หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
leky
"Become a risk taker, not a risk maker"
Joined: อาทิตย์ ส.ค. 08, 2010 12:01 am
1803
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - leky
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: VI หาดใหญ่
"อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น" ปรากฎการณ์ร่วงหนักของหุ้นกลุ่มนางฟ้า เห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะลงได้หนักถึงขนาดนี้ ถ้าย้อนไปราวหนึ่งปีก่อน ถ้าใครบอกว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ คงไม่มีใครเชื่อแน่ กลุ่มหุ้นเติบโตที่ครั้งนึงถึงกับจุดกระแสว่า ถ้ากิจการนั้นผู้บริหารมีคุณภาพ กำไรเติบโตอย่างมาก เราไม่ต้องไปสนเรื่องค่า PE หุ้นตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกมองแบบนี้ ขึ้นไปอย่างร้อนแรง จนคนที่ไม่ได้จับกระแสต้องมองตาปริบ ๆ นลท.บางคนถึงกับต้องฉีกตำราการลงทุนแบบเก่าทิ้ง เพื่อเกาะกระแสความรวย PE ที่สูงหรือค่าพรีเมียม จริง ๆ แล้วมันเป็นเพราะกิจการมีคุณค่าเพียงพอที่จะให้มูลค่าขนาดนั้นหรือไม่ หรือจริง ๆ แล้ว มันเป็นแค่ภาพลวงตา จากการ "เล่นกันเอง" ของนลท. ที่มีความเชื่อ บวกกับการมีบิ๊กเนมเข้าถือ ???? เรื่องนี้ทำให้นึกไปถึงเรื่องราวในวอลล์สตรีทในยุคของหุ้น Nifty Fifty ที่สุดท้ายก็มีจุดจบคล้าย ๆ กัน หุ้นที่เชื่อว่า ซื้อแล้วมันต้องขึ้นไปอีก หุ้นที่ไม่มีวันลง ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่แปลก บางครั้งกระแสบางอย่างสามารถทำให้คนเชื่อพร้อม ๆ กัน ราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่ว ทั้ง ๆ ที่เท็จจริงแล้ว มันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ บางครั้งกระแสเกิดขึ้น ถ้าเราแยกแยะมันก็อาจจะทำได้เรารวยได้ แต่ถ้าเราใช้อารมณ์ร่วมไปกับมัน สุดท้ายก็อาจจะจบไม่สวย ลองย้อนดูกระแสที่ผ่าน ๆ มากัน - AEC กระแสจุดติด จะไม่มีคำว่าพรมแดนของการค้าขาย ประชากรจะไม่ได้มีแค่ประเทศไทยแค่ 70 ล้านคนอย่างเดียว แต่จะมีประชากรเพิ่มเป็นหลายร้อยล้านคน หุ้นที่มีข่าวจะไปลงทุนในประเทศใน AEC วิ่งขึ้นรับข่าว มองดู ณ ตอนนี้ มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หุ้นที่มีข่าวไปต่างประเทศ หลายบ.เอาตัวไม่รอด หลายบ.พับโครงการ - ทีวีดาวเทียม ทีวีดิจิตัล กระแสเริ่มจุดติดตั้งแต่เมื่อครั้งทีวีดาวเทียม หุ้นบางตัววิ่งขึ้นไปแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หุ้นบางตัวโดนจุดพลุจากบิ๊กเนม กระแสทีวีดาวเทียมที่ดูใช้ต้นทุนไม่สูงนัก หลังจากกระแสจบไม่นานนัก ก็ต่อด้วยทีวีดิจิตัล กับเรื่องราวแบบเดิม ๆ บทสรุป เหมือนทุกขลาภ หุ้นส่วนใหญ่ที่ได้ใบอนุญาต จบด้วยผลการดำเนินงานที่แย่ลงจนถึงขั้นขาดทุน - พลังงานทดแทน กระแสการให้ใบอนุญาตพลังงานทดแทนชนิดต่าง ๆ บ.ต่าง ๆ ที่ทำพลังงานอยู่เดิมและที่ทำธุรกิจอื่น พยายามเข้ามาขอใบอนุญาตหรือแม้แต่แค่มีข่าวว่าจะทำ หุ้นบ.เหล่านั้นวิ่งรับข่าว หุ้นบางตัวแค่ลงข่าวในนสพ.หุ้น ก็วิ่งเป็นเท่า ๆ ใครไม่รีบซื้อ ก็พลาดโอกาส กระแสเริ่มหายเมื่อค่าตอบแทนจากรัฐเริ่มลด ใบอนุญาตเริ่มจะออกน้อยลงหรือมีปัญหา จนถึงบัดนี้หลายบ.ที่มีข่าวก็ล้มพับโครงการไป ราคาหุ้นดิ่งหนัก กระแสเหล่านี้ ถ้าใครเข้าไปร่วม ถ้ารู้ตัวและออกมาก่อนก็มีโอกาสรวยจริง แต่ถ้าใครเข้าไปทีหลังก็มีโอกาสจ่ายรอบวง บางครั้งราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นกับเหตุผลของมัน อาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอาจจะเกิดจากการคาดหวัง "มโนหมู่" หรือรายย่อยเล่นกันเอง โดยที่ตัวธุรกิจอาจจะยังไม่ได้รับผลบวกอะไรจากกระแสนั้น ๆ เลย ถ้าเราไม่รู้จักแยกแยะ เหตุและผล ข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ บางทีถือหุ้นได้กำไรเคลิ้ม ๆ อาจจะตื่นขึ้นมาเจอฝันร้ายก็ได้ครับ
โดย
leky
เสาร์ ธ.ค. 29, 2018 4:50 pm
0
15
Re: VI หาดใหญ่
พอราคาหุ้นลงมากๆ ตอนจะเคาะซื้อมานี่ ความรู้สึกเสียวมากๆ นะครับ มันกลัวกับความรุนแรงของราคาที่ลงมาพอสมควรเลย ฮ่าๆๆๆ และต้องพยายามฟืนเคาะซื้ออีกด้วย แถมหลังจากเคาะมา อย่างไปดูราคามัน จะยิ่งเสียว ถ้าราคาลงต่อ และที่คิดว่าสำคัญคือ แผนการซื้อถัว ^ ^ ที่ผ่านมา พลาดก็เยอะ ได้ผลดีก็มากตอนที่ไปเคาะสวนตอนราคาลงแรงๆ / ที่พลาดๆ สวนเคาะซื้อมาตอนราราลงแรง ก็มี sq tcj (ดีที่ไม่เคาะถัว smpc ที่ลงมาหลังปันผล) ส่วนตัวที่ได้ผลดี ก็รอบหลังสุด ก็มี vnt htc cbg ที่เคาะสวนไป แล้วราคาฟื้นตัวมาพอสมควร สุดท้าย ถ้าไม่เคยเคาะสวนตอนราคาลงแรง เราก็คงไม่กล้าแน่ๆ และถ้าเคาะสวนมาตอนราคาหุ้นลงแรงๆ แล้วพลาด เราก็ขยาดอีก ครั้งต่อไปก็อาจไม่กล้า แต่ถ้าเคาะสวนมาแล้ว กำไรดี ก็อาจกล้ามากขึ้นในการเคาะสวนราคาหุ้นลงและอาจเคาะมากกว่าเดิม สุดท้าย อย่าลืมว่า ความล้มเหลวหรือความสำเร็จในอดีต ไม่สามารถยืนยันว่า จะเกิดเหตุการณ์ที่เหมือนเดิมติดต่อกันได้เสมอ ดังนั้นต้องระมัดระวังอยู่ตลอดไม่ว่าการเคาะซื้อสวนราคาหุ้นที่ลงมาเสมอ อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ การเคาะสวนถ้าหุ้นลงแรงมาก ๆ ถ้าไม่จำเป็นผมจะไม่ทำ ยกเว้นว่าเราเล็งหุ้นตัวนั้นมานานและเรามองว่าที่ราคานั้นโอเค แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้ว่ามันอาจจะร่วงลงไปได้อีก ยิ่งถ้าเป็นการลงหนัก ๆ ของหุ้นเพียงตัวใดตัวหนึ่ง ยิ่งต้องระวัง เพราะอาจจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานบางอย่างที่อาจจะเปลี่ยนไป บางทีเราอาจจะไม่ทราบแต่คนข้างในทราบ แต่ถ้าเป็นการลงหนัก ๆ แบบความแพนิคของตลาด แบบนี้ผมจะสบายใจกว่าครับ เพราะบางครั้งอาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้นลท.ในตลาดกลัวกันมาก และทำให้หุ้นบางตัวราคาลงมาด้วย ทั้ง ๆ ที่พื่นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลงอันนี้ก็อาจจะเป็นโอกาสได้ของดีราคาถูก ที่สำคัญคือ นลท.ในตลาดไม่ได้มีคนที่ซื้อหุ้นจากข้อมูลทางปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว มีทั้งสายเทคนิค สายโรบอต ซึ่งพวกนี้ผมกว่าน่ากลัวครับ เพราะพอหุ้นลงหนัก ๆ กราฟดิ่งตัดค่าเฉลี่ยทุกค่า ตามวิธีการเล่นของพวกเค้าก็คือ ทิ้งทุกราคา นั่นแปลว่า หุ้นลงหนักแรงขายกลับยิ่งหนักครับ
โดย
leky
อังคาร พ.ค. 08, 2018 3:57 pm
0
22
Re: ในวันที่ SET - 70 จุด
เท่าที่ผมสังเกตดู ผมรู้สึกว่าหุ้นที่ขึ้นรอบนี้ มันแปลกกว่าทุก ๆ ครั้ง รอบนี้ตลาดหุ้นทำนิวไฮ แต่พอไปดูหุ้นรายตัวแล้ว หุ้นที่ขึ้นมาก ๆ กลับเป็นหุ้นตัวใหญ่ ๆ ที่มีผลต่อ SET เช่น PTT AOT ในขณะที่หุ้นขนาดกลางและเล็ก ราคากลับไม่ค่อยไปไหน บางตัวทำราคาโลว์ก็มี ทุก ๆ ครั้งที่ตลาดทำไฮ ตลาดจะดูคึกคัก เท่าที่เคยเห็นก็อย่างเช่น หุ้นที่ลงข่าวดีตามนสพ.หุ้นเพียงไม่กี่บรรทัดหรือหุ้นที่เล่น story สามารถจุดพลุ ทำราคาขึ้นไปได้มาก ๆ แต่รอบนี้ผมกลับไม่รู้สึกว่ามีเหตุการณ์แบบที่กล่าวมา ไม่รู้มีใครรู้สึกแบบผมบ้าง
โดย
leky
อังคาร ก.พ. 06, 2018 11:09 pm
0
10
Re: VI หาดใหญ่
ผมสรุปให้มันกระชับเข้าใจง่าย ๆ น่ะครับ แต่ก่อนผมก็อ่านหนังสือนะ อ่านไปอ่านมามันกระจัดกระจายครับ จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มดูจากอะไรก่อนดี เลยสรุปไว้ง่าย ๆ เป็นขั้นตอนของตัวเอง 4 ข้อ ก่อนจะเพิ่มข้อที่ 5 เข้ามาครับ ส่วนรายละเอียดก็ไปแตกแขนงออกอีกที มีอยู่ช่วงหนึ่ง อ่านจากที่เค้าสอนเอาไว้ว่า "ซื้อหุ้นถูกขายแพง" ฟังดูเหมือนง่ายนะ หุ้นตัวไหนถูกจัดไป สิ่งที่ได้กลับมาคือ หุ้นไม่ไปไหนบ้าง ลงต่อบ้าง ถึงเริ่มพอเข้าใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่าหุ้นเหล่านั้น มันไม่มีตัวเร่งอะไรให้กลับมาเลย ผมเองลองหุ้นมาหลายรูปแบบนะครับ หุ้นปันผล หุ้นกำไรโต หุ้นเทิร์น หุ้นคอมโม ฯลฯ หุ้นบางชนิดคาดการณ์ไม่ง่ายเอาเสียเลย ยิ่งหุ้นแบบที่เราไปไล่ราคาแล้วนี่ หลายครั้งงบออกมานี่ "เงิบ" ครับ ตรงนี้ผมไม่ได้พูดถึงแนวหุ้น growth นะครับ แบบว่าซื้อแล้วไปขายที่แพงกว่า คือ ความถูกแพงของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ก็ยอมรับว่าผมไม่ถนัดแนวแบบนั้นเลยน่ะครับ จึงไม่อาจจะวิจารณ์อะไรได้
โดย
leky
จันทร์ พ.ย. 27, 2017 11:17 pm
0
17
Re: VI หาดใหญ่
อยากเตือนมือใหม่ ๆ อยู่ 2 เรื่องนะครับ 1) ความสำเร็จในการลงทุนในความเห็นผม ความรู้ 50% เท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งคือ "การจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง" สิ่งนี้ยากกว่าการหาความรู้เสียอีก แล้วก็ยากในการที่จะเรียนรู้จากผู้อื่น นอกจากจะโดนเสียเอง ฉะนั้นการเร่งความสำเร็จจึงทำได้ค่อนข้างยากในการลงทุน หลายครั้งเข้าหุ้นถูกตัวแต่กลัวก็อาจจะขายหมู โลภก็อาจจะกลายเป็นไม่ได้อะไรหรือหนักเข้าก็ขาดทุน การเปรียบเทียบกับคนอื่น ความกลัวยามตลาดแพนิค การซื้อหุ้นโดยไม่มีคนซื้อด้วย เรากล้าแค่ไหน ซื้อแล้วหุ้นไม่ไปไหน เราทนได้แค่ไหน งบเหวี่ยงราย Q เราทำยังไง 2) แยกแยะสิ่งที่เราเห็น บางทีเราซื้อหุ้นไปแล้ว หุ้นขึ้นต้องมาดูด้วยนะครับ ว่ามันแค่โชคดีหรือเราคิดถูกจริง ตรงนี้สำคัญมากครับ เพราะถ้าเรา "เห็นผิดเป็นชอบ" มันจะทำให้เรามั่นใจเกินเหตุ หุ้นบางครั้งขึ้นโดยผลประกอบการไม่รองรับ ถ้าเราทำกำไรกับมันได้ก็ต้องยอมรับว่าเราโชคดี ไม่ใช่เพราะเราเก่งอะไร นอกจากนั้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือ "พวกมากลากไป" ผมอยากเตือนอยู่เรื่องหนึ่งแบบตรง ๆ นะ ครับ หุ้นตามเว็บ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ งบอาจจะดีจริง ราคาหุ้นขยับ คนซื้อมั่นใจ ตามเฮโลกันเข้าไป จริง ๆ แล้ว เคยสงสัยบ้างไหมครับว่า จริง ๆ แล้วหุ้นมันขึ้นเพราะอะไร เพราะงบดีจริงล้วน ๆ หรือเพราะ "แรงเฮโล" ทำให้หุ้นมีพลังพิเศษ ถ้าเราเล่นพวกหุ้นแบบนี้บ่อย ๆ เราต้องระวังไว้มาก ๆ ระวังว่าวันนึง ถ้าเราไม่ได้ซื้อหุ้นที่มีพลังพิเศษแบบนี้แล้ว เราจะยังทำได้ดีหรือไม่ หุ้นบางตัวสภาพคล่องน้อย แค่เจอนลท.พอร์ตซัก 8 หลัก ไม่กี่คนก็สามารถผลักดันราคาหุ้นได้แล้วครับ หุ้นที่มีลีดเดอร์คอยโฆษณา หุ้นบางตัวสมัยมีลีดเดอร์ราคาร้อนแรง แต่พอไม่มีลีดเดอร์ทั้ง ๆ ที่พื้นฐานดีกว่าตอนมีลีดเดอร์ราคากลับไปไม่ไกล นี่แหละเรียกว่า "หุ้นที่มีพลังพิเศษ" หุ้นแนวนี้ ลงทุนได้ครับ แต่ต้องแยกแยะด้วยครับ
โดย
leky
จันทร์ พ.ย. 27, 2017 7:00 pm
0
34
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ยาวไปหน่อย ไม่ทันหน้า 100 ล่ะ :D
โดย
leky
จันทร์ พ.ย. 27, 2017 4:29 pm
0
5
Re: VI หาดใหญ่
ผมหาเวลาอยู่นานว่าจะ "ปักหมุด" หน้า 100 หน่อย วันนี้ได้ฤกษ์ก่อนที่จะไม่ทัน :D คิดอยู่นานว่าผมจะเอาอะไรมาแชร์ดี บางเรื่องก็อวิชา เกรงว่าเอามาพูด ใครเกิดนำไปใช้อาจจะมีอาการ "ธาตุไฟเข้าแทรก" ได้ ตอนนี้คิดว่า จะเอา "เคล็ดวิชา 4 กระบวนท่า" ส่วนตัว มาเล่าใหม่ดีกว่า แต่ภาคนี้ คงต้องเพิ่มกระบวนท่าที่ 5 เข้ามาด้วย เพราะคิดมานานแล้วว่า มันควรจะอัพเป็นกระบวนท่าที่ 5 นานแล้ว แต่ยังดูอยู่ว่ามันจำเป็นมากน้อยแค่ไหน พอช่วงตลาดหุ้นไซด์เวย์เลยมองว่า เราน่าจะอัพระดับกระบวนท่านี้ขึ้นมาเทียบเท่ากับ 4 ท่าแรก เคล็ดวิชานี้ เป็นวิธีส่วนตัวของผมนะครับ ใครไม่เห็นด้วยไม่ว่ากัน เพราะไม่ได้ต้องการจะไปเปรียบเทียบอะไรกับใครทั้งนั้น ไม่ได้ต้องการจะไปคลัฟว่า ของเราดีของคนอื่นไม่ดี ใครอ่านแล้วว่าดีอยากเอาไปใช้ก็ใช้ ไม่สนใจก็ไม่ว่ากันครับ ผมออกตัวก่อนนะ ว่าที่มาของกระบวนท่าและลำดับความสำคัญนี้ มาจากการที่ผมเอง เป็นคนไม่ชอบเล่นกับความเสี่ยง ประเภทหุ้นกำลังมีโมเมนตัม วิ่งเหนือเส้นค่าเฉลี่ยแล้วมองว่าจะไปต่อแบบนั้น ผมไม่ค่อยยุ่งเลย ฉะนั้นหลักการของผมก็คือ "ไม่ขาดทุนไว้ก่อน" เพราะตัวผมเองมีนิสัยไม่ชอบการคัทลอส ฉะนั้นจึงไม่พยายามเอาตัวเองไปเสี่ยงกับหุ้นที่มีโอกาสคัทลอสสูงตั้งแต่แรก ตรงข้ามกับแบบที่บางคนเค้าอาจจะยอมรับแบบพลาดคัทลอสเสีย 5% แต่ถ้าได้ก็ไปเอาคืนกับ "คำใหญ่" ผมชอบดูฟุตบอลนะ ฉะนั้นหลักการของผมมันจึงไม่ต่างกับหลักการที่โค้ชบางคนเชื่อ นั่นก็คือ "ถ้าเราไม่เสียประตูก่อน เราก็ไม่มีทางแพ้" ฉะนั้น ไม่ชนะไม่เป็นไรแต่อย่าแพ้ เพราะการแพ้หรือขาดทุน ทุนเราจะหายไปครับ 5 กระบวนท่า ประกอบด้วย 1) downside 2) catalyst 3) upside 4) timing 5) weight ทุกอย่างมีความหมายในตัวของมัน แม้แต่ลำดับการเรียง 1) Downside ผมให้ความสำคัญกับข้อนี้เป็นอันดับแรกครับ เพราะส่วนตัวเชื่อว่า ถ้าซื้อของได้ถูกแต่แรก โอกาสที่จะขาดทุนก็จะต่ำลงตามกันไป หุ้นที่ราคาลงมาแรง ๆ แต่เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับต่ำ มักจะมีสาเหตุใหญ่ ๆ ไม่กี่สาเหตุ 1. ตลาดแย่ยาวนานหรือเกิดแพนิคที่รุนแรง ตรงนี้แม้แต่หุ้นที่เป็นหุ้นชั้นดี ก็สามารถลงมาเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ โดยที่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง 2. เกิดปัญหาบางอย่างกับบ. ส่วนใหญ่ที่ผมมักจะสนใจดูคือหุ้นในกลุ่มนี้ เน้นพวกที่มีปัญหาชั่วคราว ทั้งจากตัวบ.เอง และจากภาพรวม เช่นอาจจะมียอดขายลดลงต่ำกว่าปกติที่เป็นแค่เหตุชั่วคราว และประเมินแล้วสามารถกลับมาเป็นปกติได้ ปัญหาคือ เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดมันเป็นเรื่อง "ชั่วคราว" ทีนี้ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ความเสี่ยงตรงนี้มันต่ำพอ ถ้าไปอ่านหนังสือที่พูดถึงเรื่องความเสี่ยง ไม่เคยมีใครเขียนเอาไว้เลยนะครับ ว่า มันควรจะเป็นเท่าไหร่ วัดจากอะไร เค้าจะอธิบายเพียงแค่ มันคืออะไร สภาวะแบบไหน ตอนไหนที่เราต้องระวัง แนว ๆ นี้น่ะครับ ฉะนั้น ผมจึงสรุปเอาเองว่า "เอาที่เราสบายใจ" อย่างหุ้นบางตัว สมมติราคา 20 บาท บางคนบอก 15 ก็ถูกแล้ว บางคนบอก 10 บาท บางคนบอกต้อง 5 บาท ไม่มีหลักการตายตัวครับ แต่อันนึงที่ผมจะใช้เป็นตัวช่วยก็คือ "stress test" ถ้าใครเคยอ่านหน้าที่ผมเคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันนี้ผมบัญญัติขึ้นเองนะ น่าจะอิงมาจากการตรวจทางหัวใจที่เค้าเอาคนไข้ไปเดินสายพานเพื่อกระตุ้นให้ทำงานหนักแล้วดูว่าหัวใจทนการขาดเลือดไหวหรือเปล่า ที่เรียกกันว่า exercise stress test :D จากการสังเกตของผมนะ ถ้าหุ้นลงมาหนัก การซื้อขายมันจะน้อยจนแทบจะไม่ค่อยมีการซื้อขาย มันน่าจะเกิดจากรายย่อย "ยอมมอบตัว" ขายจนหมดแรงขาย บางทีเราจะเห็น bid offer บางหรือข้ามช่อง บางครั้งราคาอาจจะลงมาได้อีก แต่ก็ลงแบบเหมือนคนตกใจทิ้งแรง ๆ พอแรงรับไม่มีมันก็ลงได้มาก ๆ แต่ถ้าหุ้นกลับขึ้นไปก็ขึ้นได้มาก ๆ เช่นกัน stress test อาจจะเอามาดูได้สองแบบ เช่น ถ้าตลาดแพนิคสุด ๆ หุ้นยังยืนอยู่ได้ ลงนิดหน่อยหรือแทบไม่ลงเลย ถือว่า "ผ่าน" แบบที่สอง งบออกมาติดลบหรือยังแย่ แต่หุ้นกลับไม่ลง เหมือนเกิดอาการ "ตายด้าน" แบบนี้ถือว่า "ผ่าน" พูดง่าย ๆ ว่าถ้ามีสภาวะการที่แย่ขั้นรุนแรงจากอะไรก็ตาม หุ้นยังยืนอยู่ได้ อย่างน้อยโอกาสที่จะลงโดยกลุ่มที่มองแบบ "นอนวีไอ"มันก็จะน้อยลงมาก หน้าที่ของเราก็ต้องประเมินต่อล่ะ ว่าในแง่พื้นฐานจริง ๆ แล้วมันโอเคไหม ถ้าตัวเลขทางการเงินยังดูดี ปัญหาน่าจะแก้ไขได้ อันนี้ก็น่าสนใจ เราก็ไปขั้นต่อไป 2) Catalyst อันนี้จากการสังเกตเช่นกันว่า "หุ้นที่ไม่มี catalyst ยากที่จะขึ้น" หรือถ้าขึ้นได้ก็ตามสภาวะตลาด หรือมือที่มองไม่เห็น ถ้าผมเจอหุ้นที่ความเสี่ยงต่ำ ราคาลงมาเยอะ ผมจะดูต่อว่ามันมีเรื่องราวอะไรให้มันกลับไปได้บ้าง ตรงนี้สารพัดครับ ตั้งแต่เศรษฐกิจดีขึ้น ค่าเงินอ่อนแข็ง โรงงานใหม่ M&A เปลี่ยนผบห. ลูกค้ารายใหม่ ปรับปรุงต้นทุนการผลิต บางทีผมไม่เน้น catalyst ที่แรงมากนะครับ อย่างบางบ.ขอแค่ให้กลับไปเป็นปกติของเค้า ราคาหุ้นก็กลับขึ้นไปได้มากแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดโตกระจายอะไรครับ 3) Upside ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามสมมติฐาน เราก็ต้องประเมินคร่าว ๆ ล่ะครับ ว่าราคาหุ้นมันจะวิ่งขึ้นไปได้เต็มที่ซักเท่าไหร่ ส่วนจะขายเมื่อไหร่ จะเอากราฟมาจับตอนขายเพื่อป้องกันการขายหมูก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนล่ะครับ แต่ผมจะบอกอย่างหนึ่งว่าพวกนี้มีความไม่ตรงไปตรงมาสูงมากนะครับ ยกตัวอย่างเช่น พวกหุ้นเทิร์น บางครั้งกำไรดูดีขึ้นไม่มาก แต่ขอแค่พลิกจากขาดทุนเป็นกำไร หุ้นกลับวิ่งเป็นม้าแบบไม่สมเหตุสมผลครับ 4) Timing ข้อนี้น่าจะคาดการณ์ได้ยากที่สุดครับ ตรงนี้หมายถึง "เข้าจู่โจมในเวลาที่เหมาะสม" ยกตัวอย่าง สมมติหุ้น A มีแผนจะสร้างโรงงานใหม่เพิ่มกำลังการผลิต มีลูกค้ารองรับแน่นอน แต่ใช้เวลาสร้าง 2 ปี พอออกข่าว หุ้นก็จะขึ้นไป แต่ในความเป็นจริงมันเป็นแค่การเล่นข่าวของตลาด หลังจากนั้นกว่ากำไรจะเข้ามาจริง กว่าโรงงานจะรันได้อย่างมีประสิทธิภาพอาจจะกินเวลาไปถึง 3 ปี ถ้าเราซื้อหุ้นตั้งแต่ตอนนี้อาจจะเสียเวลาถือแบบไม่ได้อะไรก็ได้ครับ ยกเว้นราคาหุ้นจะลงไปต่ำมาก ๆ คุ้มพอที่จะถือ หรือจะเสี่ยงไปซื้อตอนใกล้ ๆ รายได้ใหม่จะเข้า แต่ก็ต้องเสี่ยงกับราคาหุ้นที่อาจจะขึ้นไปรับข่าว ตรงนี้ต้องประเมินกันเอาครับว่าจะให้น้ำหนักมากน้อยแค่ไหน ปกติแล้วพวกข่าวของบ.ในตลาดที่น่าสนใจ ผมจะจำ ๆ ไว้นะครับ อันไหนเป็นตัวเร่งและน่าจะเห็นผลเมื่อไหร่ ผมจะจำไว้คร่าว ๆ พอใกล้ถึงเวลาก็จะไปดูอีกครั้งว่ายังน่าสนใจไหม 5) Weight ข้อนี้คือกระบวนท่าใหม่ เดิมผมยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเราควรจะให้น้ำหนักกับหุ้นแต่ละตัวเท่าไหร่ เคยคิดเอาง่าย ๆ ว่าถ้าเราคิดว่าตัวไหนน่าจะทำกำไรได้มากก็ให้น้ำหนักมาก ๆ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว เป็นแบบนี้ครับ 1. หุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีมาก หลายตัวเราไม่ได้หวังว่ามันจะดีขนาดนั้น หุ้นบางตัวเราประเมินดูแล้ว ไม่ได้ดีมาก ๆ แต่พอถือไปมัน "ดีขึ้นเรื่อย ๆ" 2. "หุ้นเกร็งหมัด กะน๊อคคู่ต่อสู้ มักจะทำให้เราเสียเองที่ "เกร็งจนทำอะไรไม่ถูก" ตรงนี้เน้นเลยนะครับ จากที่ตัวเองประสบมา การเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่นทำให้เราไม่เสียเวลา หุ้นประเภทนี้มักจะเป็นหุ้นประเภทที่เราคิดว่า "มาแน่" "ขายบ้านรถเข้ารวยกันล่ะทีนี้" บางคนอาจจะจัดหนักถึงกับลงตัวเดียวหรือแค่ 1-2 ตัว ยิ่งถ้ากลัวเสียวไม่พอก็เพิ่ม "ตัวเร่งความเสียว" คือมาร์จิ้นเข้าไป บางคนไปอ่านเรื่องราว "เซียนหุ้นในตำนาน" ว่าเค้าทำแบบนี้ล่ะ จากล้านเป็นพันล้าน "ง่ายถ้าใจกล้า ๆ หน่อย" แต่อย่าลืมครับ อย่าลืมข้อนึงว่า แท้จริงแล้ว คนตายอาจจะมีมากกว่า แต่ไม่มีโอกาสมาเขียน "ตำนานอันหน้าทึ่ง" ครับ นอกจากนั้นการถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งในสัดส่วนที่มาก มันจะทำให้เราเกิดความ bias ผมเองก็ไม่เคยถึอหุ้น 1-2 ตัวนะครับ แต่เคยถือหุ้นบางตัวในสัดส่วนที่มาก ความ bias มันเกิดขึ้นจากความคาดหวัง ทำให้การตัดสินใจมันไม่เป็นไปตามสภาวะที่ปกติ เช่น พองบออกมาไม่ดี ราคาหุ้นลง มูลค่าในพอร์ตจะลดลงมาก ทำให้เกิดความเครียดหรือไม่สบายใจ นำมาซึ่งการตัดสินใจขายหุ้นก่อนเวลาอันควรทั้ง ๆ ที่เราคิดถูกหรือ ในกรณีที่เราคิดผิด เราอาจจะพยายามเข้าข้างตัวเองว่า "เดี๋ยวมันอาจจะกำลังดีขึ้น" บ้าง "ต่อเวลาให้มันอีกหน่อย" บ้าง บางทีความผิดพลาดตรงนี้ทำให้มองข้ามพื้นฐานของหุ้นที่แท้จริง ซึ่งถ้าหุ้นแย่อย่างถาวรก็เจ็บหนักครับ ข้อนี้ผมสรุปเอาง่าย ๆ ว่าไม่ควรถือหุ้นตัวไหนมากจนเกินไปครับ
โดย
leky
จันทร์ พ.ย. 27, 2017 4:29 pm
0
38
Re: VI หาดใหญ่
ในทางกลับกัน "หุ้นสินเชื่อแขก" ที่งบ Q ก่อนดูดีทำท่าจะเทิร์น ดูแล้วถ้าฟื้นจริงราคาอาจจะไปได้อีกไกล วันนี้งบกลับออกมาแบบ "หน้ามือเป็นหลังเท้า" ก็ต้องมาดูกันว่าพรุ่งนี้จะออกอาการ "โรงหนังไฟไหม้" หรือเปล่า ถ้าคิดจะเล่นกับหุ้นพวกนี้แบบว่าไม่ดูเรื่อง MOS ให้ดีก็ต้องเตรียมตัวแบบคลิปนี้ครับ :D xu6tV39rwAE
โดย
leky
พุธ ส.ค. 09, 2017 10:48 pm
0
10
Re: VI หาดใหญ่
ขอเปิดประเด็นชวนคุยเรื่องนี้นะพี่ คือผมคิดว่า หุ้นที่อ่อนแอแบบถาวร ส่วนใหญ่มันก็มาจาก ผบห. หรือธุรกิจที่แย่มาก มันไม่น่าซื้อแต่แรกแล้วละ ส่วนหุ้นที่อ่อนแอ แดงแบบชั่วคราว เพราะราคา-เพราะผลประกอบการแย่บางไตรมาส....ถ้าเราเผื่อราคาตอนเข้าซื้อแต่แรก เราอาจจะไม่เจ็บหนัก (แต่ก็เสี่ยงกับการตกรถ) อันนี้ผมเป็นบ่อยมาก(ปัจจุบันก็มีตัวแดงเยอะอยู่) ซื้อไวเกินไป เพราะเคยตัวจากตลาดขาขึ้นหลังsubprime และมันได้กำไรมาตลอด เรื่องนี้พี่ๆในห้องนี้ พูดบ่อยๆว่า ถ้าเข้าซื้อดีๆก็กำไรตั้งเข้าซื้อแล้ว อันนี้ยังไม่ได้พูดถึงมุมมองเรื่อง ประเภทหุ้นที่เข้าซื้อนะครับ (หุ้นวัฎจักร, หุ้นเติบโตขยายกำลังผลิต, หุ้นเทิน, หุ้นแย่ชั่วคราว) พวกนี้มันก็มีdetail ในการตัดสินใจในการเข้าซื้อ หรือถ้าซื้อแล้วจะถัว หรือจะขายออกไปก่อน (cut loss) แต่ผมรู้สึกว่า...ห้องนี้แปลกตรงเอาเรื่องขาดทุนมาเล่า แล้วจะมีคนมารอซ้ำ เอ้ย มารอdiscussกันว่า ควรแก้ยังไงฮะ :mrgreen: มันก็พูดยากนะครับ ผมว่าเอาที่เราถนัดและสบายใจดีกว่าครับ การซื้อหุ้นราคาต่ำ ๆ ถ้าดูดี ๆ มันก็ดีในแง่มี MOS สูง แต่มันก็มีข้อเสียคือ กว่าหุ้นจะฟื้นอาจจะโดนแช่แข็งนานหรือหุ้นอาจจะลงต่อได้อีก ในทางกลับกัน การซื้อหุ้นที่เริ่มฟื้น มันก็ต้องเข้าใจว่าราคามันคงต้องแพงขึ้น ซึ่งถ้าหุ้นฟื้นจริงมันก็คงไม่เสียหายเพราะถือว่าไม่ต้องถือนาน แต่ก็ต้องเข้าใจอย่างนึงว่า หุ้นส่วนหนึ่งคือฟื้นหลอก คือดีแค่ 1-2Q แล้วหลังจากนั้นงบก็กลับมาแย่อีก ยกตัวอย่างวันนี้ หุ้นอิเลคฯ "ไม่เดียวดาย" แค่พลิกมีกำไรนิดหน่อย หุ้นที่ย้ำต่ำ ๆ มานาน ออกอาการ "ลิ่ง" ซะงั้น ดีไม่ดีราคาที่ขึ้นมานี่ผสมเรื่องอารมณ์เข้าไปด้วย
โดย
leky
พุธ ส.ค. 09, 2017 10:04 pm
0
8
Re: VI หาดใหญ่
วันนี้ไปประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองอสังหาแห่งนึงมา ผมไม่ค่อยได้รู้ประวัติที่ผ่านมาเท่าไหร่ เจ้าของเดิมขายสินทรัพย์เข้ากองทุน แล้วทำสัญญาเป็นผู้เช่าสินทรัพย์นั้นจากกองทุน แต่หลังจากนั้นก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา วาระสำคัญที่ บลจ เรียกประชุมวันนี้คือเรื่องขายสินทรัพย์ที่มีผู้เสนอซื้อมา เพื่อปิดกองและเฉลี่ยคืนเงินให้ผู้ถือหน่วย แต่อนิจจาพอเริ่มประชุม บลจ บอกผู้เสนอซื้อแจ้งเรื่องยกเลิกการซื้อมาเมื่อวานนี้ บรรยากาศมาคุ ตึงเครียด สินทรัพย์ก็สภาพทรุดโทรมลง มูลค่าด้อยลงกว่าตอนออกกองไปเรื่อยๆ สรุปที่ประชุมได้แต่ให้ บลจ ไปจัดหาผู้เช่ารายใหม่ต่อไป เจอคุณลุงคนนึงในห้องน้ำ แกบอกว่าทางธนาคารที่เป็น บ.แม่ ของ บลจ. มาเสนอให้จองซื้อหน่วยลงทุน แกเข้าใจว่าจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนและมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ก็มามีปัญหา ไม่ได้เงินปันผลมาหลายปีแล้ว น่าเห็นใจจริงๆครับ :( กองทุนอสังหาแบบนี้มีให้เห็นตัวอย่างหลายกองครับ ถ้าเราไปตามติดเรื่องราวดูนะครับ มันชวนให้คิดถึงไปว่า เรื่องราวทั้งหมด เค้าต้องการให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เท่าที่ผมสังเกตดูกองพวกนี้จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันบางอย่าง ตั้งแต่มักจะเป็นการขายขาดสินทรัพย์ของเจ้าของเดิม เหมือนจะรู้อยู่แต่แรกว่ามันมีปัญหา ก็แน่นอนครับ ถ้าของดีใครจะอยากขายขาด และสินทรัพย์ที่ว่ามักจะเป็นสินทรัพย์เป็นอสังหาฯ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่เป็นการกระจายความเสี่ยง บางกองอาจจะมีการประกันรายได้ในช่วงแรก แต่พอหมดช่วงประกัน รายได้ก็ตกหนัก
โดย
leky
อาทิตย์ ก.ค. 16, 2017 10:44 pm
0
8
Re: VI หาดใหญ่
"ผบห.ชอบบอกข่าวดี แต่เก็บข่าวร้าย" หรือ "ข่าวดีมักมีแนวโน้มที่จะบอกว่าดีกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข่าวร้ายมักจะมีแนวโน้มที่จะบอกร้าย น้อย กว่าความเป็นจริง" ครับ พิมพ์ตกไปนิดนึงครับ
โดย
leky
พฤหัสฯ. ก.ค. 13, 2017 12:29 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
พูดถึงแรงจูงใจของเจ้าของก็สำคัญนะครับ บางทีผมจะพยายามดูเจตนาของเจ้าของว่า เค้าต้องการอะไรกับกิจการของเค้า อันนึงที่สำคัญก็คือสัดส่วนที่เจ้าของหรือผบห.ถือหุ้น รวมถึงฟรีโฟลทด้วย มันก็ตรงไปตรงมาครับ ว่าถ้าเค้าถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก เค้าก็ย่อมอยากให้ราคาหุ้นสูงขึ้น หุ้นพวกนี้ส่วนหนึ่งมักจะมีฟรีโฟลทที่ไม่มากจนเกินไป เช่นน้อยกว่า 50% ถ้าสังเกตให้ดีหุ้นพวกที่เป็นข่าวในลักษณะเชิงลบแบบ "หลอกแดกซ์" มักจะตรงกันข้าม บางตัวฟรีโฟลท 99-100% ก็มีครับ แบบนี้ต้องระวัง เพราะผบห.อยากทำอะไรก็ทำเพราะตัวเองไม่เดือดร้อน อยากเพิ่มทุน อยากไปลงทุนมั่ว ๆ ในกรณีของหุ้นที่เจ้าของถือในสัดส่วนมาก ๆ เราก็ต้องดูให้ออกด้วยครับว่าเค้าต้องการอะไรในการอยู่ในตลท. หุ้นบางตัวมันก็ตรงกันข้ามกับที่บอกไป คือถึงเจ้าของจะถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก แต่เค้ากลับไม่สนใจราคาหุ้น อาจจะด้วยเหตุผลลึก ๆ หลายอย่าง เช่น รวยแล้ว อายุเยอะ ขาดแรงจูงใจ หรือมีอะไรสีเทา ๆ เช่น มีการผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบ.ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งบางทีหุ้นแบบนี้เจ้าของอาจจะตั้งใจที่จะทำให้ราคาหุ้นมันไม่น่าสนใจ เพราะจะได้ไม่มีคนมายุ่งกับหุ้นของเค้า ไม่ว่าหุ้นจะราคาสูงต่ำ เค้าก็ยังคงเป็นเจ้าของและผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบ.ด้วยวิธีการอื่น หุ้นบางตัวนี่ออกอาการชัดเจนเลยว่า "ไม่เห็นหัวผถห." ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทราบว่า ทำอย่างไรหุ้นถึงจะมีราคาสูงขึ้น หุ้นพวกนี้บางตัวผลประกอบการไม่เลว บางตัวจัดได้ว่าดีด้วยซ้ำ แต่จะใช้วิธีที่ "กดผถห." เช่น การจ่ายเงินปันผลในจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ หุ้นบางตัวทำน่าเกลียดถึงขนาดออกนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนเงินน้อย ๆ ที่ตายตัว โดยไม่ได้มีการปรับให้เหมาะสม นอกจากนั้นพวกหุ้น IPO ก็ต้องระวังครับ หุ้นบางตัวอยู่ในธุรกิจที่แนวโน้มกำลังจะแย่ แต่พยายามเอาเข้าตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กิจการแล้วเจ้าของพยายามขายทิ้งลดสัดส่วนการถือหุ้นออกไปครับ นอกจากนั้น คำพูดของผบห. เราอย่าได้ไปเชื่อมากนักโดยเฉพาะเรื่องดี ๆ มันเป็นความจริงอยู่เรื่องหนึ่งครับว่า "ผบห.ชอบบอกข่าวดี แต่เก็บข่าวร้าย" หรือ "ข่าวดีมักมีแนวโน้มที่จะบอกว่าดีกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข่าวร้ายมักจะมีแนวโน้มที่จะบอกร้ายกว่าความเป็นจริง" ครับ ฉะนั้นข่าวพวกนี้ฟังได้ เอามาวิเคราะห์ได้ แต่อย่าได้พยายาม bias ครับ และเราอย่าหวังว่าจะไปคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ว่ามันเป็นอย่างไร เพราะเราไม่มีอำนาจที่จะไปตรวจสอบข้อมูลตรงนั้นได้ เช่น ผบห.ไปทำเรื่องผิด ๆ มา แล้วบอกว่าขอไม่รับเงินเดือน แต่เบื้องหลังจ่ายเงินเป็นผลประโยชน์อย่างอื่นหรือเปล่า อันนี้เราไม่มีทางรู้ครับ
โดย
leky
พฤหัสฯ. ก.ค. 13, 2017 12:27 pm
0
16
Re: VI หาดใหญ่
ไม่แน่ใจว่าจำถูกไหมนะครับ Peter Lynch เคยกล่าวประมาณว่า หุ้น Turnaround มักไม่ค่อยมีที่ Turnaround ได้จริงๆ มีน้อยๆๆๆๆๆ มากๆๆ ที่ turn ได้ ^ ^ จะว่าไปมันต้องดูระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นกับกิจการก่อนน่ะครับ ถ้าเป็นพวกปัญหาชั่วคราว แก้ไขได้ไม่ยาก เช่น ปัญหาจากราคาวัตถุดิบบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ทำให้งบออกมาแย่ หรือพวกสินค้าคอมโมที่ราคาขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้อาจจะมีโอกาสเทิร์นได้ไม่ยาก แต่ในความหมายของหุ้นเทิร์นที่ผมเคยอ่านมานะครับ หุ้นที่เข้าข่ายต้องมีอะไรที่มันแย่หนักน่ะครับ แบบว่ากิจการอาจจะล้มหายไปเลยก็ได้ ถ้าจะยกตัวอย่างในตลาดหุ้นไทย ก็เช่น KAMART กับ MALEE สองตัวนี้จะค่อนข้างชัด แล้วก็คือหุ้นที่เทิร์นได้จริง แต่ในตลาดหุ้นไทย เท่าที่ผมสังเกต ส่วนใหญ่นะ มักเป็นแค่หุ้นเล่น story อาจจะมีบางช่วงเวลาที่งบอาจจะดูดีขึ้นบ้าง แต่ระยะยาวแล้วก็แย่เหมือนเดิม หุ้นพวกนี้มักมีลักษณะร่วมบางอย่างที่คล้าย ๆ กัน เช่น การเพิ่มทุนหรือแจก W บ่อย ๆ การที่ไม่มีผถห.ใหญ่ที่ชัดเจนหรือมีฟรีโฟลทปริมาณมาก ๆ ผบห.มักมีการให้ข่าวดีออกสื่อ พร้อม ๆ กับราคาหุ้นที่วิ่งขึ่นไป พูดตรง ๆ ก็คือ เข้าข่ายมโนกันซะเป็นส่วนใหญ่ครับ
โดย
leky
พุธ ก.ค. 12, 2017 11:28 pm
0
11
Re: VI หาดใหญ่
ไปขุดโพสต์เก่ามาได้ เอามาให้อ่านเป็นบทเรียนครับ :D ยอมรับว่าเคยมีหุ้นตัวนี้ครับ สมัยที่ยังไม่ค่อยมีความรู้ ด้วยความคิดเพียงแค่ว่าซื้อแล้วขึ้นช่องเดียวก็ขาย ก่อนหน้านี้ก็เคยเล่นแบบนี้กับ W ตัวหนึ่ง เลยคิดว่ากำไรไม่ยาก แต่หารู้ไม่ว่าตอนนั้นส่วนทุนมันกำลังจะติดลบ นั่นแปลว่าบ.จำเป็นจะต้องเพิ่มทุน หลังซื้อไปไม่นานมันก็ติด SP พร้อม ๆ กับประกาศเพิ่มทุน สุดท้ายก็ต้องติดแหง็กอยู่ที่ 3 สต.ต่อหุ้น (ถัวกับหุ้นเพิ่มทุน 1:4 ราคา 1 สต.) ติดอยู่เกือบปี เคยมีบางวันปิดที่ 1 สต.ก็จะเห็นพอร์ตสีแดงแบบติดลบมาก ๆ แบบยากจะทำใจได้ครับ แต่เพราะหุ้นตัวนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง หลังจากนั้นผมก็มาศึกษาว่าทำไมบ.มันถึงแย่ ถึงเข้าใจปัญหาในหลาย ๆ เรื่อง ยอมรับว่าเป็นบ.หนึ่งที่น่าจะเป็น case study ที่น่าสนใจครับ ปัจจัยที่ทำให้บ.แย่ 1) ปัญหาการตั้งสำรองคดีที่ไม่จบไม่สิ้นตั้งแต่ในยุคปี 40 ซึ่งเกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งหลังจากที่บ.ออกมาจากแผนฟื้นฟู กลับโดนเจ้าหนี้ทยอยกันฟ้องเอาหนี้คืน ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเหมือนจะจบไปแล้ว กลายเป็นต้องโดนทั้งหนี้บวกดอกเบี้ยอีกจำนวนมหาศาลเนื่องจากเวลาผ่านมาหลายปี 2) วิสัยทัศน์ของผบห.ในยุคหลังออกจากแผนฟื้นฟู ไปลงทุนในหุ้นหลายตัวในราคาที่ค่อนข้างสูงแล้วผลไม่เป็นไปตามคาด เช่น SYNTEC SIRI BMCL PA ทำให้ต้องขายหุ้นเหล่านี้ในราคาที่ขาดทุนเพื่อนำไปใช้หนี้และสำรองหนี้ 3) ธุรกิจหลักเดิมไม่ทำรายได้ที่ดี เช่นอพาร์ทเมนท์ ในขณะที่ธุรกิจที่ลงทุนติดขัด เช่น โครงการร้อยชักสาม ก็มีปัญหาเรื่องการส่งพื้นที่กับทางราชการทำให้เริ่มโครงการไม่ได้ 4) ธุรกิจที่เป็นเพชรเม็ดงาม เช่นโรงแรมในระดับห้าดาว เช่น โรงแรมเลอ เมอริเดียน ต้องโดนขายเพื่อที่จะเอามาใช้หนี้และตั้งสำรอง หลังจากผมถือมาเกือบปีแบบไม่มีทางเลือก วันหนึ่งบ.ก็ส่งจดหมายมาให้ผถห.จะขอมติการขายรร.ที่ภูเก็ตเพื่อเอากำไรไปหักล้างกับหนี้หุ้นกู้ของเลย์แมนฯ ตอนนั้นกำไรจากการขายนอกจากจะหักหนี้ได้แล้ว ยังจะทำให้ส่วนของผถห.กลับมาเป็นบวกมากขึ้น เนื่องจากบ.จะได้กำไรจากการขายหลายร้อยล้านบาท ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องเพิ่มทุนอีกรอบ ตอนนั้นผมหวังในใจลึก ๆ ว่า เป็นโอกาสที่ผมจะ "ปลดแอก" จากหุ้นตัวนี้เสียที ตอนนั้นหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ 2-3 สต. หลังจากงบออกบ.พลิกกลับมามีกำไรราคาหุ้นก็ขยับขึ้นไปสูงสุด 7 สต. ตอนนั้นด้วยความที่ผมติดกับมันมานาน ตอนที่มันขึ้นมาแรก ๆ ผมก็พยายามจะไม่ขายเพราะไหน ๆ ก็เคยถือจนเหลือ 1 สต.ไปแล้ว สุดท้ายผมโชคดีที่ขายหุ้นไปครึ่งหนึ่งตรง 7 สต. ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เอาไว้ลุ้น แต่สุดท้ายก็ไม่อยากเสี่ยงจึงตัดสินใจปล่อยออกหมดที่ 6 สต. ผมยังจำความรู้สึกตอนที่ตั้งขายหุ้นอีกครึ่งหนึ่งเข้าไปตรงราคา ATC ได้ครับ มันน่าจะเป็นการลุ้นที่ตื่นเต้นครั้งหนึ่งในชีวิตผม ราคา ATC มันขยับไปมาระหว่าง 5 สต.กับ 6 สต. สำหรับผมตอนนั้น 1 สต.มันมีค่าต่างกัน 30% ตอน ATC ที่ 6 สต.เราอยากให้มันหมดเวลา ตอน ATC ที่ 5 สต. เราไม่อยากให้มันหยุดตรงนั้น สุดท้ายมันปิดที่ 6 สต. ผมดีใจมากที่หลุดจากมันเสียทีครับ ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะขึ้นไปอีกหรือไม่ แต่สำหรับผม ผมบอกได้คำเดียวว่า "ผมพอแค่นี้" ประสบการณ์จากการถือ N-PARK ในครั้งนั้น ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ผมยอมรับว่าในปีนั้นหุ้นตัวนี้ทำให้พอร์ตกำไรโตอย่างมาก แต่ถ้าถามว่าให้ผมกลับไปถือแล้วได้กำไรแบบนี้ผมเอาไหม ผมกลับรู้สึกว่าถ้าย้อนเวลาได้ผมจะไม่ซื้อหุ้นตัวนี้ครับ เพราะผมอาจจะโชคดีที่จบแบบสุข แต่มันเป็นอะไรที่คาดการณ์ไม่ได้เลย ถ้าพลาดขึ้นมามันก็อาจจะกลายเป็นหนังคนละม้วน จะว่าไปผมก็เคยซื้อหุ้นหลายตัวที่ผลตอบแทนไม่แพ้กันแต่ความเสี่ยงน้อยกว่ามาก แต่ผลพวงจากการถือหุ้นตัวนี้ ทำให้ผมได้รับสิ่งอื่นตามมาโดยที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน 1) ผมศึกษาหาความรู้หุ้นที่ผมจะซื้อมากขึ้น จากเดิมที่ไม่ค่อยได้ดูเรื่องบัญชีก็ดูมากขึ้น รวมถึงพยายามหาความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน และทำให้วิธีการลงทุนของผมเปลี่ยนไปจากวันนั้นเป็นอย่างมาก 2) จิตใจของผมในการถือหุ้นแข็งแกร่งขึ้นมาก ยอมรับว่าถึง N-PARK จะเป็นหุ้นเน่า แต่ผมก็ได้อะไรจากหุ้นตัวนี้หลายอย่าง ๆ โดยที่ผมเองก็คิดไม่ถึง และผมก็เข้าใจความรู้สึกของคนที่ถือหุ้นตัวนี้ในวันนี้ว่าคงไม่ต่างจากผมในอดีตครับ ผมไม่ได้คิดว่าผมเก่งที่ทำกำไรจากหุ้นตัวนี้ได้นะครับ แต่ผมคิดว่าผมโชคดีมากกว่าครับ จริง ๆ วันนี้ผมคุยกับพี่คนหนึ่งถึงหุ้นตัวนี้อีกครั้ง ผมว่ามันน่าสนใจมาก ๆ ว่าทำไมถึงมีคนยอมซื้อหุ้นเพิ่มทุนในจำนวนมหาศาลขนาดนั้น กลุ่มทุนรายใหม่ทำไมถึงกล้าขนาดนั้น ซึ่งคนอื่นอาจจะมองว่าเค้าจะเอาเงินมาทิ้งหรือเปล่า เพราะแม้แต่ผบห.ใหญ่ในปัจจุบันยังขายหุ้นทิ้งไปจนหมด หรือเค้าเห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็น ในความเห็นผมที่เคยศึกษาหุ้นตัวนี้อยู่ช่วงหนึ่ง ผมคิดว่าปัจจัยที่จะ "ปลดล็อค" หุ้นตัวนี้ อาจจะเป็นไปได้ 3 อย่างครับ 1) เคลียร์คดีฟ้องร้องให้หมด แล้วโอนกลับการตั้งสำรองมหาศาล แต่ความเป็นไปได้ค่อนข้างยากเพราะถึงจะเคลียร์ได้ก็ต้องใช้หนี้ส่วนหนึ่งอยู่ดี ยังไม่นับว่ามีหลายคดีและแต่ละคดีกินเวลาเป็นปี การมีคดีมากมายส่งผลลบต่อบ.หลายอย่างทั้งการต้องตั้งสำรองจำนวนมาก และการเสียเครดิตทำให้ไม่สามารถกู้ยืมเงินมาทำธุรกิจได้ง่ายนัก 2) ปัจจัยนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากบ.นี้น่าจะยังมีสินทรัพย์ที่มีค่าซ่อนอยู่ครับ ซึ่งมันอาจจะมีมูลค่ามากพอที่จะดึงให้คนสนใจที่จะเข้ามาซื้อบ.และ "ปลดปล่อย" มูลค่าของสินทรัพย์เหล่านั้น เท่าที่ผมจำได้จะมีที่ดินผืนใหญ่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาที่บางกระเจ้า ซึ่งบ.เคยประกาศขายมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ขายไม่ได้ และเท่าที่จำได้อีกอย่างหนึ่งก็เหมือนจะมีสินทรัพย์อะไรบางอย่างที่ญี่ปุ่นครับ 3) การใส่เงินเข้ามาทำให้ธุรกิจหลักดำเนินได้ดีขึ้น ผมคิดว่าตรงนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะบ.ขายเพชรเม็ดงามคือรร.ห้าดาวออกไปหมด ส่วนโครงการบางอย่างก็ยังแทบไม่ได้เพิ่มต้น (โครงการร้อยชักสาม) ส่วนธุรกิจอพาร์ทเมนท์ก็ไม่น่าจะดีนัก น่าติดตามครับว่าเรื่องราวจะจบอย่างไร บ.นี้จะกลับมาได้จริงหรือแค่ขายฝันขำขำไปวันวันครับ ส่วนเรื่องราวประสบการณ์ของผมกับหุ้นตัวนี้อ่านได้แต่อย่าได้ลอกเลียนแบบเด็ดขาดครับ :D
โดย
leky
พุธ ก.ค. 12, 2017 3:54 pm
0
8
Re: VI หาดใหญ่
เข้าไปอ่านเรืองของคุณ pak ใน pantip กันรึยังครับ https://pantip.com/topic/36654654 สอนใจผมได้หลายข้อมากครับพี่b4solid ทั้งเรื่องจัดหนักเกินลิมิตรของพอร์ต, เรื่องturnarounds seldom turn, การกระจายความเสี่ยง. (เรื่องพวกนี้ เขามีบทวิจัยทั้งนั้นนะครับ แต่ผมว่าเราติดนิสัย ถ้าอยากรวยเร็วก็ต้องอัดหนัก และเห็นคนสำเร็จ เซเลบ ในช่วงตลาดขาขึ้นรอบใหญ่) ส่วนเรื่อง กลต. ผมไม่ขอตอบดีกว่าฮะ ลูกยังเล็ก พอร์ตยังเด็ก เก๊ากลัววววว :oops: ก็เอาใจช่วยคุณpakในเรื่องนี้ละกันครับ เคยอ่านโพสต์ของคุณ Pak ครั้งแรกในหุ้น NC เข้าใจว่าเป็นหุ้นที่เค้าลงทุนตัวแรก ๆ ยังเคยบอกเค้าเลยว่าลีลาการโพสต์ออกหนังสือได้สบาย หลังจากนั้นก็ออกหนังสือจริง ๆ อ่านแล้วก็เห็นใจครับ อยากให้พ้นวิกฤติตรงนี้ไปได้ครับ หุ้นที่โดน SP นี่ มันเหมือนโดนแช่แข็งอาจจะทำอะไรไม่ได้เลยหลาย ๆ ปี หรืออาจจะจบด้วยการหายไปเลยก็ได้ แต่เท่าที่ติดตามดู แนวการลงทุนแบบนี้ มันเสี่ยงมากอยู่แล้วน่ะครับ ทั้งลักษณะของหุ้นแบบนี้ ที่มีโอกาสเทิร์นจริงได้น้อย คำว่าเทิร์นของผมคือธุรกิจดีขึ้นจริงนะครับ ยกตัวอย่างเช่น KAMART MALEE ที่เหลือเท่าที่เห็น ๆ มาก็แค่เล่นข่าวหลอกแด็กซ์รายย่อย ยังไม่นับว่าถ้าจะซื้อเน้น ๆ แบบจัดหนัก ก็เรียกว่าเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก ถ้าเราไปซื้อหุ้นแบบนี้ ต้องทำใจเป็นกลางมาก ๆ นะครับ แยกแยะให้ออกเลยว่า เราได้กำไรมาเพราะอะไรกันแน่ มันเทิร์นจริงหรือว่าแค่ฟลุ๊กเท่านั้น แบบที่ผมน่าจะเคยโพสต์ถึงการซื้อหุ้น N-PARK ของผมในอดีต ขนาดไม่ได้โดน SP แค่โดนแช่แข็งที่ราคา 3 สต.เป็นปี ผมยังรู้สึกอึดอัด ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้สุดท้ายผมจะขายทำกำไรได้หมดที่ราคาแถว 5-6 สต. แต่ผมยอมรับกับตัวเองเลยว่า "โชคดีมาก ๆ" หลังจากวันนั้น ผมก็พยายามไม่ไปยุ่งกับหุ้นแบบนี้อีกเลย จะมีไปซื้อบ้างก็แบบเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ขำ ๆ ครับ
โดย
leky
พุธ ก.ค. 12, 2017 3:47 pm
0
5
Re: VI หาดใหญ่
ขอลองแกะดูนะครับ น้องดาต้า = COMAN e-custom = ??? รถเช่าชื่อธนาคารรัฐฯ = KCAR เร็วสุดเท่าที่เป็นได้ = ASAP ทั้งรถเช่าทั้งสอง ที่ไม่ใช่ "เร็วสุดเท่าที่เป็นได้ = PL ไฟฟ้าจากขยะ = BWG ไฟฟ้าโรงปูน = TPIPP ปาล์มใต้ = UVAN??? ปั้มปีเตอร์ = PTG หุ้นยางใหญ่ = STA Holding Company ของโบรคเกอร์หุ้น = FNS เบาะหนัง = IHL ก่อสร้างพลังไฟฟ้า = TPOLY เรือเก่า = AMA พรมวิเศษ = TCMC เหมืองแม่เมาะ = SQ หุ้นทำธุรกิจทดสอบ = TNDT หุ้นทำโครงสร้างเหล็ก มั่งคั่ง = BTW ยาทาให้เด็กคัดจมูกตอนนอน =WIIK นักร้อง = SINGER ปล่อยกู้เกษตรกร = GCAP เครื่องกรองน้ำแปลงร่าง = TSR โรงพ่นสีพ่นพิษใส่กิจการ = ??? นักลงทุนวีไออาวุโส = ??? หุ้นลูกชิ้นปลา = ??? หุ้นวุ้นเส้น = TWPC หุ้นเหล็กเฟอร์ไฟฟ้า = SIAM โรงปูน พลังไฟฟ้า = TPIPP หุ้นชื่อสถาบันการศึกษา ย่านปทุมฯ = ??? หุ้นทำเกี่ยวกับตู้โทรศัพท์ = ??? โลก = EARTH โรงกลั่นน้ำมันจิ๋ว = RPC พี่เบิ้มน้ำมัน = PTT หุ้นกิจการมีชื่อคล้ายชื่อหนังฮอลลีวู๊ด = ??? หุ้นน้องแป้ง = BKD หุ้นปัญญา = WORK หุ้นถุงยาง = TNR ลูกอม หรือ ไอติม = MINT โรงแรม-มีร้าน KFC = CENTEL ช้าง = ERW เบอร์เกอร์ = ??? เสื้อเจนนี่ = ??? บินทันที = FN ชาเขียวตัน = ICHI กังหัน = DEMCO สแตมป์ 7-11 = TKS รพ ที่ท่าน Kaiser เคยถือ และเพียงแค่เห็นภาพ นางพยาบาล ก็รู้ว่า เป็น รพ นี้ = ??? คอนโดฯ เพลินจิต = NOBLE หุ้นมิซูบิชิ = KYE หุ้น T?? = TMW หุ้นยางรถมอไซด์ไต้หวัน = HFT หุ้นยางอีลาสโตเมอร์ = ??? หุ้นบ้านยุ้ย = ??? หุ้นทูน่า = TU
โดย
leky
พุธ พ.ค. 31, 2017 3:10 pm
0
14
Re: VI หาดใหญ่
แวบมาทิ้งคลิปให้พี่สายชลครับ https://pantip.com/topic/36264998 (cr. อ.ดำ ที่เสาะหามาให้ เป็นคลิปพี่มี่ ที่ดีมากกกกกกเลยครับ) ได้เจอกันตอนประชุมAGM กับหุ้นอดีตดราม่าปี59 เอาเป็นว่าขอให้ได้งานเยอะๆ กว่าปีที่แล้วนะครับ สอบถามพี่สายชลว่าตอนราคามันทิ้งดิ่งมาหนักๆพี่รู้สึกยังไง...พี่เขาบอกว่า "นิ่งนะ เพราะโดนมาเยอะแล้วทั้งช่วงรถแจ๊ส และตัวอื่นๆ ถ้าธุรกิจมันดีเด๋วก็กลับมาได้" (เช็ดโด้ว...โคตรcool :B ) (ถ้าผมโดนแบบพี่ ผมก็คงนิ่งเหมือนกันครับ....ชีพจรนิ่งยาวๆ -"-) เข้ามารับคลิปของพี่โรมและถือโอกาสสวัสดีและกราบขอบพระคุณพี่ๆที่โพสแชร์ข้อมูลทุกท่านน๊ะครับ ปล.พี่โรมครับผมว่าพี่พิมพ์ตก ตอนผมตอบไปนิดนึงครับ ผมน่าจะพูดต่ออีกหน่อยว่า "ไม่น่าเล๊ยตรู..." :'O :'O (555+ล้อเล่นครับพี่) ดีใจที่เจอพี่โรมน๊ะครับ :wink: สรุปแล้วสองคนนี้ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่ครับ :D
โดย
leky
ศุกร์ เม.ย. 28, 2017 2:16 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
ใช่ครับ พี่ syj ตอนนี้ผมเห็นค่ายหนึ่งที่ปกติเปิดสอนคอร์สเทคนิค (สอนจนรวย) เริ่มมาเปิดคอร์สสอน เทคนิค + วีไอ แล้วครับ เดาๆ ว่า เปิดมาจนคนเรียนหมดละ (และหลายคนที่เรียนคงไม่ได้ผล) เลยเปลี่ยนแนวหน่อย จัดคอร์สผสม เผื่อดึงคนที่สนใจมาเรียน จะได้มีรายได้ ก็ขำๆ นะครับ หากินบนความโลภของคน / เคยเห็นท่านหนึ่งที่เปิดคอร์สสอนและเขียนหนังสือขาย ลงเฟสไปเรียนคอร์สวีไอที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยครับ อิอิ ชุมตัว จากนั้นไม่นาน ก็เกิดคอร์สประมาณนี้ละ ผสมวีไอ บอกตรงๆ ว่า ไม่เวิรค์แน่นอนครับ การใช้วีไอ ผสมกราฟเทคนิค มันขัดแย้งกันชัดเจนมากครับ คนละแนวทางที่ไม่อาจไปร่วมกันได้เลย ถ้าจะใช้จริงๆ ต้องเข้าใจอย่างลึกๆ และไม่ผสม มันจะมั่วครับ ค่ายนี้ แม้แต่หนังสือ ผมก็ไม่ซื้อครับ เพราะราคาเกินมูลค่ามากครับ / ในอดีตที่ไม่มีความรู้ เคยหลงผิดมาแล้วครับ เพราะอ่อนต่อวงการลงทุนมาก 555 หลังเสียเงินเรียน 1 คอร์ส เอามาใช้ ผลที่ได้คือ คัทลอสจนยับครับ ^ ^ โชคดีที่พบทางที่ถูกต้องครับ อิอิ ปล อย่าเชื่อพวกต่างชาติว่า เก่ง แท้จริง อาจไม่เก่งดั่งที่โม้ครับ พวกเปิดคอร์สสอน ผมยอมรับเลยว่า มีเทคนิคการนำเสนอได้ดีมาก ฟังจนเคลิ้มครับ นั่นละครับ หลักการตลาด อิอิ ตัวผมเองไม่ได้เล่นเทคนิคนะครับ แต่ดูกราฟในแง่ประวัติราคาซื้อขายที่ผ่านมา แต่ถ้าคนคิดจะเล่นกราฟเทคนิค ในความเห็นผมนะ มันอาจจะมีประโยชน์ในแง่ หาจุดซื้อหรือขายในกรณีที่ดูปัจจัยพื้นฐานมาแล้ว เช่น ดูแล้วหุ้นตัวนี้ดีแน่ แต่ราคาอาจจะมีโอกาสจะลงไปได้อีก ก็อาจจะใช้กราฟหาจุดซื้อ หรือ ในกรณีที่หุ้นตัวนั้นเรามองว่าราคามันน่าจะเกินมูลค่าแล้ว แต่ราคาหุ้นยังวิ่งขึ้นไปอีก อาจจะกระแสของหุ้นตัวนั้น หรือว่าตลาดอยู่ในภาวะที่ดีจึงดึงหุ้นขึ้นไป ก็อาจจะปล่อยมันวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อน ถ้ามีสัญญาณขายก็อาจจะขายออกมา หรือในอีกกรณีหนึ่งที่ในหนังสือลงทุนสวนกระแสของแอนโธนี่ โบลตัน ก็เขียนไว้บทหนึ่งว่า ตัวเค้าเองก็ดูกราฟเทคนิคเหมือนกัน แต่ดูเพื่อ "ตรวจสอบตัวเอง" เช่นในกรณีที่หุ้นลงมาหนัก เค้าก็จะมาตรวจสอบดูอีกทีว่า มีอะไรที่เค้าไม่รู้หรือหลุดไปหรือเปล่าในแง่ปัจจัยพื้นฐาน แต่ถ้าจะเล่นกราฟอย่างเดียวเลย เท่าที่ผมพอจะทราบมา คนที่ไม่ประสบความสำเร็จเอง มันก็ยากที่จะบอกว่า เพราะอะไรเหมือนกันครับ เพราะมันขึ้นกับการตีความ สุดท้ายมันเลยไม่รู้ว่า เพราะเครื่องมือมันไม่ได้ผล หรือ คนตีความไม่เก่ง ในกรณีของปัจจัยพื้นฐาน มันตรวจสอบได้ไม่ยาก ถ้าเราคิดว่า บ.จะกำไรดีขึ้น แล้วมันไม่ดีจริง ก็ชัดเจนว่าเราผิดครับ
โดย
leky
เสาร์ เม.ย. 15, 2017 11:28 am
0
10
Re: VI หาดใหญ่
ตอนเปิดไปเจอโพสต์คุณลูกหิน อ่านแล้วต้องร้อง "ไอ้หยา ซี้เหลี่ยว" "บร๊ะเจ้าาาา" เท่าที่สมองตอนนั้นจะนึกออกมาเป็นภาษาอะไร พลันนึกถึงหน้าคุณลูกหินอยู่บนโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ทันที Kamikaze-208x300.jpg 555 เชื่อว่าตอนนี้เจ้าตัวน่าจะเตรียม login สำรองไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ก็น่าจะเป็นบุคคลที่สมาชิกอยากเจอตัวมากที่สุด ปกติเท่าที่ผมอ่านเว็บมาหลายปี การโพสต์เรื่อง non VI ดูเหมือนจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้นะ ในเมื่อตลาดมีกลุ่มผู้เล่นหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีลักษณะการเล่น เป้าหมาย วิธีการแตกต่างกันไป บางครั้งถ้าเราไม่รู้บ้างเลย กว่าจะรู้อีกทีมันก็เสียหายไปแล้ว ผมเองก็ไม่เห็นด้วยนะ ถ้าเราจะซื้อหุ้นเพียงเพราะคิดว่า จะมีเสี่ยหรือรายใหญ่มาลาก แต่ถ้าหุ้นตัวนั้นมีพฤติกรรมอันน่าสงสัยจากเรื่องใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง money game, การสร้าง story ที่ดีเกินจริง, การเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติจาก "มือที่มองเห็นและไม่เห็น" ผมถือว่าเป็นเรื่องที่เราจะให้ความระมัดระวัง ถึงแม้ว่า ณ จุดที่เราไม่รู้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นมันจริงหรือไม่ ก็ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงหุ้นตัวนั้น เรื่องราวแบบนี้ ถ้าลองคิดย้อนกลับไป หุ้นหลายตัวก็เคยมีเรื่องแบบนี้ และสุดท้ายดูจะจบแบบไม่สวย ทั้ง ๆ ที่ตอนที่กระแสกำลังมาแรง มีทั้งนลท.รายใหญ่ รายย่อย เข้าไปร่วมวงจำนวนมาก story ดี ๆ มากมาย จนไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นไม่นาน เหตุการณ์จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ไม่ว่าจะเป็น "หุ้นน้องอ้อย" หรือ "หุ้นพลังงานทางเลือกกับโรงแรมหรู" แต่สำหรับโพสต์ของคุณลูกหินโพสต์นี้ สำหรับผมนะ............
โดย
leky
พุธ มี.ค. 08, 2017 12:05 am
0
12
Re: VI หาดใหญ่
อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อีกเรื่องหนึ่งนะครับ การที่ผบห.ซื้อหุ้นโชว์ เราอย่าคิดว่ามันจะต้องมีเรื่องดี ๆ ซ่อนอยู่นะครับ บางครั้งอาจจะเป็นแค่การสร้างความมั่นใจให้ผถห. ผมขอยกตัวอย่าง หุ้นธุรกิจปูนซีเมนต์ที่กำลังจะเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ ถ้าย้อนไปดูรายการการซื้อขายหุ้นของผบห. เมื่อหลายปีก่อน จะเห็นว่าผบห.ขยันซื้อมาก จนทำให้ผถห.รู้สึกว่าบ.คงต้องฟื้นกลับมา สิ่งที่ปรากฎคือ หลังจากนั้นกลายเป็นผบห.และผู้ก่อตั้งรายนั้น โดนให้ออกจากตำแหน่งพร้อมกับตรวจพบเงินไหลออกจากบ.ย่อยในตปท.อย่างมิชอบ มูลค่าของหุ้นที่ซื้อโชว์เทียบไม่ได้กับเงินที่ไหลออกไป มีผถห.ใหญ่รายหนึ่ง เคยเล่าให้ฟังว่า ผบห.เคยบอกว่า "คุณไม่ต้องกลัว ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของผมก็อยู่ในบ.นี้" สุดท้าย บ.ต้องลดการจ้างพนักงานพร้อมกับกำลังจะเข้าแผนฟื้นฟู เดี๋ยวนี้ผมยอมรับว่าตัวเอง เป็นคน "ตั้งข้อสงสัย" เสมอ โดยเฉพาะเรื่องที่ดีเกินไป ผมไม่ปฏิเสธนะครับ ว่าเราไม่มีทางไปทราบเรื่องลับ ๆ ของบ.ได้ทุกเรื่อง แต่..... แต่นะครับ ถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีข้อสงสัย มันก็มีทางเลือกเพียงแค่สองอย่าง อย่างแรก "หลีกเลี่ยงการลงทุนในบ.นั้น" อย่างที่สอง "กดราคาหุ้นให้ต่ำที่สุด"
โดย
leky
อาทิตย์ มี.ค. 05, 2017 1:45 pm
0
24
Re: VI หาดใหญ่
ผมเองเรียนรู้ตลาดหุ้นมาตั้งแต่ความรู้ยังไม่มี ตั้งแต่ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง ได้เรียนรู้มาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องปั่นหุ้น ความฉ้อฉลของบ. บ.ที่ล้มหายตายจาก การเอาเปรียบผถห.จากทั้งเจ้าของ ผบห. เสี่ยต่าง ๆ มาก็มาก ผมอยากจะบอกว่า เรื่องของตลาดหุ้น มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์น่ะครับ เราอย่าไปคิดว่าใครจะมาใจดี เอาเงินมายัดใส่กระเป๋าให้เราครับ จงเรียนรู้ที่จะตั้งข้อสงสัยอยู่ตลอดเวลา อย่าเชื่อข่าวทั้งข่าวดีหรือไม่ดี จนกว่าจะมีการเช็คจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ หุ้นเด็ดจากแหล่งใดก็ตาม จงคิดเสมอไว้ว่า เราเป็นคนท้าย ๆ ที่ทราบ ถ้าเราอยากจะซื้อตาม เราต้องศึกษาให้ดี ดูว่าราคามันยังมี MOS หรือไม่ อย่าไปซื้อตามเพียงเพราะใครเค้าซื้อ ในยุคสมัยนี้รูปแบบมันเปลี่ยนไปนะครับ สมัยก่อน ใช้ชื่อเสี่ยโน่นนี่ ลงข่าวในคอลัมน์ซุปซิป หุ้นขึ้น เจ้ามือทิ้งหุ้นออก เดี๋ยวนี้คนมีความรู้มากขึ้น วิธีการเดิม ๆ ไม่ได้ผล รูปแบบมันก็เปลี่ยน ผบห.หรือเจ้าของ ร่วมมือกับรายใหญ่ มีข้อมูลที่ได้เปรียบถึงการเติบโตของบ. รายใหญ่ ด้วยพลังเงินของตัวเองหรืออาจจะของกลุ่ม บวกกับหุ้นที่ฟรีโฟลทอาจจะไม่มาก เจ้าของรับปากว่าจะไม่ทิ้งออกมา ก็สามารถควบคุมราคาหุ้นได้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมหุ้นหลายตัวงบออกมาแย่แต่ราคามันดูยืนอยู่ได้ เจ้าของหรือผบห.ก็ได้ประโยชน์ รายใหญ่ก็ได้ประโยชน์ วินวิน ผมอยากฝากถึงนลท.หน้าใหม่ ๆ นะครับ "จงตั้งข้อสงสัยเสมอ และหมั่นตรวจสอบข้อสงสัย แล้วเราจะอยู่รอดครับ"
โดย
leky
อาทิตย์ มี.ค. 05, 2017 12:34 pm
0
24
Re: IFRS9 รหัสนี้ที่มาพร้อมกับวิกฤตหรือโอกาส คุณพร้อมรึยัง?
ความเห็นส่วนตัวนะ จากที่เคยตามหุ้นกลุ่มนี้แล้วถือหุ้นกลุ่มนี้มาบ้าง หุ้นกลุ่มนอนแบงค์นี่ จะว่าไปชะตากรรมของงบการเงินที่จะออกมาดีหรือไม่ดี โตมากโตน้อย มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการตั้งสำรองด้วยครับ ตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ก็คือ ในกรณีของ KTC ที่ตอนที่ตั้งสำรองมาก ๆ งบดูไม่ดีอยู่หลายปี ราคาหุ้นย่ำอยู่ตรง 10-20 บาท แต่พอเปลี่ยนผบห. เปลี่ยนวิธีการตั้งสำรองเหล่านี้ กำไรดีขึ้นมาก ราคาหุ้นวิ่งเป็นเด้ง ๆ เท่าที่ทราบอีกตัวหนึ่งก็น่าจะเป็น AEONTS ตรงนี้ผมไม่แน่ใจอีกเรื่องหนึ่งนะครับ ว่าหุ้นที่จะไปขยายธุรกิจในต่างประเทศ จะโดนกระทบมากน้อยแค่ไหน เพราะกฎหมายของแต่ละประเทศก็น่าจะมีการควบคุมกันอยู่ ผมว่าถ้ามีการควบคุมให้มีมาตรฐานเดียวกันก็คงเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่ว่าผบห.อยากกำหนดเท่าไหร่ก็ทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในอนาคตกำไรของหุ้นกลุ่มนี้อาจจะลดลง ถ้าไม่สามารถโตด้วยวิธีการอื่น คนที่ลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ คงจะต้องระวังน่ะครับ เพราะเราเองก็ไม่ทราบว่าบ.เองจะมีนโยบายจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร จะค่อยเป็นค่อยไป จะเล่นแรง ๆ ทีเดียว หรือจะต้องถึงขนาดมีการเพิ่มทุนสำรองไว้หรือเปล่า และผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเป็นแบบในสองกรณีหลัง คือ จัดหนักทีเดียว หรือต้องเพิ่มทุนเพื่อรองรับ เรื่องพวกนี้ทางผบห.คงไม่แจ้งให้เราทราบก่อนแน่ครับ เราต้องต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะลุ้นกันเอาเอง
โดย
leky
อาทิตย์ มี.ค. 05, 2017 12:08 am
0
14
Re: VI หาดใหญ่
ปกติผมกลัวตกรถมั๊ย ??? ผมไม่ค่อยกลัวนะ เพราะตกรถมันมีสองแบบ แบบแรกตกรถแบบว่าไม่ทันได้ขึ้น อย่างมากก็รอคันใหม่ ไม่เจ็บตัวอะไร เสียดายบ้าง เสียเวลาบ้าง แต่ถ้าเป็นแบบที่สองคือ ตกลงจากรถ แบบนี้ผมไม่เอา เพราะนอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังเจ็บตัวอีกต่างหาก หุ้นก็เช่นกัน หลายครั้งที่ผมตกรถ เพียงเพราะแค่ผมไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ทั้ง ๆ ที่บางครั้งหุ้นบางตัวราคาก็ต่ำพอสมควร ยกตัวอย่างสด ๆ ร้อน ๆ หุ้นแช่แข็งหาดใหญ่ ราคา 110+ ดูแล้วอาจจะฟื้นได้บ้าง ราคาลงมาต่ำมาก โทรไปคุยกับ IR ปัญหากุ้งน่าจะดีขึ้น ติดแต่เรื่องกำแพงภาษีที่ยุโรป น่าจะอีกนาน เลยเลือกปล่อยผ่าน วันนี้ราคา 200 หุ้นสังกะสี ราคาสิบกลาง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตามดูราคาสังกะสี เห็น ๆ ว่าขยับขึ้น กำไรน่าจะดีแน่ ติดอยู่เรื่องเดียวคือไม่รู้ว่าจะมีการตั้งค่าที่เกี่ยวกับการเลิกกิจการเหมืองหรือเปล้า โทรไปถาม IR อีกเช่นกัน บอกว่าไม่มีแล้ว แต่ก็ไม่ไว้ใจ เลยเลือกปล่อยผ่าน วันนี้ราคา 20+ กำไรของทั้งสองบ.ดูฟื้นขึ้นจริง ถามว่าเสียดายไหม ผมก็เสียดายครับ แต่ก็ช่างมัน เพราะถ้าเหตุการณ์ที่เราระวังไว้มันเกิดขึ้น เราก็อาจจะติดหุ้น ปกติผมจะมีลิสต์หุ้นที่สนใจอยู่จำนวนหนึ่ง พร้อมเวลาที่น่าสนใจที่จะซื้อ ดังนั้น ถึงพลาดหุ้นตัวนี้ไปผมก็ยังมีตัวสำรองให้เลือกครับ ปกติผมจะมีแผนไว้คร่าว ๆ เช่น หุ้นที่น่าสนใจตัวนี้ มีอะไรน่าสนใจ ตัวเร่งจะทำงานเมื่อไหร่ งบน่าจะดีตอนไหน เราควรจะซื้อเวลาไหน ราคาที่เหมาะสมน่าจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าตัวเร่งทำงานราคาจะไปได้แค่ไหน จะถือนานแค่ไหน ระหว่างถือหุ้นติดตามดูอะไรบ้าง เป็นลักษณะของแผนแบบกว้าง ๆ ไว้ครับ และแน่นอน ถ้าเป็นการลงทุนที่หวังผล ผมจะใช้ข้อมูลจาก "ข้อเท็จจริง" เป็นหลัก ตั้งสมมติฐาน หาข้อมูลมาหักล้าง ถ้าเป็นไปได้ประเด็นที่ติดใจก็จะถามไปที่บ.โดยตรง มันจะทำให้เราซื้อขายหุ้นได้มั่นใจขึ้นครับ
โดย
leky
พุธ ก.พ. 08, 2017 4:23 pm
0
26
Re: VI หาดใหญ่
ผมว่านลท.ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะสายไหนก็ตาม เริ่มแรกของการลงทุนมักจะถูกสอนหรือถูกทำให้คล้อยตามมองเรื่องของ upside เป็นเรื่องแรก ทำให้รู้สึกว่าถ้าเราไม่ซื้อหุ้นตัวนั้น เราจะเสียโอกาสได้กำไรงาม ๆ เพราะอะไร??? ถ้าลองดูสิ่งรอบตัวนะครับ มันสนับสนุนให้เรามีความคิดแบบนั้น เช่น บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ จะมีลักษณะของการเน้นที่ upside เป็นหลัก เช่น ราคาเป้าหมายซึ่งมักจะสูงกว่าราคาปัจจุบัน หรือแม้แต่การวิเคราะห์หุ้นตามสื่อต่าง ๆ มักจะมองไปที่กำไรในอนาคต สิ่งที่มักจะไม่ค่อยพูดถึงคือ "ราคาที่เหมาะสม" เพราะการมองถึง upside เป็นอันดับแรก มันจะทำให้เราคิดไปถึงว่า เราต้องซื้อวันนี้ และรอให้ราคามันวิ่งขึ้นไปถึงเป้า แต่เราจะไม่ค่อยมองกลับมาอีกด้านหนึ่งว่า แล้วเราจะ "ต่อราคา" ได้ไหม จะว่าไปแล้ว การ "ต่อราคา" หุ้น นอกจากจะทำให้ downside ลดลงแล้ว มันยังมีประโยชน์อีกด้านหนึ่งด้วย คือ เพิ่ม upside ทางอ้อม ยกตัวอย่าง หุ้น A ราคา 10 บาท ประเมินว่า น่าจะไปได้ที่ 15 บาท ถ้าเราซื้อที่ราคา 10 บาท นั่นแปลว่าเราหวัง upside 5 บาท แต่..... ถ้าเราต่อราคาหุ้นซักหน่อย ซื้อที่ราคา 8 บาท ถ้าหุ้นสามารถไปที่ 15 บาทได้จริง upside เราจะเพิ่มขึ้นจาก 5 บาท มา 7 บาท "หุ้นนี่ถ้าซื้อผิดราคาตั้งแต่แรก มันก็มักจะสร้างปัญหาให้เราในอนาคตครับ"
โดย
leky
พุธ ก.พ. 08, 2017 4:05 pm
0
17
Re: VI หาดใหญ่
"คุณไม่ควรเอาพอร์ตของคุณไปเสี่ยงกับหุ้นตัวเดียว มันเป็นอะไรที่เสี่ยงมากเกินไป! . ผมได้บทเรียนเรื่องนี้จากการ’ เกือบ’ ขาดทุนหนักเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1990 ตอนนั้นผมกำลังคิดจะซื้อหุ้นตัวหนึ่ง มันน่าจะมีชื่อว่า Healthcare of America แต่ผมไม่ได้ซื้อมัน เช้าวันต่อมา หุ้นเปิดโดดลงไป 80% . ตั้งแต่นั้นมา ผมสำนึกเลยว่าผมไม่สามารถนำเงินทั้งหมดของผมมาเสี่ยงกับหุ้นตัวเดียวได้ แต่ถ้าผมถือหุ้นอยู่ 25-30% ของพอร์ต มันก็ถือว่าเป็นการโฟกัสที่มากพอที่จะสามารถทำกำไรก้อนโตให้เราได้ หรือหากมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้หุ้นตกลงไปแรงมาก ผลขาดทุนของมันก็ยังสามารถกู้คืนกลับมาได้ไม่ยากด้วย" . - Mark Minervini - "ผมเคย ‘อัดหมดพอร์ต’ แค่ครั้งเดียว และมันเกือบทำให้ผมเจ๊งหมดตัว หุ้นของบริษัทหนึ่งเคยเทรดอยู่ที่ 27 เหรียญในวันศุกร์ แล้วพอวันจันทร์มันลงไปเหลือแค่ 6 เหรียญ หลังจากนิตยสาร Barron’s ลงบทความว่าหุ้นตัวนั้นมันเป็นบริษัทที่โกงวิธีการบันทึกบัญชี . ต้องขอบคุณพระเจ้าที่หุ้นตัวนั้นใช้มาร์จิ้นซื้อไม่ได้ ไม่งั้นผมคงต้องได้ไปอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาในคดีล้มละลายแล้วละ . - Dan Zanger - "ปกติผมจะไม่ถือหุ้นตัวไหนมากกว่า 25% ของพอร์ตครับ แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่ผมอาจจะถือหุ้นตัวเดียวถึง 50% ของพอร์ต ผมไม่สนับสนุนการอัดหุ้นตัวเดียวหมดพอร์ตและก็ไม่เคยทำมันด้วย . ผมจะมีหุ้นในสัดส่วนที่มากก็ต่อเมื่อผมเริ่มมีกำไรจากมันแล้วเท่านั้น สรุปก็คือผมจะทยอยเพิ่มสัดส่วนหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆถ้าการเทรดหุ้นตัวนั้นมันยังให้ผลลัพธ์ที่ดีเท่านั้นครับ" . - Mark Ritchie II -
โดย
leky
พุธ ก.พ. 08, 2017 3:52 pm
0
7
Re: ดรามากับสถิติลงทุน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เรื่องราว "ดรามา" ลักษณะแบบนี้ เท่าที่เคยอ่าน ๆ มา คงต้องใช้วิจารณณาณในการตัดสินใจที่จะลอกเลียนแบบ อันนี้เป็นข้อสังเกตที่ผมเคยพบ 1) สายกราฟ เลือกที่จะเอากราฟแบบ "เทพ" เลือกนำกราฟหุ้นที่เห็นแล้วกำไรหลาย ๆ เด้งมาโชว์ แต่ถ้าหุ้นที่กำไรดาด ๆ หรือขาดทุน จะเก็บใส่ไว้ในลิ้นชัก 2) สายพื้นฐาน เรื่องราวดรามา อาจจะมีการเขียนจากเรื่องจริง แต่... มีลักษณะ "ปล่อยของไม่หมด" ลักษณะของการ "ปล่อยของไม่หมด" เช่น ใช้มาร์จิ้นเข้าช่วย, ใช้เครื่องมีออย่างอื่นเช่น W DW TFEX บางครั้งก็มีการเอาเงินของทางบ้านเติมเข้ามาก้อนใหญ่ ๆ ซึ่งถ้ามีคนไปซักไซร้ไล่เรียงเนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนที่สูงจนน่าตกใจ อาจจะเริ่มมีอ้อมแอ้มตอบออกมาบ้าง แต่จะไม่เล่าเองตั้งแต่แรก และสุดท้าย ไม่ว่าจะสายกราฟหรือพื้นฐาน อาจจะจบด้วย การเปิดคอร์สสอนเล่นหุ้นหรือรับจ้างบริหารพอร์ตหรือตั้งตัวเป็นเจ้าสำนัก CI
โดย
leky
จันทร์ ก.พ. 06, 2017 10:36 am
0
14
Re: VI หาดใหญ่
ขอเห็นต่างเรื่องเคสหุ้นตัวที่พี่ดำ และพี่leky นะครับ...เพราะบางทีเราซื้อหุ้นเพราะ ผู้บริหารบอกเหตุผลA แล้วมันฟัง+ตรวจสอบข้อมูลแล้วโอเค ว่าถ้ามันเป็นจริง ราคา ณ วันนี้ยังต่ำอยู่ เราก็ถือ และพอผ่านไปกำไรก็มาตามนัด และเหตุผลAเขาก็ทำได้จริงตามที่พูด และถ้ามันยังเหลือเหตุผลAให้รับรู้กำไรอีก50-60% แล้วจู่ๆเขาก็ออกเหตุผลเพิ่มเป็น "เหตุผลB" ซึ่งถ้าดูแล้วผมก็อาจจะยังไม่ขายก็ได้ เพราะเหตุผลAที่ทำให้ผมเข้าซื้อ ทางผู้บริหารยังทำไม่ครบเลย ผมอาจจะไม่เห็นด้วยกับเหตุผลB ก็ได้...แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจำเป็นต้องขายทั้งหมดนี้ครับ, อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับผมละ ว่าจะbetกับมันยังไง (แต่ถ้าผมเชียร์ให้คนรอบข้าง หรือคนอื่นๆมาซื้อตาม เพราะจิตอกุศล อันนี้ผมควรโดนประนาม) ผมว่ามันคงต้องดูเป็นกรณี ๆ ไปครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราซื้อหุ้นมาที่ต้นทุนไม่แพง ราคาหุ้นที่บวกความคาดหวังอยู่ในข่ายที่รับได้เราก็อาจจะเลือกที่จะถือต่อเพื่อดูผล หรือต่อให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงมาก เราก็อาจจะเลือกถือแล้วดูว่าราคาจะไปได้จากแรงผลักดันด้วยปัจจัยอื่น ๆ จนถึงเมื่อไหร่ แต่เราต้องเตือนสติตัวเองตลอดเวลาว่า ถ้าราคาเริ่มที่จะร่วงลง เราก็พร้อมจะสละเรือ เพราะในบางช่วงเวลาตลาดก็อาจจะให้ราคาหุ้นสูงกว่าความเป็นจริงได้มาก ๆ ในทางกลับกัน สำหรับคนที่ไม่มีหุ้น ถ้าเป็นผม ๆ คงหลีกเลี่ยงครับ อีกประเด็นหนึ่ง สิ่งที่เราต้องระวังอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ผบห.บางบ.ผมมีความรู้สึกว่าเค้า "รู้จักการเล่นกับสื่อ" จริงอยู่การให้ข่าวของบ.โดยเฉพาะข่าวดี ถ้าเรามีหุ้นอยู่มันก็ช่วยให้ราคาหุ้นมีโอกาสเคลื่อนไหวได้สูงขึ้น แต่เราต้องระวังเสมอ ถ้าต้องไปเจอกับข่าวที่ทำให้เกิดอาการ "เคลิ้ม" ทั้ง ๆ ที่เรื่องบางเรื่อง มีโอกาสเกิดจริงได้ยากหรืออาจจะเกิดได้แต่คงต้องใช้เวลาอีกนาน ในขณะที่ราคาหุ้นขึ้นไปรอรับล่วงหน้า เหมือนเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ที่มีคนตายถูกพาไปสวรรค์ แต่เนื่องจากสวรรค์เต็มไปด้วยคน จึงไม่มีที่ว่าง เค้าจึงตะโกนว่า "ในนรกมีทองคำ" หลังจากนั้นไม่นานคนในสวรรค์ต่างวิ่งไปยังนรก เพื่อจะไปเอาทองคำ สุดท้ายแม้แต่คนที่ตะโกนก็วิ่งไปด้วย พร้อมกับบอกกับยมทูตว่า "สงสัยในนรกจะมีทองคำอยู่จริง ๆ" อีกเรื่องคือสิ่งที่ยากในสังคมเวบบอร์ดเมืองไทย คือการยอมให้มีพื้นที่เห็นต่างกับสิ่งที่เราเชื่อ แล้วคนพิมพ์เห็นต่างจะไม่โดนด่า โดนจวก จริงๆแล้วพี่หลายคนในนี้ ผ่านเหตุการยุคต้มยำกุ้งกันหลายคน ก็เลยเน้นระวังมาก ซึ่งในระยะยาวผมก็เห็นว่าดี เพียงแต่รูปแบบการพูดคุยให้คนอื่นๆระวังๆนี่แหละฮะ ที่จะอึดอัด ไปๆมาๆคนก็หนี ไม่อยากโพส กลายเป็นความเห็นด้านอวยอย่างเดียว เอาข่าวมาแปะอย่างเดียวซะเยอะ เรื่องนี้ผมน่าจะเคยพูดถึงหลายครั้ง ถ้าเราไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ การที่เราไปโพสต์เตือนอะไรก็แล้วแต่ โดยเฉพาะตามห้องที่มีนักลงทุนซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งด้วยกัน บางครั้งกลายเป็นการนำมาซึ่งความปวดหัว ได้เครื่องหมายลบบ้าง เจอคำถามที่พยายามถามให้เข้าไปตอบบ้าง เหมือนต้องมีหลักฐานจะมาพูดลอย ๆ ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเป็นเรื่องบวก อาจจะไม่มีเรื่องในทำนองดังกล่าว สุดท้ายผมว่าคนที่โดนก็มักจะรู้สึกว่า "เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอซะนี่" ซึ่งเรื่องนี้มันอาจจะมีเหตุผลที่มาหลาย ๆ อย่าง เช่น คนที่ถือหุ้นตัวนั้นอยากเสพแต่เรื่องดี ๆ แบบกำลังเคลิ้ม ๆ ฟิน ๆ ไม่อยากให้มีใครมาขัดจังหวะ หรือ บางคนอาจจะกลัวทำหุ้นเสียราคาเพราะเค้ามีหุ้นตัวนั้นอยู่ ผมกลับมีมุมมองอีกมุมนึงนะครับ ห้องของหุ้นเป็นแนวคิดที่ดี เพียงแต่การเข้าไปเสพข้อมูลนั้นต้องทำด้วยความระมัดระวังที่จะเกิด bias เนื่องจาก คนที่เข้าไปโพสต์มักจะเป็นคนที่มีหุ้นตัวนั้นอยู่ ดังนั้นโอกาสที่จะมองแต่เรื่องบวก (รักหุ้น) หรืออยากจะโชว์แต่เรื่องบวกย่อมมีมากกว่าเรื่องลบ นั่นแปลว่าบางครั้งคนที่เห็นเรื่องทางลบของหุ้นตัวนั้น เค้าอาจจะไม่เข้ามาโพสต์อะไร นอกจากนั้น การวิเคราะห์ข้อมูล เราควรวิเคราะห์จาก "ข้อเท็จจริง" ก่อน ด้วยความรู้ที่เรามีอยู่ หลังจากนั้น ค่อยพิจารณาเอาเรื่องที่เป็น "ความคิดเห็นส่วนตัวของคนอื่น" เข้ามาประกอบ ผมว่ามันจะทำให้เรามี "ภูมิต้านทาน" ต่อการเสพข่าวสารมากขึ้นครับ
โดย
leky
จันทร์ ก.พ. 06, 2017 8:08 am
0
12
Re: VI หาดใหญ่
เรื่องวัวหายล้อมคอกนี่จะว่าไปมันคือส่วนนึงของวิวัฒนาการของมนุษยชาตินะครับ อย่างในตลาดหุ้น คนจะกลัวก็หลังจากที่เห็นว่าหมีโผล่ออกมายืนต่อหน้าแล้ว ไม่ใช่กลัวตอนที่ยังลูบเขากระทิงอยู่ พูดถึงความเสี่ยงของธุรกิจ หุ้นบางตัวไปเติบโตที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างกัมพูชา มีแผนจะไปโตต่อเมียนมาร์ อินโด หรือแม้แต่อัฟริกา :shock: แต่ก็ยังมีนลท.ที่มั่นใจกับแผนอนาคต และเชื่อว่าตัวเองนั้น "เอาอยู่" ทั้งที่ธุรกิจนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ เกี่ยวข้องกับประชาชนผู้บริโภค เอาแค่เรื่องกฎหมายที่บังคับใช้แค่เรื่องเดียวก็พอครับ มั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งที่แม้แต่กฎหมายของไทยเองหลายครั้งในอดีตก็ทำเอานักลงทุนหงายเงิบมาแล้ว หุ้นตัวที่อ.ดำพูดถึง ผมไม่เคยไปศึกษาดูนะ แต่จากที่เคยซื้อหุ้นธุรกิจแบบนี้ ผมกลัวอยู่สองเรื่อง เรื่องแรก เกณฑ์การตั้งค่าหนี้เสีย ตรงนี้เหมือนยังไม่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน พูดตรง ๆ เลยนะครับ ถ้าผบห.เค้าเกิดบ้าจี้อยากเปลี่ยนขึ้นมาให้มันเสี่ยงน้อยลง คือ ตั้งค่าเหล่านี้มากขึ้น กำไรมันพร้อมจะหดลงอย่างรุนแรง พูดง่าย ๆ คือ ชะตากรรมอยู่ในมือผบห. เรื่องที่สอง บ.ที่จะไปลุยประเทศใน AEC ก่อนหน้าที่จะเข้า AEC ช่วงสั้น บูมกันมากเรื่องการออกไปหากินใน AEC แต่ถ้ามันง่ายแบบนั้น ทำไมก่อนหน้านั้นถึงไม่ค่อยมีคนไป หรือแม้แต่ตอนที่ AEC เริ่มแล้ว หลายบ.ก็ออกอาการติด ๆ ขัด ๆ การออกไปหากินนอกประเทศ เราเข้าใจกฎหมายเค้าดีแค่ไหน เราแน่ใจได้ไงว่าเค้าไม่มี "เจ้าถิ่น" ของเค้าอยู่มาก่อน ผมเองก็ไม่ทราบนะครับ ว่าผถห.เค้ามั่นใจเรื่องนี้กันแค่ไหน
โดย
leky
อาทิตย์ ก.พ. 05, 2017 11:01 am
0
9
Re: VI หาดใหญ่
อาจารย์เริ่มประเด็น ศิษย์ขอร่วมสานต่อ... ผมว่า MOS มันคล้ายๆ ซื้อประกัน บางทีซื้อไปแล้วแต่ไม่เกิดอะไรขึ้น ก็อาจถูกมองเหมือนเอาเงินไปเผาทิ้งเฉยๆ แต่พอมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น กลายเป็นคุ้มมากๆ ที่จะทำ ประเด็นมันอยู่ที่ว่าตอนตัดสินใจทำประกัน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตหรือไม่ ดังนั้นการที่มาตัดสินเมื่อเห็นผลอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นไปแล้ว จึงเข้าข่าย "รู้งี้" MOS จึงเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ Scenario Analysis ในความเห็นของผมคือ ถ้าออกหัวเราพอใจ แต่ถ้าออกก้อยเราต้องรอดได้เช่นกันครับ พูดถึงเรื่องประกัน ผมได้ยินเรื่องแบบนี้มาสองสามครั้ง ครั้งแรก เพื่อนผมทำประกันรถชั้นหนึ่งมาตลอด เค้าก็รู้สึกว่ามันไม่เคยมีอะไร ทำไมต้องจ่ายแพง ตอนหลังตัดสินใจไปทำประกันชั้นสาม ทำได้ไม่นาน รถวิ่งลงข้างทาง ครั้งที่สอง อู่เล่าให้ฟัง มีคนต่างจังหวัด ไม่ชินทางกทม. ขับรถไปชน เสียหายไปหลายคัน ค่าเสียหายเป็นแสน ต้องขายที่ไปใช้หนี้ สุดท้ายเลยทำประกัน ช่างบอกว่า "แบบนี้มันวัวหายล้อมคอก" แล้ว พูดถึงเรื่องความเสี่ยง ผมว่านลท.ในตลาดมักมีความเชื่อว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นเค้าจะหนีทัน แต่ในชีวิตจริง ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงยังขาดทุน บางครั้งขายคัทลอส หุ้นลงจริงรอดตัว บางครั้งขายปุ๊บหุ้นเด้งกลับ สุดท้ายกลายเป็นสะเปะสะปะ เวลาควรขายกลายเป็นไม่ขาย เวลาไม่ควรขายกลายเป็นขาย ส่วนคนที่อ้างว่ารู้จักหุ้นเป็นอย่างดี รู้ว่าจะหนีเมื่อไหร่ ยังไงถ้ามีเรื่องร้ายก็เอาตัวรอดได้แน่ ถ้าจะมาดูคนขับรถสูตรหนึ่งหรือมอเตอร์ไซด์แข่งขัน ทุกคนฝีมือขับรถขั้นเทพทุกคน แต่ทำไมถึงยังมีข่าวนักแข่งรถเกิดอุบัติเหตุ บางคนถึงกับเสียชีวิต ผมยกตัวอย่างสด ๆ ร้อน ๆ นะ หุ้นการบินที่เป็นเจ้าของสนามบิน ใครจะคิดว่าอยู่ ๆ มีข่าวว่าจะโดนยึดที่ทำสนามบิน หุ้นที่ออกตั๋ว BE ใครจะคิดว่าอยู่ ๆ จะโดนเข้มงวดเรื่องการออกตั๋ว ไหนจะมีหนี้ระยะสั้นที่ต้องเคลียร์กันอีก หุ้นพลังงานทางเลือก ใครจะคิดว่าอยู่ ๆ จะโดนเรื่องสปก ผมว่าเรื่องพวกนี้แม้แต่ผบห.เองก็ยังคิดไม่ถึงครับ
โดย
leky
อาทิตย์ ก.พ. 05, 2017 9:17 am
0
10
Re: VI หาดใหญ่
ไหน ๆ ก็มาเปิดประเด็นเรื่อง "ความเสี่ยง" กันแล้ว เคยมีใครสงสัยเหมือนที่ผมเคยสงสัยบ้างมั๊ยในเรื่องของ margin of safety (MOS) ว่ามัน "วัดยังไง" ผมเชื่อว่าเวลาเราได้ยินคนพูดถึงเรื่อง MOS เราจะได้ยินไม่กี่เรื่อง เช่น "ซื้อหุ้นให้มี MOS", ."MOS เป็นเรื่องสำคัญของการลงทุน" ฯลฯ บลาบลา คนฟังเองก็ฟังมาว่าเราก็ต้องซื้อหุ้นให้มี MOS แต่คำถาม "MOS นี่วัดกันยังไง" แล้วถ้าจะต่อยอดออกไปอีก "MOS เท่าไหร่ถึงจะพอ" ????? การใช้ตัวเลขทางการเงินบางอย่างใช้ได้ไหม เช่น ซื้อหุ้น PE ต่ำ ยิ่งต่ำถือว่ายิ่งมี MOS มันใช้ได้ไหม ตัวผมเองก็เคยพยายามหาคำตอบ แม้แต่ในหนังสือบางเล่มที่เน้นเขียนถึงเรื่องนี้ ก็ไม่ยอมตอบ 555 ผมก็เลยได้ข้อสรุปแบบง่าย ๆ ว่า น่าจะเป็นลักษณะแบบ "เอาที่สบายใจ" ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ผมยกตัวอย่างแล้วกันครับ หุ้น A ราคา 20 บาท ถ้าเราไปคุยกับนายก.ว่าต้องการซื้อที่ราคาเท่าไหร่ นายก.อาจจะตอบว่า ผมขอส่วนลด 25% คือ 15 บาท แต่ถ้าเราไปคุยกับนายข. อาจจะได้คำตอบว่า 10 บาท พอไปคุยกับนายค. บอกว่าขอ 5 บาท ถามว่าทุกคนมี MOS มั๊ย คำตอบคือ มี เพียงแต่มันไม่เท่ากัน ถ้าเป็นนายก. โอกาสซื้อหุ้นได้ก็คงมีมากกว่านายค. ในกรณีของนายค.บางครั้งราคาหุ้นที่เราอยากซื้อ อาจจะต้องรอไปอีก 5-10 ปี เรารับได้มั๊ย ถ้าจะรอนานขนาดนั้นเทียบกับโอกาสที่จะกำไรจากการถือหุ้นตัวนั้น แล้วยังมีอีกประเด็นหนึ่ง ต่อให้ได้หุ้นตัวนั้นที่ราคาต่ำขนาดนั้นมา แน่ใจได้ไงว่าพื้นฐานมันไม่เปลี่ยนไปแล้วหรือไม่ ราคามันถึงลงมาขนาดนี้ ผมจึงพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าที่ตำราแทบจะไม่เคยเขียนไว้มันเพราะสาเหตุนี้คือ "เอาที่สบายใจแล้วกัน" มาต่อครับ แล้วจะวัดกันยังไงดีล่ะ อันนี้ผมว่านะ จากเท่าที่พยายามหาคำตอบมาคงต้องตอบว่า "เอาที่ถนัดแล้วกัน" บางคนอาจจะดูการเคลื่อนไหวของราคา เช่น ราคาลดลงมาจากจุดสูงสุด 50%, ราคาลงมาใกล้จุดต่ำสุดเดิม, PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PE ของหุ้นตัวนี้ ฯลฯ อีกสารพัด หรือบางคนอาจจะใช้กราฟเทคนิคมาเป็นตัวจับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องเข้าใจก่อนว่า ราคาหุ้นและกำไรของบ. มันเป็นเรื่อง dynamic ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจะเอาค่าเฉลี่ยของ PE มาจับ หุ้นตัวหนึ่งเดิมซื้อขายที่ PE เฉลี่ย 20 สมมติ PE ขึ้นไป 30 เราจะซื้อหุ้นตัวนี้ได้หรือไม่ ผมคงตอบว่า "อาจจะได้" แปลกมั๊ยครับ ตามความรู้สึก PE ที่สูงขึ้นมันน่าจะแปลว่าหุ้นแพงขึ้น แต่ทำไมถึง "อาจจะได้" ต้องย้อนกลับมาที่ความเป็น dynamic ของมันนั่นเอง เช่น ถ้า PE ที่สูงขึ้นนั้น มันเกิดจากกำไรที่ลดลง จากสาเหตุบางอย่าง ที่มันเป็นแค่ชั่วคราวและอาจจะแก้ไขได้ บางครั้ง ราคาหุ้นอาจจะลดลง แต่ EPS มันลดลงมากกว่า เราก็อาจจะเห็น PE ที่มันสูงขึ้นได้ นี่อาจจะเป็นจังหวะที่ควรซื้อ ถ้าเรามองว่าบ.อาจจะแก้ปัญหาชั่วคราวนี้ได้ อันนี้เป็นตัวอย่างครับ บทสรุปของ MOS วัดยังไง และควรจะมีค่าเท่าไหร่ มันจึงมีข้อสรุปสำหรับตัวผมนะ ที่พยายามจะหาคำตอบของมัน ก็คือ "ไม่ได้มีอะไรตายตัว" "เอาที่เราถนัดที่จะประเมินและสบายใจ" แต่เรื่องหนึ่งที่ผมเคยพยายามประเมินตัวเองนะครับ ทุกครั้งที่ซื้อหุ้นไม่ว่าสุดท้ายจะลงท้ายด้วยกำไรหรือขาดทุนหรือแม้แต่เวลาที่ผม "ตกรถ" ผมจะประเมินตัวเองเสมอว่า เพราะอะไร การขาดทุนบางครั้งก็แปลว่าเราให้ MOS ต่อหุ้นตัวนั้นน้อยเกินไป เช่นกัน การตกรถ บางครั้งก็แปลว่าเราให้ MOS ต่อหุ้นนั้นมากเกินไป สิ่งที่เราจะต้องประเมินตัวเราเอง ก็คือ มันผิดพลาดหรือเปล่า หรือมันถูกแล้ว เมื่อเทียบกับ downside กับ upside ของหุ้นตัวนั้น สุดท้ายถ้าเรามีประสบการณ์ที่มากพอ เราก็ต้องจูนสิ่งเหล่านี้ให้มันเหมาะสมและให้มันถูกจริตกับนิสัยของเราครับ อย่างตัวผม เคยออกตัวเสมอว่า "ไม่ชอบการคัทลอส" นั่นจึงแปลว่า ปรัชญาการลงทุนของผมในข้อแรก ๆ ก็คือ "ผมจะไม่พยายามเอาตัวเองไปสู่จุดที่มีโอกาสจะขาดทุนตั้งแต่แรก" และจึงเป็นที่มาของคำว่า "ไม่ซื้อไม่ขาดทุน" แต่สำหรับนลท.บางท่าน เค้าอาจจะพอรับได้กับเรื่องนี้ เค้าอาจจะให้ความสำคัญกับ upside มากกว่า ถ้าเค้าพลาดเค้าก็สามารถที่จะ "กดปุ่ม" คัทลอสได้ไม่ยากนัก ตรงนี้คงไม่มีใครถูกผิดครับ แต่วิธีการต้องถูกกับจริตนิสัย อย่าไปฝืนตัวเองมากจนเกินไป ยกเว้นว่าสิ่งที่ทำมันจะเป็นผลเสียอย่างรุนแรงที่ต้องแก้ไขจริง ๆ
โดย
leky
อาทิตย์ ก.พ. 05, 2017 6:08 am
0
11
Re: VI หาดใหญ่
ขอเอามาโพสต์ในที่นี้ดีกว่า อยากขอพูดเรื่อง "ความเสี่ยง" หน่อยครับ ผมอ่านเรื่องความเสี่ยงมาหลายกระทู้ ผมว่าบางครั้งนลท.บางท่านยังมีความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงไม่ถูกต้องซะทีเดียว เช่น การซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว แต่เรารู้จักหุ้นตัวนั้นเป็นอย่างดีมาก ๆ ถือว่า เสี่ยงน้อยกว่าซื้อหุ้นหลายตัว แต่ตัวที่เหลือดีน้อยกว่าหุ้นตัวเลือกแรก ผมว่าการมองในลักษณะแบบนี้เหมือนมองในมุมเดียวเท่านั้น สำหรับผม ความเสี่ยงนั้นบางครั้ง มันก็เหมือนสิ่งที่เราจะรู้ได้ว่ามันเสี่ยง ก็ต่อเมื่อมันปรากฎตัวขึ้น ในบางครั้ง เราอาจจะทำอะไรบางอย่างที่จริง ๆ มันเสี่ยง แต่มันไม่ได้เกิด "เรื่อง"ขึ้น เราจึงคิดว่ามันไม่เสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราขับรถด้วยความเร็วมากกว่า 200 กม.ต่อชม. แล้วไม่เกิดอุบัติเหตุ แบบนี้เรียกว่าเราทำสิ่งที่ไม่เสี่ยงหรือไม่ ในทางกลับกันถ้ามันเกิดอุบัติเหตุขึ้น แน่นอน เราจะโดนต่อว่าทันทีว่าเรากำลังทำสิ่งที่เสี่ยง เรื่องเดียวกัน แต่ทางหนึ่งสิ่งเลวร้ายไม่เกิดขึ้น แต่อีกทางหนึ่งเกิดสิ่งเลวร้ายขึ้น ถามว่าจริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องเดียวกันมั๊ย ใช่ครับ จริง ๆ มันคือเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ในผลลัพธ์แรก มันไม่เกิดเรื่องร้าย เราจึงคิดว่ามันไม่เสี่ยง ในประเด็นแรกนี้ ผมต้องการจะบอกว่า หลายคน กำลังทำสิ่งที่เรียกว่าเสี่ยง แต่หลงผิดคิดว่าสิ่งนั้น ไม่เสี่ยง แบบนี้อันตรายมาก แม้ว่าบางเรื่องโอกาสเกิดมันอาจจะน้อย แต่ถ้าเกิดแล้ว แทบจะเรียกว่า "ล้มทั้งกระดาน" ยกตัวอย่างเช่น กรณีของโรงงาน SVI ไฟไหม้ ซึ่งในกรณีของ SVI ยังดีที่บ.ยังกลับมาได้แม้จะใช้เวลานาน แต่ถ้าเป็นกรณีของโรงงาน SUE ไฟไหม้ มันเกิดขึ้นพร้อมกับการหายไปของบ.นี้จากตลาด ประเด็นต่อมา คือ "การป้องกันความเสี่ยง" ในมุมมองผม นลท.ส่วนหนึ่งมักจะละเลยการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งอาจจะมีความหมายเดียวกับ MOS ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เวลาที่เราเดินเข้าตึกใหญ่ ๆ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่แทบจะไม่สนใจว่าบันไดหนีไฟอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่มีแผนที่หรือป้ายบอกทางชี้ให้ดู ถังดับเพลิงอยู่ตรงไหน แต่ถ้าเมื่อไหร่ เกิดไฟไหม้ขึ้นนะครับ เราถึงจะเห็นคุณค่าของ บันไดหนีไฟและถังดับเพลิง นั่นแปลว่า การป้องกันความเสี่ยงจะเผยให้เห็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อ ความเสี่ยงนั้นได้เกิดขึ้น และจะดู "ไร้ค่า" ไปในทันที ถ้ามันไม่เกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างในกรณีของหุ้น ก็คือ ในบางครั้งที่ตลาดอยู่ในภาวะกระทิง นลท.มักจะหักห้ามใจไม่ให้ซื้อหุ้นไม่ได้ การ์ดมวยที่ตั้งสูงจึงมักจะลดต่ำ มีการกำหนด MOS ที่ลดลง ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง มันควรจะสูงขึ้น หลายครั้งจึงทำให้นลท.ซื้อหุ้นในราคาที่ไม่ถูกไปจนถึงขั้นแพง เมื่อตลาดเปลี่ยนจากกระทิงเป็นหมี หุ้นทั้งตลาดร่วงลง หรือเวลาที่เกิดตลาดแพนิค ราคาทุนของหุ้นที่ซื้อมาแพง จึงต้านเอาไว้ไม่อยู่ ผมยังคงท่องไว้ขึ้นใจเสมอ หุ้นนั้นไม่ใช่ไม่ขายไม่ขาดทุน แต่มันควรจะเป็นไม่ซื้อไม่ขาดทุนครับ safety first ครับ
โดย
leky
ศุกร์ ก.พ. 03, 2017 10:58 pm
0
32
Re: VI หาดใหญ่
พูดถึงการลงทุนในลักษณะดังกล่าว เราต้องมีสติคอยเตือนตัวเองให้ดี อย่าได้ไปคิดเปรียบเทียบที่เห็นเค้าทำผลตอบแทนได้สูงและอยากที่จะทำให้ได้บ้าง เลยเลือกที่จะไปในแนวทางเสี่ยง ๆ การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น เกิดจากปัจจัยพื้นฐานส่วนหนึ่ง แต่อีกหลายส่วนก็อาจจะไม่ใช่ เป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทานของปริมาณหุ้น ข่าว มันนี่เกมส์ ฯลฯ การลงทุนในลักษณะนั้น บางครั้งดูเหมือนฉีกกฎหลาย ๆ อย่าง หุ้นที่ PE สูงลิ่ว แต่ราคายังขึ้นไปได้ มีเหตุผลที่จะใช้อธิบายซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องของการเติบโตในอนาคต ยิ่งมี story มา support ยิ่งมีผบห.ที่รู้จักเล่นกับสื่อ หุ้นตัวนั้นก็จะยิ่ง "ระเบิดเถิดเทิง" ใครอยากทำตามก็ต้องย้อนมาดูตัวเองก่อนล่ะครับ ว่า "เรา" กับ "เค้า" มีอะไรที่เหมือนหรือต่างกัน กลุ่มก๊วนมีทั้ง "เม็ดเงิน" มหาศาล และที่สำคัญคือ "การเข้าถึงข้อมูล" ที่บางครั้ง เค้าอาจจะมีมากกว่าเรา สำหรับผมนะ การลงทุนที่ผลตอบแทนดีมากผิดปกติ ผมมักจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนครับ ว่ามีอะไรตรงไปตรงมาหรือไม่
โดย
leky
ศุกร์ ม.ค. 20, 2017 2:45 pm
0
15
Re: VI หาดใหญ่
ไม่รู้ว่าพี่ๆในห้องหาดใหญ่ มีใครเคยช็อตหุ้นบ้างป่ะครับ แล้วสำหรับคนที่ไม่เคย ถ้าเรารู้ข้อมูลว่าหุ้นที่เราถือ ถูกยืมไปช็อตจนหมด (เช็คได้จากหน่วยงานSBL ของโบรกที่เราใช้บริการอยู่)...จะทำให้เราระวังในการลงทุนหุ้นตัวนั้นป่ะครับ ผมว่าคงต้องระวังครับ โดยเฉพาะ หุ้นที่ราคาแพงมาก ๆ หรือมีข่าวดีมาก ๆ หุ้นมวลชนที่คนเล่นกันมาก
โดย
leky
พุธ ธ.ค. 21, 2016 11:22 pm
0
4
Re: VI หาดใหญ่
เอาหุ้นน้ำมันหน่อยมั๊ยครับ 555 ตอนที่ "พี่เทพ" ลงไปเหลือ 50 บาท ข่าวร้ายถูกขุดถูกมโนไม่รู้จะกี่เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นซาอุ มีน้ำมันอีกมาก ไม่รีบขายตอนนี้จะไม่มีค่าในอนาคต รถไฟฟ้าจะมาแล้ว อีกหน่อยน้ำมันไม่มีความหมายบ้าง น้ำมันจะไม่กลับมาอีกแล้ว บลา บลา บลา มาถึงตอนนี้ราคาน้ำมันเริ่มดีขึ้น พี่เทพจะร้อยแล้วครับ :rofl: แล้วไม่ต้องแปลกใจนะครับ ข่าวสารพัดที่เคยถูกขุดขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โดย
leky
อาทิตย์ ธ.ค. 11, 2016 11:57 pm
0
9
Re: ห้าปีกับหุ้นห้าประเทศ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าจะมองในแง่มหภาค ก็คงต้องมองหลาย ๆ มุม ทั้งหนี้สินของประเทศ http://www.bangkokbanksme.com/article/3563 ระบบอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเท่าที่ทราบมาจะคล้ายกับของประเทศไทยก่อนวิกฤติปี 40 ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนของเงินไม่ได้อยู่ในระบบลอยตัว และทางรัฐบาลเวียดนามเองก็มีการลดค่าเงินมาแล้วหลายครั้ง
โดย
leky
จันทร์ พ.ย. 28, 2016 9:49 am
0
4
Re: ห้าปีกับหุ้นห้าประเทศ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมว่าก่อนที่เราจะไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ๆ โดยเฉพาะ ถ้าเราคิดว่าประเทศนั้นจะเดินตามอย่างประเทศไทย ลองศึกษาประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ก่อนก็น่าจะดีครับ ผมอยากลองให้ไปอ่านเล่มนี้กันครับ คนเขียนคืออ.วิกรม เกษมวุฒิ ที่ถือหุ้น SCC ตั้งแต่ IPO https://www.se-ed.com/product/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81.aspx?no=9789749169254 ตลาดหุ้นไทยเอง ช่วงที่นิ่งมากไม่ไปไหนเลยบางช่วงก็กินระยะเวลาที่ยาวนาน ความผันผวนอย่างรุนแรงของตลาดไทยในบางช่วง จากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การเร่งขึ้นของตลาดหุ้นไทย ที่มีปัจจัยเรื่องของการเปิดเสรีทางการเงินในช่วงยุคปี 30 การเพิ่มเพดานการถือครองหุ้นของนลท.ต่างชาติ มุมมองของสถาบันต่อการเมือง ความยืดหยุ่น ความเสี่ยงต่อการถือครองหลักทรัพย์ในประเทศแบบนี้ แต่ก็ตามมาด้วยภาวะฟองสบู่ในปี 40 ระบบค่าเงินของไทยในยุคก่อนจะเกิดวิกฤติปี 40 เทียบกับของต่างประเทศ ระบบอัตราแลกเปลี่ยน กว่าจะมีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ มันผ่านทั้งเรื่องดีและร้ายมามากมายครับ
โดย
leky
จันทร์ พ.ย. 28, 2016 7:51 am
0
12
Re: VI หาดใหญ่
ผมเห็นด้วยกับคุณลูกหินตรงที่ว่า บ.รถยนต์ขนาดใหญ่ ถ้าคิดจะทำรถแบบ Tesla ออกมาคงจะไม่ยาก และน่าจะทำได้มานานแล้ว เพียงแต่เค้าอาจจะไม่ต้องการทำออกมาถึงขนาดที่จะมาเปลี่ยนให้คนมาใช้รถไฟฟ้ากันหมด เพราะทุกวันนี้ผมเองก็เชื่อว่ารายได้ของศูนย์รถยนต์มันน่าจะมาจากการซ่อมบำรุงมากกว่าการขายรถ ลองคิดดูครับ ถ้ารถไม่ต้องไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 5,000-10,000 กม. รายได้มันจะลดลงไปเท่าไหร่ ยังไม่นับพวกอุปกรณ์อีกจิปาถะ แต่ถ้ามีใครคิดจะทำรถไฟฟ้าขายแบบ Tesla แล้วมีคนหันมาใช้มาก ๆ ค่ายรถยนต์ก็คงจะทำเป็นนิ่ง ๆ แบบเดิมไม่ได้
โดย
leky
พุธ ต.ค. 05, 2016 11:46 am
0
9
Re: หุ้นลงมารอบนี้ เป็นร้อยจุด
เดี๋ยวนี้ย้ายไปคุยกันใน line facebook กันหมดแล้วมั้งครับ ประชากรบนเว็บบอร์ดน่าจะลดลงไปเยอะ ส่วนใหญ่น่าจะ read only ซะมากกว่า ผมเห็นด้วยนะครับ แล้วผมคิดว่าผมรู้สึกแบบนี้มาได้ซักพักหนึ่งแล้ว พูดแบบตรง ๆ นะ ผมว่าเว็บถึงแม้จะมีคุณค่า แต่ก็กำลังโดนภัยคุกคามจากสื่ออื่นเช่น FB หรือ LINE ผมว่าทางสมาคมน่าจะตรวจสอบได้ไม่ยากว่าอัตราการเพิ่มของสมาชิกใหม่ต่อปี หรือสมาชิกเก่าที่ต่ออายุเป็นไปในทิศทางไหน ถ้ามันมีแนวโน้มจะน้อยลงเรื่อย ๆ มันก็น่าเป็นห่วงครับ แม้แต่ห้องร้อยคนที่เป็นจุดขายและใช้เป็นจุดที่แบ่งระหว่างสมาชิกที่จ่ายเงินและไม่จ่าย ผมว่าช่วงหลังแม้แต่ตอนที่ตลาดดูคึกคัก ก็ active น้อยกว่าเมื่อก่อนครับ กลุ่ม LINE หรือ FB ที่เป็นกลุ่มที่คนคุ้นเคยตั้งกลุ่มกัน อาจจะตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ได้มากกว่า เพราะไม่มีข้อจำกัดของการคุยครับ
โดย
leky
ศุกร์ ก.ย. 16, 2016 9:22 pm
0
17
Re: VI หาดใหญ่
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คิดว่าน่าจะในรอบสิบปี ที่ผมถือ "เงินสด" เยอะ เท่ากับหุ้น คุณ NB ขยายความหน่อยได้ไหมครับ เพราะมันแปลได้สองอย่าง 1) ถือเงินสดเยอะอยู่แล้วก่อนหุ้นจะลง 2) ขายหนีตายเพื่อถือเงินสด ผลเหมือนกันแต่จุดเริ่มต่างกัน ผมได้ยินหลายคนทีเดียวครับ ที่ขายเหมือน "ล้างพอร์ต"
โดย
leky
พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2016 10:15 pm
0
9
Re: มีบริษัทไหนในกลุ่มโรงแรม เน้น 3 ดาวหรือไม่ครับ?
ERW ครับ กลุ่มรร.IBIS เป็นรร.ประหยัด ขยายอยู่ตามจ.ท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ERW ทำมาหลายปีแล้วครับ
โดย
leky
จันทร์ ก.ค. 18, 2016 8:33 pm
0
2
Re: เปิดรับฟังความคิดเห็นสมาชิกเพื่อนำเสนอต่อ กลต.
ผมอยากให้เสนอสองเรื่องครับ 1) โทษของความผิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อินไซด์ ฯลฯ มันเบาเกินไปหน่อยหรือเปล่าครับ แค่ปรับเพียงไม่เท่าไหร่ บางทีประโยชน์ที่ผู้กระทำผิดได้รับ ยังมากกว่าค่าปรับมาก ผมอยากให้มีโทษแบบในต่างประเทศเช่น จำคุก รับรองว่าเรื่องแบบนี้จะลดลงมากครับ 2) ในเว็บของกลต.ที่มีช่องให้มีการร้องเรียน เรื่องความไม่ชอบมาพากลต่าง ๆ ของบ.ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ต้องมีการส่งหลักฐานของผู้แจ้งเบาะแส แต่ที่ผมรู้สึกติดใจมากว่า ทำไมกลต.ถึงต้องระบุไว้ว่า อาจจะต้องแจ้งแก่ผู้ที่ถูกแจ้งว่าถูกใครแจ้งมา ผมก็เข้าใจนะว่ากลต.ต้องการป้องกันคนมาป่วน แต่การทำแบบนี้ จะมีซักกี่คนที่เค้ากล้าแจ้งครับ ผมเองยอมรับเลยครับว่าเคยเป็นพฤติกรรมราคาหุ้นของหุ้นบางตัว ผมรู้สึกได้เลยว่ามีอินไซด์แน่ ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่ได้มีหุ้น แบบนี้ถ้าผมแจ้งไป ใครจะรับผิดชอบความปลอดภัยให้ผมได้ครับ อยากให้กลต.ไปทบทวนเรื่องนี้ใหม่ครับ
โดย
leky
จันทร์ ก.ค. 11, 2016 11:20 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
ผมว่าก่อนอื่นต้องดูก่อนครับ ว่าทำไมเค้าถึงอยากได้โทรศัพท์ รร.ของลูกสาวผมซึ่งอยู่ป.3 เหมือนกัน อนุญาตให้ใช้ได้ แต่มีข้อแม้ว่าถ้านักเรียนปล่อยให้โทรศัพท์ดังในเวลาเรียนนักเรียนคนนั้นจะโดนหักคะแนนความประพฤติครับ นั่นแปลว่าเด็กที่มีโทรศัพท์จะต้องมีความรับผิดชอบที่จะคอยจัดการไม่ให้มันดังในเวลาเรียน ถ้าเค้าบอกว่าต้องการไว้ติดต่อกับพ่อแม่ เวลามารับแล้วหาไม่เจอ ดูแล้วไม่ได้มีเจตนาต้องการจะเล่นสมาร์ทโฟน ในความเห็นผมนะ ซื้อโทรศัพท์ที่ใช้โทรออกรับสายได้ก็พอครับ ตรงตามวัตถุประสงค์ แบบกดปุ่มราคาถูกเครื่องละไม่กี่บาท อย่าไปซื้อของแพงครับ เพราะอาจจะสูญหาย หรือแบบที่เป็นข่าวที่มีโจรมาจับเด็กเพราะจะเอา iphone จะว่าไปเท่าที่ผมเห็นนะ เด็กนักเรียนหลายคนในรร. เวลาเลิกเรียนเค้าก็มาโทรศัพท์ที่เครื่องสาธารณะ ซึ่งรร.จะมีอยู่หลายจุดเพื่อรองรับ สำหรับโทรบอกพ่อแม่ ถ้าเราฝึกให้เค้ารู้จักใช้ เหตุผลในการใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อติดต่อพ่อแม่อาจจะไม่มีเลยครับ แต่ นะครับ ถ้าเด็กอยากได้เพราะ ต้องการจะมีเหมือนเพื่อน หรือต้องการเล่นเน็ตหรือไลน์กับเพื่อน อันนี้ต้องคิดหนักพอควรครับ ว่าจะให้ดีหรือไม่ เพราะต้องยอมรับครับว่า มีโอกาสสูงที่เด็กจะควบคุมการใช้ของตัวเองไม่ได้ครับ อันนี้ขึ้นอยู่กับเราแล้วว่าเราประเมินลูกเราไว้อย่างไร ยิ่งประเมินดูแล้วไม่น่าจะควบคุมตัวเองได้ ก็ต้องไม่ให้ตั้งแต่แรกครับ หรืออาจจะให้แต่มีเงื่อนไขของอะไรบางอย่างไม่ให้เค้ารู้สึกว่าได้ง่ายเกินไปครับ ตอนลูกสอบเข้าป.1 อาจารย์ใหญ่เคยพูดในที่ประชุมว่า พ่อแม่ไม่ควรเลี้ยงลูกโดย ipad หรือโทรศัพท์มือถือ หมายถึงปล่อยให้เด็กเล่นเพียงลำพังโดยไม่ได้ไปทำอย่างอื่นครับ ของผมไม่มี ipad เพื่อตัดปัญหา สมาร์ทโฟนผมให้ดูบ้าง แต่จะให้ดูเฉพาะพวกการ์ตูนใน youtube ที่เป็นภาษาอังกฤษครับ บางตอนก็มีซับถือว่าให้ฟังไปอ่านไปครับ ซึ่งพอเราทำแบบนี้ตั้งแต่ต้น เค้าก็จะเคยชินครับ คือผมมองว่าเด็กยุคนี้ถ้าจะห้ามเลยคงยาก แต่คงต้องเป็นไปในทางที่จะเกิดประโยชน์มากกว่าโทษครับ
โดย
leky
พุธ มิ.ย. 15, 2016 10:14 pm
0
8
Re: VI หาดใหญ่
ขออนุญาตคุณโจเอากระทู้นี้มาแปะไว้หน่อยครับ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=57586&start=30
โดย
leky
อาทิตย์ มิ.ย. 12, 2016 7:24 am
0
4
Re: VI หาดใหญ่
ผมว่านลท.ในตลาดควรที่จะต้องเรียนรู้หลาย ๆ เรื่องน่ะครับ ความรู้ในแง่การประเมินพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องจิตวิทยาทั้งของตลาดและของเราเอง รวมถึงเรื่องการคาดการณ์แรงจูงใจของบ.หรือผบห.ของบ.ที่เราสนใจอยู่ หุ้นหลายตัวถูกสร้าง story ขึ้นมาแบบผิดปกติ เพื่อให้เกิดความคาดหวัง และก็ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างเช่น เตรียมเพื่อการเพิ่มทุน การเพิ่มทุนบางครั้งก็มีผลทำให้กำไรของบ.ดีขึ้นจริง แต่ในอีกหลาย ๆ ครั้ง ก็เป็นเพียงเพื่อการ "ต่อลมหายใจ" ให้กับบ.นั้น ถ้าเป็นแบบแรกเรายังพอจะให้โอกาสกับกิจการแบบนั้นได้อยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นแบบหลัง เราก็ควรจะหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อเพิ่มทุนจบ story ก็จะค่อย ๆ เงียบหายไป สิ่งที่จะตามมาก็คือ ผลประกอบการก็ยังคงแย่แบบเดิม ราคาหุ้นที่เคยสูงก็ลดลง เข้าทางของทางผบห. ที่เพิ่มทุนเสร็จก็ "ปิดจ๊อบ" ครับ
โดย
leky
พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2016 3:00 pm
0
8
Re: VI หาดใหญ่
การอ่านข้อมูลในห้องร้อยคนนั้น เราควรอ่านด้วยความระมัดระวัง เพราะคนที่โพสต์ในห้องมักจะมีหุ้นหรือสนใจหุ้นตัวนั้นอยู่ ทำให้เกิดความ bias ในเชิงบวก ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย เค้าก็คงจะไม่เข้ามาอ่านตั้งแต่แรก หรืออ่านแต่ไม่ขอออกความเห็น เพราะหลายครั้งการออกความเห็น กลายเป็นได้แผลกลับออกมา :wall: แล้วห้องนี้ต้องระวังรึเปล่าครับ อ. :mrgreen: ต้องยิ่งระวังเลยครับ ระวัง "ความฮา" :rofl: :rofl: :rofl:
โดย
leky
ศุกร์ พ.ค. 27, 2016 11:28 pm
0
4
Re: VI หาดใหญ่
แต่โชคดีที่ไปได้ยินข่าวว่าจีนจะมาตั้งโรงงานผลิตโซล่าเซลล์ที่ในไทยอะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่าเป็นหุ้นที่กำลังจะทำแผงโซลาร์อีกตัวในตลาดหรือเปล่านะครับ แต่การที่มีคนพูดถึงเรื่องมูลค่าของโรงงานเทียบกับราคาหุ้น ผมคิดว่าไม่ควรจะคิดแบบนั้นครับ เมื่อหลายปีก่อน ผมไปประชุม AGM ของบ.ผลิตแผงบวกหม้อแปลง เค้าขอมติเพิ่มทุน สรุปคือสร้างโรงงานแผงมาแล้วขายไม่ออก เจอจีนตีตลาด ส่งออกก็ไม่เวิร์ค กลายเป็นขาดทุนหนักจนถ่วงธุรกิจหลัก ในที่ประชุมมีคนถามว่า ทำไมไม่ขายโรงงานทิ้งไปซะ ผบห.ตอบว่า โรงงานเราผลิตสินค้าได้ในระดับโลก (เอ้อ บ.ไทยเก่งครับ อ้างว่าระดับโลกตลอด) เพียงแต่ของดีมันแพงเลยขายสู้ของถูกจากจีนไม่ได้ จะขายโรงงานทิ้งก็โดนกดราคามาก จนไม่อยากจะขาย สู้เก็บไว้ก่อนดีกว่า ไอ้เราก็อยากจะบอก ถ้างั้นขอแค่ผลิตพอใช้ได้แต่ขายได้ก็พอไม่ต้องเอาระดับโลกหรอก :D กรรมครับ ก็เพราะเก็บไว้นี่ไงครับ ก็เลยกลายเป็นต้องมาขอมติเพิ่มทุนล้างหนี้โรงงาน สุดท้ายผมเข้าใจว่า ณ ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยจะเห็นแสงสว่างนะครับ และได้ยินมาว่า โรงงานระดับโลกนี้ กลายเป็นของล้าสมัยไปแล้ว และบ.ก็ยังไม่ได้ขายออกไป หลังประชุมมีโอกาสได้เจออ.จากคณะวิศวกรรม สาขาไฟฟ้าท่านหนึ่ง เป็นคนที่ทำวิจัยด้านโซลาร์ เข้ามาประชุมผถหง อ.บอกว่าผมอยากจะรู้จริง ๆ ว่าใครเป็นที่ปรึกษาให้บ. แนะนำให้เค้าตั้งโรงงานผลิตแผง ในความเห็นผมนะ มันเป็นธุรกิจที่ไม่คุ้มที่จะทำเอาซะเลย
โดย
leky
ศุกร์ พ.ค. 27, 2016 4:05 pm
0
11
Re: VI หาดใหญ่
การเพิ่มทุนในปีก่อน ถูกที่ถูกเวลา "เหมือนจับวาง" ราคาหุ้นเพิ่มทุนน่าจะอยู่แถว ๆ พีค ในสัดส่วนที่ไม่สูง พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่คิดจะซื้อหุ้นเพิ่มทุน คนที่ไม่จองซื้อก็ไม่ได้ขาดทุนจากราคาหลัง XR มากนัก แต่หุ้นก็ขายได้หมด ราคามีส่วนลดจากราคาตลาดไม่มาก มองอีกมุมหนึ่งถ้าบ.ต้องการเงินก้อนเดียวกัน แต่ถ้าราคาหุ้นไม่พีค จะต้องเพิ่มทุนในสัดส่วนที่เยอะมากและมีแนวโน้มที่จะขายหุ้นเพิ่มทุนได้ยาก แถมหุ้นหลัง XR จะเสียราคามาก สัดส่วนการเพิ่มทุน 10:1 @ 12 บาท ได้เงินไปเกือบ 600 ล้าน แถมวันที่ติด XR หุ้นกลับบวกไปอีกจากประมาณ 14 ขึ้นไป 15 บาท ต่อให้ผถห.ใหญ่ไม่คิดจะจองหุ้นเพิ่มทุนก็ไม่เสียราคา แค่เสียสัดส่วนการถือหุ้นเล็กน้อย ราคาหุ้นเพิ่มทุนมีส่วนลดน้อยมาก หลังจากนั้นราคาขึ้นไปอีกแถว 17 บาท ก่อนจะไหลลง ในทางกลับกัน สมมติ ถ้าหุ้นยังอยู่ที่ 5 บาท เท่าเดิม (ก่อนที่หุ้นจะวิ่งขึ้นมา) การจะหาเงินมาประมาณ 600 ล้าน สมมติถ้าจะต้องเพิ่มทุน อาจจะเป็นที่ 2:1 @ 3 บาท ก็จะได้เงินใกล้เคียงกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกันมาก เพราะสัดส่วนการเพิ่มทุนค่อนข้างมาก ไดลูทมาก หุ้นอาจจะขายยากเพราะผถห.เดิมต้องเติมเงินเข้ามามาก และถ้าผถห.เดิมไม่จองหุ้น จะเสียสัดส่วนการถือหุ้นค่อนข้างมาก ส่วนผลงานในอดีดที่ทำได้ เทียบกับการให้สัมภาษณ์ในสื่อ บางครั้งผิดไปมาก ผมขอเอาคำชี้แจงประกอบผลประกอบการมาให้ดูแล้วกันครับ เพราะอาจจะหาข้อมูลได้ยาก งบกําไรขาดทุน รายได บริษัทฯ มีรายไดรวมในป 2551 จํานวน 435.96 ลานบาท เปรียบเทียบ กับรายไดรวมในป 2550 จํานวน 115.27 ลานบาท หรือเพิ่มขึ้นเปนจํานวน 320.69 ลานบาทหรือรอยละ 278.21 อันเนื่องมาจากบริษัทฯ สามารถขยาย ตลาดเพื่อขายแผงเซลลแสงอาทิตย ไปยังตลาดตางประเทศได คาใชจาย ในป 2551 บริษัทมีตนทุนขายจํานวน 353.78 ลานบาท เปรียบเทียบกับ ตนทุนขายในป 2550 จํานวน 91.51 ลานบาท หรือเพิ่มขึ้นเปนจํานวน 262.27 ลานบาท หรือรอยละ 286.60 โดยในป 2551 บริษัทฯ มีตนทุนขายที่รอยละ 83.64 ของรายไดจากการขาย เมื่อเปรียบเทียบในป 2550 บริษัทฯ มีตนทุน ขายที่รอยละ 83.92 ของรายไดจากการขาย หรือตนทุนขายลดลงรอยละ 0.28 ของรายไดจากการขาย สวนคาใชจายในการขายและบริหาร โดยในป 2551 บริษัทฯ มีคาใชจาย ในการขายและบริหารเปนจํานวน 79.98 ลานบาท คิดเปนรอยละ 18.35 ของ รายไดรวม เปรียบเทียบกับคาใชจายในการขายและบริหารในงวดเดียวกันของ ป 2550 จํานวน 114.75 ลานบาทคิดเปนรอยละ 99.55 ของรายไดรวม ซึ่งมี ยอดลดลงเปนจํานวน 34.77 ลานบาทหรือลดลงรอยละ 30.30 เนื่องจาก บริษัทฯ มีการควบคุมตนทุนการดําเนินงานเพื่อใหการบริหารงานเปนไปอยางมี ประสิทธิภาพ ภายใตสภาวะการณทางเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลง กําไร(ขาดทุน)สุทธิสําหรับป 2551 บริษัทฯ มียอดกําไรสุทธิเปนจํานวน 2.20 ลานบาท เปรียบเทียบกับกําไรสุทธิในงวดเดียวกันของป 2550 มียอด ขาดทุนเปนจํานวน 90.99 ลานบาท เพิ่มขึ้นเปนจํานวน 93.19 ลานบาทหรือ เพิ่มขึ้นรอยละ 102.42 งบกําไรขาดทุน 2.1 รายได บริษัทฯ มีรายไดรวมในป 2552 จํานวน 120.18 ลานบาท เปรียบเทียบกับ รายไดรวมในป 2551 จํานวน 422.99 ลานบาท ลดลงเปนจํานวน 302.81 ลานบาท หรือลดลงรอยละ 71.59 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย 2.2 ตนทุนขาย ในป 2552 บริษัทฯ มีตนทุนขายจํานวน 115.08 ลานบาท เปรียบเทียบกับ ตนทุนขายในป 2551 จํานวน 353.78 ลานบาท หรือลดลงเปนจํานวน 238.70 ลาน บาท หรือรอยละ 67.47 ของตนทุนขาย โดยตนทุนขายในป 2552 มีตนทุนขายที่ รอยละ 95.76 ของรายไดจากการขาย เมื่อเปรียบเทียบในป 2551 มีตนทุนขายที่ รอยละ 83.64 ของรายไดจากการขาย เพิ่มขึ้นรอยละ 12.12 ของรายไดจากการขาย 2.3 กําไรขั้นตน ในป 2552 บริษัทฯ มีกําไรขั้นตนจํานวน 5.10 ลานบาท เปรียบเทียบกับกําไร ขั้นตนในป 2551 จํานวน 69.21 ลานบาท หรือลดลงเปนจํานวน 64.11 ลานบาท หรือรอยละ 92.64 โดยกําไรขั้นตนในป 2552 มีกําไรขั้นตนที่รอยละ 4.24 ของ รายไดจากการขาย เมื่อเปรียบเทียบกับป 2551 มีกําไรขั้นตนที่รอยละ 16.36 ของ รายไดจากการขาย 2.4 รายไดอื่น ในป 2552 บริษัทฯ มีรายไดอื่นจํานวน 3.91 ลานบาท เปรียบเทียบกับรายได อื่นในป 2551 จํานวน 7.16 ลานบาท หรือลดลง 3.25 ลานบาท เนื่องมาจากรายได ดอกเบี้ยรับและกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 2.5 คาใชจาย สวนคาใชจายในการขายและบริหาร โดยในป 2552 บริษัทฯ มีคาใชจายใน การขายและบริหารเปนจํานวน 122.25 ลานบาท เปรียบเทียบกับคาใชจายในการ ขายและบริหารในงวดเดียวกันของป 2551 จํานวน 71.27 ลานบาท ซึ่งมียอดเพิ่มขึ้น 50.98 ลานบาท หรือรอยละ 71.53 2.6 กําไร (ขาดทุน) สุทธิ กําไร(ขาดทุน)สุทธิสําหรับป 2552 บริษัทฯ มียอดขาดทุนเปนจํานวน 116.51 ลานบาท เปรียบเทียบกับกําไรสุทธิในงวดเดียวกันของป 2551 จํานวน 2.20 ลาน บาท โดยมียอดขาดทุนเพิ่มขึ้นเปนจํานวน 118.71 ลานบาท 2. Self-Attribution bias อันนี้เป็นมากกับรายย่อยที่ซื้อตามเซียน พอสตอรี่พลาด ไม่เป็นไปตามฝัน ก็ออกมาโทษต่อว่าเซียนกันว่า หลอกลวงบ้าง ของปลอมบ้าง ทมิฬบ้างก็ว่ากันไป ทั้งที่ตอนซื้อก็ตัดสินใจกันเอง เงินก็เงินคุณเอง นิ้วที่คลิกเม้าส์ซื้อก็นิ้วคุณเอง >> อันนี้ผมไม่ได้จะดราม่าว่าเซียนไม่ผิดที่เชียร์หุ้น ผมว่าผิดไม่ผิด ยากจะบอก คงต้องดูเป็นรายเคสไป เซียนบางคนเจตนาดี อยากเล่นแฟร์เกมก็ให้ข้อมูลนลท.เท่าๆ กับที่ตัวเองรู้ แต่เซียนบางคนอาจแค่เชียร์เพราะอยากให้หุ้นขึ้น อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณกันไป ผมว่านะ คนที่เป็นคนตัดสินใจก็คือตัวของนลท.เอง ผมกลับรู้สึกตลกด้วยซ้ำว่าตอนนี้บางท่านด่าเซียนแบบสาดเสียเทเสีย ทั้ง ๆ ที่ตอนที่เซียนโพสต์ "ส.ค.ส. ปีใหม่" ท่านเองก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปกดบวกให้ด้วยซ้ำ (บวก 93 ลบ 1) การอ่านข้อมูลในห้องร้อยคนนั้น เราควรอ่านด้วยความระมัดระวัง เพราะคนที่โพสต์ในห้องมักจะมีหุ้นหรือสนใจหุ้นตัวนั้นอยู่ ทำให้เกิดความ bias ในเชิงบวก ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย เค้าก็คงจะไม่เข้ามาอ่านตั้งแต่แรก หรืออ่านแต่ไม่ขอออกความเห็น เพราะหลายครั้งการออกความเห็น กลายเป็นได้แผลกลับออกมา :wall: ผมว่าถ้าเราไม่อยาก bias ก็คงต้องลองทำใจปิดชื่อหุ้น ปิดรายชื่อผถห.ใหญ่ แล้วลองคิดดูว่าเรายังคิดเหมือนเดิมหรือไม่ครับ
โดย
leky
ศุกร์ พ.ค. 27, 2016 2:11 pm
0
8
Re: VI หาดใหญ่
1.หุ้นที่ VI หมายปอง คือหุ้น growth, แต่บ.ที่หวังโต บางทีก็ต้องเพิ่มทุน, ถ้าพี่เจอการเพิ่มทุนในขณะที่มีหุ้นอยู่ ปกติทำไงครับ...ขายทิ้งหมดมือก่อน แล้วดูสถานการณ์หลังเพิ่มทุน, หรือขายบางส่วน เอาเงินไปเพิ่มทุน, หรือวัดใจ เพิ่มไปด้วยกันเลย, หรือขอ PP กะเจ้าของกันตรงๆ 55555 ขอพูดแบบกว้าง ๆ นะ จากประสบการณ์ที่เคยเห็น 1) หุ้นที่อยู่ดี ๆ วิ่งขึ้นไปแรง ๆ โดยไม่มีสาเหตุ สาเหตุหนึ่งที่มักจะเฉลยมาในตอนหลังคือ "การเพิ่มทุน" ฉะนั้นต้องฉุกใจคิดไว้เสมอครับ ด้วยเหตุผลสองอย่างคือ หนึ่ง เพื่อให้ได้ราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ดี สอง เพื่อให้คนที่ถือหุ้นอยู่เดิมไม่รู้สึกแย่มาก หมายถึงพอติด XR ไปแล้ว ราคาไม่เสียมาก ฉะนั้นก่อนหน้าที่หุ้นจะวิ่ง บางทีบ.ก็จะหมั่น "ตีปี๊บ" ข่าวดีทั้งหลาย เพื่อเร่งราคาหุ้น 2) หลังหุ้นเพิ่มทุน ยิ่งเพิ่มในสัดส่วนที่เยอะเท่าไหร่ ยิ่งทำใจไว้ล่วงหน้า ลองคิดดูนะครับ โครงการอะไรก็ตามใช้เงินมาก ๆ กว่าจะเห็นผลใช้เวลาเท่าไหร่ ช่วงที่ก่อสร้างหรือขยายงานไปแล้ว รายได้ยังไม่เต็มที่ ค่าเสื่อมก็เริ่มตัดแล้ว กำไรช่วงแรก ๆ อาจจะหมายถึง 2-3 ปีแรกอาจจะยังดูไม่จืด อย่าหวังว่าจะเห็น EPS ดีกว่าก่อนเพิ่มทุนเลยครับ แค่ใกล้เคียงเดิมบางทีก็ยากแล้ว สุดท้าย คนส่วนหนึ่งก็ทนไม่ไหว เพราะราคาหุ้นไหลลงตาม EPS ที่ลดลง 3) หลักการของหุ้น IPO ก็คล้าย ๆ กับข้อ 2 ถ้าลองไปดูหุ้นหลายตัวราคาจะค่อย ๆ ไหลลง จนกว่าจะเริ่มทำกำไรจากประโยชน์ของเงินที่เพิ่มทุนได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นอาจจะ 2-3 ปี หลังจากเข้าตลาด ซึ่งก็เป็นจุดที่หุ้นเริ่มมีราคา low พอดี 4) หุ้น PP อย่าหวังว่าอย่างเรา ๆ จะได้แอ้ม ยิ่งเป็นหุ้น PP ราคาต่ำกว่ากระดานมาก ๆ เท่าที่เห็นมีแต่บรรดาเสี่ยชื่อดังหรือคนใกล้ชิดหรือนอมินีของผบห.หรือเจ้าของเท่านั้นที่มักจะได้ ทำไปทำมาเสี่ยได้ของถูก วีไอได้ของแพงไปซะงั้น :D พูดถึงหุ้นพลังสุริยะจักรวาล ผมมีข้อสังเกตนะครับ อันนี้ไม่เกี่ยวกับแนวทางวีไอ เอาเป็นว่า "รู้ไว้ไม่เสียหาย" 555 อีกที 1) เท่าที่ลองไล่ดูคร่าว ๆ ตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย บางช่วงจะมีลักษณะของ story ดี ๆ สลับกับการคาดหวังรายได้หรือกำไรที่สูง แม้แต่บางช่วงที่ดูกำไรเริ่มแย่ก็มีการให้ข่าวในลักษณะว่าเดี๋ยวจะฟื้น บางช่วงงบออกมาตัวเลขต่างกันมาก สลับกับข่าวเรื่องเพิ่มทุน 2) การเพิ่มทุนในปีก่อน ถูกที่ถูกเวลา "เหมือนจับวาง" ราคาหุ้นเพิ่มทุนน่าจะอยู่แถว ๆ พีค ในสัดส่วนที่ไม่สูง พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่คิดจะซื้อหุ้นเพิ่มทุน คนที่ไม่จองซื้อก็ไม่ได้ขาดทุนจากราคาหลัง XR มากนัก แต่หุ้นก็ขายได้หมด ราคามีส่วนลดจากราคาตลาดไม่มาก มองอีกมุมหนึ่งถ้าบ.ต้องการเงินก้อนเดียวกัน แต่ถ้าราคาหุ้นไม่พีค จะต้องเพิ่มทุนในสัดส่วนที่เยอะมากและมีแนวโน้มที่จะขายหุ้นเพิ่มทุนได้ยาก แถมหุ้นหลัง XR จะเสียราคามาก 3) เจ้าของที่ไม่ใช่ผบห. มีจำนวนหุ้นลดลงประมาณครึ่งหนึ่งนับจากปิดสมุดก่อนเพิ่มทุนปีก่อน 4) ยังมีคำถามว่าจริง ๆ แล้วผบห.เองก็จองหุ้นเพิ่มทุนด้วยหรือไม่ ปกติผมเข้าใจว่าการจองหุ้นเพิ่มทุน เมื่อมีการซื้อแล้วจะต้องมีการรายงานไปยังกลต. แต่อันนี้ไม่เห็น ผบห.บางคนก็เหมือนมีหุ้นเยอะขึ้น ตรงนี้ตั้งข้อสงสัยไว้???? 5) หุ้นโครงการ คำพูดหรือการคาดการณ์ของผบห.เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าเรื่องที่ผบห.พูด มีความเป็นไปได้ต่ำ การลงทุนนั้นถือว่ามีความเสี่ยงมาก อย่างที่เราเห็นในหุ้นบางตัว ที่เวลามาออกสื่อหุ้น ก็รู้เลยว่าขายฝันอีกแล้ว
โดย
leky
อังคาร พ.ค. 24, 2016 1:21 pm
0
12
Re: VI หาดใหญ่
อยากให้ลองอ่านบทสัมภาษณ์แล้วไปหาข้อมูลเก่าในตอนนั้นว่าบ.ทำได้จริงหรือไม่ครับ ทั้งยอดขายและกำไร เพราะในตอนนั้นก็มีความคาดหวังในลักษณะแบบนี้ ผบห.ก็เป็นชุดเก่า รู้ไว้ไม่เสียหายครับ จะได้ระวังความเสี่ยงกันมากขึ้น
โดย
leky
เสาร์ พ.ค. 21, 2016 2:33 pm
0
14
Re: VI หาดใหญ่
โห ตั้งแต่เข้าเวปมา ไม่เคยเขียนมากขนาดนี้เลยนะครับ 555 ปล ทั้งหมดทั้งปวง ความคิดเห็นผมแต่ผู้เดียว ผิดพลาดยังไง ขออภัยนะครับ ไม่มีโทษใคร ผมแฟนพี่เบิร์ดครับ " คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง " ขอบคุณ คุณ b4solid ครับ ที่อุตส่าห์ไขความกระจ่างให้ผม ห้องนี้ยินดีเป็นที่หลบร้อนครับ 555 พอดีผมได้ข้อมูลมาเพิ่ม จากเพื่อนนักลงทุนท่านหนึ่ง เป็นบทความเก่ามากทีเดียวจากนสพ.กรุงเทพธุรกิจที่มีการเขียนถึงหุ้นตัวนี้ ที่ผมลองดูในห้องนั้นแล้ว ไม่ได้มีใครเคยเอามาแปะไว้ ผมเองก็ไม่ค่อยอยากไปจะแปะไว้ในห้องนั้นน่ะครับ ไม่อยากให้ความขัดแย้งมันมากไปกว่านี้ แต่สำหรับเพื่อนในห้องนี้ผมก็อยากให้อ่านไว้บ้างครับ เพราะคิดว่าเราคุยกันด้วยเหตุผลกันอยู่ ออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ได้มีหุ้นนะครับ ผมว่าอ่านแล้วอาจจะทำให้เราพอตอบคำถามข้อหนึ่งที่หลายคนสงสัยได้ว่า จริงหรือที่ว่า "หุ้นตัวนี้ไม่มีเจ้าของหรือเจ้าภาพ" ลองไล่อ่านไปเรื่อย ๆ นะครับ http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=10925.5;wap2
โดย
leky
เสาร์ พ.ค. 21, 2016 11:30 am
0
15
1171 โพสต์
of 24
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
leky
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ ส.ค. 08, 2010 12:01 am
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. ต.ค. 29, 2020 11:41 pm
โพสต์ทั้งหมด:
1803 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.10% จากโพสทั้งหมด / 0.34 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
"Become a risk taker, not a risk maker"
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว