้องการเงินไปซื้อตัวอื่นที่เราคิดว่าดีกว่า ฯลฯ อยากใช้ค่าอะไรเป็นตัวจับก็ตั้งช่องรอไว้เลย (ตรงนี้เราต้องเข้าใจตัวเองว่าเราซื้อขายเพราะอะไร มองอะไร ใช้อะไรตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องเยอะหรือซับซ้อน) พอถึงเวลาซื้อขายจริงๆ ผมจะต้องกลับไปดู Sheet นี้ทุกครั้งก่อนซื้อขาย ทำให้เป็นระบบการตัดสินใจของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนครับ (ผมมีแค่ช่องสองช่อง เป็นข้อมูลง่ายๆ เองครับ) ซึ่งมันก็ได้ผลมากครับ เพราะตั้งแต่ใช้วิธีนี้ พอเห็นราคาตื่นเต้นจะขายๆ ทีไร พอมือจะคีย์คำสั่ง ก็กลับไปดู Excel ก่อน ก็ช่วยให้เราดึงใจตัวเองขณะนั้นมาตั้งสติตามระบบการตัดสินใจที่เราวางไว้ง่ายๆครับ หรือพอเห็นราคาจะลง จะรีบคีย์ซื้อ กลับไปดู Excel ปรากฏว่า ตัวนี้เรายังไม่เคยคิด 1 2 3 4 ตามที่ต้องรู้เลย ก็ยั้งมือไว้ได้มาตั้งสติก่อน มาคิดก่อน แถมผลที่เราบันทึก เอาไปดูอดีตของเราได้ด้วยครับว่าใจเราถูกไปกับหุ้นหรือเปล่า ( อันนี้ไม่เกี่ยวกับการวิเคราะห์หรือระบบตัดสินใจซื้อขายตัวไหนที่ราคาเท่าไรนะครับ เป็นระบบในการกลั่นกรองสติขณะซื้อขาย) ถ้าผิด เพราะใจเราเอาอีกแล้ว โลภอีกแล้ว กลัวอีกแล้ว หรือเปล่า ประมาณนี้ครับ ในสิ่งที่ผมพยายามรู้จักตัวเอง ผมเขียนบรรยายไม่เข้าใจขออภัยด้วยครับ ^^'
โดย
rayvi
พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2011 8:23 am
0
0
Re: อยากให้มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้บริหารแต่ละบริ
ส่วนตัวผมคิดว่าการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อาจทำได้ยาก เพราะเกณฑ์ที่กำหนด การพิจารณาผู้บริหารคนใดเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด ก็ทำได้ยาก คนที่จะประเมินก็ใช่ว่าจะมีความสามารถในการประเมินคนอื่นได้อย่างที่คนอื่นเป็น สุดท้ายเหมือนจะกลายเป็นการโหวต โดยเสียงส่วนใหญ่ไปมากกว่าครับ ผมคิดว่าขอบเขตที่น่าจะทำได้ และน่าจะเป็นประโยชน์ คือ ให้อภิปราย การกระทำ การตัดสินใจ การบริหารจัดการ ของผู้บริหารบริษัท ในมุมมองของเพื่อนๆ ผู้ตอบกระทู้ทุกท่าน แลกเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติ ต่อการกระทำดังกล่าว แล้วปล่อยให้วิจารณญาณ ของแต่ละคน ประเมิน แยกแยะ วิเคราะห์ แล้วซึมซับเก็บไว้ส่วนตัวในคลังสมองของแต่ละคน (ซึ่งในลักษณะนี้ จริงๆ ก็สามารถหาอ่านได้บ้างในร้อยคนร้อยหุ้นของแต่ละบริษัทอยู่แล้วครับ)
โดย
rayvi
พุธ ม.ค. 12, 2011 10:02 pm
0
0
Re: Set Index ลดลงสองวันทำการติด มีหุ้นตัวไหนที่ปรับตัวเพิ่ม
ความคิดส่วนตัวครับ อาจจะมั่วบ้าง ผมคิดว่าทฤษฎี CAPM หุ้นที่มี Beta ไปทาง ลบ คิดว่ามี ถ้าหากแท้จริงแล้วเราดูที่ "คุณค่า" มากกว่า "ราคา" (ดูราคาก็ได้แต่สะท้อนความสวนไม่เท่า) สมมติว่าถ้า "คุณค่า" ของหุ้นในตลาดส่วนใหญ่เป็นไปตามเศรษฐกิจดี หุ้นที่สวนตลาดก็น่าจะมี "คุณค่า" ของหุ้นเป็นไปตามเศรษฐกิจที่แย่ โดยที่เมื่อ "คุณค่า" เป็นไปอย่างสวนตลาด แต่ในขณะที่ "ราคา" อาจไม่ได้สะท้อน "คุณค่า" ตลอดช่วง และอาจ(มักจะ)ได้รับอิทธิพลของตลาดที่จะทำให้เส้นราคาหนีออกจากเส้นคุณค่าบ่อยๆ(ในระยะสั้น) ดังนั้นคิดว่า 1. ถ้าศึกษาต้องมีข้อมูลที่ "ยาว" พอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงราคาที่สะท้อนคุณค่า 2. ศึกษาตัววัดที่สะท้อนคุณค่านอกจากราคาเพิ่มเติม ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะกระจายความเสี่ยงจริง ไม่ต้องหาถึงขนาดนั้นครับ (แต่ถ้าทำก็น่าจะเป็นงานศึกษาที่ใช้อ้างอิงได้ดี) ปล. จากข้อ 1. ในระยะสั้นมาก หุ้นบางตัวอาจมีเรื่องราวเฉพาะตัวที่เกิด ณ ขณะนั้น ทำให้ราคาเคลื่อนไหวสวนตลาด ซึ่งหลายๆ ชื่อหุ้นที่ยกมา ผมคิดว่าเป็นหุ้นที่กำลังมีเหตุการณ์เฉพาะตัว ผิดพลาดอะไรขออภัยด้วยครับ
โดย
rayvi
อังคาร ม.ค. 11, 2011 11:45 pm
0
0
Re: สวัสดีปีใหม่ Happy New Year กันเถอะพี่น้อง
ถึงแม้จะเป็นน้องใหม่ในที่นี้ แต่ก็รู้สึกนับถือทุกคนในแนวความคิดการลงทุน ตลอดจนการใช้ชีวิตของหลายๆท่านที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง จึงอยากจะขอขอบคุณ รวมทั้งขออวยพรในวาระปีใหม่ ที่จะถึงนี้ ซึ่งจริงๆแล้ว ถ้านับ วันนี้ (29 ธันวาคม 2553) ก็จัดว่าเป็นวันปีใหม่ของวันที่ 28 ธันวาคม เมื่อปีที่แล้ว หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุกๆวัน คือวันปีใหม่ ตลอดเวลา ดังนั้นคำอวยพรนี้ก็ขอมอบให้ในทุกๆวันนับจากนี้ไป ขอให้ทุกท่าน เปี่ยมด้วยความสุข ความเจริญ เปี่ยมด้วย สติ ปัญญา เปี่ยมด้วย บุญ บารมี สุขภาพกาย สุขภาพใจ แข็งแรง แข็งแกร่ง สามาถเป็นกำลังกาย กำลังใจ ให้กับคนในครอบครัว คนรอบข้าง ตลอดจนเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศชาติต่อไปด้วยเทอญ
โดย
rayvi
พุธ ธ.ค. 29, 2010 7:41 pm
0
0
Re: อยากให้มีบริษัทอะไรให้ลงทุนในประเทศไทย
เขียนเป็น wish list เลยนะครับ 1. อยากเห็นการกำกับดูแลจากภาครัฐที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจนสามารถสนับสนุนภาคธุรกิจได้ โดยเฉพาะมิติของความโปร่งใส เป็นธรรม และความต่อเนื่อง เชื่อแน่ว่าธุรกิจดีๆ อีกมากมายจะผุดเป็นดอกเห็ด ไม่ว่าจะทุนไทย หรือทุนนอกก็ตาม 2. ไทยไม่มีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนต่ำด้านแรงงานที่ไม่ใช่แรงงานที่มีฝีมืออีกแล้ว การมาลงทุนเพื่อใช้ประโยชน์เป็นฐานการผลิตต้นทุนต่ำคงจะหมดไป เสถียรภาพที่เคยเป็นข้อดี(เชิงเปรียบเทียบ) ก็หมดไป consumption ในประเทศก็ไม่ใช่อะไรที่จะดึงดูดได้นัก ข้อนี้เลยคิดว่าถ้าเราอยากคงอยากไม่ได้ เพราะบริษัทอาจไม่ได้อยาก แต่คิดไปว่าบริษัทไหนน้า..ที่(ยัง)อยากจะมาลงทุน เลยเอาเป็นว่า "บริษัทอะไรก็ได้ครับ" ฮ่าๆ ตอนนี้รับหมดเลย 3. ข้อนี้ส่วนตัวหน่อย ปกติเป็นคนชอบกินอาหารญี่ปุ่น ก็เลยอยากให้มีของกินญี่ปุ่นอร่อยๆ ในราคายุติธรรมที่อาจเอื้อมถึง ในขณะเดียวกันก็อยากให้ธุรกิจไทยไปลุยญี่ปุ่น ไม่ให้เสียดุลย์การค้าด้วย ไว้นึกออกจะมาเพิ่มเติมนะครับ
โดย
rayvi
พุธ ธ.ค. 29, 2010 7:28 pm
0
0
Re: พี่ๆเวลาวิเคาระห์งบการเงินfocusตรงไหนบ้าง
ส่วนตัวผมจะดูประมาณนี้ครับ 1. ต้องรู้จักธุรกิจ ชนิดถึงไส้ถึงพุง เพราะถ้าไม่รู้ ดูงบไปก็จะเห็นแค่ตัวเลข ไม่เห็นเบื้องหลังของตัวเลข เบื้องหลังของตัวเลข มีเบื้องหลังของการกระทำ จิตใจคน ดินฟ้าอากาศ ฯลฯ เป็นตัวกำหนด ถ้าพูดให้ปกติกว่านี้ต้องบอกว่า เบื้องหลังของข้อมูลตัวเลข มีข้อมูลเชิงคุณภาพกำกับอยู่ครับ 2. ดูการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากอดีต และที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต โดยเฉพาะสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต 3. ดูการเปรียบเทียบ กับ ....ที่อยากจะเทียบ 4. ดูความถูกต้อง/ผิดปกติของข้อมูล ความสอดคล้อง ความไม่สมเหตุสมผล จากหลัก 4 ข้อ ที่นึกออกก็จะนำไปใช้ดูในเรื่องการใช้เงิน การหมุนเวียนของทรัพยากรต่างๆ ที่ก่อให้เกิดเป็นประโยชน์หรือไม่ คุ้มค่าไหม การหาเงินสามารถจัดหาได้อย่างสอดคล้องกับการใช้เงินหรือไม่ รวมไปถึงกระแสความสมดุลสอดคล้องเข้าจังหวะของการจัดหาและการใช้หรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงๆ ยังดูไม่ค่อยออกเท่าที่เขียนมาครับ กำลังค่อยๆเรียนรู้ สะสมประสบการณ์ไปเหมือนกันครับ ส่วนตัวคิดว่าถ้าเราดูออกเหมือนลายมือเราเอง ต่อไปในอนาคตเพียงเราเห็นเราก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ช่วงแรกก็คิดว่าต้องขยันเก็บประสบการณ์ไปก่อนครับ
โดย
rayvi
พุธ ธ.ค. 29, 2010 7:03 pm
0
0
Re: งง..เขาบอกว่า..การซื้อหุ้นคืนกรณีเพื่อการบริหารทางการเงิ
ขอร่วมแสดงความเห็นด้วยคนครับ หากผิดตรงไหนขออภัยด้วยครับ 1. เงินที่นำมาซื้อหุ้นคืน ดูในช่วง Q3 ดูจากหนี้ที่เพิ่มขึ้นจาก งบดุล สิ้น Q2 เป็น Q3 ส่วนที่เปลี่ยนแปลงคือ 1.1 เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน จาก 147 เป็น 349 (+202 ล้านบาท) 1.2 เงินทดรองรับและเงินกู้ยืมระยะสั้น จาก 62 เป็น 142 (+80 ล้านบาท) รวม 1.1 + 1.2 ประมาณ 282 ล้านบาท ซึ่ง 1.1 ถ้าเป็นวงเงิน OD ก็แค่เบิกมาใช้ได้เลยเพราะเอนกประสงค์อยู่แล้ว แม้ธนาคารอาจจะอยากให้กู้เพื่อใช้ในการบริหารสภาพคล่องระยะสั้นของกิจการก็ตาม แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นนอกจาก OD ไม่แน่ใจครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้าบริษัทจะใช้ผิดวัตถุประสงค์นำไปใช้ซื้อหุ้นคืนก็ทำได้อยู่ดี แถมธนาคารก็แฮปปี้ได้ดอกเบี้ยไปเรื่อย ขอแค่ชำระคืนให้ได้ก็พอ ส่วน 1.2 จากใครที่ไม่ใช่แบงก์ ดังนั้นแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ซื้อหุ้นคืนน่าจะมาจากช่องทางนี้ (ซึ่งดูการเปลี่ยนแปลงของลูกหนี้การค้ากับสินค้าคงคลัง เงินลงทุน ประกอบก็จะอนุมานว่าเงินไม่ได้ใช้ไปกับสิ่งนั้น) 2. วัตถุประสงค์ของการซื้อหุ้นคืน ส่วนตัวคิดว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ w ที่ได้มาให้เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับผู้ที่ถือ w
โดย
rayvi
อังคาร ธ.ค. 28, 2010 9:57 am
0
0
Re: พรปีใหม่จาก ดร.ไพบูลย์และรายการ Money Talk ครับ
ขอให้อาจารย์ทั้งสี่ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวของท่านสุขภาพแข็งแรงตลอดปีตลอดไปครับ เป็นสิบปีแล้วอาจารย์ไพบูลย์ดูไม่เปลี่ยนไปเลยครับ ^^ กราบสวัสดีปีใหม่อาจารย์ครับ
โดย
rayvi
จันทร์ ธ.ค. 27, 2010 6:18 pm
0
0
Re: ความคาดหวังเฟ้อ -ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณมากๆครับ ไม่เพียงเฉพาะกับนักลงทุนเท่านั้น แต่อยากให้ผู้บริหารบริษัทที่กำลังตั้งความคาดหวังเฟ้อ ได้อ่านด้วยเหมือนกัน เพราะเป้าหมายที่มาจากความคาดหวังเฟ้อ จะทำให้เกิดความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ที่ใช้ พันผูกไปกับการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เหมาะสม T-T
โดย
rayvi
จันทร์ ธ.ค. 27, 2010 10:09 am
0
0
Re: EPS16YEAR อับเดทงบ Q3 2010 เสร็จแล้ว
สวัสดีครับพี่ครรชิต ผมขออนุญาตขอด้วยคนครับ
[email protected]
ขอบพระคุณครับ
โดย
rayvi
จันทร์ ธ.ค. 27, 2010 9:12 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
rayvi
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ พ.ย. 14, 2010 7:24 pm
ใช้งานล่าสุด:
พุธ พ.ย. 14, 2018 11:05 pm
โพสต์ทั้งหมด:
581 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.03% จากโพสทั้งหมด / 0.11 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว