หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
cobain_vi
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
Joined: พุธ ก.ค. 14, 2010 3:14 am
358
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - cobain_vi
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
ขอเล่าเรื่องคุณลุงท่านนี้อีกสักหน่อย ผมได้มีโอกาสเจอลุงอีกครั้งตอนไปช่วยทำศาลาหลังใหม่ ได้คุยยาวๆหลายเรื่อง ลุงท่านนี้ภาวนาเก่งมาก ประทับใจ ตอนที่ผมได้ฟังแกเล่าเรื่องการภาวนาให้หลวงพ่อฟังภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาของแกเองบ่งบอกได้ว่าไม่ได้จำใครมา แกเพิ่งเริ่มภาวนาเมื่อสักราวปี45-46มานี่เอง แกบอกว่าตื่นตั้งแต่ตีสามไม่ได้สวดมนต์บทยาวๆ สวดแค่นะโมเพราะแกจำบทสวดไม่ได้ แกเดินจงกลมเวลาไปวัดไม่ใช้ไฟฉายเดินแบบมืดๆนี่แหละ เดินไปทั่ววัดเลย แกบอกได้สติดี ท่องมนต์ก็ไม่ได้เลย(แกเป็นคนไม่สวดมนต์เพราะแกท่องไม่ได้ คนแก่อายุ70เพิ่งมาเข้าวัดไม่ถึง20ปี ก็พอจะเข้าใจครับ) แต่ภาวนาทั้งวันทั้งคืน ผมถามว่าลุงภาวนาอย่างไร แกบอกว่าดูจิตอย่างเดียว ไม่ได้บริกรรม ไม่ได้พิจารณากาย(แกบอกว่ากายมันหยาบไป) ปฎิบัติภาวนาแค่ไม่ถึง20ปี ได้ถึงขนาดนี้นับว่าเร็วมากๆครับ ไม่ได้บริกรรมพุทโธหรือดูลมหายใจก่อนด้วยแกบอกมันหยาบไป จิตแกละเอียดมาก แกบอกเเค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าคนไหนภาวนาหรือไม่ อยู่ขั้นไหน คนไหนภาวนาคนไหนไม่ภาวนา รู้หมด ถ้าเป็นเราๆก็ต้องบริกรรมก่อนเพราะใจไม่สงบ คนที่ภาวนาไปนานๆจนชำนาญบางท่านไม่จำเป็นต้องบริกรรม เพราะว่าจิตมันเป็นสมาธิบริบูรณ์แล้ว เวลาเกิดความรู้ความเห็นต่างๆก็เกิดขึ้นเองเพราะว่าจิตมีสมาธิสมบูรณ์แบบ100% ถ้าเคยอ่านหนังสืออาจจะสงสัยว่าทำไมพระอนาคามีถึงได้มีอภิญญา ทำได้ง่ายๆก็เพราะว่าสมาธิสมบูรณ์แล้วนี่เอง อย่างนึงที่คุณลุงท่านนี้เหมือนผมก็คือแกเจอผีบ่อยมากๆ แกเล่าให้ฟังว่าเจอผีบ่อยไม่รู้เป็นไรมันชอบมา บางตนก็ชอบแกล้ง แต่มีผีอยู่ชนิดนึงทุกวันนี้แกยังไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร มีลักษณกลมๆ มีไฟติดลุกทั้งตัวมองไกลๆเหมือนเป็นลูกไฟเดินได้ มีหาง มีไฟหยดเป็นทาง ผีตนนี้ชอบมาไล่กวด(เดินตาม)แก ผมก็เลยเล่าให้ลุงฟังว่าผมก็เคยเจอเหมือนกันตอนอยู่ม.2 มันวิ่งขึ้นวิ่งลงในอากาศนานเป็นชม. ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวอะไร ทีแรกนึกว่าเป็นพวกอสุรกาย แต่ก็ไม่ใช่ เพราะหลังจากนั้นผมเอาไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ท่านนึงฟังอยากรู้ว่าเป็นตัวอะไรท่านบอกว่ามันเรียกว่าผีโพง คือพวกที่เล่นฤทธิ์เล่นของแล้วแก้ตัวเองไม่ได้ ตายไปเลยต้องมาเป็นแบบนี้ อสุรกายจะเป็นอีกอย่างตัวจะใหญ่ ใครเห็นนี่ตายเลยมันมีฤทธิ์ถ้ากรีดร้องเมื่อไรเราตายเมื่อนั้น ครูบาอาจารย์ท่านนี้อายุยังน้อยเพิ่ง38-39เองแต่ว่าท่านเห็นเรื่องพวกนี้ยิ่งกว่าผมกับคุณลุงรวมกันอีก นาค พญาครุท เปรต ท่านเห็นมาหมด (ผมเล็บท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว) อาจารย์ท่านนี้ท่านก็พากเพียรมาอย่างโชกโชน เคยถามท่านว่าภาวนาใช้ความเพียรมากไหม ท่านบอกว่าเดินจงกลมวันละ16ชม. ถ้าไม่ล้มไม่เลิก ความรู้ท่านกว้างขวางมาก ครูบาอาจารย์บางท่านก็ไม่ค่อยเล่า บางท่านก็เล่า อันนี้แล้วแต่จริตนิสัย แต่ผมโชคดีหลายๆท่านมักจะเมตตาผมเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะนิสัยผมอ่อนน้อมต่อครูบาอาจารย์(ด่าเท่าไรก็ไม่โกรธ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ) แล้วก็ชอบภาวนาเหมือนกันมั้ง ครูบาอาจารย์จะดูออกใครภาวนาหรือไม่ หลอกท่านยากถึงจะจำคำพูดมาพูดก็ไม่เหมือน เมื่อตอนก่อนเข้าพรรษาผมได้ไปส่งพระที่รู้จักกันไปแถวๆเพชรบูรณ์รอยต่อกับจ.เลย ที่แถวนั้นอาถรรพ์มากถ้าอ่านหนังเสือครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆจะทราบอาถรรพ์มากกว่าทางฝั่งทุ่งใหญ่ฯอีก วัดนี้มีพระรูปเดียวบิณทบาตรฝืดเคืองมากแทบไม่มีอะไรฉัน ผมไปนอนบนศาลาเก่า หลังจากสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิแล้วก็นอนนึกในใจเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปเดินบิณทบาตรด้วยอยากรู้ว่าเค้าอยู่กันอย่างไร พอตอนเกือบหกโมงเช้ามีคนมาปลุกจับขาผมเขย่าๆเมือนี่บุ๋มลงไปเป็นรูปนิ้วเลย เเปลกดีเพิ่งจะเคยเจอแบบนี้ ปกติเคยโดนเขย่าแต่ไม่เห็นเป็นรอยบุ๋ม กลับมาเล่าเรื่องคุณลุงท่านนี้ต่อ แกเล่าตอนที่ได้ธรรมมะนี่อัศจรรย์มาก(แต่ขอไม่เล่านะครับ เดี๋ยวมันเป็นสัญญาจะภาวนาไม่ได้กัน) ลุงแกคุยเก่ง คุยสนุก แกขอบมาคุยกับผม บางทีก็โทรมาชวนไปเที่ยววัดครูบาอาจารย์ ดูๆไปเหมือนแกจะเมตตาผมอยากให้ได้ธรรมะไวๆเหมือนกับครูบาอาจารย์หลายๆท่าน ถ้าท่านรู้ว่าเราสนใจปฎิบัติจริงจังท่านจะเมตตาเป็นพิเศษ ครูบาอาจารย์ท่านจะเป็นแบบนั้นคือคนไหนไม่เอาถ่านสอนแล้วเตือนแล้วไม่ทำก็ตัดหางปล่อยวัด คนไหนสนใจแต่ยังเหลาะๆแหละๆก็พอสอนบ้างเตือนบ้างดุบ้าง อย่างการเล่าเรื่องผีถ้าไม่สนิทหรือรู้นิสัยกันจริงๆท่านจะไม่เล่าหรอกครับ เล่าไปมีแต่เสีย ไม่เกิดประโยชน์ คนไม่เคยเจอไม่เคยเห็นมันก็ว่าไม่มี ป่วยการไปเล่าดีไม่ดีมันไปล้อเลียนประมาทท่านอีก บางคนได้ยินแล้วไปหัวเราะบอกว่าผีไม่มีจริงถ้ามีพาไปดูหน่อย ก็อยากจะบอกว่าเค้ามาให้เราเห็นเองเราก็ไม่ได้อยากเห็นหรอก ถ้าจะบอกต้องไปบอกผีสิไม่ใช่ให้มาบอกเรา เราเองเรายังบังคับเค้าไม่ได้เลยเค้าจะมาก็มา เราไม่มีสิทธิ์ไปสั่งเค้าหรอก เค้าพอใจให้เราเห็นเอง เจอพวกคนพาลแบบนี้ก็เหนือยใจแต่ก็ช่างเค้าอย่าว่าแต่ผีเลยเราเองยังไม่อยากเข้าใกล้เลย ฮา อันนี้เป็นความรู้นะครับเล่าให้ฟังเฉยๆคนที่ระลึกชาติได้มีหลายแบบ ถ้าเป็นพวกวิชชา3จะระลึกพร้อมกับตัดกิเลสภาพในอดีตจะผุดขึ้นมาชาตินี้ไปทำใครไว้โดนใครทำกับเราบ้าง ย้อนได้เป็นหลายๆชาติตามกำลังแต่ละคน บางท่านถึงกับน้ำตาร่วงเลยก็มีเพราะสลดสังเวชใจพร้อมกับความเข็ดขยาดไม่กล้าทำชั่วเบียดเบียนคนอื่นอีกตลอดไป ครูบาอาจารย์บางท่านๆระลึกได้ทีหลัง(ไม่ได้พร้อมกับตอนเกิดอริยมรรค)แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าวิชชา3นะครับ ระลึกเพราะสมาธิ(ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์)เป็นโสดาก็ระลึกได้ เป็นพระอนาคาส่วนใหญ่ก็จะได้มากกว่าพวกโสดาเพราะสมาธิท่านสมบูรณ์แล้ว พวกที่เล่นอะไรได้เยอะๆมักจะเป็นพวกอนาคามีขึ้นไป อีกพวกนึงระลึกได้เพราะสมาธิอย่างเดียว(ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล) พวกนี้ก็ระลึกได้แต่ว่าไม่มากเท่าพระอริยะ พูดถึงสมาธินี่ดีเหมือนกันครับ เล่นอะไรได้หลายอย่างยิ่งเป็นสมัยพุทธกาลเหาะเหินเดินอากาศ หูทิพย์ตาทิพย์ ทำได้หมดแต่ทำไม่ได้อยุ๋อย่างเดียวคือตัดกิเลส คือยังเป็นปุถุชนอยู่ บางคนสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แค่ให้จำแค่ชาตินี้แค่ไม่กี่ปียังจำไม่ได้ ถ้าจำในชาตินี้ใช้สัญญาความจำ แต่การระลึกชาติใช้จิตที่ประกอบด้วยสมาธิระลึก เวลาระลึกได้มันเป็นชั่วขณะจิตเดียวไม่ได้นั่งนึกนอนนึกนั่งคิดเหมือนที่เราทำกัน มันคนละอย่างกันครับ
โดย
cobain_vi
อังคาร ต.ค. 16, 2018 10:33 am
0
12
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อ ท่านกำลังสร้างศาลาใหม่ หลังเก่าเล็กเเละเก่ามากเกือบสี่สิบปีแล้วเวลามีงานนั่งกัน20คนก็เต็มแล้วท่านเลยสร้างให้ใหญ่กว่าเดิม ได้ไปเจอลุงคนนึงท่าทางแกภาวนาเก่งแกขึ้นมากราบหลวงพ่อเหมือนกัน ระหว่างรอหลวงพ่อก็คุยกันแต่ก็ไม่ได้คุยเรื่องภาวนาเลยคุยเรื่องทั่วๆไป อยู่ดีๆอาการหอบหืดผมก็มาหายใจไม่ออกเฉียบพลัน มันทรมานมาก อยู่ดีๆก็เป็น อาจจะเป็นเพราะบนวัดอากาศชื้นหนาวทั้งปี โชคดีที่ลุงแกมียาพ่น ลุงบอก ลุงก็เป็น ไอ้หนุ่มนี่ยังหนุ่มยังแน่นเมื่อก่อนสูบบุหรี่หรือป่าว? (แกถามผม )ได้ยาพ่นของลุงช่วยไว้บุญแท้ๆเลย รู้อยู่ว่าลุงแกภาวนาเก่ง แต่ไม่รู้ว่าเเกเก่งกว่าเราตอนที่แกเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงพ่อฟัง โอ้โห แกภาวนาไปไกลกว่าเราอีก แกบอกว่าไอ้หนุ่ม(หมายถึงผม)นี่ภาวนาเหมือนผมเปี้ยบเลย(แกเล่าให้หลวงพ่อฟัง แล้วชี้มือมาทางผม) เมื่อกี้ตอนพ่นยาไปบ้วนปากจิตมันเหลือนิดเดียว ไม่ยอมปล่อย แต่ผมปล่อยได้แล้ว ไอ้หนุ่มนี่ยังวางไม่ได้อีกนิดเดียวแท้ๆ (แหมลุงถ้ามันปล่อยได้ง่ายเหมือนพูดก็ดีน่ะสิ ) หลวงพ่อเลยบอกว่าต้น ว่างๆมาสนทนาธรรมกับลุงซิ แล้วก็ชี้มือมาทางเราแล้วบอกว่าลุงว่า นี่ก็นักภาวนาเหมือนกัน เล่าให้ฟังเพราะว่าประทับใจมีคนภาวนาเก่งๆได้เจอคนภาวนาเก่งแล้วมันตื่นเต้น เคยเจอเเต่คนหาเงินเก่ง คนมีเงินเยอะๆใจมันเฉยๆ พอได้เจอคนภาวนาเก่งๆนี่ใจมันกระชุ่มกระชวย ยิ่งเค้าไปไกลกว่าเรายิ่งอยากไปให้ทันเค้า ไปเจอใครในวัดหรือนอกวัดอย่าได้ไปประมาทเค้านะครับ บางคนมองเผินไม่รู้ คนบางคนเค้าภาวนาเก่ง มันจะเป็นกรรมเราเปล่าๆ ปีที่ผ่านมาเพื่อนตายไปหลายคนอายุแค่42ก็ตายกันแล้ว ไม่ทันได้แก่ตาย ใจมันสังเวชนึกถึงตัวเองทุกที อีกหน่อยเราก็ต้องตายเหมือนเค้า เน่าเหมือนเค้า หนอนมากินเหมือนเค้า แล้วก็ถูกเค้าเอาไปเผาเหมือนกัน เงินทองหามาแทบตายก็ต้องตกเป็นของคนอื่นไม่ได้อะไรไปเลย มีแต่เสีย (คือเสียเวลาหามันมา)เสียเวลาหาเงินจะหาเงินได้ก็ต้องอ่านหนังสือก่อนเเล้วก็เก็บตังค์เอาไปลงทุน พอได้กำไรแล้วก็อยากได้เพิ่มขึ้นอีก ยิ่งชำนาญยิ่งเพลิน ตัวนี้สองเด้ง. ตัวนี้สามเด้ง มันคงสนุกที่ได้เห็นเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวผมไม่เคยมีเงินมากๆเลยไม่รู้ว่ามันสุขแค่ไหน แต่ก็พอคาดการณ์ได้ว่ามันคงไม่เท่าไรหรอก เพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีเงินมีแต่หนี้ทำงานแทบตายหาเงินมาใช้หนี้พอใช้หมดเเล้ว มันก็สุขจริงๆหมดทุกข์ไปเยอะ พอเริ่มมีเงินมากขึ้นๆทำไมไม่เห็นมันสุขเลยเห็นแต่ทุกข์ เห็นแต่ความที่ทำให้เราเนิ่นช้า ยิ่งมีมากอาจจะสุขหรืออาจจะทุกข์ก็ได้(เพราะไม่ได้ขึ้นกับเงินอย่างเดียว)ไม่แน่ คนที่มีเงินน้อยๆผมเห็นหลายคนเลยที่มีความสุขมากกว่าคนที่มีเงินเยอะๆ มันไม่แน่เสมอไป แต่ที่ผมเห็นส่วนใหญ่ยิ่งมีมากยิ่งวุ่นวายมาก ยิ่งขี้เกียจภาวนามาก ยิ่งเพลิดเพลินมาก ยิ่งห่างจากมรรคผลมาก เสียเวลาเนิ่นช้ามากๆ
โดย
cobain_vi
อาทิตย์ ม.ค. 21, 2018 3:39 pm
0
11
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมกินยาผิด ไปหยิบของเก่าที่หมดอายุแล้ว ไม่ได้ดูมันมองไม่ค่อยเห็น (เป็นยาแก้พวกโรคหอบหืด ขยายหลอดลม แก้แพ้ ผมเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่อายุ14ทุกวันนี้ก็ยังต้องพ่นยาทุกวัน) ตอนดึกหัวใจจะวาย มันตื่นมาพร้อมกับอาการเจ็บหน้าอก หัวใจจะหยุดเต้น มันเจ็บทรมานมาก อยู่ในไร่คนเดียว ฝนก็ตกหนัก เคยจะตายมาหลายครั้ง แต่ละครั้งรู้สึกว่าเรายังภาวนาไม่ถึงขึ้น แม้ว่าจะไม่ดิ้นรนทางใจเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมี มันยังไม่อยากตาย คิดว่าเราน่าจะภาวนาได้ดีกว่านี้ แล้วคนที่ไม่เคยฝึกจะเเค่ไหน เวลาจะตายจริงๆเวทนาทางกายจะหายไป เหลือแต่เวทนาทางใจล้วนๆ คนไม่เคยฝึกนี่ครูบาอาจารย์ท่านว่าร้อยละร้อยไปอบายหมด ดูๆไปคงเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะตายบ่อยๆนี่ก็ดีนะครับ เหมือนมันมาเตือนอยู่บ่อยๆ ...... เมื่อตอนเรียนจบทำงานใหม่ๆ แม่ก็จะชอบบอกว่ามีครอบครัวแล้วมีลูกเสียสิ ตอนแก่ๆจะได้มีคนดูแล พอเจอเพื่อนเค้ามีครอบครัวมีลูกกันหมดเพื่อนก็จะมากดดันต่อว่ามึงมีเมียมีลูกเสียสิ ชีวิตจะได้สมบูรณ์ ตอนแก่จะได้มีคนดูแล ทุกคนพร้อมใจกันกดดันโดยไม่ได้นัดหมาย ฮา กดดันทุกครั้งที่เจอกัน เป็นอยู่หลายปี โชคดีที่ผมไม่บ้าจี้ตามเค้า บางทีก็ตอบโต้ไปบ้าง ว่า -พวกเอ็งเชื่อหรือวะว่าลูกเอ็งจะมาดูแลจริงๆ ทำสัญญากันไว้ตั้งแต่เกิดเหรอ ลองดูคนรอบๆข้างที่แก่สิ มีลูกมาดูแลจริงไหม แล้วที่ว่าดูแลน่ะดูแลจริงหรือ? -ทำไมจะต้องหวังพึ่งคนอื่น พึ่งตัวเองไม่ได้เหรอ? -เอ็งแน่ใจนะว่าลูกเอ็งจะไม่ตายก่อน บางทีก็เอาคำพูดครูบาอาจารย์มาเถียงเค้าว่า -มีคนดูแล เอาสายโน่นสายนี่ยัดเพื่อที่จะมีชีวิตทรมานต่อไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายตายไหม? ตายอยู่ดี ถ้าไม่มีคนดูแลเดี๋ยวมันก็ตายแล้ว ดีเสียอีกตายไวๆจะได้ไม่ทรมานนาน ไม่เกิน7วันก็ตายแล้ว -เอาเวลาไปเลี้ยงคนอื่นไปดูแลคนอื่น มันมาจากไหนก็ไม่รู้ เราเองยังไม่รู้เลยว่ามาจากไหน เวลาหายไปเป็นสิบๆปี พอมันโตแล้วเราก็แก่ ชีวิตที่ควรเป็นของเรา แทนที่จะเอาเวลาไปฝึกจิตใจตัวเองหรือให้กับตัวเองต้องเอาไปให้คนอื่น แล้วก็ไม่เห็นได้อะไรเลย ดีไม่ดีไปทุกข์กับมันอีก บางทีก็ต้องไปเลี้ยงลูกมันต่อ เลี้ยงมันอยู่นี่แหละ -บางทีเค้าก็บอกว่าเงินทอง ที่ดินจะเอาไปให้ใคร มีลูกเสียสิจะได้ให้ลูก ผมบอกว่าใช้เองสิ จะไปให้คนอื่นอื่นทำไม เอาไปช่วยเหลือคนอื่นก็ได้ คนที่ต้องการมีเยอะเเยะ เค้าก็จะบอกว่าให้ลูกสิเพราะเป็นลูกเรา ให้คนอื่นจะเหมือนลูกเราได้ไง (มองอะไรก็เห็นแต่ตัวเรา ลูกของเรา จะช่วยก็ต้องช่วยลูกหลานเรา ) บางทีผมก็ขี้เกียจเถียงก็เงียบๆไปเลย ....... บางทีเราตัดสินใจอะไรไม่ได้ หรืออยากรู้ว่าถ้าเราเดินทางนี้หรือจะทำอย่างนี้เราจะเป็นอย่างไร หลายๆครั้งผมชอบไปเสี่ยงเซียมซี ก่อนไปก็อธิษฐาน สวนมนต์ไหว้พระ อธิษฐานไปจากบ้านก็ได้หรืออธิษฐานที่ตอนเสี่ยงเลยก็ได้ ไม่ต้องเขย่าเพราะเสียงมันจะไปรบกวนคนอื่นเค้า ให้หลับตาหยิบออกมาเลย ก่อนหยิบก็ทำจิตให้ว่าง หรือดูลมหายใจเข้าออกก็ได้ เเล้วจะพบว่าแม่นจนน่าอัศจรรย์ (วัดที่ผมไปบ่อยที่สุดคือวัดพนัญเชิง) ชอบไปไหว้พระ ถ้าจะเสี่ยงเซียมซีก็มักจะเป็นที่นี่(จริงๆขึ้นอยู่กับเรา ไปวัดไหนก็ได้ พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน) เวลาว่างๆผมชอบไปไหว้พระมันมีความรู้สึกว่ารักท่าน อยากเห็น อยากกราบ นั่งมองท่านได้เป็นชม.ๆ ไม่รู้เป็นไร เป็นมานานแล้ว บางทีก็คิดฟุ้งซ่านไปว่าถ้าให้เจอใครก็ได้ที่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บุคคลแรกที่จะขอเจอคือพระพุทธเจ้า ....... ตอนเด็กเเม่ชอบพาไปวัดไปทำบุญ ชอบไปวิ่งเล่นในวัด พอไปบ่อยๆมันคุ้นเคย สังเกตุดูพระก็มักจะเมตตาเรามากกว่าเด็กคนอื่นๆ รู้สึกได้ เมื่อก่อนก็คิดว่าท่านคงเห็นเราไม่มีพ่อ ก็เลยเมตตาเรามากกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะตอนโตไปเข้าหาครูบาอาจารย์ ไปเจอพระก็รู้สึกว่าท่านเมตตาเรา ใครที่มีลูกให้พาไปวัดบ่อยๆ พาเค้าไปไหว้พระ สวดมนต์ ไปทำบุญใส่บาตรบ่อยๆ หรือเปิดธรรมะๆให้เค้าฟังก็ได้ให้เค้าคุ้นเคยนะครับ .... ธรรมชาติของจิตมันชอบหลงไปทางตาหูจมูก หลงไปคิด หลงลืมตัวเอง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ลองบริกรรมไม่ให้มันออกไปคิดบังคับมันด้วยคำบริกรรม โห อกจะเเตก ทุกข์มาก ทรมานที่สุด ใจมันไม่ชอบ มันชอบออกไปเพลิดเพลิน ถ้ากั้นไม่ให้ออกไปเมื่อไรทุกข์ทันที ยิ่งมาพิจารณาร่างกายจิตใจ มันยิ่งไม่ชอบ ไม่กล้ายอมรับความจริง มันกลัวจะรู้ความจริง มันทนรับความจริงไม่ได้ มันเลยต้องออกไปเพลินเพลิน ถ้าเราหลงออกนอกเมื่อไร เมื่อนั้นมันดีใจสุดขีด มันหลงสุดขีด หลงจนลืมไปว่าเราหลงอยู่ ถ้าเราบังคับกลับมาเมื่อไร มาอยู่กับร่างกาย จิตใจ มันจะทุกข์สุดขีดเช่นกัน เพราะฉนั้นการปฏิบัติเพื่อที่จะรู้ความจริงนี่ต้องอดทนมากๆ ...... ผมเข้าหาครูบาอาจารย์มาหลายปี สิ่งนึงที่สังเกตุได้คือ แทบทุกท่านจะไม่ชอบให้เราไปอ่านหนังสือ ครูบาอาจารย์บางท่านนี่แค่เห็นซีดีธรรมมะหรือเห็นเราถือหนังสือไม่ได้ เห็นเมื่อไรโดนดุทันที ท่านบอกว่าอ่านไปก็ได้แต่ความจำ ยิ่งได้จำมากยิ่งภาวนายาก ถ้าภาวนาได้ก่อนไปอ่านทีหลังไม่เป็นไร เมื่อก่อนผมก็อ่านมากเข่นกัน แต่โชคดีที่จำได้ไม่นาน แป๊บเดียวก็ลืม(โชคดีมากเป็นคนจำอะไรได้ไม่นาน บางทีใครมาทำไม่ดีกับเรา ไม่เคยจำเลย) หนังสือซีดีที่อ่านและฟังส่วนใหญ่ก็เป็นของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระ ของฆราวาสอ่านน้อยมาก (เคยแค่อ่านของลุงหวีด ท่านก.เขาสวนหลวง แค่นั้น) นอกนั้นไม่เคยเลย บางคนก็ชวนไปหาอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ที่เป็นฆราวาส ผมจะปฏิเสธตลอด ไม่เคยไปหาไปเรียน หรือแม้แต่อ่านหนังสือของเค้าเลย ขนาดพระสงฆ์เรายังแสกนแล้วแสกนอีก ไม่ใช่ไปหาส่งๆ เห็นใครบอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะเเตกตื่นไปหาไปกราบ เอาของไปถวายท่าน ไม่ได้เป็นอย่างนั้น. ซีดีที่ฟังบ่อยที่สุดก็จะเป็นของหลวงพ่อปราโมทย์ ฟังตั้งแต่ปี49(แผ่นที่10หรือ12นี่แหละ )แผ่นแรกๆเสียงไม่ค่อยชัด แต่ก็ฟังทุกแผ่นๆนึงฟังไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ (เฉพาะซีดีที่ท่านเทศน์ที่วัด ส่วนศาลาลุงชินหรือนอกสถานที่ไม่เคยฟังเลย) รองลงมาก็เป็นซีดีของหลวงตา หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่แบน(หลังๆฟังบ่อยมาก) ฯลฯ ฟังเพลินๆ ทำงานบ้านหรือทำอะไรก็ฟังไปด้วยทำงานไปด้วย แล้วก็พิจารณาตามท่านไปด้วย เวลาสวดมนต์ก็ชอบพิจารณาบทสวดเหมือนกันโดยเฉพาะพระสูตรผมชอบมาก ต้องสวดทุกครั้งโดยเฉพาะอาทิตตยปริยยสูตร ท่องไปพิจารณาไป สวดมนต์นี่ได้อะไรมากกว่าที่คิดนะครับ ไม่ได้แค่ฝึกสมาธิอย่างเดียว บางทีได้เจริญปัญญาด้วย เช่น รูปเป็นของร้อน ตาเป็นของร้อน ความรู้ทางตาก็เป็นของร้อน ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ฯลฯ เราควรเบื่อหน่าย ท่องไปลองพิจารณาตามไปด้วยนะครับ อย่าเห็นว่าไม่สำคัญ เพราะเราต้องพิจารณาของพวกนี้แหละ ภาวนามาถึงจุดนึงมันหนีไม่พ้น ยังไงก็ต้องมาพิจารณาสิ่งเหล่านี้ .... ความคิดความปรุงแต่งนี่น่ากลัวมาก ทำให้เราหลงได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันหลอกล่อให้เราปรุงแต่งไปเรื่อยๆ จะมีรถไฟฟ้าไร้คนขับแล้ว อีกสิบปีจะมีนั่นจะมีนี่ โห ตื่นเต้นๆ โถ ลืมไป ตัวเองจะอยู่ถึงหรือป่าวก็ไม่รู้ จะอยู่ข้ามปีได้หรือป่าว จะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ถ้าเป็นเด็กๆก็ว่าไปอย่าง ลึกๆเพราะมันพอใจ อะไรก็ตามสุดท้ายมาเข้าตัวเองหมด ที่อยากนั่นอยากนี่ ตื่นเต้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะหวังว่าจะเข้ามาสนองตัวเอง ตัวเองจะได้ดี ได้สบาย มีความสุข บางทีก็ปรุงต่อไปถึงลูกหลาน ไม่จบไม่สิ้น ความคิดนี่น่ากลัวจริงๆ ..... กัลญาณมิตรมีความสำคัญมาก ผมโชคดีมากเพราะได้กัลญาณมิตรชั้นเลิศ คอยอบรมสั่งสอน ให้ข้อคิด แต่ละคำเห็นด้วยทุกประการค้านอะไรไม่ได้เลย เมื่อก่อนบางเรื่องก็ไม่เข้าใจ ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนชอบคิดว่าอยากมีเงินเยอะๆจะได้สบาย อยากนอนตื่นสาย ไม่อยากลำบากอีกแล้ว(โง่ถึงขนาดที่คิดว่า ได้กิน ได้เที่ยว ได้ใช้ของหรูหรา ไม่ต้องทำงาน นั่งๆนอนๆคือความสบาย) อยากเที่ยวเล่นเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ พอมาเจอครูบาอาจารย์ ท่านบอก " กินๆ นอนๆ แล้วก็สืบพันธ์ ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ แม้กระทั่งตัวเองก็ไม่ได้อะไร แล้วก็ตายไปเปล่าๆ หาแก่นสารสาระอะไรไม่ได้เลย เค้าเรียกว่าคนรกโลก รกแผ่นดิน อย่าคิดนะว่ากินๆนอนๆไม่เปลืองทรัพยากรโลก! " "มีเงินมากแค่ไหนก็ต้องทำงาน อาจจะเป็นงานที่ไม่ได้เงิน แต่เป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ชีวิตเราเป็นของหายาก ได้มายาก ได้มาแล้วต้องทำความดีให้ถึงที่สุด ความดีแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็อย่าไปเกี่ยง ทำให้เต็มที่ ทำให้สุดกำลัง" "การเสียสละนี่เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเสียสละมาก ไม่เห็นแก่ตัวเอง ยิ่งภาวนาง่าย ภาวนาได้ไว เพราะฉนั้นอย่าเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย อย่าเห็นแก่การหลับการนอน ใจมันจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ" "ตื่นได้ ตื่นเสีย ตื่นสมมุติ คิดเป็นจริงเป็นจัง เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจริงๆ เพราะความหลง ไม่รู้เท่าทัน สถานีโลกทุกคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีใครตกค้างเลยสักคน แล้วก็ไม่มีใครได้อะไรไปจริงๆ ทุกอย่างเป็นภาพมายา เป็นของสมมุติ " แรกๆเข้าหาครูบาอาจารย์ก็กลัว เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวท่านรู้จิต กลัวท่านดุ กลัวสารพัด ค่อยๆพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่กลัวแล้ว มีแต่ความคิดถึง เคารพท่าน ถ้าเราหาคนที่ดีกว่าเรา คุณธรรมสูงกว่าเราไม่ได้ อยู่คนเดียวดีกว่า ฟังซีดีอ่านหนังสือธรรมะไปนี่แหละ ไม่ต้องไปคลุกคลีกับใคร เมื่อก่อนผมติดเพื่อนมาก ตื่นมาต้องควานหาแล้วว่าเพื่อนอยู่ไหน จะไปเที่ยวเล่นไหนกันดี เดี๋ยวนี้ไม่ได้คบใครเลย มันจะห่างๆออกมาเองวันๆไม่มีใครโทรมาเพราะเราไม่เคยโทรหาใคร ไม่มีใครมาหาเพราะเราไม่ไปหาใคร มันพอใจที่จะอยู่คนเดียว ไม่มีความเหงา ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากให้ใครมากวน อยากจะภาวนาเงียบๆนคนเดียว มีความรู้สึกว่าการอยู่กับคนอื่นคือภาระ ต้องคอยระวังคำพูดไม่ให้ไปล่วงเกิน ฯลฯ ถ้าอยู่คนเดียวสบาย ไม่ได้ว่าใคร ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ยืมเงินใคร (ฮา) กลายเป็นการรักษาศีล5อัตโนมัติ ความคิด มุมมองก็ไม่เหมือนเดิน มันจะห่างๆออกมา ห่างจากความวุ่นวาย ความกระทบกระทั่งกัน แม้แต่ความทุกข์ก็อยู่ห่างๆ มาไม่ถึงเรา มีเหตุการณ์วุ่นวายอะไรมาก็เหมือนอยู่ห่างๆ เหมือนเราอยู่คนละโลก #สุดยอดการลงทุนที่แท้จริงคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ลงทุนน้อยไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว แต่ผลที่ได้สุดแสนคุ้ม (ยิ่งกว่าดันโด ยิ่งกว่าหุ้นแสนเด้งอีกนะ) #ดูงบการเงินเก่งแค่ไหน ก็สู้ดูจิตใจของตัวเองไม่ได้ ..... ใครที่เขียนอะไรมา ผมต้องขออนุญาติไม่ตอบนะครับ เดี๋ยวจะยาวไป ขอโทษด้วยจริงๆ ขอฟุ้งซ่านคนเดียวพอ ถ้าใครจะถามอะไรก็ทาง pm เท่านั้นนะครับ พอตอบได้ก็ตอบ
โดย
cobain_vi
พฤหัสฯ. ก.ย. 21, 2017 9:24 pm
0
9
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
ขออนุญาติบอกนิดนึงว่าที่ผมเล่ามานี่ไม่ได้ต้องการอวดอะไร ไม่ได้หวังอะไรจากใคร ไม่ได้คิดจะไปเปิดคอร์สเก็บตังค์แพงๆ ฮา คิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากจะทดแทนบุญคุณเวปแห่งนี้ที่ทำให้ผมได้พออาศัยลอกหุ้น(ฮา) โดยเฉพาะในห้องร้อยคนร้อยหุ้น พอจะได้เลี้ยงชีพ บางคนก็ใจดีเห็นผมไม่ค่อยได้ติดตามก็มาบอกหุ้นให้ เงินที่ได้มาที่เหลือใช้ผมเอาไปทำบุญหมดนะครับ ไม่เคยคิดสะสมอะไรมากมาย เพราะรู้แล้วว่าวันนึงมันก็ต้องกลายเป็นของคนอื่นต่อไป ของทุกอย่างเป็นของโลกแม้แต่ตัวเราเองก็เป็นของโลก ถ้าเราสละเองเราจะได้ยกระดับจิตใจตัวเอง แต่ถ้าเราโดนธรรมชาติบังคับให้สละ เราจะไม่ได้อะไรเลย อีกอย่างนึงถ้าวันข้างหน้าผมได้มีโอกาสบวช เวลาบวชจะมาเล่าอะไรแบบนี้ไม่ได้มันผิดวินัย ถ้าจะเล่าก็ต้องเล่าตอนเป็นฆราวาสนี่แหละ และก็ผมจะเล่าเท่าที่ผมรู้ ที่เคยผ่านมาแล้ว สิ่งใดที่ได้ฟังมาก็จะบอกว่าเคยฟังมาท่านเล่ามาเป็นแบบนี้นะๆ อันไหนที่ยังไม่เคยถ้าเป็นเรื่องคาดเดาก็จะบอกว่าผมคิดว่าอย่างนี้นะ ผมจะไม่เล่าอะไรที่ไม่เคยผ่านมาด้วยตัวเองคาดเดาเอาเอง แบบนี้จะไม่เล่านะครับ เพราะอันตรายไปเล่าสิ่งที่เราคาดเดา คาดหมาย แบบนี้ไม่ควรเล่า เพราะอันตรายต่อผู้ได้ฟัง ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดนี่บาปมาก บางคนเข้าใจผิด คิดว่าผมไปอยู่วัดบ่อยๆ คงไปทำบุญกับพระเยอะๆ ไม่ใช่เลยนะครับ ผมไปอยู่วัดครูบาอาจารย์ทำบุญก็ทำบุญใส่บาตรทั้วๆไป เงินที่ถวายพระก็นิดเดียว 500 1000 บาท ยกเว้นว่าถ้าท่านจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่นสร้างโรงพยาบาล แบบนี้จะร่วมทำบุญกับท่านเยอะ ผมถือคติเป็นพระต้องจน อย่าเอา อะไรไปกระตุ้นกิเลสท่าน และพระดีไม่ได้ต้องการอะไร เคยไปปวารณาครูบาอาจารย์เหมือนกันนะครับ กลับโดนท่านสอนด้วยซ้ำว่าอย่าไปปวาราณาส่งๆ พระไม่ดีมันเยอะ เราไม่ต้องการอะไร ไม่ขาดอะไร นี่ พระดีต้องเป็นเเบบนี้ ผมจะระวังมากเลยนะครับเรื่องการถวายเงิน ไม่เคยถวายเงินพระส่งๆเลย เจ้าประคู้นขอถวายเงิน...แล้วขอให้ลูกช้างเฮงๆ หมดทุกข์หมดโศก โชคลาภไหลมาเทมา เพี้ยง แบบนี้ไม่เคยเลยนะครับ หรือว่าเรามีโอกาสมาวัดแล้วต้องทำบุญสักอย่าง ออกจากวัดเราอาจจะตายก็ได้ งั้นทำบุญถวายเงินเยอะๆเลย เผื่อไม่มีโอกาสกลับมา เจอพระบอกแบบนี้ให้หนีห่างเลย พระเห็นแก่ได้ ตลบแตลงพลิกแพลงพูดหาลาภใส่ตัวแบบนี้ พระบางองค์รู้จักกันมานานถ้าเห็นว่าไม่ได้ใช้อะไรก็จะไม่ให้ ถ้าพอทราบว่าต้องการใช้เช่นต้องการซื้อตั๋วรถไปจะพรรษาที่อื่น ถ้ารู้ก็จะถวายปัจจัย แต่ก็ไม่เคยเลยที่ท่านจะมาขอหรือบอกเรา เราต้องเป็นคนสังเกตุเอาเอง อนาคตถ้าผมบวชได้มีโอกาสเจอกันก็ไม่ต้องเอาอะไรมาให้นะครับ ผมไม่ได้ต้องการอะไร เวลาเราปฏิบัติธรรม มันจะค่อยๆดีขึ้นๆเรื่อยๆ ค่อยๆฉลาดขึ้น มันจะดีขึ้นอัตโนมัติ ค่อยๆสะสมไปทีละเล็กน้อย มันจะชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่า แหม อยากได้ธรรมะ ไปอยู่วัดสองเดือนเเล้วเราต้องได้ ปัญญาตัดโฉะ ทีเดียว สบายแระ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ มันจะค่อยๆซึมซับ จะดีค่อยๆดีขึ้น บางคนก็ช้าบางคนก็เร็วแล้วแต่ว่าเราเคยทำมามากน้อยแค่ไหน เห็นครูบาอาจารย์บางองค์ภาวนาง่าย สองพรรษาก็ได้ธรรมะ บางองค์ห้าพรรษาได้อนาคาฯ บางท่านเจ็ดพรรษาได้อรหันต์ เพราะว่าท่านทำมาเยอะ บางคนทำมาน้อยภาวนากันแทบตายเป็นสิบๆปีไม่ได้อะไร เป็นฆราวาสยิ่งยากแต่ยังไงก็ต้องสู้ เพราะทางหลุดพ้นมีทางเดียว ไม่เอาตอนนี้ สุดท้ายก็ต้องกับมาทำแบบนี้อยู่ดีเพราะไม่มีทางอื่น แล้วจะมัวเสียเวลากับเรื่องอื่นๆอยู่ทำไม เรื่องการทำสมาธื เท่าทีฟังๆมารู้สึกว่าจะเข้าใจผิดกันเยอะ ว่าถ้าจะให้ดีที่สุดต้องนั่งสมาธิให้ได้นานๆ ยิ่งนานยิ่งดี จะได้มีปัญญาเร็วๆ ง่ายๆ ความจริงมันก็มีส่วนถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด บางคนนั่งนานหลายชั่วโมงแต่จิตไม่เคยได้สมาธิเลย อย่าว่าแต่สมาธิที่ใช้เจริญปัญญา สมาธิแบบสงบ(ฌาณ)ก็ไม่ได้เข้าใกล้เลย บางคนนั่งแป้บเดียวห้านาที แต่จิตเข้าสมาธิได้ลึก พร้อมทั้งเจริญปัญญาในขณะนั้นไปด้วย อย่าเอาไปเที่ยบกับครูบาอาจารย์ระดับท่านมันพ้นวิสัยคาดเดาของเราไปแล้วนะครับ บางทีเราเห็นท่านนั่งสมาธิแต่ทางในท่านอาจจะไปเที่ยวนรก สวรรค์ หรือซักซ้อมสมาธิเข้าออกให้ชำนาญ หรือเจริญปัญญาในส่วนอื่นๆอยู่ก็ได้ เคยถามท่านอยู่เหมือนกันท่านว่านั่งถึงสี่ทุ่มทุกวันแล้วก็พัก ตีสองก็เอาใหม่จนถึงเวลาทำวัตรเช้า ทำแบบนี้ทุกวัน ถามว่าทำไปทำไม ท่านบอกให้มันชำนาญ(ผมไม่ได้ถามว่าชำนาญด้านไหน ไม่กล้าถาม ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วจะให้ชำนาญด้านไหนก็จนปัญญาคิดคาดเดา) ผมเองนั่งไม่เคยเกินชั่วโมงเลยเพราะปวดหลังแต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมดูลมหายใจเเป้บเดียวจิตก็รวมแล้ว เมื่อก่อนชำนาญกว่านี้อีก และหลายๆครั้งที่เวลามีปัญญาพบว่าล้วนไม่ได้เกิดตอนนั่งสมาธิเลย บางทีก็ล้างจาน พรวนดิน กวาดลานวัด ฯลฯ ปัญญาที่แท้จริงมันเกิดตอนไหนก็ได้นะครับ บางองค์ก็เกิดตอนนั่งสมาธิ บางองค์ก็เกิดตอนบิณฑบาตร บางองค์ก็ตอนล้างบาตร แล้วแต่ว่ามันพอตอนไหน ก็ตอนนั้นแหละ แต่ถ้านั้งสมาธิได้นานด้วย มีสมาธิทั้งสองแบบ แล้วเจริญปัญญาในขณะนั่งสมาธิด้วย แบบนี้สุดยอดเลยนะครับ อีกเรื่องนึงที่คนชอบเข้าใจผิดคิดว่าตอนที่เราเจริญปัญญาได้คือตอนที่เรานั่งสมาธิอยู่ ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะครับ การเจริญปัญญาไม่จำเป็นต้องนั้งสมาธิ และก็ไม่จำเป็นด้วยว่าต้องได้สมาธิ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำฌาณก่อน เจริญปัญญาตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องทำฌาณก่อนก็เจริญปัญญาได้ ครูบาอาจาย์สอนมา และผมก็เคยทำมาพบว่าไม่ต้องทำฌาณก่อนก็เจริญปัญญาได้ เจริญปัญญาก่อนเดี๋ยวฌาณมันตามมาเองทีหลัง หรือทำฌาณก่อนแล้วค่อยเจริญปัญญาก็ได้ หรือเจริญปัญญาแล้วจิตพลิกเข้าฌาณแล้วกลับมาเจริญปัญญาอัตโนมัติสลับไปมาแบบนี้ก็ได้ ผมเคยมาแล้วทั้งสามแบบ แล้วทำยังไง? ก็พิจารณาร่างกายเราก็ได้ ว่ามันดีมันสวยงามตรงไหน พิจาณา ผมขนเล็บฟันหนังก็ได้ พิจารณษอาการ32ก็ได้ พิจารณาเจตสิกก็ได้ เวทนา สัญญา สังขารการปรุงแต่งของจิตของร่างกายเราก็ได้ พิจารณาวิญญาณก็ได้ พิจารณาอายตนะก็ได้ พิจารณาความรู้ที่เกิดขึ้นทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นท่างกายก็ได้ว่ามันเกิดได้อย่างไร คนตายก็มีตามีหูมีจมูกฯลฯแต่ทำไมมีมีจุกขุวิญญาณฯลฯ คนตายก็มีอะไรครบทุกอย่างแต่ทำไมไม่มีมโณวิญญาณ พิจารณาแบบนี้ก็ได้ อะไรก็ได้อย่าให้ออกนอกกายเรา พิจารณาในส่วนร่างกายเราอะไรก็ได้ รูป จิต เจตสิก สามอย่างนี้ ส่วนนิพพานไว้ให้พระอริยะท่านทำ เราไม่เคยเห็นมันทำไม่ได้ อีกเรื่องนึงคนชอบถามว่าสติปัฐฐานสี่ เราใช้แบบไหนเจริญปัญญา ถ้าคนเพื่งเริ่มจะเอาอันไหนก็ได้คอยสังเกตุ เราชอบแบบไหน เวลาเราเจริญแบบไหนแล้วเราชอบ เราชำนาญ อันไหนที่เกิดบ่อยเอาอันนั้น แต่พอเราภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าทั้งสี่แบบเราไม่ได้หมายเลย อะไรก็ได้ อันไหนชัดก็อันนั้นแหละทั้งสี่แบบอ้ันไหนก็ได้ จะว่าชำนาญทั้งสี่แบบไหมมันก็คล้ายๆจะเป็นแบบนั้น เช่นเดินๆอยู่จิตไปเห็นร่างกายเคลื่อนไหว หรือเห็นเวทนาที่เกิดขึ้น หรือเห็นจิตทำงาน อะไรแบบนี้ มันอยู่ที่สติเราว่าไปชัดอยู่กับอันไหน จะอันไหนก็ได้เหมือนกันหมด ทั้งสี่อย่างอันเดียวกันหมดคือสตินั่นเอง มันจะไม่ได้แยกเหมือนตอนเราภาวนาใหม่ๆตอนที่ไม่ขำนาญว่าจะดูแต่กายอย่างเดียว หรือจะดูจิตอย่างเดียว ไม่ไช่อย่างนั้น
โดย
cobain_vi
จันทร์ ส.ค. 28, 2017 11:49 am
0
8
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
มรณานุสติ ผมเป็นคนชอบนึกถึงความตายบ่อยมาก ไม่รู้ทำไม เป็นตั้งแต่เด็ก ครั้งแรกที่รู้ว่าต้องตายตอนนั้นอายุประมาณ5ขวบ แม่ค้าก๋วยจั้บแถวบ้านตาย(เคยเล่าไว้ในเวปนี้เเหละ แต่อยู่ไหนไม่รู้แล้ว) ผมรู้ว่าคนเราเกิดมาต้องตายเป็นครั้งแรกใจมันสลดหงอย ซึมอยู่เป็นอาทิตย์เลย หลังจากนั้นก็นึกถึงบ่อยๆ มีอีกครั้งนึงตอนแปดขวบกำลังอาบน้ำ ได้ยินเสียงตามสาย(บ้านนอกสมัยก่อนตอนเช้าๆจะมีข่าวกระจายเสียงตามหมู่บ้าน ) ตอนข่าวจบจะมีธรรมะสั้นๆต่อท้าย ครั้งนั้นเสียงเค้าพูดว่า"เหตุเกิดผลก็เกิด เหตุดับผลก็ดับ...." ได้ยินแล้วใจมันดีดผางขึ้นมา กำลังจะอาบน้ำ จิตตั้งมั่นเด่นดวง ตั้งมั่น แล้วก็เฉยๆไปเพราะตอนนั้นภาวนาไม่เป็น พอช่วงวัยรุ่นก็ลืมๆไป ผมลองสังเกตุดูเรื่องการพิจารณาความตายของตัวเอง พบว่าบางครั้งต้องมีอะไรมากระทบเช่นรู้ข่าวการตายของคนอื่น แล้วจะเข้ามาพิจารณาความตายของตัวเอง อีกแบบนึงคือพิจารณาความตายขึ้นเอง(คิดขึ้นมา)โดยไม่ต้องมีปัญจัยอะไรมากระตุ้น และอีกแบบนึงไม่ต้องคิดอยู่ๆมันพิจารณาเอง ผมเคยเผชิญหน้ากับความตายหลายๆครั้งตั้งแต่เกิดมา แม่เล่าให้ฟังว่าวันคลอดไม่ยอมหายใจ หมอต้องต่อท่ออ้อกซิเจน ตัวนี่เขียวแล้ว แม่ว่านึกว่าเอ็งคงไม่รอด หลังจากนั้นก็หวุดหวิดตายหลายรอบ ตกน้ำตอน4ขวบ โดนรถชนตอน5ขวบ เป็นสารพัดโรค ขี้โรค แต่ไม่ถึงตาย แค่ทรมาน ฯลฯ การนึกถึงความตายนั้นผมลองสังเกตุดูตัวเองพบว่า 1 คิดเเล้วสลดสังเวชใจ คิดว่าอีกหน่อยตัวเองต้องตาย พอเลิกคิดก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์เหมือนเดิม แต่ก็ยังดีที่ได้คิดอินทรีย์มันยังอ่อน แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่เคยคิด 2 คิดแล้วสลดสังเวชแล้วรีบขยันภาวนา คิดว่าความตายจะมาเมื่อไรไม่รู้ ไม่ประมาท รีบภาวนา เตรียมตัวรับมือกับมัน แบบนี้ดีมาก สองแบบนี้แบบหลังอินทรีย์มากกว่าแบบแรก ครูบาอาจารย์บอกว่ามันเป็นสมถะ เป็นที่สุดแล้ว บางคนภาวนาใจไม่สงบคิดถึงอะไรๆก็ไม่สงบ บริกรรมก็แล้ว สุดท้ายให้ลองนึกถึงความตายดู ส่วนใหญ่จะสงบทุกคนเพราะมันเป็นที่สุดแล้วที่ความตาย 3 คิดพิจารณา(อัตโนมัติ)แล้วใจสงบ จิตเข้าสมาธิตามมา ตื้นบ้างลึกบ้างแล้วแต่ แบบนี้ผมเป็นบ่อย 4 สงบแล้วพิจารณาทางด้านปัญญา อันนี้นานๆเป็นที (นาน=เป็นปีๆ หลายปี ) เมื่อก่อนไม่เข้าใจเวลาพิจารณาความตายทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ(อัตโนมัติ) จิตมันชอบเข้าไปพัก บางทีก็อัปณาสมาธิ บางครั้งก็อุปจารสมาธิ บางครั้งก็ขณิกะคือเเว้บๆ แล้วก็ไปพักอยู่เฉยๆพอหมดกำลังแล้วก็ถอนออกมา (ตามตำราการพิจารณาความตายเป็นสมถะ ไม่ถึงวิปัสสนา) ส่วนใหญ่ก็ได้แค่ชั้นสมถะจริงๆ ไม่ถึงวิปัสนาจริงๆ แต่มีอยู่ครั้งนึงผมจำได้ไม่ลืมเลย กำลังจะนอนหัวกำลังเอนนอน จิตมันไปพิจารณาความตายอัตโนมัติ ไม่มีอะไรจงใจให้เกิด(คงเป็นเพราะเราพิจารณาบ่อย) เป็นกุศลพ้นเจตนา อสังขาริก(พูดตามตำรา) จิตมันเข้าไปพักในอัปณาสมาธิ (ร่างกายหายไปเหลือแต่จิตดวงเดียว จะเรียกว่าอรูปก็ไม่ผิด พักเสร็จแล้วมันเดินปัญญาอัตโนมัติ (นี่ก็เป็นกุศลพ้นเจตนาเช่นกัน คือมันเดินวิปัสสนาเอง) เกิดเป็นความรู้ขึ้นมาทั้งโลกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟ พ้นปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่งถึง เป็นธาตุเดิม ร่างกายเราก็เป็นดินน้ำลมไฟ เสมอกันกับภายนอก นอกในเสมอกันด้วยธาตุ4เดิม จิตก็ทวนเข้าหาจิต ....(อันนี้เป็นคำพูดอธิบายนะครับ ของจริงละเอียดกว่านี้มาก) ที่เล่ามานี่เกิดชั่วขณะจิตเดียว พริบตาเดียว จะว่าไวกว่าฟ้าเเล็บก็ไม่ผิดตั้งแต่จิตพักเข้าอัปณาแล้วเดินปัญญาต่อ มันไวมากครับ อัศจรรย์มาก จิตมันกระจายเต็มโลกธาตุก็ไม่ผิด จะว่าดับไม่มีเหลือก็ไม่ผิด คำพูดสองอย่างนี่คนละขั้วเลย แต่สภาวะของจริงคืออันเดียวกัน หลังจากนั้นจิตก็กลับมาที่เดิมเหมือนตอนก่อนเกิดสภาวะนี้ เวลาเกิดสภาวะแบบนี้ขึ้นมานี่คุ้มค่ามากที่สุดแล้วครับ ภาวนามาแทบตายพากเพียรมาก็เพื่อสิ่งนี้แหละ ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นตอนปี2555 วันที่14เมษา จำได้เพราะเป็นวันสงกรานต์พอดี ไปสรงน้ำหลวงพ่อ ช่วงสงกรานต์ไปทุกปี ระหว่างรอหลวงพ่อลงมาที่ศาลาก็กวาดใบไม้รอท่าน กวาดอยู่ดีๆ จิตมันก็รวมอาการก็เป็นเหมือนที่เล่าผ่านมาเพียงแต่ว่าครั้งนั้นมันไวมาก ดูไม่ทัน เอาไปเล่าให้หลวงพ่อฟังก็อธิบายไม่ถูก แต่ละครั้งจะไม่ได้จงใจเจตนา ความคาดหมายไม่มี ความอยากใดๆก็ไม่มี มีแต่ความตั้งมั่นของจิต และทุกครั้งจิตจะเป็นกลางอย่างแท้จริง การกระทำของจิตหรือสังขารจะไม่มี(เวลาเราโกรธคือจิตไปทำงานคือโกรธ เวลาจิตไปโลภก็คือจิตทำงานหรือไหลไปโลภ) แต่จิตเป็นกลางคือจิตไม่ได้ไหลไปไหน จิตตั้งอยู่ที่จิตจริงๆ ไม่มีการทำงานหรือการกระทำใดๆของจิต ไม่ไหลออกนอก ไม่ไหลเข้าข้างใน(เพ่ง) จะว่าจิตเฉยๆก็ไม่ใช่ ...... ..... เมื่อตอนสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้ไปกราบหลวงพ่อกับเพื่อน ท่านบอกว่าในพรรษานี้อยู่บ้านให้ลองภาวนารักษาศีล8ดูจริงๆจังๆดูซิ ท่านบอกหลายครั้งแล้วเรื่องภาวนา อย่าขี้เกียจ ท่านอุตส่าห์บอกตอนนี้เลยพักภาวนาอยู่ที่ไร่ จ.ระยอง หลวงพ่อท่านสั่งให้รักษาศีล8 ให้ภาวนาเต็มที่ดู คำพูดครูบาอาจารย์ท่านสั่งมาถ้าเราไม่ทำนี่คือประมาท ผ่านมาเดือนนึงเเล้วยังกระท่อนกระเเท่น สู้ตอนอยู่วัดไม่ได้ ความขี้เกียจนี่ทำยังไงก็ไม่หายเสียที ตื่นเช้าตีสามสวดมนต์ทำวัตรเข้า เดินจงกลมนั่งสมาธิ เสร็จแล้วไปนอนต่ออีก ฮา ตอนเช้าไปตลาดซื้อกับข้าวที่ตลาด เสร็จแล้ว ทำงานในไร่ ทำๆไปอย่างนั้นแหละ ดีกว่านั่งนอนเฉยๆ อีกหน่อยก็ขายที่บวชเเล้วต้นไม้คงจะไม่ทันโต พอแดดร้อนๆเข้ามาพักภาวนา ท่องปาฏิโมกข์ เดือนนึงแล้วได้ไม่เท่าไร ยากจริงๆ สำเนียงออกเสียงยาก(มคธ) บ่ายสามทำข้อวัตร (ถูบ้านขัดห้องน้ำ) เย็นๆออกทำงานไร่ หนึ่งทุ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น พยายามทำให้เหมือนว่าเราบวชอยู่วัดจริงๆ เป็นฆราวาสนี่จะทำแบบเคร่งครัดเหมือนพระนี่ยากจริงๆ นี่ขนาดอยู่คนเดียวไม่มีคนกวนยังยากมากๆ ..... .....
โดย
cobain_vi
จันทร์ ส.ค. 14, 2017 11:02 am
0
7
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
อยู่บ้านภาวนายากมากมีเรื่องกวนใจตลอด บางทีขาดสติไปทำนู่นทำนี่ สุดท้ายก็มาวุ่นวายใจทีหลัง ไปอยู่วัดตัดเรื่องยุ่งๆไปเยอะมากส่วนใหญ่ที่มีมาคือพระใช้ให้ทำนู่นทำนี่ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่บ้าน ไปอยู่วัดนานๆกลับมาบ้านก็ขยันภาวนาดีพอสักพักก็กลับมาขี้เกียจเหมือนเดิม เพศฆราวาสนี่ถึงได้ภาวนายาก คนที่ภาวนาดีๆเก่งๆจึงน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็ถือศีลอยู่วัด ส่วนน้อยมากๆที่ปฏิบัติภาวนาอยู่บ้านจริงๆ คนที่คิดจะปฏิบัติจริงจังถ้าเป็นไปได้อย่ามีสามีหรือภรรยานะครับ ตัวยุ่งเลย อยู่คนเดียวดีที่สุด ถ้าจะต้องมีก็อย่ามีลูก มีลูกนี่จบเลย กวนที่สุดเลี้ยงกว่าจะโต ชีวิตเราหายไปเป็นสิบๆปี วุ่นวายทั้งกายและใจมาก ผมเองก็มีแฟนเหมือนกันคบมานานแต่ไม่ได้เเต่งงาน นานๆเจอกันที ขนาดนี้ยังกวนเลย โทรมากวนตลอด เดี๋ยวก็อยากไปนั่นไปนี่ พาไปหน่อย โอ๊ย เวรแท้ๆ ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้จะไม่มีใครเลย จะขอบวชไม่สึก ถ้าไม่สึกป่านนี้ก็เกือบ20พรรษาแล้วล่ะ คงพ้นทุกข์ไปได้เยอะแล้ว มันคงเป็นเวรกรรมของผมแหละ บวชอยู่ดีๆก็จำใจต้องสึก ในใจไม่อยากเลย วันสึกนี่น้ำตาไหลเลย ไม่เคยสบายใจเท่ากับตอนบวชมาก่อน กินก็น้อย นอนก็น้อย สมบัติสิ่งของไม่มีอะไรเลย แต่ทำไมมีความสุขอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้กินก็กินเยอะ สรรหามาเลย ข้าวของก็เต็มบ้านเลย อยากได้อะไรก็ซื้อๆ แต่ทำไมไม่เห็นสุขเลย สู้ตอนบวชไม่ได้ ตอนบวชด้วยความที่ชีวิตลำบากมาก หลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นผมจะอธิฐานทุกวัน ถ้าต้องสึกออกไปขอให้ได้งานดีๆทำ ขอให้ได้คู่ครองที่ดี มีศีลมากกว่าหรือเสมอเรา ถ้ามีลูกก็ขอให้ได้ลูกเป็นพระอรหันต์ ขอไปหมด เหมือนมันไม่มีที่พึ่ง ตอนนั้นยังไม่เข้าใจ ยังภาวนาไม่เป็น เดี๋ยวนี้พอนึกกลับไปก็อายตัวเอง ทำไมโลภอย่างนี้นะ ตอนที่บวช พอถึงก่อนวันออกพรรษา ฝันว่ามีผู้หญิงคนนึงมาหาที่กุฏิ ตอนเช้าผู้หญิงคนนี้ก็มาหาจริงๆ มากับพี่สาวเค้า ตอนนั้นก็เฉยๆไม่ได้เอะใจอะไร เรื่องฝันเรื่องออกรู้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมมาก เรื่องมากกว่านี้ก็เคยเห็น คนจะตายบางทีก็ยังรู้เลย หวยนี่จั๋งๆทุกงวด พอสึกออกมาก็เจอผู้หญิงคนนี้ ก็โทรคุยพอคุยแล้วรู้สึกถูกใจ มันเป็นความรู้สึกประหลาด อยากคุย อยากเจอ บางทีคิดถึงปุ้บเค้าจะโทรมาปั้บ บางทีเค้าคิดถึงเราก็จะโทรไปทันทีเหมือนกัน (เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ )เคยฝันว่างูกัด ก็เอะใจว่าคนนี้จะเป็นเนื้อคู่เราจริงๆหรือ ก็พาไปวัดไปไหว้พระ ไหว้เสร็จก็อธิษฐาน ถ้าเค้าเป็นเนื้อคู่เราจริงๆขอให้ได้เซียมซีเลขเดียวกัน ผมก็เขย่าก่อน ได้เลข16(อันนี้ยังจำได้ดี) เค้าก็เขย่าบ้าง เค้านั่งห่างออกไปสัก10เมตรได้ ไม่ได้บอกเค้าเรื่องที่เราอธิษฐาน รอให้เค้าเขย่าเสร็จ เราก็เดินเข้าไปดู ปรากฎว่าได้เลขเดียวกันจริงๆ คือเลข16 แปลกดี หลังจากนั้นเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าเกิดก่อนเรา1วัน เค้าเกิด14ค่ำเดือน8 ส่วนเราเกิด15ค่ำเดือน8 ปีมะโรง ที่แปลกกว่านั้นคือพ่อเราก็เกิด 14ค่ำเดือน8เหมือนกัน แปลกดี บางทีมองย้อนกลับไปเหมือนชีวิตถูกลิขิตไว้ เวลานี้ต้องเจอเเบบนี้ๆ เราจะทำตามหรือไม่ทำตามอยู่ที่เราตัดสินใจ ถ้าตัดสินใจอย่างนี้ก็จะมีผลผูกพันธ์ต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน ไม่มีใครรู้อนาคต ตอนนั้นเราคิดว่าดี พอเวลาผ่านไปอาจจะกลายเป็นไม่ดีก็ได้ เพราะฉนั้นมองอะไรให้มองยาวๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุป ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเรามองออกหรือป่าว เคยเจอคนถูกหวยเค้าดีใจใหญ่เลย มีความสุขมาก ไปซื้อรถไม่กี่วันรถคว่ำตาย ถ้าเค้ามองเห็นอนาคตการถูกหวยนี่เค้าอาจจะร้องไห้ก็ได้นะ ว่าไม่อยากถูก ไม่ขอถูกดีกว่า เหมือนการทำมาหากิน บางคนขายของดีก็รวยเอาๆ ทีนี้ไปไหนไม่ได้เลย ห่วงร้านห่วงลูกค้า ปวดฉี่ก็ต้องกลั้น สุดท้ายเป็นโรคปัสสะวะอักเสบ ตกลงที่ขายดีๆได้เงินเยอะๆนี่มันดีจริงเหรอ? ตอนเด็กๆผมเคยคิดว่าตัวเองโชคร้าย เกิดมาจน ไม่มีพ่อ อยู่กับแม่สองคน อยู่ด้วยความลำบากมาก พอเวลาผ่านไปเรากลับคิดว่านั่นคือสิ่งที่โชคดีที่สุด ถ้าไม่ลำบากก็คงไม่เข้าหาธรรมะ คงไม่ได้เจอครูบาอาจารย์ชั้นเลิศ บางทียังคิดเลยนะว่าถ้าต้องเกิดอีกขอลำบากเเบบเดิม แล้วก็ขอให้เจอครูบาอาจารย์เหมือนเดิม ทำไมต้องลำบาก? ถ้าไม่ลำบากมันก็ไม่มีปัญญา ไม่อยากเกิด ไม่เห็นทุกข์ พอเข้ามาวัดมาก็ไม่อดทน ถ้าผ่านมาแล้วมันสบายทนได้ทุกสภาวะ อดอยากก็ทนได้ อดนอนก็ทนได้ คนรวยๆไม่เคยลำบากมาอยู่วัดส่วนใหญ่มันทนไม่ได้ นิดๆหน่อยๆไม่เอาแล้วกลับบ้านดีกว่า ... ... ไปกราบสรงน้ำหลวงพ่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมไปกราบท่านครั้งแรกปี49 แล้วสรงน้ำท่านประจำทุกปีตั้งแต่ปี52 รอบนี้ท่านบอกว่าเข้าพรรษาให้ลองเคร่งครัดถือศีล8อยู่บ้านดูซิ ให้ทำจริงๆจังๆ ผมก็คิดว่าปีนี้จะตั้งใจจริงๆสักที ที่ผ่านมาทำๆหยุดๆ ตื่นตีสาม สวดมนต์ไหว้พระเดินจงกลม หกโมงทำกับข้าว ทานข้าว แปดโมงออกทำงานไร่ ร้อนๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน ครึ่งชม.ก็จะตายเอา ร่างกายไม่เหมือนเดิม พอล้าๆก็ไม่อยากตื่น ตื่นสาย ไม่เหมือนอยู่วัด เหนื่อยยังไงก็ต้องตื่นเพราะมีครูบาอาจารย์คอยสอดส่อง เหมือนตอนไปอยู่กับหลวงปู่ ตีสามตื่น กลางวันทำงานทั้งวันเหนื่อยมาก แต่มันกลับอยู่ได้สบาย นอนก็น้อย ทำงานก็หนัก มาอยู่ไร่ นอนก็มาก ทำงานน้อย แดดออกหน่อยร้อนแระ เข้ามาพักดีกว่า จะทำอันนี้ก็เดี๋ยวไว้ก่อนๆ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ... ตอนในหลวงจะสวรรคต1วัน ผมฝันว่าต้นไม้ใหญ่ล้ม เป็นภาพมุมสูงมองลงมาเหมือนดูแผนที่ ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นเดียวล้มโค่นลง แต่ก็มีต้นไม้เล็กๆผุดขึ้นเต็มแผนที่เลย เล่าให้ฟังเฉยๆครับ
โดย
cobain_vi
ศุกร์ พ.ค. 05, 2017 4:23 am
0
9
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
เรื่องหลวงปู่ (หลวงปู่มีหลายท่าน เดาเอาเองนะครับว่าองค์ไหน) ตอนไปกราบท่านครั้งแรกปี57ตอนงานมีตติ้งวีไอภาคอีสานพอจบงานก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ จริงๆเคยไปตอนปี46แล้วแต่ไม่เจอท่าน หลังจากนั้นก็ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ แต่กับหลวงปู่ไม่กล้าไปเพราะได้ยินกิติศัพท์ท่านมานาน ตั้งแต่สมัยบวชตอนปี42 เพราะวัดที่บวชที่ราชบุรีพระไปอยู่กับหลวงปู่กันบ่อยๆแล้วจะพรรณาว่าหลวงปู่ดุชิบ ดุมากๆ ได้ฟังมา ผมเลยไม่กล้าไป กลัวจนขึ้นสมอง พอไปถึงตอนเช้า วันนั้นโชคดีที่ไม่ค่อยมีคนไป ผมกินข้าวเสร็จพอดีมองไปทางหลวงปู่หลวงปู่หันมาพอดีพร้อมกับกวักมือเรียก คลานเข้าไปกราบ ท่านถามซักไซ้ยิ่งกว่าสมัครงานอีก บ้านอยู่ไหน ทำอะไร กรีดยางได้วันละกี่แผ่น ได้เงินวันละเท่าไร เมื่อคืนนอนไหน แล้วจะไปไหนต่อ ไปถ้ำสหายหลวงปู่สอนอะไรบ้าง ฯลฯ ถามชนิดที่เรียกว่าไม่นึกว่าหลวงปู่จะสนใจเราขนาดนั้น หลักจากนั้นเดือนกค.57 ได้ไปอยู่วัดครั้งแรก วันนึงตอนทำวัตรเย็นผมนั่งสมาธิ ฟังเทศน์หลวงตาไปด้วย จิตมันรวมเข้าอัปณาสมาธิ แล้วก็ถอยเข้าออกๆ เวลาเจริญปัญญาจิตมันชอบรวมรวมแล้วก็ไปพักอยู่เฉยๆ พอหมดกำลังก็ออกมาจิตมันก็เจริญปัญญาอีกอัตโนมัติ แล้วก็ไปพัก ถอยเข้าถอยออกอัตโนมัติ ตั้งแต่เป็นมานับร้อยครั้งไม่เห็นได้อะไร ทำไมไม่เห็นได้อะไรซักที ก้มลงกราบหลวงตาและก็หลวงปู่ คิดในใจพรุ่งนี้เช้าหลวงปู่ช่วยสอนทีนะครับ ตอนเช้าหลวงปู่กวักมือเรียกไปสอน ท่านสอนจนเหนื่อย สอนทุกเรื่องเลย ตั้งแต่เรื่องการพูดจา การใช้เงิน ท่านถาม ท่านซัก เรื่องภาวนาท่านก็สอน อยู่ดีๆท่านก็บอกว่า "ไม่ต้องมารักเรา" ผมก็คิดในใจ อะไรของหลวงปู่วะ งง หลวงปู่มองหน้าแล้วยิ้มๆ แล้วก็พูดว่า "ไม่ต้องมาเกลียดเราเดี๋ยวไม่มีคนใส่บาตร" แล้วท่านก็ยิ้มๆ ผมก็งง คิดว่าอะไรของหลวงปู่วะ ก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากนั้นผมสังเกตุว่าผมคิดถึงหลวงปู่จริงๆ คิดถึงทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะทำอะไรคิดถึงตลอด ไปอยู่วัดเจอหลวงปู่ก็ยังคิดถึง แปลกมากๆ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์อื่นๆนานกว่านี้ ก็ไม่คิดถึงเท่าหลวงปู่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พูดถึงความดุท่านดุจริงๆ โดนดุประจำ เวลาท่านดุเราจะเเหยงๆ รอบที่แล้วโดนท่านดุซะลั่นเลย พออีกวันท่านก็ยิ้มเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น เหมือนลองใจ คือวันนั้นพระโทรมาใช้ให้เอาข้าวสาร20กระสอบขึ้นรถเอาไปโรงพยาบาล กำลังแบกข้าวสารหลวงปู่เดินมาเมื่อไรไม่รู้ ท่านถามจะเอาไปไหน ผมก็ตอบว่าเอาไปรพ. ท่านก็ตวาด รู้แล้ว! เอาไปไหน ผมก็อ้ำอึ้งๆเพราะไม่รู้ว่าเอาไปให้ใครที่รพ. ไม่ได้ถาม รถนี่ของใคร! ของผมครับ จอดแบบนี้ถ้าลมพัดประตูมาชนจะเป็นยังไง! แล้วท่านก็เดินไป ผมก็คิดในใจแบกข้าวสารจะเสร็จแล้วขี้เกียจขยับรถ ลมไม่มีคงไม่โดนประตูพัดใส่รถหรอก ก็แบกต่อจนใกล้เสร็จ ท่านก็เดินกลับมา แล้วก็ดุ ลั่นเลย อย่ามาอวดดีที่นี่ ไม่พอใจก็ไม่ต้องมาอยู่ ฯลฯ ผมนี่ใจแป้วเลย เราแบกข้าวสารคนเดียวนึกว่าท่านจะชม ที่ไหนกลับโดนดุ รุ่งเช้าอีกวันท่านก็ยิ้มเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ความรู้สึกว่าท่านเมตตาเรามาก ไปทำอะไรที่ไหน ถ้าไม่ดีไม่ถูกต้องท่านจะดุ เจอหน้าจะพูดลอยๆให้เราสะดุ้ง พูดเจ็บๆ บางทีเวลาพูดอะไรกับใครเหมือนท่านได้ยิน เหมือนมีหูทิพย์ แล้วท่านก็จะพูดให้เราเจ็บๆ ขนาดในฝันท่านยังมาดุเลย คือเราไปอยู่วัดพอครบเจ็ดวันอาการของผู้ชายมันกำเริบ คือกามมันเล่นงาน ตอนกลางคืนนอนหลับฝันว่าไปเจอผู้หญิงกำลังจะทำแล้ว(มีเซ็กส์)หลวงปู่มาตวาดในฝัน สดุ้งตื่นนีกในใจหลวงปู่มาช่วยไว้แท้ๆเลย ไม่งั้นคงชู้ดแล้ว (ภาษาพระ หมายถึงฝันเปียก ชู้ดคือฝันเปียกครับ) อีกไม่กี่วันอาการก็กำเริบอีกท่านก็มาเข้าฝันอีกเป็นถึงสองรอบ ท่านเมตตาจริงๆ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปอดอาหารบนเขาสองสามวันเพื่อดัดกาม เมื่อปี58พาแม่ไปเที่ยวเมืองจีน ไปเจอผู้หญิงคนนึงถูกใจมากรู้สึกชอบ แค่ชอบเฉยๆไม่ได้ทำไรเลย กลับมาเมืองไทยก็คิดถึง ตอนกลางคืนนอนหลับหลวงปู่มาเข้าฝัน ชี้หน้าด่าเราซะยับเลย ท่านด่าว่าไปหลงฮี๋หลงฮ่าเหวอะไร ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ทำไมไม่พิจารณา ไปหลงอยู่ได้! สะดุ้งตื่นเลยครับ เรื่องภาวนาก็เป็นคือเราพิจารณาผมขนเล็บฟันหนังโดยที่ทำเงียบๆไม่ได้บอกใคร ตอนเช้าท่านก็จะพูดลอยๆว่าให้พิจารณาผมขนเล็บฟันหนังแล้วยิ้มๆ ท่านเมตตาจริงๆ พูดถึงครูบาอาจารย์ถ้าเราไม่ไปหาไปให้ท่านอบรมเราก็คงเหมือนเดิม นิสัยเลวๆอย่างไรก็คงเป็นเเบบนั้น เมื่อก่อนก็กินเหล้า ไม่มีใครกินด้วยก็กินคนเดียว กินเช้ากินเย็น พอเมาแล้วขาดสติก็เข้าซ่อง ไปมีเรื่องชกต่อยกับเค้า อบายมุขทั้้งหวย สนุ๊ก ไพ่ ไฮโล ก็เล่น เงินหมดก็หาเงินเอาเปรียบเค้า สารพัดนิสัยแย่ๆ เรื่องใจร้อนนี่ไว้ใจผม แค่มองหน้าก็ชกแล้ว หมูหมาตีประจำ เรื่องโทสะนี่เเรงมากๆ* ผ่านไปไม่กี่ปีนิสัยเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน พอมองกลับไปคิดแล้วบุญหนักหนา ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์อบรมก็คงเลวเหมือนเดิมนิสัยแย่ๆยังไงก็คงเป็นแบบนั้น เรื่องการปฎิบัติภาวนาด้วยเหมือนกัน แรกๆไปวัดก็ไม่เข้าใจ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอน เหนื่อยแค่ไหนก็ยังเมตตาตอบให้ แรกๆไปเรียนไปถาม ถามแต่ละอย่างน่าเขกหัว ไม่น่าถามก็ถาม ท่านก็ไม่โกรธ คงเห็นเราเอาจริง ท่านเมตตาเปิดช่องให้ถาม เรื่องภาวนาถามได้ทุกเรื่อง เราผ่านมาทุกขั้นตอน ท่านว่า เดี๋ยวนี้ท่านให้กำลังใจ บางทีก็เล่าถึงภูมิธรรมชั้นนั้นขั้นนี้ให้ฟัง แต่ก็อะนะ เล่าไปก็ไม่เข้าใจหรอก เหมือนบอกว่าวัดพระเเก้วเป็บแบบนั้น สวยอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่เคยไปก็ได้แต่คิดเอา จินตนาการเอา ของจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้ พอได้ไปเองก็รู้เลยหายสงสัย ไม่ต้องไปเชื่อใครเพราะเห็นเองเเล้ว เรื่องกินเหล้านี่ ถ้ายังกินอยู่แม้แต่หยดเดียวไม่ต้องมาฝันถึงมรรคถึงผลนะครับ อย่าว่าแต่ผิดศีลข้อ1-4เลย กินเหล้าแค่หยดเดียว ซึ่งไม่น่าจะเป็นอะไรแท้ๆ แปลกจริงๆ *เรื่องโทสะ ผมนี่แย่มากๆเรื่องอารมณ์โกรธ นิดๆหน่อยๆไม่ได้เลยมันปรี้ด เคยชกต่อยกันประจำ บางทีก็เอามีดไล่ฟันเค้า ไม่กลัวใครเลย เวรแท้ๆ นิสัยนี้ผมไม่ชอบเลยครับ คงจะเป็นเพราะเกิดวันอาทิตย์ ตนุลัคน์(อังคาร) ไปอยู่เรือนอาทิตย์อีก ร้อนสามเด้ง เข้าโหราศาตร์นิดส์ อิอิ แต่สิ่งที่ตรงกันมากๆคือมีเกตุกุมลัคน์ ในเลข7ตัวก็มีเกตุกุมลัคน์เหมือนกัน ในลายมือก็มีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้อีก เเปลกดี
โดย
cobain_vi
อังคาร พ.ค. 02, 2017 10:21 pm
0
20
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
ช่วงนี้้กรีดยางเอง ไม่ได้จ้างใครเขา อยากลำบาก กลางคืนทำงาน กลางวันก็ใช้ชีวิตปกติ แค่นอนเร็วกว่าเดิม เงินที่ได้นิดเดียวแต่ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เรื่องเงินเรื่องรอง เรื่องหลักคือการเจริญสติ อยู่ไร่คนเดียวคิดจินตนาการว่าอยู่วัด กินข้าวมื้อเดียว กลางคืนตื่นนอนกรีดยางแทนการเดินจงกลม พอเหนื่อยก็พัก ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย เคยโดนหลวงปู่ว่า ไปเที่ยวทำไมให้เหนื่อย ดูรูปเอาก็เหมือนกันแหละ ฮา แหม หลวงปู่ครับ คิดเถียงในใจไม่กล้าเถียงจริงๆ ได้ชมวิว ทานอาหารพื้นเมือง มันฟินจะตาย ไม่ได้แค่ดูวิวนี่ครับ .... .... เอารูปเก่าที่ไปเที่ยวมาดู รูปนี้ถ่ายที่อิตาลี แต่เอ ตรงไหนวะ ลืมไปแล้ว จำได้บ้างไม่ได้บ้าง นี่แค่สิบปียังลืม ถ้านานกว่านี้คงจำอะไรไม่ได้เลย นึกถึงคำพูดหลวงปู่ขึ้นมาทันทีเลย
โดย
cobain_vi
อังคาร พ.ค. 02, 2017 8:49 pm
0
18
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ในพระสูตรไหนที่พระพุทธเจ้าสอนฆราวาสเรื่องกาม มีทั้งพระและโยมฟังพระพุทธเจ้าสอนเห็นโทษของกามเหมือนไฟ จะอยู่ในเตาหรือนอกเตามันก็เผาทั้งนั้น แต่มีฆราวาสฟังอยู่ด้วย ท่านจึงเห็นว่าถ้าสอนให้ฆราวาสเลิกบริโภคกามเค้าจะลำบากเพราะบางคนมีปัญญาไม่เท่ากัน ท่านจึงให้รักษาศีลห้า มีอะไรก็เฉพาะภรรยาตัวเอง อย่าไปเรี่ยราดข้างนอก เหมือนจุดไฟให้จุดไฟให้อยู่แต่ในเตาคือไหนๆต้องจุดเเล้วให้จุดเเต่ในเตา ยังพอควบคุมได้ ถ้าไปจุดข้างนอกเดี๋ยวจะเผาไปเรื่อยเกินควบคุม อีกพระสูตรนึงท่านสอนพระ พระในสมัยนั้นมีสองประเภทคือมาบวชเพราะต้องการหลุดพ้นเห็นภัยในสังสารวัฏรจริงๆ อีกพวกนึงต้องการลาภสักการะเพราะบวชเเล้วไม่ต้องทำงาน(เหมือนสมัยนี้เปี๊ยบเลย) ท่านก็สอนเรื่องศีล สมาธิปัญญา ส่วนฆราวาสยังต้องทำงานเลี้ยงชีพจะสอนให้ทำเหมือนพระก็จะยาก ท่านก็เลยสอนให้ทำทาน รักษาศีล แล้วก็ภาวนา(คือสมาธิ ปัญา)ข้อนี้รวมๆเผื่อไว้เพราะบางคนทำได้ ทานที่ท่านสอนไม่ได้เป็นเรื่องควักกระเป๋าตังค์อย่างเดียว เป็นเรื่องทานอื่นๆที่ไม่ใช้เงินด้วย อีกอย่างนึงท่านคงเห็นว่าการใช้ชีวิตฆราวาสมันต้องสะสมก็เลยให้สละออกบ้าง อย่าไปโลภเก็บไว้คนเดียว อย่าเห็นแก่ตัว เผื่อเเผ่ให้คนอื่นบ้างชีวิตก็จะมีความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับประมาณนี้ครับ ..... ครั้งนึงหลวงปู่ถามคนงานที่มาทำงานในวัดว่า พวกเจ้ารู้ไหม บุญที่เจ้าพูดถึง มันคืออะไร คนงานก็ตอบไม่ได้สักคน หลวงปู่จึงบอกว่าคำว่าบุญเนี่ยมันคือ "ปัญญา" ..... ครั้งนึงมีโยมมากราบหลวงปู่แล้วเอาเงินมาถวาย หลวงปู่ถามว่าเอามาให้เราทำไม โยมก็บอกว่าอยากได้บุญ หลวงปุ่จึงบอกว่าอยากได้บุญเหรอ โน่น ไม้กวาด แล้วก็ชี้ไปที่ไม้กวาด(ให้โยมไปกวาดใบไม้ ก็ได้บุญเหมือนกัน) .... ครั้งนึงมีคนเอาเงินมาถวายหลวงปู่ หลวงปู่ตวาด เอากลับไป เงินสกปรก! (ตอนหลังโยมคนนั้นมาสารภาพกับพระรูปอื่นว่า เงินที่เอาไปถวายหลวงปู่เป็นเงินที่ได้มาจากเล่นพนันบอล ไม่รู้ว่าหลวงปู่รู้ได้ยังไง) .... มีโยมคนนึงเอาเงินมาถวายหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่าเรายังไม่ได้ใช้ เอากลับไปก่อน จะใช้แล้วจะบอก ผมก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่บอกโยมคนนั้นว่าจะใช้เมื่อไร ... คนมีปัญญาก็ทำทาน คนมีศรัทธาก็ทำทาน คนโง่ก็ยังทำทาน คนมีปัญญารักษาศีล คนมีศรัทธารักษาศีล คนโง่ไม่รักษาศีล คนมีปัญญาฝึกสมาธิ คนมีศรัทธาก็ฝึกสมาธิ คนโง่ไม่ฝึกอะไร ปล่อยไปตามใจกิเลส ......
โดย
cobain_vi
อังคาร ก.พ. 28, 2017 10:39 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอตอบคุณ tumH นะครับ เรื่องทานจริงๆมันสำคัญนะครับ แต่ว่าทานบารมีนี่ทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว เพื่อสละออก ไม่ได้หวังอะไรเข้าตัว ที่สอนกันเดี๋ยวนี้มันสอนกันให้ทำเยอะๆจะได้สวรรค์ชั้นนั่นชั้นนี้ มันคนละอย่างคนละโยชน์กันเลย พอได้ยินอะไรมาแว่วๆก็ตื่นเต้นเตรียมควักตังค์กันอย่างเดียว ไม่พินิจพิจารณากันให้ดีเสียก่อน บางทีมันเกินความจำเป็น ลองไปดูบางวัดนะ กุฏินี่เพียบเลย เเต่ไม่มีพระอยู่ เอาไปสร้างรพ.ดีกว่าไหม แบบนี้เรียกว่าเมาบุญหรือป่าว? ลองพิจารณาดูนะครับ ยิ่งกับพระเนี่ยผมเห็นโยมประเคนกันเต็มที่เลย พอมีลาภสักการะมากพระก็เสีย เสียเพราะความบ้าบุญของโยมนี่แหละ พระนี่ก็แทนจะห้ามปรามกลับยิ่งชอบ เบียดเบียนโยมกันเพลิน บอกโยมก็ได้นะว่าเราไม่ต้องการ อย่าเอาอะไรมา มันเกินความจำเป็นนะ ไปช่วยที่เค้าขาดแคลนดีกว่า อะไรแบบนี้ ทำบุญทำทานกับใครมันก็ดีทั้งนั้นอย่าว่าแต่ทำกับคนเลย ทำกับหมูกับหมามันได้บุญหมดแหละครับ แต่ต้องพิจารณาให้ดี
โดย
cobain_vi
อาทิตย์ ก.พ. 26, 2017 10:08 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมสงสัยแค่อย่างเดียว การเริ่มสนใจธรรมะจากการทำทานมันไม่ถูกต้องเหรอครับ ผมเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นขั้นแรก เพราะเป็นการฝึกละทรัพย์ภายนอก เวลาสอนฆราวาส ผมก็เข้าใจว่า ทาน ศีล ภาวนา เป็นไปตามขั้นตอนเช่นนี้ จริงๆแล้วการเริ่มปฏิบัติธรรมแต่ละคนควรจะเริ่มจากอะไรก่อนผมก็ไม่รู้ครับ เพราะคนแต่ละคนหวังไม่เหมือนกัน บางคนก็หวังสวรรค์ก็ไปทำทานรักษาศีลทำสมาธิบ้าง ส่วนคนที่เห็นทุกข์เห็นภัยในสังสารวัฏร แบบนี้เป็นคนมีปัญญามาก เป็นปัญญาที่เห็นทุกข์ในวัฏฏะเหมือนพระพุทธเจ้าที่อยากออกบวชเพื่อความหลุดพ้น พออยากพ้นทุกข์ก็หาทางพ้นทุกข์ด้วยการตามรอยพระพุทธเจ้า คือมารักษาศีล ฝึกสมาธิ เจริญปัญญา พอมีปัญญาแก่กล้ามากขึ้นก็ละกิเลสได้เป็นลำดับๆ ไปส่วนทานถ้ามีโอกาสก็ทำ เมื่อมีปัญญาฉลาดแล้วก็รู้ว่าเมื่อไรจะให้ก็ให้ ควรให้แก่ผู้ใด ฯลฯ จะไม่หลงงมงายในทานที่หว่านลงไปอย่างขาดสติหน้ามืด ถ้ามีโอกาสแล้วไม่ทำเลยก็เสียโอกาสแต่ทำไปแล้วไม่ได้หวังสวรรค์หวังรวยในชาติหน้า แต่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ถึงพระนิพพาน พระพุทธเจ้าสอนวิธีไป ไปสวรรค์ท่านก็สอน ไปนิพพานท่านก็สอน ไปนรกท่านก็สอน แล้วแต่คนแหละครับ ว่าอยากไปไหน ตอบแบบนี้ไม่รู้ว่าตรงใจพี่ดำหรือป่าวนะครับ
โดย
cobain_vi
อาทิตย์ ก.พ. 26, 2017 9:26 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมนึกว่าคุณ tumH ไปอยู่วัดเสียอีก การปฏิบัติถ้าทำถูกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ แต่อยู่ที่วัดข้อดีคือไม่ค่อยมีคนรบกวน จะทำให้ภาวนาง่ายโดยเฉพาะการละกิเลสอย่างหยาบขึ้นไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียด เดี๋ยวนี้ผมเห็นคนเข้าใจผิดกันมากเรื่องทำทาน คือแทนที่จะถือศีล ทำสมาธิ แล้วเจริญปัญญาก่อน กลับทำทานก่อน เปรียบเหมือนแทนที่จะกินอาหารหลักก่อนดันไปกินอาหารเสริม บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ทาน ศีล5กลับละเลยไม่ใส่ใจ การปฏิบัติภาวนาที่แท้จริงนั้นต้องเริ่มจากศีล5เป็นพื้นแล้วค่อยฝึกสมาธิเจริญปัญญา ส่วนทานถ้ามีโอกาสเมื่อไรค่อยทำ มันไม่จำเป็นที่จะต้องรีบทำ (หมายถึงทานที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงิน) มันกลับหัวกลับหางไปหมด ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะพบว่าศีล5คือการละเว้นทำความเบียดเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ส่วนการงดเบียดเบียนตัวเองต้องรักษาศีล8 ส่วนการเบียดเบียนทางใจซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาต้องฝึกทำสมาธิ(เคยเห็นไหมครับ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็ปรุง เกี๋ยวก็ไปสร้างภพ) ถ้าอยากหลุดพ้นก็ต้องเจริญปัญญา การตั้งใจรักษาศีล5ท่านว่าจะทำให้เรากลับมาเป็นมนุษย์ข้อนี้มันก็จริงแต่ไม่ถูกเสียทั้งหมดถ้าเรารักษาศีล5มาตั้งแต่เกิดจนตายแบบนี้ได้แน่ แต่ความเป็นจริงเราไม่เคยรักษากันเลยพอใกล้ตายเพิ่งจะมาสนใจ ทำชั่วมาเป็นสิบๆปีมารักษาศีลกันปีสองปี แล้วบอกว่าเรารักษาศีล5คงไม่ตกนรกแล้วมั้ง จริงๆมันก็ดีแต่มันช้าไปหรือป่าว? เวลาตายบางทีเวทนาทางกายเกิดขึ้นมาแรงๆมันเอาไม่อยู่นะครับ ต้องฝึกสมาธิ ถ้าเจริญปัญญาด้วย อาจจะทำให้พ้นอบายได้ ต้องไปวัดกันเวลาใกล้ตายนั้นแหละ เคยสังเกตุเห็นหมาแมวจิ้งจกตุ้กแกหรือสัตว์อื่นๆไหมครับมันหลงสุดขีด หลงจนไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไร เรื่องการคุยกันเป็นเรื่องที่เดี๋ยวนี้ผมพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ค่อยอยากเล่าอะไรมาก เล่าไปมีแต่เสีย คนไม่รู้มาฟังมันก็ไม่รู้อยู่ดี บางทีก็เหมือนอวด ผมเคยโดนหลวงปู่ดุ (ไม่รู้ท่านรู้ได้อย่างไร หลวงปู่นี่สุดยอดจริงๆ ไว้หลวงปู่ไม่อยู่ผมจะมาเล่าให้ฟัง )เลยไม่ค่อยอยากเล่าเท่าไร ยิ่งเล่าในโซเชียลคนหมู่มากยิ่งอันตราย ถ้าอยากเล่าไว้ไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังดีกว่า ผมเคยเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงปู่ฟังยังโดนท่านดุเอาเลยท่านว่าตัวเราเองภาวนาเป็นอย่างไรไม่รู้เหรอ จะต้องไปเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง หลวงปู่ท่านดุจริงๆ เคยมีพระถามว่าระหว่างหลวงปู่JRกับหลวงปู่Bใครดุกว่ากัน ผมเคยไปอยู่มาทั้ง2ท่าน ตอนแบบไม่ลังเลเลยว่าหลวงปู่B(ที่อยู่สกลฯ)ดุกว่าเยอะ ขนาดลากลับบ้านยังโดนดุ ท่านว่ามาไม่ทันไรจะกลับอีกแล้ว(ผมอยู่ทีนึงเป็นเดือนยังโดนเลย) เวลาจะลาท่านกลับต้องรอให้คนเยอะๆเเล้วรีบเข้าไปลาท่าน ถ้าคนน้อยๆท่านจะซัก กลับไปทำอะไร ยังไง กลับไปสามวันก็พอแล้วฯลฯ คนที่เก่งจริงๆมักไม่ค่อยอวดครับคนที่ภาวนากระยองกะเเยง(อย่างผม)เนี่ยชอบอวดชอบคุย ตอนนี้ผมบอกแม่แล้วว่าจะบวชแม่ก็เห็นดีด้วยแกว่าจะไปบวชอยู่กับผมด้วย ผมเลยบอกให้แม่ขายบ้าน ขายที่ดินให้หมด แต่ตอนนี้ยังขายไม่ได้ไม่รู้เมื่อไรแล้วแต่เวรแต่กรรมแหละครับ ถ้าขายได้ก็จะไปทำบุญสร้างรพ.40% อีก60%ให้แม่เก็บไว้ทำบุญสร้างวัดสร้างกุฎิ เพราะอีกหน่อยจะมีพระมาอยู่กับผมเยอะ ตัวผมไม่ต้องการอะไร เพราะเคยบวชมาแล้ว อยู่ได้สบาย อาการปวดหลังก็ดีขึ้นมากๆ เป็นมาสิบปีแล้วปกติปวดตลอด24ชม.ยกเว้นตอนหลับ ตอนเป็นแรกๆบางทีก็เดินไม่ได้ ตั้งแต่อธิษฐานขอบวช อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยมีความหวังขึ้นมาว่าจะต้องได้บวชแน่ๆ ถ้ายังปวดอยู่แล้วไปบวชผมกลัวจะเป็นภาระให้พระท่านอื่น ผมทำตามนี้ครับ https://youtu.be/aUnLDZwidME ทำครั้งแรกก็ดีขึ้นเลย เมื่อก่อนเที่ยวไปรักษาทั่ว ไม่หายหมดเงินหมดทองกันไม่รู้เท่าไร พอเจอคลิปนี้ดีขึ้นมากๆเลย แล้วก็ไปปล่อยปลาปล่อยสัตว์ที่เค้าจะโดนฆ่าตามตลาด ปีนี้แค่สองเดือนผมช่วยสัตว์ไปหมื่นกว่าชีวิตแล้วครับ หลวงปู่ท่านทำบ่อยผมเลยทำตามท่าน ใครที่ปวดหลังหรือเป็นโรคอื่นลองทำตามผมดูนะครับ ทำให้อาการป่วยดีขึ้นจริงๆ อาการปวดหายไปเยอะเเล้ว เหลือเรื่องขายที่ขายบ้านนี่แหละ ถ้าหมดภาระเมื่อไรก็จะบวชเลย ใจผมมันไม่เอาเรื่องทางโลกแล้วครับ อยู่ๆไปอย่างนั้นไม่เห็นมีอะไร เมื่อก่อนลำบากมากเดี๋ยวนี้ผมสบายสุดแสนสบาย เงินทองมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ อยากไปไหนก็ได้ไปอยากกินอะไรก็ได้กินแรกๆก็เหมือนจะสุข เพราะไม่เคยมีแบบเค้า เดี๋ยวนี้เฉยๆไม่เห็นจะสุขตรงไหนเลย ใจมันนึกถึงแต่ตอนที่ลำบากเข็ดขยาดกับชีวิตที่ผ่านมา ไม่เอาอีกเเล้วครับลำบากเหลือเกิน ทำงานตั้งแต่เด็กๆ โดนเค้าใช้เพราะเป็นหลานผู้ชายคนโต ใครๆก็ใช้ ใช้กันทั้งบ้านลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายแม้แต่คนข้างบ้านก็ยังใช้ยังวานให้ทำโน่นทำนี่ จำได้ดีไม่เคยลืมเลย ตั้งแต่ประถม พออยู่ม1 เวลาจะกลับบ้านหลังเลิกเรียนก็ต้องปั่นจักรยานไปเอาอาหารกุ้ง(เมื่อก่อนที่บ้านเลี้ยงกุ้งก้ามกราม)ใส่ท้ายจักรยานไปด้วยหนัก50กก เราตัวจิ้ดเดียวปั่นกลับบ่อกุ้ง6กม ทางเมื่อก่อนก็ไม่ดีเป็นทางลูกรัง บางทีก็กระเด้งอาหารกุ้งหล่น เราก็ต้องยกขึ้นท้ายจักรยาน ยกเเทบไม่ไหว บางทีก็ล้มทุเรศทุรัง กว่าจะถึงบ่อ ถึงแล้วก็ต้องแบกใส่บ่ายกไปที่กระท่อมแล้วก็ช่วยแม่หว่านอาหารกุ้ง ทำแบบนี้ทุกวันสามปี พออยู่ม.ปลายย้ายไปอยู่ระยอง แม่ไปทำไร่มัน ไร่สับปะรด เมื่อก่อนไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเองก็ต้องจ้างเค้า บางทีเค้าก็ต้องทำของเค้าก่อน คนงานที่หาไว้เค้ารอไม่ไหวก็ไปทำที่ไร่คนอื่น พอรถยนต์ว่างคนงานก็ไม่อยู่แล้วก็ต้องทำกันสองคนแม่ลูก ตัดเองถอนเอง แบกเอง ทำสามสิบไร่แบกกันหลังแทบหัก บางทีทำไม่ทันสับปะรดก็เน่า เสียหายขาดทุนอีก จบม.ปลายเอ็นทรานส์ติดเเต่ไม่ได้เรียนก็ต้องทำงาน ทำทุกอย่างสารพัด ไปซื้อรถมือสองผ่อนเดือนละ6000กว่าบาท วิ่งกันล้อแทบหลุด เดี๋ยวเดือนๆ หาเงินผ่อนรถต่อ ไปหาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ออกจากระยองตีห้า วิ่งไปชุมพร แล้วตีรถไปกาญจนบุรีกว่าจะถึงบ้านสี่ห้าทุ่ม แทบทุกวันชีวิตอยู่แต่บนถนน พอเอนทรานส์ใหม่คราวนี้ได้เรียนเลยไปหาที่ขายของลองขายไปเรื่อยๆ เอาขนุนสัประรดไปขาย ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดรถไฟศิริราชก็เคยขายขายตรงท่ารถไฟตรงข้ามสถานีตำรวจ(เดี๋ยวนี้รื้อไปแล้ว) ยุงก็กัด นอนหน้ารถไม่ได้อาบน้ำทีนึงหลายวัน สุดท้ายไปได้ที่ขายของตรงตลาดบางชันมีนบุรี เช่าห้องพักแถวนั้นแหละเป็นตึกแถว ห้องแบบเล็กๆประมาณ3x4เมตรได้ นอนสองคนกับแม่ เเทบกระดิกขยับไปไหนไม่ได้เลยห้องมันเล็กมากๆ ห้องน้ำรวม (เค้าเอาไม้อัดมาซอยเป็นหลายๆห้องเช่าเดือนนึง400บาท) ขายจนเรียนจบ ก็ไม่ได้สบายกับเค้าเสาร์อาทิตย์ไม่มีเรียนก็ต้องขับรถไปหาซื้อขนุนตามไร่มาให้แม่แกะขาย ตัดเองปีนเองแบกเอง บางทีปีนขึ้นไปเจอมดแดงกัด ก็ต้องกระโดดลงมาดีที่ขาไม่หัก(ฮา บ่อยเลยครับมดแดงกัดเนี่ย) กว่าจะเรียนจบได้ จบแล้วระหว่ารองานก็ไปขายของตามตลาดนัดกับแม่ นัดเช้านัดบ่ายยกของขึ้นลง ลำบากจริงๆ กระดูกสันหลังเลยคด หมอนรองกระดูกไม่เหลือเเล้วครับ ชีวิตผมนี่มันทุกข์ทรหดจริงๆ ผ่านอะไรมาเยอะ เดี๋ยวนี้สบายก็จริงแต่มันไม่เคยลืมถึงความลำบากที่ผ่านมาเลย เล่าชีวิตมาซะยาว มาได้ไงก็ไม่รู้ คุยเรื่องธรรมะอยู่ดีๆ ฮา ผมนี่เวลาไปอยู่วัดแล้วไม่อยากกลับบ้าน แต่ยังมีภาระต้องมาดูสวนยาง แม่ก็เริ่มอายุมากเข้ารพกันแทบทุกเดือน เรื่องการภาวนาเนี่ยเวลาเจอสภาวะอะไรอย่าไปเชื่อมันนะครับ บางทีเป็นกิเลส เป็นอาการของสมาธิก็มี ต้องอาศัยครูบาอาจารย์คอยชี้เเนะ ถ้าห่างท่านก็ต้องคอยสังเกตุแยบคาย บางทีอะไรขึ้มาแว้บๆก็คิดว่าได้โสดาแล้วมั้ง บางทีอยู่วัดนานๆพิจารณาอสุภะกามหายไปเลยแล้วก็คิดว่าได้อนาคาก็มี ครูบาอาจารย์จะเป็นที่พึ่งให้เรา แต่ถ้าไม่แน่ใจในครูบาอาจารย์ก็ไปถามหลายๆที่ครับ ผมเห็นเยอะเลยพอสนใจเข้าวัดก็ไปมันวัดเดียวไม่เคยเปรียบเทียบ เค้ายัดเค้าสอนอะไรมาก็เชื่อหมด บางทีก็โดนหลอกให้ทำบุญควักกระเป๋าหมดเงินหมดทอง บุญจากทานก็ไม่ได้จริงเพราะไปทำกับพวกอลัชชี โดนหลอกให้ภาวนาผิดๆอีก ซวยจริงๆ น่าสงสารมาก จะเข้าวัดทั้งทีครูบาอาจารย์ดีๆเยอะแยะไม่ไป ดันไปหาพวกอลัชชี ปีที่แล้วเจอมากับตัว ไปอยู่กับหลวงพ่อท่านนึงกันดารมากไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี พักภาวนาอยู่หลายวัน วันนึงมีพวกปั่นจักรยานขับรถขึ้นมามาใส่บาตร พอได้เวลากินข้าวเราก็ชวนเค้าตามมารยาท ผมก็กินไปคนเดียวเงียบๆแกคงฟุ้งมากมาเทศน์ให้ผมฟังทั้งๆที่ผมกำลังกินข้าวพูดมันอยู่นั่นแหละไม่มีใครถามก็พูดคนเดียว เราก็ไม่กล้าขัดเค้าปล่อยให้แกเล่าไปฟังดูก็รู้ว่าเรียนมาจากไหน เพ่งอย่างเดียวอยากไปสวรรค์ก็เพ่ง อยากไปนิพพานก็เพ่งเอา แกบอกถ้าไปสวรรค์ก็ต้องทำทานเยอะๆเดี๋ยวหมดบุญมาจะได้เสวยบุญต่อ เป็นเศรษฐีเลย ผมฟังไปสงสารไป จะบอกจะสอนเค้าก็ไม่ใช่เรื่อง ก็ปล่อยไป ดูอาชีพการงานก็ดี มีจักรยานแพงๆขี่แต่ซวยสุดขีดไปเรียนกับพวกอลัชชีเข้า เวรจริงๆ มีหลายอย่างครับกิเลสมีหยาบมีละเอียด ไม่ติดตรงนี้ก็ไปติดตรงโน้น บางคนยังไม่ได้โสดาเลย อยากจะละกาม ละเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะมันคนละชั้นกัน ... มาคิดดูก็แปลก พระโสดาบันเห็นร่างกายไม่ใช่เรา จิตและเจตสิกก็ไม่ใช่เรา เห็นแค่นี้ กิเลสประเภทกามก็เห็นแล้วว่ามันมาแล้วก็ไปแต่ทำไมทำลายมันไม่ได้ทั้งๆที่ก็เห็นแล้วว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งไร้สาระ ลอยๆมาแล้วก็หายไป ทำไมเวลากามเกิดแล้วกลับต้องอยู่ในอำนาจมัน เวลากามเกิดนี่มันเป็นเรื่องของนามธรรมทั้งนั้นไม่ได้เกี่ยวกับกายตรงไหน ไม่ใช่ว่าต้องเห็นผู้หญิงสวยๆแล้วกามราคะถึงจะเกิด ไม่ต้องเห็นไม่ต้องได้ยิน อยู่คนเดียวแท้ๆเลยกามยังเกิดขึ้นได้(สังเกตุกันไหมครับ จิตมันถูกห่อหุ้มด้วยกาม มันมีกามผสมอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่รู้ เวลามีอะไรมากระตุ้นอายตนะทั้ง6 มันก็ปรุงกามทันทีเพราะมันเป็นของเก่า ทางเก่าๆที่เราคุ้นเคย)แถมก็เห็นแล้วว่าเดี๋ยวมันก็ดับไป แค่เห็นแค่นี้ก็น่าจะพอเข้าใจได้แล้วนี่ แต่ทำไมต้องกระวนกระวายหงุดหงิดเมื่อไม่ได้เสพย์ ไม่ได้สนองมัน ดูสาวๆสวยๆเผินๆแหมสวยจริง พอดูให้ละเอียดโอ้โห สกปรกจะตาย มองทะลุหนังลงไปเห็นแต่เนื้อ เลือดไหลเวียนอยู่ข้างใน ตับไตใส้พุง ลำไส้เป็นขดๆ มีขี้เต็มเลย ลึกลงไปก็เห็นแต่กระดูก ไม่เห็นสวยตรงไหน เป็นโครงกระดูกกันทั้งนั้น เอาโครงกระดูกมาเรียงกันไม่เห็นมีใครสวยเลยเสมอกันหมดไม่เห็นให้ค่าความสวยเลย ปากก็เหม็น เนื้อตัวลองไม่ได้อาบน้ำสัก10ชม.แค่นี้แหละไม่ต้องหลายวันหรอก เหม็นจะตาย ตดมาทีนึงก็เหม็น ลองเข้าไปดูในส้วมสิ ขี้ก็เหม็น ร่างกายเก็บของเน่าเหม็นไว้เต็มเลย ภายใต้หนังบางๆนี่มีแต่ของเน่าเหม็น กินอะไรเข้าปากมองเผินๆก็ว่าหอมว่าอร่อย มันเปลี่ยนสภาพปกปิดสภาวะที่แท้จริง อาหารอะไรที่ว่าอร่อยลองเคี้ยวสักทีนึงแล้วคายให้เมียรักเรากินต่อซิ เค้าว่าอร่อยไหม หรือทิ้งไว้สัก10ชม เราไปกินสิกินลงไหม แป้บเดียวก็บูดเน่าแล้ว แล้วเรากลืนลงไปอยู่ในท้องหลายวันมันจะไม่เน่าเหม็นหรือ อวัยะเพศหญิงชาย แหมเวลาเราเห็นนี่กามทำงานเด้งดึ๋งทันทีทั้งๆที่มีแต่ของสกปรกไหลออกมาทั้งนั้น ของเน่าออกมาขนาดนั้นทำไมเรายังเห็นว่าสวย ก่อนเสพย์กามกระวนกระวายจะเป็นจะตายเหม็นแค่ไหนก็หอมก็ดม พอเสร็จกามกิจแล้ว สบ๊ายสบาย เดี๋ยวก็ต้องเสพย์อีก เสพมาเป็นสิบๆปีแล้วไม่เห็นมันได้อะไรเลย ได้อะไรขึ้นมา เสพย์กันมานับภพชาติไม่ถ้วน เวียนตายเวียนเกิดก็เพราะมัน กามนี่เป็นของลึกลับมาก(ผมจำคำพูดของหลวงตามหาบัวมานะครับ) เค้าบอกว่าพระอนาคามีวางกายได้ กายนี่มันหยาบกว่าจิตนี่ วางกับเห็นนี่มันคนละเรื่องเลย เค้าใช้คำถูกแล้วครับ มันเป็นกิเลสคนละชั้นกัน ทำไมเราต้องพิจารณา กรรมฐาน5 อาการ32 ฯลฯ ทำไมเราไม่พิจารณากามลงไปเลย ไปอ้อมทำไม พิจารณาตรงๆไปมันทำได้แต่ยากครับ เค้าเลยต้องทำอ้อมๆ ไล่ตีวงเข้ามาๆ ตล่อมเข้ามาจนวางกายได้ เมื่อวางกายได้กามซึ่งเป็นผลจากกายมันก็ขาดไปเอง .... เรื่องสมาธิกับฌาณนี่ก็อีกเรื่องครับ สงสัยกันจังบางคนก็ท่องนะฌาณ1เป็นอย่างนี้ ฌาณ2 3 4 เป็นอย่างนี้ เวลาทำได้จะรู้เลยว่าแต่ละขั้นๆ 1 ไป2 2ไป3 4 เเต่ละขั้นมันไวมาก บางทีได้3แล้วลงมา1ใหม่ แล้วไล่ไป4 อย่างรวดเร็ว มันไวมากๆครับ ถอยเข้าถอยออก ... ความสบายเป็นข้าศึกต่อการปฏิบัติภาวนานะครับ ตอนนี้หลายๆคนมีเงินเยอะ ชีวิตสะดวกสบาย แต่สังเกตุไหมว่าการภาวนาของเราทำไมมันไม่ก้าวหน้า บางทีก็ถอยหลัง บางคนถอยหลังสุดๆจนต้องตกนรกแน่ๆ เรื่องจนรวยไม่ได้สำคัญ ต่อการปฏิบัติภาวนาเลย ความรวยมองเผินๆนึกว่าดีถ้าเราทำตัวเหลวไหลยิ่งภาวนาถอยหลังนะครับ ความจนถ้าจนมากๆก็ไม่ดีภาวนาไม่ได้อีกมัวเเต่เครียดเรื่องปากท้อง นานๆมาทียาวหน่อยนะครับ ^_^ ขาดตกบกพร่องอะไรก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ
โดย
cobain_vi
อาทิตย์ ก.พ. 26, 2017 7:35 pm
0
8
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
วันนี้ผมครบ 1 เดือนที่ลาออกจากงานมาพอดีเลยครับ ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ หลังจากลาออกจากงานตอนนี้ปฏิบัติธรรมที่บ้านหรือที่วัดครับ เป็นอย่างไรบ้าง นานๆก็เข้ามาเล่าให้เพื่อนๆในห้องนี้ฟังบ้างสิครับ (ไม่ต้องเล่าบ่อยก็ได้ ^_^) ผมเคยทำงานบริษัทอยู่แค่3ปี ตอนนั้นยังภาวนาไม่เป็นเท่าไร ทำแต่สมาธิอย่างเดียว พอมาทำงานก็เครียดไม่ค่อยได้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันเท่าไร พอว่างถึงจะได้ไปอยู่วัดไปอยู่วัดแล้วก็ยังภาวนา(เจริญปัญญา)ไม่เป็น แต่พอเราภาวนาไปเรื่อยๆพอเข้าใจแล้วทีนี้ง่ายครับ จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญๆที่เราจะเข้มงวดต่อตัวเองหรือป่าวเท่านั้น อยู่วัดกับครูบาอาจารย์ก็ดีตรงที่ไม่กล้าขี้เกียจ พอกลับมาบ้านก็ขี้เกียจเหมือนเดิม ฮา ปีที่เเล้วตั้งใจจะไปอยู่วัดให้ได้10เดือน เวลาทำจริงได้แค่4เดือน ปีนี้เลยไม่กล้าตั้งเป้า (แต่ว่าตั้งแต่ต้นปีปีนี้ไปอยู่วัดมาแล้ว1เดือน น่าจะได้เยอะกว่าปีที่แล้ว)
โดย
cobain_vi
เสาร์ ก.พ. 25, 2017 4:00 pm
0
4
Re: ขอเชิญร่วมทำบุญบริจาคสร้างหนังสือ "กายคตาสติ"
จริงๆผมตั้งใจพิมพ์หนังสืออีกสองเล่ม 1 วิสุทธิ7 (ของอ.แนบ) เป็นแนวอภิธรรม ต้นฉบับที่ผมมีเก่ามาก พิมพ์ข่วงปี 07 ให้เพื่อนไปจัดเล่มใหม่หลายปีแล้ว แกหายไปพร้อมกับหนังสือผม ฮา เห็นยุ่งๆอยู่กับร้านเสื้อผ้า 2 ทางแห่งมรรคผล หลวงปู่แบน ธนากโร เล่มนี้แจกเฉพาะลูกศิษย์ เป็นหนังสือที่สุดยอดเล่มนึง ที่ได้อ่านมาในรอบหลายๆปี สำนวนหลวงปู่เฉียบขาด เด็ดขาดตามสไตล์หลวงปู่ แต่ปัญหาคือ ผมไม่กล้าขออนุญาติหลวงปู่เพราะปกติหลวงปู่ท่านจะไม่ชอบให้ทำหนังสือ ตัวท่านเองก็เป็นคนเก็บตัว อยู่เงียบๆ ว่าจะไปขออนุญาติหลายครั้งแล้วแต่พอนึกถึงตอนที่โดนหลวงปู่จัดหนักก็ยังไม่ค่อยกล้า ขนาดรอบที่แล้วขออนุญาติกลับบ้านยังโดนท่านดุเอา ท่านไม่อยากให้กลับ ผมก็ใช้ไหวพริบอ้างโน่นอ้างนี่ จริงๆก็ไม่อยากเถียงเพราะรู้ว่าท่านเมตตาผม กำลังนึกข้ออ้างอะไรดีหนอที่จะขออนุญาติหลวงปู่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ได้ นึกไม่ออก
โดย
cobain_vi
จันทร์ ก.ย. 19, 2016 10:18 am
0
3
Re: vi เคยดูหมอดูแม่นๆกันบ้างไหมครับ
ผมเป็นคนที่สนใจโหราศาสตร์มาตั้งแต่เด็กตั้งแต่8-10ขวบก็อ่านหนังสือโหราศาสตร์และก็ท่องจำแล้ว นอกจากสนใจโหราศาสตร์แล้วยังสนใจคาถาต่างๆ ตอนเด็กๆเวลาว่างๆมักจะเอาหนังสือสวดมนต์มาท่องไม่รู้ว่าทำไมแต่มีความสุขและในใจลึกๆคิดว่าเราจะเป็นอมตะเพราะคาถาที่เราท่อง ฮา เวลามีใครบอกว่าหมอดูคนนั้นคนนี้แม่นก็มักจะไปทดสอบ มีอยู่ครั้งนึงตอนผมบวชเมื่อปี42ตอนจะสึกจากพระ ไปหาพระท่านนึงซื่งอยู่ที่วัดไม่ไกลจากบ้านเท่าไร มีคนบอกว่าหลวงตาองค์นี้ดูลายมือแม่น จะไปหาฤกษ์สึก พอไปถึงท่านก็ดูลายมือแล้วบอกว่า โอ้โห ไม่อยากให้สึกเลย ดวงแบบนี้เป็นพระแหละดี ปลุกเสกอะไรก็ศักดิ์สิทธ์ ขลัง ตัวเราเองก็เป็นคนศักดิ์สิทธฺ์ ใครที่คิดร้ายจะฉิบหายไปเอง ผมก็บอกว่าไม่สึกไม่ได้หรอก ต้องทำงานใช้หนี้ พอสึกมาพอมีเวลาจะไปหาท่านตลอด ไปเรียนลายมือกับท่าน เอามือเราเองเป็นครู เส้นตรงนี้คืออะไร จะถามท่านแล้วจำๆไว้ เช่น เส้นนี้จะได้ไปเมืองนอก ไปจนเบื่อ ท่านว่างั้น ตอนนั้นก็นึกขำ แค่ไปเที่ยวใกล้ๆยังไปไม่ได้เลยต้องทำงาน ตอนนี้ได้ไปเที่ยวจนเบื่อจริงๆ เส้นนี้ให้ระวังเป็นโรคหัวใจ เส้นนี้อย่าถือปืนนะเดี๋ยวยิงคนตายห่าหมด ฮา ท่านว่าเป็นคนยิงปืนแม่นฯลฯ ตอนนี้ท่านเสียไปหลายปีแล้ว นอกจากดูลายมือแล้ว โหราศาสตร์ก็สนใจ ใครว่าแม่นก็ไปเรียนไปถามไปขอความรู้จากเค้า ซื้อหนังสือมาอ่าน เรียนการผูกดวงวางลัคนา วิชาเลข7ตัว ก็พบว่าเป็นวิชาที่แม่นจนน่าอัศจรรย์ (ขึ้นกับพรสวรรค์และประสบการณ์) หนังสือโหราศาสตร์ผมมีเยอะมาก สะสมไว้เต็มเลย บางเล่มก็หายากมาก ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเอามาผูกดวง ดูดวงให้เค้าหมด(ฝึกวิชา ฮา) แต่หลังจากไปปฏิบัติธรรมจนถึงระดับนึงก็เลิก เลิกอย่างเด็ดขาด เลิกสนใจไปเลยครับ เสียเวลา ไม่รู้จะดูไปทำไม ทำดีเดี๋ยวมันก็ดีเอง ไม่ว่าเราจะเคยทำดีหรือชั่วมาแค่ไหนมันก็หนีไม่พ้นกรรมไปได้ ไปดูถ้าเค้าบอกว่าดีหรือร้ายใจเราเสียปล่าวๆ มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เค้าทายก็ได้ เสียเงินเสียทอง เสียเวลา เอาเวลาไปทำอะไรที่มีประโยชน์ดีกว่า ถ้าทำอะไรมีสติ ระมัดระวังตัว อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ก็จะรอดพ้นความยุ่งยาก ความกังวลได้ระดับนึงทีเดียว
โดย
cobain_vi
พฤหัสฯ. ก.ค. 14, 2016 12:13 pm
0
22
Re: Tesla อาจพลิกโฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์(2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเช
ตอนนี้เห็นมีการพัฒนาเเบตเตอรี่ให้จุไฟได้มากขึ้นและขนาดลดลง อยากทราบว่ามีการพัฒนาโซลาร์เซลลแสงอาทิตย์ให้มีขนาดบางและเบาและจ่ายกระเเสไฟฟ้าได้มากขึ้นไหมครับ
โดย
cobain_vi
ศุกร์ มิ.ย. 17, 2016 1:31 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
อย่างที่ทราบตอนนี้หลวงพ่อปราโมทย์ท่านเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ทำให้ต้องพักรักษาตัวไม่มีกำหนดท่านต้องงดการเเสดงธรรมออกไป หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องห่วงหลวงพ่อให้รีบภาวนาเพราะชีวิตนี้ไม่แน่นอน ช่วงนี้เป็นช่วงเร่งความเพียรของผมเลย ครูบาอาจารย์เริ่มเหลือน้อยลงทุกที ถ้าไม่ภาวนาตอนนี้ตอนที่มีครูบาอาจารย์อยู่อีกหน่อยท่านไม่อยู่แล้วจะทำให้เราภาวนายากขึ้นเพราะบางทีถ้าเราไม่ถาม เราก็อาจจะหาทางออกไม่ได้ เพราะบางอย่างมันเกินภูมิปัญญาของเรา แต่บางทีเราก็ถามมากไปบางเรื่องไม่ควรถามก็เอามาถาม บางเรื่องท่านเคยตอบไว้แล้วก็ไม่หาฟังกัน ถามมากก็ทำให้หลวงพ่อ เหนื่อยมาก คนที่ถามบางคำถามบางทีผมฟังแล้วก็เหนื่อยแทนหลวงพ่อ ฮา ถามแบบมักง่ายก็มี คำถามแบบนี้บางทีไปถามครูบาอาจารย์อื่นท่านอาจจะไม่ตอบเผลออาจจะโดนดุ แต่หลวงพ่อท่านก็ตอบเพราะท่านเมตตา มาก -ปัญญาที่แท้จริง มันจะเฉียบขาด รวดเร็ว รุนแรง ไม่ช้า พริบตาเดียว (บางสำนวนใช้คำว่าชั่วขณะจิตเดียว) สมาธิที่เกิดร่วมกับปัญญาก็เป็นสมาธิที่ลึกมากระดับอัปณาสมาธิ ตอนที่เข้าใจอย่างถ่องแท้นี่ ก็จะมาทำลายที่จิต มาทำงานกันที่จิต(บางสำนวนเค้าบอกว่าจิตจะทวนเข้าหาจิต) ไม่ได้ไปทำลายที่อื่น(ถ้าทำที่อื่นก็ไม่ใช่) ตอนสำคัญๆจะเป็นอย่างนี้นะครับ เคยได้ยินบางคนเล่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นอาการของสมาธิทั้งนั้น(สมาธิจะเกิดนาน ปัญญาจะพริบตาเดียว) บางคนบอกว่าติดสมาธิกว่าจะรู้ตัวแทบตายตอนนี้ไม่ติดเเล้ว พอเล่ามาก็เป็นอาการของสมาธิอีกอย่างนึง คือละ อย่างนึงได้แต่ก็ไปติดอีกอย่าง (ผมว่ามันน่ากลัวจริงๆนะครับ ติดสมาธิเนี่ย) แต่ถ้ารู้เมื่อไรก็ไม่ติดเเล้ว ส่วนใหญ่ที่ติดก็เพราะว่าไม่รู้ หลงคิดว่าที่เราทำอยู่คือวิปัสสนา (สมถะเกิดเมื่อหมดความคิด วิปัสนาเกิดเมื่อหมดความตั้งใจ) -เมื่อสัก7ปีก่อนเคยไปถามครูบาอาจารย์ท่านนึง ถามว่า (เล่าอาการให้ท่านฟังเรื่องจิต)จิตมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นบางทีเห็นจิต(วิญญาณ)ทำงานตอนที่ตากระทบรูป จิตก็รวมเข้าอัปณาสมาธิ บางทีก็อุปจาร บางทีก็ขณิกะสมาธิ จิตก็จ่ออยู่ที่จิตเฉยๆ ไม่เกิดอะไรขึ้นได้แค่นั้นแล้วก็ถอยพักออกมา บางที่จิตเข้าไปพักในสมาธิกายหายไปเหลือแต่จิตดวงเดียว (จริงๆเล่าให้ท่านฟังหลายเรื่อง) เล่าให้ท่านฟังแล้วก็ภูมิใจท่านต้องชมเราแน่ๆที่ไหนได้ ท่านบอกว่าจิตต่างหากที่ไปเห็น ของที่ถูกเห็นไม่ใช่จิตแท้ ผมแทบหงายหลังเลยครับ ฮา นี่เป็นการแสดงว่าถ้าเราภาวนาโดยไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะมันยากมากๆนะครับ ถ้าไปได้ด้วยตัวเองก็คงเป็นปัญญาระดับพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกฯแล้วละครับ ที่เล่ามานี้อยากจะบอกว่า นามธรรมทั้งหลายเช่น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ(ตัวนี้ใกล้เคียงจิตที่สุด) จริงๆก็เป็นจิตนี่แหละ แต่ส่วนใหญ่เป็นเจตสิก ขนาดปัญญายังเป็นเจตสิก *จำง่ายๆนามธรรมทุกตัวนอกเหนือจากจิตเป็นเจตสิก "จิตผู้รู้ก็เป็นอีกตัว เหมือนกระจกที่คอยส่องจิต” อยากให้ทุกท่านที่สนใจ การภาวนาได้จำไว้ เพราะส่วนใหญ่จะไม่รู้กันว่าของทุกอย่างที่เราเห็นจะเห็นได้เพราะมีจิตผู้รู้ แม้แต่ขณะที่เราเข้าอัปณาสมธิก็ตามจิตที่รู้(ที่เค้าเรียกว่า ผู้รู้)ก็ยังมีจิตอีกตัวที่คอยเป็นกระจกส่อง(คนส่วนใหญ่จะไม่รู้กันนะครับ) แต่ขั้นแรกๆต้องใช้จิตผู้รู้ไปก่อน ไว้จะขึ้นขั้นสุดท้ายค่อยมาทำลายมันทีหลัง ผมไม่อยากให้อ่านหนังสือหรือฟังธรรมะกันมากๆนะครับ ฟังมากอ่านมากสัญญายิ่งเยอะ วิตกวิจารณ์ก็เยอะ รู้มากๆเผินๆเหมือนจะดีแต่มันจะทำให้เราเสียเวลา(เสียเวลาอ่าน แล้วก็มาเสียเวลาวิตกวิจารณ์) ผมก็เคยเป็นอ่านมาเยอะเหมือนกัน ทำให้รู้ว่าเสียเวลามาก ธรรมะของจริงไม่ได้เกิดจากการอ่าน แต่เกิดจากการภาวนา ความรู้ที่เกิดจากการอ่านหรือการฟังเป็นความรู้ของคนอื่นเราแค่อ่านมาฟังมาได้แค่ความจำ แต่ความรู้ที่เกิดจากการภาวนา(ภาวนามัยปัญญา)เป็นความรู้ที่เกิดจากเราเอง เป็นความรู้แท้
โดย
cobain_vi
อาทิตย์ มิ.ย. 12, 2016 7:11 am
0
8
Re: VI หาดใหญ่
ขอคุยเรื่องหุ้นสุริยะจักรวาลด้วยคนครับ ตัวนี้ผมขายหมูไปแถวๆ10บาท ขายเสร็จมันก็วิ่งจู้ดๆไปไกลเลย ตอนที่ซื้อบังเอิญได้ไปคลุกคลีกับแผงตามวัดป่าเห็นว่าติดตั้งง่าย ไม่ต้องมีความรู้อะไรมาก ราคาแผงก็ถูกลงมากๆ(อันนี้เป็นจุดตายอย่างนึง) ประกอบกับรู้จักน้องคนนึงเค้าพูดเรื่องแผงพลังงาน ทำนองว่าเห็นแถวคลองถม ขายดีมาก ก็เลยตัดสินใจซื้อแถวๆ8บาท ซื้อสักพักผมได้มีโอกาสไปเดินแถวคลองถม มันขายดีจริง แต่เป็นของจีน(อ้นนี้เป็นจุดที่ตายจริงๆ) ตอนนั้นเลยคิดว่าของไทยเราตายแน่ๆถ้าไม่มีรัฐบาลช่วย กลับมาก็ขาย(แถวๆ10บาท) ปรากฏว่าขายหมูครับ ตอนนั้นยังคิดว่าสงสัยเราประเมินผิด ก็ไม่ได้ตามจนราคามันลงมาแถวๆ8บาทอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ซื้อแล้วครับ โชคดีที่เข้ามาอ่านห้องร้อยคน ก็รอดตัวไป ไม่ได้ซื้ออีก(โชคดีมากเพราะทีแรกตั้งใจว่าถ้ามันลงมาจะซื้อที่6บาท) ผมขายหมูประจำเลยไม่รู้เป็นไร วาสนาคงได้แค่นี้มั้ง เพื่อนผมมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซื้อตามๆคนอื่น ก็รวยเอาๆ (เค้าคงทำบุญมาดี) เพื่อนผมอีกคนเคยมาขอหุ้น(ไม่ได้เก่งนะครับ คือเค้าไม่รู้จะเอาเงินไป ทำอะไรเลยมาขอ ) ผมให้ซื้อ brrที่7บาท mcs 5บาท สุดท้ายวาสนาเค้าคงไม่มีมั้ง เลยไม่ได้ซื้อ (เคยถามว่าทำไมไม่ซื้อ เค้าบอกว่าพอดีมีเรื่องต้องใช้เงินด่วน ) ไม่งั้นก็สบายไปแล้ว กลับมาดูตัวเองผมนี่ขายหมูประจำเลยโดยเฉพาะ gl ขาย9บาท ptg ขาย5 บ อุตสาห์ถือมานาน ตัวอื่นๆอีกหลายตัวเลยที่เป็นอย่างนี้ คนเราแข่งอะไรพอแข่งได้ แต่แข่งวาสนานี่อย่าไปแข่งกับใครเลย ^_^
โดย
cobain_vi
เสาร์ พ.ค. 28, 2016 7:54 am
0
7
Re: ขอเชิญร่วมทำบุญบริจาคสร้างหนังสือ "กายคตาสติ"
ท่านใดขอหนังสือไว้ ผมเก็บมาจะครบ2ปีแล้ว ช่วยมาเอาหน่อย ถ้าหลังเดือนมิย.นี้ไม่มาเอาผมขออนุญาติเอาไปถวายพระนะครับ (มีอยู่60-70เล่มได้มั้ง)
โดย
cobain_vi
ศุกร์ พ.ค. 27, 2016 12:36 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ีอีกคำถามครับ สภาวะธรรมตอนเจอผู้รู้นี่ ยังไม่ใช่โลกุตตระ รึป่าวครับ ยังต้องทำต่อรึป่าวครับ ผมเสียดายที่ไม่เคยได้ถามครูบาอาจารย์ ขอคุณ cobain vi ชี้แนะด้วย การแยกผู้รู้นี่เป็นปัญญาเบี้องต้นครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโลกุตระเลย แยกได้แล้วก็ถือว่าใช้ได้แต่ต้องเดินทางอีกไกลครับ ภาวนากันอีกเยอะ ผมขอตอบเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ ถ้าถามแล้วให้ผมตอบไปเรื่อยๆ เดี๋ยวคุณก็ถามไปเรื่อยๆ ผมไม่ค่อยมีเวลาเข้ามา ขอให้ตั้งใจสู้นะครับ มันไม่ได้กันง่ายๆหรอก ไม่เหมือนลงทุนฟลุ๊คๆ5เด้ง สักสองครั้งก็สบายแล้ว แต่การภาวนาไม่มีคำว่าฟลุ๊คครับ สู้กันเจียนตาย สู้กันสุดชีวิต ทำกันหลายๆปี บางคนทำทั้งชีวิตยังไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเคยภาวนามาชาติก่อนๆ(หมายถึงต้องทำถูกด้วยนะ)ชาตินี้มันง่ายเองแหละ อีกอย่างอย่าไปถามมาก การถามมากๆมันฟุ้งซ่าน บางทีเอาไปถามครูบาอาจารย์ท่านอาจจะไม่ตอบ(อย่าคิดว่าท่านจะตอบทุกครั้งนะครับ ผมเคยเห็นหลายครั้งหลายครูบาอาจารย์เลย ถามกันไม่เป็นเรื่อง บางเรื่องไม่ทันไรก็เอาไปถาม ดีไม่ดีโดนดุเอา บางครั้งท่านก็ลุกหนีไปเฉยๆเลยก็มี) คุยธรรมะมากๆก็ไม่ดี มันฟุ้งซ่าน (ลองสังเกตุดูครับ) ขนาดเอาไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟังยังฟุ้งเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำไป อยู่เงี่ยบๆ สันโดษ ถ้าเราภาวนาดีๆแล้วติดขัดจริงๆท่านจะเมตตาตอบให้เอง อาจจะสงสัยว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร คำถามแต่ละคำถามที่เราถามมันบ่งบอกอยู่แล้วว่าเราภาวนาจริงๆจังๆแค่ไหน หรือว่าอ่านมา ฟังคนอื่นๆมา หรือว่าคิดเอา
โดย
cobain_vi
พุธ พ.ค. 18, 2016 9:45 pm
0
3
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ดีใจที่ยังมีห้องนี้อยู่ ไม่รู้จะหาที่สนทนาธรรมที่ไหน ผมห่างจากบอร์ดนี้ไม่ค่อยได้เล่น คราวก่อนมาร่ำลาเพื่อนๆพี่ๆในห้องนั่งเล่น แต่ก็ยังไม่ได้ไปบวชเสียที เห็นที่พี่picatosอนุโมทนาไว้ก็ละอายใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็เชื่อว่าถึงวันนี้จะยังทำสัจจะที่ว่าไว้ให้เป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ แต่ตั้งใจจะทำเหตุให้ดีที่สุด เพื่อผลที่ตามมา จะได้ทำให้เป็นจริงได้ในภายหลัง ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสได้มานั่งคุยธรรมะที่นี่ ผมไล่ตามอ่าน2-3หน้าสุดท้าย น่าสนใจมากๆครับ เลยอยากจะแชร์สิ่งที่พบเจอในการปฏิบัติรวมถึงอยากถามคำถามบางอย่างกับพี่ pekko และพี่ cobain vi นะครับ ....ผมได้พบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างมากเมื่อต้นปี ผลคือ หลังจากนั้น ผมปฏิบัติภาวนาอย่างหนัก เนื่องจากมีความอยากหลุดพ้นเป็นแรงผลักดันอย่างยิ่งยวด มีช่วงหนึ่งที่ทำตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอน โดยไม่ออกไปไหนเลยนอกจากกินข้าว นับเฉพาะช่วงที่หนักที่สุดนี้กินเวลาประมาณ10วันครับ - ผมทำอานาปานสติ อย่างเดียวรวดเลยครับ คือไม่ได้มีปริยัติในหัวเลย ดูลมแบบอุกฤษณ์อย่างเดียว จิตเกิดวิปัสสนาเองโดยไม่ต้องเอาความคิดมาปรุงแต่ง เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านว่านั่นเป็นวิปัสสนาแท้ อาจจะเป็นไปได้ว่ามีแรงผลักดันที่เป็นในส่วนของปัญญา คือความเห็นแต่ทุกข์ อยากหลุดพ้นอยู่แล้วในตัว พอเติมสมาธิมากๆเข้าไป จึงเห็นผลในที่สุด - สภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น จิตเกิดความเบื่อหน่ายอย่างหนัก เบื่อแบบเหมือนจะตาย แล้วจิตจะเกิดวิปัสสนาเอง เราจะรู้ได้เองเช่น จิตจับที่ร่างกาย มีครั้งนึงอยู่ๆไปจับที่แข้งรู้สึกถึงกระดูกข้างใน มีหลายครั้งสำหรับตัวผมที่ได้กลิ่นจากในตัว เหม็นอย่างมาก ยิ่งกว่าส้วมแตก หรือบางครั้งก็รู้สึกว่ากายหายไปเลยชั่วแวบหนึ่ง เป็นต้น - ถึงจุดหนึ่งจะเจอผู้รู้ ธาตุรู้ หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นเหมือนเป็นอิสระจากขันธ์ 5 หลังจากนั้นกิเลสไม่ขึ้นเท่าเดิมอีกเลย ถึงแม้ว่าสมาธิจะเสื่อมเพราะเริ่มคลายการปฏิบัติ แต่ก็ยังมีกิเลสอยู่ เยอะด้วย - ฌาณก็กดกิเลสได้ ถ้าอยากรู้ว่า ที่กิเลสลดๆไปนี่ เป็นโลกุตตระหรือแค่ฌาณกด ก็ต้องลองคลายสมาธิหรือหาเรื่องกระตุ้นกิเลสดู ผมใช้วิธีนี้สำรวจเหมือนกันตอนแรกๆที่ตกใจ แปลกใจจากผลการปฏิบัติ - พลังสมาธิเหลือเชื่อมาก ช่วงที่มีสมาธิดีๆนี่ เกิดสิ่งที่เอาไปเล่าคนอื่นคงหาว่าบ้า เรื่องอิทธิฤทธิ์หรือญาณต่างๆของพระอรหันต์เลยเป็นเรื่องปกติไปเฉยซะงั้น ไม่แปลกเลย ขนาดสมาธิระดับขี้กากก็ยังทำอะไรแปลกๆเล็กๆน้อยๆได้ อยากถามพี่ pekko และพี่ cobain vi ต่อนะครับ รวมถึงพี่ๆท่านอื่นๆด้วยหากปฏิบัติถึงแล้ว อ่านเจอตรงที่ว่าแบกผู้รู้อยู่ อย่างนี้ก็หมดกามราคะ กับโทสะ แล้ว ใช่มั้ยครับ ปฏิบัตินานมั้ยครับกว่าจะถึงตรงนั้น ที่คุณเล่ามาไม่มีตรงไหนที่เป็นวิปัสสนาแท้เลยครับ มีแต่อาการของสมถะ (ได้ยินแล้วก็อย่าท้อนะครับให้สู้ต่อไป อย่าล้มเลิก ) ความเพียรที่เล่ามาใช้ได้ครับ ขอให้อดทนทำไปเรื่อย ส่วนเรื่องที่ถามมาตอนท้ายขออนุญาติไม่ตอบนะครับ
โดย
cobain_vi
พุธ พ.ค. 18, 2016 1:44 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ควรพิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้ได้ทุกๆวัน ไม่สำคัญที่จะต้องทำสมาธิให้ได้ขั้นนั้นขั้นนี้ก่อน (ตามตำราถ้าจะทำให้ได้อย่างเพอร์เฟค ต้องทำฌาณให้ถึงอัปปณาสมาธิ จากนั้นถอยออกมาพิจารณาในอุปจารสมาธิ) ความจริงเราไม่ต้องทำตามตำราก็ได้ เพราะถ้าเราทำอัปปณาสมาธิไม่ได้แล้วจะทำให้เราล้มเลิกท้อแท้ไปเสียก่อน ผมทำอัปปณาสมาธิได้ แต่ไม่เคยทำสมาธิก่อนแล้วพิจารณาในสมาธิเพราะว่ามันไม่ทันใจ เราพิจารณาไปเลยดีกว่า เดี๋ยวจิตมันเข้าไปพักในสมาธิเอง ถ้าจะทำสมาธิก่อนบางทีก็ทำไม่ได้ คือมันไม่ชำนาญเหมือนเมื่อก่อน (เมื่อก่อนตอนบวชชำนาญมาก เพราะทำสมาธิทุกวันเสียดายที่ไม่มีครูบาอาจารย์คอยสอน เลยได้แค่สมถะคือพุทโธๆลูกเดียว บางทีแค่ท่องพุทโธ 4 5ครั้ง จิตก็เข้าไปพักในอัปปณาสมาธิเเล้ว ชำนาญขนาดนั้นเลย อันนี้ไม่ได้อวดนะครับ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ท่านว่าตอนว่างๆตอนไหนก็ได้ ให้พิจารณาไม่ใช่แค่เกสา -ตโจเท่านั้น พิจารณาอาการ32 หรือพิจารณาอะไรก็ได้ในร่างกายเรา อย่าให้เกินกายออกไป การพิจารณาเค้าพิจารณากันอย่างนี้คือ(เผื่อคนที่ไม่ทราบนะครับ) -เกสา พิจารณาผมของเรา(ตอนแรกก็จะต้องคิดก่อน)ดูสิว่า เรากินอาหารไปแล้วมันเอาไปเลี้ยงผม เราจะเอาไปเลี้ยงอย่างอื่นที่ไม่ใช่ผมก็ไม่ได้ มันขึ้นของมันเอง เราจะให้มันยาวเร็วๆก็ไม่ได้ จะให้ยาวช้าๆก็ไม่ได้ มันยาวมันเอง มันร่วงของมันเอง เราจะบังคับไม่ให้มันร่วงก็ไม่ได้ จะบังคับไม่ให้มันหงอกก็ไม่ได้ ฯลฯ จี้(หมายถึงคิดตรงไปที่ผมของเรา)อยู่ที่ผมนั่นแหละ ค้นคิดพิจารณาอาการให้อยู่ในไตรลักษณ์(บังคับมันก่อน ตอนนี้ยังไม่ใช่วิปัสสนานะครับ เวลามันขึ้นวิปัสสนา เราจะไม่ได้คิดแล้ว แต่จิตจะเข้าไปเห็นเอง พ้นการจงใจ ถ้ายังจงใจ หรือคิดยังไม่ใช่วิปัสสนานะครับ) -โลมา ขน เราจะบังคับให้ขึ้นเฉพาะที่ก็ไม่ได้ จะให้ไม่หยิกก็ไม่ได้ จะบังคับไม่ให้มันร่วงก็ไม่ได้ มันขึ้นมันเอง มันร่วงมันเอง ร่วงแล้วนานๆไปมันก็กลายเป็นธาตุดิน (บางทีพิจารณาถึงตรงนี้ อาจจะได้ของดีเลยก็ได้) แต่ถ้าไม่พอก็พิจารณาอีก -นขา เล็บ มันมาจากไหน อยู่ๆก็โผล่มาจากนิ้ว มีลักษณะแข็งๆ รูปร่างไม่เห็นสวยงาม แต่พอทาเล็บแล้วทำไมถึงดูสวย เวลาเล็บฉีกเราก็เจ็บเป็นแผล เจ็บปวด แสดงว่ามันไม่ใช่ของดีนี่ -ทันตา ฟัน บางทีสีก็ขาว บางทีสีก็เหลือง ถ้าไม่แปรงฟันทำความสะอาด โห เหม็นจะตาย แข็งๆมันคือกระดูกที่มาโผล่ในปากเรานี่ เค้าว่าแข็งที่สุดแล้วมันทนจริงๆไหม ไม่เห็นทน ก็เห็นผุได้ เดี๋ยวก็ปวดฟัน ปวดทีนึงทรมานจะตาย -ตโจ หนัง เป็นเเผ่นๆขึ้นปกคลุมร่างกายเรา เดี๋ยวมันก็ลอก เวลาลอกดูเหมือนตัวประหลาด ถ้าไม่มีมันก็ดูไม่สวยงาม บางคนก็ผิวขาว บางคนก็ผิวดำ ตอนพิจารณาพิจารณาอย่างเดียว อย่างใดอย่างนึงก็ได้ หรือจะไล่ดูเกสาก่อน แล้วไปโลมา นขาไปเรื่อยๆวนไปมา หรือจะไปพิจารณา เลือด น้ำปัสสวะ ตับไตใส้กระเพาะ อุจจาระ ก็ได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้น ท่านว่าทำบ่อยๆให้คลายยึดถือ พิจารณาบ่อยๆเดี๋ยวจิตมันตัดสินความรู้เอง ไม่ต้องรีบ ทำให้ได้ทุกวัน ไม่เกินปัญญาของเรา มันทนปัญญาเราไปไม่ได้ ขอให้อดทนพากเพียร ทำทุกวัน วันละหลายๆครั้งยิ่งดี อันนี้คือการพิจารณากายนะครับ ส่วนการดูจิตก็ทำเหมือนเดิมนี่แหละ ผมก็เริ่ม่จากการดูจิต หลวงพ่อครูบาอาจารย์บางท่านพิจารณากายแต่สุดท้ายก็มาทำงานกันที่จิต เมื่อถึงตอนสำคัญๆสมาธิจะเข้าลึกมาก ที่เข้าสมาธิมันก็จะทำมันเองอัตโนมัติพ้นการจงใจ เพราะธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น ถ้าจิตไม่เข้าสมาธิจะไม่มีทางที่จะเกิดปัญญาได้ ถ้าเป็นปัญญาก็เป็นปัญญาที่ไม่เพียงพอ เป็นปัญญาอ่อนๆไม่สามารถขุดรากถอนโคนกิเลสได้ การพิจารณาท่านบอกว่าทำเหมือนเดิมทุกขั้นๆ โสดา สกิทา อนาคา ก็ทำแบบนี้แหละ แต่ความรู้ความเข้าใจมันจะไม่เหมือนเดิม มันจะละเอียดขึ้นๆจนหลุดพ้นไปเอง เหมือนตัดไม้ ก็ฟันไปเรื่อยๆ ฟันทะลุเปลือกไปเราก็รู้ว่าฟันถึงเปลือกแล้ว ฟันไปอีกฟันไปร้อยครั้งพันครั้ง ฟันไปเรื่อยๆพอถึงกะพี้เราก็รู้ว่ามันถึงกะพี้แล้ว ก็ฟันๆไปอีกจนถึงเนื้อไม้เราก็รู้ว่าตอนนี้เราตัดถึงเนิ้อไม้แล้ว ฟันไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม้ซุงนั้นก็ขาด เราก็รู้ว่าไม้นั้นขาดแล้ว กิเลสก็เหมือนกันเราก็ซักฟอกไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ต้นไม้นี้ใหญ่ฟันตั้งนานเปลื่อกยังไม่ขาดพอขาดแล้ว เค้าก็เรียกว่าโสดา พอถึงกระพี้ก็เรียกว่าอย่างนี้ๆ (อันนี้อุปมานะครับ) พอถึงขั้นนึงก็รู้แล้วว่าเราฟันมาถึงตรงไหน เหมือนเดืนทาง เราจะไปที่นึงวัดระยะทางได้สี่กิโล เราก็เดินไปเรื่อยๆ สองก้าว สามก้าว ใกล้เข้ามาๆ พอถึงกิโลแรกเราก็รู้แล้วว่าถึงกิโลเมตรแรก ไม่ใช่เดินก้าวเดียวได้1กิโลเลย เดิน10ก้าว ได้สิบกิโล มันไม่ใช่อย่างนั้น พอถึงกิโลเมตรแรกมันจะมีเครื่องหมายบอก คืออริยมรรค มีการตัดสิน ไม่ใช่ทึกทักเอาเอง พอผ่านกิโลเมตรแรกแล้วเราก็เดินต่อ ไอ้อาการเดินนี่แหละที่เราต้องทำทุกวัน เหมือนการภาวนาก็ต้องทำทุกวัน ทำเหมือนกันทุกวัน พอจะถึงที่หมายเค้าจะมีอาการบอกเอง รู้ได้เอง ไม่ได้ทึกทักเอง เดินมาร้อยก้าวแล้วน่าจะถึงกิโลเมตรแรกแล้วมั้ง มันจะไม่คิดอย่างนั้น มันต้องมีการบอกที่เค้าเรียกว่าอริยมรรค (ผมอธิบายแบบนี้ไม่รู้ว่าจะเข้าใจกันหรือป่าวนะครับ) บางคนเดืนไม่กี่ก้าว แป็บเดียวก็ถึงกิโลเมตรแรกแล้ว บางคนเดินมาเป็นสิบปี ยี่สิบปี บางคนก็ไม่ยอมเดิน บางคนเดินออกนอกเส้นทางก็มี อันนี้ก็แล้วแต่วาสนาแหละครับ เมื่อเราเข้าใจแล้ว มันก็เข้าใจถ่องแท้ จะไปบอกคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะคำพูดมันไม่ละเอียดพอที่จะเอามาอธิบายได้เลย เคยเอาไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง บอกท่านว่าโห อัศจรรย์แท้ ท่านบอกว่าเป็นของเฉพาะตัว เอาไปเล่าให้คนอื่นฟังก็ไม่ได้ ไม่รู้จะเล่าอย่างไร พูดเสร็จท่านก็หัวเราะ ผมก็หัวเราะตาม ท่านบอกว่ามันยังมีอัศจรรย์กว่านี้อีก ภาวนาไปเถิด มันไม่หายไปไหนกรอก มันติดตัวข้ามภพชาติ ไม่เหมือนเงินทองหรือเมียบางทียังไม่ทันตายมันก็พลัดพรากจากเราเเล้ว(ฮา) ส่วนของเล่น บางคนก็มีแถมมาด้วย ผมเองก็ได้ของแถม รู้ว่าต้องทำอย่างไร เคยทำได้ แต่ความชำนาญยังไม่ชำนาญ เคยไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกให้ทำให้ได้บ่อยๆให้ชำนาญ ผมว่ามันยากนะ ยากมากๆ แต่ก็ยังง่ายกว่าตอนเกิดปัญญา ตอนไม่มีศาสนาพุทธ พวกฤษีเค้าก็ทำกันได้ ไม่ได้วิเศษอะไร เป็นของธรรมดา โพสอันนี้แล้วคงไม่ค่อยได้เข้ามาคุยด้วยแล้วครับ คงอีกนาน ไม่รู้จะคุยอะไร เรื่องพวกนี้หาอ่านได้ในหนังสือครูบาอาจารย์อยู่แล้ว ผมแค่จำๆมาอีกที พิมพ์ทีนึงเหนื่อยมาก ต้องมานั่งตรวจทาน บางทีคิดๆไว้พอจะพิมพ์มันก็หายไปแล้ว คนที่เขียนหนังสือได้นี่เก่งจริงๆเลย ขอให้ทุกๆท่านแคล้วคลาดปลอดภัย รักษาเนื่อรักษาตัว ภาวนาอย่าท้อถอย ขอให้สู้สุดตัว ทำให้เต็มกำลัง ทาน ศีล ภาวนา(สมาธิและปัญญา) เกิดมาครั้งเดียวไม่รู้อนาคต(ชาติต่อๆไป)จะได้เจอศาสนาที่เป็นสัมมาทิฐิแบบนี้อีกหรือปล่าว ถึงตอนนั้นถ้าไม่เจอค่อยหาเงินกัน เป็นเศรษฐีกันให้สมใจ แต่ตอนนี้ชาตินี้เจอของดีแล้วรีบภาวนากันนะครับ ถ้าไม่รีบไขว่คว้่าก็เรียกว่าประมาทที่สุด (หลวงปู่ท่านให้กำลังใจเก่งมาก ยามที่ท้อถอย โดนกิเลสต่อยจนเข้ามุม ท่านบอกว่า เกิดมาทั้งที อะไรที่เป็นสิ่งที่ดีๆรีบทำกัน ทำให้เต็มที่ทำให้สุดกำลังไปเลย ผมได้ฟังแค่นี้ คำพูดแค่นี้ แหม มันเหมือนติดเทอร์โบ ง่วงๆนี่หายเลย ดีดผึง เหมือนจะเหาะ ) ผมเขียนอาจจะเข้าใจยากนิดต้องขอโทษด้วยเพราะใช้มือถือพิมพ์ครับ
โดย
cobain_vi
ศุกร์ พ.ค. 06, 2016 11:11 pm
0
14
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
คนที่รักการปฏิบัติมักจะไม่ค่อยสนใจอะไรนอกๆ ส่วนใหญ่จะคิดเสมอว่าทำอย่างไรจะย่นภพย่นชาติหรือทำให้ถึงที่สุดก่อนที่ความตายจะมาถึง วันๆก็ไม่ค่อยสนใจงานภายนอกสนใจแต่งานภายในนั่นคือการภาวนาอย่างเดียว จริงๆแล้วความรวยความจนไม่ได้เกี่ยวกับงานภาวนาเลยแม้แต่น้อยถ้าเรารู้หลักและมีความเพียรมากพอ แท้จริงแล้วความรวยนี่แหละเป็นตัวทำให้เราประมาทล่าช้าหลงโลกเสียด้วยซ้ำ อาจจะดีในด้านการใช้ชีวิตอยู่กับโลกๆให้สะดวกสะบายผมไม่ได้หมายความว่ารวยไม่ดีนะครับ ถ้ามีโอกาศที่จะรวยก็รวยไปไม่เป็นปัญหาอะไรแต่ส่วนใหญ่จะรวยกันเพลินแล้วก็พอใจติดใจจนไม่สนใจจะภาวนากัน. ในชีวิตผมไม่ค่อยได้เห็นคนที่รวยๆแล้วภาวนาดีๆเก่งๆแทบจะไม่เห็นเลยส่วนใหญ่คนที่ภาวนาดีๆมักจะเป็นคนที่เกิดในชนชั้นกลางที่เคยเจอบางคนก็เป็นคนธรรมดามนุษย์เงินเดือน บางคนก็บ้านจนๆ หน้าตาก็พื้นๆไม่ได้สวยหล่ออะไร แต่พอเล่าเรื่องการปฏิบัติแล้วก็รู้สึกทึ่งไม่น่าเชื่อเลย พอมาพิจารณาแล้วน่าจะเป็นเพราะว่ามันคงทุกข์มากทุกข์จนหนีไปไหนไม่ได้จนต้องหันมาสู้ด้วยการภาวนา ส่วนคนที่รวยมักมีเรื่องฟุ้งซ่านทำโน่นทำนี่ (ร้อนหน่อยก็เปิดแอร์ )ก็มีเงินอยู่แล้วนี่จะคิดอะไรทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น บางทีดีชั่วไม่รู้แหละขอให้ได้สนองกิเลสก็ทำหมด บางทีก็มีเมียน้อยบางทีก็กินไวน์ขวดละหลายๆหมื่น ฯลฯ ศีลสมาธิปัญญามันจำเป็นต้องเพิ่งพาเงินตรงไหน (ใครที่ไม่ได้ร่ำรวยไม่ต้องเสียใจนะครับ การภาวนาไม่ได้ใช้เงินเลยแม้แต่นิดเดียว) ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินหรือฐานะอะไรเลยแม้แต่น้อย เป็นของภายในทั้งสิ้น เคยอ่านตามเวปเพจบางเวปเค้าบอกว่ารีบๆเก็บเงินอย่าเพิ่งไปใช้เอามาลงทุน5ปีได้เท่านี้อีกสิบปีเงินเพิ่มเป็นเท่านี้อายุเท่านี้มีอิสระภาพทางการเงินฯลฯผมคิดไม่เหมือนเค้า(ผมเชื่อว่าคงมีหลายๆคนก็คิดไม่เหมือนกัน) สำหรับผมไม่ได้สนใจว่าจะมีเงินเท่านั้นเท่านี้มีอิสระภาพทางการเงินเมื่อไร คิดว่า"ถ้าจำเป็นเมื่อไรก็ใช้" อะไรที่เกินความจำเป็นก็ไม่ใช้ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะประสบผลสำเร็จจริงๆตามแผน(บุญทำกรรมแต่ง ถ้าทำบุญมาดีพยายามนิดๆหน่อยก็รวยไม่รู้เรื่องแล้ว ถ้าทำมาไม่ดีเหนื่อยแทบตายก็มีแต่เรื่องมารผจญเสียเงินเสียทอง ลำบากแทบตายกว่าจะหามาได้แต่ละบาท) รู้ได้อย่างไรว่าเราจะไม่ตายก่อน(ไม่กี่เดือนมานี้มีน้องวีไอคนนึงเสียไป อีกไม่กี่เดือนเดี๋ยวจะมีคนดังหายไปจากโลกนี้อีก) ชีวิตนี้มีค่าไม่ได้อยู่ที่เงิน เกิดมาทั้งทีต้องฝึกนิสัยดีๆ(ขยันประหยัดรักการอ่านฯลฯ) ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง(ศีล) ฝึกสมาธิ ฝึกความเห็นถูก(ทิฐิ) ถ้าเรามีอิสระภาพทางการเงินแล้วเราจะทำอะไรเราจะทำได้อย่างที่เคยตั้งเป้าไว้จริงๆเหรอ ใจคนเรามันเปลี่ยนได้ตอนยังไม่มีก็คิดอีกอย่าง ตอนมีก็คิดอีกอย่าง ไม่มีอะไรปลิ้นปล้อนหลวงลวงเท่ากิเลสในใจเราเลยแม้แต่นิดเดียว เอาที่ผ่านมาของผม ตอนอยู่บ้านก็คิดว่าเดี๋ยวไปวัดจะภาวนาให้เต็มที่เลยจะนอนวันละน้อยๆนั่งสมาธิต้องโต้รุ่งกินน้อยๆ เราจะเร่งความเพียรให้เต็มที่เลยพอไปอยู่วัดแค่ไม่กี่วันงานนี้ยังไม่ได้ทำเดี๋ยวกลับบ้านก่อนเริ่มปวดหลังต้องไปหาหมอ ภาวนาอยู่บ้านก็ได้ นี่แค่ไม่กี่วันความคิดก็เปลี่ยนแล้วครับ อะไรจะมาร้ายกลับกลอกเท่ากิเลสไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เผลอเเว้บเดียวอายุเท่าไรกันแล้ว วันๆก็ทำเรื่องซ้ำๆโดนกิเลสหลอกให้ทำโน่นทำนี่(ผมด้วย)ไปวันๆ ปีก่อนก่อนก็เหมือนแบบนี้อีกสิบปีก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไร ชีวิตไม่เห็นมีอะไรที่เป็นสาระแก่นสารเลย บอกว่ามีเท่านั้นมีเงินเท่านี้ตอนนั้นตอนนี้จะภาวนาลองแอบๆดูสิว่าจริงหรือป่าวกี่ปีแล้วที่ยังไม่ได้เริ่ม กี่ปีแล้วที่เหลาะแหละ แก่ไปทุกปีๆไม่เห็นได้อะไรที่เป็นสาระแก่นสารเลยแม้แต่น้อย -ภาวนามาถึงจุดนึงจะมีผู้รู้แยกออกตลอดเวลา รูปธรรมนามธรรมออกอยู่ห่างๆเหมือนมีอีกคนเป็นผู้รู้ผู้มองผู้เห็นแทบจะตลอดเวลา กิเลสก็ส่วนกิเลสเห็นมันทำงานตลอดแต่ปัญญาไม่แก่กล้าพอที่จะทำลายมัน มันจะทำให้เราเผลอออกนอก มันจะคอยสั่งเราให้เราคิดตลอด มันจะเสียดแทงให้เรารำคาญใจ มันจะทำให้เราทุกข์ ทำให้เราฟุ้งซ่าน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมบ้าง
โดย
cobain_vi
พฤหัสฯ. พ.ค. 05, 2016 2:28 am
0
10
Re: แชร์ความรู้งานสังสรรค์ ThaiVI2559_19Mar2016
ขอบคุณพี่บิ้กมากนะครับ จดซะเยอะเชียวคงจะเหนื่อยแน่ๆแบบนี้ออกทริปเดินป่าสักทริปดีไหมครับ :B
โดย
cobain_vi
เสาร์ มี.ค. 19, 2016 10:15 pm
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
คุณtumH เล่ามา ดูๆไปก็คล้ายๆชีวิตผม(คือยังไม่มีอิสรภาพทางการเงิน ^^')แต่ใจรัก ไม่สนใจเรื่องเงินเท่าไร มีเท่าไรเอาไปทำบุญหมด เหลือไว้ใช้นิดหน่อย เมื่อก่อนเอาไปเที่ยว หลังๆมานี้ไม่ค่อยได้เที่ยวเเล้ว มันเบื่อมั้งครับ ไปแล้วก็งั้นๆ กลับมาไม่นานเดี๋ยวก็ลืม ปีนี้ผมอายุ40แล้ว (ใกล้เข้าโลงไปทุกที) ถ้าเรามัวเพลิดเพลินมันก็เสียเวลาเปล่าๆ หมดวันๆไม่เห็นได้อะไร ทำซ้ำๆ เพลินแต่ของซ้ำๆ เมื่อวานก็เหมือนวันนี้ อีกสิบก็ไม่คงต่างจากเดิม สุขสบายอยู่ไม่กี่ปีอย่างมากก็80ปี ดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าเทียบเวลาในสังสารวัฏแล้วมันจิ้ดเดียว ปีนี้และปีต่อๆตั้งใจว่าจะใช้เวลาในการปฏิบัติมากกว่าเดิม อยากทดสอบดูว่าร่างกายเราจะไหวเหมือนตอนหนุ่มๆไหม ปีนี้ตั้งใจว่าจะไปอยู่วัดให้ได้8เดือน (ไม่รู้จะมีอุปสรรคอะไรไหม) เดือนที่แล้วไปอยู่กับหลวงปู่ก็มีอาการปวดหลัง ทรมานมากๆ อุปสรรคในการปฏิบัติจริงๆ ตอนปวดมันทรมานมากเดินแทบไม่ไหว จะให้พระนวดให้ก็ไม่ใช่ที่ ฮา ถ้าหายปวดหลังเมื่อไรก็จะบวชทันที (อีกเรื่องก็คือ จะขายที่ดิน และทรัพย์สินทั้งหมดแต่ตอนนี้ยังขายไม่ได้ ^^' ติดอยู่แค่สองเรื่อง) ถ้ายังมีอาการปวดหลังเวลาบวชจะไปหาหมอมันลำบากไม่เหมือนฆราวาส เวลาพระท่านอื่นทำงานกันเรามานอนปวด มันเกรงใจคนอื่นเขา บางคนไม่รู้ก็จะว่าเราขี้เกียจ อู้งานฯลฯ ส่วนเรื่องทรัพย์สิน ผมมีแค่แม่คนเดียว ถ้าทิ้งไว้จะกลายเป็นภาระให้แม่ อยากให้แม่ไปอยู่วัดปฏิบัติด้วยกัน ไม่อยากให้มากังวล คุณ tumHไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเดียวกับผมเลย ไม่รู้ว่าเคยเจอผ่านๆตามาบ้างหรือป่าว ถ้าเจอก็มาทักทักทายได้นะครับ ตอนนี้ผมอยู่ไร่ ทำงานในไร่ อาทิตย์หน้าจะกลับไปอยู่กับหลวงปู่ที่สกลนครแล้ว จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าจะไปอยู่กับหลวงปู่หรอกครับ แต่หลวงปู่ท่านพูดให้เราคิด (ขอเล่า) ปีที่แล้ว ไปกราบท่านแล้วเลยไปอยู่กับหลวงพ่อที่อุดรเพราะที่วัดหลวงปู่คนเยอะ ผมไม่ค่อยชอบ ที่พักก็ไม่ค่อยเป็นส่วนตัว ผมชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไปอยู่สักพักก็กลับ ตอนกลับก็แวะกราบหลวงปู่ ท่านก็ถามว่าไปอยู่ที่โน่นหลายวัน มาอยู่นี่แค่คืนเดียวน่าจะอยู่สักสองวันน๊า ผมตอบว่าที่นี่คนเยอะผมไม่ค่อยชอบครับ ตอบเสร็จไม่รู้คิดอย่างไงดันไปถามเรื่องการปฏิบัติ ผมถามว่าหลวงปู่ครับ มีอยู่ครั้งนึงผมได้พิจารณาความตายแว๊บเดียวจิตพลิกเข้าไปเห็นทั่งทั้งสามโลกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟราบไปหมด มาดูที่ตัวเราก็เป็นดินน้ำลมไฟราบเสมอกัน ราบไปหมด แต่จิตเหลืออยู่ ไปพิจารณาที่จิตว่าจิตเกิดมาได้อย่างไร อะไรทำให้เกิด มันหมุนอยู่ที่จิต ไม่ทันรู้ก็ถอยออกมาก่อน(หมายถึงตอนเกิดสภาวะนั้น มันเกิดในฌาณ) ..... พอถอยออกจากฌาณ จะกลับเข้าไปพิจารณาต่อก็ไม่ได้เเล้ว เพราะถ้าพิจารณาเองมันจะเป็นสังขารการปรุงแต่ง ไม่ได้เกิดจากจิตเข้าไปเห็นจริงๆ *การเดินปัญญาแท้ๆที่เรียกว่าวิปัสนานั้นจะพ้นจากการจงใจ เป็นการเห็นอัตโนมัติ เเละเกิดในฌาณนะครับ หลวงปู่มองผมสักพักแล้วพูดเสียงดังลั่นศาลาเลยว่า ไปอยู่วัดโน้นทำไมไม่ไปถามครูบาอาจารย์ที่โน่นล่ะ มาถามเราทำไม ผมตอบแบบไม่ทันคิด(พลาด)ว่า หลวงพ่อwไม่สบายครับ หลวงปู่สวนกลับมาว่า "อ้อ หลวงน้านี่สบายดี(ท่านชี้มาที่ต้วท่าน)" ผมสะอึกเลยครับ ไม่คิดว่าจะเจอเเบนี้ รีบตอบกลับไปว่า ผมไม่กล้าถามหลวงปู่ จะถามๆแต่ก็ไม่กล้าครับ ตอบเเบบจริงๆ เพราะผมไม่กล้าถามหลวงปู่จริงๆ จะถามตั้งนานแล้วไม่กล้า ฮา หลังจากนั้นหลวงปู่ก็จัดหนัก ท่านเทศน์ลั่นศาลาเลย เทศน์ทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องจิต เทศน์นานจนหลวงปู่หอบ ผมคิดในใจว่ากูไม่น่าถามเลย หลวงปู่เหนื่อยขนาดนี้ คราวก่อนท่านก็เทศน์จัดหนักแต่ไม่เหนื่อยเท่านี้ หลวงปู่ท่านเมตตามากๆ ท่านจะไม่ตอบก็ได้ เห็นประโยชน์เลยยอมเหนื่อยเพื่อเรา บุญของผมจริงๆ ท่านพูดเสร็จก็ดุผมว่า ไปวัดโน้นวัดนี้ ถามหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้ถ้าองค์นี้ว่ายังงี้ องค์โน้นว่าอย่างโน้นแล้วเราจะเชื่อใคร เราภาวนาเป็นอย่างไรไม่รู้ตัวเองเลยเหรอ? ท่านพูดบอกอีกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้อีกมันไม่ได้เรื่องจะได้ก็ไม่ได้(ท่านพูดจริงจังมาก หมายถึงจะได้ธรรมะก็ไม่ได้เพราะความเหลวไหลแบบนี้) พูดเสร็จก็ยิ้ม (เมื่อกี้หลวงปู่เพิ่งดุผมไปหยกๆ ) ตั้งแต่ท่านพูดคราวนั้นผมเลยไม่กล้าไปอยู่วัดอื่น ไม่รู้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราไปถามครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ คำถามนี้ผมก็เคยไปถามครูบาอาจารย์ท่านอื่นเหมือนกัน แต่ละท่านก็ตอบไม่เหมือนกันจริงๆ ผมเล่ามากเกินไปแล้วครับ ขอพอแค่นี้ดีกว่า พิมพ์นานๆเหนื่อยมาก เล่าไปก็ไม่รู้ว่าคนอ่านจะเข้าใจหรือป่าว
โดย
cobain_vi
เสาร์ มี.ค. 19, 2016 2:17 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขออนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยนะครับ ได้อ่านแล้วทำให้ผมเกิดกำลังใจในการเจริญสติมาก การได้เจอได้คุยกับผู้ที่สนใจปฏิบัติภาวนาบ่อยๆช่วยให้เราขยัน เจริญขึ้น (ถ้าเจอ ได้คุยกับพวกที่เหลวไหลบ่อยๆก็ทำให้เราขี้เกียจออกนอกลู่นอกทางได้เช่นกัน ครูบาอาจารย์ท่านถึงกล่าวว่าคบเพื่อนดีก็จะดีตาม คบเพื่อนชั่วก็ทำให้ชั่วตาม) พูดถึงเรื่องกามราคะแล้วน่าสนใจ อยากจะคุยด้วย ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้ายังไม่เห็นโทษของมันก็ไม่อยากละ ถ้าอยากจะละมันฆ่ามันก็ต้องเห็นโทษเสียก่อน เมื่อปีที่แล้วผมได้ไปกราบหลวงพ่อท่านนึง เล่าให้ท่านฟังว่าเมื่อก่อนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น อยากอะไรก็เสพย์อันนั้น พอหายรำคาญ แก้ทุกข์เป็นคราวๆไป แต่ตอนหลังเห็นทุกข์ที่เกิดจากกาม แต่ก็ละไม่ได้เป็นทุกข์เวทนาทางใจเหลือเกิน เวลาเกิดเป็นทุกข์รู้อยู่เห็นอยู่ว่ามันทรมาน ไม่สบายใจ แต่ก็ละไม่ได้ ท่านตอบว่า เหมือนวัวนั่นแหละ เวลาเลี้ยงมัน ให้หญ้าให้น้ำมันก็เชื่องดี พอเราจะเอามันไปฆ่ามันก็ดิ้นก็ถีบเรา กามมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ผมถามต่อว่า แล้วหลวงพ่อทำอย่างไรเวลากามตีขึ้น พิจารณาอสุภะ? ท่านตอบว่า แก้ที่ความหลง ท่านเล่าอีกว่า ตอนบวชใหม่ๆไปอยู่ที่หนองกอง(หลวงปู่เพียร) ไปเจอสาวๆมาบวชเนกขัม พอเห็นเข้ากามก็ปรุงขึ้นมา ทนแทบไม่ไหว เเทบจะสึกเลย แต่โชคดีที่ตอนนั้นหลวงตาไปหลบโยมที่วัดบ่อยๆ พอเจอท่านกามมันหายไปเองเฉยๆ ท่านว่าบุญจริงๆไม่งั้นได้สึกไปมีลูกเมียแล้ว คราวนั้นผมได้ถามอะไรท่านเยอะมากๆ (หนึ่งในหัวข้อที่สนทนากันก็คือเรื่องภูมิธรรมอนาคามี) ท่านก็เล่าให้ฟังเยอะเช่นกัน ท่าเมตตากล่าวว่า ถ้าติดขัดตรงไหน มาถามได้ เราผ่านมาหมดเเล้ว ได้ฟังท่านพูดเเล้วมันมีกำลังใจ ท่านยังผ่านมาได้ เราก็ต้องพยามยามให้ได้เช่นกัน ถามหลวงพ่อด้วยว่าท่านใช้ความเพียรขนาดไหน ท่านบอกว่าปีกว่าๆ หลวงพ่อทำอย่างไร ใช้คำบริกรรม พุทโธๆ ถ้านั่งก็ดูลมหายใจ เรื่องนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องใหม่ ครูบาอาจารย์ใช้วิธีนี้กันแทบทั้งสิ้น ผมเองหลังๆสองสามปีมานี้ก็ใช้คำบริกรรมเช่นกัน บริกรรมจนได้ที่แล้วมาดูผมขนเล็บฟันหนัง ตับไตใส่พุง อาหารใหม่เก่า ดูแว้บเดียวร่างกายทุบุทะลวงหายไปหมด เสร็จแล้วก็มาพิจารณาที่จิต ตอนที่เริ่มต้นก็ไล่อาการตามลำดับ แต่พอจิตเข้าวิปัสนามันจะเข้าไปพิจารณาของมันเองพ้นการคาดหมายการคิดทั้งสิ้น แม้แต่ตอนเดินปัญญาในจิตมันก็ทำของมันเองพ้นจากการจงใจ แว้บๆ แป้บๆ ต่อจากนั้นจิตจะทำฌาณ พลิกไปมาระหว่างสมถะเเละวิปัสนา อย่างอัตโนมัติ พูดถึงครูบาอาจารย์นี่สำคัญมากอย่าที่คุณ TumHกล่าวไว้จริงๆ ผมได้ประจักษ์มาแล้ว ว่าถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีทางเดินไปได้ด้วยตัวเอง (ถ้าทำได้เราคงมีภูมิเท่าพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกฯ) ครูบาอาจารย์แต่ละท่านสำนวนการพูดแตกต่างกัน แต่หลักใหญ่ใจความนั้นไม่แตกต่างกัน ครั้งนึงเมื่อปี2555เดือนตค.ได้ฟังเทศน์ ถึงตอนนึงท่านว่าร่างกายคนเราประกอบด้วยดินน้ำลมไฟ ระหว่างที่ฟังนั้นจิตเป็นกลางพอดี จิตได้สะเทือน สะบัด ส่าย อย่างรุนแรง ผมเก็บไว้ไม้ถามใครอยู่เกือบปี เฝ้าดู เฝ้าสังเกตุอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหว(นิสัยผมมันเป็นอย่างนี้ ชอบเอาไปถาม ที่ถามไม่ได้สงสัยในอาการนั้นหรอกครับ แต่สงสัยว่าแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ สุดท้ายได้เอาไปถามครูบาอาจารย์ท่านนึง(ท่านอยู่ที่ชลบุรี)ท่านบอกว่าให้ดูร่างกายเเสดงว่าเราชอบการพิจารณากาย หลังจากนั้นอีกเกือบปี เอาไปถามหลวงพ่อที่ราชบุรี ท่านหัวเรา แอล้วบอกว่า "เราก็เคยเป็น" พอท่านพูดอย่างนี้จะถามต่อก็ไม่กล้า จริงๆอยากจะถามต่อว่า แล้วหลวงพ่อเป็นอีกไหม เป็นกี่ครั้งฯลฯ ที่ไม่ถามเพราะกลัวท่านดุ คราวก่อนเคยโดนดุมาทีนึง ดันไปถามถึงจิตตอนเกิดอริยมรรค ครั้งนั้นท่านดุเราเสียหนักเลย ท่านบอกว่าตามธรรมเนียมวัดป่าเรื่อง แบบนี้เค้าไม่ถามกันภาวนาไปเรื่อยๆเดี๋ยวรู้เอง ครั้งนี้เลยไปกล้าถามมาก เมือปี2557เอาไปถามหลวงปู่ที่สกลนคร ท่านกลับบอกว่า"ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว" จบเลยครับ ไม่กล้าถามต่อ ครูบาอาจารย์แต่ละท่านตอบไม่เหมือนกันเลย เห็นไหมครับ พิมพ์เพลินเลย ปกติผมไม่ค่อยชอบพิมพ์อะไรยาวๆ ครั้งนี้ถือว่าได้มาคุยกันเล่นๆนะครับ คุณ tumH และอาจารย์ Picatos ^_^
โดย
cobain_vi
เสาร์ มี.ค. 19, 2016 12:51 pm
0
5
Re: VI หาดใหญ่
แฮ่..ท่านsaichon พี่charun ตอนท่านcoachผมฝึกสมาธิเที่ยวล่าสุด ก็ไม่ได้บอกหุ้นอะไรนะฮะ บอกแค่ว่าโลกียทรัพย์เรามีพอแล้ว เริ่มลงทุนสะสมอริยทรัพย์กันต่อเถอะ ส่วนท่านcobain_vi ก็มาชวนผมหุ้นกันซื้อไฟฉายถวายหลวงปู่ฮะ เที่ยวนี้มาหาลูกสมอดองไปถวายพระ(สมอดองและมะขามป้อมดองถวายแล้วเก็บได้นาน เป็นเครื่องลดกำหนัดด้วย ไม่แน่ใจว่าน้ำมะพร้าวที่มีไฟโตเอสโตรเจ้นที่อ.ลูกอิสานกินแล้วหดเอ๊ย ลดหื่น..ไม่ใช่ ไปกันใหญ่แล้ว จะจัดเป็นของถวายพระแบบไหนนะฮะ) เล่าเรื่องไปกราบหลวงปู่แบนที่สกลนคร เจอท่านเลขาmario กะ อ.ชาย คนขายของที่วัดด้วย แต่ก็ไม่ได้คุยเรื่องหุ้น แต่เอางี้ฮะ ผมลอกหุ้นท่านsaichonกะแก๊งสุราษฎ์มาประจาน เอ๊ยแฉให้เพื่อนๆสมาชิกช่วยกันวิแคะประเมินมูลค่ากันดีก่า หุ้นท่านsaichon ขายแผงโซล่าร์, มะลิบอดแบนจะทำสี่จี ,เจ๊หมาด,ปารติเกิ้ล,ตรวจสอบไม่ทำลายมีทีหน้าหลัง, รับเหมาทีหลายๆแต่ไม่หลายที,ไฟฟ้าtargetpointchiphai,โปรเรื่องบ้าน,โชว์ห่วยธรรมาภิบาลดัง,ปั๊มปีเตอร์,โรงบาลพระนามหม่อมเจ้าหญิง หุ้นท่านtheerasak24,ท่านputthology หุ้นอิเล็ควีไอน้ำท่วมซ้ำด้วยไฟไหม้ แต่ไปซื้อโรงงานฝรั่งได้ ช่วยๆกันมาวิแคะฝึกสมองกันนะฮะ มะขามป้อมกับสมอถ้าดองเกลืออย่างเดียวไม่มีน้ำตาลผสมประเคนแล้วเก็บได้ตลอดไม่มีอายุ ถ้ามีส่วนผสมน้ำตาลเก็บได้แค่เจ็ดวันครับ *เรื่องไฟฉายเมื่อวานผมไปจัดการซื้อเรียบร้อย(รวมถ่านด้วย) รวมราคาทั้งสิ้น 16600บาทครับ ก็ขออนุโมทนากับพี่หนึ่งอีกครั้ง อธิฐานสิ่งใด ปรารถนาสิ่งใดก็อธิฐานเอานะครับ
โดย
cobain_vi
พฤหัสฯ. มี.ค. 10, 2016 7:44 am
0
5
Re: ขอลาอุปสมบทครับ
ขออนุโมทนาครับ ถ้าบวชไม่มีกำหนดสึกยิ่งขออนุโมทนายิ่งขึ้น บวชวัดไหน บวชเมื่อไร บอกกันบ้างนะครับ ผมก็ตั้งใจบวชเหมือนกันแต่คงยังไม่ถึงเวลา(แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ) ก็ขอให้สมหวังกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ ขอให้ได้ประสบการ์ณที่ล้ำค่าที่หาจากที่อื่นไม่ได้ ขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
โดย
cobain_vi
พฤหัสฯ. มี.ค. 10, 2016 7:39 am
0
3
Re: มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 4/2558
cobain vi มาได้นะครับ ขอบคุณครับ ผมมารออยู่ที่กระบี่เกือบอาทิตย์แล้ว ถ้าอดไปนี่เซ็งเลย ^^
โดย
cobain_vi
พุธ มี.ค. 02, 2016 9:58 am
0
1
Re: มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 4/2558
จอง1ที่ครับ
โดย
cobain_vi
ศุกร์ ก.พ. 26, 2016 3:05 pm
0
0
Re: ถึงเวลาที่ต้องลา เพื่อบรรชาอุปสมบท
ขออนุโมทนาด้วยครับ
โดย
cobain_vi
เสาร์ ธ.ค. 19, 2015 7:41 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ตัวจิตเองนี่แหละที่รับรู้ เพราะจิตคือตัวประธาน คือตัวรู้ ให้ลองสังเกตุเวลาเราโกรธอะไรที่แรงๆ ตอนนั้นเราจะไม่รู้สึกตัว (ถ้าไม่เคยปฏิบัติ) จะมีแต่ความโกรธ ก็คือจิตโกรธ มีความโกรธ โกรธจนลืมตัว ตอนเราจะตายก็เช่นกัน กายเป็นของหยาบ จะทิ้งกายไปจนเหลือแต่จิต ช่วงนั้น(หมายถึงจิตสุดท้าย)จิต(เจตสิก)เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น เช่นจิตหลงเห็นภาพนิมิต เป็นสัตว์ จิตนั้นก็จะไปสร้างภพใหม่ เป็นสัตว์ ฯลฯ จิตกำลังโลภ ถ้าทำลายความโลภไม่ทันก็จะหลงไปโลภ ตัวจิตเองจะโลภ ก็จะไปเป็นพวกเปรต ฯลฯ ถ้าจิตเคยฝึกมาอย่างดี มีศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแก่กล้าแล้ว ตัวจิตเองก็จะไปตามชั้นตามภูมิที่เราได้ฝึกมา เช่นถ้าเราเคยทำฌาณมาอย่างช่ำชอง ตัวจิตเองเคยอบรมมาในฌาณอย่างแก่กล้า ก็จะไปเป็นพรหมตามชั้นต่างๆ ถ้าเรามีศีลอย่างมั่นคง เราก็อาจจะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ ฯลฯ แต่พวกนี้ก็ยังไม่แน่เพราะการที่เรายังไม่ได้เป็นพระอริยะบุคคล ส่วนเรื่องหนังสือเรื่องอะไรนี้ ผมไม่แน่ใจนะครับว่าควรไปอ่านหนังสือเล่มไหน
โดย
cobain_vi
อังคาร ก.ย. 22, 2015 8:26 pm
0
2
Re: **วันนี้ 9.00 น.** เปิดจองสัมมนาVI Orientation (ภาคพิเศษ
สมัครสัมมนา
โดย
cobain_vi
พุธ ส.ค. 05, 2015 9:44 am
0
0
Re: VI หาดใหญ่
1. Strong Historical Earnings Growth ตัวแรก Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 1,881 ล้านบาท มาเป็น 4,884 ล้านบาท กำไรโต 159.65% เฉลี่ยปีละ 51.93% แต่ตัวที่สอง Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 2,816 ล้านบาท มาเป็น 7,234 ล้านบาท กำไรโต 156.89% เฉลี่ยปีละ 51.38% ขออภัยพิมพ์ผิด 1. Strong Historical Earnings Growth ตัวแรก Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 1,881 ล้านบาท มาเป็น 4,884 ล้านบาท กำไรโต 159.65% เฉลี่ยปีละ 39.91% โตใน ๔ ปี แต่ตัวที่สอง Earning growth 5 ปีที่ผ่านมา โตจาก 2,816 ล้านบาท มาเป็น 7,234 ล้านบาท กำไรโต 156.89% เฉลี่ยปีละ 39.22% โตใน ๔ ปีเช่นกัน ตัวแรกยังไม่แน่ใจแต่ตัวที่2ผมรู้แล้วครับ :B
โดย
cobain_vi
พุธ ก.ค. 29, 2015 5:09 pm
0
2
Re: VI หาดใหญ่
ขอบคุณพี่ลูกหินมากๆครับ รัวมาเป็นชุด ชอบมากๆครับ เขียนให้อ่านบ่อยๆนะครับ
โดย
cobain_vi
อังคาร ก.ค. 21, 2015 8:35 am
0
1
Re: คนที่ได้อิสรภาพทางการเงิน ทุกวันทำอะไรครับ
ผมไม่เห็นใครที่ประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายแล้วจะหยุดเลยครับ มีแต่ได้เท่านี้แล้วก็หวังต่อไปเท่าโน้น เพลิดเพลินกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ปรับเป้าหมายเพื่อให้ตัวเองเหนื่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้หน้าได้ตาเพิ่มขึ้น มีคนกดไลค์เพียบ มีแต่คนนับถือว่าเก่ง เจ๋ง มีเงินมากมาย บางคนก็ดีหน่อยมีอิสระภาพทางการเงิน(ตามที่เค้าอ้างกัน)แล้วไปช่วยเหลือสังคม คนด้อยโอกาส มันก็ดีนะครับ ได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ลืมไปว่าเค้าลืมช่วยตัวเองที่แท้จริง มัวแต่ช่วยคนอื่น สุดท้ายก็เพลิน พลาดโอกาสที่จะช่วยตัวเองให้พ้นอบาย หมดไปชาตินึงๆ อบายนี่น่ากลัวจริงๆนะครับ อย่าคิดนะครับว่าทำทานจะการันตี100%ว่าจะพ้นอบายได้ ผลของกรรมในสังสารวัฏมันมีอะไรซับซ้อนกว่านี้เยอะ ไม่ง่าย อย่าคิดแค่ทำทานแล้วจะช่วยไม่ให้ลงอบาย การทำทานนี่ดีแต่มันยังไม่ตรงเป้าหมาย ถ้าทำทานไปด้วย รักษาศีล ภาวนาไปด้วยอันนี้สุดยอดเลย แต่ทำทานอย่างเดียวยังไม่พอครับ การทำทานนี่คาดหมายยาก อานิสงฆ์วัดกันยาก ถามว่าดีไหม มันก็ดีแหละครับ ถ้าไม่ดีพระพุทธเจ้าท่านจะบอกให้ทำทำไม ก่อนทำ : ต้องมีของที่จะทำ ต้องมีผู้รับ ต้องอยากให้ เงื่อนไขเยอะจริงๆ ระหว่างทำ : ใจไม่วอกแวก ไม่มีเหตุการณ์มาทำให้ใจเราเขว ใจต้องอยากให้ หลังจากทำไปแล้ว : ต้องไม่ลังเลสงสัย ทั้งของที่ให้(ว่าดีจริงหรือป่าว)ทั้งผู้รับ(ว่าได้ใช้ประโขชน์ตามที่เราให้ หรือเค้าจะดีพอที่จะรับทานของเรา ไม่หลอกลวง) ต้องไม่เสียดาย นึกถึงแล้วอิ่มใจ เห็นไหมครับว่าเงื่อนไขมันเยอะ ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า คนทำบุญสิบบาทบางครั้งยังได้อานิสงฆ์มากกว่าคนที่ทำทานหมื่นหรือล้านบาท ไม่เหมือนศีล(และ สมาธิ ปัญญา สติ )ไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก แค่มีชีวิตอยู่ก็รักษาได้แล้ว มันจึงมีความสำคัญต่างกันมาก
โดย
cobain_vi
อังคาร มิ.ย. 16, 2015 4:56 am
0
13
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
บางทีเวลาไปอยู่วัดนานๆมันชินครับ ไม่รู้มีใครเหมือนผมไหม คือเวลากลับมาบ้านก็จะทำตัวเหมือนอยู่วัดในช่วงแรกๆ เช่น ตื่นตีสาม มาสวดมนต์เดินจงกลม ไปช่วยทำอาหารที่โรงครัว(อันนี้แล้วแต่วัดแต่ละที่ไม่เหมือนกัน) ตอนเช้าหลังกินข้าวก็ช่วยกันทำความสะอาดภาชนะ ทำความสะอาดครัว ช่วยงานวัดเช่นขัดห้องน้ำ ทำความสะอาดศาลา กลางวันพัก บ่ายๆกวาดลานวัด เย็นอาบน้ำ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกลม 4-5ทุ่มก็นอน กลับมาบ้านใหม่ๆก็ทำตัวเหมือนอยู่วัดเลย เช่นกินมื้อเดียว ตื่นเช้าๆสวดมนต์ หลังจากนั้นอีกไม่เกินเดือนมันก็จะกลับมาเหลวไหลเหมือนเก่า อยู่บ้านสู้กับความขี้เกียจได้ยากจริงๆ โชคดีอยู่บ้างที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้สุงสิงกับเพื่อนฝูง หรือคนอื่นๆ วันๆมักจะอยู่คนเดียวทั้งวัน จะยุ่งอยู่ก็เรื่องสังคมออนไลน์(เฟสบุ๊ค)อ่านข่าวบ้าง ถ้าคบเพื่อนก็คงวุ่นวายกว่านี้(ผมไม่มีเพื่อนโทรมาหานานเกือบปีแล้วครับ คือไม่โทรหาใครเค้าก็เลยไม่โทรมา ญาติพี่น้องก็ไม่ได้โทรหาเลย ไม่มีธุระ จะคุยก็คุยกับคนงานกรีดยางบ้าง กับพระที่รู้จักกันบ้าง เดี๋ยวนี้บางทีก็ไม่ได้พกโทรศัพท์ไปเพราะไม่มีคนโทรมาหานานแล้ว)
โดย
cobain_vi
จันทร์ มิ.ย. 15, 2015 8:31 am
0
2
Re: คนที่ได้อิสรภาพทางการเงิน ทุกวันทำอะไรครับ
ไม่รู้ว่าคำว่าอิสระภาพทางการเงินต้องมีเท่าไร ถ้าแบบพอร์ทร้อยล้านพันล้าน ผมคงยังไม่มีแน่ๆ(ชาตินี้คงไม่มีวาสนา) ไม่รู้เรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงินหรือปล่าว งานประจำไม่มี (ผมไม่ได้ทำงานมา7ปีแล้ว มีสวนยางราคาก็ไม่ดีเหมือนเดิม ) เงินที่ใช้ก็เอามาจากหุ้นนี่แหละ ได้กำไรก็ใช้ถ้าไม่ได้กำไรก็ไม่ใช้ เงินปันผลปีนึงๆก็นิดเดียว ทุกวันนี้ไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย และก็ไม่ได้สะสมอะไรมากมาย ใช้เงินก็แค่ค่าอาหาร เสื้อผ้านานๆก็จะซื้อสักตัว รถยนต์ก็ใช้คันเก่า เวลาว่างที่มีบางทีก็ไปอยู่วัด วัดโน้นวัดนี้ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ให้ท่านเขกหัวบ้าง ไปรับใช้ท่านบ้าง ไปทำงานวัดบ้าง(อาทิตย์หน้าจะไปอยู่กับครูบาอาจารย์แถวเชียงใหม่ อยากลองไปแถวๆนั้นดู ไม่เคยไปอยู่วัดทางแถบภาคเหนือ ส่วนใหญ่จะไปทางอีสาน) เงินที่มีส่วนใหญ่ก็จะเอาไว้เที่ยว ไปทำบุญให้เด็กกำพร้าบ้าง ทำบุญกับครูบาอาจารย์บ้าง ไปเที่ยวบ้าง(เมื่อก่อนเที่ยวบ่อย เดี๋ยวนี้นานๆครั้ง) เดินห้างบ้าง ตอนเย็นก็ออกกำลังกาย กลางคืนก็สวดมนต์ไหว้พระ อ่านหนังสือ วันๆผมก็ทำอยู่แค่นี้แหละครับ ไม่ได้แสวงหาเงินทองอะไรมากมายเพราะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตคือบวช ทุกวันนี้ก็ยังตั้งใจเหมือนเดิม(คงอีกไม่นานตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้เกินอีก3ปี ไม่รู้จะอยู่ถึงหรือป่าว :cry: ) อยู่ไปวันๆหมดไปวันๆทำงานบ้านบ้าง ปลูกต้นไม้บ้าง ถ้าอยู่เฉยๆผมคงเบื่อตาย ไม่ทราบว่าคุณchakasakมีครอบครัวหรือยังครับ ถ้ามีแล้วคงไปไหนลำบากเนอะ
โดย
cobain_vi
ศุกร์ มิ.ย. 12, 2015 9:57 pm
0
18
Re: ถ้าเพื่อนๆชาวVIรวยจะไปทำอะไรกันคะ??? ^^
ขอลองตอบท่านเจ้าของกระทู้(ช่วยกรุณาอ่านชื่อและแปลความหมายให้ผมเป็นความรู้ใหม่ จะได้บุญมากหลาย)ดูนะฮะ วีไอ ที่รวย(แน่ๆ)ที่เป็นไอด้อลพวกเราก็มี อ.บัฟเฟต อ.ชาร์ลี อ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ ๆลๆเป็นต้น รวยแล้วทำอะไร? ผมว่าน่าจะทำตัวเหมือนเดิมฮะ ที่ชอบสอนหนังสือ ทำรายการให้ความรู้ ลงทุนไปเรื่อยๆด้วยความสนุก ก็ทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง แม้จะมีเงินพอจะไปทำเรื่องที่ดูจะไม่เป็นวีไอ เช่น ซื้อของ"ฟุ่มเฟือย"ตามใจอยาก ก็ไม่ทำ (อ้อ อ.เกรแฮมที่ท่านมีเมียสามคนน่ะ ไม่รุจะเป็นการกระจายความเสี่ยงแบบหุ้นnet-netป่าวนะฮะ) ถ้าถามว่า รวยแล้ว เอาเงินไปทำอะไร? ผมก็เดาว่า เอาเงินไปลงทุนต่ออีกนั่นแหละ หรือเอาไปให้คนอื่น(บริจาค) ซึ่งมักมีเงื่อนไขแบบวีไออีก เช่น อ.ชาร์ลีไปสร้่างหอพักนักศึกษาตามแบบที่ออกแบบเอง อ.บัฟเฟต์เอาไปให้มูลนิธิของบิลเกตส์ ฯลฯ ส่วนตัวผมเอง รอให้"รวย"เงิน ตามนิยามส่วนตัวก่อนนะฮะ แล้วจะมาบอกว่าทำอะไรกับเงินนั้น ตอนนี้ขอรวยเพื่อน รวยมิตรภาพ รวยความรู้ รวยอริยทรัพย์ เท่าที่ทำได้ไปก่อน ปล.อ่านย่อหน้าสุดท้ายของท่านเจ้าของกระทู้แล้ว ไม่รู้ทำไมผมดันไปนึกถึง ขายตรง, mlm ,ลูกแก้วใส ณ.จานบิน ไปโน่นได้ไงก็ไม่รู้นะจ๊ะ.. เข้ามาขำพี่dr1 ฮา
โดย
cobain_vi
พุธ พ.ค. 13, 2015 12:13 pm
0
0
Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ
ต้องขออภัยด้วยนะครับเจตนาไม่ได้ว่าใครเพียงแต่เล่าประสบการณ์ให้ฟัง ถ้าไปทำให้ใครขัดข้องหมองใจหรือขุ่นเคืองใจต้องกราบขออภัยเป็นอย่างสูง บางทีคำพูดที่พิมพ์ออกไปพออ่านแล้วมันทำให้รู้สึกอวดเก่งหรือว่าอะไรก็ตามขอให้รู้ว่าเจตนาผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น บางทีก็รู้สึกว่าคำที่พิมพ์ลงไปมันแปลกๆอยู่เหมือนกัน ผมเป็นคนพิมพ์อธิบายไม่เก่ง คำพูดบางทีก็พูดห้วนๆไม่ค่อยเพราะ ต่อไปนี้คงต้องทำโทษตัวเองด้วยการห้ามโพสและห้ามแสดงความคิดเห็นสักพักนึงครับ
โดย
cobain_vi
อังคาร ธ.ค. 02, 2014 9:55 am
0
3
Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ
ถ้าปฏิบัติได้จริงๆงั้นดูหนังทั้งวันเลยหรือเฝ้าหน้าจอหุ้นทั้งวันเลยใช่ไหมครับ งั้นพาลคิดไปว่าตกปลาก็น่าจะปฏิบัติธรรมได้แค่มีสติจดจ่ออยู่? ดูหนังโป๊ก็ปฏิบัติได้เพราะร่างกายเคลื่อนไหวตลอดเวลา เห็นอารมณ์ปรุงฟุ้งซ่านอย่างรุนแรง? แล้วพระพุทธเจ้าจะบอกให้ไปอยู่ในที่สงบๆทำไม แล้วช่างตีเหล็กช่างปั้นหม้อในสมัยพุทธกาลก็ทำงานทั้งวันในบ้านทำไมบรรลุธรรมได้ เอ๊ะ มันยังไง ฟังๆอ่านๆมาอย่าสับสนต่อการปฏิบัตินะครับ ต้องแยกให้ออก อารมณ์บางอย่างมันไม่เหมาะแก่การปฏิบัติ เพราะมันเป็นอกุศลจิต พาลคิดไปอีกว่าแล้วที่หลวงพ่อเทศน์ว่า ใจเปลี่ยนไปก็รู้ดีใจก็รู้ โกรธก็รู้ฯลฯ หรือที่ท่านเทศน์ว่าหัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน แล้วเอาเรื่องที่เราจดจ่อสนใจอย่างเช่นเฝ้าหน้าจอหุ้นมาปฏิบัติได้หรือ จริงๆมันน่าจะได้ จริงๆมันก็ได้จริงๆครับ แต่สำหรับพวกที่มีอินทรีย์เข้มแข็ง แต่พวกนี้เค้าไม่มานั่งดูหรอกครับ เพราะมันเป็นเรื่องอกุศลทั้งนั้น การมีสติในชีวิตประจำวันจริงๆคือการรู้ตามธรรมชาติ (ไม่รู้ว่าใช้คำถูกไหม) รู้สบายๆ ไม่เพ่ง ไม่บังคับ ไม่จดจ่อในอารมณ์ที่เป็นกุศลหรืออกุศล แต่ถ้ามันเกิดขึ้นก็ให้รู้สบายๆ ไม่ดักรู้ เช่นเราทำงานที่เกี่ยวกับหุ้น กินพูดยืนเดินนั่งนอนให้รู้ตัว เวลาต้องใช้ความคิดช่วงนี้จะปฏิบัติไม่ได้ก็ให้มันคิดไป แต่ถ้าเราเผลอไปคิดให้รู้ แบบนี้ปฏิบัติแล้ว อีกกรณีถ้าเราเฝ้าหน้าจอหุ้นทั้งวันแบบนี้ปฏิบัติยากเพราะเราจะดูไม่ทันหรอกครับ การเฝ้าดูหุ้นมันไหลเข้าไปเพ่ง มันเป็นโมหะ จ้างก็ดูไม่ทัน(อาจจะทันช่วงแรกๆที่เราตั้งใจ แต่เดี๋ยวเดียวก็ขาดสติแล้ว) ลองไปสังเกตุดูนะครับ อย่าเพิ่งเชื่อผม สองอย่างนี้ฟังดูเหมือนคล้ายกัน แต่ถ้าเราสังเกตุจะรู้ว่าการปฏิบัติจะต่างกันมากๆ(สังเกตุดู ที่บอกว่าเฝ้าดูหุ้นทั้งวันแล้วจะปฏิบัติไปด้วย มันเป็นแค่ทฤษฎี เอามาใช้จริงๆไม่ได้ ไม่เชื่อลองดูครับ) การปฏิบัติจริงๆต้องประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา กลมเกลียวกันไป การกระทำที่ผิดศีล เอามาปฏิบัติไม่ได้เพราะมันจะวิบัติ เช่น กินเหล้า ถ้าพวกโหลยโท่ยจะบอกว่ากินให้รู้ว่ากิน เมาให้รู้ว่าเมา ฮา (จะบ้าไปใหญ่) กำลังจีบเมียชาวบ้านก็ให้รู้ว่ากำลังจีบเมียชาวบ้าน กินดื่มคิดพูดให้รู้ตัว ฮา พูดโกหก เป็นสักแต่ว่าพูดไม่ได้หมายมั่นเป็นแค่เสียงไร้บัญญัติ ฮา หรือมิจฉาสมาธิ กำลังเล่นไพ่ สติจดจ่ออยู่กับไพ่แบบนี้เรียกปฏิบัติ ฮา กำลังดูหนังโป๊ปฏิบัติไปด้วย ยุบหนอพองหนอ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ฮา กำลังจะฆ่าสัตว์ สติจดจ่ออยู่กับสัตว์ที่จะฆ่า แบบนี้ไม่ใช่แล้วนะครับ ว่าจะไม่เข้ามาตอบแล้วเชียว ขาดสติคันไม้คันมือทุกที :B
โดย
cobain_vi
อังคาร ธ.ค. 02, 2014 7:26 am
0
2
Re: ตลาดหุ้นเหมือนสถานที่ปฏิบัติธรรมธรรมชั้นเลิศ
ถ้าใช้ตรรกะเดียวกันงั้น ดูหนังก็ปฏิบัติได้ใช่ไหม(ดูไปด้วยปฏิบัติไปด้วย)เพราะอารมณ์ก็แกว่งไปมาทำให้มองเห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน? หรือนั่งเล่นไพ่ก็ปฏิบัติไปด้วยได้ใช่ไหมเพราะเห็นใจที่เดี๋ยวก็โลภเดี๋ยวก็ดีใจเดี๋ยวก็ตื่นเต้นอารมณ์แกว่งไปมาเห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน? หรือเล่นเฟสบุคก็ปฏิบัติไปด้วยเห็นใจไหลไปเผลอไปส่งออกนอกตลอด? ลองไปคิดดูนะครับ :D
โดย
cobain_vi
จันทร์ ธ.ค. 01, 2014 9:59 pm
0
0
Re: หุ้นตัวไหนที่ได้ประโยชน์จากการที่ราคาน้ำมันลดลง
พวกที่เสียประโยชน์น่าจะรวมถึงกลุ่มพลังงานทดแทนด้วย
โดย
cobain_vi
จันทร์ ธ.ค. 01, 2014 4:49 pm
0
1
Re: น่าจะเป็นโรคกลัวเครื่องบินครับ ทำยังงัยดี
อ่านตอนแรกนึกว่า กลัวหุ้นสายการบิน ไม่รู้ว่า หนามยอกเอาหนามบ่งป่าวฮะ กลัวเครื่องบิน ต้องมีแฟนกัปตัน แอร์ กลัวโรงบาล หาแฟนหมอพยาบาล (ล้อเล่น แหะๆ) ชอบMVฮะ สุดท้ายมีประกาศตัวด้วย(I'(m?) here) มาแล้วจร้า.. ตอนไปดูแสงเหนือที่สแกนด์ฯ มีMVมั้ยฮะ (คงไม่มีแจกกล้วยตอนท้ายนะฮะ ฮา) กลัวเครื่องบินต้องมีแฟนแอร์ใช่ไหมครับ :B ตอนท้ายพี่หนึ่งหูดีจริงๆ ได้ยินด้วยผมกระซิบแค่เบาๆว่า i'm here Aey! ฮา ตอนไปดูแสงเหนือไม่ได้ทำมิวสิคครับ แค่ถ่ายรูปเฉยๆ จริงๆตอนไปเอเวอร์เรสเบสแคมป์ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำมิวสิคหรอกครับ ปรึกษาเพื่อนว่าเราจะทำไรเล่นดีขำๆเอาไว้ดูกันเอง ตอนเหงาๆ สุดท้ายก็เอาเป็นเต้นละกัน เพื่อนผมนี่ขาแดนซ์อยู่ด้วย ส่วนผมก็โยกๆแค่นั้นแหละครับ ปีหน้าอยากไป mastang พี่หนึ่งไปด้วยกันไหมครับ :D
โดย
cobain_vi
พฤหัสฯ. พ.ย. 27, 2014 7:11 pm
0
1
Re: VI หาดใหญ่
ขอบคุณพี่ dr1 มากๆครับ
โดย
cobain_vi
พุธ พ.ย. 26, 2014 6:19 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมเคยไปกราบท่านเมื่อตอนปี2549ครับ ท่านชอบพูดตลกมาก มีอยู่คำนึงที่จำได้ไม่ลืมเลย (โยนหนังสือให้)แล้วพูดว่า "เอาไปอ่าน อ่านแล้วอย่าไปยุ่งกับใคร" ฮา (โยนหนังสือให้) อยากดู :arrow: หนังปก หนังสือเล่มนี้จัง :!: :D
โดย
cobain_vi
จันทร์ พ.ย. 24, 2014 10:05 pm
0
0
Re: น่าจะเป็นโรคกลัวเครื่องบินครับ ทำยังงัยดี
ผมเต้นไม่ค่อยเป็นหรอกฮะ ไม่เหมือนเพื่อน แค่โยกๆนิดๆหน่อยก็เหนื่อยสุดๆ ระดับความสูงห้าพันกว่าเมตรนี่หายใจยังเหนื่อยเลย เพื่อนผมเค้าฟิตเป็นนักวิ่งมาราธอน เต้นแค่นั้นบอกเด็กๆ ฮา :D
โดย
cobain_vi
จันทร์ พ.ย. 24, 2014 6:55 pm
0
0
Re: น่าจะเป็นโรคกลัวเครื่องบินครับ ทำยังงัยดี
หัวอกเดียวกันเลยครับ เป็นโรคกลัวเครื่องบินนี่ทรมานมากๆ ผมกลัวเครื่องบินจนขึ้นสมอง แต่พอนึกถึงตอนที่ได้ไปเที่ยวแล้วก็ต้องยอมขึ้นครับ เคยนั่งตอนตกหลุมอากาศครั้งแรกตอนที่นั่งไปซินเจียง โอ้โห ใจหายวาบ แทบช็อคเลย แต่ครั้งนั้นก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนไปเทรคกิ้งที่เนปาล นั่งเครื่องไปสนามบินลุคลา(เป็นสนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก) ขาไปน่ะไม่เท่าไรเพราะฟ้าเปิด แต่ขากลับนี่น่ะสิ ฟ้าปิดครับ ก่อนหน้านั้นวันนึงเครื่องบินชมเขาเอเวอร์เรสตก ผมรอเครื่องตั้งแต่เช้าก็ไปไม่ได้ บางทีเครื่องมาแต่ลงไม่ได้ก็ต้องบินกลับ ใจแป้วสุดๆ สุดท้ายได้เครื่องตอนบ่าย เป็นเครื่องขนเสบียงครับ เครื่องลงมาแว๊บเดียวก็ต้องรีบขึ้นเพราะฟ้าอาจจะปิดอีก ตอนขึ้นใจตุ้มๆต่อมๆ ทั้งลำมีผู้โดยสารแค่สองคนคือผมกับเพื่อน เมฆเต็มเลยมองไม่เห็นอะไรเลย กลัวจะบินชนเขาน่ะครับเพราะออกนอกเส้นทางแค่นิดเดียวก็ชนแล้ว ประกอบกับเครื่องบินเพิ่งตก ทีนี้ก็จินตนาการไปไกลเลยครับยิ่งกลัวหนัก นั่งไปกลัวไปเพื่อนบอกกรูขี้แทบแตก ฮา ไม่มาอีกแล้ว กลัวชิหายเลย (ถ้าคนเคยไปจะนึกภาพออกนะครับว่าสนามบินนี้มันน่ากลัวจริงๆ) พอผ่านมาแล้วนึกดูก็ขำครับ กลัวมากๆเลยเครื่องบินเนี่ย อันนี้เป็นคลิปทำกับเพื่อนครับ ตอนไป EBC เน้นฮาอย่างเดียว http://youtu.be/CeZhyvWAj48
โดย
cobain_vi
จันทร์ พ.ย. 24, 2014 9:30 am
0
6
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
วันนี้ขอแนะนำครูบาอาจารย์อีกรูป แถบชลบุรี แต่ท่านละสังขารไปแล้วนะครับ ไม่กี่ปีนี่เอง ผมไม่เคยได้ไปกราบท่าน รู้จักท่านตามตัวหนังสือเท่านั้น อ่านแล้วจะรู้ว่าว่าท่านไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ให้รู้ว่าพระดีนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นวัดป่าก็ได้ วัดบ้านๆ แต่ท่านดีจริงๆ ก็มีเยอะแยะ ท่านบอกว่าท่านไม่ใช่พระธรรมยุตและก็ไม่ใช่พระมหานิกาย ท่านเป็นพระลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แค่นั้นเอง ท่านไม่สนใจเครื่องรางของขลัง สอนแต่การปฏิบัติเท่านั้น สอนให้ทุกคนไปที่สุดของทุกข์เท่านั้น เล่มนี้ฟรี ไม่มีราคาได้มาจากการไปร่วมพิมพ์หนังสือเล่มนี้กับพี่คนที่แต่งนั้นแหละครับ ซึ่งก็ไม่เคยเจอกันหรอกครับ รู้จักกันผ่านตัวอักษรนี่แหละ เล่มนี้เป็นเรื่องราวที่ลูกศิษย์คนเขียนนั้นแหละครับ เล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านและพระลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านอีกรูป อ่านสนุกๆ เพลินดี และได้ธรรมะ ได้รู้จักพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หนังสือที่วัดน่าจะมีแจกครับ ใครไปเที่ยวเกาะสีชัง ก็แวะไปกราบท่านได้ หรือจะแวะคุย ปฏิบัติกับพระหรือลูกศิษย์ในวัดเอานะครับ นอกจากไปเที่ยวสนุกบนเกาะแล้ว ก็ได้ธรรมกลับบ้านสักหน่อยก็ยังดีครับ คุยกันฉันท์ธรรม ลพ ประสิทธิ์_1.jpg หลวงพ่อ ประสิทธิ์ ถาวโร วัดถ้ำยายปริก อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี รายละเอียดเพิ่มเติมของท่าน เชิญที่ http://www.watthamyaiprig.com/ http://www.watthamyaiprig.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539217663 ประวัติท่านย่อๆ ทำงาน มีร้านค้า มีครอบครัว มีลูกเมีย ฆ่าคน ติดคุก ปฏิบัติธรรมในคุก ออกมาทำงาน เบื่อโลก บวชทำที่สุดแห่งทุกข์ สร้างวัด ทั้งๆ ที่คนแถววัดบางคน ก็ไม่ชอบท่านเลย จึงขั้นลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายท่าน ใครไปเที่ยวเกาะสีชัง ก็ลองแวะไปวัดท่านดูหน่อยนะครับ หรือใครจะอยู่อีสาน ก็ไปกราบลูกศิษย์ท่านอีกรูปที่พี่คนแต่งพูดถึงด้วย เมื่อหลวงพ่อละสังขารแล้ว ท่านได้ออกจากวัดมา พอดีโยมพ่อแม่ถวายที่ดิน ท่านจึงสร้างวัดใหม่ เพื่อโปรดโยมพ่อแม่ของท่าน ที่ขอนแก่น http://www.wiweksikkaram.org ดูได้ที่นี่ครับ พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ สถานปฏิบัติธรรมป่าวิเวกสิกขาราม ๕๕ หมู่๑๑ ต.เก่างิ้ว อ.พล จ.ขอนแก่น รูปนี้ก่อนบวช ท่านเป็นนายแพทย์ เป็นถึง ผอ.โรงพยาบาล ทำไมมาออกบวช อยู่ปฏิบัติอยู่ดูแลพระที่เคยฆ่าคนตายด้วย รูปนี้ผมก็ไม่เคยเจอท่านนะครับ ท่านยังอยู่ ไปพูดคุยสนทนาธรรมกับท่านได้ครับ ผมเคยไปกราบท่านเมื่อตอนปี2549ครับ ท่านชอบพูดตลกมาก มีอยู่คำนึงที่จำได้ไม่ลืมเลย (โยนหนังสือให้)แล้วพูดว่า "เอาไปอ่าน อ่านแล้วอย่าไปยุ่งกับใคร" ฮา
โดย
cobain_vi
อังคาร พ.ย. 18, 2014 10:17 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เห็นคุณ dech แนะนำหนังสืออยู่คนเดียว ทนไม่ไหวเลยต้องขอมาแนะนำบ้างครับ(ช่วยๆกัน) :B ผมขอแนะนำหนังสือของฆราวาสแต่ง ที่อยู่ในดวงใจ(มีแค่2เล่มครับ) 1 ดูจิตปีแรก เขียนโดย สันตินันท์(นามแฝงของหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช)ก่อนที่ท่านจะบวชนะครับ หนังสือแนะนำและปูพื้นฐานการเจริญจิตตานุปัสสนา ซึ่งผมชอบมากๆเลย 2 จิตเป็นอมตะ ลุงหวีด บัวเผื่อน เล่มนี้คนในวงการการภาวนายกนิ้วให้เลยครับ สุดยอดมากๆ ในเล่มเป็นการเล่าถึงการปฏิบัติของลุงหวีดตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นสุดยอด มีแต่เนื้อๆเน้นๆไม่มีน้ำ น่าเสียดายที่ลุงหวีดได้ละสังขารไปแล้ว (เล่มนี้เป็นการรวบรวมคำพูดของลุงหวีดแล้วเอามาทำเป็นหนังสือของหมอท่านนึง)ไม่อย่างนั้นคงต้องไปกราบท่านที่บ้านเลย :B ลิ้งค์ดาวน์โหลดครับ http://www.jitsabuy.com/books/category/9-2011-06-28-07-48-35.html http://www.jitsabuy.com/books/category/6-2011-05-05-03-50-04.html
โดย
cobain_vi
อังคาร พ.ย. 11, 2014 12:59 pm
0
3
253 โพสต์
of 6
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
cobain_vi
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ก.ค. 14, 2010 3:14 am
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2021 7:37 pm
โพสต์ทั้งหมด:
358 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.07 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว