หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Nanotube
Joined: อาทิตย์ พ.ค. 09, 2010 9:37 am
811
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Nanotube
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: **วันนี้ 10.00 น. เปิดรับจอง 15 ที่นั่ง CV@MC (วิสิท 3 มี.ค.64)**
จอง 1 ที่ครับ เดินทางเอง
โดย
Nanotube
จันทร์ ก.พ. 15, 2021 10:02 am
0
0
Re: **วันนี้10.00โมง**เปิดรับงานสังสรรค์ VIประจำปี 61(ครั้งท
Nanotube / สมาชิกสมาคม / 1 ที่นั่ง / 1,440.44 บาท / scb / 27-09-2561 / 13:55
โดย
Nanotube
พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2018 1:56 pm
0
0
Re: เปิดจอง CV@FSMART วันที่ 10 เม.ย.61 (10.00น.)
จอง 1 ที่ครับ
โดย
Nanotube
อังคาร เม.ย. 10, 2018 11:30 am
0
0
Re: เปิดจองงานสังสรรค์ VI ปิดงบปี 57 **10.00 โมงเช้านี้ค่ะ**
Nanotube, สมาชิก, 1ที่นั่ง ,990.9บาท, KBANK , วันที่ 03- 03 -2558, เวลา 10.19am ไม่แน่ใจว่าซ้ำรึเปล่านะครับ submit ไปแล้วเหมือนไม่ขึ้น ขอจองเพิ่มอีก 1 ที่นะครับ รวมเป็น Nanotube, สมาชิก, 2 ที่นั่ง (1) 990.9บาท, KBANK , วันที่ 03- 03 -2558, เวลา 10.19am (2) 990.99 บาท, KBANK , วันที่ 03- 03 -2558, เวลา 2.21pm
โดย
Nanotube
อังคาร มี.ค. 03, 2015 2:25 pm
0
0
Re: เปิดจองงานสังสรรค์ VI ปิดงบปี 57 **10.00 โมงเช้านี้ค่ะ**
Nanotube, สมาชิก, 1ที่นั่ง ,990.9บาท, KBANK , วันที่ 03- 03 -2558, เวลา 10.19am ไม่แน่ใจว่าซ้ำรึเปล่านะครับ submit ไปแล้วเหมือนไม่ขึ้น
โดย
Nanotube
อังคาร มี.ค. 03, 2015 10:26 am
0
0
Re: สิ่งที่เรียนรู้จากช่วงตลาดกระทิงดุ
- เจ้าของบริษัท ที่ชาญฉลาด ควรเพิ่มทุนในยามตลาดหุ้นกระทิง เพราะเขาจะได้เงินมากเป็นพิเศษ แต่ตัวหารน้อย - ตลาดกระทิง ชอบหุ้นที่เพิ่มทุน ม๊ากกก ขึ้นทุกตัว (จริงๆ นะ...) - ส่วนอารมณ์ ของนักลงทุน -> แวบแรก เพิ่มทุนทำไมว้า... (หากเพิ่มแล้วดีจริง ก็ OK ครับ สนับสนุน) เป็นข้อสังเกตที่ดีมากครับ เห็นด้วยอย่างยิ่ง :-D
โดย
Nanotube
พุธ ก.พ. 27, 2013 11:45 pm
0
1
Re: สอบถามกู้ซื้อ บ้าน สําหรับนักลงทุน Full Time ครับ
ผมเชื่อว่าคำแนะนำของ ดร นิเวศและเพื่อนๆหลายๆคนในที่นี้มีเป็นคำแนะนำที่ดี แต่มองอีกด้าน ความจำเป็นของแต่ละคน บ้างครั้งแต่งงานแล้ว ก็จำเป็นต้องแยกครอบครัวออกมา ผมยังมองว่าบ้านเป็นรายจ่ายที่ดีครับ ดีกว่ารถเยอะครับ อันนั้นเป็นรายจ่ายที่มีค่าดูแลรักษาสูง แล้วก็ถ้าเราผ่อนบ้านเป็นสัดส่วน 10-20% ของพอร์ต ถ้าจำเป็นนักลงทุนสามารถปิดเงินกู้ได้ครับ แต่ถ้ากู้เป็นวงเงินมากกว่าพอร์ต หรือ50% ของพอร์ตขึ้นไปไม่แนะนำให้กู้เลยนะครับ เห็นด้วยครับ ความจำเป็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับคนที่จำเป็นต้องซื้อบ้านจริงๆ ผมมีคำแนะนำที่ต่างออกไปครับ หลายคนกลัวเรื่องดอกเบี้ยมากๆ บอกว่าการกู้บ้านต้องจ่ายดอกเบี้ยแพง แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว ดอกเบี้ยประมาณ 6 - 7% ต่อปีนี่ผมว่าไม่แพงและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการใช้มาร์จินเล่นหุ้นนะครับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องโดน Force Sell ถ้าหุ้นตกแรงๆ แบบไม่ทันตั้งตัว สมมติเราซื้อบ้าน 10 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ เท่ากับว่าเรามีต้นทุนการเงิน 6-7% ต่อปี แต่เราสามารถประหยัดเงินต้นของเราได้ 10 ล้านบาท ซึ่งถ้าเราสามารถนำเงินที่ประหยัดได้นี้ไปลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเนื่องอย่างน้อย 15% ต่อปี ก็เท่ากับว่าเรายังสามารถนำเงินต้น 10 ล้านบาทของเราไปลงทุนออกดอกออกผลได้อย่างน้อย 8-9% ต่อปี (หักดอกเบี้ยที่เสียไปจากการกู้ซื้อบ้าน) แถมระหว่างทางยังมีบ้านเป็นของตัวเองด้วย กลับกันถ้าเราซื้อบ้านด้วยเงินสดเลย ก็เท่ากับว่าต้นทุนการเงินที่เราเสียไปจริงๆ คือ 15% ต่อปี ไม่ใช่ว่าเราประหยัดดอกเบี้ยได้ 6-7% ต่อปี อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน ทั้งนี้ แนวคิดนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือการลงทุนของแต่ละท่านด้วย ถ้าท่านมั่นใจว่าสามารถลงทุนสร้างผลตอบแทนได้อย่างน้อย 15% ต่อเนื่องทุกปี แนวทางกู้เงินซื้อบ้านจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการซื้อบ้านเงินสดครับ ยิ่งถ้านับช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่ใครสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้มากกว่า 100% ต่อปีด้วยแล้วยิ่งคุ้มค่ากว่าครับ แต่ทั้งนี้ผมเห็นด้วยกับ ดร. นิเวศน์ ครับ ว่าการไม่ต้องมีภาระการใช้จ่ายนั้นดีที่สุด แต่มันก็ขึ้นกับความจำเป็นในการมีบ้านของแต่ละท่านครับ
โดย
Nanotube
พุธ ก.พ. 06, 2013 9:47 am
0
8
Re: ปัจจัยที่หุ้นจะบูมมาก
แต่ไม่ได้หมายความว่า หุ้นจะไม่ปรับฐาน ผมคิดว่าหุ้นจะบูมมาก 1. การลงทุนต่างประเทศ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดการสร้างงาน 2. สมัยก่อน ค่าเงินบาทอ่อน 40 กว่าบาท และแข็งขึ้นเป็น 30 ผมคิดว่า ส่งออกตายแน่ๆ แต่สุดท้าย ตัวเลขออกมาส่งออก ก็โตขึ้นมาก 2. การท่องเที่ยว แต่ก่อนก็มีปัญหากีฬาสี และระเบิดภาคใต้ ผมก็นึกว่า คนจะมาเที่ยวกันน้อยลง ปรากฎว่า มาเที่ยวกันมากขึ้นอีก 3. การใช้จ่ายในประเทศ คนไทยก็ใช้จ่ายเก่ง เงิน 1 บาท หมุนหลายรอบ 4. การลดภาษีบริษัทจาก 30 เหลือ 23 % ครั้งแรกของประเทศไทย ที่ทุกบริษัทในตลาดหุ้นจะกำไรโตขึ้นพร้อมๆกัน 5. การไม่รับประกันเงินฝาก ที่จะลดจากบัญชีละ 50 ล้านเหลือ 1 ล้านบาท เงินไม่ปลอดภัย ซื้อหุ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ดีกว่า 6. ตลาดหุ้นเมืองไทย เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะนักลงทุนมีความรู้ความสามารถมากขึ้น จะลงทุน รู้จักอ่านงบการเงิน รู้จักการวิเคราะห์บริษัท ซึ่งก็ต้องยกให้ ปรมาจารย์ อาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่เป็นท่านเป็นตัวอย่างความสำเร็จ เป็นแรงบันดาลใจ ให้นักลงทุนหน้าใหม่ หลายๆคน กล้าคิด กล้าลงทุน ทั้งจากการที่ท่าน เขียนบทความ ไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ตลอดจน ออกรายการ money channel และอื่นๆ ว่างๆ พวกเราควรส่งการ์ดอวยพร วันเกิด หรือวันขึ้นปีใหม่ ไปที่บ้านท่านบ้างก็ดีนะครับ เป็นกำลังใจให้ท่าน เป็นตัวอย่างความสำเร็จแบบนี้ไปนานๆ 7. ตลาดหุ้นบ้านเรายังเล็ก และสามารถเติบโตไปได้อีกมาก ตอนนี้เรามี market cap 9.2 ล้านๆบาท มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียน ไม่ถึง 600 บริษัท ซึ่งเล็กกว่า apple ที่มีมูลค่า 11 ล้านๆบาท บริษัทที่เข้ามาจดทะเบียน เพื่อหวังแต่กำไร เริ่มโดนตรวจสอบจากนักลงทุนผ่านทางเว็บบอร์ด และอื่นๆ นักลงทุนรุ่นใหม่ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะลงทุนไป ก็ไม่รู้ว่าจะขาดทุนเมื่อไร หุ้นดีๆ ก็เริ่มทยอยเข้าตลาด เพราะรู้แล้วว่า ที่นี่ระดมทุนง่ายมาก เงินเพรียบ สรุป ผมมองว่า ตลาดหุ้นบ้านเราอนาคตสดใส และนักลงทุนฝากความหวัง อิสรภาพทางการเงิน กับการลงทุนในตลาดหุ้นได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับใจรักที่จะลงทุน หากคุณมีใจรักจริง คุณก็ไม่ต้องเหนื่อย เพราะคุณไม่ได้ทำงาน และคุณมันส์ในอารมณ์ในการลงทุนในตลาดหุ้น หมายเหตุ ผมคิดว่า ตลาดหุ้นบ้านเราราคาแกว่งมาก เนื่องจากเราไม่มี capital gain ซึ่งดีแล้วที่ไม่มี การที่ราคาแกว่งมาก ทำให้เรามีโอกาสซื้อได้สมเหตุสมผลเสมอ แต่ก็มีข้อเสีย หากเราศึกษาไม่ดีพอ เราก็อาจจะขายหมู อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยที่แพงขึ้น สำหรับผมแล้ว เป็นสัญญาเศรษฐกิจดี หากเศรษฐกิจไม่ดี ดอกถูกแค่ไหน ก็ไม่มีคนไปกู้ นโยบายประชานิยมของเรา ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มมาไม่นาน เพื่อให้ได้ฐานเสียง หนี้สารธารณะของเราแค่ 41 % นิดๆ ทำให้ยังไม่ใช่ปัญหาแบบเดียวกับที่อเมริกาเจอ ณ เวลานี้ แต่อเมริกาเองก็ไม่ใช่ประเทศที่มีหนี้สารธารณะ มากเป็นอันดับหนึ่ง อเมริกามีหนี้สาธารณะอยู่อันดับ 11 ผมนั่งคิดว่า เมกา เคยมียุคที่ value investor เลิกเล่น เพราะ pe เฉลี่ย ของตลาดขึ้นไปสูงมากๆ แต่เมืองไทย ตั้งแต่เข้ายุค value investor ก็ยังไม่เคยเห็น เลิกเล่นกัน แสดงว่า ตลาดน่าจะยังไปได้ต่อครับ คิดต่างได้นะครับ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ความเห็นก็คือความเห็น ไม่ต้องขอบคุณอะไรมากมาย พี่ไม่ใช่เซียน ก็แค่นักลงทุนคนหนึ่ง ขอคาราวะให้อย่างงามๆ ครับ :bow: :bow: :bow: พี่คาดการณ์ได้ถูกเป๊ะเรื่องหุ้นจะบูม ล่วงหน้าเกือบ 2 ปี สุดยอดจริงๆ ครับ
โดย
Nanotube
พุธ ม.ค. 23, 2013 4:11 pm
0
3
Re: จองงาน Money Talk@SET 3/2/56 สำหรับสมาชิกสมาคม 100 ที่
จอง 1 ที่ด้วยครับ น่าจะยังทัน :mrgreen:
โดย
Nanotube
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 9:55 am
0
0
Re: #2 สรุปอบรม 6/10/55 การวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้บริหาร อ.ค
ขอบคุณมากๆ ครับที่แบ่งปัน เนื้อหาครบถ้วนมากและอัดแน่นมากๆ
โดย
Nanotube
เสาร์ ต.ค. 27, 2012 12:30 pm
0
1
Re: หุ้นค้าปลีกในญี่ปุ่น (2) / ดร.ชาคริต สุวรรณโชติ
เยี่ยมมากครับ ขอบคุณครับ
โดย
Nanotube
จันทร์ ก.ย. 10, 2012 12:58 pm
0
0
Re: หลายบริษัทจะขาดทุนจาก defer tax ใน q4
:bow: :bow: :bow: ขอบคุณอาจารย์มากๆ ครับ
โดย
Nanotube
ศุกร์ มี.ค. 09, 2012 9:03 am
0
0
Re: หลายบริษัทจะขาดทุนจาก defer tax ใน q4
ขอบคุณอาจารย์มากๆ ครับ ได้ความกระจ่างเรื่อง DTA กะ DTL อีกเยอะทีเดียว แต่ผมมีข้อสงสัยเรื่องการด้อยค่า DTA ตามอัตราภาษีที่ลดลงดังนี้้ครับ 1. กรณีหนี้สูญ: บริษัทตั้งสำรองหนี้สูญ 100 บาท แต่สรรพากรยังไม่ยอม ทำให้บริษัทต้องจ่ายภาษีออกไป 30 บาท บริษัทจึงตั้ง DTA 30 บาท ตามที่จ่ายไปจริง คราวนี้ในปี 2556 สรรพากรยอมให้หนี้สูญนั้นเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทจริง ดังนั้น บริษัทจึงเปรียบเหมือนได้คืนภาษีกลับมา 20 บาท จึงต้องด้อยค่า DTA ที่เคยบันทึกไว้ 10 บาท คำถามคือ 10 บาทที่ด้อยค่าไปสามารถบันทึกในปี 2556 ได้หรือไม่ หรือจำเป็นต้องบันทึกเลยในปี 2554 นี้ เนื่องจากอัตราภาษีที่ลดลงมีความชัดเจนแล้วในปี 2554 ถ้าจำเป็นต้องด้อยค่า DTA ในปี 2554 เลย บริษัทสามารถด้อยค่าก่อน 7 บาทในปี 2554 ก่อนโดยประเมินว่าสรรพากรจะยอมให้รับรู้หนี้สูญเป็นค่าใช้จ่ายในปี 2555 จากนั้น ในปี 2555 ถ้าสรรพากรยังไม่ยอมให้รับรู้หนี้สูญเป็นค่าใช้จ่าย ค่อยด้อยค่า DTA เพิ่มอีก 3 บาท บริษัทสามารถทำได้มั้ยครับ 2. กรณีหักค่าเสื่อมเร็วกว่าสรรพากรกำหนด: กรณีนี้น่าจะเหมือนกับกรณีหนี้สูญ แต่ที่ผมสงสัยคือการด้อยค่าจะด้อยยังไงครับ ประเมิน DTA ใหม่จากอัตราภาษี 23% ในปี 2555 และ 20% ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไปจนครบอายุ แล้วด้อยค่าทีเดียวในปี 2554 หรือว่าสามารถทยอยด้อยค่าเป็นปีๆ ได้ครับ 3. กรณีมี loss carried forward: อันนี้ก็คงคล้ายๆ กับ 2 กรณีข้างบน คือ ถ้าบริษัทขาดทุนแล้วตั้ง DTA ไว้ ก็น่าจะตั้งไว้ที่อัตราภาษี 30% แต่พอใช้จริงกลับใช้ได้แค่ 23% และ 20% กรณีนี้ต้องประเมิน DTA ใหม่แล้วด้อยค่าทีเดียว หรือทยอยด้อยค่าได้ครับ คำถามสุดท้ายคือ รายการด้อยค่า DTA จะลงในงบกำไรขาดทุนในช่องไหนครับ ช่องภาษีเงินได้ หรือแยกออกมาเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น ขาดทุนจากการปรับอัตราภาษี ครับ สุดท้ายต้องขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่กรุณามาช่วยอธิบายจนกระจ่าง และก็ขอบคุณ จขก ด้วยครับที่ตีแตกด้านภาษีแล้วมาเปิดกระทู้ครับ
โดย
Nanotube
ศุกร์ มี.ค. 09, 2012 12:44 am
0
0
Re: สิ้นหวัง ต้องการกำลังใจ
0-2555-5569 คุณชัยฤทธิ์ ลองโทรดูนะครับ เคยเห็นว่ากำลังรับสมัครพนักงานอยู๋ ไม่แน่ใจว่าใช่สายที่ต้องการหรือเปล่าครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ สู้ๆ
โดย
Nanotube
อังคาร ม.ค. 17, 2012 1:28 pm
0
0
Re: "หุ้นดี ที่ถูกลืม" "หุ้นดีที่ถูกมองข้าม"
ตอบไม่ได้เลยสักข้ออ่ะ คุณโจสุดยอดมากๆ เลยครับ :bow: ขอลองเดาข้อ 3 ว่าเป็น PTTGC หรือเปล่าครับ เคยได้ข่าวว่าไปลงทุนที่อินโดเพื่อทำ EO EG
โดย
Nanotube
พฤหัสฯ. ม.ค. 12, 2012 4:54 pm
0
1
Re: ปี2554 ผ่านไปคุณได้เรียนรู้อะไรจาก ตลาด"ขุมทรัพย์การเงิน
อันนั้นเป็นประสบการณ์ตรงจากทั้ง JAS และ KAMART ครับ เลยคิดแปะไว้เตือนใจตัวเอง และแบ่งปันคนอื่นๆ เผื่อเป็นประโยชน์ครับ ปีที่แล้วโชคดีมี JAS กับ KAMART เป็นพระเอก แต่ปีนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงครับ ยังไงก็ขอบคุณคุณโดมเช่นกัน ที่คอยแบ่งปันในห้อง JAS ตลอดครับ
โดย
Nanotube
พุธ ม.ค. 11, 2012 11:40 am
0
0
Re: (ยังไม่มีใครตั้ง) ผลตอบแทน 2554 เป็นอย่างไงกันบ้าง
216% ครับ ต้นปีได้ Jas เป็นพระเอก กลางปีได้ Kamart เป็นพระเอก แต่รีบขาย Kamart เร็วเกินไป เพราะคิดว่าราคามันขึ้นมาเต็มมูลค่าแล้ว กลัวว่าจะเกิดโศกนาถกรรมแบบ Jas ขออนุญาตแชร์ความรู้สึกระหว่างทางที่ถือ Kamart ล่ะกัน ตั้งแต่ตอนแรกที่ซื้อตอน 0.44 บาท และระหว่างทางที่ทยอยปล่อยที่ราคาสุดท้ายแถว 3 บาท ว่าที่จริงแล้วมันไม่ได้สวยงามเหมือนที่ใครหลายๆ คนคิดว่า ถ้าซื้อตอนต้นปี แล้วยังถืออยู่ป่านนี้รวยไปแล้ว แรกเริ่มที่เห็นหุ้นตัวนี้ก็เพราะการซื้อของผู้บริหารกลางๆ มิ.ย. ที่ซื้อมากอย่างมีนัยสำคัญ ก็เลยสงสัยว่ามันคืออะไร ก็ไล่อ่าน 56-1 ดู ก็ถึงบางอ้อว่า model change อย่างมีนัยสำคัญ ช่วงเสาร์อาทิตย์ก็เลยลอง survey ร้าน Kamart ดู ก็ไม่ได้ขายดีมาก แต่ด้วยความที่ขี้สงสัยอยากลองใช้สินค้าก็เลยถอยมาซะเลย 2,500 บาท และก็ลองถามคนขายดูว่าขายดีมั้ย เจ้าของก็บอกขายดีมาก ตอนนั้นก็งงๆ ว่าเจ้าของโกหกหรือเปล่า เพราะไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าร้านเลย แต่คุยไปคุยมาก็ถึงได้รู้ว่าร้านเค้าจัดโปรโมชั่นทุกต้นเดือน ลดถึง 40% ตอนนั้นมันกลางเดือน ก็ไม่แปลกที่จะไม่ค่อยมีลูกค้าช่วงนั้น คุยไปคุยมาก็ได้ข้อมูลเพิ่มอีกว่าค่า Franchise ห้าแสนคืนทุนแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดได้ 3 เดือน ก็ยิ่งตกใจว่ามันขายดีขนาดนั้นเลยเหรอ กลับมาก็รีบประเมิน valuation คร่าวๆ อืมวันจันทร์ต้องรีบสอยเข้าพอร์ทซะแล้ว พอวันจันทร์เปิดมามันเปิดโดดไป 7% เลยรู้สึกว่าว่าจะมีหลายคนเห็นคล้ายๆ กัน ก็ตัดใจซื้อที่ 0.44 บาท ท้้ังๆ ที่มันเปิดโดดขนาดนั้น เพราะยังเชื่อในพื้นฐานว่ามี upside อีกมากโข และคิดว่าตัวน้ีเป็น new Jas แน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าอัดเต็มพอร์ท เพราะก็ไม่มั่นใจเต็มร้อย จำได้ว่าไล่เก็บจนต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 0.55 บาท และก็ถือทิ้งไว้ ระหว่างทางถ้าใครดูราคาย้อนหลังได้จะพบว่าราคามันสวิงมากๆ ถึงมากที่สุด ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะลิ่งถึง 4-5 ครั้ง แต่ก็มีติดลบมากกว่า 10% ต่อวันก็หลายครั้งอยู่ ติด cash balance ทั้งหมด 3-4 ครั้ง เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่หฤโหดมาก กว่าที่ราคาหุ้นมันจะขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ผมถึงอยากแชร์ว่า การมองย้อนกลับไปในสิ่งที่ผ่านมาแล้วมันง่าย รู้งี้ซ้ือตอนนั้น มาขายตอนนี้ หรือ ถ้าเห็นตัวนี้ก่อนอย่างนั้น ก็อย่างงี้ มันต่างจากความรู้สึกหรือประสบการณ์จริงที่ระหว่างทางเราไม่รู้เลยว่าราคามันจะไปในทิศทางไหน ยิ่งหุ้นที่ volatile มากๆ แบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เข็มทิศอันเดียวที่บอกเราได้ก็คือปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งระหว่างทางมันก็เกิดคำถามตลอดเวลาว่าเราประเมินอะไรผิดไปหรือเปล่า มันใช่แบบที่เราคิดจริงหรือ ถ้าเราประเมินผิดล่ะ มันอาจเป็นแค่หุ้นปั่นตัวนึง ระวังมันอาจจะโดนถล่มขายนะ ความคิดต่างๆ เหล่านี้คอยกวนใจอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องวิธีประเมินมูลค่า Kamart ผมเคยแชร์ไว้้แล้วใน ร้อยคนร้อยหุ้น ไม่ขอแชร์ซ้ำอีกว่าทำไมผมถึงประเมิน มูลค่า Kamart ไว้เท่านี้ ผมอาจจะผิดก็ได้ เนื่องจากราคาปัจจุบันมันมาไกลกว่าราคาที่ผมประเมินได้มากแล้ว ซึ่งก็รู้สึกเสียดายพอสมควร แต่ในเมื่อเรารู้แค่นี้ ก็ไม่ควรที่จะโลภเกินความรู้ และอย่างน้อยผมก็คิดว่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญมากๆ ในการหาปลาด้วยตัวเองได้ระดับนึงแล้ว สักวันก็น่าจะหาปลาที่ขนาดพอๆ กับ Kamart ได้อีก เห็นคุณชิณเข้ามาตอบในนี้ด้วย ก็ขอขอบคุณคุณชิณอีกครั้งนะครับ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่ผมขอความรู้ Jas จากคุณชิณช่วงแรกๆ และพี่ๆ หลายท่านในที่นี้ที่ช่วยกันถกเรื่องพื้นฐานจนกระจ่าง มีการรับฟังความเห็นซึ่งกันและกันแม้จะเป็นความเห็นแย้ง ซึ่งต่างจากปัจจุบันมากที่รู้สึกว่าจะใช้บอร์ดนี้ในทางเชียร์หุ้นซะส่วนใหญ่ ถ้าใครเห็นแย้งก็จะมาซ้ำเติมหรือไม่ก็กดลบซะงั้น เสียดายบรรยากาศดีๆ ที่ผ่านมาจริงๆ ครับ แต่ถึงยังไงผมก็ยังคงวนเวียนอยู่แถวๆ นี้ละครับ ถ้าอันไหนผมแชร์ได้ มีความรู้มากพอก็จะช่วยๆ แชร์ครับ คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ เหลือเกินครับ อยากให้กลับมาเร็วๆ :D
โดย
Nanotube
จันทร์ ม.ค. 09, 2012 10:37 pm
0
15
Re: ปี2554 ผ่านไปคุณได้เรียนรู้อะไรจาก ตลาด"ขุมทรัพย์การเงิน
เป็นกระทู้ที่ดีมากๆ ครับ :cool: ขอบคุณพี่โดมที่ช่วยตั้งกระทู้ดีๆ แบบนี้ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่มาช่วยแชร์ความรู้ครับ พอดีได้ลองทำสรุปข้อผิดพลาดของตัวเอง เพื่อเก็บไว้เป็นข้อเตือนใจไม่ให้ผิดพลาดในปีต่อๆ ไป เลยขออนุญาตแชร์ให้เพื่อนๆ อ่านบ้างครับ 1. จงมั่นใจในพื้นฐานของบริษัทที่เราได้ทำการวิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว แม้จะมีบางภาวะที่ตลาดตกใจ ก็อย่าตกใจตาม 2. หุ้น Turn around หรือหุ้นเงาที่คนยังไม่รู้จัก ราคาหุ้นจะเริ่ม Peak ก็ต่อเมื่อเป็นที่รู้จักมากขึ้นของตลาด เช่นมีการพูดถึงกันมากตามเว็บบอร์ดต่างๆ 3. ตลาดปัจจุบัน (2 ปีที่ผ่านมา) สนใจ Trend ในอนาคตมากกว่าผลประกอบการปัจจุบันหรือประมาณการผลประกอบการไตรมาสถัดไป โดยเฉพาะถ้าเป็น Trend ที่เกาะ Megatrend และเป็น Trend ใหม่ๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ถ้าเจอหุ้นประเภทนี้ควรใช้วิธีมองไปให้ไกลๆ ถึงช่วงที่ตลาดอิ่มตัวแล้วประเมินว่า ขนาดตลาด ณ ขณะนั้นควรเป็นเท่าไหร่ บริษัทนี้จะมี Mkt Share เท่าไหร่ และอัตรากำไรสุทธิจะเหลือเท่าไหร่ แล้วค่อยประเมินราคาด้วย PE หรือ EV/EBITDA ซึ่งจะแม่นยำมากกว่า 4. พิจารณา Mkt Cap เป็นสำคัญว่า ที่ Mkt Cap ขนาดนี้กับ Business Model แบบนี้ ถูกหรือแพงไปหรือเปล่า ถ้าเรามีตังค์ซื้อทั้งกิจการ ด้วย Mkt Cap เท่านี้จะซื้อมั้ย และถ้าซื้อแล้วจะขายที่ Mkt Cap เท่าไหร่ดี การดู Mkt Cap จะช่วยลดการ Bias จากราคาหุ้นได้ 5. การขายเพื่อทำ SAP เพื่อหวังกำไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่ควรทำและควรเลิกคิดที่จะทำไปได้เลย ตราบใดที่ราคาที่จะทำ SAP ยังไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะ 90% ของคนเราจะทำใจไม่ได้ที่จะซื้อหุ้นกลับในราคาที่แพงกว่าที่ขายไป ดังนั้นการ SAP ขณะที่ราคายังไม่ถึงเป้าหมาย มีโอกาสพลาดสูงที่เมื่อขายแล้ว ราคาจะวิ่งต่อและเราไม่กล้าซื้อคืน ซึ่งทำให้เราพลาดโอกาสดีๆ ไปเมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสะท้อนพื้นฐานของมัน 6. เมื่อราคาหุ้นมันวิ่งมาใกล้ราคาเป้าหมายเราแล้ว ก็จงทยอยขายซะ ห้ามเปลี่ยนใจและคิดที่จะ Revise ราคาเป้าหมายเดิมเด็ดขาด เพราะช่วงนั้นจะมี Bias สูงมาก (ความโลภกำลังบังตา) ยกเว้นว่าจะมีข้อมูลใหม่ๆ ที่กระทบกับพื้นฐานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญจริงๆ กรณีที่เราขายแล้วมันยังขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ก็จงคิดซะว่าแบ่งกำไรให้กับคนอื่นๆ บ้าง สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ และพี่ๆ ทุกท่าน ที่ช่วยแบ่งปันความรู้เรื่อยๆ มานะครับ และก็สวัสดีปีใหม่ 2555 โชคดีในการลงทุนทุกๆ ท่านครับ
โดย
Nanotube
เสาร์ ธ.ค. 31, 2011 12:05 am
0
1
Re: บ.ที่มีอัตราส่วนทางการเงินแบบนี้
แต่ละตัวสภาพคล่องน้อยๆ ทั้งนั้นเลยกว่าจะเก็บได้นี่ใช้เวลาโขเลยนะครับ ส่วนตัวผมมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับหุ้นสภาพคล่องน้อยครับ ตอนที่จะขายนี่ปวดใจสุดๆ ครับ
โดย
Nanotube
พุธ ธ.ค. 07, 2011 8:23 pm
0
0
Re: VI ตัวจริงไม่น่าตกรถ
อย่ากลัวตกรถครับ อย่าโลภเกินความรู้เป็นใช้ได้ สิ่งที่เราไม่รู้ ได้มาไม่ยั่งยืนหรอกครับ ไม่ควรภูมิใจด้วยจะทำให้เราคิดว่าตนเองเก่งกว่าความเป็นจริง แล้วเวลาพลาดจะเจ็บหนักเพราะมั่นใจในสิ่งที่ไม่ควรมั่นใจ หากหุ้นตัวหนึ่งราคา 1 บาท แล้วเราทำ valuation ได้ 2 บาท เมื่อมัน 2 บาทเราก็ขาย หลังจากนั้นต่อให้มันวิ่งไป 10 บาท ก็ไม่ควรเสียใจหรือคิดว่าตกรถ เพราะความรู้เรามีแค่นั้น หรือแม้จะไม่ได้ขาย แล้วมันวิ่งไป แล้วกำไรกว่าที่คิดไว้เยอะแยะ ก็ไม่ควรดีใจครับ ควรจะเสียใจและทบทวนว่าเราคำนวนอะไรผิดพลาดไป ทำไมเราคำนวนได้ไม่ตรงกับความเป็นจริง หรืออีกนัยหนึ่ง ถ้าซื้อที่ 1 บาท แล้วเราคำนวนไว้ 2 บาท แต่พอซื้อมันลงไป 0.5 บาทแล้วไม่ขึ้นมาอีกเลย สิ่งทีควรทำก่อนจะคร่ำครวญว่าติดดอยก็คือ หาความรู้ว่าทำไมมันไม่เป็นตามที่เราคิด เราคำนวนอะไรผิดไป ทั้งหมดนี้จะช่วยลับเขี้ยวเล็บของเราให้คมกริบมากขึ้นๆ การคำนวนมูลค่าพื้นฐานของหุ้นในครั้งต่อไปก็จะถูกต้องยิ่งขึ้นๆ สำคัญคืออย่าโลภอยากได้ในสิ่งที่ไม่รู้ครับ ผมขออัญเชิญสิ่งที่โยโย่สอนผมไว้มาโพสอีกครั้ง "คนเรารวยขึ้นสองเท่าชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ บ้านหลังเดิม รถคันเดิม อาหารก็กินเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเงินหายไปครึ่งนึงนี่ชีวิตเปลี่ยนเลยนะครับ" ลงทุนกับสิ่งที่เราเข้าใจ และมีความรู้ดีกว่าครับ ถ้าเรารู้และเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ไม่ว่าดัชนีจะเท่าไหร่ ราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร เราก็รู้ตัวเองควรทำอะไรเสมอ เห็นด้วย 100% ครับ แต่จนบัดนี้ผมก็ไม่เคยทำได้เลย ขายแล้วหุ้นขึ้นต่อก็ปวดใจ ราคายังไม่ถึงเป้าแล้วสะดุดลงฮวบก็ยิ่งเจ็บปวด พยายามข่มจิตสงบใจ ฝึกจิตให้นิ่ง แต่สุดท้ายความคิดก็วนเวียนมาที่เดิมคือ "รู้งี้" :cry:
โดย
Nanotube
อังคาร ธ.ค. 06, 2011 11:06 pm
0
0
Re: การพิจารณา book value ของกิจการ
หุ้นต่ำ Book ตีความได้ 2 ทางนะครับ ต้องระวังให้ดี 1. คือหุ้นถูกอย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจ แต่ที่ต้องระวังคือข้อ 2 คือ Asset ของบริษัทนั้นที่ไม่ perform เช่น มี inventory เป็นจำนวนมาก ซึ่ง inventory นั้นอาจเสียหาย หรือล้าสมัยไปแล้ว แต่ยังไม่ตัดด้อยค่าออกไป หรือ บริษัทอาจมี asset จม เช่น มีเครื่องจักร idle ไม่ได้ใช้งาน หรือ utilize ได้ไม่เต็มที่ครับ ถ้าเป็นกรณีข้อ 2 อย่าลืมหัก non perform asset ออกไปก่อนแล้วค่อยหา adjusted book value ด้วยนะครับ
โดย
Nanotube
อังคาร ธ.ค. 06, 2011 10:53 pm
0
1
Re: 2011 จบครึ่งปีแล้ว อาการเป็นไงกันบ้าง
+89% YTD ครับ เริ่มถอยเหมือนกันจากเคยถือหุ้น 100% ก็ลดลงมาเหลือ 65% ครับ และเพิ่มสัดส่วนในหุ้นที่ไม่หวือหวามากแต่มีอนาคตครับ :D บทเรียนสำคัญในช่วงครึ่งปีแรกนี้คือ 1.การรู้จักพอ และ 2.เราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เรากำหนดอนาคตได้จากสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน :D
โดย
Nanotube
อาทิตย์ ก.ค. 03, 2011 11:50 am
0
0
Re: เลขา ก.ล.ต.เสนอเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น
Capital Gain Tax มีการเก็บปกติอยู่แล้วครับ สำหรับนิติบุคคล ในอัตรา 30% เช่น บริษัท ก ซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท แล้วขายออกไปที่ราคา 20 บาท ต้องเสีย Capital Gain Tax = 3 บาทครับ ((20 - 10) * 30%) ดังนั้นนโยบายนี้จะกระทบเฉพาะบุคคลธรรมดาซึ่งได้รับการยกเว้น Capital Gain Tax ครับ แต่ผมก็เห็นด้วยนะครับว่านโยบายนี้ออกมาไม่ตรงจุด มันไม่ได้เพิ่มรายได้กับประเทศเท่าไหร่หรอกครับ น่าจะหาวิธีจัดเก็บภาษีให้มันมีประสิทธิภาพมากกว่านี้จะดีกว่า หรือถ้าอยากเก็บภาษีกับคนรวยที่พยายามหลีกเลี่ยงภาษีจริงๆ ก็ใช้วิธีเก็บ VAT ตามขั้นบันไดสิครับ สินค้าไหนราคาแพงก็เก็บ VAT แพง เช่น 10 - 20% ไปเลย แบบนี้คนรวยหมดสิทธิ์เลี่ยงภาษีแน่ๆ ครับ
โดย
Nanotube
ศุกร์ มิ.ย. 03, 2011 1:16 pm
0
0
Re: JAS มาม่าชามใหญ่ อยากระบายอะไรก็มาทางนี้
แหมเฮียๆๆ เพราะเฮียถาม ผมเลยตอบนะครับ สำหรับจังหวะนี้กำลังรอนะครับ ย้อนกลับไปตอนขาย ตอนที่ขาย มีเหตุผลดังนี้นะครับ 1. ราคาอยู่ในช่วง Fair price ของปีนี้ (ไม่ขอตัวเลข ทั้งตรงนี้และ หลังไมค์) 2. รายย่อยซื้อ ซื้อกันมาก บางเว็บเชียร์กันหน้าเกลียด มีเพื่อนโทรถามว่า ปีนี้จะมีลูกค้า 5 ล้านรายหรอ :!: ผมถามว่าไปรู้ข่าวมาจากไหน เพื่อนบอก S2M ... 2.1 ผมกลับไปวิเคราะห์ต่อว่า คนที่ซื้อ JAS ที่ราคา 3.7-3.9 เป็นใคร ซื้อทำไม หวังอะไร ผมพบว่าส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ฟังมาว่าราคาไป 6 บาท ? 2.2 ผมคิดต่อว่า ราคาที่ว่า มัน fair price ปีไหน ? คนซื้อหวังเดือนหน้า เค้าซื้อหุ้นราคาแถวๆใกล้ๆ Fair price เพื่อไปขายเกิน Fair price ในปีนี้ ? ฟองสบู่ 2.3 ผมวิเคราะห์ต่อว่า ถ้าไปที่ 6 บาท ใครจะซื้อ ? มีหรอ ? 2.4 ผมวิเคราะห์ฟังซื้อ ถึงสภาพวะจิตใจ คำตอบคือ ตกใจง่าย ! 2.5 ข่าวดีเต็มตลาดๆๆๆๆๆ 3. ฝั่งขายๆๆ ใคร ? แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่รายย่อย ไม่ใช่ VI ข้อนี้คือฟางเส้นสุดท้าย คิดไปคิดมา ตันๆๆๆ โอกาสขึ้น 30% โอกาสลง 70% ถ้าขึ้นต่อ โอกาสลงก็จะกลายไปเป็น 80% ถ้าขึ้น มีสิทธิ์ได้กำไร 30-50% ถ้าลงก็มีโอกาสขายทุน 30-50% สรุปคือ เกมส์นี้ เสี่ยงๆ ได้ไม่คุ้มเสียครับ ก็เลยคิดว่า อย่างมากก็หมู ผมก็เลยขาย ผลลัพธ์ หมูเต็มพิกัด :x ราคาวิ่งต่ออีก 10% แต่รู้สบายใจ โล่ง ล้างหนี้ หมูไป เดี๋ยวไปซื้อหมูที่อื่นก็ได้หวะ สำหรับจังหวะซื้อ.. ยังไม่รู้ครับ อยู่ในช่วงคิด รอ ดู ถามคนเก่งเทคนิคให้วิเคราะห์จิตวิทยาให้ กลับมาดูพื้นฐาน คุยกับหลายๆคน คงหาจังหวะต่อไป เพราะกองหน้า ช้อนหักไปแล้วคราบๆๆ 555 เลยป๊อดครับ 555 เหตุผลในการขายคล้ายๆ กันเลยครับ แต่ผมน่าจะปล่อยก่อนน้อง leaderinshadow นิดนึงเลยหมูยิ่งกว่า แต่เข้าใจว่าเป้าหมายราคาในปีนี้น่าจะใกล้ๆ กันจึงเป็นอีกเหตุผลนึงในการปล่อย :oops: แต่ที่ต่างกันคือ ผมยังไม่กล้าปล่อย JAS หมด เพราะเผื่อใจไว้กรณีคิดผิดครับ ไม่กล้าทุ่มเต็ม 100 ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นเพราะวัยที่ต่างกัน :oops: บางทีมันก็มีดวงมาเกี่ยวข้องแบบฟลุ๊กๆครับ ผมถูกสั่งมาให้ล้างมาร์จิ้น เฮียแกรู้ครับ ว่าใครสั่งมา :oops: มีหลายสิบเหตุผลที่กดดันให้ขายครับ ผมเลยทำคลายเครียดเรโชครับ ถือไปแล้วเครียด ถือเงินสดดีกว่า แต่คลายเครียดวิธีผม คือ ขาย JAS ออกหมด (ไม่ถึงกะล้างพอร์ต เพราะตัวอื่นยังอยู่ครบ) ใครอยู่ใกล้ๆผมช่วงนั้น ผมจะบ่นว่าขายหมู เช้า เที่ยง เย็น ก่อนนอน :x อารมณ์เดียวกันครับ ปล่อยแล้วมันวิ่งก็เสียดาย รู้สึกว่าจะร้อง อู๊ดๆ เช้า สาย บ่าย เย็น เกือบทุกวัน :oops: สุดท้ายพอ Market Correction ก็เข้าใจในปรัชญาของคำว่า "วินัยในการลุงทุน" ซึ่งผมต้องฝึกอีกมากครับ
โดย
Nanotube
อังคาร พ.ค. 10, 2011 7:39 am
0
0
Re: JAS มาม่าชามใหญ่ อยากระบายอะไรก็มาทางนี้
โพสต์ไว้ในห้อง JAS แล้ว แต่ขอตัดมาแปะให้ห้องนี้ด้วยครับ เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนนะครับ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ถือหุ้นทุกๆ คนนะครับ ผมเองเคยผ่านเหตุการณ์ตอนที่ JAS ลงจาก 2 บาท ไปต่ำสุดที่ 1.07 บาทมาแล้วครับ ตอนนั้นก็รู้สึกเซ็งมากๆ กำไรหายไปเกือบๆ 7 หลัก ความรู้สึกก็คงไม่ต่างจากคนที่เคยโดนเป็นครั้งแรกวันนี้มั้งครับ บวกกับความที่เป็นมือใหม่ยังไม่ตีแตกมากนักก็รู้สึกเครียดและกระวนกระวายตลอดว่าราคาในใจที่เราประเมินไว้มันถูกต้องหรือเปล่า ถ้าถูกทำไมคนถึงกระหน่ำเทขายขนาดนี้ ควรจะขายตามดีมั้ยเผื่อมันลงหนักกว่านี้ และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายก็ได้พี่นริศและพี่ๆ อีกหลายๆ คนในห้องนี้ ที่โพสต์เป็นกำลังใจให้ ก็เลยลองเชื่อมั่นในบทวิเคราะห์ของตัวเองดูสักครั้ง (เพราะตอนนั้นราคายังต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่ประเมินไว้พอสมควร) และกัดฟันถือตลอดมา แถมยังซื้อเพิ่มด้วยระหว่างทาง ซึ่งท้ายสุดราคาก็วิ่งขึ้นไปสะท้อนพื้นฐานของมันอีกครั้ง ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ว่าราคาหุ้นมันจะวิ่งสะท้อนเข้าหาพื้นฐานของมันเสมอ การตกลงอย่างรุนแรงในวันนี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญให้ใครหลายๆ คน ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าใครผ่านจุดนี้ไปได้ก็จะได้บทเรียนและประสบการณ์การลงทุนที่มีค่ามากมาย ซึ่งผมว่ามันมีค่ามากว่ามูลค่าพอร์ทที่ลดลงในวันนี้หลายเท่าครับ เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนครับ
โดย
Nanotube
ศุกร์ พ.ค. 06, 2011 10:57 pm
0
0
Re: รู้สึกอย่างไร เมื่อได้เด้งแรกในชีวิต
จาก ปสก.อันน้อยนิด ผมเคยได้1เด้ง 2 เด้ง 3 เด้ง จาก4 ตัว ช่วงแรกๆ เปิด port ทีไรก็ยิ้ม port ส๊วยสวย :D แต่ ผมไม่กล้าซื้อไม้2-3 เพราะกลัวว่าจะทำให้ port ลดความงามลง พยายามไปหาตัวใหม่แทน กลับพบว่า หุ้นที่เด้งไปชุดแรกก็เพิ่มขึ้นเด้งไปอีก ตัวใหม่ยังสู้ไม่ได้ เมื่อไม่นานมานี้ เลยกลับไปใช้วิธีเดิม ตอนที่เลือกหุ้นชุดแรก ว่า คิดว่าจาก จุดปัจจุบัน เหลือ upside อีกเท่าไหร่ จากที่ตั้งไว้ ถ้าตัวไหนเหลือมากกว่าก็ซื้อตัวนั้น แม้ว่าจะทำให้ความงามหรือเด้งลดลง ก็ยอม แต่เพื่อเป้าหมายที่ต้องการจริงๆ น่าจะเป็นผลตอบแทนของผลรวมทั้งพอร์ตมากกว่า :mrgreen: ประสบการณ์เดียวกันเลยครับ ไม่อยากซื้อเพิ่มเพราะกลัวพอร์ทไม่สวย ตรูจะบ้าตาย ไม่รู้ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ :wall:
โดย
Nanotube
ศุกร์ เม.ย. 29, 2011 8:33 pm
0
0
Re:
ตอนได้เด้งแรกในชีวิตนี่จำไม่ค่อยได้แล้วว่ายังไง... แต่ตอนกำไรมากๆ ในช่วงนี้... รู้สึกได้ถึง "กิเลส" และ "ความโลภ" ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น... ยิ่งมี ก็ยิ่งอยากได้ ยิ่งได้แล้ว ก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีก และคิดว่าถ้าสิ่งที่อยากมี อยากได้ ถ้าไม่ได้ก็จะเป็นทุกข์อีก... รู้สึกได้ว่า สติ ค่อยๆ หลุดออกไปเรื่อยๆ... ขาดสติมากขึ้นเรื่อยๆ... เฮ้อ... การเป็นคนมีสตินี่ยากจังเลยเนอะ... :roll: เห็นด้วย 100% เลยครับ
โดย
Nanotube
ศุกร์ เม.ย. 29, 2011 8:13 pm
0
0
Re: VI ควรรู้สึกยังไงกันครับเมื่อหุ้นที่คุณถือตกแบบไม่มีสาเห
"ราคาหุ้น...ไม่มีวันนิ่งได้ สิ่งที่เราทำได้คือ...ทำหัวใจของเราเองให้นิ่งแทน" สุดยอดมากครับพี่ :bow:
โดย
Nanotube
ศุกร์ เม.ย. 29, 2011 7:59 pm
0
0
Re: รบกวนช่วยกันหา ธุรกิจที่มหัศจรรย์ จากหลักการของ Buffet ค
PTT ก็ดีครับ เกือบๆ จะ Full Integration of Petrochemicals Chain แต่แม้จะครบวงจรยังไงก็ยังอิงกับ Commodity อยู่ดีครับ ขาขึ้นก็กำไรงาม แต่ขาลงก็ตัวใครตัวมันครับ ระหว่าง PTT กับ SCC ผมเลือก SCC มากกว่าครับ มีการ diversify ไปธุรกิจอื่นๆ ช่วยเป็น buffer ได้อย่างดีในกรณีที่ Petrochem เป็นขาลงครับ หุ้นมหัศจรรย์ผมชอบจะเป็นประเภทที่เกาะ Mega Trend มากกว่าครับ เช่น Health Care (จาก aging society แต่แพงอ่ะ) อาหาร (ราคาอาหารแพงขึ้นแน่นอน สภาพอากาศผิดปกติทำให้ผลผลิตน้อยลง แถมพืชอาหารก็ถูกเอาไปทำพืชพลังงานซะอีก แต่ก็เริ่มแพงแล้ว) ค้าปลีก (ชีวิตคนเคยชินกับค้าปลีกแล้ว ขาดเธอเหมือนขาดใจ แต่เสียดายแพงไปหน่อย) Internet (คนเริ่มรู้เยอะแล้ว) Sat TV (ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็คุ้มที่จะลงทุน) ธุรกิจลดความอ้วน (เสียดายไม่มีในตลาด) ธุรกิจความงาม (ไม่มีในตลาดเหมือนกัน เสียดายวุฒิศักดิ์ไม่ IPO) ธุรกิจกำจัดขยะ (ขยะล้นโลกแน่ๆ และกระแสส่ิงแวดล้อมกำลังมาแรง แต่เสียดายที่อิงกับอิทธิพลท้องถิ่น) เท่าทีนึกออกก็เท่านี้ครับ
โดย
Nanotube
ศุกร์ เม.ย. 29, 2011 12:00 am
0
0
Re: บริษัทที่ดีที่สุดของประเทศไทยที่ยังไม่ได้เข้าตลาด
Ensogo ครับ รอให้เข้าตลาดอยู่นะครับ
โดย
Nanotube
พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2011 11:21 pm
0
0
Re: The Buffett Lift การลงทุนในหุ้น BYD ของ Warren E.Buffett
ขอบคุณมากครับ :cool:
โดย
Nanotube
พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2011 8:56 pm
0
0
Re: นริศสอนน้อง
ของคุณมากๆ ครับพี่ ถ้ามีข้อมูลอัพเดตอะไร ผมจะมาขอความเห็นพี่อีก เป็นระยะๆ นะครับ
โดย
Nanotube
อาทิตย์ เม.ย. 24, 2011 1:01 pm
0
0
Re: นริศสอนน้อง
2. สื่อวิทยุถือเป็นอุตสาหกรรม sun set ไม่ใช่เพราะการเปิดเสรีที่พี่ให้ความเห็นไว้เพียงอย่างเดียว แต่ผมมองว่าเกิดจากกลุ่มผู้ฟังที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ (รวมถึงผมเองด้วย) ไม่ได้ฟังวิทยุเลย ยกเว้นตอนขับรถตอนเช้าเพื่อฟังรายการคุณสรยุทธ หรือฟังรายการบอลตอนขับรถ ซึ่งตรงนี้ต่างจากอุตสาหกรรมทีวี ที่ไม่ว่าจะเจนเนอเรชั้นไหนก็ยังคงต้องดูทีวี ยกเว้นเด็กรุ่นใหม่มากๆ ที่จะดูผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งจุดนี้ผมไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่เพราะ 2.1 โครงข่ายอินเตอร์เน็ตบ้านเรา ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ และยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ 2.2 กว่าที่ Trend การดูผ่านอินเตอร์เน็ต จะแซงหน้าการดูผ่านทีวี คงต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 - 15 ปี เพื่อให้เจนเนอเรชั้นนั้นโตขึ้นจนมีอิทธิพลกับการตัดสินใจซื้อก่อน (ตอนเด็กต้องอ้อนพ่อแม่ และถ้าพ่อแม่ไม่เคยเห็นโฆษณาบนอินเตอร์เน็ตอันนั้น ก็คงไม่กล้าซื้อให้แน่ๆ กลัวลูกโดนหลอก) 2.3 แม้ Trend การดูผ่านอินเตอร์เน็ตจะเกิดขึ้นจริง แต่ด้วยเทคโนโลยี Streaming ก็สามารถ On air บนอินเตอร์เน็ตได้แบบ Real Time ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มที่ต้องการดูผ่านอินเตอร์เน็ตได้เช่นกัน (ปัจจุบันก็ On air บนอินเตอร์เน็ตอยู่) 2.4 ในอเมริกาที่ผมเคยอยู่ ซึ่งระบบอินเตอร์เน็ตครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ อุตสาหกรรมทีวีก็ยังไม่ตาย โดยเจ้าของช่องดังๆ กลับใช้อินเตอร์เน็ตเป็นช่องทางในการโปรโมตช่องของเค้าเองด้วย เช่น Fox กับ NBC ที่ให้ดูซีรี่ย์ดังๆ ด้วยความคมชัดระดับ HD แบบ Online ได้ฟรี และสามารถดูย้อนหลังได้อีกด้วย (ผมชอบมากๆ เลย เอาสายต่อเข้ากับ TV คมชัดสุดยอด แต่น่าเสียดายที่เค้า Block สัญญาณให้ดูได้เฉพาะอเมริกาเท่านั้น) 2.5 ที่อเมริกานั้น 100% ต้องดูผ่านเคเบิ้ลครับ ไม่มีแบบเสาก้างปลา เนื่องจากรัฐบาลที่โน่นส่งเสริมให้ประชาชนของประเทศเค้าต้องมาดูทีวีผ่านเคเบิ้ล โดยการออกกฏหมายยกเลิกระบบฟรีทีวีครับ (อะไรจะเอาใจเจ้าของเคเบิ้ลขนาดนั้น) ซึ่งนี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมทีวีนั้น การดูผ่านเสาก้างปลาน่าจะลดน้อยลง และความแตกต่างระหว่างฟรีทีวีที่ดูผ่านเสาก้างปลา กับฟรีทีวีที่ดูผ่านเคเบิ้ลหรือทีวีดาวเทียมจะหมดไปในระยะยาว (ในอเมริกาผมเข้าใจว่าระบบทีวีดาวเทียมไม่น่าจะ work เพราะมีแต่ตึกสูง การรับสัญญาณดาวเทียมน่าจะไม่ดี จึงต้องเป็นระบบเคเบิ้ล แต่ไม่แน่ใจว่าตามเมืองชนบทๆ ใช้ระบบทีวีดาวเทียมได้มั้ย) ดังนั้นส่วนตัวผมจึงมองว่า ทีวีดาวเทียม น่าจะเป็น Megatrend เช่นเดียวกับอินเตอร์เน็ตครับ รบกวนขอความเห็นพี่อีกครั้งครับ ว่ามุมมองผมมีจุดบกพร่องตรงไหน หรือมีจุดไหนที่ความโลภมันบังตาผมทำให้ผมมองข้ามไปครับ ขอบคุณพี่อีกครับครับ
โดย
Nanotube
เสาร์ เม.ย. 23, 2011 10:18 pm
0
0
Re: นริศสอนน้อง
ขอบคุณมากๆ ครับพี่ ยกตัวอย่างได้เห็นภาพมากครับ ผมขออนุญาตแชร์ความเห็นของผมบ้างเกี่ยวกับทีวีดาวเทียมนะครับ ถ้าพี่พบว่าจุดไหนไม่ถูกต้อง หรือมองโลกแง่ดี เข้าข้างธุรกิจนี้มากเกินไปช่วยชี้แนะด้วยนะครับ เพราะผมก็กลัวว่าความโลภจะบังตาครับ เนื่องจากกำลังติดตามหุ้นตัวนึงอยู่ซึ่งราคามันถูกมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันครับ ผมเห็นด้วยกับพี่ 100% เลยว่าช่วงนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมทีวี ทั้งฟรีทีวีและทีวีดาวเทียม เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมวิทยุที่พี่ได้ให้ความเห็นไว้ แต่จุดที่ผมมองต่างมีดังนี้ครับ 1. จากการที่มีผู้เล่นรายใหม่เกิดขึ้นมากมายในอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียม เพื่อความอยู่รอดน่าจะเกิดการจับมือร่วมกันของผู้สร้าง Content เพื่อให้ Content มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่นปัจจุบันที่ Exact จับมือกับ Grammy ทำทีวีดาวเทียมช่อง Acts เพื่อรีรันละครของ Exact เป็นต้น ซึ่งความชัดเจนนี้น่าจะเห็นได้ในอีก 3 - 5 ปี ข้างหน้า และจุดนี้เอง ผู้ที่เข้ามาในอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียมและเริ่มประสบความสำเร็จก่อน จะเป็นแม่เหล็กดึงดูดเจ้าของ content ค่ายอื่นๆ ให้เข้ามาร่วมมือกัน ซึ่งจุดนี้เองที่ผมมองว่า Grammy และ RS ได้เปรียบเจ้าของ Content รายอื่นๆ อย่างมาก เพราะธุรกิจทีวีที่จะดึงดูดคนดูได้ Content ต้องสด ใหม่ ไม่ใช่ของแห้งที่เอามารีรันซ้ำ ซึ่ง Grammy กับ RS ได้เปรียบ เพราะธุรกิจหลักคือทำ Content เพลงอยู่แล้ว การนำ Content เหล่านั้นมา On Air จึงมีต้นทุนที่ต่ำกว่าเจ้าของ Content อื่นๆ อย่างเกมส์โชว์ หรือ ละคร ซึ่งไม่สามารถทำแบบสดๆ ใหม่ๆ ได้ เนื่องจากรายได้จากทีวีดาวเทียมที่ยังต่ำอยู่ทำให้ไม่คุ้มที่จะผลิตรายการ First Run ลงในทีวีดาวเทียม ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นโอกาสทองของทั้งสองค่ายเพลง ในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสร้าง Brand Awareness ในช่องของตนเอง
โดย
Nanotube
เสาร์ เม.ย. 23, 2011 10:17 pm
0
0
Re:
[quote="naris"][quote="tinithemandindang"]สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวกับสื่อทีวีดาวเทียมพี่นริศมีความเห็นอย่างไรครับสำหรับการเติบโต2-3ปีนี้..ท่ามกลางความแข่งขันที่สูงขึ้นผมอยากขอความเห็นสำหรับมุมมองภาพยาวๆสำหรับอุตสาหกรรมนี้จากพี่นริศครับขอบคุณครับ :D[/quote] [quote="เกล้า"]ขอบคุณครับพี่นริศสำหรับมุมมองของอุตสาหกรรมทีวีดาวเทียม.. :D :D :D[/quote] อยากทราบมุมมองของพี่เหมือนกันครับ เหมือนว่าพี่เคยตอบแล้ว แต่ผมหาคำตอบพี่ไม่เจอครับ ขอบคุณครับ
โดย
Nanotube
พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2011 10:24 pm
0
0
Re: นริศสอนน้อง
ที่ผ่านมาเหมือนกับว่าพี่นริศลงทุนตัวไหนก็ใช่ตลอด เรียกได้ว่ามีมุมมองและวิสัยทัศน์ที่เฉียบขาดมากๆ อยากทราบว่าเคยมีตัวไหนที่ผิดพลาดบ้างหรือเปล่าครับ หรือสิ่งที่พี่คิดว่าผิดพลาดที่สุดในการลงทุนอ่ะครับ อยากทราบไว้เป็นบทเรียนอ่ะครับ ขอบคุณครับ
โดย
Nanotube
พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2011 10:21 pm
0
0
Re: สรุปพอร์ต8ปีของ 2นิ+1น ผู้ยิ่งใหญ่>นิติ&นิเวศน์+นริศ
ผมเชื่อว่าถ้าพวกเรามีเงินเริ่มลงทุนที่ 30-2,000 ล้านแบบนั้น ผมว่าเราก็คงทำได้ไม่แตกต่างกันมากหรอก ลองนึกภาพว่าถ้าคุณต้องเอาเงิน 30 ล้าน มาลงในหุ้นจริงๆ โดยที่คุณไม่มีประสบการณ์เลยจะเป็นยังไง พอร์ทคุณลง 1% ก็เท่ากับหายไป 300,000 บาท คุณทำใจได้หรือไม่ แล้วถ้าคุณซื้อถูกตัว แต่ผิดจังหวะ พอร์ทคุณลงไป 10% = 3 ล้านบาท คุณทำใจได้หรือไม่ มองกลับกัน ถ้าพอร์ทคุณโต 10% ได้เพิ่มเป็น 33 ล้านบาท คุณทำใจไม่ขายได้หรือไม่ ผมกล้ารับประกันเลยว่าถ้าคนที่ไม่มีประสบการณ์เลย แล้วเอาเงิน 30 ล้าน หรือ 2,000 ล้านบาท มาลงในหุ้น เค้าไม่มีทางทำได้แบบท่านทั้งหลายเหล่านั้นแน่ ถ้าได้ก็คงไม่ยั่งยืนครับ จากประสบการณ์อันน้อยนิดของผม ส่ิงสำคัญที่สุดคือจิตใจครับ แม้คุณวิเคราะห์เลือกหุ้นถูกตัว แต่ใจไม่นิ่งพอ ทนถือยาวจนกระทั่งหุ้นตัวนั้นเปล่งประกายไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ครับ
โดย
Nanotube
พุธ เม.ย. 20, 2011 8:33 pm
0
0
Re: สรุปข้อมูลบริษัทจดทะเบียน ณ 30 ธันวาคม 2553 ทั้งตลาด
ขอบคุณพี่ครรชิตมากๆ ครับ มีประโยชน์มากจริงๆ ทำให้ประหยัดเวลาในการกรองหุ้นได้เยอะเลยทีเดียว :bow:
โดย
Nanotube
อังคาร ม.ค. 11, 2011 11:11 pm
0
0
Re: หุ้น IPO ส่วนใหญ่มันจะเปิดเหนือจองเหรอครับ
การ IPO หุ้นมันก็มีความเสี่ยงให้กับผู้ที่จองซื้อตอนแรกนะครับ เพราะเค้าก็ไม่รู้ว่าหุ้นตัวนั้นจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนายตลาดขนาดไหน โดยทั่วไป underwriter จึงต้องมี incentive จูงใจในกับผู้ที่จองซื้อ IPO ครับ โดยเฉลี่ยก็จะให้ส่วนลดประมาณ 30% ครับ รวมถึงมี green shoe ป้องกันราคาให้กับผู้จอง IPO ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคนจองซื้อ IPO ค่อนข้างจะมีอภิสิทธิ์มาก แต่ทั้งนี้การที่คุณจะได้หุ้นจอง IPO คุณต้องเป็นรายใหญ่ระดับนึงและมี relationship ที่ดีกับ underwriter นั้นๆ ครับ ไม่งั้นก็อด
โดย
Nanotube
พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 11:49 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
Nanotube
จันทร์ ก.ย. 13, 2010 8:38 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
Nanotube
พุธ มิ.ย. 16, 2010 2:41 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
Nanotube
พุธ มิ.ย. 16, 2010 12:35 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
Nanotube
จันทร์ พ.ค. 10, 2010 10:22 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
Nanotube
จันทร์ พ.ค. 10, 2010 8:38 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
Nanotube
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ พ.ค. 09, 2010 9:37 am
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
809 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.04% จากโพสทั้งหมด / 0.15 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว