หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Seattle
Joined: จันทร์ ต.ค. 04, 2010 2:17 pm
1119
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Seattle
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เรียนรู้จากอิเกีย/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
เรียนรู้จากอิเกีย (2) กุมภาพันธ์ 13, 2018 Posted by วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ในสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้เขียนถึงปรัชญาในการทำธุรกิจของอิเกีย ที่คุณดาห์วิก อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทได้เขียน ในหนังสือชื่อ The IKEA Edge และได้เกริ่นเอาไว้ว่า คุณปู่อิงวาร์ คัมปราด ผู้ก่อตั้งอิเกียได้วางวิสัยทัศน์ของบริษัทให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเมื่อมีมืออาชีพมาบริหารงาน ก็ได้สืบทอดความรับผิดชอบต่อสังคมต่อมา อิเกียวางวิสัยทัศน์ และเป้าหมายของบริษัทว่า จะผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีแบบดี มีประโยชน์ใช้สอยที่เหมาะสม และขายในราคาที่คนส่วนใหญ่สามารถซื้อหาได้ โดยใช้กระบวนการผลิตและตั้งเกณฑ์ให้ผู้ผลิตสินค้าต้องปฏิบัติในสิ่งที่รับผิดชอบต่อสังคม ไม่เอาเปรียบและไม่ใช้แรงงานเด็ก นอกจากนี้ อิเกียยังแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเด็ก และด้านการศึกษา จนกระทั่งคุณดาห์วิก ได้รับรางวัล Global Social Responsibility Award จาก U.S. Foreign Policy Association และรางวัล Oslo Business for Peace Award อิเกีย แบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็นสามกลุ่มใหญ่คือ IKEA Group, Inter IKEA Group และ IKANO Group โดยสองกลุ่มแรก อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ ส่วนครอบครัวคัมปราด จะดูแลเฉพาะบริษัทในกลุ่มที่สามคือกลุ่ม อิกาโน ต้องให้ข้อมูลปูพื้นก่อนค่ะ ว่า อิเกียเป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศใด ยกเว้นในบางประเทศที่มีกฎหมายบังคับเรื่องการห้ามต่างชาติทำธุรกิจค้าปลีก ก็จะมีการร่วมทุนกับบริษัทในท้องถิ่น เช่น ในประเทศไทย กลุ่มอิเกีย (The IKEA Group) ซึ่งประกอบด้วย อิงกา โฮลดิ้ง (Ingka Holding B.V.)ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอิเกีย และบริษัทลูกๆของอิงกา มีผู้ถือหุ้นเป็นมูลนิธิที่จดทะเบียน ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ชื่อ มูลนิธิสติชทิ้ง อิงกา (Stichting Ingka Foundation) ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การบริจาคเงินให้การกุศล เพื่อช่วยสนับสนุนนวัตกรรมในการออกแบบ ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของสติชทิ้ง อิงกา คือมูลนิธิที่จดทะเบียนในลิชเท่นสไตน์ชื่อ Interogo Foundation ซึ่งถือหุ้น Inter IKEA Group บริษัทดูแลการตลาดผู้ให้สิทธิ์ในการทำร้านอิเกียทั่วโลกในลักษณะฟรานไชส์ด้วย ว่ากันว่า การจัดโครงสร้างในลักษณะนี้ นอกจากจะเป็นการวางแผนภาษีแล้ว ยังเป็นการป้องกันการถูกครอบครองจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเป็นวางแผนการจัดสรรกำไรไปใช้เพื่อสังคมส่วนหนึ่งอีกด้วย ในปี 2560 ที่ผ่านมา อิเกียมีลูกค้าเข้าไปเยี่ยมร้าน 2,100 ล้านครั้ง มีร้าน 355 ร้าน ใน 29 ประเทศ มีพนักงาน 149,000 คน มีรายได้ 36,295 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.45 ล้านล้านบาท โดยมียอดขาย 34,100 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.36 ล้านล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,473 ล้านยูโร หรือประมาณ 98,900 ล้านบาท เสียภาษีเงินได้ 800 ล้านยูโร หรือประมาณ 32,000 ล้านบาท และเมื่อรวมอากรนำเข้า และภาษีอื่นๆแล้ว กลุ่มอิเกีย เสียภาษีให้รัฐบาลของประเทศต่างๆทั่วโลกประมาณ 1,300 ล้านยูโร หรือประมาณ 52,000 ล้านบาท ปัจจุบันอิเกียมีร้านในทวีปอเมริกาเหนือ 56 ร้าน ทำยอดขาย 19% ของยอดขายรวม ร้านในยุโรป 242 ร้าน ทำยอดขาย 66% ร้านในเอเชีย 33 ร้าน และออสเตรเลีย 10 ร้าน ทำยอดขาย 11% และร้านในรัสเซีย 14 ร้าน ทำยอดขาย 4% เป้าหมายต่อไปคือ เปิดร้านในอินเดีย ในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ค่ะ แม้จะไม่ได้ควบคุมการตลาดและธุรกิจฟรานไชส์ในนามอิเกีย แต่สมาชิกในครอบครัวของคุณปู่อิงวาร์ก็ถือหุ้น และได้รับเงินปันผลจากบริษัท IKANO Group ซึ่งทำธุรกิจการผลิตสินค้า ดูแลการค้าปลีกบางร้าน ดูแลอสังหาริมทรัพย์ (ที่เป็นที่ตั้งของร้าน) และบริหารเงิน ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาและกรรมการของมูลนิธิทั้งสอง ซึ่งเมื่อธุรกิจค้าปลีกโต ธุรกิจการผลิตย่อมเติบโตไปด้วย และมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นที่เป็นข่าวว่าทายาทของคุณปู่ไม่ได้รับมรดกสักเท่าไร ก็ไม่น่าจะจริงนะคะ อาจจะไม่ได้รับมรดกในส่วนที่เป็นร้านค้า และค่าธรรมเนียมจากฟรานไชส์ เพราะไปอยู่ในการดูแลของมูลนิธิ แต่ก็ได้รับจากธุรกิจโรงงานผลิตและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมีเงินทุนที่จะต้องบริหารจัดการมากมายใน IKANO Group ค่ะ กลับมาถึงสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากอิเกียในเรื่องการจัดการธุรกิจค้าปลีกในโลก คุณดาห์วิก แนะนำว่า หากต้องการขยายธุรกิจออกไปในตลาดโลก ธุรกิจจะต้องสามารถปรับตัวให้นำเสนอในสิ่งที่เข้ากับท้องถิ่นได้ ด้วยความมีเอกลักษณ์ ที่คู่แข่งจากท้องถิ่นไม่สามารถสู้ได้ ราคาต้องแข่งขันได้ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ และต้องมีค่านิยมที่สามารถจะเข้าได้กับวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ต้องมีการวางแผนในการเข้าสู่ตลาด ไม่ใช่เข้าไปเพียงเพื่ออยากจะมีร้านในประเทศนั้นๆ นอกจากนั้น จำเป็นต้องรับความเสี่ยงและรับได้ว่ากำไรในช่วงแรกอาจจะต่ำ หรืออาจจะไม่มีกำไรเป็นเวลาหลายปี ในตลาดที่จะเพิ่มการเติบโตของเราในอนาคต และท้ายที่สุด หากบริษัทสามารถทำกำไรในประเทศของตนเองเพื่อเป็นฐานทุนได้อย่างแข็งแกร่ง จะทำให้การออกไปต่างประเทศราบรื่นขึ้น ข้อคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจแบบอิเกียที่คุณดาห์วิกสรุปไว้ คือ จะเป็นผู้นำด้านราคาได้ ต้นทุนจะต้องต่ำ และการรักษาต้นทุนที่ต่ำในขณะที่ต้องเพิ่มค่าตอบแทนพนักงานทุกๆปี ต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน หรือการให้บริการลูกค้า ท่านที่สนใจรายละเอียด สามารถไปอ่านต่อในหนังสือ The IKEA Edge ได้ค่ะ
โดย
Seattle
พุธ ก.พ. 14, 2018 9:53 am
0
1
Re: Technological Disruption: EV, AV, Taas (1)/ดร.ศุภวุฒิ
Technological Disruption: EV, AV, Taas (2) / ดร.ศุภวุฒิ ครั้งที่แล้ว ผมเขียนถึงแนวคิดและการวิเคราะห์ของนาย Tony Seba แห่งมหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งเชื่อว่ากำลังเกิด Technological convergence (เทคโนโลยี ต่าง ๆ 3-4 แขนง พัฒนามาถึงจุดหนึ่งพร้อมกัน) จนจะทำให้เกิดความพลิกผันในอุตสาหกรรมรถยนต์ และการขนส่งของโลก ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างฉับพลันกว้างไกล ไม่เพียงแต่รถไฟฟ้า (EV) จะมาทดแทนรถยนต์เบนซิน/ดีเซล ได้มากน้อยเพียงใด (ซึ่งเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย) แต่ผลกระทบโดยรวมต่อเศรษฐกิจโลกนั้น จะกว้างเกินกว่าอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง Tony Seba ฟันธงว่าภายในปี 2030 1) ความต้องการพลังที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นของโลกทั้งหมดจะได้มาจากแสงอาทิตย์ หรือ ลม 2) รถที่ขายในท้องตลาดเกือบทั้งหมดจะเป็น EV 3) รถทั้งหมดจะเป็น AV หรือ semi-autonomous (ขับเอง หรือคนจะเลือกขับก็ได้) 4) ยอดขายรถยนต์จะลดลง 70% (จากประมาณ 100 ล้านคันต่อปี เป็น 30 ล้านคันต่อปี) 5) บริษัทขายรถจะไม่สามารถอยู่รอดได้ ราคาน้ำมันจะลดลงเหลือ 25 เหรียญต่อ บาร์เรล 6) ประชาชนจะเลิกเป็นเจ้าของรถและรถ Taxi จะสูญพันธ์ การคาดการณ์ของ Tony Seba นั้น ถือได้ว่าเป็นเสียงส่วนน้อย โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า EV จะเข้ามาทดแทนรถเบนซิน/ดีเซล อย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ธนาคาร UBS ของสวิตเซอร์แลนด์ คาดการณ์ว่ายอดขาย EV ในปี 2025 จะมีส่วนแบ่งของตลาดเท่ากับ 14% เมื่อเทียบกับ 1% ในปี 2017 หลายฝ่ายมองว่ายอดขาย EV จะมีส่วนแบ่งของตลาดรถยนต์ประมาณ 30% ในปี 2040 การมองต่างมุมของ Tony Seba นั้น เป็นผลมาจากการที่เขาฟันธงว่า เทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ กำลังพัฒนามาถึงจุดที่เมื่อนำมาใช้ร่วมกัน (Technological convergences) จะทำให้ความพลิกผันเกิดขึ้นได้แก่ แบตเตอรรี่, AV, พลังแสงอาทิตย์ และ Ride hailing/sharing หรือ Uber 1) แบตเตอร์รี Tony Seba ประเมินว่าต้นทุนแบตเตอรีลิเธียมไอออน (Li-Ion) ปรับลดลงเฉลี่ย 14% ต่อปีในช่วง 1995 – 2010 และลดลง 16% ต่อไป ในช่วง 2010-2014 ดังนั้น หากราคายังลดลงในอัตรา 16% ต่อปีต่อไปราคา Li-Ion จะลดลงจาก 300 ดอลลาร์ต่อ 1 kwh ในปี 2017 เหลือ 50 ดอลลาร์/kwh ในปี 2030 ซึ่งจะทำให้รถ EV ที่ปัจจุบันราคา 35,000 ดอลลาร์ ลดลงเหลือ 20,000 เหรียญในปี 2022 ในจุดนั้น รถเบนซิน/ดีเซล จะเริ่มขายได้ยากเพราะ รถ EV นั้น ใช้ไฟเพื่อวิ่ง 60,000 ไมล์ ใน 5 ปี เพียง 1,565 ดอลลาร์ แต่รถปัจจุบันจะต้องเติมน้ำมันคิดเป็นเงิน 15,000 ดอลลาร์ เพื่อจะวิ่งระยะยาวเท่ากัน คนเกือบทั้งหมดจึงจะหันมาซื้อรถไฟฟ้า 2) เทคโนโลยี AV ต้องพึ่งพาเซ็นเซอร์ที่ “มองเห็น” ได้รอบด้าน คือ Li Dar (Light Detection and Ranging) Li Dar ซึ่งราคา 70,000 ดอลลาร์ ในปี 2012 ราคาได้ลดลงมาเหลือ 1,000 ดอลลาร์ ในปี 2014 และน่าจะลดลงมาเหลือ 100 ดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยรถ 1 คัน คงจะต้องใช้ Li Dar ประมาณ 4 ตัว นอกจากนั้น ต้นทุนของ super computer ที่ต้องใช้ขับเคลื่อนรถนั้น ก็ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น super computer ในปี 2000 ราคา 46 ล้านดอลลาร์ และใช้พื้นที่ 150 ตารางเมตร แต่แผงวงจรที่ถือในมือได้วันนี้ ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่า super computer ปี 2000 กว่า 2 เท่าตัว มีราคาเพียง 59 ดอลลาร์ 3) ต้นทุนของการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ก็กำลังลดลงอย่างมาก เพราะราคาแผง Solar cell ก็กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งราคา Li-Ion ที่ลดลงจะทำให้ต้นทุนการกักเก็บไฟฟ้าเอาไว้ใช้ทั้งที่บ้านและในรถ EV ลดลง 4) Ride hailing (Uber) นอกจากรถเบนซิน/ดีเซล จะมีต้นทุนในการขับเคลื่อนสูงกว่า EV เกือบ 10 เท่าตัวแล้ว ยังมีต้นทุนในการดูแลรักษาสูงกว่า EV อย่างมาก เพราะมีชิ้นส่วนที่สึกหรอมากถึง 2,000 ชิ้น ขณะที่ EV มีชิ้นส่วนดังกล่าวเพียง 20 ชิ้น ดังนั้น รถ EV จึงอายุใช้งานถึง 500,000 ไมล์ เทียบกับรถเบนซิน/ดีเซล ที่มีอายุใช้งาน 100,000 – 140,000 ไมล์ แต่ปัจจุบันซึ่งเจ้าของรถใช้รถโดยเฉลี่ยเพียง 2 ชม./วัน (อีก 90% ของวัน รถจอดอยู่เฉย ๆ ) อายุใช้งาน 100,000 ไมล์ จึงไม่มีปัญหา แต่บริษัท เช่น Uber ซึ่งจะสามารถนำ EV มาใช้ได้ 40% ต่อวัน ทำให้ค่าบริการถูกกว่าการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัวหลายเท่าตัว Tony Seba คำนวณว่า การใช้รถส่วนตัวนั้น จะมีต้นทุน 0.65 ดอลลาร์ต่อไมล์ในปี 2021 และเพิ่มขึ้นเป็น 0.78 ดอลลาร์ในปี 2030 หากใช้ EV ส่วนตัว ก็จะมีต้นทุน 0.62 ดอลลาร์ในปี 2021 ลดลงเป็น 0.61 ดอลลาร์ในปี 2030 แต่หากใช้บริการ Transport as a service (เช่น Uber) ก็จะจ่ายเงิน 0.16 ดอลลาร์ต่อไมล์ในปี 2021 และลดลงเหลือ 0.10 ดอลลาร์ต่อไมล์ในปี 2030 เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ Taas ใช้รถ EV 40% ต่อวันไม่ใช่ 5-10 % ต่อวัน และรถ EA มีต้นทุนในการบำรุงรักษาต่ำมาก นอกจากนั้นต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าก็จะลดลงไปได้อีก(เพราะใช้ solar cell) ที่สำคัญคือผู้โดยสารรถ AV จะกลายเป็นลูกค้าที่สามารถบริโภคสินค้าและบริการในขณะที่นั่งอยู่ในรถ AV ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำ 33 บริษัทที่ลงทุนใน AV ซึ่งนอกจากบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ทุกบริษัทแล้ว ก็ยังมียักษ์ใหญ่ เช่น Apple, Google, Intel, Bosch, Delphi และ Microsoft รวมอยู่ด้วยครับ
โดย
Seattle
พุธ ม.ค. 03, 2018 4:40 pm
0
4
Re: จิ๊กซอว์หุ้น/วีระพงษ์ ธัม
ไม่ง้อก็ได้ หาข้อมูลเองดีกว่าเยอะ ถามก็ไม่ยอมตอบ 555
โดย
Seattle
จันทร์ ส.ค. 28, 2017 9:28 pm
0
3
Re: จิ๊กซอว์หุ้น/วีระพงษ์ ธัม
ข้อ 5 กับ ข้อ 6 ดูเหมือนข้อมูลตกหล่นไปหรือเปล่าครับ อ่านแล้วเหมือนยังเขียนไม่จบ ขาดตอนไปครับ Thursday, 24 August 2017 จิ๊กซอว์หุ้น เกมตัวต่อจิ๊กซอว์ คือ เกมโบราณที่เรียบง่ายที่สุดเกมหนึ่งบนโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องอ่านวิธีเล่นก็เข้าใจได้ น่าประหลาดว่าว่ามันแฝงปรัชญา วิธีคิดมากมายซึ่งคล้ายกับวิธีการลงทุนในหุ้นอย่างมาก และผมคิดว่าปรัชญานี้คือหนึ่งใน “หัวใจ” ของการประสบความสำเร็จในหุ้น ศาสตร์การลงทุนเราต้อง “ฝึกต่อภาพ” หรือ “เชื่อมโยง” ข้อมูลที่มีอยู่เข้าหากันเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ เพื่อให้ข้อมูลที่มีอยู่มีประสิทธิภาพ และถูกต้องมากที่สุด การมีจิ๊กซอว์หนึ่งชิ้นเราอาจจะตอบไม่ได้ดีนักว่ามันคือภาพอะไร แต่ก็ถ้าเรา “ต่อภาพ” ให้กว้างขึ้นจนครบถ้วนสมบูรณ์ เราจะบอกคำตอบได้ดีกว่ามาก สาเหตุที่การลงทุนเป็นศิลปะเพราะการเสน่ห์ของการเชื่อมโยงนี่เอง Investing is just connecting things มันคือเกมที่ชื่อว่า “จิ๊กซอว์หุ้น” การลงทุนคือ “ศาสตร์แห่งการคาดเดาอนาคต” กำไรของเราจะขึ้นกับอนาคตทั้งสิ้น ส่วนที่ยากของการลงทุนคือมันเป็นเกมจิ๊กซอว์ ที่เราไม่เห็นกล่องว่าภาพนั้นคือภาพอะไร จุดเริ่มต้นเราจึงไม่ต่างจาก “คนตาบอดคลำช้าง” ที่ลองผิดลองถูก ไปตาม “ข้อมูล” ที่ได้รับ เพื่อจะ “จินตานาการ” ภาพข้างหน้า ปัญหาหลักของความผิดพลาดในการลงทุน คือเราจะมักสนใจเพียงแค่เรื่องสิ่งที่เรารู้และเรื่องที่เราไม่รู้ ซึ่งแท้จริงยังมีอีกส่วนหนึ่งซึ่งอันตรายกว่ามากคือ “สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้” และสิ่งเรา “คิดว่าเรารู้แต่เราไม่รู้” นี่คือสาเหตุหลักของความผิดพลาดในการลงทุน เพื่อลดปัญหานี้เราควรต้องทำอย่างไรบ้าง? 1. โจทย์แรกของจิ๊กซอว์หุ้นคือ เราต้องเชื่อมโยงระหว่างภาพเล็กและภาพใหญ่ ความคิดของการหาหุ้นแบบ Bottom Up หรือ Top Down นั้น แค่บอกว่าเราเริ่มต้นตรงไหน เพราะในที่สุด เราก็ต้องเชื่อมข้อมูลภาพใหญ่และภาพเล็กเข้าหากันอยู่ดี การลงทุนต้องเริ่มต้นจากการหยิบจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นมาวางเรียงกัน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแนวลึกและแนวกว้าง ค่อย ๆ ต่อจิ๊กซอว์ การเข้าใจหนึ่ง “ธุรกรรม” เมื่อมาต่อภาพกัน ก็จะเข้าใจ หนึ่ง “ธุรกิจ” และขยายไปสู่หนึ่ง “อุตสาหกรรม” เมื่อเราเริ่มต่อภาพไปบ่อย ๆ เราจะสร้างประสบการณ์ที่จะเป็นตัวช่วยกำหนดเป้าหมายว่า “ภาพที่อยากเห็น” คืออะไร และการต่อภาพก็จะเร็วขึ้นมาก ส่วนที่ยากที่สุดในนี้คือ “วินัย” อย่าประเมินจิ๊กซอว์หุ้นว่ามีชิ้นน้อย ๆ นักลงทุนที่มีประสบการณ์มักมองว่ามันคือจิ๊กซอว์ระดับหมื่นชิ้น ไม่ใช่หลักร้อยชิ้นเหมือนนักลงทุนทั่วไป 2. เนื่องจากข้อมูลมีจำนวนมาก จง “เลือก” ข้อมูล และ “แยกชิ้นส่วน” เป็นหมวดหมู่ เช่นข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจโดยตรง โดยอ้อม เกี่ยวกับคู่แข่ง เกี่ยวกับลูกค้า แยกส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน สุภาษิตเรื่อง “อย่าจับปลาสองมือ” ใช้ได้ดีในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นที่เราต้องหา “หายุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดก่อน” อย่าพยายามรีบออกนอก “ขอบเขตความรู้” ของตัวเอง จุดเริ่มต้นในการต่อจิ๊กซอว์หุ้นคือ ธุรกิจที่เราเชี่ยวชาญและเข้าใจได้ดี 3. ระวังการ “เข้าใจผิด” การต่อจิ๊กซอว์ ชิ้นที่ต่อยากที่สุดคือ ชิ้นที่เราเข้าใจผิดว่ามันเป็นอย่างหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วมันอาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นจริงในธุรกิจหรือหุ้นบ่อยครั้งอาจจะเป็นคนละเรื่อง ตัวเลขงบการเงินที่เห็นในวันนี้อาจจะไม่เป็นจริงในอนาคต โอกาสและความเสี่ยงในตลาดหุ้นเกิดจาก “ความเข้าใจผิด” นี่เอง ที่มักจะเพราะเรา “ด่วนสรุป” ทุกอย่างเร็วเกินไป เหมือนเราได้จิ๊กซอว์มาไม่กี่ชิ้น ได้คำตอบมาสั้น ๆ แต่เรานำมาสรุปอธิบายภาพรวมทั้งหมด ผลที่ตามมาคือ เราอาจจะมองข้ามหุ้นคุณภาพดี หรืออาจจะมองหุ้นบางตัวดีเกินความเป็นจริง 4. ต้องพยายามต่อจิ๊กซอว์เชื่อม “ข้อมูล” กับ “ความรู้” ความรู้เท่านั้นที่จะช่วยให้เรากำไรเพิ่มขึ้นในตลาดหุ้นได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่ข้อมูล การเชื่อมโยงนี้คือหัวใจของ “การวิเคราะห์หุ้น” ข้อมูลบอกแค่ภาพบริษัทกำลังจะทำอะไร แต่เราต้องคิดนำว่าวิเคราะห์ต่อ เช่น บริษัทกำลังมีกลยุทธ์ด้านไหน แผนการตลาด การบริหารทรัพยากรคน เรื่องการเงิน เรื่องการแข่งขัน การเติบโต ถ้าเราต่อจิ๊กซอว์ระหว่างข้อมูลและทฤษฎีในตำราเข้าหากัน จะทำให้เห็นวิเคราะห์ภาพอนาคตของแผนนั้น ๆ ได้ “ลึก” ขึ้น 5. จิ๊กซอว์ตัวแรก ๆ ที่เราควรจะต้องเชื่อมต่อภาพให้ได้คือ “งบการเงิน” ที่แต่ละบรรทัดจะสะท้อนความสามารถของบริษัทในอดีตไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง และจะเห็นถึงประวัติศาสตร์หุ้น และพัฒนาการ รวมไปถึงโอกาสอุปสรรคของบริษัทบางอย่างได้ ภาพงบการเงินจะบอกว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องหรือไม่ และเรื่องการประเมินมูลค่าที่น่าปวดหัว มันไม่ใช่สูตรการคำนวณสมการที่ยาก แต่เป็นกระบวนการการต่อจิ๊กซอว์ที่ซับซ้อนต่างหาก 6. ระวังการขาดจิ๊กซอว์ “ชิ้นสำคัญ” ในการลงทุน เราจำเป็นต้องได้จิ๊กซอว์ “ชิ้นสำคัญ” ให้ครบให้มากที่สุด เพื่อที่ไม่ให้การลงทุนเราล้มเหลว ไม่สำคัญว่าเราจะต่อจิ๊กซอว์หุ้นได้ภาพกว้างมากขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเราขาดชิ้นส่วนสำคัญเราก็สามารถผิดพลาดได้เสมอ ตัวอย่างคือ กรณีที่ธุรกิจทุกอย่างดูดีหมด แต่เจอปัญหาขาดสภาพคล่อง หรือผู้บริหารไม่โปร่งใส ก็ทำให้สิ่งที่เราคิดถูกทั้งหมด กลับกลายเป็นผิดพลาดได้ 7. เมื่อเราต่อจิ๊กซอว์ครบแล้ว เราต้องลงมือซื้อหรือขายตามสิ่งที่เห็น นี่คือการเชื่อมโยงที่ยากที่สุด เป็นตัวแบ่งนักลงทุนที่ชาญฉลาดออกจากนักทฤษฎีที่ชาญฉลาด โอกาสเดียวที่เราจะกำไรมากคือเราต้อง “ฝืนทำ” สิ่งมีเรามีมุมมองที่ไม่ตรงกับฝูงชน และจงเชื่อในภาพที่ตัวเองต่อขึ้น และสิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ว่าเราชนะในเกมจิ๊กซอว์หุ้นไม่ใช่ราคาหุ้น แต่คือ ภาพที่เราต่อขึ้นในจินตนาการ กับภาพที่มันเกิดขึ้นจริง มันเป็นภาพเดียวกัน และคุณเห็นมันเป็นคนแรก ๆ
โดย
Seattle
จันทร์ ส.ค. 28, 2017 9:27 pm
0
4
Re: จิ๊กซอว์หุ้น/วีระพงษ์ ธัม
ข้อ 5 กับ ข้อ 6 ดูเหมือนข้อมูลตกหล่นไปหรือเปล่าครับ อ่านแล้วเหมือนยังเขียนไม่จบ ขาดตอนไปครับ
โดย
Seattle
จันทร์ ส.ค. 28, 2017 3:07 pm
0
5
Re: เทคโนโลยีที่สร้างความพลิกผัน (Disruptive Technology)
เทคโนโลยีที่สร้างความพลิกผัน (2) ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ Posted: Mon Sep 19, 2016 ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงรถยนต์ที่ขับเองได้หรือรถไร้คนขับ (Autonomous vehicle หรือ AV) ว่าจะเป็นพัฒนาการลำดับที่ 3 ตามจากการมาของรถไฟฟ้า (ส่วนบุคคล) และการใช้ solar cell ผลิตไฟฟ้าใช้ตามบ้านเรือน ทั้งนี้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้เห็นกันภายใน 20 ถึง 30 ปีข้างหน้า บางคนอาจมองว่าฝันไปในอนาคตมากเกินไปหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าการคาดการณ์นั้นผิดพลาดได้เสมอ แต่ในเรื่องของ AV นั้น หากใครเดินทางไปที่เมือง Pittsburg ในสหรัฐอเมริกาและเรียกใช้บริการของ Uber ก็อาจได้นั่งรถ Volvo XC90 หรือ Ford Focus ซึ่ง จะขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ แต่ในช่วงแรกนี้จะมีคนนั่งที่คนขับหนึ่งคนเพื่อคบคุมหากจำเป็นและพนักงานอีก คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างขวาเพื่อเก็บข้อมูลและประเมินการทำงานของรถ AV ของ Uber ทั้งนี้ Uber ในขั้นแรกจะมีรถ AV ให้บริการในเมือง Pittsburg รวมทั้งสิ้น 100 คันและคาดว่าจะขยายบริการดังกล่าวไปยังเมืองอื่นๆ ต่อไป บริษัท Volvo นั้นปัจจุบันเป็นบริษัทลูกของ Zhejland Geely Holding ของจีน ซึ่งกำลังเร่งพัฒนารถไฟฟ้าและรถ AV ในส่วนของประเทศจีนนั้นตื่นตัวกับการพัฒนารถไฟฟ้าและรถ AV อย่างมากเพราะ 1) ปัจจุบันเมืองใหญ่ของจีนประสบปัญหามลภาวะทางอากาศอย่างมาก ส่วนใหญ่มาจากการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก แต่มลภาวะจากรถยนต์ก็มีส่วนอย่างมากเช่นกันและเมื่อคนจีนมีฐานะดีขึ้น มลภาวะทางอากาศก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ดังนั้นจีนน่าจะมีนโยบาย “กระโดดข้าม” (leapfrog) ประเทศตะวันตกและพัฒนารถไฟฟ้าไปเลยแทนการปล่อยให้ประชาชนซื้อรถยนต์เบนซินหรือดีเซลในจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 2) การพัฒนา AV ก็น่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญของจีนเพื่อเป็นผู้นำเทคโนโลยีนี้ เนื่องจากประชากรของจีนก็กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นคือการขาดแคลนแรงงาน รถ AV จึงเป็นทางออกหนึ่งของจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ลดการพึ่งพาแรงงาน กลับมาทางฝั่งของสหรัฐก็มีข้อสังเกตว่า Uber เพิ่งเข้าไปซื้อกิจการของ Ottomotto บริษัทขนาดเล็ก แต่เป็นผู้บุกเบิกรถบรรทุกไร้คนขับหรือ AV truck/trailer บริษัทยักษ์ใหญ่อีกแห่งคือDaimler Benz ก็กำลังทดลองรถบรรทุกไร้คนขับในประเทศสหรัฐเช่นกัน อีกด้านหนึ่งบริษัท Ford Motors ประกาศว่าจะสามารถผลิตรถยนต์โดยสารขับเองที่จะไม่มีพวงมาลัยและที่เหยียบเบรกและคลัชภายในปี 2021 ในส่วนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็มีพัฒนาการที่น่าสนใจดังนี้ 1) รัฐบาลสิงคโปร์ได้อนุญาตให้บริษัท nuTonomy (จัด ตั้งขึ้นโดยนักวิจัยจาก MIT 2 คน ที่เดิมเคยทำงานกับ Google) ทดลองรถแท็กซี่ไร้คนขับในบริเวณจำกัดบนเกาะสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม โดยประกาศว่าจะเริ่มให้บริการในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2018 ที่สิงคโปร์ (หากเป็นไปได้จริงก็จะรวดเร็วเกินที่ผมคาดหมายอย่างมาก) 2) บริษัท Rio Tinto ยักษ์ใหญ่ด้านเหมืองแร่ ทดลองใช้รถบรรทุกไร้คนขับแล้วที่โรงถลุงแร่เหล็กที่ออสเตรเลีย (และ Volvo ก็ประกาศว่าจะทดสอบใช้รถบรรทุกในการทำเหมืองแร่ที่ประเทศสวีเดน) 3) เมือง Wu Hu (ห่างจากเมืองเซี่ยงไฮ้ 200 ไมล์ทางทิศตะวันตก) ประกาศว่าจะเป็นเมืองแรกของโลกที่จะยกเลิกการใช้คนขับรถ โดยจะให้มีแต่รถไร้คนขับภายใน 10 ปีข้างหน้า 4) ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน Baidu มั่นใจว่า จีนจะเป็นผู้นำด้านรถไร้คนขับและได้เริ่มทดลองใช้รถไร้คนขับในกรุงปักกิ่งมา ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2015 และอ้างว่าจะนำเทคโนโลยีไร้คนขับมาเริ่มใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2019 โดยจะพัฒนาให้แพร่หลายได้ภายในปี 2021 (ซึ่งเร็วกว่าที่ผมคาดการณ์อย่างมากเช่นกัน) เทคโนโลยีไร้คนขับนั้นมิได้มีการมีการทุ่มเททรัพยากรเพื่อเร่ง พัฒนาในส่วนของการขนส่งทางถนนเท่านั้น แต่ในด้านอื่นๆ ก็กำลังคืบหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น - เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาที่งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีทางการเกษตร ที่มลรัฐไอโอวาสหรัฐอเมริกา มีการนำเอารถแทร็กเตอร์ไร้คนขับ (driverless/cabless tractor) ยี่ห้อ Case IHซึ่ง ได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะจะพัฒนาเป็นแทร็กเตอร์ที่ขับออกมาจากโรงเก็บและมาทำงานอย่างต่อเนื่อง ได้โดยไม่ต้องพักผ่อนและสามารถขับกลับไปที่โรงเก็บเองเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น - บริษัท Rolls Royce (ปัจจุบันผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินและเรือ ส่วนยี่ห้อรถยนต์นั้นขายไปให้ BMW นานแล้ว) เป็นแกนนำในการค้นคว้าด้าน Advanced Autonomous Waterborne Application กล่าวคือการขับเคลื่อนเรือขนส่งสินค้าจากสำนักงานบนผืนแผ่นดิน โดยอาศัยระบบโทรคมนาคมเหมือนกับการบังคับเครื่องบิน Drone หรือที่เรียกกันว่า unmanned cargo ships ซึ่ง คาดว่าจะประหยัดต้นทุนไปได้มากกว่า 22% เพราะจะใช้บุคลากรลดลงและยังลดภาระของการบรรทุกเสบียงต่างๆ รวมทั้งพลังงานเพื่อขับเคลื่อนเรื่ออีกด้วย ทั้งนี้โดยเชื่อว่าการเดินเรือโดยไร้ลูกเรือเกิดขึ้นได้ภายในปี 2030 และเทคโนโลยีจะพัฒนาไปสู่เรือขนส่งสินค้าที่ขับเองได้ (autonomous cargo ships) ในประมาณปี 2035 ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นการคาดการณ์ทั้งสิ้นและอาจทำได้เร็ว หรือช้ากว่าที่คาดการณ์ก็ได้ แต่เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่าโลก 4.0 ในส่วนของการขนส่งนั้นกำลังจะพัฒนาไปในทิศทางใดครับ
โดย
Seattle
อังคาร ก.ย. 20, 2016 2:20 pm
0
1
Re: ขายเหมา หุ้นฟื้นฟูกิจการ (หุ้นติด SP)
ขอต่อนิดหน่อย เหมาหมด 59,300 ผมขอต่ออีกนิดได้ไหม เป็น 10000 บาทถ้วน จ่ายให้สดๆ วันนี้เลย
โดย
Seattle
ศุกร์ ก.ย. 09, 2016 8:45 am
0
2
Re: 30 กลยุทธ์หุ้นเปลี่ยนชีวิต/วีระพงษ์ ธัม
30 กลยุทธ์หุ้นเปลี่ยนชีวิต (2) / วีระพงษ์ ธัม Posted: Fri Sep 02, 2016 ต่อเนื่องจากบทความที่แล้วซึ่งกลยุทธ์ที่ปูฐานความคิดหลัก ๆ ของการลงทุนในหุ้น กลยุทธ์ในตอนนี้จะเจาะจงที่การเริ่มต้นหา “ข้อมูลที่ถูกต้อง” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเป็นนักลงทุน ซึ่งหากปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ที่ดีจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ข้อมูลเหมือนวัตถุดิบชั้นดี ซึ่งจะนำไปปรุงรสโดยการวิเคราะห์ชั้นเลิศจากนักลงทุน เพื่อค้นหาหุ้นที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ 8) การหาข้อมูลจากการลงทุนนั้น จำเป็นต้องหาแยก “ข้อมูล” กับ “ความคิดเห็น” ให้ได้อย่างเด็ดขาด หลายครั้งนักลงทุนมี “ข้อมูลที่น้อยเกินไป” และเติม “ความคิดตัวเอง” ทำให้ “ผลสรุป” ที่ได้นั้น “ห่าง” จากข้อเท็จจริงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่อยู่ไกลตัวตนเอง เช่น หุ้นที่ขายของให้ผู้หญิง แต่เราเป็นผู้ชาย หุ้นที่ขายของให้กับคนต่างชาติ แต่เราเป็นคนไทย หุ้นที่ขายของให้กับเด็ก แต่เราเป็นผู้ใหญ่ เป็นต้น เราควรพยายามสรุปข้อมูลในอดีตเป็นตัวเลข เพราะนี่คือข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แต่สำหรับข้อมูลในอนาคตที่มาจากข้อคิดเห็น การคาดการณ์เป็นส่วนใหญ่ เราจำเป็นจะต้องมี “ขนาดตัวอย่างที่มากพอ” และ “มาจากแหล่งที่มีคุณภาพ” เพื่อให้เราสามารถสร้างเป็น “ข้อมูลที่ดี” ได้ เหมือนกับว่าถ้าเราถามว่าเที่ยวประเทศจีนเป็นยังไง คำตอบที่สรุปได้ ไม่ควรจะเป็น “ห้องน้ำสกปรก” 9) การมี “ข้อมูลมากเกินไป” ก็ทำให้เราพลาดโอกาสการลงทุนเช่นเดียวกัน สาเหตุคือ ข้อมูลมีแต่จะ “ล้าสมัย” เร็วขึ้นทุกวัน และข้อจำกัดของนักลงทุนคือ “เวลา” ข้อมูลแต่ละอย่างมีน้ำหนักความสำคัญไม่เท่ากัน การหมกมุ่นในข้อมูลบางอย่างมากเกินไป ทำให้เราพลาดข้อมูลที่เป็นโอกาสในอนาคตได้ เหมือนกับว่าเราไม่จำเป็นต้องเดินทั่วทุกซอกมุมของโรงงานเพื่อจะบอกได้ว่านี่คือโรงงานที่ดี เพราะตั้งแต่ที่เราเหยียบปากประตูโรงงาน ก็อาจจะสรุปอะไรบางอย่างได้แล้ว เราอาจจะใช้เวลาไปเดินโรงงานข้าง ๆ ดีกว่า 10) จงระวังการติดตามข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค เช่น เงินเฟ้อ GDP สถานการณ์ตลาดหุ้นต่างประเทศ อัตราการว่างงาน อัตราแลกเปลี่ยน ข่าวการเมืองต่างประเทศ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้มีผลกับตลาดหุ้นในระยะสั้นจริง แต่มีผล “น้อยมาก” ในระยะยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหุ้นรายตัว ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสที่เราจะคาดการณ์ข้อมูลที่ “ใหญ่” ระดับโลกให้ถูกต้องนั้น “ต่ำมาก” ดังนั้นข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคจึงมักมีประโยชน์ค่อนข้างน้อย นักลงทุนควรเจาะจงกับข้อมูลธุรกิจที่ตัวเองลงทุนอยู่มากกว่า ตลาดหุ้นคือสถานที่ ๆ คนรู้ข่าวทุกสิ่ง ราคาหุ้นทุกตัว แต่ไม่รู้มูลค่าและความเสี่ยงของหุ้นตัวเอง 11) ข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้จาก “สื่อ” นั้น มีแนวโน้มที่จะเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี เพราะข่าวร้าย “ขายได้” ข่าวต่าง ๆ จึงมักจะมีแนวโน้มเขียนในแง่ร้ายมากกว่าการเขียนในแง่ดี และกว่าจะมี “ข่าวดี” ชัดเจน ตลาดหุ้น มักจะวิ่งไปไกลแล้ว คล้าย ๆ กับวลีที่ว่า หุ้นขึ้นเหมือนเดินบันได เพราะตลาดใช้เวลาค่อย ๆ ซึมซับข่าวดีทางเศรษฐกิจ และตกลงเหมือนลงลิฟท์เพราะความกลัวข่าวร้ายที่ประดังเข้ามา แต่ในทางกลับกัน ข่าวที่เกี่ยวกับหุ้นมักจะมี “ข่าวดี” มากกว่า เพราะมีเหตุผลมากมายให้คนอยากให้หุ้นขึ้น ข่าวร้ายทางเศรษฐกิจขายได้ฉันใด ข่าวหุ้นขึ้นก็ “ขายได้” ฉันนั้น 12) จำไว้ว่านักลงทุนมีข้อมูลน้อยกว่าข้อมูลของผู้บริหารนั้นเสมอ เราไม่มีทางมีข้อมูลดีกว่าผู้บริหารที่ดูแลบริษัทอยู่ทุก ๆ วัน และบ่อยครั้งที่ผู้บริหารจะพูดข้อมูลเชิงบวกในสิ่งที่เอื้อกับความความต้องการตัวเอง เช่นถ้าผู้บริหารเป็นมืออาชีพ ย่อมให้ข้อมูลในลักษณะต้องการเสถียรภาพ ความมั่นคงธุรกิจมากกว่า ส่วนผู้บริหารที่ถือหุ้น ก็อาจจะมีแรงจูงใจในด้านราคาหุ้นมากกว่า อย่างไรก็ดีหุ้นที่ผู้บริหารที่ถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงมักจะให้ผลดีระยะยาวกับนักลงทุนรายย่อยมากกว่า กฏสำคัญที่สุดคือเราต้องวัดข้อมูลผู้บริหารจาก “การกระทำ” มากกว่า “คำพูด” 13) ข้อมูลโครงการใหม่ ๆ ของบริษัทเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก ถ้าบริษัทจำเป็นต้องทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เราต้องระวังไว้ก่อน กว่าบริษัทจะเติบโตจนมาถึงทุกวันนี้ ย่อมต้องลองไอเดียต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นไอเดียล่าสุดของบริษัท ไม่จำเป็นต้องเป็นไอเดียที่ดีที่สุด และบ่อยครั้งก็เป็นไอเดียที่ไม่ประสบความสำเร็จ 14) จงจำไว้ว่า ข้อมูลจากเซียนหุ้น หรือนักวิเคราะห์ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คุณเห็นด้วยหรือไม่ มันก็จะอยู่ในใจคุณเสมอ และมันจะมีผลต่อการตัดสินใจของคุณในอนาคตไม่มากก็น้อย นี่คือข้อเสียของการฟังข้อมูลจากผู้อื่น การห่างจากตลาดหุ้นและใกล้ชิดธุรกิจที่เราลงทุนอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า 15) ข้อมูลที่เรียบง่ายนั้นดีที่สุด เราไม่ต้องการคณิตศาสตร์ชั้นสูง ข้อมูลที่ลึกลับซับซ้อน แต่เป็นข้อมูลที่เราใกล้ชิดและเข้าใจอย่างถ่องแท้ วลีทองเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ “คำตอบที่คลาดเคลื่อนบ้างจากคำถามที่ถูกต้อง ดีกว่าคำตอบที่ถูกต้องจากคำถามที่ผิด” ดังนั้น “คำถาม” ที่ถูกต้องคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ก่อนจะหาข้อมูล จงเริ่มต้นจากการตั้งคำถามที่ถูกต้องก่อน ติดตามต่อตอนต่อไปครับ
โดย
Seattle
ศุกร์ ก.ย. 02, 2016 10:32 pm
0
4
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
ขอบคุณคุณ seattle มากครับ ^^ ธุรกิจอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ (1) โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ วันที่ 25 กรกฎาคม 2559 ครั้งก่อนหน้าผมเขียนถึงรถ Tesla ที่กำลังท้าทายบริษัทรถยนต์ยักษ์ทั่วโลกที่มียอดจองรถ Tesla model 3 เกือบ 400,000 คัน nและคาดการณ์ว่าจะขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ปีละ 500,000 คัน ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป Tesla ผลิตรถยนต์มาประมาณ 12 ปี แต่ราคาหุ้นนั้นแพงกว่าราคาหุ้นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เช่น Benz, BMW, Volkswagen และ GM ซึ่งผลิตรถยนต์มานานเป็นร้อยปี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Tesla จะเริ่มทำกำไร (ที่ผ่านมาขาดทุนตลอด) ในปี 2018 ซึ่งหากเป็นจริง (คือสามารถผลิตรถยนต์มอบให้ลูกค้าได้ 500,000 คัน ในปีนี้ตามคาด) ก็จะทำให้หุ้น Tesla มี P/E ประมาณ 63 เท่า แพงกว่า P/E ของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ 10 เท่า เพราะบริษัทดังกล่าวนั้นหุ้น P/E ประมาณ 6-7 เท่า สรุป คือ Tesla เป็นบริษัทรถยนต์ที่ขายฝัน ซึ่งอาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้ในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและรถยนต์นาย James Quinn หนังสือพิมพ์ The Telegraph ยกตัวอย่างว่า Tesla นั้นใน 4 ปีที่ผ่านมาจากกลางปี 2012 ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น S และ X ให้ลูกค้าได้เพียง 109,000 คัน เท่ากับจำนวนรถยนต์ที่ Ford ผลิตภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น แต่เมื่อ Tesla เริ่มส่งมอบรถไฟฟ้าให้ลูกค้าได้ ราคาหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นไป 10 เท่าตัวแล้ว (จาก 20 ดอลลาร์เป็น 200 ดอลลาร์) นาย Quinn สรุปว่า Tesla นั้นสร้างฝัน แต่มีผลงานจริงไม่มากนัก จึงมีความเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งได้อีกในอนาคตและราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาจนอาจถูกควบรวมโดยบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ก็ได้ ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนความเสี่ยงของบริษัทที่เป็นผู้บุกเบิก (pioneer) แต่ไม่ได้หมายความว่าเทคโนโลยีที่ Tesla กำลังพัฒนาอยู่นั้นมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวไปพร้อมกับบริษัท Tesla กล่าวคือเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะพัฒนาต่อไปได้ ไม่ว่าจะโดยการบุกเบิกของ Tesla หรือการพัฒนารถยนต์ประเภทนี้โดยบริษัทอื่นที่อาจเข้ามาฮุบกิจการของ Tesla ในอนาคตก็ได้ จึงมาถึงประเด็นสำคัญว่าปัจจัยอะไรที่จะ “ชี้เป็นชี้ตาย” กับความสำเร็จของรถยนต์ไฟฟ้า คำตอบคือแบตเตอรี่ โดยในปัจจุบันหมายถึงแบตเตอรี่แบบ Lithium lon (Li) กล่าวคือปัจจัยไม่ได้อยู่ที่มอเตอร์ไฟฟ้า เพราะเทคโนโลยีนี้พัฒนามานานกว่า 150 ปีแล้ว และมอเตอร์ไฟฟ้านั้นมีประสิทธิภาพในการใช้งานหมุนล้อที่ 90% อยู่แล้ว ในขณะที่เครื่องยนต์นั้นมีประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานเพื่อหมุนล้อเพียง 20% (อีก 80% ส่วนใหญ่เป็นพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นจากการสันดาป) แต่แบตเตอรี่นั้นยังล้าหลังอยู่มาก และเป็นต้นทุนหลักของรถยนต์ไฟฟ้า กล่าวคือแบตเตอรี่ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนี้ที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีน้ำหนักประมาณ 500 กิโลกรัม (หนักเท่ากับคน 7-8 คน) และคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1/3 ของราคารถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพและสมรรถนะของรถไฟฟ้าแบบก้าวกระโดด จะต้องมาจาก 1. การพัฒนาแบตเตอรี่ที่เก็บไฟได้มากขึ้น (จากปัจจุบันชาร์จไฟหนึ่งครั้งขับได้ไกล 300-350 ก.ม.) 2. น้ำหนักลดลง และ 3. ราคาถูกลง หากทำได้ก็รับรองว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะขายดีจนรถยนต์ขายไม่ได้อย่างแน่นอน แบตเตอรี่ที่ใช้กันในปัจจุบันและในอดีตนั้นคือประเภทตะกั่วกับน้ำกรด (Lead-acid battery) ซึ่งยังใช้อยู่ในรถยนต์ส่วนใหญ่ในขณะนี้เพื่อเก็บไฟเอาไว้ใช้สตาร์ทเครื่องยนต์ และเพื่อใช้อุปกรณ์ในรถในเวลาเพียงสั้นๆ รถปัจจุบันต้องมีเครื่องปั่นไฟไปด้วยระหว่างขับเคลื่อน ต่อมาได้มีการพัฒนาแบตเตอรี่แบบ Nickel Cadmium ซึ่งใช้กันแพร่หลายในเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา โทรศัพท์มือถือ ในช่วงหนึ่ง แต่มีความเสี่ยงเรื่องมลพิษสูง จึงถูกทดแทนโดย Lithium ion ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมาจนทุกวันนี้ Lithium ion นั้นอันที่จริงแล้วเป็นเทคโนโลยีที่เก่าแก่มานานเกือบ 40 ปีแล้ว โดยมีจุดริเริ่มจากการค้นพบว่า Lithium นั้นใช้เก็บไฟฟ้าได้ดีมาก แต่ไวไฟและระเบิดได้ง่าย จึงต้องนำไปเจือปนกับ graphite ให้เป็น Lithium ion ที่เสถียรมากขึ้นแม้ประสิทธิภาพจะลดลงบ้าง แบตเตอรี่แบบ Lithium ion นั้นกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1980 แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถูกพัฒนาต่อเพื่อใช้งานทางพาณิชย์ จนกระทั่ง 10 ปีให้หลังที่บริษัทโซนี่ของญี่ปุ่นนำเอา Li มาพัฒนาเพื่อใช้ในกล้องถ่ายหนังแบบพกพาคือ SONY Beta Cam ในปี 1991 แต่แบตเตอรี่ Li นั้นประสิทธิภาพมิได้เพิ่มขึ้นมากนักในช่วง 20 ปีให้หลัง ระหว่างปี 1991-2010 แม้ว่า Li ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในอุปกรณ์ที่สำคัญในการดำรงชีวิตสมัยใหม่คือคอมพิวเตอร์พกพา เครื่อง ipad และ smart phone ซึ่งต้องใช้แบตเตอรี่ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น กล่าวคือนับจากวันแรกที่ Apple ผลิต iphone 1 ออกมาขายในปี 2007 จนถึงวันนี้ iphone 7 นั้นมีศักยภาพสูงขึ้น (และต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น) ประมาณ 16 เท่าตัว แต่ Li นั้นประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นไม่ถึง 25% ดังนั้นบริษัทรถยนต์ บริษัทมือถือและบริษัทพลังงานจึงจะเร่งลงทุนค้นคว้าวิจัยและพัฒนา Li หรือทางเลือกอื่นๆ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า อาจมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด โดยยึดกับ Li อยู่เช่นปัจจุบัน (Tesla จึงลงทุนสร้างโรงงานผลิต Li ที่ใหญ่ที่สุดในโลก) หรืออาจพัฒนาวัสดุอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Li ก็เป็นได้ ผมได้ไปอ่านดูว่าปัจจุบันว่ามีการค้นคว้าด้านแบตเตอรี่ในทิศทางใดบ้าง และพบแนวทางวิจัยที่แตกต่างกันกว่า 20 แนวทาง เช่น Magnesium batteries, solid state lithium ion, sodium ion batteries, aluminum-air batteries และ gold nano wire batteries เป็นต้น
โดย
Seattle
จันทร์ ก.ค. 25, 2016 12:05 pm
0
3
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
ขอบคุณคุณ seattle มากครับ ^^ Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ (5) ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ Posted: Mon Jul 18, 2016 ผมเขียนถึงรถยนต์ของบริษัท Tesla มา 4 ตอนแล้ว เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าจะเป็นผู้นำเทคโนโลยีที่ส่งผล “พลิกแผ่นดิน” อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ดำเนินมากว่า 100 ปีหรือไม่ แต่ทั้งนี้ต้องขอชี้แจงตรงนี้ก่อนครับว่าผมได้มีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัท Tesla ทั้งในทางตรงและทางอ้อมประการใดเลย รถ Tesla ก็ยังไม่เคยได้สัมผัสหรือทดลองใช้แต่อย่างใด ในครั้งที่แล้วผมเขียนว่าราคาหุ้นของ Tesla นั้นสูงกว่าราคาหุ้นของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ เช่น Benz BMW Ford และ GM อย่างมากและหากนักลงทุนยอมซื้อและถือหุ้น Tesla ในราคาสูงลิ่ว (เพราะมีแต่ขาดทุน) เมื่อเทียบกับหุ้นบริษัทรถยนต์ชั้นนำที่ให้เงินปันผล 4-5% ต่อปี ก็จะต้องแปลว่านักลงทุนมั่นใจอย่างยิ่งว่าอนาคตในการทำกำไรของ Tesla นั้นสดใสอย่างยิ่งและ Tesla จะต้องพัฒนามาเป็นบริษัทรถชั้นนำเทียบเท่ากับ Benz BMW Ford GM ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในอีกด้านหนึ่งผมขอสรุปข้อมูลจาก Consumer reports เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ประชาชนชาวอเมริกันสามารถสัมผัสได้ดังนี้ 1) มีรถยนต์ไฟฟ้า (Electronic Vehicle หรือ EV) ที่ประชาชนสามารถเลือกซื้อมาใช้ได้ประมาณ 10-12 รุ่น ส่วนใหญ่เป็นรถเก๋งนั่ง 5 คน แต่ SUV /Minivan ก็มีคือ Tesla X และรถหรูเทียบเท่ากับ Benz S Class ก็มีคือ Tesla S 2) รถลูกผสมที่มีทั้งเครื่องเบนซิน/ดีเซล และเครื่องยนต์ไฟฟ้า หรือ plug-in hybrid (PHEV) ก็มีให้เลือกประมาณ 10 รุ่นเช่นกัน 3) ภายในปลายปีนี้ GM จะรีบออก EV รุ่น Chevy Bolt มาตัดหน้า Tesla model 3 ที่จะเริ่มผลิตปลายปี 2017 โดย Chevy Bolt จะมีราคาประมาณ 35,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาเฉลี่ยรถยนต์ที่อเมริกาคือ 27,000 ดอลลาร์ (แปลว่าเมื่อราคา EV กดลงมาได้ที่ 27,000 ดอลลาร์หรือต่ำกว่านั้น รถ EV อาจเริ่มกินส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ ICE อย่างก้าวกระโดด) 4) ต้นทุนไฟฟ้า (ที่ใช้ใน EV) นั้นประมาณ 1 ดอลลาร์ต่อ “แกลลอน” แปลว่าต้นทุนการใช้ EV นั้นคิดเป็นบาทประมาณ 9.50 บาทต่อลิตร กล่าวคือถูกกว่าที่ใช้อยู่ในสหรัฐ (และไทย) ประมาณ 3 เท่า แต่ในสหรัฐนั้นหลายรัฐจะให้แรงจูงใจทางภาษี คิดเป็นเงิน 1-3 แสนบาทหากซื้อ EV นอกจากนั้นการชาร์จไฟฟ้าที่บ้านตอนกลางคืนยังทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปแวะเติม น้ำมันที่ปั๊ม ซึ่งปัจจุบันรถไฟฟ้าสามารถขับไปได้ 250-300 กิโลเมตร จึงจะต้องนำมาชาร์จไฟ (ยกเว้น Nissan Leaf ที่เป็น EV ที่เคยมียอดขายสูงสุดในสหรัฐ แต่จะขับได้เพียง 100-150 กิโลเมตรแล้วต้องนำมาชาร์จไฟ) 5) ราคาพื้นฐานของรถ EV หรือ PHEV เริ่มต้นจากประมาณ 22,000 ดอลลาร์ จนสูงถึง 125,000 ดอลลาร์ โดยปัจจุบันรถ EV ที่เป็นที่นิยมสูงสุดจะมีราคา 26,000 ถึง 32,000 ดอลลาร์ โดย “ค่าน้ำมัน” เฉลี่ยประมาณ 3.5 เซ็นต่อ 1 ไมล์ (ต่ำกว่า 1 บาทต่อ 1 กิโลเมตร) ในขณะที่รถ Toyota Corolla จะมีค่าน้ำมันเฉลี่ย 12 เซ็นต่อ 1 ไมล์ หรือเกือบ 3 บาทต่อ 1 กิโลเมตร ทำให้ผู้ซื้อรถ EV ในสหรัฐสามารถคุ้มทุนได้ภายในเวลา 1 ปีหลังการซื้อรถดังกล่าว ที่เขียนสรุปมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เห็นว่าตลาดรถยนต์ในสหรัฐนั้น เริ่มมีรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภคอย่างหลากหลายมากยิ่ง ขึ้น และใน 1-2 ปีข้างหน้า รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเป็นคู่แข่งที่สำคัญมากยิ่งขึ้นสำหรับรถยนต์เบนซินและดีเซล เพราะ ไม่เพียงแต่จะมีรถยนต์ Tesla model 3 เท่านั้นที่คาดหวังว่าจะผลิต 500,000 คันต่อปีตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป แต่จะมีรถยนต์จาก GM Ford และผู้ผลิตรายใหญ่ของเยอรมันก็จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ มาเป็นทางเลือกอีกหลายรุ่น ดังนั้นจึงต้องตั้งคำถามว่ารถยนต์ไฟฟ้า จะสามารถขยายตัวได้อย่างก้าวกระโดดและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค จนกระทั่งรถยนต์เบนซินและดีเซลเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดได้จริงหรือไม่ กล่าวคือ “จุดอ่อน” ของรถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร (เพราะ จุดแข็งนั้นเรารับทราบกันไปหมดแล้วว่า เด่นกว่ารถยนต์เบนซินและดีเซลในส่วนของสมรรถนะและค่าบำรุงรักษาอย่างเทียบ กันไม่ติด) ซึ่งคำตอบสั้นๆ คือร ถยนต์ไฟฟ้าจะ “ครองโลก” ได้หรือไม่ใน 10-15 ปีข้างหน้า น่าจะขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ลิเธียม(Lithium ion battery) และการพัฒนาให้ระบบเก็บไฟฟ้านี้ราคาถูกลง บรรจุไฟฟ้าได้มากขึ้นและราคาถูกลงไปเรื่อยๆ เฉลี่ยปีละ 14-15% เช่นที่ได้ทำแล้วในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาหรือไม่เพราะหากทำให้ราคาแบตเตอรี่ถูกลงปีละ 10-12% ใน 10 ปีข้างหน้า โดยประสิทธิภาพไม่ลดลงหรือดีขึ้น ก็จะทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าปรับลดลงได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันแบตเตอรี่ลิเธียมในรถยนต์ Tesla นั้น น่าจะมีน้ำหนักประมาณ 500 กิโลกรัม (เท่ากับผู้โดยสาร 7 คน) และราคาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-50% ของราคารถ Tesla สมมุติว่าในปี 2018 Tesla สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขายได้ 500,000 คันดังที่ตั้งเป้าเอาไว้ ซึ่งบริษัทอื่นๆ รวมกันก็น่าจะขายรถไฟฟ้าได้อีกประมาณ 1 ล้านคันรวมกัน 1.5 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก ซึ่งไม่สูงมากนัก แต่ก็เริ่มมีนัยสำคัญ แต่หากสามารถทำให้ราคาแบตเตอรี่สิเธียมลดลงได้ปีละ 10-12% ดังกล่าวข้างต้นและสมมุติว่าตรงนี้จะทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงได้ปีละ 4-6% ผลที่ตามมาคือราคารถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงอย่างมากภายในเวลา 10 ปี ดังนี้ หากราคารถยนต์ไฟฟ้าปรับลดลงเช่นนี้จริง คือใน 5 ปีข้างหน้าราคาเหลือ 25,700 ดอลลาร์ (หรือ 900,000 บาท) ถึง 28,000 ดอลลาร์ (หรือ 1,000,000 บาท) ก็จะกระทบยอดขายของรถยนต์เบนซินและดีเซลอย่างมากและภายใน 10 ปี หากราคาลดลงไปอีกเหลือ 18,850 ดอลลาร์ (หรือ 670,000 บาท) ถึง 23,270 ดอลลาร์ (หรือ 820,000 บาท) ก็อาจทำให้ยอดขายของ รถยนต์เบนซินและดีเซลลดลงอย่างมาก เพราะที่ระดับราคาดังกล่าวนั้นใกล้เคียงกับราคารถราคาประหยัดที่ผลิตอยู่ใน ปัจจุบันครับ
โดย
Seattle
จันทร์ ก.ค. 18, 2016 8:51 pm
0
4
Re: วิธีเลือกหุ้น (2)/วีระพงษ์ ธัม
วิธีเลือกหุ้น (1) วีระพงษ์ ธัม Posted: Fri Jun 24, 2016 วิธีเลือกหุ้น หรือ Stock Selection เป็นปัจจัยแรกสุดที่นำมาซึ่งความสำเร็จของนักลงทุน VI การเลือกหุ้นที่ไม่ดี อาจจะทำกำไรได้เป็นบางครั้งในช่วงที่ตลาดหุ้นสดใส แต่จะต้องมีซักวันที่จะต้องเจอมรสุม เปรียบเหมือนกับการเลือกเรือ บางครั้งเรือผุ ๆ มันก็สามารถพาคุณออกจากท่าได้เร็ว แต่มันอาจจะพาคุณไม่ถึงฝั่ง สำหรับนักลงทุนมือใหม่ นี่อาจจะเป็นความสับสนที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะหุ้นในตลาดมีจำนวนมาก มีข่าวถาโถมเข้ามา มีหุ้นผ่านมาให้เห็นมากมาย แต่ตัวไหนล่ะ คือหุ้นที่เราควรจะเลือก สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนคือ การเลือกหุ้นสำหรับ VI ไม่จำเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง เพราะนี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดในการวิเคราะห์ซึ่งหลายอย่างเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ แต่สำหรับนักลงทุน VI ที่ดี ควรจะมีอัตราความสำเร็จในการเลือกหุ้นที่สูง อย่างน้อยหุ้นที่เลือกต้อง “ไม่ขาดทุน” ในระยะยาว แปลว่าหุ้นที่เลือกในอีกหลาย ๆ ปีข้างหน้าต้องมีผลประกอบการดีขึ้น และการเลือกหุ้นที่ถูกต้อง ไม่ควรตัดสินด้วย “ราคาหุ้น” ในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างน้อยกว่าที่ราคาหุ้นจะบอกว่าคุณคิดถูกหรือผิด ควรจะเป็นระยะเวลา 1-2 ปีขึ้นไป วิธีแรกในการเลือกหุ้น คือ การใช้ “ตะแกรงร่อน” เป็นการเลือกหุ้นโดยใช้ข้อมูลในเชิงปริมาณ ซึ่งปัจจุบันก็มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกมากมาย เราอาจจะตั้งเงื่อนไขสำคัญบางอย่าง เช่น ROE จะต้องมากกว่า 15% หุ้นมี P/E หรือ P/B ต่ำ หากิจการที่มีรายได้เติบโต มีอัตรากำไรหรือ Net Profit Margin ดีขึ้น วิธีการนี้เป็นวิธีที่ผมชอบในช่วงแรก ๆ ในการลงทุน เพราะส่วนหนึ่งคือ เราพยายาม หา ”สูตร” บางอย่างที่ใช้หาหุ้นขึ้นมา นี่เป็นความเชื่อผิด ๆ ที่นักลงทุนมักติดกับดักคือ การลงทุนจริง ๆ แล้ว “ไม่มีสูตรลับ” จุดอ่อนสำคัญที่สุดของวิธีนี้คือ เราใช้ข้อมูลในอดีตทั้งหมด แม้ว่าแนวโน้มในอดีตจะเป็นสิ่งชี้นำอนาคตได้ แต่หลายครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นอีก และการ Back Test หรือการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง ส่วนมากมักจะได้ผลดี เนื่องจากเรามีอคติในการพยายาม “เลือก” วิธีที่ดีที่สุด โดยอ้างอิงจากข้อมูลในอดีต อีกอย่างหนึ่งคือ ข้อมูลหลายอย่างมีข้อจำกัดว่า เป็น “เหตุการณ์ปกติ” หรือเป็น “เหตุการณ์พิเศษ” หุ้นที่มี ROE สูง ๆ ในอดีตหลายตัว เช่นหุ้นโรงงานผ้า หุ้น Specialty Stores มาถึงปัจจุบันกลับเป็นหุ้นที่ผลประกอบการ “แย่มาก” สาเหตุที่ตัวเลข ROE ดีในเวลานั้นเป็นเพราะการลงทุนต่ำ ค่าเสื่อมตัดทิ้งหมดแล้ว จ่ายปันผลสูงตลอดเวลา รัดเข็มขัด แต่บริษัทขาดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ในทางกลับกัน บางครั้งหุ้นที่เคย ROE ต่ำมาก หรือ PE สูงมาก กลับเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ดีอย่างต่อเนื่อง และตัวเลข ROE ก็ค่อย ๆ สูงขึ้น อย่างไรก็ดี วิธีนี้ก็ไม่เสียหายสำหรับการหยิบหุ้นมาวิเคราะห์โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ในการลงทุน เพราะนี่คือการศึกษา “ประวัติศาสตร์” ของผู้ชนะในอดีต เพื่อคาดการณ์อนาคต วิธีที่สอง คือ เลือกหุ้นจากกระแสอุตสาหกรรม ตั้งแต่กระแสที่ “เล่นข่าว” กันเป็นระยะ ๆ อาจจะเรียกว่าเลือกหุ้นจาก Theme เช่น ช่วงนี้ Domestic Play หุ้นในประเทศ หรือ Global Play เล่นหุ้นต่างประเทศ หรือ หุ้นวัฎจักรก็เป็นกระแสที่ “ขายดี” มาตลอด ปัจจุบันก็มีหุ้นกล้องถ่ายรูป หุ้นมือถือ หุ้นลีสซิ่ง หุ้น New Economies ฯลฯ หรือกระแสที่ยาวนานกว่าประเภท Megatrend เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากความเป็นเมือง (Urbanization) คนสูงวัน (Aging Economy) หรือ กระแสที่มีอย่างยาวนาน ในหุ้นไทยคือหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยม เนื่องจาก “หุ้นในกระแส” มักจะร้อนแรงและมีความให้ความสนใจจำนวนมาก หุ้นเหล่านี้จึงได้รับ Premium ราคาแพง จุดสำคัญของวิธีนี้คือ เราต้องเลือกก่อนหน้าที่กระแสนี้จะมา หรือมีคนสนใจจำนวนมาก เราอาจจะไปหากระแสนี้ในต่างประเทศก่อน หรือหากระแสกับข้อมูลที่แอบไม่ให้นักลงทุนเห็น นี่เป็นกิจกรรม “แมวมอง” ซึ่งความรู้เหล่านี้มักจะได้จากข้อมูลที่หาได้ยาก หรือคนมองข้าม เพราะถ้ามันอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์แปลว่าคุณไม่ทันแล้ว อีกจุดที่สำคัญคือ เราจำเป็นต้องเลือกหรือต้องหา “ผู้ชนะ” ในกระแสให้ได้ มันจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้ากระแสนั้น ๆ ไม่มีผู้ชนะอย่างเด็ดขาด ยุค 1980s เกิดกระแสยุค Electronics แต่ผู้ชนะในเกมนี้น้อยมาก 1990s เราเกิดยุค Internet Dot Com ซึ่งผู้เต็มไปด้วยผู้แพ้ และล้มละลายในที่สุด นอกจากนั้น ขึ้นชื่อว่ากระแสแล้ว มักมาพร้อม ๆ กับ “ฟองสบู่” อย่างไรก็ดี กระแสมาเมื่อไหร่ พายุก็ทำให้แม้แต่เป็ดก็บินได้ ท่ามกลางความร้อนแรง เราต้องพยายามแยกแยะ “เป็ด” กับ “อินทรีย์” ออกจากกันให้ได้ ยังมีอีกหลายวิธีติดตามต่อตอนถัดไปครับ
โดย
Seattle
เสาร์ ก.ค. 09, 2016 3:14 pm
0
10
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
"เทสลา" พลาดเป้าส่งมอบรถ 3 ไตรมาสติด ชี้ทะเยอทะยานในการออกแบบมากเกินไป 04 ก.ค. 2559 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ไฟแนนเชียลไทม์สและวอลสตรีทเจอร์นัลรายงานว่า เทสลามอเตอร์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า แถลงเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมว่า บริษัทสามารถส่งมอบรถยนต์ได้ 14,370 คันในไตรมาส 2 ของปีนี้ ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ที่ 17,000 คัน นับเป็นการพลาดเป้าการส่งมอบรถยนต์เป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน จากการที่บริษัทยังคงประสบปัญหากับการผลิตรถยนต์ครอสโอเวอร์รุ่น "โมเดลเอ็กซ์" ที่เปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว ยอดการส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวถือว่าต่ำกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 15 เปอร์เซ็นต์ และต่ำกว่าที่เคยทำได้เมื่อช่วงไตรมาสแรกที่ 14,810 คัน ซึ่งเทสลาโทษว่าเป็นความอหังการและความทะเยอทะยานที่มากเกินไปของบริษัทเองในการออกแบบรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ยอดขายของรุ่นโมเดลเอ็กซ์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ยอดขายของรถยนต์ซีดาน 4 ประตู "โมเดลเอส" ที่เป็นรุ่นลายเซ็นของบริษัทร่วงลงอย่างต่อเนื่องมากกว่า 22 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสวนทางกับที่เทสลาเปิดเผยว่าคำสั่งซื้อรถรุ่นโมเดลเอสยังคงแข็งแกร่ง เทสลายืนยันกับนักลงทุนว่า บริษัทประสบความยากลำบากในด้านการขยับขยายซึ่งเป็นปัญหาในช่วงเริ่มต้นจากการที่บริษัทเร่งเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์รุ่นโมเดลเอ็กซ์เท่านั้น และไม่ได้ประสบปัญหาใหญ่ในกระบวนการผลิตหรืออุปสงค์ที่ลดลงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เทสลาเผยว่า คาดว่าบริษัทจะพลาดเป้าการส่งมอบรถยนต์ทั้งปีให้ได้ราว 80,000 – 90,000 คัน คาดว่าเทสลาจะยังคงประสบปัญหายากลำบากต่อเนื่องไปจากการที่ทางบริษัทเตรียมเปิดตัวรถยนต์สำหรับตลาดในวงกว้าง "เทสลาโมเดล 3" ภายใน 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เทสลา ตกอยู่ภายใต้การสอบสวนจากทางการสหรัฐหลังจากที่เจ้าของรถเทสลารายหนึ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะที่รถยนต์อยู่ในโหมด "ออโตไพล็อต" หรือขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งเป็นระบบที่ล้ำหน้าที่สุดของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ในตลาดเวลานี้
โดย
Seattle
อังคาร ก.ค. 05, 2016 10:37 am
0
6
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
Monday, 23 May 2016 อนาคตกับรถยนต์ไฟฟ้า / โดย คนขายของ “ตู้เย็น” เริ่มเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านราวๆปี 1920 ในช่วง 15 ปีแรกของการออกสู่ตลาด ยอดขายของตู้เย็นนั้นโตแต่คิดเป็นมูลค่าไม่มาก ทั้งนี้เพราะปัจจัยเช่น ราคายังสูง ผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคย ทำให้มูลค่าตลาดยังเล็ก แต่หลังจากนั้น ในช่วงปี 1935-1960 ยอดขายตู้เย็นทั่วโลก ได้เติบโตขึ้นเป็น อย่างมาก เรียกว่าเป็นยุคทองของการขายตู้เย็น แต่ในยุคต่อมาตลาดดูเหมือนจะอิ่มตัว ทุกบ้านเริ่มมีตู้เย็น กันหมดแล้ว การเติบโตสูงๆในอดีตก็หมดไป ตลาดตู้เย็นกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้ แต่ไม่ได้ขายดีเหมือน แต่ก่อน วัฏจักรทำนองนี้มีมาต่อเนื่องหลายยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์สี ที่เริ่มในปี 1960 หรือ โทรศัพท์ มือถือ ในปี 1985 วงจรที่มีลักษณะที่ เติบโตในตอนต้น พุ่งขึ้นด้วยอัตราเร่งที่สูงมากในตอนกลาง และชะลอ ตัวลงในตอนท้ายนั้น เป็นวงจรที่ฝรั่งเขาเรียกว่า “S-Curve” อุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ ที่รู้จักกันดีในนาม Electric Vehicle (EV) เป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง ที่ถูกกล่าวถึงว่าอยู่ในช่วงต้นของ S-Curve ที่ตลาดกำลังเติบโต แต่ยังเป็นช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ขนาดของมูลค่าตลาดจึงยังไม่ใหญ่มาก ข้อมูลจากสถาบัน ZSW ของเยอรมันได้รวบรวมว่า จำนวน EV ในโลกในช่วง ปี 2013 อยู่ที่ หนึ่งแสนคัน ในปี 2014 ตลาดขยายตัว 100% ปี 2015 ขยายตัว 83% และในปี 2016 ตลาด EV คาดว่าจะขยายตัว 76% มาอยู่ที่ราวๆ 560,000 คัน แล้วบริษัทไหนที่ผลิต EV ออกมาแล้วมี ยอดขายสูงสุด? ใช่ค่ายรถยนต์ชื่อดังหรือเปล่า? คำตอบที่ได้อาจจะทำให้หลายคนแปลกใจ เพราะ TESLA ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์ราวห้าหมื่นคันในปี 2015 ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับแชมป์ระดับโลกอย่าง TOYOTA ที่ผลิตรถถึงสิบล้านคัน แต่ TESLA กลับได้เป็นแชมป์โลกในตลาดของรถไฟฟ้า ในด้าน ยอดขายเป็นตัวเงิน ไม่ใช่จำนวนคัน) จากยอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2015 ที่ราว 83 ล้านคัน เราจะเห็นได้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของ EV ตอนนี้อยู่ที่แค่ราว 0.4% เท่านั้นเอง TESLA ประเมินว่าในปีนี้จะสามารถส่งมอบรถยนต์ได้เกือบ 1 แสนคัน หรือโตขึ้น 100% จากปี 2015 สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ภายในปี 2040 รถ EV จะมีส่วน แบ่งราว 35% ของรถยนต์ทั้งหมด ทำไมตลาด EV ถึงมีการขยายตัวที่สูงมาก? ผมคิดว่าเป็นเพราะ หนึ่ง แรงจูงใจเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลในหลายประเทศ อย่างเช่นที่นอร์เวย์ ซึ่งเป็นประเทศที่มี สัดส่วนของ EV มากที่สุดในโลก ราว 25% ของรถใหม่ในตลาด รัฐบาลยกเว้นภาษี VAT 25%, ค่าผ่านทาง Toll Road) ฟรี, วิ่งเข้าเลนรถเมล์ได้ และ จอดรถในตัวเมืองได้ฟรี ประเด็นผลักดันที่สอง คือ ราคารถ EV ที่มีแนวโน้มที่ลดลง ทั้งนี้เนื่องจากราคาของ Lithium-ion Battery ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจของรถยนต์ EV มีราคาลดลงจาก 1,000$ ต่อ KWH ในปี 2010 มาเหลือเพียง 380$ ในปี 2015 และ ประเด็นที่สาม คือการตื่นตัวเรื่องโลกร้อน ของรัฐบาลและประชาชน ทำให้มีกฎควบคุมเรื่องการปล่อยมลพิษของรถยนต์ ซึ่ง EV ไม่มีปัญหาเรื่องมลพิษของไอเสีย เพราะไม่มีเครื่องยนต์ที่มีการจุดระเบิด แต่ถึงกระนั้นโลกของ EV ก็ไม่ได้สวยหรูไปหมดทุกอย่าง ยังมีอีกหลายปัญหาที่ต้องแก้ไขไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ระยะทางที่วิ่งต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งในตอนนี้รถ EV ในเซกเมนท์ประหยัด วิ่งได้แค่ 250 กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมันในตอนนี้ วิ่งได้ถึง 500-600 กิโลเมตรเมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง นอกจากนั้น เรื่องแท่นชาร์จไฟ ก็ยังเป็นปัญหาหลักเมื่อวิ่งออกไปนอกเมือง ตอนนี้ TESLA ต้องมาลงทุน เรื่องสถานีชาร์จไฟเองเพื่อตอบสนองลูกค้า ระยะเวลาในการชาร์จก็ยังเป็นปัญหา ในตอนนี้เครื่องชาร์จแบบเร็วที่สุดจะใช้เวลาราว 30 นาที แต่ก็ยังเป็นเวลาที่ยาวนานกว่าการเติมน้ำมันเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่ ในปัจจุบัน ที่ชาร์จที่พบทั่วไปในที่สาธารณะจะเป็นแบบ 2.5 ชั่วโมง ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่สะดวกเท่าไรนัก และประเด็นอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องราคา รถ EV ส่วนใหญ่ยังมีราคาสูง อย่าง BMW i8 ที่อเมริกาขายราคา 4.9 ล้านบาท TESLA Model S ราคา 2.45 ล้านบาท หรือ แบบประหยัดอย่าง Nissan Leaf ก็ตกราว 1.15 ล้านบาท เมื่อเทียบกับราคา Honda Civic ที่ 7 แสนบาท ก็ดูเหมือนว่า EV ยังเป็นรถราคาสูงอยู่ อุตสาหกรรม EV ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของ S-Curve ดูเหมือนว่าตลาดนี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆจากแรง ผลักดันจากหลายภาคส่วน โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นอุตสากรรมที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เพราะศักยภาพของ ตลาดนี้ยังสามารถโตไปได้อีกยี่สิบปี บริษัทอย่าง TESLA ซึ่งหันมาโฟกัสทางด้านนี้ ในปี 2010 มียอดขาย แค่เพียง 117 ล้านเหรียญ แต่กลายมาเป็น 4 พันล้านเหรียญในปี 2015 ถึงแม้ว่าตอนนี้บริษัทยังไม่มีกำไร เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางด้านวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีล่าสุด สามารถทำได้ ในระดับเดียวกับ TOYOTA และ HONDA ณ เวลานี้คงยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึก EV ของวงการรถยนต์ เพราะในช่วงแรกของ S-Curve เมื่อทุกคนเห็นว่าตลาดเติบโต จะมีผู้สนใจเข้ามา ร่วมแข่งขันกันเป็นอย่างมาก หากเรานึกถึงตลาดชาเขียวในเมืองไทยเมื่อราวสิบปีก่อน จะเห็นได้ว่ามีหลาก หลายแบรนด์ แต่ตอนนี้หลักๆคือแค่สองแบรนด์ ตลาด EV นั้นคงต้องผ่านการต่อสู้กันอย่างดุเดือดเช่นกัน ก่อนที่จะรู้แน่ชัดว่า ใครกันจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตลาดเมื่อการดีดตัวอย่างรุนแรงของ S-Curve มาถึง
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2016 11:36 am
0
6
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
ขอบคุณคุณ seattle มากครับ ^^ Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ (4) โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ วันที่ 27 มิถุนายน 2559 ครั้งที่แล้วผมอาศัยรายงานข่าวของ Wall Street Journal วันที่ 28 เมษายน 2559 ซึ่งขอเล่าต่อจากครั้งที่แล้วครับ WSJ รายงานว่า The government fears that Germany’s leadership is threatened by a massive change in the industry…the emergence of electric cars coming from Tesla and from Silicon Valley and Asia” สังเกตการณ์ใช้คำว่า “fear” “threatened” และ “massive” ซึ่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัฐบาลนายก Merkel คือนาย Sigmar Gabriel สรุปว่า “The reinvention of the automobile is mainly being driven by companies that do not have their headquarter in Germany” โดยกล่าวว่ารัฐบาลเยอรมนีจำเป็นต้องให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์เหมือนกับการสนับสนุนบริษัทเครื่องบิน Airbus เพื่อให้ยุโรปสามารถแข่งขันและพัฒนาอุตสาหกรรมการบินเพื่อต่อสู้กับบริษัทผลิตเครื่องบินของสหรัฐเมื่อ 40 ปีก่อนหน้า รายงานของ Wall Street Journal ทำให้มองได้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมันและรัฐบาลเยอรมันเห็นถึงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมหลักของเยอรมันได้ หากรถยนต์ไฟฟ้าทำได้ตามที่สัญญาเอาไว้กับผู้บริโภค คือการผลิตรถออกมาขายเป็นจำนวนล้านคันที่ราคาถูกกว่า ค่าบำรุงซ่อมแซมต่ำกว่าและค่าเติม “น้ำมัน” ต่ำกว่า แต่ยังใช้งานได้ดีหรือดีกว่ารถยนต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่บางคนอาจมองว่าเป็นการตีตนไปก่อนไข้หรือเปล่า เพราะก็ยังเป็นการคาดเดาและปัจจุบันรถไฟฟ้า (หมายถึงที่ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าและที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน/ดีเซล ผสมกับเครื่องยนต์ไฟฟ้า) ก็ยังมียอดขายไม่ถึง 500,000 คันในปี 2015 ในขณะที่ยอดขายรถยนต์รวมทั้งสิ้นมีสูงถึง 74 ล้านคันทั่วโลก และในขั้นนี้ก็ต้องยอมรับว่ารถยนต์ “ลูกผสม” ที่นำมาขายในตลาดประเทศไทยในขณะนี้ ทำให้หลายคนยังมองไม่เห็นว่ารถเครื่องยนต์ไฟฟ้าจะมาทดแทนรถเครื่องยนต์ ICE ได้อย่างไร เช่น รถยี่ห้อหรูชั้นนำที่เสนอขายราคา 6-7 ล้านบาทในขณะนี้ มีที่เก็บของท้ายรถลดลงอย่างมาก เพราะต้องถูกกันเอาไว้เป็นที่เก็บแบตเตอรี่ ซึ่งนอกจากจะกินที่จนทำให้ไม่สามารถใส่ถุงกอล์ฟได้ 3-4 ถุง เช่นรถปกติ (อันนี้เขาบอกว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับรถหรู) นอกจากนั้นยังทำให้รถมัน้ำหนักขึ้นอีกเป็นร้อยกิโลกรัม และเพิ่มความสลับซับซ้อนเวลาต้องซ่อมแซม (เพราะมีเครื่อง 2 ประเภท ระบบเชื้อเพลิง 2 ประเภท และระบบบริหารจัดการและประสานงานเครื่องยนต์ 2 ประเภทในรถคันเดียว) แต่หากใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อน ก็จะขับได้เพียง 30-40 กิโลเมตรเท่านั้น ไม่พอที่จะใช้งาน 1 วันด้วยซ้ำ ปัจจุบัน Tesla ก็ยังมียอดขายเพียงไม่กี่หมื่นคันและยอดขายรถที่มีเครื่องยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกนั้นก็มีไม่ถึง 500,000 คันในปีที่แล้ว ดังที่กล่าวข้างต้นและจำนวนรถไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งโลกก็เพิ่งเกิน 1 ล้านคันเมื่อปลายปีที่แล้ว ในขณะที่จำนวนรถยนต์ทั้งหมดในโลกนั้นน่าจะมีอยู่เกือบ 1 พันล้านคัน (รวมรถบรรทุกและรถโดยสารทั้งหมดด้วย) สำหรับคนไทยนั้นก็ได้สัมผัสรถประเภทลูกผสม (Hybrid) คือมีทั้งเครื่องเบนซิน/ดีเซลและเครื่องไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักเพราะราคายังสูงและมีข้อจำกัดเช่นทำให้ห้องเก็บของเล็กลง รถมีน้ำหนักมากขึ้น และค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาก็สูงมากขึ้นไปอีกด้วย เพราะต้องดูแลทั้งเครื่อง ICE และเครื่องไฟฟ้า ตลอดจนระบบที่ควบคุมทั้งสองเครื่องยนต์ให้ทำงานร่วมกัน หากจะตอบแบบหักมุม ก็ขอให้ดูข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลกคือ GM Ford Benz และ BMW เมื่อเทียบกับข้อมูลหุ้นของบริษัท Tesla ซึ่งเพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่ถึง 15 ปี ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นแต่ละบริษัทมีอายุ 100 ปีหรือมากกว่านั้น ดังปรากฏในตารางข้างล่างครับ ปกติราคาหุ้นที่ต่างกันคือ 30, 50 หรือ 200 ดอลลาร์ ไม่ได้บอกอะไร แต่ในกรณีนี้ราคาหุ้นของบริษัทรถยักษ์ใหญ่อยู่ที่ระดับนี้มาหลายสิบปี ในขณะที่ราคาหุ้น Tesla นั้นอยู่ที่ 20-35 ดอลลาร์ในช่วงแรกที่เข้าตลาด แต่ราคาปรับขึ้น 5-6 เท่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญคือบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตรถยนต์มียอดขายบริษัทละเกือบ 10 ล้านคันต่อปี กลับมีมูลค่าหุ้นมากกว่าบริษัท Tesla เพียง 1 เท่าตัว (Tesla มีมูลค่าหุ้น 30,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Benz BMW Ford และ GM มีมูลค่าหุ้น 50,000-70,000 ล้านดอลลาร์) ทั้งๆ ที่ยอดขายของ Tesla นั้นมีเพียง 20,000-30,000 คันต่อปี นอกจากนี้ Tesla ไม่มี P/E กล่าวคือขาดทุนมาโดยตลอดทุกปี ดังนั้น Tesla จึงมีแต่ขอเพิ่มทุน ไม่เคยมีกำไรมาแบ่งสรรให้กับผู้ถือหุ้น ในขณะเดียวกันบริษัทรถยักษ์ใหญ่นั้น P/E ต่ำเพียง 5-7 เท่า กล่าวคือราคาหุ้น 50 ดอลลาร์นั้นสามารถทำกำไรได้ 15-20% ของราคาหุ้น จึงมีเงินเหลือที่จะปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เกือบ 5% ทุกปี (ยกเว้น Volkswagen ซึ่งคงจะขาดทุนในช่วงนี้) การที่ราคาหุ้น Tesla สูงมากกว่าราคาหุ้นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ แปลว่านักลงทุนคาดหวังในการขยายตัวของบริษัท Tesla และความสามารถของบริษัท Tesla ในการทำกำไรให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ไม่แพ้บริษัทยักษ์ใหญ่ข้างต้น ซึ่งเป็นข้อสรุปเดียวกันกับรัฐบาลเยอรมันและบริษัทรถเยอรมัน แต่หากประเมินจากการคาดการณ์ของ Tesla เองว่าจะมียอดขายรถ Tesla model 3 ปีละ 500,000 คันในปี 2018 ก็ยังต้องตั้งคำถามว่าบริษัทรถยนต์ที่มียอดขายเท่ากับ 5% ของยอดขายของบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ (Toyota, Volkswagen, GM, Nissan, Hyundai, Ford) จึงมีมูลค่าหุ้นประมาณ 40% ของมูลค่าหุ้นบริษัทดังกล่าว 55555555555.jpg
โดย
Seattle
อังคาร มิ.ย. 28, 2016 9:22 am
0
7
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
ไทยเจ๋งอุตรถยนต์ไฟฟ้าแห่ลงทุน จี้กรมขนส่งรื้อระเบียบเก่า-ตั้งเป้าดีเดย์ผลิต ปี 2560 20 มิ.ย. 2559 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าญี่ปุ่นหารือกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมตั้งฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในไทย คาดเดินเครื่องผลิตได้ภายในปี 2560 ตั้งเป้ายอดขาย 4 หมื่นคันภายใน 5 ปี เจาะกลุ่มอาเซียน-ยุโรป นายสมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากญี่ปุ่นเข้าพบว่า บริษัท FOMM Corporation จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่จากญี่ปุ่น ที่เชี่ยวชาญในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก มีแผนที่จะเข้ามาลงทุนร่วมกับผู้ผลิตของไทย เพื่อตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 4 หมื่นคันภายใน 5 ปี เพื่อส่งขายในตลาดอาเซียน และสหภาพยุโรป ซึ่งจะมีราคาประมาณคันละ 3 แสนบาท ขณะนี้รถต้นแบบได้ผลิตเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการทดสอบด้านความปลอดภัย ที่ผ่านมา FOMM ได้เข้ามาร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการวิจัยพัฒนาด้านความปลอดภัย โดยในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าของ FOMM สามารถวิ่งได้ไกล 150 กม./ชม. ต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง (6 ชม.) มีความเร็ว 90 กม./ชม. แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงประสิทธิภาพ คาดว่าหลังจากสร้างโรงงานเสร็จในปี 2017 จะเพิ่มระยะทางวิ่งได้ 300 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ทำให้สามารถสู้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันได้มากขึ้น รวมทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษสามารถลอยน้ำ และขับเคลื่อนในน้ำได้หากเกิดน้ำท่วม นอกจากนี้ FOMM ยังได้จับมือลงนามเอ็มโอยูกับ บมจ.บางจากปิโตรเลียม ในความร่วมมือพัฒนาสถานีชาร์จไฟฟ้า หรือสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ รวมทั้งการบริหารหลังการขายร่วมกัน โดยในระยะแรกจะตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียง ก่อน ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจในการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น สำหรับการเข้ามาหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมในครั้งนี้ ทาง FOMM ขอให้กระทรวงผลักดันแก้ไขปัญหากฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น ข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกที่กำหนดให้รถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งตามท้องถนนจะต้อง มีกำลังไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 15 กิโลวัตต์ จึงจะสามารถจดทะเบียนได้ แต่จากเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้กำลังไฟฟ้าได้ ต่ำกว่าที่กำหนดได้แล้ว ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหารือในเรื่องของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ขนาดเล็กในท้องถนนว่าจะมีความปลอดภัยเพียงไร ซึ่งหากผ่านข้อกำหนดด้านความปลอดภัยได้ ก็เชื่อว่าจะมีการแก้ไขกฎระเบียบ เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งในท้องถนนหลวงได้ นายสมชายกล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงอยู่ระหว่างการหารือเรื่องการผลิตรถบัสไฟฟ้า ที่ภาคเอกชนอยากให้ในระยะแรกนำเข้ารถบัสไฟฟ้าทั้งคันจากจีนก่อนเพื่อทดสอบ ตลาด จากนั้นจึงค่อย ๆ ส่งเสริมให้เกิดการตั้งโรงงานประกอบ และผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ต่อไป ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องหารือในรายละเอียดของการส่งเสริมว่าจะต้องมี มาตรการใดบ้าง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ "มาตรการอุดหนุนทางภาษีของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สูงสุด 8 ปี ยังไม่เพียงพอต่อการดึงดูดการลงทุน เพราะประเทศคู่แข่งต่างอุดหนุนในด้านต่าง ๆ มากกว่านี้ ดังนั้นหากไทยต้องการดึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิต จะต้องมีมาตรการอื่น ๆ สนับสนุน จึงจะมีแรงในการชักจูงการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยไทยยังมีข้อได้เปรียบประเทศอื่นในด้านของการเป็นฐานการผลิตรถยนต์ใหญ่ ที่สุดในอาเซียน มีผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมาก หากมีมาตรการด้านอื่น ๆ มาเพิ่ม ก็จะทำให้ต่างชาติตัดสินใจเข้ามาลงทุนได้ง่ายขึ้น" นายสมชายกล่าว นายณัฐพล รังสิตพล รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าได้เกือบทุกพื้นที่ เพราะระบบไฟฟ้าของไทยเป็นไฟฟ้าแรงสูง ใช้เวลาชาร์จประมาณ 20 นาที ขณะที่การเติมน้ำมันใช้เวลา 5 นาที ขณะที่ต่างประเทศตามถนนในเมืองจะเป็นไฟฟ้าแรงต่ำ จะมีความยุ่งยากในการสร้างสถานีชาร์จ"
โดย
Seattle
จันทร์ มิ.ย. 20, 2016 10:47 am
0
5
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
ขอบคุณคุณ seattle มากครับ ^^ Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ (3) โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ วันที่ 20 มิถุนายน 2559 ครั้งที่แล้วผมพยายามอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ Internal Combustion Engine (ICE) ที่ใช้กันอยู่แพร่หลายในปัจจุบันที่ได้พัฒนามานานกว่า 100 ปี โดยกล่าวว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีความสลับซับซ้อนมาก แต่มีประสิทธิภาพต่ำ (นำเอาพลังงานที่ผลิตออกมาใช้งานได้เพียง 20% และอาจถูกตีตลาดโดยรถที่ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ รถ Tesla ซึ่งผมขอสรุปสรรพคุณของรถ Tesla โดยไม่ต้องอธิบายในเชิงเทคนิคดังนี้ 1) รถ Tesla นั้นนำไปบรรจุ (ชาร์จ) ไฟฟ้าครั้งหนึ่งวิ่งได้ประมาณ 320-400 กิโลเมตร จะจ่ายค่าไฟประมาณ 150 บาท แต่ในสหรัฐอเมริกาบริษัท Tesla มีแหล่งชาร์จไฟเป็นพันแห่ง (และจะเพิ่มเป็นหลายพันแห่งทั่วประเทศภายในปลายปีหน้า) โดยอาจให้เติมไฟได้โดยไม่คิดเงินเลย ในขณะที่เราเติมน้ำมันรถยนต์เต็มถังครั้งหนึ่งประมาณ 1,500-2,000 บาท 2) เครื่องไฟฟ้ามีชิ้นส่วนที่สึกหรอน้อยกว่า ICE มาก บริษัท Tesla จึงรับประกันเครื่องยนต์ไฟฟ้า 8 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง (รถ Taxi น่าจะพอใจมากที่สุด) รถไฟฟ้าไม่มีระบบระบายความร้อน ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไม่สร้างมลภาวะ และไม่มีเกียร์ นอกจากนั้นยังไม่มีเสียง จึงไม่ต้องมีท่อเก็บเสียง 3) รถ Tesla ที่เป็นรถโดยสาร 5 คนคือ modelS และล่าสุดรถอเนกประสงค์ (SUV+minivan) ที่เรียกว่า X นั่งได้ 6 คน สามารถเร่งแซงรถ Ferrari (หรือ Lamborghini หรือ McLaren) ได้เพราะเครื่องไฟฟ้านั้น แรงม้าและแรงบิดจะมา 100% ในทันที โดยไม่ต้องรอรอบ เช่น รถ ICE แต่จะต้องยอมให้ใช้พลังจากแบตเตอรี่สูง ซึ่งบริษัท Tesla ให้ทางเลือกที่เรียกว่า Ludicrous speed/mode หรือ “เร็วอย่างบ้าบิ่น” ทั้งๆ ที่รถ Tesla model X นั้น ราคาเพียง 4-5 ล้านบาท ในขณะที่ซูเปอร์คาร์ที่กล่าวถึงนั้นราคาสูงกว่า 4-5 เท่า (Ludicrous mode ทำให้ Tesla model X เร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร/ชม. ได้ในเวลากว่า 3 วินาทีเล็กน้อย เทียบเท่ากับ Super car ที่ต้องมีแรงม้าประมาณ 500 ตัวขึ้นไป กล่าวคือ Tesla กำลังขายรถไฟฟ้าในอเมริกาที่ราคาถูกกว่า กินน้ำมันน้อยกว่า เร็วกว่าและมีประกันศูนย์ยาวนานกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่นๆ ทุกยี่ห้อ และยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษ จึงมีประโยชน์ในการลดภาษีมลภาวะ ปัญหาหลักของ Tesla คือ ผลิตไม่ทันความต้องการ เพราะเข้าใจว่ารุ่น X และรุ่น S ก็ต้องรอหลายเดือน ในขณะที่เมื่อประกาศรุ่นล่าสุดคือ model 3 ราคา 35,000 ดอลลาร์ ก็มียอดจองใกล้ 4 แสนคันแล้ว ทั้งๆ ที่จะยังไม่สามารถเพิ่มการผลิตได้ จนกระทั่งปลายปีหน้า ยอดจองรถ Tesla model 3 นั้น สร้างประวัติศาสตร์รถยนต์ เพราะไม่เคยมีการจองรถยนต์รุ่นใดมากมายขนาดนี้ตั้งแต่มีการผลิตรถยนต์เกือบ 150 ปีที่ผ่านมา (โดยปัจจุบันน่าจะมีรถยนต์บนโลกนี้หลายร้อยล้านคัน) การสั่งจองรถ Tesla model 3 นั้นต้องวางเงินมัดจำคันละ 1,000 ดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา (และที่อังกฤษ 1,000 ปอนด์ แปลว่าบริษัท Tesla ได้รับเงินสดมาแล้วเกือบ 14,000 ล้านบาทสำหรับรถยนต์รุ่นเดียว ซึ่งตัวเองยังไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย ทั้งนี้เพราะรถ Tesla รุ่นก่อนหน้าคือ Tesla S นั้น ได้รับคำชมเชยมากมาย เช่น consumer reports ให้คะแนน 103 จาก 100 และสรุปว่าขับดีกว่า Rolls Royce โดยมีราคาที่สหรัฐประมาณ 100,000 ดอลลาร์ขึ้นไป จึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับรถเบนซ์รุ่น S และต่อมามียอดขายแซงหน้ารถสุดหรูรุ่นดังกล่าวของเยอรมันในบางตลาด ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ บางคนอาจบอกว่าเป็นการคัดกรองเอาข้อมูลด้านเดียวมานำเสนอให้เกิดกระแสว่ารถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะเป็น disruptive technology ซึ่งก็เคยมีการสร้างกระแสเช่นนี้มาก่อนหน้า แต่ในที่สุดก็ไม่เป็นความจริง ซึ่งผมก็ยอมรับว่า ผมเองนั้นเชื่อมั่นในรถยนต์ ICE มาโดยตลอด จึงได้พยายามหาข้อมูลให้รอบด้านมากที่สุด แต่ต้องยอมรับว่าเริ่มเป็นห่วงว่ารถยนต์ ICE อาจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการรุกฆาตทางเทคโนโลยีจริงๆ และอาจไม่แตกต่างจากเทคโนโลยีการถ่ายแบบ digital ที่ทำให้ฟิล์มต้องสูญพันธ์ไปเกือบหมดสิ้น ทำไมจึงคิดเช่นนั้น? เพราะผมไปพบรายงานในหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2016 เรื่อง “Germany to subsidize electric autos” ซึ่งสาระของข่าวมีดังนี้ Wall Street Journal เริ่มรายงานข่าวว่าเมื่อต้นปีนี้ผู้ช่วยคนสนิท (top aide) ของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี นาง Angela MerKel ได้เรียกประชุมลับประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทรถยนต์ของประเทศเยอรมนี และถามผู้บริหารดังกล่าวว่า What are you going to do about Tesla? และ 3-4 เดือนให้หลังคำตอบของรัฐบาลเยอรมัน บริษัทรถยนต์ Volkswagen BMW และ Diamler Benz คือรัฐบาลจะออกมาตรการ “รถไฟฟ้าคันแรก” โดยจะคืนเงินให้กับผู้ที่ซื้อรถไฟฟ้าคันละ 4,000 ยูโรและผู้ที่ซื้อรถไฟฟ้าลูกผสม (Hybrid) คันละ 3,000 ยูโร (ลดราคาประมาณคันละ 12%) นอกจากนั้นรัฐบาลก็ยังจะต้องอุดหนุนการสร้างเครือข่ายสถานีไฟฟ้าทั่วประเทศให้ผู้ใช้รถไฟฟ้าสามารถ “เติมน้ำมัน” ได้โดยสะดวกยิ่งขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีสัญญาว่าจะเพิ่มงบประมาณวิจัยและพัฒนา ตลอดจนจ่าย 50% ของภาระของรัฐบาลมาตรการดังกล่าวข้างต้น โดยจะจ่ายเป็นผ่อนส่ง ทั้งนี้เพราะหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล บริษัทรถยนต์เยอรมนีจะไม่สามารถแข่งขันกับ Tesla ได้ เพราะตามเทคโนโลยีของ Tesla ไม่ทัน ตรงนี้ผมต้องขอเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพใหญ่ให้ครบถ้วนดังนี้ครับ Tesla เป็นบริษัทขนาดเล็กที่ปัจจุบันผลิตรถยนต์เพียง 2 รุ่น (รุ่น S กับรุ่น X) รวมปีละไม่กี่หมื่นคัน โดยบริษัทมีอายุประมาณ 12-13 ปี แต่บริษัทรถยนต์เยอรมนี 3 บริษัทนั้นผลิตรถยนต์ปีละเป็นหลายล้านคันและผลิตรถยนต์มานาน 150 ปีแล้ว บริษัท Volkswagen นั้นผลิตหลายยี่ห้อ เช่น Volkswagen Audi Bentley Lamboghini และร่วมลงทุนผลิตรถ Porche Seat และอื่นๆ ในขณะที่ BMW ก็ยังเป็นผู้ผลิต Rolls Royce และเป็นผู้ผลิตจักรยานยนต์รายใหญ่อีกด้วย สำหรับ Diamler Benz นั้นคงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีกมาก เพราะคนไทยรู้จักและนิยมยี่ห้อนี้มากที่สุด ครั้งต่อไปผมจะเล่าต่อว่าประเทศเยอรมนีกลัวรถ Tesla จนต้องออกมาตรการ “รถยนต์ไฟฟ้าคันแรก” ครับ
โดย
Seattle
จันทร์ มิ.ย. 20, 2016 9:59 am
0
7
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
มีตอนหนึ่งด้วยรึเปล่าครับ พยายาม search แล้วหาไม่เจอ Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ (1) โดย : ASEAN Insight วันที่ 06 มิถุนายน 2559 บทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจในขณะนี้ ให้ความสำคัญกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยว่าฟื้นจริงหรือไม่จริง ฟื้นมากหรือไม่มาก ฟื้นดีกว่าอาเซียนหรือไม่ หรือพยายามคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคมหรือกันยายน อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่ผมคิดว่ารอไปเดี๋ยวก็รู้และคงไม่น่ามีผลกระทบมากนักเมื่อเกิดขึ้น เพราะไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนือการคาดการณ์ ดังนั้นผมจึงจะขอยุติการเขียนเรื่องเศรษฐกิจมหภาคเอาไว้สักระยะหนึ่งก่อน และขอหันมาเขียนเรื่องรถยนต์ Tesla และความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นทั้งในอุตสาหกรรมรถยนต์ ภาคการขนส่ง อุตสาหกรรมพลังงาน และการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในช่วง 15-20 ปีข้างหน้า ตามแนวคิดของอาจารย์ Tony Seba จากมหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งเป็นผู้ที่ตั้งตัวเองเป็นนักพยากรณ์อนาคต โดยคาดการณ์ว่าภายใน 15 ปีข้างหน้า โลกเราจะหยุดใช้น้ำมันดิบและรถยนต์ จะเป็นรถไฟฟ้าที่ขับเองโดยอัตโนมัติทั้งหมด ผมไม่เคยพบอาจารย์ Seba แต่ได้รับการบอกเล่าจากคุณบรรยง พงษ์พานิช ประธานกลุ่มเกียรตินาคิน-ภัทรฯ ว่าได้ไปฟังอาจารย์ Seba กล่าวสุนทรพจน์ตามคำเชิญของสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยประมาณกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเมื่อฟังแล้วก็รู้สึก “อึ้ง” เพราะสิ่งที่นำเสนอนั้นดูมีเหตุผล แต่ก็ไม่อยากเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงที่จะสั่นสะเทือนอุตสาหกรรมรถยนต์ การขนส่งและพลังงานนั้นจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 15 ปีเท่านั้น ซึ่งผมจึงมาหาข้อมูลเพิ่มเติม และพบว่ามีอยู่แพร่หลายในอินเทอร์เน็ตและ YouTube (ใครที่อยากดูของจริงเสียงจริงสามารถ search ชื่อ Tony Seba ได้เลยโดยไม่ต้องอ่านบทความของผม) ซึ่งผมจะพยายามเรียบเรียงและพยายามหาจุดอ่อน/ข้อตำหนิคำทำนายของอาจารย์ Seba พร้อมไปด้วย ทำไมจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ? เพราะประเทศไทยอาจเป็น Detroit of Asia และปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่เป็นที่ 9 ของโลก โดยผลิตรถยนต์ได้ 2 ล้านคัน (ส่งออก 1.2 ล้านคันและใช้ในประเทศ 8 แสนคัน) แต่อาจารย์ Seba มองว่ารถยนต์แบบที่ไทยผลิตอยู่นั้นอาจขายไม่ได้เลย ภายใน 5-6 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นตลาดหุ้นของไทยนั้นประมาณ 1/3 ประกอบด้วยมูลค่าหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ถ่านหิน การกลั่นน้ำมัน และปิโตรเคมี แต่อาจารย์ Seba คาดการณ์ว่าโลกเราจะเลิกใช้ถ่านหินในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า ตามด้วยการเลิกใช้ก๊าซธรรมชาติและไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันดิบภายในปี 2030 ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงจะส่งผลต่อโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด การคาดการณ์ของอาจารย์ Seba นั้นดูเหมือนนิยาย ซึ่งเคยมีนักทำนายอนาคตหลายคนในอดีตที่ทำนายผิดพลาด ซึ่งในกรณีนี้ผมก็ต้องการมองหาข้อผิดพลาด เพื่อจะได้ไม่ต้องตื่นตระหนกเกินควรและขอให้ผู้อ่านพยายามหาข้อมูลมาเสริม หรือแย้ง เพราะน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ อาจารย์ Seba เริ่มโดยฉายภาพถนนใหญ่ในนครนิวยอร์ควันอีสเตอร์ปี 1900 ซึ่งมีรถม้าอยู่เต็มถนนและถามว่า “เห็นรถยนต์ไหม?” ซึ่งหากเพ่งมองก็จะเห็นอยู่เพียง 1 คัน แต่อีก 13 ปีให้หลังในวันอีสเตอร์ปี 1913 จะเห็นภาพถนนเดียวกันเต็มไปด้วยรถยนต์ และคำถามคือ “เห็นรถม้าไหม?” (มีอยู่ตัวเดียว) ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า Disruptive technology เกิดขึ้นได้และเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตกับม้าและรถลาก เมื่อถูกเทคโนโลยีใหม่คือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เข้ามาครอบงำอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่สามารถล่มสลายได้ในพริบตานั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยอาจารย์ Seba ยกตัวอย่างกรณีที่บริษัทยักษ์ของสหรัฐคือ AT&T ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นเจ้าตลาดโทรคมนาคมอยู่ในขณะนั้นได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญคือ McKinsey & Co ในปี 1985 ให้ตอบคำถามว่าภายในอีก 15 ปี (ปี 2000) น่าจะมีคนอเมริกันใช้โทรศัพท์มือถือกี่คน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็ไปทำการวิเคราะห์/วิจัยมาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและให้คำตอบว่าน่าจะมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 900,000 คน แต่ในความเป็นจริงนั้นปรากฏว่ามีคนใช้มือถือในสหรัฐทั้งสิ้น 109.5 ล้านคน ในปี 2000 AT&T จึง “ตกขวบรถไฟ” เพราะไมได้ลงทุนในโทรศัพท์มือถือ อาจารย์ Seba บอกว่าในบางกรณีผู้ที่อยู่วงในหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกลับเป็นผู้ที่คาดไม่ถึงว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ จะมีความสำคัญ โดยยกตัวอย่างนายพลที่เป็นเสนาธิการทหารของฝรั่งเศสซึ่งพูดว่า “เครื่องบินเป็นของเล่นที่น่าสนใจ แต่จะไม่มีความสำคัญทางการทหาร” ในปี 1904 และซีอีโอของบริษัทคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ของสหรัฐกล่าวในปี 1977 ว่า “ไม่มีเหตุผลใดที่ประชาชนจะต้องการมีเครื่องคอมพิวเตอร์เอาไว้ใช้ในบ้านของตัวเอง” กลับมาเรื่องของรถไฟฟ้าและเหตุผลที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอนาคตอันใกล้ ตรงนี้หากค้นคว้าหาข้อมูลก็จะพบว่า รถไฟฟ้านั้นเมื่อ 120 ปีที่แล้วได้รับความนิยมมากกว่ารถยนต์ที่วิวัฒนาการมาจนเป็นที่แพร่หลายในปัจจุบันเสียอีก Wikipedia ให้ข้อมูลว่านาย Thomas Parker เป็นชาวอังกฤษคนแรกที่เริ่มผลิตรถไฟฟ้าที่ใช้การได้จริงเมื่อปี 1884 และต่อมาในปี 1888 นาย Andreas Flocken ผลิตรถ Floken Elektrowagen ที่จุดกระแสความนิยมในรถไฟฟ้า ซึ่งสามารถขี่ได้สะดวกสบายกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ทำให้รถไฟฟ้ามียอดขายสูงถึง 30,000 คันในช่วงที่โลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 แต่ต่อมาวิวัฒนาการของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในด้านต่างๆ ทำให้ได้รับความนิยมแซงหน้ารถไฟฟ้ามาจนกระทั่งทุกวันนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการเติมน้ำมันได้รวดเร็วกว่า การที่รถยนต์ขับไปได้ไกลกว่าและการติดเครื่องยนต์โดยใช้ไฟฟ้าแทนการต้องหมุนเครื่องให้ติดโดยใช้มือ ในครั้งต่อไปผมจะขออธิบายข้อแตกต่างบางประการที่สำคัญเกี่ยวกับรถไฟฟ้าและรถยนต์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจได้ว่าวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกโฉมหน้าธุรกิจรถยนต์อีกครั้งในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าครับ
โดย
Seattle
ศุกร์ มิ.ย. 17, 2016 10:18 am
0
11
Re: รายการตรวจสอบซุปเปอร์สต็อก/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
checklistไม่มีผบหซื่อสัตย์หรือครับ :shock: คุณ yoko อย่ากระตุกต่อมฮาผมซิครับ 555 Warren Buffett ใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้น super stock เข้าพอร์ต เค้าจะพิจารณาจาก ผบห หรือ CEO ที่ซื่อสัตย์สุจริต ใจซื่อมือสะอาด เป็นอันดับแรกๆ ส่วนอื่นๆนั้น ถ้าผบห คดโกงซะแล้ว ทุกอย่างก็หมดความหมาย ครับ
โดย
Seattle
อังคาร ก.พ. 16, 2016 10:09 am
0
10
Re: รายการตรวจสอบซุปเปอร์สต็อก/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
checklistไม่มีผบหซื่อสัตย์หรือครับ :shock: คุณ yoko อย่ากระตุกต่อมฮาผมซิครับ 555
โดย
Seattle
จันทร์ ก.พ. 15, 2016 9:21 pm
0
9
Re: แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2559 (2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2558 (1) โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ วันที่ 21 ธันวาคม 2558 แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2559 นั้นประเมินไม่ง่ายนัก แม้ว่าเสียงส่วนใหญ่จะมองว่าเศรษฐกิจโลกคงจะฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ แต่ก็มีความไม่แน่นอนสูงเพราะปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ 1. สหรัฐฟื้นตัวดีจนต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ยุโรปและญี่ปุ่นยังต้องกดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์และทำคิวอีเพิ่ม ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน โดยเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากเกินไป ก็อาจทำให้ต้องชะลอการขึ้นดอกเบี้ย แต่หากเงินเฟ้อในสหรัฐสูงเกินไป ก็จะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐเร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้นไปอีก ในอีกด้านหนึ่งหากญี่ปุ่นและยุโรปเร่งทำคิวอีเพิ่มตามการคาดหวังของตลาด ก็จะทำให้เงินเยนและเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว 2. ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงต่ำกว่า 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะคาดการณ์ (ผิด) ว่าน่าจะขยับขึ้นไปที่ 50 ดอลลาร์ หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ยังมีนักวิเคราะห์บางค่ายมองว่า ราคาน้ำมันอาจลดลงไปต่ำถึง 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในกรณีที่มีการผลิตเกินความต้องการอย่างมาก จนหาที่กักตุนน้ำมันไม่ได้ แต่โอกาสดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยากตามการประเมินของอีไอเอ (Energy Information Administration ของสหรัฐ) อย่างไรก็ดี ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ (รัสเซีย สหรัฐ และซาอุดิอาระเบีย) ต่างไม่ยอมลดกำลังการผลิต ในขณะที่อิหร่านยืนยันว่าเมื่อมีการยกเลิกการคว่ำบาตรแล้วอิหร่านก็พร้อมจะเร่งการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้อีไอเอประเมินว่ากำลังการผลิตที่เกินความต้องการนั้นจะยืดเยื้อไปถึงปี 2559 ทำให้ราคาน้ำมันผันผวนไปในทางลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ (เช่น ยางพารา) และกระทบต่อสถานะทางการเงินของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งจะกดดันให้ประเทศดังกล่าวต้องขายสินทรัพย์ออกมาและทำให้ผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐเสี่ยงต่อการต้องพักชำระหนี้ที่ออกไปในรูปของพันธบัตรที่มีความเสี่ยงสูง (high-yield bonds) กล่าวคือจะส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดพันธบัตรที่มีความเสี่ยงสูงนั่นเอง 3. ไอเอ็มเอฟได้กล่าวเตือนแล้วว่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สำคัญปัจจัยหนึ่งในปี 2559 คือการที่ประเทศตลาดเกิดใหม่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหนี้สินของบริษัทขนาดใหญ่ที่ขายพันธบัตร ทั้งที่เป็นสกุลท้องถิ่นและสกุลเงินต่างประเทศ (ส่วนใหญ่เป็นดอลลาร์) ทั้งนี้ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่บริษัทสร้างหนี้เพิ่มขึ้นมากที่สุด คือประเทศจีนและในระยะหลังนี้ ก็จะมีข่าวว่ามีบริษัทจีนหลายแห่งที่ไม่สามารถชะรำคืนเงินต้นเมื่อพันธบัตรหมดอายุ และต้องขอเลื่อนการจ่ายคืนออกไป ในขณะเดียวกันตลาดพันธบัตรที่มีความเสี่ยงสูงในสหรัฐ ก็มีปัญหาดังที่กล่าวในข้อ 2 ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนหวั่นไหวและต้องการลดความเสี่ยงโดยการลดการถือพันธบัตรที่มีความเสี่ยงลงไปอีก โดยเฉพาะในปี 2559 ที่ธนาคารกลางสหรัฐมีแนวโน้มว่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 3-4 ครั้ง แต่หากนักลงทุนขายพันธบัตรก็ยิ่งจะเป็นการกดดันบริษัทที่ออกพันธบัตรให้ต้องหาเงินสดมาคืนในสถานการณ์ซึ่งไม่เอื้ออำนวย จึงจะเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดความผันผวนของดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนั้นก็จะกระทบต่อราคาหุ้นได้อีกด้วย ประเด็นที่กล่าวข้างต้น เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ แต่ในบรรยากาศที่คาดการณ์ได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ความเสี่ยงที่อัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยพันธบัตรจะปรับตัวขึ้น-ลงอย่างฉับพลันนั้นน่าจะมีสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมธนาคารกลางสหรัฐจึงจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2558 ทำไมจึงไม่ปล่อยให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับต่ำต่อไปอีก 1-2 ปี เพราะเงินเฟ้อก็ต่ำ และเศรษฐกิจสหรัฐก็มิได้ขยายตัวอย่างร้อนแรงแต่อย่างไร ตรงนี้ต้องเข้าใจว่าธนาคารกลางสหรัฐเองก็ไม่อยากปรับดอกเบี้ยขึ้น แต่ต้องยอมจำนนด้วยเหตุผลหลักๆ 3 ประการ คือ 1. ธนาคารกลางสหรัฐมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องรักษาเสถียรภาพทางราคา (ทำให้เงินเฟ้อต่ำประมาณ 2% ต่อปี) และให้อัตราการว่างงานต่ำประมาณ 5-5.5% เพราะหากต่ำกว่านี้จะทำให้แรงงานขาดแคลนและต้องปรับเงินเดือนขึ้น จนทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ แต่หากว่างงานมากกว่า 5.5% ก็จะทำให้เศรษฐกิจ ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งในภาวะปัจจุบันนั้นอัตราการว่างงานปรับลงมาที่ 5% แล้ว และอัตราการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นเดือนละกว่า 200,000 ตำแหน่งนั้น ประธานธนาคารกลางสหรัฐนาง Janet Yellen ประเมินว่าจะทำให้อัตราการว่างงานลดลงต่ำกว่า 5% อย่างแน่นอน 2. อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในปี 2558 นั้น แม้จะต่ำใกล้ศูนย์ก็จริง แต่เป็นผลมาจากสาเหตุ 3 ประการที่ทำให้เงินเฟ้อต่ำเพียงชั่วคราว ได้แก่ 1. การลดลงของราคาน้ำมันซึ่งปัจจุบันน่าจะไม่ปรับลดลงต่อไปอีก แต่น่าจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.การลดลงของราคาค่าบริการด้านสาธารณสุขที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมาย Obama care ในปี 2558 ซึ่งเมื่อระบบใหม่เปิดดำเนินการเต็มที่ตามที่กำหนดเอาไว้ในกฎหมายแล้ว ต้นทุนค่าบริการก็จะปรับเพิ่มขึ้นตามปกติและ 3. เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมากในปี 2558 แต่ไม่น่าจะแข็งค่าขึ้นมากนักในปี 2559 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐเชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะขยับขึ้นไปที่ระดับ 1.5-2.0% ซึ่งเป็นระดับปกติ การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายนั้น เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น (ดอกเบี้ยกู้ยืมข้ามคืน) เพื่อควบคุมการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวของผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบเศรษฐกิจ หมายความว่าหากธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นช้าเกินไป ทำให้คนส่วนใหญ่กลัวว่าเงินเฟ้อจะปรับขึ้นในอนาคต ก็จะส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะยาวปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำความเสียหายให้กับเศรษฐกิจ เพราะดอกเบี้ยระยะยาวนั้นมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจมากกว่าดอกเบี้ยระยะสั้น ในกรณีดังกล่าวธนาคารกลางจะต้องเร่งการปรับดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้น เพื่อ “ไล่ตาม” ดอกเบี้ยระยะยาว ทำให้ธนาคารกลางสูญเสียความน่าเชื่อถือและเสี่ยงต่อการทำให้เศรษฐกิจเสียหายเพิ่มเติมไปอีก ดังนั้น นาง Janet Yellen จึงได้ยืนยันว่าจะต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นเสียแต่เนิ่นๆ จะได้สามารถปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะรักษาความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของเศรษฐกิจได้ดีกว่าการรีรอ แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2559 (2) โดย : ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ วันที่ 28 ธันวาคม 2558 ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐว่า ประเด็นสำคัญที่นาง Yellen ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐเน้นคือ การเริ่มปรับขึ้นเสียแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องปรับขึ้นอย่างรวดเร็วและกระชั้นชิดกันหลายครั้งในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางสหรัฐ เพราะจะเป็นการสะท้อนว่าธนาคารกลางสหรัฐปรับดอกเบี้ยขึ้นไล่ตามเงินเฟ้อไม่ทัน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีผู้ที่คัดค้านโดยมองว่าเศรษฐกิจโลกมีความอ่อนแอและเปราะบางอย่างมาก (ตามที่ผมได้เขียนถึงในครั้งที่แล้ว โดยเฉพาะภาคเอกชนในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีหนี้สินเพิ่มขึ้นจนไอเอ็มเอฟแสดงความกังวล) ดังนั้นโลกจึงน่าจะเสี่ยงต่อปัญหาเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อ และหากธนาคารกลางสหรัฐเร่งปรับดอกเบี้ยขึ้นก็จะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เป็นผลเสียต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ผู้ที่มีแนวคิดเช่นนี้ซึ่งมีอยู่ไม่น้อย จึงมองไม่เห็นความจำเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในขณะนี้ อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เริ่มขึ้นแล้ว (ที่อเมริกาใช้คำว่า “lift-off”) ดังนั้นคำถามที่ตามมาคือจะปรับเพิ่มขึ้นอีกกี่ครั้งในปี 2559 และ 2560 และจะปรับขึ้นไปอีกมากน้อยเพียงใด คำตอบเบื้องต้นนั้นจะหาได้จากการนำเสนอข้อมูลที่เรียกกันสั้นๆ ว่า dot plot คือการนำเอาการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐแต่ละคนมารวมกันเอาไว้ในตารางเดียวกัน ทำให้เห็นแนวโน้มการคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการฯ ใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งการคาดการณ์ที่แจ้งเอาไว้ในเดือนกันยายนนั้น พอจะเฉลี่ยจากข้อมูลทั้งหมดสรุปได้ว่า ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐน่าจะอยู่ที่ 1.375% ในปลายปี 2559 อ ยู่ที่ 2.625% ในปลายปี 2560 และ 3.375% ในปลายปี 2561 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกกำลังจะเข้าสู่ยุคที่ดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งแตกต่างจากอดีต 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐถูกปรับลงไปอยู่ที่ใกล้ศูนย์ (0-0.25%) มาโดยตลอด การคาดการณ์ข้างต้นนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ แต่ก็สะท้อนสมมุติฐานว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวไปสู่สภาวะปกติภายใน 3 ปีข้างหน้า เพราะในอดีตนั้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐในสภาวะที่เศรษฐกิจปกติจะอยู่ที่ประมาณ 3.5% ในขณะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี (ดอกเบี้ยระยะยาว) จะอยู่ที่ประมาณ 5% การเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยสหรัฐดังกล่าวเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่หากเกิดขึ้นจริงก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ในส่วนของเศรษฐกิจนั้นหากดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอยู่ที่ 2.375% จริงในปี 2561 ดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็น่าจะต้องปรับขึ้นไปที่ 4% เพราะจะเป็นเรื่องยากที่ดอกเบี้ยของไทยจะต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐ ในทำนองเดียวกันดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยก็น่าจะต้องปรับขึ้นไปเป็น 6% ซึ่งหมายความว่าดอกเบี้ยของไทยจะต้องปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและปรับขึ้นอย่างมากใน 3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี การคาดการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐย่อมจะผิดพลาดได้ และหลายฝ่ายมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่น่าจะสามารถขยายตัวร้อนแรงจนต้องปรับเพิ่มดอกเบี้ยขึ้นมากเท่ากับที่คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐประเมิน ในส่วนของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ พันธมิตรของภัทรมองว่าในโลกของ “new normal” นั้น เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้ต่ำกว่าในอดีต ดังนั้นดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมในสภาวะปกติก็จะต้องต่ำลงด้วย โดยประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5% ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็แปลว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะถึงจุดอิ่มตัวในปลายปี 2560 และในทำนองเดียวกัน ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็น่าจะเพิ่มขึ้นไปที่ 4.0% (ไม่ใช่ 5%) แปลว่าดอกเบี้ยไทยในระยะสั้นก็อาจจะปรับตัวมาที่ 3.0-3.5% และดอกเบี้ยไทยในระยะยาวก็จะปรับขึ้นมาที่ 4.5-5.0% เป็นต้น ประเด็นสำคัญคือการปรับขึ้นดังกล่าวอาจยืดเยื้อออกไปเป็น 2-3 ปี ไม่ใช่ปรับขึ้นไปถึงจุดปกติภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี ดังที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐได้คาดการณ์เอาไว้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา กล่าวโดยสรุปคือเศรษฐกิจโลกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะต้องรับมือกับดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งมักจะพูดง่าย แต่ทำยาก บางคนคิดว่าแม้ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ธนาคารกลางของกลุ่มยูโรโซนและธนาคารกลางของญี่ปุ่นก็ยังกดดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ และมีความเป็นไปได้สูงว่า จะเพิ่มมาตรการคิวอี จึงไม่น่าจะต้องเป็นห่วงมากนัก แต่ผมเกรงว่าขอบเขตของการผ่อนคลายทางการเงินโดยธนาคารกลางอื่นๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางในเอเชียจะมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเมื่อสหรัฐดำเนินนโยบายการเงินที่รัดกุมยิ่งขึ้นธนาคารกลางอื่นๆ ก็น่าจะต้องดำเนินนโยบายไปในทำนองเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ในยุคที่ดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นนั้นผู้ที่มีหนี้สินมากย่อมจะเสียเปรียบและอยู่ที่สถานะที่ยากลำบาก ซึ่งหมายถึงบริษัทต่างๆในอุตสาหกรรมพลังงานของสหรัฐและอุตสาหกรรมหนักของจีนและอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบริษัทดังกล่าวน่าจะประสบปัญหาในการจ่ายคืนหนี้หรือต่ออายุพันธบัตรที่ครบกำหนด ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นที่กระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนในปี 2559 และปีต่อไป ทั้งนี้ควรคำนึงด้วยว่าการที่บริษัทมีหนี้สินมากเกินไป (เพราะในอดีตดอกเบี้ยต่ำผิดปกติ) นั้น อีกด้านหนึ่งของเหรียญคือการสร้างกำลังการผลิตเอาไว้มากเกินความต้องการ ซึ่งหากถามว่าควรจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ก็ต้องบอกว่าถึงจุดหนึ่งบริษัทที่อ่อนแอก็จะต้องล้มละลายลง และกระบวนการที่ตามมา คือการตัดหนี้เสียลดทุนและขายสินทรัพย์ ทำให้กำลังการผลิตโดยรวมลดลงเพื่อให้อุปสงค์และอุปทานมีความสมดุลในที่สุด แต่แน่นอนว่า ไม่มีบริษัทใดยอมเป็นบริษัทที่ต้องปิดกิจการและล้มละลายลง แต่หากกระบวนการดังกล่าวไม่เกิดขึ้น ปัญหาการขาดแคลนกำลังซื้อก็จะยังไม่หมดไป ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้นมองได้ว่าเป็นการกดดันให้เกิดการปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรม โดยบริษัทที่อ่อนแอทางการเงินและขาดกระแสเงินสดจะต้องถูกบังคับให้ปิดกิจการลง ในทำนองเดียวกัน ในยุคที่ดอกเบี้ยปรับตัวเป็นขาขึ้นนั้น ประเทศที่เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงคือประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ทั้งนี้เพราะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด คือการที่ประเทศมีการใช้จ่ายโดยรวมมากกว่ารายได้ จึงต้องพึ่งพาการไหลเข้าของเงินจากต่างประเทศ (ไม่ว่าจะเป็นในรูปของการกู้เงินเพิ่มเติมจากต่างประเทศ หรือการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งการลงทุนในหุ้นหรือลงทุนโดยตรง) ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ยากในยุคที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เพราะเงินทุนเสี่ยงที่จะไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่มากกว่าไหลเข้า ในกรณีของไทยนั้นมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมากในปี 2558 (มากกว่า 5% ของจีดีพี) ดังนั้นประเทศไทยจึงอยู่ในสภาวะที่มั่นคงมากในด้านต่างประเทศ แต่เงินบาทก็ยังน่าจะอ่อนค่าลงตามการอ่อนค่าลงของเงินสกุลหลักในประเทศ ตลาดเกิดใหม่และในเอเชียในภาพรวม นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่า แม้ไทยจะมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนละเป็นพันล้านเหรียญ แต่ก็มีเงินทุนไหลออกเป็นจำนวนมากจากการขายหุ้นของต่างชาติ และการนำเงินทุนออกของคนไทย ทำให้ดุลชำระเงินไม่ได้เกินดุลมากนักและทุนสำรองระหว่างประเทศก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นในปี 2558 เมื่อดอกเบี้ยสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2559 และปีต่อๆ ไป ประเทศไทยน่าจะได้รับ
โดย
Seattle
อังคาร ธ.ค. 29, 2015 9:21 am
0
2
Re: ถึงเวลาที่ต้องลา เพื่อบรรชาอุปสมบท
อนุโมทนาบุญ ด้วยนะครับ
โดย
Seattle
ศุกร์ ธ.ค. 18, 2015 10:50 pm
0
5
Re: ในห้องร้อยคนร้อยหุ้นเงี๊ยบมาก หลายห้องไม่มีการเคลื่อนไหว
กำลังจะตั้งกระทู้พอดี รู้สึกว่าwebเราเริ่มถดถอยมากขึ้น postอะไรระวังไปหมด มีแต่แปะข่าวแต่ไม่มีข้อมูลเชิงวิเคราะห์มาแชร์กัน สู้สมัยfree knowledgeไม่ได้ :cry: :cry: เจอแบบนี้เข้าไป ผมว่าต่อไป ข่าวแปะ ก็คงไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแน่ๆ ข้อมูลเชิงวิเคราะห์หุ้นรายตัว หลายๆคนเค้าคงถอดใจนานไปแล้ว ไม่แชร์กันมานานมากแล้ว เหตุผล คงน่าหนีไม่พ้น คือ สังคมใดที่มีแต่คนที่คิดแต่จะแบมือรับอย่างเดียว ไม่คิดที่จะให้ สังคมนั้น คนเก่ง ๆ คนดีๆ ก็จะหนี หายไปเอง ครับ
โดย
Seattle
ศุกร์ ต.ค. 09, 2015 10:52 am
0
4
Re: ในห้องร้อยคนร้อยหุ้นเงี๊ยบมาก หลายห้องไม่มีการเคลื่อนไหว
ห้องมันเงียบ เพราะคนส่วนใหญ่หวังจะจ้อง หาแต่ผลประโยชน์ เป็นอีแอบไม่คิดจะแชร์ ขอเป็นแต่ผู้รับ เป็นคนดูอยู่ข้างสนาม รอลอกการบ้าน จะลงไปวิ่งเองให้มันเหนื่อยทำไม ? คนจริง คนกล้า ขอปรบมือให้ครับ ผมโดนกดลบ จนตัดสินใจเลิกโฟสข้อมูลที่วิเคราะห์มาอย่างยากลำบากแล้วครับ จดข้อมูลดีๆใส่สมุด ไว้อ่านคนเดียวดีกว่า มีความสุขกว่ากันเยอะเลย
โดย
Seattle
พุธ ต.ค. 07, 2015 8:03 pm
0
9
Re: หุ้น ฟื้นตัว มีวิธีสังเกตุอย่างไรครับ
พี่ Ii'8N ครับ ชื่อ พี่ อ่าน ภาษาไทยว่ายังครับ Ii'8N = ณรงค์ ไม่ได้มีที่มาอะไรมาก พิมพ์แป้นคีย์บอร์ดเดิม แต่เปลี่ยน mode เป็นภาษาไทยครับ :D I= ณ i = ร ' = ง 8 =ค N =์
โดย
Seattle
ศุกร์ ก.ย. 25, 2015 8:10 pm
0
3
Re: หนังสือระดับตำนานด้านการเงินการลงทุนที่ควรอ่าน(download
A Random Walk Down Wall Street ชือไทยว่าอะรัยครับ พอดีผมหาไม่เจอ ขอบคุณครับ ห้องสมุด ที่ นิด้า มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้แปลไว้ครับ ลองไปขอถ่ายสำเนาที่ หอสมุด นิด้า ได้ครับ
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2015 9:44 am
0
2
Re: หนังสือระดับตำนานด้านการเงินการลงทุนที่ควรอ่าน(download
the richest man in babylon ฉบับแปลไทยมีชื่อว่าอย่างไรครับ ไม่เคยเห็นเลยครับ เศรษฐีชี้ทางรวยหลักการใช้เงินที่เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา และ ทุกคนทำได้ ผู้เขียน George S. Clason (จอร์จ เอส. เคลสัน) ผู้แปล วรรธนา วงษ์ฉัตร https://www.se-ed.com/product/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2.aspx?no=9789742125967
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. ส.ค. 13, 2015 9:43 am
0
2
Re: หนังสือระดับตำนานด้านการเงินการลงทุนที่ควรอ่าน(download
มีฉบับแปลไทยแล้วทุกเล่มครับยกเว้นเล่มสุดท้าย ทุกเล่มมีแปลเป็นภาษาไทยแล้วครับ ไม่เว้นแม้แต่เล่มสุดท้าย ทุกเล่มผมอ่านมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 รอบแล้วครับ ทุกเล่มเนื้อหาดีมากๆ ขอยืนยันครับ
โดย
Seattle
พุธ ส.ค. 12, 2015 6:53 pm
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ก.ล.ต. กล่าวโทษบุคคล 4 ราย กรณีสร้างราคาหุ้น TYM ต่อ DSI ก.ล.ต. กล่าวโทษนายสรณ์นนท์ สุทธิอรรถศิลป์ นางสาวณราภร ชูเวสศิริพร นางสาวณชรัฐ ศิริเทพ และนายธนัตถ์เดชน์ สุทธิอรรถศิลป์ (หรือนายจิรพจน์ ผาติโพธิวัฒน์) ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัทไทยง้วนเมทัล จำกัด (มหาชน) (TYM) ปัจจุบันชื่อ บริษัทเดอะสตีล จำกัด (มหาชน) (THE) ก.ล.ต. ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึงวันที่ 9 ตุลาคม 2551 นายสรณ์นนท์ นางสาวณราภร นางสาวณชรัฐ และนายธนัตถ์เดชน์ หรือจิรพจน์ และบุคคลอีก 10 ราย (ซึ่ง 1 ราย ได้เสียชีวิตแล้ว) ได้รู้เห็นหรือตกลงร่วมกันซื้อขายหุ้น TYM อย่างต่อเนื่อง ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคล 9 ราย ในลักษณะอำพราง ผลักดันและพยุงราคา และจับคู่ซื้อขายกันเองระหว่างบัญชี ทำให้การซื้อขายหุ้น TYM ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เพื่อชักจูงให้คนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น TYM และเข้าซื้อขายหุ้นดังกล่าว การกระทำข้างต้นเข้าข่ายเป็นการสร้างราคาหุ้น TYM เป็นความผิดตามมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 244 และมาตรา 243(2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และเนื่องจากนายสรณ์นนท์ นางสาวณราภร นางสาวณชรัฐ และนายธนัตถ์เดชน์ หรือจิรพจน์ ไม่ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 ราย ดังกล่าวต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลยุติธรรม
โดย
Seattle
ศุกร์ ก.ค. 03, 2015 9:15 pm
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
ก.ล.ต. ลงโทษผู้แนะนำการลงทุนและผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ก.ล.ต. สั่งพักผู้แนะนำการลงทุน 4 ราย ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการสร้างราคาหลักทรัพย์ ได้แก่ นายชนา ฤทธิมัต และ นายเรวัต เชี่ยวชาญสุวรรณ ผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ ขณะกระทำผิดสังกัด บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บล.ยูโอบี) นางสาววชิราภรณ์ วศธรรมสิทธิ์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสถาบัน บล.ยูโอบี และ นางสาวเจณิสตา วงศ์คำจันทร์ ผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุน สังกัด บล. ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) (บล.ฟินันเซีย) และสั่งพัก ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ 1 ราย ที่ละเลยการตรวจสอบดูแลเพื่อป้องกันมิให้ผู้ปฏิบัติงานภายใต้การตรวจสอบดูแลกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ได้แก่ นายวิคเตอร์ ยูน ตั๊ค ซอย ขณะกระทำผิดเป็นผู้บริหาร บล.ยูโอบี ก.ล.ต. ตรวจพบว่า ผู้แนะนำการลงทุน 4 รายข้างต้น ซึ่งดูแลบัญชีหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศ (Omnibus Account) ส่งคำสั่งซื้อขาย หุ้น บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) ตามคำสั่งของลูกค้า โดยมีลักษณะผลักดันราคาและทยอยส่งคำสั่งที่แตกเป็นหลายคำสั่ง ทั้งที่ส่งได้ในคราวเดียว ทำให้ราคาและปริมาณซื้อขายหุ้น UNIQ เปลี่ยนแปลงไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด มีราคาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.8 เท่า และปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 0.21 ล้านหุ้น เป็น 14.78 ล้านหุ้น ซึ่ง ก.ล.ต. เปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิดสร้างราคาหลักทรัพย์ UNIQ ไปแล้ว เป็นจำนวนเงินกว่า 80.9 ล้านบาท กรณีนายวิคเตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ บล.ยูโอบี ในขณะนั้น เป็นผู้บริหารสูงสุดที่ดูแลลูกค้าสถาบันและเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้ดูแลลูกค้าสถาบัน ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่ามีการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น UNIQ ที่อาจเข้าข่ายไม่เหมาะสม แต่ไม่รีบปรับปรุงระบบติดตามควบคุมดูแลการส่งคำสั่งที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งไม่เพิ่มความเข้มงวดในการติดตามพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นของลูกค้าอย่างใกล้ชิด หรือย้ำกับผู้แนะนำการลงทุนให้เพิ่มความระมัดระวังในการส่งคำสั่งสำหรับลูกค้ารายนี้ จึงยังคงพบการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น UNIQ ที่มีผลกระทบต่อราคาอย่างต่อเนื่อง การกระทำของผู้แนะนำการลงทุนทั้ง 4 ราย เป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมเกี่ยวข้องกับการสร้างราคาหลักทรัพย์และพฤติกรรมของผู้บริหารรายนายวิคเตอร์ เป็นการละเลยการตรวจสอบดูแลตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้ผู้ปฏิบัติงานภายใต้การตรวจสอบดูแลกระทำการฝ่าฝืนหรือขัดต่อกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือประกาศตามกฎหมายดังกล่าว* ก.ล.ต. จึงลงโทษบุคคลทั้ง 4 ราย และผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ โดยการสั่งพักการให้ความเห็นชอบ และกำหนดระยะเวลารับพิจารณาคำขอความเห็นชอบใหม่ในครั้งต่อไป ทั้งนี้ ก.ล.ต. ขอเตือนให้ทราบว่า ผู้แนะนำการลงทุนต้องไม่ส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสมในลักษณะผลักดันหรือสร้างราคาหลักทรัพย์ หากพบการส่งคำสั่งของลูกค้าที่น่าสงสัย ผู้แนะนำการลงทุนต้องเตือนลูกค้า และรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ นอกจากนี้ ก.ล.ต. ขอกำชับให้ผู้บริหารหลักทรัพย์ตรวจสอบดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แนะนำการลงทุนในสังกัดให้เป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์การปฏิบัติหน้าที่ด้วย
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. ก.ค. 02, 2015 7:31 pm
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
ก.ล.ต. สั่งพักผู้แนะนำการลงทุน 2 ราย 25 มิ.ย. 2558 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ก.ล.ต. สั่งพักผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนราย นายสัมพันธ์ กะปุก ขณะกระทำผิดสังกัดบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (บล. ฟิลลิป) จากการรับมอบหมายในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์แทนผู้ลงทุน และ ผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ราย นายคชา บัวจรูญ สังกัด บล. ฟิลลิป เนื่องจากไม่บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าให้ครบถ้วน ก.ล.ต. ได้รับรายงานการตรวจสอบของ บล. ฟิลลิป จึงตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายสัมพันธ์ยืนยันรายการซื้อขายหลักทรัพย์ และแจ้งยอดรับจ่ายเงินให้ลูกค้าทราบ โดยพบรายงานการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าหลายรายมีการซื้อขายต่อเนื่องทั้งวันในปริมาณสูง แต่ไม่พบที่มาของคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ นอกจากนี้ นายสัมพันธ์ชักชวนให้ลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งเป็นผู้กำหนดทั้งชื่อ จำนวน และราคาหลักทรัพย์ ซึ่งลูกค้ายอมรับการตัดสินใจของนายสัมพันธ์โดยไม่สอบถามถึงสภาพตลาดหรือหลักทรัพย์ที่ชวนซื้อขาย ในกรณีนายคชา ก.ล.ต. ตรวจพบว่าไม่บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์จากลูกค้าจำนวนหลายรายการโดยนายคชายอมรับว่า รับคำสั่งซื้อขายจากลูกค้าทางไลน์และโทรศัพท์มือถือ การรับมอบหมายในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์แทนผู้ลงทุน และการไม่บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าให้ครบถ้วนเป็นการไม่ปฏิบัติตามประกาศเกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน* ก.ล.ต. จึงสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนของนายสัมพันธ์เป็นเวลา 9 เดือน แต่ระยะเวลาการให้ความเห็นชอบมีอายุเพียงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 จึงสั่งพักการให้ความเห็นชอบจนครบอายุที่เหลือ และกำหนดระยะเวลารับพิจารณาคำขอความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนในคราวต่อไปเมื่อครบกำหนด 9 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2558 ส่วนนายคชาถูกสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์เป็นเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2558 อนึ่ง ผู้แนะนำการลงทุนไม่สามารถตัดสินใจลงทุนแทนผู้ลงทุนได้ แม้ว่าผู้ลงทุนจะยินยอม และกรณีที่ลูกค้าส่งคำสั่งซื้อขายทางโทรศัพท์ ผู้แนะนำการลงทุนต้องบันทึกเสียงการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าให้ครบถ้วน เพื่อให้มีหลักฐานในการตรวจสอบความถูกต้องและที่มาของคำสั่งซื้อขาย ก.ล.ต. จึงขอความร่วมมือลูกค้าอย่ามอบหมายให้ผู้แนะนำการลงทุนตัดสินใจลงทุน และส่งคำสั่งในช่องทางที่มีการบันทึกไว้ได้
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. มิ.ย. 25, 2015 9:55 pm
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
กล่าวโทษ “สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล” และพวก เหตุแต่งบัญชีเท็จสร้างความเข้าใจผิดนักลงทุน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มิถุนายน 2558 ก.ล.ต. กล่าวโทษ “สมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล” และผู้บริหาร “จี สตีล-จี เจ สตีล” ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ เหตุสมยอมทำบัญชีและงบการเงินเท็จ ส่งผลให้ตัวเลขบิดเบือนจากความเป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้ลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ หรือ ก .ล.ต. กล่าวโทษกรรมการและผู้บริหาร บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEL และบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GJS ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีกระทำหรือยินยอมให้มีการจัดทำบัญชีและงบการเงินของ GSTEL และ GJS ไม่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง โดยลงบัญชีเท็จเกี่ยวกับการบันทึกเจ้าหนี้ต่างประเทศค่าซื้อวัตถุดิบต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมีนัยสำคัญเพื่อลวงให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัท บุคคลที่ถูกกล่าวโทษ ประกอบด้วย (1) นายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการและผู้บริหาร GSTEL และกรรมการ GJS (2) นางสาวกรรณิการ์ สร้อยคีรี ผู้บริหาร GSTEL (3) นายนกุล สกุลโชติกโรจน์ ผู้บริหาร GSTEL และ (4) นายชนาธิป ไตรวุฒิ กรรมการและผู้บริหาร GJS โดย ก.ล.ต. ตรวจสอบพบว่า ในช่วงต้นปี 2551 GSTEL และบริษัทลูก คือ GJS ได้สั่งซื้อเหล็กล่วงหน้าในปริมาณมากจากผู้ขายต่างประเทศหลายรายในราคาตลาด ณ เวลานั้น ต่อมาราคาเหล็กในตลาดปรับตัวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ GSTEL และ GJS ต้องรับรู้ผลขาดทุนสูงมาก เนื่องจากราคาต้นทุนการผลิตสูง ในขณะที่ขายสินค้าในราคาตลาดที่ต่ำกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการรับรู้ผลขาดทุนดังกล่าว บุคคลทั้ง 4 รายข้างต้น ได้สั่งการหรือยินยอมหรือสนับสนุนให้มีการบันทึกยอดเจ้าหนี้ค่าเหล็กต่ำกว่าภาระหนี้จริงที่มีต่อผู้ขายต่างประเทศ กรณี GSTEL พบการบันทึกยอดเจ้าหนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง 85 ล้านบาท งวดปี 2551 จำนวน 1,144 ล้านบาท งวดไตรมาส 1/2552 จำนวน 2,131 ล้านบาท งวดไตรมาส 2/2552 จำนวน 2,072 ล้านบาท งวดไตรมาส 3/2552 และ 1,987 ล้านบาท งวดปี 2552 ตามลำดับ ส่วนกรณี GJS พบการบันทึกยอดเจ้าหนี้ต่ำกว่าความเป็นจริง 378 ล้านบาท งวดไตรมาส 1/2552 จำนวน 800 ล้านบาท งวดไตรมาส 2/2552 จำนวน 1,010 ล้านบาท งวดไตรมาส 3/2552 และ 1,023 ล้านบาท งวดปี 2552 ตามลำดับ โดยบุคคลทั้ง 4 รายกระทำการเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 312 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และการถูกกล่าวโทษมีผลให้เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียน จึงไม่อาจดำรงตำแหน่งกรรมการและผู้บริหารของบริษัทดังกล่าวได้ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่า บุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลยุติธรรม
โดย
Seattle
พุธ มิ.ย. 24, 2015 10:48 pm
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
ก.ล.ต.ลงโทษผู้แนะนำการลงทุน บล.โกลเบล็ก ฐานรับมอบหมายจากผู้ลงทุนในการตัดสินใจ ซื้อขายแทน 15 มิ.ย. 2558 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งพักผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนราย นายสุภากรณ์ ดำรงเดช ขณะกระทำผิดสังกัด บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (บล.โกลเบล็ก) เนื่องจากรับมอบหมายจากผู้ลงทุนในการตัดสินใจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและหลักทรัพย์แทน เรื่องนี้ ก.ล.ต.ได้รับรายงานการตรวจสอบของ บล.โกลเบล็ก และการร้องเรียนจากลูกค้า ก.ล.ต. จึงตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายสุภากรณ์ชักชวนให้ลูกค้าลงทุนในหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยนายสุภากรณ์ยอมรับว่า ลูกค้าอนุญาตให้ตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแทนในช่วงแรก และต่อมาพบบทสนทนาในเทปบันทึกเสียงที่แสดงว่าลูกค้าอนุญาตให้นายสุภากรณ์ตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ โดยตลอดช่วงระยะเวลาของการกระทำผิด การซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในบัญชีของลูกค้ามีปริมาณสูง ทั้งนี้ ผู้แนะนำการลงทุนไม่สามารถรับมอบหมายจากผู้ลงทุนในการตัดสินใจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและหลักทรัพย์แทนได้ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนเกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน* ก.ล.ต. จึงสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนของนายสุภากรณ์เป็นเวลา 3 เดือน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2558 อนึ่ง ผู้แนะนำการลงทุนไม่สามารถตัดสินใจลงทุนแทนผู้ลงทุนได้ แม้ว่าผู้ลงทุนจะยินยอมก็ตาม ที่ผ่านมาพบกรณีที่ผู้ลงทุนมอบหมายให้ผู้แนะนำการลงทุนไปตัดสินใจลงทุนแทนเนื่องจากไม่มีเวลา หรือเห็นว่าผู้แนะนำการลงทุนมีความรู้หรือมีข้อมูลดีกว่าตนเอง แต่ก็ต้องได้รับผลกระทบจากการซื้อขาย จนได้รับผลขาดทุน หลายกรณีที่การมอบหมายเปิดช่องทางให้ผู้แนะนำการลงทุนตัดสินใจซื้อเกินกว่าความประสงค์ของผู้ลงทุนและมีข้อพิพาทกับผู้แนะนำการลงทุน และ บล.ต้นสังกัดจำนวนไม่น้อย ก.ล.ต.จึงขอความร่วมมือกับผู้ลงทุนในเรื่องนี้ด้วย *ข้อ 20(2) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทลธ. 3/2555 เรื่อง การให้ความเห็นชอบบุคลากรของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อปฏิบัติหน้าที่วิเคราะห์การลงทุนและแนะนำการลงทุน ลงวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555 และเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนตามข้อ 6(1) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทธ/น/ข. 37/2553 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อ 23(2) และเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนตามข้อ 31(1) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทลธ. 8/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ที่ใช้บังคับแทนประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าว
โดย
Seattle
อังคาร มิ.ย. 16, 2015 4:07 pm
0
1
Re: หาหุ้นแบบ “Bottom up”/ประภาคาร ภราดรภิบาล
หาหุ้นแบบ “Top Down” / ประภาคาร ภราดรภิบาล บทความตอนที่แล้ว ผมเขียนถึงการหาหุ้นแบบ “Bottom up” ซึ่งเป็นการหาหุ้นโดยอาศัยการจุดประกายจาก “สิ่งเล็กๆ” ที่โดนใจเรา แล้วนำไปสู่การ “ขยายผล” ด้วยการหาข้อมูลที่กว้างขึ้น รอบด้านขึ้น เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน คราวนี้ผมจะขอกล่าวถึงการหาหุ้นแบบ “Top Down” ซึ่งใช้มุมมองที่ต่างไป คือเป็นการหาหุ้นโดยมองจาก “ภาพใหญ่” ที่น่าสนใจ แล้วค่อยๆ เจาะลึกลงไปถึง “ภาพเล็ก” ซึ่งก็คือตัวกิจการหรือตัวหุ้นที่เชื่อมโยงมาจากภาพใหญ่นั้น “ภาพใหญ่” ที่นักลงทุนใช้ในการวิเคราะห์เพื่อการลงทุนนั้นมีหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น ภาพใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีกไม่นานนี้ นโยบายจากภาครัฐบาลที่ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ อย่างนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การขึ้นเงินเดือนราชการ นโยบายเพิ่มหรือลดการจัดเก็บภาษี ภาพใหญ่ทางด้านสังคม เช่น การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุในเวลาอันใกล้ การกระจายความเจริญจากในเมืองออกสู่พื้นที่รอบนอก หรือ Urbanization ภาพใหญ่ทางด้านพฤติกรรมมนุษย์ เช่น การกิน การอยู่อาศัย การดูแลรักษาสุขภาพ การเดินทาง การติดต่อสื่อสาร และอื่นๆ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ภาพใหญ่ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น การสื่อสารโทรคมนาคมที่จะก้าวผ่านจากยุค 3G เข้าสู่ 4G การคิดค้นวิทยาการใหม่ๆ การสร้างนวัตกรรมหรือประดิษฐกรรมใหม่ๆ การค้นพบแหล่งพลังงานทดแทนใหม่ๆ ฯลฯ จากภาพใหญ่ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น นักลงทุนที่ใช้วิธีการแบบ “Top Down” จะทำการวิเคราะห์ว่ามันจะส่งผลกระทบใน “ทางบวก” หรือ “ทางลบ” ต่ออุตสาหกรรมใดบ้าง ถ้าอุตสาหกรรมใดได้รับผลกระทบในทางลบ นักลงทุนก็จะได้หลีกเลี่ยงการลงทุนในอุตสาหกรรมนั้น ส่วนถ้าอุตสาหกรรมใดได้รับผลบวกหรือได้ประโยชน์ นักลงทุนก็จะได้พิจารณาลงทุนต่อ โดยจะเจาะลึกลงไปอีกว่า ในอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากภาพใหญ่นั้น มีหุ้นของกิจการหรือบริษัทใดบ้างที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด ได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจมากที่สุด หรือมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นกิจการที่โดดเด่นที่สุดจากประเด็นดังกล่าว นั่นก็เป็นโอกาสที่จะพิจารณาลงทุน แต่ไม่ว่าจะเป็นการหาหุ้นแบบ “Top Down” หรือ “Bottom up” ก็ตาม คงไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้หุ้นที่น่าลงทุนเสมอไป บางทีเมื่อเราไป “ทำการบ้าน” เพิ่มเติมแล้วอาจจะพบจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องบางประการที่ทำให้หุ้นตัวนั้นไม่น่าสนใจ เช่น เป็นธุรกิจที่ผู้อื่นสามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่ายเกินไป ผู้บริหารเคยมีประวัติหรือพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ กิจการมีภาระหนี้สินมากเกินไป เป็นต้น แต่ถ้าหาข้อมูลแล้วพบว่าหุ้นตัวนั้นเข้าข่ายที่น่าสนใจ เราสามารถจัดบริษัทดังกล่าวไว้ใน Watch List ของเราได้ แม้บางทีในตอนนี้อาจจะยังไม่เหมาะที่จะเข้าไปลงทุน เช่น อาจจะต้องรอให้ผลลัพธ์บางอย่างทางธุรกิจมีความชัดเจนมากกว่านี้ หรือรอให้ราคาหุ้นมีความเหมาะสมที่จะเข้าลงทุนมากกว่านี้ เมื่อโอกาสดีๆ ในการลงทุนมาถึง การมี Watch List อยู่ในมือก็จะทำให้เราสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างทันท่วงที
โดย
Seattle
ศุกร์ มิ.ย. 12, 2015 3:40 pm
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
ก.ล.ต.เปรียบเทียบปรับก๊วนปั่น หุ้น TYM 9 ราย มูลค่ารวมกว่า 15 ล้านบาท 11 มิ.ย. 2558 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ คณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบผู้กระทำผิด 9 ราย ได้แก่ (1) นายบุญชัย จิระพงษ์ตระกูล (2) นายบุญโชค สันทัดพานิช (หรือ ถิรธารากร) (3) นางสาววัลยา วงศ์ภัทรกุล (4) นายพิชัย โกวิทคณิต (5) นางสาวดวงฤทัย วีระศิลปเลิศ (6) นายประสงค์ เกียรติกมลกุล (7) นางสาวภัทรานุช หวังพรพระ (8) นางสาวลัคณา แซ่ลี้ (หรือเปรมศินี ธนวงศ์ศักดิ์ หรือวิมลภักดิ์ เจริญธนินชนม์) และ (9) นายบุญ ประสิทธิ์สัมฤทธิ์ กรณีสร้างราคาหุ้นบริษัท ไทยง้วนเมทัล จำกัด (มหาชน) (TYM) ปัจจุบันชื่อ บริษัท เดอะ สตีล จำกัด (มหาชน) (THE) เป็นจำนวนเงินรวม 15,469,345.62 บาท ก.ล.ต.ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าระหว่างวันที่ 18 มีนาคม ถึงวันที่ 9 ตุลาคม 2551 นายบุญชัย ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TYM นายบุญโชค ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TYM นางสาววัลยา นายพิชัย นางสาวดวงฤทัย นายประสงค์ นางสาวภัทรานุช นางสาวลัคณา (หรือเปรมศินี หรือวิมลภักดิ์) นายบุญ และบุคคลอีก 4 ราย ได้รู้เห็นหรือตกลงร่วมกันซื้อขายหุ้น TYM อย่างต่อเนื่อง ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบุคคล 9 ราย ในลักษณะอำพราง ผลักดันและพยุงราคา และจับคู่กันเองระหว่างบัญชี ทำให้การซื้อขายหุ้น TYM ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เพื่อชักจูงให้คนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น TYM และเข้าซื้อขายหุ้นดังกล่าว การกระทำข้างต้นเข้าข่ายเป็นการสร้างราคาหุ้น TYM เป็นความผิดตามมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 244 และมาตรา 243(2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบุคคลทั้ง 9 รายยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ คณะกรรมการเปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบปรับ เป็นเงินรายละ 1,718,816.18 บาท ทั้งนี้ สำหรับบุคคลที่ไม่ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ ก.ล.ต. จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. มิ.ย. 11, 2015 10:39 pm
0
2
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
22 ปี คดีปั่นหุ้น KMC “กฤษดามหานคร” ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก-ปรับ “สุรีย์ สรรค์ศิริกุล – ชมพูนุท ปิ่มหทัยวุฒิ” Date: 11 มิถุนายน 2015 วันที่ 11 มิถุนายน 2558 ศาลฎีกามีคำพิพากษาลงโทษนางสาวสุรีย์ หรือรวิ สรรค์ศิริกุล จำคุก 1 ปี และปรับ 333,333.33 บาท และนางชมพูนุท ปิ่มหทัยวุฒิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 500,000 บาท โทษจำคุกไม่รอการลงโทษ กรณีร่วมกับผู้อื่นสร้างราคาหลักทรัพย์บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) (KMC) คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2536 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษนางสาวสุรีย์และนางชมพูนุทกรณีร่วมกับบุคคลอื่นสร้างราคาหุ้น KMC ระหว่างวันที่ 2 มกราคม ถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2535 โดยพนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องและเป็นโจทก์ฟ้องนางสาวสุรีย์และนางชมพูนุทเป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาว่าบุคคลทั้งสองเป็นตัวการกระทำความผิด 2 กระทง ตามมาตรา 42 ฉ(1)(2) แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 และมาตรา 243(1)(2) และมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้ลงโทษความผิดระหว่างวันที่ 2 มกราคม ถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2535 จำคุก 6 เดือน และปรับ 200,000 บาท และความผิดระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2535 จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 500,000 บาท โทษจำคุกไม่รอการลงโทษ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและแก้คำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ในส่วนนางสาวสุรีย์ โดยพิพากษาว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ลงโทษความผิดระหว่างวันที่ 2 มกราคม ถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2535 จำคุก 4 เดือน และปรับ 133,333.33 บาท และความผิดระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม ถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2535 จำคุก 1 ปี และปรับ 333,333.33 บาท โทษจำคุกไม่รอการลงโทษ ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2558 ศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่านางสาวสุรีย์เป็นตัวการร่วมกับนางชมพูนุท กระทำความผิด 1 กระทง ตามมาตรา 243 และ 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษนางสาวสุรีย์ จำคุก 1 ปี และปรับ 333,333.33 บาท และนางชมพูนุท จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 500,000 บาท โทษจำคุกไม่รอการลงโทษ ปัจจุบันบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC ได้เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทเป็น บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ ซึ่งถือเป็นการรีแบรนด์ใหม่ หลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทีมผู้บริหาร โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. มิ.ย. 11, 2015 8:21 pm
0
2
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
ก.ล.ต.ลงดาบผู้แนะนำการลงทุน บล.เอเชีย เวลท์ 2 ราย ฐานไม่มีบันทึกคำสั่งซื้อขายของลูกค้า 04 มิ.ย. 2558 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่าได้สั่งพักผู้แนะนำการลงทุนด้านตราสารทุนรายนางสาวสุพรรณษา พิทักษ์วงศ์เลิศ และผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนรายนางสาวมารียา ซื่อชัยเจริญ สังกัดบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ จำกัด (บล. เอเชีย เวลท์) ฐานไม่บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ให้ครบถ้วน ภายหลังตรวจสอบพบว่านางสาวสุพรรณษาไม่บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าหลายรายการ โดยยอมรับว่ารับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ทางโทรศัพท์มือถือ ขณะที่นางสาวมารียา ก.ล.ต. ตรวจสอบพบการไม่บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าหลายรายการ ซึ่งนางสาวมารียายอมรับว่าลูกค้าส่งคำสั่งทาง LINE ทั้งนี้ การไม่บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ให้ครบถ้วนเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามข้อ 23(3) และเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนตามข้อ 31(1) แห่งประกาศ ที่ ทลธ. 8/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ก.ล.ต. จึงสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านตราสารทุนของนางสาวสุพรรณษาเป็นเวลา 2 เดือนแต่เมื่อคำนึงถึงกรณีที่ บล. เอเชีย เวลท์ลงโทษพักการปฏิบัติงานไปแล้ว 1 เดือน จึงเหลือระยะเวลาพัก 1 เดือน และสั่งพักการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนของนางสาวมารียาเป็นเวลา 2 เดือน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2558
โดย
Seattle
พฤหัสฯ. มิ.ย. 04, 2015 11:19 pm
0
1
Re: ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 1/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 7 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ บทความหลายๆครั้งที่ผ่านมาจะเป็นตัวอย่างของคนทำงานกินเงินเดือนทั่วไปที่ไม่ได้มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เพียงแค่มีความตั้งใจจริงและทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเงินๆทองๆก็สามารถสร้างตัวเองจากที่ไม่มีอะไรจนมีอิสรภาพทางการเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรบริษัทที่ไม่ยอมซื้อรถซื้อบ้านแต่นั่งรถเมล์ไปทำงานจนเลิกทำงานได้ด้วยเงินปันผลจากการลงทุนในตลาดหุ้น หรือพยาบาลที่ทำงานราชการเงินเดือนน้อยนิดจนสามารถมีชีวิตอยู่ได้จากเงินปันผลเช่นเดียวกัน หรือพนักงานออฟฟิศที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จนทำเงินได้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับหลายสิบเท่าในแต่ละปี หรือแม้กระทั่งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานใช้แรงงานอย่างคนสวนที่คิดเก็บเงินจนสามารถมีธุรกิจของตนเองได้ในบ้านเกิดเป็นต้น ดังนั้นพนักงานออฟฟิศทั้งหลายที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่ยังมีความหวังที่คิดว่าสักวันเราต้องทำให้ได้อย่างท่านอื่นๆที่กล่าวถึงนั้นอาจจะต้องบอกว่า ทุกท่านทำได้แน่นอน เพียงแต่ต้องอาศัยความขยัน ประหยัด อดทนต่อการได้รับผลลัพธ์จากสิ่งที่ลงทุนลงแรงลงไปอย่างไม่ย่อท้อ ทุกท่านที่กล่าวเป็นตัวอย่างมานั้นสามารถลงทุนจนเปลี่ยนชีวิตได้ด้วยหลักการดังต่อไปนี้ หนึ่ง มีเป้าหมาย ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นต้องเริ่มต้นด้วยเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายของเราอาจหมายถึงได้มีอิสรภาพทางการเงินด้วยจำนวนเงินหนึ่งภายในระยะเวลากี่ปี เช่น ต้องการมีรายได้จากเงินปันผลเดือนละ 1 แสนบาทภายใน 10 ปีเป็นต้น เป้าหมายที่ดีต้องเขียนออกมาอย่างชัดเจนระบุทั้งเงื่อนไขอย่างรายได้และเวลา ควรจะบันทึกลงในสมุดพกหรือกระดาษที่สามารถนำมาออกมาพิจารณาได้อยู่ตลอดเวลา คนจำนวนมากอยากร่ำรวยแต่ไม่มีเป้าหมายว่าจะรวยแค่ไหน มีเงินเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย หรือเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาเนื่องจากไม่ได้บันทึกไว้เป็นต้น สอง ทำงานเก็บเงิน ทุกท่านที่กล่าวถึงในบทความครั้งก่อนๆเป็นพนักงานกินเงินเดือนแทบทั้งสิ้น พนักงงานออฟฟิศจำนวนมากทำงานเดือนชนเดือนเพราะไม่มีเงินเก็บ ส่วนใหญ่อ้างว่าไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะค่าใช้จ่ายเยอะ แต่ในความเป็นจริงหลายคนเงินเดือนไม่มากนัก เช่น วิศวกรจบใหม่หรือพยาบาลหรือแม้แต่คนสวนที่เคยพูดถึง แต่เขาเหล่านั้นมีเป้าหมายในการเก็บเงินที่แน่นอน ที่สำคัญคือจ่ายให้ตนเองก่อนนั่นคือกันเงินออกมาจำนวนหนึ่งก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย เช่น อาจจะจ่ายให้ตนเองก่อนเป็นจำนวนเงิน 30 เปอร์เซนต์ของเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนและเข้าบัญชีไว้โดยบัญชีนี้จะไม่นำไปใช้จ่ายแต่อย่างใด ส่วนเงินที่ใช้ในแต่ละเดือนจะใช้เพียงเงิน 70 เปอร์เซนต์ที่เหลือจากที่หักออกไปแล้วเท่านั้น ตามจิตวิทยาของมนุษย์ ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีเงินเราจะไม่ใช้เงินก้อนนั้น บัญชีที่เก็บไว้นี้ก็เหมือนกันคือต้องบอกตนเองว่าเงินที่เก็บนั้นถือว่าไม่มีและนำมาใช้จ่ายไม่ได้ ส่วนจะกันเงินออกมาเป็นเงินค่าใช้จ่ายอะไรบ้างก็ให้ทำในส่วนที่เหลือเช่นเก็บเงินซื้อเสื้อผ้าหรือมือถือ หรือเก็บเงินเพื่อการท่องเที่ยวให้แยกบัญชีไว้ต่างหากจากเงินที่จ่ายเพื่อตัวเราเอง ถ้ายังทำไม่ได้หรือไม่มีเงินเก็บอาจจะต้องพิจารณาดูว่ารายจ่ายไหนเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็นก็งดหรือเปลี่ยนเป็นสิ่งที่มีราคาลดลง เช่น กาแฟแก้วละร้อยอาจเปลี่ยนเป็นกาแฟที่ชงเองจะถูกกว่าเป็นต้น ถ้าจะมีอิสรภาพทางการเงินด้วยระยะเวลาที่ไม่นานนักควรจะเก็บเงินให้ได้ 30-50 เปอร์เซนต์ของรายได้ในแต่ละเดือน สาม นำเงินไปลงทุน หลังจากที่เก็บเงินได้แล้ว สิ่งต่อไปคือการหาความรู้ในการลงทุนให้เชี่ยวชาญและนำเงินเก็บนั้นไปลงทุนในสิ่งที่เรามีความรู้ การลงทุนในช่วงแรกๆอาจจะไม่ง่ายนักเพราะประสบการณ์ยังน้อย แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปความรู้ในการลงทุนที่มากขึ้นจะช่วยให้การลงทุนของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับการฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆ หลายคนมีเงินแต่ไปลงทุนในสิ่งที่ไม่ถนัดหรือไม่มีความรู้ เช่น เล่นหุ้นในตลาดหุ้นหรือซื้อคอนโดเก็งกำไรซึ่งการลงทุนที่ดีนั้นเราควรมีความรู้อย่างแท้จริง ถ้าคิดว่าตนเองไม่ถนัดในการลงทุนควรจะใช้มืออาชีพอย่างการลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งเป็นต้น จะเห็นว่าการมีอิสรภาพทางการเงินจากการทำงานประจำนั้น ไม่ได้มาได้ง่ายๆเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ หัวใจสำคัญนั้นรวมถึงความอดทนให้เห็นผลลัพธ์จากการลงทุนที่ใช้เวลาพอสมควรอีกด้วย
โดย
Seattle
พุธ มิ.ย. 03, 2015 8:55 am
0
1
Re: รวมข่าว ปั่นหุ้น
เพิกถอน นักวิเคราะห์ “ณัฐพงศ์ ลาภล้ำวานิช” บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2558 ก.ล.ต. สั่งเพิกถอนผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนราย “ณัฐพงศ์ ลาภล้ำวานิช” สังกัด บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เหตุกระทำผิดฐานรับมอบหมายในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์แทนผู้ลงทุน ตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนโดยที่ผู้ลงทุนไม่ได้สั่ง และใช้บัญชีหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเอง เป็นเวลา 2 ปี 11 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้รับรายงานการตรวจสอบกรณีลูกค้าร้องเรียนของ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง และได้รับเรื่องร้องเรียนโดยตรง จึงตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า นายณัฐพงศ์ รับมอบหมายในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์แทนลูกค้าหลายรายเป็นเวลานาน และมีปริมาณการซื้อขายสูง นอกจากนี้ นายณัฐพงศ์ ยังยอมรับว่า ได้ตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์แทนลูกค้ารายหนึ่งโดยลูกค้าไม่ได้สั่ง ทั้งที่ลูกค้าแจ้งให้หยุดการซื้อขายแล้ว แต่ด้วยขณะนั้นบัญชีหลักทรัพย์ของลูกค้าขาดทุน จึงเร่งซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อหวังให้ได้กำไรคืนโดยไม่แจ้งให้ลูกค้าทราบ นอกจากนี้ จากการตรวจสอบเทปบันทึกการสนทนาเพิ่มเติมพบว่า นายณัฐพงศ์ ขอใช้บัญชีของลูกค้าอีกรายหนึ่งซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเอง การรับมอบหมายในการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์แทนผู้ลงทุน การตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนโดยที่ผู้ลงทุนไม่ได้สั่ง และการใช้บัญชีหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเอง เป็นการไม่ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนเกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ก.ล.ต. จึงสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุนของนายณัฐพงศ์ และกำหนดระยะเวลาในการรับพิจารณาคำขอความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนในคราวต่อไปเป็นเวลา 2 ปี 11 เดือน แต่เมื่อคำนึงถึงกรณีที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ลงโทษพักการปฏิบัติงานมาแล้วเป็นเวลา 1 เดือน 4 วัน จึงเหลือกำหนดระยะเวลาในการรับพิจารณาคำขอความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุนในคราวต่อไปเป็นเวลา 2 ปี 9 เดือน 26 วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2558 ข้อ 20(1) และ (2) แห่งประกาศ ที่ ทลธ. 3/2555 เป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน กลุ่มที่ 3 ตามข้อ 6(1) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทธ/น/ข. 37/2553 เรื่อง ลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2553 ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อ 23(1) และ (2) และเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน กลุ่มที่ 3 ตามข้อ 31(1) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทลธ. 8/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2557 ที่ใช้บังคับแทนประกาศทั้งสองฉบับดังกล่าว
โดย
Seattle
อังคาร พ.ค. 26, 2015 9:36 am
0
2
Re: ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 1/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 4 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ ตัวอย่างที่ผ่านมาในบทความที่แล้วส่วนใหญ่มักเป็นชีวิตคนทำงานออฟฟิศกินเงิน เดือนและเก็บหอมรอมริบและนำเงินเก็บที่มีไปลงทุนในสิ่งที่มีความรู้เช่นหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ ครั้งนี้จะกล่าวถึงกลุ่มคนใช้แรงงานที่สามารถเก็บเงินและสร้างการลงทุนจน พนักงานออฟฟิศยังต้องทึ่งและอิจฉาในความขยันและมุ่งมั่นเลยทีเดียว พนักงานประจำกินเงินเดือนส่วนใหญ่ทำงานมานานหลายปี จำนวนมากไม่มีเงินเก็บหรือถึงมีก็มีแค่เล็กน้อยเพียงพอให้อยู่ไปได้แค่ไม่ กี่เดือนถ้าไม่มีงานทำ ถ้าตกงานก็ต้องดิ้นรนหางานใหม่ มิฉะนั้นก็อาจจะต้องอยู่อย่างกระเหม็ดกระแหม่เพื่อไม่ให้เงินเก็บที่มีต้อง หมดลง เรียกได้ว่าไม่สามารถหยุดทำงานได้ถึงแม้จะเป็นงานที่ตนเองไม่ได้ชอบหรือไม่ ได้รักที่จะทำ เหตุผลหลักๆที่ไม่สามารถเก็บเงินได้ก็คือเงินเดือนน้อยและค่าครองชีพสูง ซึ่งในความเป็นจริงมันอาจจะเป็นแค่ข้ออ้างของพนักงานออฟฟิศเท่านั้นก็เป็นไป ได้ ปัจจุบันเงินเดือนพนักงานที่ทำงานในออฟฟิศส่วนใหญ่น่าจะรายได้เกินหนึ่ง หมื่นบาทขึ้นไปจนถึงหลายหมื่นบาทขึ้นกับประสบการณ์ทำงานและบริษัทที่ทำ งานอยู่ นอกเหนือจากนั้นยังมีสวัสดิการพนักงานอื่นๆอีกพอสมควรอย่างกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพหรือประกันสังคมเป็นต้น ถึงอย่างนั้นก็ตามหลายคนยังชักหน้าไม่ถึงหลังหรือใช้เงินเดือนชนเดือน สิ้นเดือนเหมือนจะสิ้นใจ รอว่าวันไหนจะถึงวันเงินเดือนออกสักที อาจจะเป็นไปได้ว่าสังคมของคนทำงานออฟฟิศนั้นอาจต้องใช้ของที่มีความจำเป็น สูงเช่น สมาร์ตโฟนที่ต้องคอยติดต่อกับเพื่อนทางโซเชียลมีเดียหรือต้องไปกินกาแฟแก้ว ละร้อยกว่าบาทเป็นต้น ซึ่งถ้าเงินเดือนสูงๆคงไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับพนักงานออฟฟิศทั่วไปรายจ่ายที่มากเกินความจำเป็นทำให้ไม่มีเงิน เหลือเก็บ สุดท้ายก็กลายเป็นข้ออ้างว่าเก็บเงินไม่ได้สักที ครั้งนี้จะกล่าวถึงผู้ใช้แรงงานท่านหนึ่งชื่อพัลลภ เขาเป็นแรงงานต่างด้าวมาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาหางานใช้แรงงานในประเทศ ไทย งานแรกที่เขาทำคืองานที่โรงงานอาหารทะเลโดยได้รับค่าจ้างเป็นรายวันและไม่ ได้มีสวัสดิการอื่นๆแต่อย่างใด งานที่ทำเป็นงานที่หนักและคนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากทำ หลังจากทำงานมาสักระยะหนึ่งเขาพบว่าไม่มีเงินเหลือเก็บ เพราะรายได้ที่ได้มาต้องไปจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านรวมถึงค่าอาหารอีกวันละหลาย ร้อยบาท ยิ่งทำงานไป ยิ่งมองไม่เห็นอนาคต เขาจึงมองหางานใหม่ที่ทำให้เขาสามารถมีเงินเหลือเก็บได้ หลังจากลาออกจากโรงงานอาหารทะเลแล้ว พัลลภไปทำงานเป็นคนสวนของร้านขายต้นไม้ เขาตื่นแต่เช้ามารดน้ำต้นไม้ จัดสวน เก็บเศษใบใบหญ้า ดูแลต้นไม้ที่ชำไว้ หลังจากร้านเปิดก็ทำหน้าที่เฝ้าร้านและขายต้นไม้ไปด้วย เขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เคยโกงเจ้าของร้านเลยสักครั้งเดียว ทั้งๆที่มีโอกาสในการโกงสูงมาก เพราะต้องรับเงินสดจากการขายต้นไม้ทุกวัน นอกเหนือจากนั้นเขายังขยันขันแข็ง ทำงานโดยไม่เคยบ่น ไม่เคยขอค่าแรงเพิ่ม นอกเหนือจากนั้นเขายังไม่ติดอบายมุข ไม่เล่นการพนัน ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวการคืน เขามุ่งมั่นทำงาน เงินเดือนที่ได้รับประจำเดือนละ 7 พันบาท เจ้าของร้านเห็นความตั้งใจและขยันซื่อสัตย์จึงให้ค่าคอมมิชชั่นจากการขาย ต้นไม้ให้อีกทุกเดือนเดือนละประมาณ 4-5 พันบาทรวมเป็นเงินที่ได้เดือนละหมื่นต้นๆ ที่ร้านต้นไม้มีที่พักให้พนักงานที่เป็นแรงงานต่างด้าวรวมทั้งเลี้ยงอาหาร อีก 3 มื้อ เงินเดือนที่ได้พัลลภจึงเก็บเอาไว้โดยไม่ได้นำไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแต่อย่างใด โทรศัพท์ก็ใช้เท่าที่จำเป็นและเป็นรุ่นเก่าๆราคาไม่กี่ร้อยบาท หลังจากทำงานที่ร้านขายต้นไม้ได้ 6-7 ปี เขาสามารถเก็บเงินได้ถึงหนึ่งล้านบาท มาถึงตอนนี้พนักงานออฟฟิศคงสงสัยว่าเขาทำได้อย่างไร ทำไมเราเงินเดือนหลายหมื่นบาททำงานมาจะเป็นสิบปีแล้วถึงยังเก็บเงินไม่ได้ สักที พัลลภได้เงินเดือนเดือนละ 12,000 บาท เขาเก็บเงินทั้งหมด ดังนั้นในหนึ่งปีเขาจะเก็บเงินได้ 12,000X12=144,000 บาทต่อปี ถ้าเก็บเงินเช่นนี้เป็นเวลา 7 ปีจะสามารถเก็บเงินได้ 144,000X7= 1,008,000 หรือครบหนึ่งล้านบาทพอดี ไม่ยากเลยเพียงแค่มีวินัยและความประหยัดอดออม จะเห็นว่าถึงแม้จะเป็นคนใช้แรงงานเงินเดือนน้อยก็สามารถสร้างฐานะขึ้นมาได้ ดังนั้นพนักงงานออฟฟิศเงินเดือนหลายหมื่นบาทนั้น การบอกว่าเก็บเงินไม่ได้เพราะเงินเดือนน้อยเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง
โดย
Seattle
อังคาร พ.ค. 05, 2015 8:05 pm
0
1
Re: ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 1/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 5 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ บทความฉบับที่แล้วกล่าวถึงคนสวนแรงงานต่างด้าวเงินเดือนหมื่นต้นๆที่ทำงานเก็บเงินมา 6-7 ปีจนสามารถมีเงินเก็บถึง 1 ล้านบาท หลังจากที่มีผู้อ่านบทความนั้นและแสดงความคิดเห็นเข้ามาปรากฏว่ามีเป็นจำนวนมากที่บอกว่าก็เพราะคนสวนคนนั้นมีที่อยู่ฟรี มีอาหารทานฟรีสามมื้อนะซิถึงเก็บเงินได้ขนาดนั้น แต่คนทำงานออฟฟิศต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า ค่าอาหารและค่าอื่นๆอีกจิปาถะจะไปมีเงินเก็บอย่างนั้นได้อย่างไร แค่เงินเดือนก็ไม่พอใช้แล้ว จริงๆแล้วการที่เราเก็บเงินได้ไม่ได้นั้นสาเหตุหลักมาจากความคิดของเราเองมากกว่า คนทำงานกินเงินเดือนส่วนใหญ่มีรายได้มากกว่าคนสวนต่างด้าวท่านนั้นมากหลายเท่า แต่สุดท้ายก็เก็บเงินไม่ได้สักที หลายคนมีเงินเก็บน้อยกว่าคนสวนต่างด้าวเสียอีก ถ้าเราคิดว่าเก็บเงินไม่ได้ สุดท้ายเราก็จะเก็บเงินไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเราตั้งใจเก็บเงินแล้ว เราจะเก็บเงินได้อย่างแน่นอน หลักการแรกของขั้นตอนการเก็บเงิน คือ ต้อง”จ่ายเงินให้ตนเองก่อน” คนส่วนใหญ่เวลาเงินเดือนออกมักจะใช้ไปเรื่อยๆเหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บ ซึ่งในความเป็นจริงพบว่าใช้หมดทุกทีจนไม่เหลือเงินเก็บเมื่อถึงสิ้นเดือน แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการโดยหักเงินเดือนก้อนหนึ่งเข้าบัญชีทุกเดือนก่อนที่จะนำไปใช้จ่ายโดยเงินที่เก็บนี้จะไม่นำไปใช้ เงินที่เหลือจากที่หักแล้วเท่าไหร่ถึงจะใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ทำให้มีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนเพราะตามหลักจิตวิทยาแล้ว ถ้าเราไม่รู้ว่ามีเงินเราจะไม่ใช้เงินก้อนนั้น ตัวอย่างเช่น สมมติเรารู้ว่าเดือนหน้าเราจะได้โบนัส เราจะเริ่มหาทางใช้เงินโบนัสนั้นตั้งแต่ยังไม่ได้รับมัน หลายคนใช้เงินโบนัสหมดตั้งแต่รับรู้ว่าจะได้เงินก้อนนั้น ดังนั้นถ้าเราหักเงินในแต่ละเดือนเก็บไว้แยกต่างหากและไม่คิดนำมาใช้ เราก็จะสามารถใช้เงินที่เหลือจากที่เก็บนั้นได้อย่างเพียงพอ ข้อสอง คือ การตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หลายคนใช้เงินไปในแต่ละเดือนโดยที่ไม่รู้ว่าเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง พอถึงสิ้นเดือนเงินก็หมดต้องไปกู้หนี้ยืมสินหรือไม่ก็ใช้บัตรเครดิตซื้อของโน้นนี่ ถ้าเราเริ่มบันทึกค่าใช้จ่ายในแต่ละวันว่าใช้อะไรไปบ้าง จากนั้นนำมารวบรวมเพื่อมาเป็นหลักฐานว่าเราใช้เงินไปเกี่ยวกับเรื่องอะไร เช่น ค่าเดินทาง ค่าบ้าน ค่าอาหารและอื่นๆ หลังจากนั้นให้พิจารณาว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของเรานั้นเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นหรือไม่ เช่น ค่ากาแฟ ค่าเสื้อผ้าชุดใหม่ ค่ารองเท้า ค่ากระเป๋า มือถือเครื่องใหม่ หลายๆอย่างเราอาจพบว่าสิ่งของที่เราซื้อมานั้นอาจจะไม่ได้ใช้หรือใช้เพียงไม่กี่ครั้งทั้งๆที่ของเก่ายังใช้ได้ นอกเหนือจากนั้นรายจ่ายบางอย่างอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนนั้นลงไปได้อีกมาก สิ่งสำคัญคือแยกให้ออกระหว่างของที่จำเป็นและของที่ไม่สำคัญ หลักการที่สาม คือ การตั้งเป้าหมายการออม หลายคนไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะไม่มีเป้าหมาย เพียงแค่คิดว่าอยากเก็บเงินแต่ไม่รู้ว่าจะเก็บให้ได้เท่าไหร่นั้นอาจจะไม่เพียงพอ เราอาจจะต้องตั้งเป้าหมายการออมว่าจะเก็บออมเงินให้ได้เท่าไหร่ในเวลาที่ระบุไว้ เช่นเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านบาทในเวลาสามปี จากนั้นจึงเริ่มทำตามขั้นตอนทั้งสองข้อที่กล่าวมาข้างต้น พนักงานออฟฟิศจำนวนมากมีรายได้มากแต่ไม่มีเป้าหมายการออมทำให้เก็บเงินไม่ได้ เป้าหมายนั้นควรจะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและนำมาตรวจสอบกับจำนวนเงินที่เราทำได้ในแต่ละช่วงเวลาเพื่อพิจารณาว่าวิธีการที่เราใช้อยู่นั้นมีประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหน เช่น อาจจะจ่ายให้ตนเองน้อยเกินไปหรือตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้อีกเป็นต้น ถ้าดำเนินการทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วยังพบว่าในแต่ละเดือนยังไม่สามารถเก็บเงินได้อีก ถึงแม้จะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปเกือบหมดแล้ว อาจเป็นไปได้ว่ารายได้ของเราอาจจะน้อยเกินกว่าคุณภาพชีวิตที่เราต้องการ ถ้าเป็นเช่นนั้นการหางานใหม่ที่มีรายได้มากกว่าเดิมอาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ จะเห็นว่าการเก็บเงินไม่ได้นั้นสำคัญที่สุดคือความคิดของเราเองเพราะสุดท้ายแล้วการบอกว่าเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเพียงข้ออ้างของตัวเราเท่านั้นเอง
โดย
Seattle
อังคาร พ.ค. 05, 2015 8:03 pm
0
1
Re: รู้จัก “วิลเลี่ยม รูแอน”/ประภาคาร ภราดรภิบาล
รู้จัก “วิลเลี่ยม รูแอน” ตอนที่ 2 / ประภาคาร ภราดรภิบาล จากบทความในตอนที่แล้ว ที่เล่าถึงว่า “วิลเลี่ยม รูแอน” เป็นหนึ่งในสาวกของ “เบนจามิน เกรแฮม” - บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เช่นเดียวกับ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นอกจากนี้ “วิลเลี่ยม รูแอน” ยังเป็นผู้จัดการกองทุนคนเดียวที่ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” แนะนำให้หุ้นส่วนของเขานำเงินไปลงทุนด้วยถ้าหากยังต้องการลงทุนอยู่หลังจากที่ “บัฟเฟตต์” ตัดสินใจยุติห้างหุ้นส่วนด้านการลงทุน Buffett Partnership ลง ฝีมือด้านการลงทุนของ “วิลเลี่ยม รูแอน” ในฐานะผู้จัดการกองทุน Sequoia นั้น มีการบันทึกไว้ว่า ถ้าลงทุน 10,000 เหรียญกับกองทุน Sequoia ในปี 1970 เงินจะเพิ่มมูลค่าเป็น 1,315,850 เหรียญตอนสิ้นปี 2000 “รูแอน” เล่าว่า เขาเคยได้รับคำแนะนำดี ๆ จาก “ฮัลเบิร์ต เฮททิงเจอร์” ผู้ที่เขายกย่องว่าเป็นนักลงทุนชั้นยอดคนหนึ่งถึงแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักมากนัก “รูแอน” บอกว่านี่เป็นกฎ 4 ข้อของ “เฮททิงเจอร์” ที่เขาจดจำได้ขึ้นใจ ไม่เคยลืม 1. อย่าใช้มาร์จิน ถ้าคุณฉลาด คุณไม่จำเป็นต้องยืมเงินเพื่อทำเงิน แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณไม่ฉลาดพอ คุณอาจหมดตัวได้ 2. ซื้อหุ้น 6-7 ตัว ที่คุณรู้จักมันดี จัดพอร์ตโฟลิโอแบบมุ่งเน้น แต่อย่ามีหุ้นเพียง 1-2 ตัวซึ่งน้อยเกินไป 3. ไม่ต้องสนใจกับการขึ้นลงของดัชนีตลาดหุ้น ให้มุ่งเน้นเฉพาะหุ้นเป็นรายตัวไป 4. ราคาหุ้นและตลาดหุ้น สามารถเหวี่ยงตัวไปได้อย่างสุดโต่งทั้งขาขึ้นและขาลง ดังนั้นจงลงทุนด้วยความระมัดระวัง “วิลเลี่ยม รูแอน” เสียชีวิตในวัย 79 ปีเศษ ในปี 2005 แต่กองทุน Sequoia ซึ่งเขาเคยฝากฝีมือในการบริหารไว้อย่างยอดเยี่ยมก็ยังคงเปิดดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน
โดย
Seattle
พุธ เม.ย. 15, 2015 3:34 pm
0
3
Re: ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 1/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 3 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ จากชีวิตคนทำงานกินเงินเดือนธรรมดาจนสามารถมีอิสรภาพทางการเงินอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานอีกต่อไปนั้นมีตัวอย่างอีกมากที่เกิดขึ้นจริง ส่วนใหญ่จะมาจากการเก็บหอมรอมริบและนำเงินเก็บที่มีไปลงทุนในสิ่งที่มีความรู้ ครั้งนี้จะกล่าวถึงนักลงทุนสาวท่านหนึ่งที่เติบโตมาจากต่างจังหวัด เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพในช่วงมัธยมขณะที่พ่อแม่ยังทำงานอยู่ต่างจังหวัด การเรียนในกรุงเทพนั้นเป็นสิ่งที่ต้องดิ้นรนขวนขวายด้วยตนเองเพราะไม่มีพี่น้องให้คำปรึกษาแต่อย่างใด หลังจากเรียนจบมัธยมด้วยความกตัญญูจึงไปสอบเป็นพยาบาลทั้งๆที่ในใจอยากเรียนด้านวิทยาศาตร์มากกว่า แต่ด้วยที่บ้านอยากให้ทำอาชีพพยาบาลเพราะจะได้ดูแลพ่อแม่ตอนแก่เฒ่าจึงยอมทนเรียนพยาบาลจนจบ หลังจากเรียนจบได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลของรัฐ เนื่องจากค่านิยมของคนต่างจังหวัดสมัยก่อนต้องการให้ลูกหลานเข้ารับราชการเพราะจะได้มีสวัสดิการรักษาพยาบาลให้กับพ่อแม่และคนในครอบครัวอีกด้วย เงินเดือนราชการเริ่มต้นไม่กี่พันบาทแต่ก็ยอมทนเพื่อบุพการี หลังจากเริ่มงานพยาบาลไปสักพักพบว่างานพยาบาลอาจจะไม่ใช่หนทางที่ตนเองต้องการเพราะในหน่วยงานที่ทำงานนั้นเต็มไปด้วยความฉ้อฉลและคอรัปชั่น จึงขอย้ายหน่วยงานไปทำงานในหน่วยราชการอื่นอย่างเทศบาลเมือง ระหว่างที่ทำงานไปนั้นเธอใช้ชีวิตอย่างสมถะ ไม่ได้หลงไหลไปกับความฟุ้งเฟ้ออย่างเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ เงินเดือนส่วนใหญ่ก็ส่งให้พ่อแม่และเก็บหอมรอมริบไว้ทุกๆเดือนถึงแม้เงินเดือนจะไม่ได้มากมายอะไรนัก หลังจากย้ายที่ทำงานไปทำงานในเทศบาลเมืองก็ยังหนีความฉ้อฉลในวงราชการไม่ได้เหมือนเดิม ทำให้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากราชการ แต่หัวหน้าทัดทานไว้และบอกว่าอีกไม่กี่ปีก็ได้อายุราชการที่จะได้สิทธิรับบำนาญแล้ว ทนต่อไปอีกหน่อย จึงขอย้ายไปทำงานในโรงพยาบาลสังกัดรัฐอีกแห่งหนึ่งแต่ทำด้านธุรการแทนโดยไม่ได้เข้าเวรประจำ ระหว่างนี้เงินเดือนที่ได้รับก็มากขึ้นตามอายุงาน แต่ถ้าเทียบกับเอกชนก็ถือว่าน้อยมากเพราะได้รับเงินเดือนเพียงไม่กี่หมื่นบาทต่อเดือนเมื่อเทียบกับอายุงานกว่าสิบปี เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเพียงไม่กี่แสนบาทจึงมองหาหนทางในการลงทุน ช่วงนั้นเป็นช่วงหลังวิกฤติซัพไพร์ม ตลาดหุ้นตกต่ำไปทั่วโลก นักลงทุนต่างหนีหายจากตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าการซื้อขายวันหนึ่งไม่กี่พันล้านบาท เธอได้เข้าไปในเวปไซค์ไทยวีไอและเริ่มศึกษาการลงทุนแบบเน้นคุณค่าซึ่งพบว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับวีไอมาอ่านซึ่งขณะนั้นมีหนังสือแปลออกมาเป็นภาษาไทยจำนวนมาก และเริ่มนำเงินเก็บเข้ามาลงทุนตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงแรกๆนั้น ครอบครัวยังเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการลงทุนหุ้น แต่ด้วยทัศนคติที่ต่างกันในการลงทุน เพราะอีกฝ่ายมองว่าเวลาหุ้นราคาลดลงจะขาดทุนต้องรีบขายเพื่อออกจากตลาดไป ขณะที่เธอมองว่าเวลาราคาหุ้นลดลงกลับเป็นโอกาสในการลงทุน วันหนึ่งเธอตัดสินใจซื้อหุ้นธนาคารเพราะมีข่าวว่าจะมีปันผลและธุรกิจยังไปได้ดี แต่ปรากฏว่าดัชนีตลาดหุ้นตกลงอย่างมากทำให้หุ้นธนาคารนั้นลดลงจนขาดทุนไปเป็นเงินหลายแสนบาทรวมทั้งมีแรงกดดันจากคนรอบข้างให้รีบขายหุ้นนั้นออกไปเพื่อจะไม่ให้ขาดทุนมากยิ่งขึ้น แต่เธอกลับทำในสิ่งตรงกันข้ามคือซื้อหุ้นนั้นมากขึ้น พอเวลาผ่านไปตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคัก ราคาหุ้นธนาคารนั้นปรับตัวสูงขึ้นจนสามารถทำกำไรได้เป็นล้านบาท ในช่วงเวลาที่ทำงานนั้น เธอได้ลงทุนไปด้วย ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาขึ้นหลังจากวิกฤติซัพไพร์ม ดัชนีจาก 400 จุดปรับตัวมาเป็น 1,500-1,600 จุดในปัจจุบัน หุ้นที่เธอลงทุนมีราคาเพิ่มขึ้นมากรวมถึงปันผลที่ได้รับในแต่ละปีมากกว่าเงินเดือนที่ได้จากอาชีพราชการ จนวันหนึ่งเมื่อถึงอายุราชการที่สามารถมีบำนาญได้จึงตัดสินใจลาออกและเป็นนักลงทุนเต็มตัว จะเห็นว่าถึงแม้จะมีอาชีพรับราชการเงินเดือนน้อยนิด แต่ด้วยความมุ่งมั่นและอดออมรวมถึงการแสวงหาความรู้ในการลงทุนก็สามารถลงทุนจนเปลี่ยนชีวิตได้เช่นกัน
โดย
Seattle
อังคาร เม.ย. 07, 2015 3:35 pm
0
2
Re: ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 1 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 2 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ บทความความที่แล้วกล่าวถึงวิศวกรจบใหม่ทำงานในบริษัทผลิตวัสดุก่อสร้างขนาด ใหญ่ เริ่มต้นจากตำแหน่งวิศวกรเงินเดือนหลักหมื่น และโชคดีที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอ ทำให้เขาประหยัดและเก็บหอมรอมริบโดยไม่ซื้อบ้านหรือซื้อรถยนต์เหมือนอย่างคน ทำงานรุ่นเดียวกัน ขณะทำงานเขาเช่าบ้านอยู่และนั่งรถเมล์ไปทำงาน เขาใช้เวลาสิบปีในการสร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอจน สามารถลาออกจากงานได้เพราะเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปีเป็นเงินหลายล้านบาท บทความครั้งนี้จะกล่าวถึงพนักงาน กินเงินเดือนอีกหนึ่งท่านที่ตั้งใจลงทุนจนสามารถเปลี่ยนชีวิตได้โดยไม่ต้อง ง้อมรดกจากใครๆ เขาไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นแต่เขาร่ำรวยได้จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบ ค่อยเป็นค่อยไป หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและทำงานออฟฟิศมา สักระยะหนึ่งจนได้เข้าทำงานกับบริษัทน้ำมันต่างชาติที่ได้ชื่อว่ามีฐานะการ เงินมั่นคงและอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน จนวันหนึ่งประเทศไทยลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 เศรษฐกิจของไทยและเอเชียได้รับผลกระทบอย่างมาก บริษัทที่เขาทำงานที่ครั้งหนึ่งเคยคิดกันว่ามั่นคงและมีนโยบายจ้างพนักงานจน เกษียณอายุเริ่มเปลี่ยนไป มีการปรับเปลี่ยนองค์กรและมีโครงการจ้างพนักงานออกโดยความสมัครใจซึ่งในความ เป็นจริงคนที่ถูกให้ออกมักจะไม่ค่อยสมัครใจเท่าไหร่นัก บริษัทเริ่มลดพนักงานโดยการยุบแผนกหรือตัดขายกิจการที่ไม่ทำกำไรออกไป จากความมั่นคงในการทำงานกลายเป็นความสั่นคลอนในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่บริษัทจะเชิญให้ออกจากการเป็นพนักงาน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าการพึ่งพิงแต่การหารายได้จากการทำงานประจำนั้นไม่ใช่ สิ่งที่น่าทำอีกต่อไป แต่การหารายได้จากทางอื่นนั้นจะมีวิธีการอย่างไรได้บ้าง ช่วงนั้น เขาได้อ่านหนังสือของโรเบิร์ต คิโยซากิเรื่อง”พ่อรวยสอนลูก”และ”เงินสี่ด้าน”ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาไทย ทำให้เขาได้คำตอบจากสิ่งที่เขาค้นหามานาน นั่นคือการสร้าง”รายได้ที่ไม่ได้มาจากการทำงาน” หรือ Passive Income คิโยซากิบอกว่าพนักงานออฟฟิศและผู้ทำกิจการส่วนตัวนั้นต้องใช้แรงงานเข้าแลก ในการหาเงินหรือทำงานเพื่อเงิน แต่อีกด้านหนึ่งนั้นนักลงทุนและเจ้าของกิจการกลับใช้เงินทำงานแทน นี่คือความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน นอกเหนือจากนั้นคิโยซากิยัง บอกอีกว่าคนชั้นกลางส่วนใหญ่ชอบคิดว่าบ้านหรือรถยนต์ที่มีนั้น เป็น”ทรัพย์สิน”ของตน แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นเป็น”หนี้สิน”เพราะทำให้เราต้องจ่ายเงินออก ไปทุกเดือนในรูปของค่าผ่อนบ้านผ่อนรถหรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ทรัพย์สินที่แท้จริงนั้นต้องทำเงินเข้ากระเป๋าของเราไม่ใช่ทำให้เงินไหลออก จากหนังสือเล่มนั้นทำให้เขาเข้าใจในความหมายของการมีทรัพย์สินที่ สร้าง”กระแสเงินสด”ให้กับเราตลอดเวลาแม้ขณะเรากำลังหลับหรือตื่น เขาเริ่มเข้าไปศึกษาอบรมเกี่ยวกับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นทุกครั้งที่ขับรถไปตามถนน เขามักจะสังเกตโครงการหรือห้างร้านต่างๆตามริมถนนว่ามีการประกาศซื้อ ขายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากนั้นเขายังไปชมโครงการขายคอนโดที่เปิดใหม่ต่างๆเพื่อดูลู่ทางใน การซื้อคอนโดเพื่อให้คนเช่า หลังจากขับรถดูทำเลตึกแถวและบ้านโครงการต่างๆอยู่เป็นร้อยๆแห่ง วัน หนึ่งเขาพบประกาศขายตึกแถวริมถนนบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขาพบว่าเป็นทำเลที่ดีมากเพราะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าแต่เนื่องด้วยเป็นตึกเก่า และค่อนข้างโทรมรวมทั้งประเทศไทยเพิ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ไม่ค่อยมีใคร สนใจมากนัก เขารีบโทรหาเจ้าของและพบว่าจะขายในราคา 10 ล้านบาท ถ้าเป็นคนอื่นที่ทำงานกินเงินเดือนทั่วไปอาจจะคิดว่าเงินตั้ง 10 ล้านจะหาเงินจากไหนมาซื้อและเลิกล้มความคิดที่จะซื้อไป สำหรับเขาตอนนั้นมีเงินสดในมือเพียงแค่ 5 แสนบาท แต่ด้วยความคิดว่าทำเลตรงนี้ดีมากและไม่ควรปล่อยให้โอกาสหลุดมือทำให้เขา ตัดสินใจวางเงินมัดจำกับเจ้าของที่ภายในวันนั้นเลยและขอเวลา 30 วันในการกู้เงิน เขาติดต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินแต่ธนาคารต้องการเงินดาวน์อย่างน้อย 10 เปอร์เซนต์หรือ 1 ล้านบาท เขาจึงยืมเงินจากญาติอีก 5 แสนบาทเพื่อนำมากู้ซื้อตึกแถวห้องนั้น หลังจากซื้อมาเขาปรับปรุงเล็กน้อยและให้ร้านสะดวกซื้อเช่าซึ่งค่าเช่าสามารถ จ่ายให้กับเงินที่ผ่อนธนาคารในแต่ละเดือนได้พอดี เวลาผ่านไป 10 ปี เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น คนเริ่มมาสนใจในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น มีคนมาขอซื้อตึกแถวที่เขาเป็นเจ้าของอยู่นั้นในราคา 30 ล้านบาทซึ่งเขาก็ขายให้ด้วยความยินดีโดยได้รับกำไรมากกว่า 20 ล้านบาทจากเงินลงทุนเพียง 5 แสนบาทกับแนวคิดที่มุ่งมั่นในการสร้างทรัพย์สินโดยคิดเสมอว่าทุกอย่างเป็นไป ได้ นี่เป็นอีกตัวอย่างของการลงทุนเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ
โดย
Seattle
พุธ มี.ค. 25, 2015 10:06 am
0
2
Re: ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 1 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 2 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ บทความความที่แล้วกล่าวถึงวิศวกรจบใหม่ทำงานในบริษัทผลิตวัสดุก่อสร้างขนาด ใหญ่ เริ่มต้นจากตำแหน่งวิศวกรเงินเดือนหลักหมื่น และโชคดีที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอ ทำให้เขาประหยัดและเก็บหอมรอมริบโดยไม่ซื้อบ้านหรือซื้อรถยนต์เหมือนอย่างคน ทำงานรุ่นเดียวกัน ขณะทำงานเขาเช่าบ้านอยู่และนั่งรถเมล์ไปทำงาน เขาใช้เวลาสิบปีในการสร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในตลาดหุ้นแบบวีไอจน สามารถลาออกจากงานได้เพราะเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปีเป็นเงินหลายล้านบาท บทความครั้งนี้จะกล่าวถึงพนักงาน กินเงินเดือนอีกหนึ่งท่านที่ตั้งใจลงทุนจนสามารถเปลี่ยนชีวิตได้โดยไม่ต้อง ง้อมรดกจากใครๆ เขาไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นแต่เขาร่ำรวยได้จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบ ค่อยเป็นค่อยไป หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีและทำงานออฟฟิศมา สักระยะหนึ่งจนได้เข้าทำงานกับบริษัทน้ำมันต่างชาติที่ได้ชื่อว่ามีฐานะการ เงินมั่นคงและอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน จนวันหนึ่งประเทศไทยลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 เศรษฐกิจของไทยและเอเชียได้รับผลกระทบอย่างมาก บริษัทที่เขาทำงานที่ครั้งหนึ่งเคยคิดกันว่ามั่นคงและมีนโยบายจ้างพนักงานจน เกษียณอายุเริ่มเปลี่ยนไป มีการปรับเปลี่ยนองค์กรและมีโครงการจ้างพนักงานออกโดยความสมัครใจซึ่งในความ เป็นจริงคนที่ถูกให้ออกมักจะไม่ค่อยสมัครใจเท่าไหร่นัก บริษัทเริ่มลดพนักงานโดยการยุบแผนกหรือตัดขายกิจการที่ไม่ทำกำไรออกไป จากความมั่นคงในการทำงานกลายเป็นความสั่นคลอนในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่บริษัทจะเชิญให้ออกจากการเป็นพนักงาน ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่าการพึ่งพิงแต่การหารายได้จากการทำงานประจำนั้นไม่ใช่ สิ่งที่น่าทำอีกต่อไป แต่การหารายได้จากทางอื่นนั้นจะมีวิธีการอย่างไรได้บ้าง ช่วงนั้น เขาได้อ่านหนังสือของโรเบิร์ต คิโยซากิเรื่อง”พ่อรวยสอนลูก”และ”เงินสี่ด้าน”ซึ่งมีผู้แปลเป็นภาษาไทย ทำให้เขาได้คำตอบจากสิ่งที่เขาค้นหามานาน นั่นคือการสร้าง”รายได้ที่ไม่ได้มาจากการทำงาน” หรือ Passive Income คิโยซากิบอกว่าพนักงานออฟฟิศและผู้ทำกิจการส่วนตัวนั้นต้องใช้แรงงานเข้าแลก ในการหาเงินหรือทำงานเพื่อเงิน แต่อีกด้านหนึ่งนั้นนักลงทุนและเจ้าของกิจการกลับใช้เงินทำงานแทน นี่คือความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน นอกเหนือจากนั้นคิโยซากิยัง บอกอีกว่าคนชั้นกลางส่วนใหญ่ชอบคิดว่าบ้านหรือรถยนต์ที่มีนั้น เป็น”ทรัพย์สิน”ของตน แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านั้นเป็น”หนี้สิน”เพราะทำให้เราต้องจ่ายเงินออก ไปทุกเดือนในรูปของค่าผ่อนบ้านผ่อนรถหรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ทรัพย์สินที่แท้จริงนั้นต้องทำเงินเข้ากระเป๋าของเราไม่ใช่ทำให้เงินไหลออก จากหนังสือเล่มนั้นทำให้เขาเข้าใจในความหมายของการมีทรัพย์สินที่ สร้าง”กระแสเงินสด”ให้กับเราตลอดเวลาแม้ขณะเรากำลังหลับหรือตื่น เขาเริ่มเข้าไปศึกษาอบรมเกี่ยวกับการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากนั้นทุกครั้งที่ขับรถไปตามถนน เขามักจะสังเกตโครงการหรือห้างร้านต่างๆตามริมถนนว่ามีการประกาศซื้อ ขายอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากนั้นเขายังไปชมโครงการขายคอนโดที่เปิดใหม่ต่างๆเพื่อดูลู่ทางใน การซื้อคอนโดเพื่อให้คนเช่า หลังจากขับรถดูทำเลตึกแถวและบ้านโครงการต่างๆอยู่เป็นร้อยๆแห่ง วัน หนึ่งเขาพบประกาศขายตึกแถวริมถนนบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขาพบว่าเป็นทำเลที่ดีมากเพราะใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าแต่เนื่องด้วยเป็นตึกเก่า และค่อนข้างโทรมรวมทั้งประเทศไทยเพิ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ไม่ค่อยมีใคร สนใจมากนัก เขารีบโทรหาเจ้าของและพบว่าจะขายในราคา 10 ล้านบาท ถ้าเป็นคนอื่นที่ทำงานกินเงินเดือนทั่วไปอาจจะคิดว่าเงินตั้ง 10 ล้านจะหาเงินจากไหนมาซื้อและเลิกล้มความคิดที่จะซื้อไป สำหรับเขาตอนนั้นมีเงินสดในมือเพียงแค่ 5 แสนบาท แต่ด้วยความคิดว่าทำเลตรงนี้ดีมากและไม่ควรปล่อยให้โอกาสหลุดมือทำให้เขา ตัดสินใจวางเงินมัดจำกับเจ้าของที่ภายในวันนั้นเลยและขอเวลา 30 วันในการกู้เงิน เขาติดต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินแต่ธนาคารต้องการเงินดาวน์อย่างน้อย 10 เปอร์เซนต์หรือ 1 ล้านบาท เขาจึงยืมเงินจากญาติอีก 5 แสนบาทเพื่อนำมากู้ซื้อตึกแถวห้องนั้น หลังจากซื้อมาเขาปรับปรุงเล็กน้อยและให้ร้านสะดวกซื้อเช่าซึ่งค่าเช่าสามารถ จ่ายให้กับเงินที่ผ่อนธนาคารในแต่ละเดือนได้พอดี เวลาผ่านไป 10 ปี เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น คนเริ่มมาสนใจในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น มีคนมาขอซื้อตึกแถวที่เขาเป็นเจ้าของอยู่นั้นในราคา 30 ล้านบาทซึ่งเขาก็ขายให้ด้วยความยินดีโดยได้รับกำไรมากกว่า 20 ล้านบาทจากเงินลงทุนเพียง 5 แสนบาทกับแนวคิดที่มุ่งมั่นในการสร้างทรัพย์สินโดยคิดเสมอว่าทุกอย่างเป็นไป ได้ นี่เป็นอีกตัวอย่างของการลงทุนเปลี่ยนชีวิตได้จริงๆ
โดย
Seattle
พุธ มี.ค. 25, 2015 10:06 am
0
2
Re: ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 1/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ขอบคุณครับ อ่านแล้วเหมือนเป็นเรื่องราวของน้องที่รู้จักคนหนึ่งในเวปแห่งนี้ คนนี้เก่งมากครับ ^^ อ่านแล้วก็นึกถึงตัวเองด้วย ผมก็มีชีวิตคล้ายๆกันเลยครับ พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนโท เฉพาะแค่เรียนตรีก็ยังต้องขอทุน เรียนจบตรีมาต้องรีบหางานทำเอามาเป็นค่าใช้จ่ายของครอบครัว เลิกคิดเรื่องเรียนต่อ ทำงานเป็นวิศวกรมาสิบกว่าปี ใช้มือถือเครื่องละ 700 บาท แต่ลูกน้องเงินเดือนหลักพันใช้ไอโฟน ผมนั่งรถเมล์ไปทำงานวันจันทร์จากบางแคไปปทุมธานีวันศุกร์นั่งรถเมล์กลับ ครั้งละ 3-4 ต่อ และพักหอพักที่เก่าๆไม่มีเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างสัปดาห์ อยู่ชั้น6 ไม่มีลิฟท์ เพื่อจะได้ค่าเช่าที่ถูกที่สุดเดือนละ 1,800 บาท (ชั้นล่างเดือนละ 2 พัน) และอยู่ในห้องพักที่ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เสื้อผ้า ไม่มีเตียง ไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ มาหลายปี ขณะที่เพื่อนๆอยู่ห้องพักติดแอร์เดือนละ 3-4 พัน แม้แต่ลูกน้องยังอยู่บ้านพักที่ดูดีกว่า มีของใช้ของอำนวยความสะดวกเต็มห้อง สุดท้ายตอนนี้ผมได้มีโอกาสออกแบบชีวิตของตัวเองแล้ว แต่เพื่อนๆคนรู้จักก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในโรงงานเหมือนเดิม เครียดๆเหมือนเดิม บ่นว่าอยากลาออกเหมือนเดิม .... ผมขอแนะนำสักนิดนะครับ ใช้มือถือเครื่องละ 700 บาท ผมว่าก็ยังใช้แพงไปมากอยู่นะครับ น่าจะใช้ซัมซุงฮีโร เครื่องหนึ่งก็ไม่น่าเกิน 390 บาทเอง เพื่อจะได้ค่าเช่าที่ถูกที่สุดเดือนละ 1,800 บาท (ชั้นล่างเดือนละ 2 พัน) ผมว่าตรงจุดนี้ก็แพงไปอีกเหมือนกันครับ แถวๆแฟลตหลักสี่ เดือนละ 900 บาทเองอยู่ชั้น 5 ลมเย็นไม่ต้องเปิดแอร์ ประหยัดค่าไฟฟ้าได้อีกครับ ผมนั่งรถเมล์ไปทำงานวันจันทร์จากบางแคไปปทุมธานีวันศุกร์นั่งรถเมล์กลับ ครั้งละ 3-4 ต่อ ตรงนี้ถ้าตื่นเช้าๆน่าจะนั่งรถเมล์ฟรีได้สักเที่ยวนะ ประหยัดไปได้อีกครับ ข้าวมื้อเช้ากับกลางวัน น่าจะหุงข้าวไปกิน ซื้อแต่ซื้อแกงถุงก็ได้ สัก 1 ถุงก็พอ แบ่งครึ่งกินเช้า 1 มื้อ กลางวัน 1 มื้อ ส่วนน้ำเปล่ากินฟรีจากก๊อกน้ำก็ได้ครับ ประหยัดตรงนี้ได้อีกครับ พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนโท เฉพาะแค่เรียนตรีก็ยังต้องขอทุน ผมยังถือว่าคุณยังโชคดีมากๆๆเลยนะครับ ผมไม่เคยคิดจะเอาทุนการเรียนไหนเลย เพราะบางคนยากจนมากๆกว่าผมก็มี อีกเยอะแยะ หนังสือเรียนขอจากรุ่นพี่เอามาอ่าน เสื้อตัวในเป็นเสื้อยืดกระทิงแดง หรือ M 150 ที่ได้แจกมา โดยใช้เสื้อ shop สวมทับทุกวัน ประหยัดค่าเสื้อขาวได้อีก ผมขอชื่นชมคุณ skyforever มากๆครับที่มาแชร์ข้อมูลดีๆให้อ่านครับ
โดย
Seattle
พุธ มี.ค. 11, 2015 11:35 pm
0
9
Re: อย่ามโน (2) “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน”/ประภาคาร ภราดรภิบาล
อย่ามโน (1) / ประภาคาร ภราดรภิบาล “อย่ามโน” เป็นศัพท์ที่ใช้กันค่อนข้างแพร่หลายในทุกวันนี้ มีความหมายในเชิงที่ว่า อย่ามโนภาพ หรืออย่าคิดไปเองโดยที่ความเป็นจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นทั้งหมด เราลองมาดูกันครับว่า การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น มีอะไรที่ควรใช้คำว่า “อย่ามโน” กันบ้าง อย่ามโนว่า “ซื้อหุ้นตามเซียน แล้วจะรุ่ง” นักลงทุนหลายๆ คนใช้แนวคิดในการลงทุนเช่นเดียวกับสุภาษิตที่ว่า “ตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด” ด้วยการซื้อหุ้นตามเซียน โดยให้เหตุผลว่า ซื้อหุ้นตามเซียนแล้วอุ่นใจ ปลอดภัย และมีโอกาสได้กำไรสูงๆ เพราะหุ้นที่เซียนซื้อ น่าจะการันตีได้ในระดับหนึ่งว่า ต้องเป็นหุ้นที่ดี เป็นหุ้นที่น่าลงทุน ไม่เช่นนั้นเซียนหุ้นคงไม่ควักเงินออกมาซื้อเป็นแน่ ในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้นอย่างในปัจจุบันนี้ คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะเสาะหาข้อมูลว่านักลงทุนระดับเซียนหุ้นเขาลงทุนหุ้นตัวไหนบ้าง นอกจากจะสามารถสืบค้นจากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่มากมายแล้ว บางทียังมีข้อมูลแบบปากต่อปากที่บอกกล่าวเล่ากันในกลุ่มก๊วนนักลงทุนเองด้วยว่า เซียนคนนั้นเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ เซียนคนนี้กำลังเก็บหุ้นตัวนั้น ส่วนจะเป็นเรื่องจริง หรือเป็นข่าวลือ นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่งนะครับ แต่ในการซื้อหุ้นตามเซียนนั้น สิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเซียนหุ้นเขาตัดสินใจไม่ผิดในการเข้าซื้อหุ้นแต่ละครั้ง ต้องไม่ลืมสุภาษิตที่ว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” ดังนั้นแม้จะเป็นเซียนหุ้นก็มีสิทธิ์ผิดพลาดได้ และเราในฐานะผู้ซื้อหุ้นตามเซียนก็ย่อมมีโอกาสเสียหายหรือขาดทุนตามเซียนได้ด้วยเช่นกัน หรือแม้ว่าเซียนหุ้นตัดสินใจไม่ผิดพลาดในการซื้อหุ้น แต่เราจะรู้หรือว่า หุ้นตัวนั้นมีดีตรงไหนอย่างไร ทำไมเซียนถึงได้เข้าไปซื้อ และเขาซื้อมาในราคาเท่าไหร่ อย่าลืมว่า ถ้าเขาซื้อตั้งแต่ตอนที่หุ้นมีราคาต่ำมากๆ เขาก็ย่อมมีความเสี่ยงต่ำกว่าคนอื่นๆ ที่แห่เข้าไปไล่ซื้อหุ้นตามเขาในภายหลัง และนอกจากนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เซียนจะขายหุ้นเมื่อไหร่ และขายเพราะอะไร โดยปกติตอนที่เซียนหุ้นตัดสินใจขาย เขาคงไม่ป่าวประกาศให้เรารู้อย่างแน่นอน และที่สำคัญถ้าหากเขาขายหุ้นทิ้งเพราะเห็นว่าพื้นฐานของหุ้นแย่ลง หรือเพราะเห็นว่ามีปัจจัยบางอย่างกำลังจะก่อให้เกิดความเสียหายกับการลงทุนในหุ้นตัวนั้น กว่าที่เราจะรู้บางทีอาจสายเกินไปก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นการมโนว่า “ซื้อหุ้นตามเซียน แล้วจะรุ่ง” อาจไม่ทำให้การลงทุนของเรา “รุ่ง” อย่างที่คิด เผลอๆ นอกจากจะ “ไม่รุ่ง” แล้ว ยังอาจกลับกลายเป็น “รุ่งริ่ง” เสียด้วยซ้ำ (ยังมีเรื่อง “อย่ามโน” ในการลงทุนอีกหลายประเด็น ผมขออนุญาตยกยอดไว้กล่าวถึงในบทความตอนต่อไปครับ)
โดย
Seattle
จันทร์ มี.ค. 02, 2015 10:56 am
0
4
Re: รวยได้ไม่ง้อมรดก 1/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
รวยได้ไม่ง้อมรดก ตอนที่ 4 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ คนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนแรกคือ ทำงานเก็บเงิน การ เก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน เช่นเงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท ขั้นตอนที่สอง คือการหาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่กำลังเก็บเงิน โดยในระยะเวลา 4 ปีที่เก็บเงินก็สามารถลองผิดลองถูกในตลาดหุ้นได้โดยนำเงินสัก 10 เปอร์เซนต์ของที่มีมาทดลองซื้อขายเพื่อความรู้ ขั้นตอนที่สามคือการนำเงินไปลงทุนในระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน การ ลงทุนให้ได้ปีละ 10-15 เปอร์เซนต์นั้น นักลงทุนสามารถทำได้โดยลงทุนผ่านกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องไปวิเคราะห์หุ้นด้วย ตนเองแต่อย่างใดตามอัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นทั่วโลกในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านมา ส่วนนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่างวอร์เรน บัฟเฟตนั้นถ้าดูจากผลงานการลงทุนของเขาแล้วจะพบว่าในช่วงแรกๆนั้น บัฟเฟตทำผลตอบแทนได้ปีละ 24 เปอร์เซนต์ จนเมื่อเงินลงทุนของบริษัทเบิร์คไชน์ของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงสิบปีหลัง ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตลดลงแต่ยังอยู่ในระดับปีละเฉลี่ย 20 เปอร์เซนต์ต่อปี นักลงทุนรายย่อยในไทยนั้นมักคิดว่าการลงทุนในหุ้น ต้องทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ต่อปีถึงจะรวยได้ แต่ในความเป็นจริงการทำผลตอบแทนได้สูงมากๆเป็นเวลาติดต่อกันนั้นมักตามมา ด้วยความเสี่ยงที่มากขึ้น การลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนเพียงปีละ 10 ถึง 20 เปอร์เซนต์ต่อปีสามารถทำให้รวยได้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เก็บเงินได้ 1 ล้านบาทและนำมาลงทุนแล้ว ถ้ายังคงทำงานเก็บเงินเหมือนเดิมคือเดือนละ 15,000 บาทและรวมโบนัสเข้าไปทุกปี ก็สามารถเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้เช่นกัน โดยยังไม่ได้คิดถึงเงินเดือนที่มากขึ้นตามอายุงาน ตามตาราง แสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการลงทุนทางด้านซ้ายและจำนวนเงินที่มีในตาราง ส่วนด้านบนของตารางคือผลตอบแทนที่ทำได้โดยเฉลี่ยในแต่ละปี ในแต่ละผลตอบแทนจะมีสองแถวโดยแถวแรกคือจำนวนที่มีในบัญชีเมื่อไม่ได้เพิ่ม เงินเข้าไปอีกเลย ส่วนอีกแถวในผลตอบแทนเดียวกันคือจำนวนเงินที่ถ้ามีการเก็บเงินเพิ่มเดือนละ 15,000 บาทเข้าไปทุกๆเดือน จะเห็นว่าถ้าสามารถทำผลตอบแทนได้ปีละ 15 เปอร์เซนต์และเพิ่มเงินจากเงินเก็บเข้าไปเดือนละ 15,000 บาท ภายในระยะเวลา 30 ปีจะมีเงินในบัญชีถึง 164 ล้านบาท ถ้าไม่เพิ่มเงินเลยในแต่ละปี จำนวนเงินที่มีจะลดลงเหลือ 66 ล้านบาท ถ้าสามารถเก็บเงิน 1 ล้านบาทก่อนอายุ 30 ปีซึ่งน่าจะทำได้ถ้าเริ่มเก็บเงินตั้งแต่เริ่มต้นทำงานและไม่ใช้จ่าย ฟุ่มเฟือยและนำไปลงทุนในกองทุนรวมหรือลงทุนในตลาดหุ้นให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15 เปอร์เซนต์ต่อปี ผลตอบแทนที่ว่าอาจะอยู่ในรูปของกำไรจากราคาหุ้น 10 เปอร์เซนต์และปันผลอีก 5 เปอร์เซนต์ เมื่อถึงอายุเกษียณที่ 60 ปี จะกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ ยิ่งถ้าใครทำผลตอบแทนได้เท่ากับ วอร์เรน บัฟเฟตที่ 24 และ 20 เปอร์เซนต์ด้วยแล้ว การเป็นเศรษฐีร้อยล้านจากการเก็บเงินเพียงเดือนละ 15,000 บาทก็เป็นไปได้เร็วมากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยกว่า 20 และ 25 ปีตามลำดับ นั่นคือเมื่ออายุเพียง 50 และ 55 ปี ในความเป็นจริงเงินเดือนจากการ ทำงานจะมากขึ้นตามประสบการณ์และถ้ายังสามารถบริหารจัดการเก็บเงินให้ได้ 50 เปอร์เซนต์ของเงินเดือนแล้ว การไปสู่เป้าหมายของการมีเงินร้อยล้านก่อนเกษียณจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ที่สำคัญคือสามารถรวยได้ด้วยตนเองโดยไม่ง้อมรดกจากใครๆเลยสักคนเดียว
โดย
Seattle
จันทร์ มี.ค. 02, 2015 9:32 am
0
3
Re: รวยได้ไม่ง้อมรดก /วิบูลย์ พึงประเสริฐ
รวยได้ไม่ง้อมรดก ตอนที่ 3/วิบูลย์ พึงประเสริฐ บทความคราวที่แล้วกล่าวถึงคนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนแรกคือ ทำงานเก็บเงิน การเก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน เช่นเงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท นั่นคือ 1 ล้านบาทแรกจากการทำงานโดยเริ่มต้นจากศุนย์และไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่แต่อย่างใด ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยโดยไม่ต้องง้อมรดก ขั้นตอนที่สอง คือการหาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่กำลังเก็บเงิน ในช่วงที่กำลังเก็บเงินอยู่นั้นควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการศึกษาหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นการซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน เข้าอบรมเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นซึ่งมีการจัดอบรมทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากนั้นอาจเข้าฟังการบรรยายของนักลงทุนที่เชื่อถือได้ การเข้าสมาคมหรือกลุ่มนักลงทุนก็ช่วยให้เปิดความคิดทางด้านการลงทุนได้ด้วยเช่นเดียวกัน ในช่วงนี้อาจนำเงินที่เก็บได้ส่วนหนึ่งนำมาลงทุนในตลาดหุ้นดูบ้าง เพื่อเป็นการหาความรู้ในการลงทุนจริงๆ เงินที่นำมาลงทุนนั้นอาจจะเป็นเพียง 10 เปอร์เซนต์ของเงินที่มีอยู่ เพื่อเวลาเกิดความผิดพลาดจะได้ไม่เสียหายต่อเงินก้อนใหญ่ที่กำลังสะสมเป็นทุน หลายคนนำเงินที่มีมาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวในช่วงแรกๆซึ่งเป็นความเสี่ยงพอสมควร หลังจากลองผิดลองถูกในตลาดหุ้นมาเป็นเวลาสี่ปีและเก็บเงินได้ตามเป้าหมาย 1 ล้านบาทขั้นตอนต่อไปในการสร้างความร่ำรวยโดยไม่ต้องแบมือขอเงินมรดกจากใคร นั่นคือการนำเงินไปลงทุนในระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน โดยเฉลี่ยผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซนต์ต่อปีโดยคิดจากราคาหุ้นหรือดัชนีที่เพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลา 20-30 ปีขึ้นไปโดยไม่ได้คิดเงินปันผลที่ได้ในแต่ละปี ถ้านับรวมเงินปันผลเข้าไปด้วยสมมุติปีละ 5 เปอร์เซนต์ ผลตอบแทนต่อปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 15 เปอร์เซนต์ต่อปี โดยทั่วไปนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่างวอร์เรน บัฟเฟตนั้นถ้าดูจากผลงานการลงทุนของเขาแล้วจะพบว่าในช่วงแรกๆนั้น บัฟเฟตทำผลตอบแทนได้ปีละ 24 เปอร์เซนต์ จนเมื่อเงินลงทุนของบริษัทเบิร์คไชน์ของเขาเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงสิบปีหลังทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตลดลงแต่ยังอยู่ในระดับปีละเฉลี่ย 20 เปอร์เซนต์ต่อปี การลงทุนให้ได้ปีละ 10-15 เปอร์เซนต์นั้น นักลงทุนสามารถทำได้โดยลงทุนผ่านกองทุนดัชนีโดยไม่ต้องไปวิเคราะห์หุ้นด้วยตนเองแต่อย่างใด และเป็นวิธีที่บัฟเฟตแนะนำสำหรับนักลงทุนรายย่อย การที่จะทำผลตอบแทนให้ได้มากกว่านั้น นักลงทุนอาจดำเนินตามรอยบัฟเฟตโดยลงทุนในหุ้นบริษัทที่ดีและเติบโตในระยะยาวด้วยวิธีการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investing ถ้าไปดูผลตอบแทนในแต่ละปีของบัฟเฟตนั้นจะเห็นว่า ไม่มีปีใดที่เขาทำผลตอบแทนได้ถึง 100 เปอร์เซนต์เลยสักปีเดียว วิธีการของเขาจะเน้นไปที่การป้องกันความเสียหายของพอร์ตหรือเงินลงทุนก่อนเป็นหลัก โดยการลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการศึกษาหาธุรกิจที่เข้าใจในราคาที่เหมาะสมและถือลงทุนเป็นระยะเวลานานหลายปี บางบริษัทบัฟเฟตถือมากกว่าสิบหรือยี่สิบปีเลยทีเดียว นักลงทุนรายย่อยในไทยนั้นมักคิดว่าการลงทุนในหุ้นต้องทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยเปอร์เซนต์ต่อปีถึงจะรวยได้ แต่ในความเป็นจริงการทำผลตอบแทนได้สูงมากๆเป็นเวลาติดต่อกันนั้นมักตามมาด้วยความเสี่ยงที่มากขึ้น เช่น จำเป็นต้องใช้มาร์จิ้นหรือการกู้ยืมเพื่อเวลาหุ้นขึ้นพอร์ตจะได้เพิ่มสูงขึ้นมากอย่างทวีคูณหรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนหุ้นบ่อยๆเพราะบางครั้งราคาหุ้นที่ซื้อมานั้นสูงขึ้นมากจนอัพไซด์เริ่มน้อยลง ต้องขายและหันไปลงทุนในหุ้นที่ยังมีราคาที่ยังต่ำอยู่ ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น การใช้มาร์จิ้นจะได้ผลมากเพราะซื้อหุ้นอะไร ราคาก็ขึ้นไปได้แทบจะทุกตัว แต่ในช่วงเวลาตลาดกลับเป็นขาลง หลายคนที่เล่นมาร์จิ้นอาจจะหมดตัวได้เลยเช่นเดียวกันโดยเฉพาะกับการเก็งกำไรแต่ไม่ยอมขายจนต้องถูกคัดลอสหรือเรียกหลักประกันเพิ่ม ถึงตอนนี้จะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนเพียงปีละ 10 ถึง 20 เปอร์เซนต์ต่อปีก็สามารถทำให้รวยได้โดยไม่ง้อมรดกจากพ่อแม่หรือใครๆ คราวหน้าเราจะมาดูตัวเลขว่าการเก็บเงินเพียงเดือนละ 15,000 บาทก็เป็นเศรษฐีร้อยล้านได้เช่นกัน โปรดติดตาม
โดย
Seattle
จันทร์ มี.ค. 02, 2015 9:30 am
0
3
รวยได้ไม่ง้อมรดก 1/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
รวยได้ไม่ง้อมรดก ตอนที่ 2 / วิบูลย์ พึงประเสริฐ บทความคราวที่แล้วกล่าวถึงขั้นตอนแรกในการสร้างความมั่งคั่งด้วยตนเองโดยไม่ต้องไปตัดพ้อต่อว่าพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่ไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้จนลูกหลานต้องลำบากทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียว หรือคิดว่าชาตินี้ไม่มีวันร่ำรวยได้เพราะไม่มีบุญวาสนาอย่างคนอื่นเหมือนคนที่เกิดมาในกองเงินกองทอง จริงๆแล้วการมีทัศนคติที่ถูกต้องน่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าชาติกำเนิดหรือมรดกที่มีในการสร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง เงินที่หามาได้จากลำแข้งจะไม่ถูกนำไปใช้อย่างง่ายๆเหมือนเงินที่ได้มาจากคนอื่นให้อย่างเสน่หาหรือโชคลาภ สำหรับคนที่ไม่มีมรดกหรือพ่อแม่ไม่มีเงินลงทุนก้อนแรกให้จะสามารถร่ำรวยจากตลาดหุ้นได้โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนแรกคือ ทำงานเก็บเงิน การเก็บเงินที่จะสร้างความมั่งคั่งได้นั้นควรจะเก็บอย่างน้อย 50 เปอร์เซนต์ของเงินที่ได้รับในแต่ละเดือน สมมุติว่าพนักงานคนหนึ่งได้เงินเดือนเดือนละ 3 หมื่นบาท โบนัสปีละ 3 เดือน ถ้าเก็บเงินได้ครึ่งหนึ่งคือ 1.5 หมื่นบาทและโบนัสเก็บเข้าบัญชีทุกปี ภายในเวลา 4 ปีจะมีเงินเก็บถึง 1,080,000 บาท นั่นคือ 1 ล้านบาทแรกจากการทำงานโดยเริ่มต้นจากศุนย์และไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่แต่อย่างใด ซึ่งเงินก้อนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่ำรวยโดยไม่ต้องง้อมรดก การจะทำเช่นนี้ได้ต้องมีวินัยในตนเองเรื่องของการใช้ชีวิตและเก็บเงิน ระยะเวลาเพียง 4 ปีในการเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านนั้นถือว่าไม่นานเพราะสำหรับคนที่จบการศึกษามาใหม่ถึงเวลานั้นยังอายุไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำไป ขั้นตอนที่สอง คือการหาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่กำลังเก็บเงิน หลายคนเพียงแค่มีเงินและอยากรวยจึงนำเงินมาลงในตลาดหุ้น ซึ่งในความเป็นจริงการมีเงินแค่อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการสร้างความร่ำรวยในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน เพราะคนที่ทำเงินจากตลาดหุ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นอาจเกิดจาก”โชค”หรือ”ฟลุ๊ค”ก็เป็นได้ ในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นนั้น กลยุทธการลงทุนแบบไหนก็ทำกำไรได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคัลหรือซื้อลงทุนระยะยาวหรือแม้แต่ซื้อมาขายไปโดยใช้“สัญชาตญาน”เพียงอย่างเดียว ในความเป็นจริง ตลาดหุ้นไม่ได้ขึ้นไปตลอดเสมอไป ถ้าลงทุนในระยะสิบปีขึ้นไปในตลาดหุ้น นักลงทุนจะต้องเจอกับภาวะตลาดตกต่ำอย่างแรงอย่างน้อยหนึ่งถึงสองครั้ง การเอาตัวรอดจากภาวะตลาดหุ้นถดถอยนั้นต้องอาศัย”ความรู้ในการลงทุน”เป็นหลัก มีนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาในตลาดหุ้นเพียงเพราะความอยากรวยเหมือนคนอื่นๆ แต่ไม่ได้ศึกษาหลักการหรือวิธีการในการลงทุน ในช่วงแรกๆอาจได้กำไรเพียงแค่ซื้อหุ้นมาขายไป เพราะตลาดหุ้นกำลังไปได้ดี แต่เมื่อตลาดกลับเป็นขาลง หลายคนอาจต้องถอดใจเลิกเล่นหุ้นไปเลยก็มี ในช่วงที่กำลังเก็บเงินอยู่นั้นควรใช้เวลาให้เป็นประโยชน์โดยการศึกษาหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นการซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่าน เข้าอบรมเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นซึ่งมีการจัดอบรมทั้งฟรีและเสียค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากนั้นอาจเข้าฟังการบรรยายของนักลงทุนที่เชื่อถือได้ การเข้าสมาคมหรือกลุ่มนักลงทุนก็ช่วยให้เปิดความคิดทางด้านการลงทุนได้ด้วยเช่นเดียวกัน ระยะเวลา 4 ปีในการเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านบาทนั้น หลายคนคิดว่านานเกินไป แต่ในความเป็นจริงอาจทำได้เร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ก็เป็นได้ เช่น ได้เลื่อนตำแหน่งมีเงินเดือนมากขึ้น หรือได้โบนัสมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่สิ่งที่สำคัญคือต้องไม่นำเงินที่เก็บได้ไปใช้ในการบริโภคอย่างการซื้อรถยนต์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆที่ทำให้การเก็บเงินไม่บรรลุเป้าหมาย ถ้าการศึกษาหาความรู้ในการลงทุนแล้วรู้สึกว่าอยากทดลองวิชาว่าได้ผลจริงหรือไม่ อาจนำเงินที่เก็บได้ส่วนหนึ่งนำมาลงทุนในตลาดหุ้นดูบ้าง เพื่อเป็นการหาความรู้ในการลงทุนจริงๆ เงินที่นำมาลงทุนนั้นอาจจะเป็นเพียง 10 เปอร์เซนต์ของเงินที่มีอยู่ เพื่อเวลาเกิดความผิดพลาดจะได้ไม่เสียหายต่อเงินก้อนใหญ่ที่กำลังสะสมเป็นทุน หลายคนนำเงินที่มีมาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวในช่วงแรกๆซึ่งเป็นความเสี่ยงพอสมควร เพราะในช่วงต้นถือว่าเป็นการลองผิดลองถูก การหาความรู้ในการลงทุนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติรวมถึงการเก็บเงินตามเป้าหมายในระยะเวลา 4 ปีนั้นน่าจะเพียงพอที่ทำให้นักลงทุนเรียนรู้หลักการลงทุนที่ถูกต้องและมีความรอบคอบต่อตลาดหุ้นมากยิ่งขึ้น หลังจากนี้เงิน 1 ล้านบาทที่เก็บได้และความรู้ที่มีจะไปให้ถึงจุดหมายในการสร้างความร่ำรวยโดยไม่ง้อมรดก ได้อย่างไรโปรดติดตาม
โดย
Seattle
จันทร์ มี.ค. 02, 2015 9:28 am
0
2
Re: อย่ามโน/ประภาคาร ภราดรภิบาล
อย่ามโน ตอนที่ 2 /ประภาคาร ภราดรภิบาล บทความตอนที่แล้ว ผมกล่าวถึงเรื่องของการ “อย่ามโน” ว่า “ซื้อหุ้นตามเซียน แล้วจะรุ่ง” เพราะในความเป็นจริงอาจจะ “ไม่รุ่ง” อย่างที่คิด ส่วนบทความในตอนนี้ผมจะขอกล่าวถึงเรื่อง “อย่ามโน” ในประเด็นของการ “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” ครับ “ไม่เป็นไร ! ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” มักจะถูกใช้เป็นคำปลอบใจสำหรับนักลงทุนหลายๆ ท่านในกรณีที่ซื้อหุ้นแล้วเกิดการ “ติดหุ้น” หรือ “ติดดอย” นั่นก็คือ เมื่อเขาซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นราคาหุ้นกลับลดลงต่ำกว่าระดับราคาที่ซื้อมา เขาจึงตัดสินใจถือหุ้นนั้นเอาไว้ เพราะไม่อยากขายในราคาที่ขาดทุน และเฝ้ารอจนกว่าราคาของหุ้นจะขึ้นมาสูงกว่าหรือเท่ากับต้นทุนของเขา แล้วจึงค่อยขายหุ้นนั้นออกไป การ “มโน” หรือคิดเข้าข้างตัวเองว่า “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” นั้น แม้จะไม่ใช่ความคิดที่ “ผิด” เสียทีเดียว แต่ก็ถือว่า “ไม่ถูกต้องทั้งหมด” หรืออาจกล่าวได้ว่า “ถูกเพียงส่วนเดียว” ประเด็นที่ “ถูกเพียงส่วนเดียว” ก็คือ ตราบใดที่เขายังไม่ตัดสินใจขายหุ้นออกไป สภาวะของการ “ขาดทุน” ก็ย่อมยังไม่เกิดขึ้นจริง และเขายังมีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากการขาดทุนได้ ถ้าหุ้นที่เขาซื้อนั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดี เป็นหุ้นของกิจการที่มีศักยภาพในการทำรายได้หรือสร้างกำไรให้เติบโตได้ดีในระยะยาว แม้ตอนนี้ราคาหุ้นจะลดต่ำลงกว่าต้นทุนที่ซื้อมา แต่ก็ยังพอมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นได้ในอนาคตถ้านักลงทุนในตลาดหุ้นเล็งเห็นถึงศักยภาพของกิจการ แต่ “อีกส่วนหนึ่ง” ที่พึงตระหนักก็คือ ถ้าหุ้นที่เขาซื้อนั้นไม่ได้เป็นหุ้นที่พื้นฐานดี ผลการดำเนินงานเป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ก็ย่อมไม่มีปัจจัยที่จะผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นได้ ยกเว้นว่าเกิด “จังหวะดี” มีกลุ่มนักเล่นหุ้นเข้ามาปั่น หรือเข้ามาซื้อไล่ราคาหุ้นให้พุ่งสูงขึ้น ก็อาจใช้จังหวะนั้นขายหุ้นออกไปได้โดยที่ไม่ขาดทุน แต่ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นล่ะ เขาจะต้องทนกอดหุ้นตัวนั้นไปอีกนานแค่ไหน จริงอยู่ ถึงแม้ว่าการขาดทุนจะยังไม่เกิดขึ้นจริง เพราะยังไม่ได้มีการขายหุ้นออกไป แต่เขาก็อาจเสียโอกาสดีๆ ไปไม่น้อยเช่นกันในช่วงเวลาที่เงินลงทุนของเขาจมอยู่กับหุ้นที่ไม่มีอนาคต เมื่อเทียบกับการยอมขายขาดทุน เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่ที่คุณภาพดีและมีราคาที่เหมาะสม ซึ่งอาจช่วยให้ผลการลงทุนของเขาดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ในทางจิตวิทยาการลงทุน เรียกพฤติกรรมของการที่นักลงทุนมักจะขายหุ้นที่ได้กำไร แล้วกอดหุ้นที่ขาดทุน ว่า “Disposition Effect”ซึ่งเป็นพฤติกรรมของการหลีกเลี่ยงความเสียใจ (ด้วยการกอดหุ้นที่ขาดทุนเอาไว้ แล้วปลอบใจตัวเองว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน) และการเสาะหาความภาคภูมิใจ (จากการขายหุ้นที่ได้กำไร) ผู้จัดการกองทุนระดับยอดฝีมือของโลกอย่าง “ปีเตอร์ ลินซ์” ก็เคยเปรียบเทียบการขายหุ้นที่ได้กำไร แล้วกอดหุ้นที่ขาดทุนเอาไว้ ว่าเหมือนกับเป็นการ “เด็ดดอกไม้แล้วรดน้ำวัชพืช” แม้จะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า การมัวแต่ “รดน้ำวัชพืช” หรือ “กอดหุ้นที่ขาดทุน” อยู่นั้น ไม่ได้มีประโยชน์หรือไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่คำว่า “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” ก็ยังเป็นคำพูดติดปากที่นักลงทุนหลายๆ ท่านมักหยิบยกมากล่าวอ้าง และได้แต่หวังว่าราคาของหุ้นที่ติดอยู่จะขยับขึ้นมาสูงกว่าหรือเท่ากับต้นทุนที่ซื้อ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากสภาวะของการ “ติดหุ้น” หรือสามารถ “ลงจากดอย” ได้ในที่สุด แต่ในความเป็นจริงจะเป็นอย่างที่ “มโน” เอาไว้หรือไม่ คงต้องพิสูจน์ด้วยตัวของเขาเอง
โดย
Seattle
จันทร์ มี.ค. 02, 2015 9:27 am
0
1
132 โพสต์
of 3
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
Seattle
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
จันทร์ ต.ค. 04, 2010 2:17 pm
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร ก.ย. 10, 2019 7:15 pm
โพสต์ทั้งหมด:
1119 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.06% จากโพสทั้งหมด / 0.22 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว