หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
laohanant
Detect and Act on the market 's error.
Joined: อังคาร ธ.ค. 22, 2009 12:59 am
372
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - laohanant
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาจารย์เขียนเปรียบเทียบเรื่องอัตราต่อรอง กับ PE ได้ดีมากๆ เลยครับ :bow: แต่ผมมีมุมมองแตกต่างเล็กน้อยในเรื่อง บริษัทที่ชนะ กับ บริษัทที่เสมอ บางครั้งบริษัทที่ เสมอ นั้นก็อาจจะผลตอบแทนที่มาก กว่า 3 คะแนนได้ โดยที่ไม่ต้องมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงกว่าอันดับสองมากเป็นเท่าตัวหรือไม่ต้องรอซื้อในสถานการณ์ชั่วคราวเช่นเรื่องของภาวะตลาดหรือเศรษฐกิจที่ไม่ดี หากบริษัทนั้นอยู่ในตลาดที่ ที่ market life cycle นั้นอยู่ในช่วง early growth stage และช่วงระยะเวลาของ growth stage นั้นยาวนานพอ ถึงแม้จะไม่ผู้ชนะขาด แต่มีผู้ชนะที่ เสมอ กันอยู่ 2-3 บริษัทที่เด่นชัด ผมว่าการเลือกลงทุนใน 1 ใน 2-3 บริษัทนี้ ก็อาจจะมีผลตอบแทบดีไม่แพ้ super stock เช่นกัน เพราะถึงแม้จะไม่สามารถ gain share จากคู่แข่งที่เสมอกันได้ แต่ตลาดรวมนั้นขยายตัวมากพอ รวมถึงสามารถ gain share จากคู่แข่งรายที่เล็กกว่าลงไปได้ ทำให้การเติบโตทั้งรายได้และกำไรอาจจะไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันนัก เท่าที่ผมอ่านดู เข้าใจว่าตัวอย่างที่อาจารย์ยกมาน่าจะมีนัยหมายถึง บริษัทที่ market life cycle นั้นอยู่ในช่วง late growth ถึง maturity มากกว่า ซึ่งที่การเติบโตโดยส่วนใหญ่จะต้องมาจากการ gain share ของคู่แข่งเป็นหลัก โดยการเติบโตที่มาจากการขยายตัวของตลาดรวมจะมีไม่มากนัก การเลือกหุ้นที่ เสมอ ในกรณีนี้ ผมก็เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ :B
โดย
laohanant
อาทิตย์ มิ.ย. 24, 2012 11:39 pm
0
0
Re: สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Assets)
รบกวน 2 คำถามครับ :D 1. การวัดการด้อยค่าของสินทรัพย์ไม่มีตัวตน (ส่วนที่ไม่ทราบกำหนดเวลา) ทำกันอย่างไร :?: แล้วเราสามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้อย่างไร :?: 2. ในกรณีที่มีการซื้อกิจการที่ราคาตำ่กว่ามูลค่ายุติธรรม(หรือมูลค่าตามบัญชี)ของกิจการที่ถูกซื้อ จะมีการบันทึกค่าความนิยมอย่างไร :?:
โดย
laohanant
พุธ มี.ค. 28, 2012 9:37 pm
0
0
Re: หุ้นที่ดี ควรมีค่า d/e debt to equity เท่าไรดีครับ
ขอเสนอความเห็นของผมโดยส่วนตัวอะน่ะ เป็นอีกสักแนวทางให้พิจารณา :o โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองเรื่อง WACC จะสูงหรือจะต่ำ ไม่ใช่ประเด็น เลยจริงๆ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า earning ที่บริษัททำได้(ปรับปรุงแล้ว) เอาชนะ WACC ได้ไหม ได้มากเท่าไหร่ เหมือนการมองที่ EVA (Economic Value Added) เป็นหลัก ถึง WACC จะต่ำ แต่บริษัทยังคงทำได้แพ้ WACC จะยังคงน่าลงทุนไหม :?: ในทางตรงข้ามก็เช่นกัน ถึง WACC จะสูงแต่ชนะ WACC ขาดลอยยังไงก็ยังน่าลงทุนกว่าอยู่ดี :wink: จึงไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกที่ บริษัทที่มี ROE สูง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ทำรายการปรับปรุงกำไร จึงมีแนวโน้มที่จะเอาชนะ WACC ได้สูงเช่นกัน ส่วน D/E นั้น โดยปกติถ้าสูงก็ยิ่งทำให้ WACC นั้นต่ำลง แต่ถ้าถามว่าควรอยู่ที่ระดับเท่าใด ส่วนตัวผมมอง ว่าประเด็นสำคัญขึ้นอยู่กับ ระดับความเสี่ยง ของตัวธุรกิจเองที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับลักษณะและการแข่งขันของตัวธุรกิจเอง แล้วก็ศักยภาพทางการของแต่ละบริษัทซึ่งก็มีไม่เท่ากัน รวมถึงขีดความรู้ความสามารถของผู้ประเมิณเองด้วย เพราะในการมองเหตุการณ์อย่างเดียวกัน อาจเห็นความเสี่ยงที่ไม่เท่ากันครับ สรุปก็คือ D/E ควรอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่มากเกินไปครับหากมีสถาณการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น :mrgreen:
โดย
laohanant
พุธ ก.ค. 13, 2011 2:41 pm
0
0
Re: Company visit Gunkul 8 สค. ลงชื่อได้แล้วค่ะ
ไปด้วยครับ รบกวน 1 ที่ครับ :D
โดย
laohanant
อังคาร มิ.ย. 14, 2011 10:10 am
0
0
Re: จุดแข็ง จุดอ่อน ของ Value Invetment
จุดอ่อน ของ Value Investment ผมว่าไม่มีนะ ถ้ามีจะจุดอ่อน มันก็มีอยู่ที่ตัวคนลงทุน (Value Investor) เองต่างหาก :D 1.ไม่เข้าใจแก่นของหลัก Value Investment ที่แท้จริง ขาดความรู้พื้นฐานที่จำเป็น ทำให้สถานะการลงทุนมีความเสี่ยงที่สูงเกินไป 2.ไม่เข้าใจตัวเอง อีโก้ เชื่อมันในตัวเองสูงเกิน ไม่รู้จักขีดความรู้ความสามารถของตนเอง คิดไปเอง ไม่ยอมรับความผิดพลาด 3.ไม่ทำการบ้าน หรือทำน้อยเกินไป ทั้งก่อนและหลังการลงทุน บางคนชะล่าใจไม่ตรวจสอบติดตาม สถานการณ์แวดล้อมทั้งภายในภายนอก ที่ส่งผลให้พื้นฐานเปลี่ยน 4.ไม่อดทน ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ 5.ขาดความมุ่งมัน ในการฝึกฝน เรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง 6.ฯลฯ……………..โอ๊ยเยอะครับ ช่วยกันเสริมด้วย :wink:
โดย
laohanant
เสาร์ มิ.ย. 11, 2011 11:20 pm
0
0
Re: JAS มาม่าชามใหญ่ อยากระบายอะไรก็มาทางนี้
ถ้าผมจะหา "แพะ" ให้เรื่องนี้ ผมจะยกตำแหน่งนี้ให้กับ "การ์ตูนประจำสัปดาห์นี้" อ่ะนะครับ ลองไปดูตรงนี้ สรุปรายงานหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้นสูงสุด 50 อันดับแรก http://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html ดูย้อนไปไกลๆหลายๆเดือนด้วย ขอบคุณพี่ simplelife สำหรับมุมมองใหม่ๆ :D ไม่มีหุ้นแต่ชอบอ่าน เห็นแล้วหนาวขี้เลย :shock: margin.jpg หุ้นทั้งมี 7,244,251,378 หุ้น เล่นวางกันไปถึง........... โอ้ นี่แค่เดือน มีนาคม นะ แล้วไอ้ เมษา ที่ผ่านมานี้อีกล่ะ :shock: วางกันเกินครึ่งของรายย่อย ก็ต้องหมายความว่ารายใหญ่ก็วางด้วย :shock:
โดย
laohanant
อาทิตย์ พ.ค. 08, 2011 12:56 pm
0
0
Re: company visit UAC 28/5/54
ขอขอบคุณทีมงานสำหรับ visit ดีๆ :bow: รบกวน ขอ 1 ที่ ด้วยครับ อยากหาความรู้เรื่องโรงกลั่นไบโอครับ :D
โดย
laohanant
เสาร์ พ.ค. 07, 2011 12:05 pm
0
0
Re: อยากรู้วิธีวัดมูลค่าด้วย EV/EBITDA
ขอถามเพิ่มเติมครับ ถ้าเป็นอย่างนั้น การใช้ EV/FCF จะดีกว่าการใช้ EV/EBITDA แล้วเราควรใช้อัตราส่วน EV/EBITDA ย้อนหลังกี่ปีครับ หรือว่าใช้แค่ปัจจุบันก็พอ หรือต้อง forecast ในอนาคตไปอีก การใช้ Comparison Base Tool หรือเครื่องมือประเมิณมูลค่าแบบเชิงสัดส่วนเปรียบเทียบ (P/E,P/B , P/S , EV/EBITDA และ……นาๆ……….ฯลฯ )นั้น ผมว่ามันก็แล้วแต่ สไตล์ VI แต่ละคนจะหยิบอะไรมาใช้บ้าง กลับแต่ละสถาการณ์ ซึ่งก็คงไม่เหมือนกัน เหมือนเป็นศิลป์ ในส่วนของตัวหาร( E,EBIT, EBITDA ) ก็สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น 12 เดือนย้อนหลัง(หรือมากกว่านั้นแล้วเฉลี่ยเอาก็ไม่ผิด) หรือกำไรเฉพาะงวดปัจจุบัน หรือจะการคาดการณ์กำไรในอนาคต 12 เดือนข้างหน้า หรือ อื่น………ฯลฯ อันนี้แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน กับแต่ละสถาณการณ์ อาจทำในทุกกรณีก็ได้ถ้าขยันมากๆ โดยส่วนตัวผมเอง ผมเลือกใช้เครื่องมือกลุ่มนี้ เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่ง โดยจะให้น้ำหนักกับ การคาดการณ์ Forward 12 เดือนข้างหน้ามากว่า ซึ่งการคาดการณ์ล่วงนั้น หัวใจสำคัญ ผมว่าเราต้องรู้จักบริษัทที่เราจะลงทุนเป็นอย่างดีในทุกๆมุม ให้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการแกะงบย้อนที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต การคำนวณ FCF = EBIT (1-T) +DA - CapEx - CWC ตรง EBIT ต้องปรับให้เป็น เฉพาะ EBIT ที่เกิดจากการดำเนินงานปกติ ตัดรายการพิเศษออกแล้วใช่มั๊ยครับ แล้วในการประมาณมูลค่าหุ้นคุณ laohanant ใช้ค่าที่ว่านี่หรือป่าวครับ ถูกต้องแล้วต้องปรับปรุงกำไรโดยตัดกำไรพิเศษ ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ ทิ้งไป ส่วนตัวแล้ว โดยปกติ ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะใช้ตลอดครับ :D ขอถามเพิ่มเติมนะครับว่าในหนังสือ Essential Buffet ที่ buffet ใช้ owner's earning นี่หมายถึง FCF หรือป่าวครับ [/color] ถูกต้องแล้วครับ :mrgreen:
โดย
laohanant
พุธ เม.ย. 27, 2011 9:16 pm
0
0
Re: อยากรู้วิธีวัดมูลค่าด้วย EV/EBITDA
ขอเสริมละกันนะครับ เรื่องตัวแปรต่างๆ คืออะไรนั้นถูกแล้ว EV/EBITDA นั้นอาจเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์บริษัทที่มีผลขาดทุนในช่วงจุดต่ำสุดของวัฎจักร เนื่องผลขาดทุนสุทธิทำให้ไม่สามารถใช้วิธีอื่นได้ แต่ก็มีจุดอ่อน ที่เป็นช่องโหว่ สำคัญหลายประการเหมือนกัน จุดอ่อนสำคัญอย่างแรก EBITDA ไม่ได้คำนึงค่าใช้จ่ายลงทุนที่จำเป็น การที่จะทำให้ EBITDA นั้น sustainable ธุรกิจต้องมี Maintenace Capex หรือ ค่าใช้จ่ายลงทุนที่จำเป็นต้องมีเพื่อที่จะรักษากำไรเหล่านั้นไว้ เพราะถ้า Maintenace Capex นั้นมากกว่า DA จะทำให้เกิดภาพที่บิดเบือนไปได้อย่างมาก โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานสั้น หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่เทคโนโลยี่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ยังรวมผลกระทบของเงินเฟ้อที่ส่งผลให้บริษัทต้องลงทุนใหม่สำหรับสินทรัพย์ตัวเดิมในราคาที่สูงขึ้น การปรับปรุงตัวเลขโดยใช้ (EBITDA - Maintenace Capex) แทน (EBITDA) จึงให้ภาพที่เหมาะสมกว่า จุดอ่อนสำคัญอย่างที่สอง EBITDA ไม่ได้บ่งชี้ถึงคุณภาพของกำไรที่เป็นเงินสด และการใช้เงินทุนหมุนเวียน ไม่ว่าจะเนื่องจากนโยบายการรับรู้รายได้ที่แตกต่างกัน (เช่น การรับตามความก้าวหน้าของงาน กับ รับรู้ทีเดียวเมื่อส่งงาน) หรือ จากการที่บริษัทใช้นโยบายเร่งรับรู้รายได้ EBITDA นั้นไม่ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ถึงการได้รับเงินสดเข้ามาจริงๆ หากการเพิ่มขึ้นของยอดขาย และ EBITDA นั้น ส่งผลให้ อายุเฉลี่ยของรายการลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการได้เครดิตเทอมจากเจ้าหนี้ที่สั้นลง นั้นล้วนส่งผลต่อการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น ดั้งนั้นการปรับปรุงตัวเลขของการเปลี่ยนแปลงเงินทุนหมุนเวียน(CWC) จึงเป็นเรื่องจำเป็น การใช้ (EBITDA - Maintenace Capex-CWC) แทน (EBITDA) จึงให้ภาพที่เหมาะสมมากขึ้นไปอีก ซึ่งดูดีๆ มันก็คือ Free Cash Flow (FCF) นั่นเอง อาจปรับปรุงเรื่องค่าใช้จ่ายภาษีให้ถูกต้องเป็น (EBITx(1-tax) +DA - Maintenace Capex-CWC) ซึ่งนี่เป็นหัวใจหลักของการประเมิณมูลค่าแบบ Earning Power Value (EPV) ที่กำไรนั้น sustainable นั่นเอง สรุปแล้วโดยส่วนตัว การใช้ EV/FCF จะให้ภาพที่ถูกต้องมากกว่า EV/EBITDA :8) นอกจากนี้แล้ว EV/EBITDA ยังมีจุดอ่อนอย่างอื่นอีกเช่น หากบริษัทไปถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัทอื่นๆ EBITDA จะไม่ได้รวมกำไรจากบริษัทเหล่านี้ถ้าใช้นโยบายรู้รายได้จากการจ่ายปัลผลแล้วบริษัทร่วมไม่จ่ายปัลผลออกมาก จะทำให้ภาพ EBITDA ต่ำไป ทำให้ภาพ EV/EBITDA สูงไป เป็นต้น แม้แต่ตัวของบัฟเฟต์เอง ก็เคยกล่าวถึง EBITDA (อ้างอิงจาก The 5 keys to Value Investing by J.Dennis Jean-Jacques แปรโดยพี่ WEB) ไว้ว่า “ตัวเลขหนึ่งที่เรามองว่าไร้สาระก็คือ EBITDA ธุรกิจใดก็ตามที่ใช้สินทรัพย์ถาวรอย่างมีนัยสำคัญจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในระดับเดิมในแง่ของปริมาณการขาย ดั้งนั้นการใช้ตัวเลขที่ไม่ได้พิจารณาถึงเงินสดที่บริษัทจำเป็นต้องนำไปลงทุนเพิ่มเป็นเรื่องเขลาสิ้นดี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลิกนำ EBITDA ไปใช้อย่างผิดๆ เพื่อขายสินค้าในรูปแบบต่างๆ ปีแล้วปีเล่า” (ความเห็นส่วนตัว) คำว่า “ผู้คนจำนวนมาก” น่าจะหมายถึงเหล่านักวิเคราะห์ต่างๆ สุดท้ายแล้วก็ ลองพิจารณาการใช้เครื่องวัดมูลค่าเหล่านี้กันให้ดีๆ นะครับ :D
โดย
laohanant
พุธ เม.ย. 27, 2011 12:38 am
0
1
Re: มาร์ใหม่ค่ะ
เซ็งเลย เล่นขึ้น SP ห้ามซื้อขายแบบนี้ :x ว่าจะเล่นแทงข้างหลัง ย่องเก็บแบบ Hostile Takeover กับน้องเค้าซักหน่อย :ep: เลย อด เลยเรา 555 :P
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. เม.ย. 21, 2011 12:30 pm
0
0
Re: อิทธิพลของviเทียบกับขาใหญ่ที่ปั่นหุ้น
Bargain Hunter :bow: :bow: สรุปสุดยอดจริงๆ ครับพี่ :bow: :bow: ผมพูดกับเพื่อนแต่หาคำเรียก เท่ๆ อย่างนี้ไม่ได้ ได้แต่คุยเรียกกันว่า "น่าล่าส่วนต่างราคา" (อาจเพราะความรู้เรายังน้อยด้วยส่วนหนึ่ง :oops: ) ผมว่า กลุ่มนี้จัดเป็น VI ชั้น advance พวกเค้าทำการบ้านอย่างหนัก มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจกับมูลค่าของมันเป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุด พวกเค้านั้นรู้ "จุดตาย" ที่สำคัญของบริษัทเป็นอย่างดี ที่เหล่าแมงเม่าขึ้เกียจไม่มีวันรู้และเข้าใจ :8)
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2011 9:36 am
0
0
Re: ทำไมเงินเฟ้อแล้วหุ้นต้องตก
ไม่มีเหตุผลเลยที่เงินเฟ้อแล้วหุ้นตก ถ้าใครเชื่อว่าเงินเฟ้อแล้วหุ้นตกตอนนี้ต้องขายหุ้นที่มีในพอร์ตแล้ว กูรูที่สัมนาวันเสาร์ ที่ 19 ข้อคิดเห็นทุกอย่างมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ แต่ข้อสรุปว่เงินเพ้อหุ้นตก นั้นผมว่ามั่วและไร้เหตุผล ที่บอกว่าเงินเฟ้อจากต้นทุนเพิ่มทำให้ธุรกิจกำไรลดลง และมีข้อยกเว้นไว้นิดว่าถ้าไม่สามารถผลักภาระให้คนซื้อได้ ความจริงคือพ่อค้าจะตั้งราคาขายที่มีกำไรและสามารถขายได้ อย่างปุ๋ยก็ไม่ต้องขายเพราะราคาควบคุมขายแล้วขาดทุน เงินเฟ้อคือภาวะที่เงินมีมาก ดังนั้นถ้าจำเป็นแล้ว อย่างไรก็ต้องซื้อ เงินยิ่งเฟ้อสิ่งที่ต้องทำคือ พอร์ตฟอลิโอ จะต้องมีเงินสดให้น้อยที่สุด ยิ่งติดลบยิ่งดี มันส่งผลแบบลูกโซ่ครับ อุปกรณ์ป้องกันเงินเฟ้อที่สำคัญคืออะไรครับที่เหล่าธนาคารกลางใช้กัน :?: คำตอบก็คือ อัตราดอกเบี้ย ถ้าเงินเฟ้อมากขึ้น ไม่ต้องห่วงหรอกครับยังไงซะ อัตราดอกเบี้ยเดี๋ยวก็ต้องขึ้นตาม เมื่ออัตราดอกเบี้ย ขึ้น กระทบไหมครับ :?: ลองตามประวัติศาสตร์ดูก็ได้ครับ ว่าผลกระทบมีลักษณะตรงกันข้าม ลองคิดง่ายๆ นะครับ ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า อัตราเงินปันผล นอกจาก VI แล้ว ใครจะเอาเงินฝากไว้ในหุ้น แทนที่จะไปฝากไว้กับธนาคารซึ่งมีความแน่นอนกว่าครับ :D
โดย
laohanant
อาทิตย์ มี.ค. 20, 2011 11:04 am
0
0
Re: วิธีการโพสไฟล์ในกระทู้ [ เชิญทดลองในกระทู้นี้ได้เลยครับ
test test.jpg ฟหกดฟกด test.jpg
โดย
laohanant
ศุกร์ มี.ค. 18, 2011 10:32 pm
0
0
Re: รับสมัคร โครงการอบรมอาสาพิทักษ์สิทธิ์ผู้ถือหุ้น รุ่นที่
พอดีเมื่อตอนเย็นนี้ก่อนเลิก ได้มีรุ่นน้องใน ThaiVi ได้คุยกับผมแต่ผมไม่ได้ถามชื่อไว้ ที่ผมได้แนะนำเกี่ยวกับหนังสือ value investing เล่มสีดำของโคลัมเบียนั้น กลัวน้องเค้าจะเข้าใจผิดเล่มไป ที่น้องเค้าถามว่าเป็นเล่มที่หน้าปกมีตาชั่ง นั้นไม่มีนะครับ ผมอ่านมานานแล้วรู้ว่าเล่มสีดำแต่จำไม่ได้ว่ามีตาชั่งหรือปล่าว เล่มที่มีตาชั่งนั้นสีขาวผู้แต่งคือ Lowe, Janet ส่วนทีผมแนะนำคือ Value Investing: From Graham to Buffett and Beyond การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หลักสูตรมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดย Bruce C.N. Greenwald Judd Kahn Paul D.Sonkin Michael van Biema ไม่รู้ว่าปัจจุบันมีขายอยู่รึปล่าว ต้นฉบับ textbook เมื่อก่อนเคยเห็นมีที่ คิโน๊ะ พารากอน แต่ไปหลังๆ ไม่เห็นมีแล้วเหมือนกัน ก็ไม่รู้ปัจจุบันมีมาหรือยัง ถือโอกาสขออนุญาติเชียร์หนังสือเล่มแปรของพี่ WEB พรชัย รัตนนทชัยสุข เล่มนี้ไปเลยในตัว โดยส่วนตัวแล้ว เมื่อเทียบเฉพาะหนังสือที่เป็นภาษาไทยที่มีขายทั้งหมดในประเทศไทย ผมว่าหนังสือเล่มนี้ (Value Investing: From Graham to Buffett and Beyond) คือหนังสือที่สอนเรื่องการประเมิณมูลค่าหุ้นที่ดีสุดที่มีขายในร้านขายหนังสือในประเทศไทยเลยครับ ผมอ่านแบบเต็มๆ แบบหน้าจดหลัง ไปไม่ต่ำกว่า 5-6 รอบแล้ว ไม่นับรวมแบบที่เปิดอ่านเป็นจุดๆ อีกต่างหาก การอ่านซ้ำยิ่งทำให้เก็บรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย โดยเฉพาะการลงทุนแบบ Paul D.Sonkin เป็นสไตล์ที่ผมชื่นชอบมากๆ ครับ :cool: สิ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ก็คือสมการ Earnings Power Value (EPV) = Reproduction Cost + Franchise value หนังสือยกตัวอย่างการหา EPV เปรียบเทียบกับ Reproduction Cost ซึ่งส่วนต่างที่เกิดขึ้นก็คือมูลค่าของศักยภาพทางการแข่งขัน หรือ franchise value ไว้ได้อย่างดีมากๆ ครับ พลาดไม่ได้จริงๆ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ จัดว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อความเข้าใจเรื่องการหามูลค่าแท้จริงครับ :D
โดย
laohanant
อาทิตย์ ก.พ. 13, 2011 10:05 pm
0
0
Re: company visit synex 17/1/54 เวลา 9.00-12.00 น.
:'O เข้ามาเว็ปทุกวัน หายไปแค่วันครึ่งเอง :wall: เข้ามาอีกทีวันอาทิตย์เต็มเสียแย้ว :'O สำรองด้วยครับ 1 ที่
โดย
laohanant
อาทิตย์ ม.ค. 09, 2011 10:12 am
0
0
Re: อยากทราบวิธีที่จะขายได้ที่ราคาต่ำสุด
ขอบคุณมากครับ ทั้งพี่หมอ :bow: และ พี่ NB :bow: ที่ได้เสียสละเวลา มาช่วยให้ความรู้น้องๆ ครับ มีรุ่นพี่ดีๆ แบบนี้ ทำให้รุ่นน้องๆ นั้นพัฒนาความคิดความได้มากทีเดียวรวมถึงตัวผมด้วย :bow: ชอบมากครับ โดยเฉพาะประโยคนี้ของพี่ NB ผมยอมขาดทุนเงินแต่กำไรโอกาสครับ! โดยนัย น่าจะสรุปเรื่องของการขายหุ้น หรือการปรับพอร์ต ควรเกิดเมื่อ 1.ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจเปลี่ยน แปลงไป ไม่ว่าจะมาจากภายในตัวองค์กรเอง หรือมาจากการเปลี่ยนแปลงจากสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งส่งผลทำให้ตัวบริษัทนั้นสูญเสียศักยภาพทางการแข่งขันไป 2.การวิเคราะห์ผิดพลาดเอง (ส่วนมากผมว่า โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากที่มีมุมมองที่ไม่รอบด้านพอ โดยที่จุดที่มองผิดไปหรือ ไม่ได้คำนึงนั้นเป็นจุดที่มีนัยสำคัญ) แล้วมารู้ตัวภายหลัง 3.ราคาหุ้นที่ครอบครองนั้นสะท้อนคุณค่าที่แท้จริงหรือเข้าใกล้มาก หรือ พบหุ้นอื่นที่ undervalue มากกว่ามากๆ 4……………………. น่าจะครบไหมครับพี่
โดย
laohanant
พุธ ธ.ค. 22, 2010 9:59 pm
0
1
Re: นักลงทุน VI ต่างแดน
ขออนุญาตินอกเรื่องนะครับพี่ ผมอยู่เมืองไทยคงไม่สามารถแสดงความเห็นได้ แต่อยากรู้เรื่องต่างแดนครับ ขออนุญาติสอบถามแทนนะครับ 1. หุ้นที่ ออสเตรเลีย นี่ น่าไปลงทุนไหมครับพี่ 2. คุณภาพบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เมื่อเทียบกับเมืองไทยทั้งในเรื่องศักภาพของบริษัทและผู้บริหารนั้นจัดว่าเป็นยังไงบ้างครับ 3. การจะไปลงทุนมีขั้นตอนยุ่งยากไหมครับ (ไม่รู้ถามกว้างไปรึปล่าว :oops: รบกวนด้วยครับ )
โดย
laohanant
จันทร์ ธ.ค. 20, 2010 5:31 pm
0
0
Re: ซื้อเป็นขายไม่เป็น
คนจำนวนมากสนใจแต่กลยุทธ์ ในการเข้า ไม่เตรียมกลยุทธ์ ในการออกไว้ ถ้าทุกครั้งที่ซื้อหุ้นแล้วเราคิดไว้อย่างรอบคอบแล้วว่าจะขายกรณีไหน เมื่อไหร่บ้าง ก็คงไม่มีปัญหาในการขาย เหมือนกับเราเข้าไปในตึกสูง ก็ควรมองหาทางหนีไฟไว้ หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปตลอดไม่ว่าราคาจะเป็นเช่นไร ตราบที่กิจการบริษัทยังดีอยู่ หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าจะถือไปจนราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่เราคำนวณไว้ หุ้นบางตัวเราอาจกำหนดกลยุทธ์ไว้ว่าเมื่อประกาศข่าว...ออกมา เราจะขายหุ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราน่าจะคิดได้ตั้งแต่ก่อนซื้อหุ้น เพราะส่วนใหญ่เหตุผลที่เราใช้ในการขาย มักจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่เราใช้ตัดสินใจซื้อ :D :D :D ผมถึงขนาดเตรียมร่มชูชีพไปเวลาเข้าตึกสูงเลย :D :lovl: ถ้าตึกสูงไม่พอ ร่มมันจะกางไม่ทันนะผมว่า ถึงมีร่มก็อาจตายได้ อย่างเมืองไทยเนี่ยผมว่าต้อง ตึก ไบหยก2 อย่างเดียว :rofl:
โดย
laohanant
เสาร์ ธ.ค. 18, 2010 10:28 pm
0
0
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นต้องแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกจากก
ค=คิด ว=วิเคราะ ย=แยกแยะ :rofl:
โดย
laohanant
เสาร์ ธ.ค. 18, 2010 10:09 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. ก.ย. 23, 2010 10:17 pm
0
0
สรุปสัมนาเรือ่ง Megatrend และกลยุทธ์หุ้น ครับ
ขอบคุณมากครับ ไม่ทราบว่าจะมีการถ่ายทอด เทปที่บันทึกไว้ปล่าวครับ :?: ไม่ได้ไป แต่อยากดูอ่ะ :la:
โดย
laohanant
จันทร์ ก.ย. 20, 2010 11:00 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. ก.ย. 16, 2010 10:09 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
อังคาร ก.ย. 14, 2010 3:21 pm
0
0
7-11 ใหญ่จนใครๆก็กลัว
มันก็จริงครับ แต่มันเกินไปรึปล่าวครับ ผมไป สิงคโปร มาเก๊า ฮ่องกง มา ก็ยังไม่เคยเห็นเปิดแบบใกล้กันเป็นยวงอย่างนี้เลยครับ เค้าแบ่งพื้นที่กันอย่างดีครับ ก็แค่รู้สึกสงสารคนที่ซื้อเฟรนไชด์ไป แล้วทำเลนั้นเกิดขายดีมาก ตัวบริษัทเองก็มาเปิดแข่งกันข้างๆ อีกเท่านนั้นเองครับ อีก หนึ่ง ไม่พอ ยังสอง สาม อีกนีสิ เปิดเพื่อขายเฟรนด์ชายออกไปอีก ผมว่ามันไม่ค่อยแฟร์นะ ค่อนข้างจะ.............. ทีเดียว :(
โดย
laohanant
จันทร์ ก.ย. 13, 2010 2:53 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
อาทิตย์ ก.ย. 12, 2010 8:53 pm
0
0
7-11 ใหญ่จนใครๆก็กลัว
ในมุมของผู้ถือหุ้น การขยายตัวของสาขานับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในมุมของจรรยาบรรณ มนุษยธรรมแล้ว ในหลายๆ บริเวณผมได้เห็นร้าน 7-11 ตั้งเรียงกันไปมา 3-4 ร้าน ในบริเวณที่เรียกว่าแทบจะนับก้าวเดิน ไปหากันได้เลย เรียกได้ว่าแทบจะแย่งลูกค้ากันเอง เพื่อนๆ พี่ๆ คิดกันว่าอย่างไรบ้างครับ :?:
โดย
laohanant
อาทิตย์ ก.ย. 12, 2010 1:07 am
0
0
แนะนำโทรศัพท์มือถือ ที่สามารถใช้ซื้อขายหุ้นให้หน่อยครับ
ใช้ htc touch 2 อยู่ครับ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ฝืดๆ ก็ ทนๆ ใช้มันไป เพราะใช้ดูมากกว่า ไม่ค่อยได้เทรด เท่าไหร่ คิดไปคิดมาเหมือนคิดผิดจริง จำทน :x ซื้อไป 16000 บาท ถัดมาอีกเดือน กลับไปอีกทีมันลดเหลือหมื่นเดียว เซ็งเป็ดเลยเรา :wall: :'O
โดย
laohanant
อาทิตย์ ก.ย. 12, 2010 12:08 am
0
0
VI คิดยังไงกับคำพวกนี้
เหมือนกับเป็นความคิดของคนที่ไม่รู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่ตัวเองถือครองนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ถ้าคนเรารู้มูลค่าที่แท้จริงของสิ่งที่ตัวเองมี โดยที่มิได้เข้าใจผิดไปเองเกี่ยวกับคุณค่านั้น ผมว่าจะไม่มีคำพูดเหล่านี้ :D ถ้าเปรียบเปรยยกตัวอย่างที่คนส่วนใหญ่มีสิติ เพราะมันมีสภาพคล่องน้อย มีเวลาคิดมาก ผลากระทบเชิงอารมณ์น้อย เช่นสมมุติปัจจุบันคุณซื้อที่ดินมาราคา 100,000 บาทต่อตร.วา แต่คุณก็รู้ว่าอนาคตรถไฟฟ้ากำลังจะตัดผ่านหน้าที่ดินของคุณ คุณก็พอจะประเมิณมูลค่าของที่ดินในอนาคตของคุณได้เมื่อเทียบกับทำเลติดรถไฟฟ้าที่ได้สร้างไปแล้ว คุณก็คิดว่ามันมีค่าไม่ต่ำกว่า 400,000-500,000 บาทต่อตร.วา แต่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีข้างหน้า ต่อไปก็คือถ้ามีคนมาเสนอราคาซื้อคุณเช่น ถ้าให้ราคาต่ำกว่า <100,000 บาทต่อตร.วา คำถามคือจะต้องมีคำว่า Cut loss ไหม คำพูดที่ควรจะเป็นคือ ...................... ถ้าให้ราคาในช่วง 100,000-200,000 บาทต่อตร.วา คำพูดเช่น มีกำไรไม่ต้องเดี๋ยว ขายก่อนอ่อนซื้อกลับ อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน เดือนตุลาหุ้นจะลงขายก่อนแล้วค่อยกลับมาซื้อใหม่ คาดว่าจะไม่ผ่านแนวต้านให้ขายออกไปก่อน หุ้นจะพักฐาน ช่วงนี้ให้เปลี่ยนตัวเล่น สำหรับแนวคุณค่าที่แท้จริงคงจะไม่มีคำพูดเหล่านี้แน่ คำพูดที่ควรจะเป็นคือ ...................... แต่ถ้าให้ราคาในช่วง 400,000-500,000 บาทต่อตร.วา คำพูดที่ควรจะเป็นคือ ...................... ผมว่า VI ก็คงนั่งยิ้มอย่างมีความสุข อาจจะขายให้เลยโดยมิต้องมีคำพูดใด หรือพิจราณาเก็บไว้ก่อนแล้วพิจราณาใหม่อีกทีเพราะคุณค่าจริงอาจมากกว่านั้นก็ได้ ก็แล้วแต่สไตล์ VI เฉพาะแต่ละบุคคลไป :D
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. ก.ย. 09, 2010 11:01 am
0
0
ถ้าเกิดเหตุการณ์ปี 40 อีกครั้ง ชาว VI จะรอดมั๊ย
ผมว่าเพิ่งจะเป็นช่วงเริ่มต้นในตลาดกระทิงรอบใหญ่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า :mrgreen: หลายๆ คนก็ออกแนวหวาดกลัว เป็นเรื่องปกติเมื่อขึ้นมาเยอะๆ แต่ถ้าลองได้กลับไปศีกษาสาเหตุที่ฟองสบู่แตกใหญ่ปี 2540 ดูดีๆ แล้วก็จะรู้ว่าปัจจุบันยังห่างอีกไกลโขทีเดียวนะ :D ถึงแม้ตอนนั้นในอนาคต ทั้งตลาดจะ Overvalue แต่ก็ใช่ว่าฟองสบู่จะแตกทันที มันอาจจะขยายตัวออกไปอีกหลายเท่าในหลายปีก็เป็นได้ อย่างที่ลินซ์ ว่าไว้ ว่ามันเหมือนกับตัวกระตูนที่กระโดดออกจากหน้าผา มันก็ยังคงไต่อากาศขึ้นไเรื่อยๆ ตราบเท่าที่พวกมันยังไม่รู้ตัว :lovl:
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 08, 2010 3:13 pm
0
0
คุณรู้สึกอย่างไร
เพียงเพราะว่าราคาหุ้นขึ้นไปไม่ได้หมายความว่าคุณถูก เพียงเพราะว่าหุ้นลงก็ไม่ได้หมายความว่าคุณผิด ตราบเท่าที่คุณไม่ได้เข้าใจผิดไปเองเกี่ยวกับหุ้นที่คุณถือครอง :D และก็ตราบเท่าที่คุณยังเห็นคุณค่าที่แท้จริงในหุ้นที่คุณถือครอง มากว่ากว่าราคาปัจจุบันนี้มากมาย :D
โดย
laohanant
อังคาร ก.ย. 07, 2010 11:03 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 9:05 am
0
0
ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้
อยากจะบอกเพิ่มให้ทุกท่านที่ได้อ่านตระหนัก เพราะคนเรามันมักลืมอดีตที่ผ่านไปกันง่าย ทั้งๆ ที่ผ่านไปไม่นาน อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ ก็คือเงินเฟ้อจากต้นทุนพลังงาน คิดง่ายๆ อีกเหมือนกัน น้ำมันมีแต่จะหมดโลก ในช่วงระยะเวลาไม่นานจากนี้ ราคาน้ำมันมีแต่จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อจากต้นทุนพลังงาน สังเกตุง่ายๆ ครับถ้าราคาน้ำมันขึ้นแรง ทองคำก็ขึ้นแรงตาม เมื่อก่อนที่ทองคำนั้นไม่ perform ก็มีส่วนจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ขาดปัจจัยเร่ง แต่หลังจากนี้ไปมิใช่แน่ๆ ขอบอก ฮิฮิ :mrgreen: :D :lovl:
โดย
laohanant
ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 12:59 am
0
0
ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้
คุณคิดว่าตลาดทองมัน efficient ตลอดเวลากว่าตลาดหุ้น? หรืออย่างน้อยแปรผันตรงกับค่าเงินเฟ้อ ? ราคาทองตอนประมาณปี 2522-23 เกินห้าพันบาทเป็นครั้งแรก (ประมาณ 5500-6000 ถ้าจำไม่ผิด) หลังจากนั้นก็ตก/sideway มาเป็นสิบปี กว่าราคาทองจะสูงขึ้นมาเกิน ห้าพันบาทอีกครั้ง กว่าจะตั้งหลักโงหัวขึ้นมาเกิน 6000 จริงๆจังๆอีกครั้งก็ปาเข้าไปปี 2545 แล้วครับ ถ้าเงินเฟ้อมันประมาณ 4% ต่อปี ตั้งแต่ปี 23 จนถึงปัจจุบัน ปี 23 ราคาทอง 5600 บาท เทียบเป็นเงินปัจจุบันเท่ากับ 18,100 บาท แปลว่ามันใช้เวลา 30 ปีกว่าราคาทองจะไล่เงินเฟ้อทัน ระหว่างนั้นมันแพ้เงินเฟ้อมาตลอด ที่สำคัญผมเชื่อว่าถ้าซื้อทองวันนี้ที่ราคา 18,xxx แล้วเก็บไว้อีกยี่สิบปี ก็ยังมีโอกาศแพ้เงินเฟ้ออยู่ดีครับ โอกาสสูงด้วย ผมพยายามจะบอกว่าอย่ามองอะไรง่ายๆเกินไปครับ ว่าลงทุนแบบนี้ได้น้อย แพ้เงินเฟ้อไม่เอาดีกว่า จะเอา capital gain เยอะๆเร็วๆอย่างเดียว อ้อ จากตัวอย่างคุณ chatchai ข้างบน ถ้าซื้อหุ้นที่ 10 บาท ได้ปันผลมา 12 ปีตามตาราง ต่อให้บริษัทเจ๊ง(ล่มสลายไปเลย คือขายไม่ได้ terminal value = 0)ก็ยังได้ yield ที่ 7% ต่อปีของเงินต้นนะครับ ถ้าขายได้ซัก 14 บาท ก็น่าจะประมาณ 13% งั้นต้องมารอดูอีก 20 ปี ใครจะชนะ ฮิฮิ :D พอดีสมัยทองอยู่ 5,000 เพิ่งเกิด เลยลองหาข้อมูลย้อนกลับไปดูสมัยที่ยังเป็นไม่เป็นวุ้น ราคาเฉลี่ยปี 2514 อยู่ที่ประมาณ 450 บาท ก็ไม่รู้ตลาดหลักทรัพย์สมัยนั้นมีรึยัง สมมติ (ย้ำๆ สมมุตินะ) ว่ามีถ้าซื้อหุ้นให้ผมตอบแทนอย่างที่ว่าในปี 2514 ก็ไม่รู้ว่าบริษัทจะอยู่มาถึงปัจจุบันรึปล่าว เอาแค่ 12 ปี จากปี 2514 ก็ได้ ชนะทองรึปล่าว (ปี 2525 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4,230 บาท) หรือถ้าเทียบโดยเริ่มจากปี 2541( ราคาทองเฉลี่ยอยู่ที่ 5,750 บาท) ครบถึงปัจจุบัน 12 ปีพอดีที่ปี 2553 (ก็ประมาณ 18,000 บาท) ถามว่าใครชนะระหว่างเงินเฟ้อกับทองคำ ถ้าจะเทียบกันมันต้องเทียบกันยาวกว่านั้นจริงๆ มันก็อย่างที่ท่านว่าไว้ตลาดทองมันมีประสิทธภาพรึปล่าว ซึ่งท่านก็ว่าๆ มันไม่ใช่ แล้วถ้ามันไม่ใช่ ปัจจุบันราคาทองมัน undervalue หรือ overvalue ล่ะ การที่ท่านมองแค่บางช่วงแล้วตัดสินให้มัน แพ้ มันเป็นไปได้รึปล่าวว่า ทองมันยังไม่ได้สะท้อนมูลค่าแท้ๆ ที่ควรจะเป็นออกมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังจะบอกว่า เงินที่เป็นกระดาษจะมีค่ามากกว่าทอง ฮิฮิ ( อาจจะไม่ใช่คนแรกของโลก แต่ก็เป็นคนแรกที่ผมเจอ ผมอาจจะเป็นคนที่คิดผิดไปเองก็ได้ :lovl: - ตอนนี้หัวเราะวันหน้าผมอาจจะ :'O ก็ได้ แซวเล่น) อยากรู้คำตอบบางทีไม่ต้องรอถึง 20 หรอกครับ ทองเป็นสินแร่ ไม่ได้งอกออกมาใหม่ได้ขุดไปยังไงก็หมด ถ้าไม่มีการพิมพ์กระดาษ สิ่งที่จะใช้แทนเงินตราที่ใช้อย่างแท้จริงก็คือทองคำ ตามเท่าที่โลกนี้ยังไม่สูญสลาย มนุษย์ก็ยังตัองมีการแลกสินค้าและผลผลิต ที่ผ่านมาบางช่วงเวลาที่มันไม่ perform ก็เพราะพวกธนาคารกลางหลายประเทศขายทองเข้ามาในตลาด แต่ต่อไปผมว่ามันจะไม่ใช่แล้ว ฮิฮิ ไม่นานเกินรอ :mrgreen: :D :lovl:
โดย
laohanant
ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 12:16 am
0
0
Re: ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้
ขอแย้งหน่อยนึงครับ คำว่า5%นี่มันเป็นเพียงแค่ ปันผลที่โตนะครับ อันนี้เบลอครับ :oops: ตามที่ว่าไว้ข้างต้น ถ้าสมมติว่าราคาหุ้นขึ้นมาในอัตราเดียวกันกับเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น นั่นแปลว่า capital gain จะเป็นแค่เพียง 5%ต่อปี แต่เงินที่เราได้มาทั้งหมดไม่ได้มีแค่นี้นะ (ที่pe=10; 18บาท-10บาท = 8บาท) เราไม่ได้ได้รับเงินมาเพียงแค่ 8บาทตลอดระยะเวลา 12ปีนะ แต่เรายังได้รับเงินมาอีกถึง 15.7 บาทตลอดระยะเวลา 12ปีนะ เงินปันผลก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนเหมือนกันนะครับย่างมองแค่ capital gain อย่างเดียว ถ้ารวมเงินจำนวนนี้ไม่ใช่แค่ 5%ทบต้นอย่างที่ว่ามาแน่ (ประมาณ 11-12%) นี่ยังไม่รวมว่าเราเอาเงินปันผลมาลงทุนต่อนะ ผลตอบแทนขนาดนี้ ไม่ไร้ค่าหรอกครับ ผมเข้าใจว่าโจทย์ของพี่ Chatchai คือ ราคาหุ้นคงที่นะ ถึงประกาศจ่ายปันผล หุ้นก็ dilute ลงมาที่เดิม ประเด็นของผมที่ผมแซกไว้ครั้งแรกอีกอย่างก็คือเกี่ยวกับเงินเฟ้อแฝงจากการควบคุมราคาต่างๆ ของรัฐเต็มไปหมด มันเหมือนกับเป็นภาพลวงตาที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น (อาจมากกว่านั้น ถ้าแอบมีการอัดฉีดพิมพ์เงินเข้าระบบเพิ่มเข้าไปโดยเราไม่ทราบ-อันนี้คิดเล่นๆ เอาเอง) :D เมื่อเงินเฟ้อทบต้นที่แท้จริง มากกว่าตัวเลขที่เราเห็นๆ มูลค่าหุ้นที่ปีที่ 12 ที่คงที่เหมือนเดิม ถ้าคิดแบบ VI ก็ต้องมีการคิดเผื่อสำหรับอัตตราเงินเฟ้อแฝงที่มองไม่เห็นนี้เพิ่มเข้าไปด้วย ในการคำนวณ Discount ราคาหุ้นที่ปีที่ 12 ลงมา เมื่่อได้ราคาหุ้นของปีที่ 12 ที่ Discount ลงมา นำไปรวมกับเงินปันผลที่ได้รับต่อปี(ต้อง Discount ด้วยนะ) ก็ได้ผลตอบแทนรวม จากนั้นเราก็สามารถหาผลตอบแทนทบต้นตลอด 12 ปี ได้ เราก็จะได้ภาพที่ชัดเจนสำหรับการเลือกลงทุนในหุ้นตัวนี้ ว่าคุ้มค่าไหมกับ ทางเลือกอื่นๆ ที่เรามีครับ :D
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. ก.ย. 02, 2010 10:22 am
0
0
ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้
[quote="laohanant"]พิมพ์ไป เบลอไป งงตัวเองเหมือนกัน ขออภัย
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. ก.ย. 02, 2010 9:33 am
0
0
ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้
[quote="simplelife"][quote="laohanant"]พิมพ์ไป เบลอไป งงตัวเองเหมือนกัน ขออภัย
โดย
laohanant
พฤหัสฯ. ก.ย. 02, 2010 12:59 am
0
0
ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้
พิมพ์ไป เบลอไป งงตัวเองเหมือนกัน ขออภัย :oops: ประเด็นของผมก็คือ ถ้า yield มันไม่มากว่าเงินเฟ้อที่แท้จริง มันก็ไร้ค่าครับ :D
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 5:08 pm
0
0
Re: ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงขาดทุนในการลงทุนได้
[quote="chatchai"]ถ้าเราเลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นคง
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 3:59 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 10:35 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 9:56 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 9:15 am
0
0
ลงทุนในหุ้ืน หรือ ลงทุนในอสังหาฯดีกว่ากัน
ตามภูมิปัญญาแบบชาวบ้านๆ ของผม วิถีทางแห่งธรรมชาตินั้นคือ - อสังหาฯ นั้นมันงอกไม่ได้ครับ หรือคลอดลูกออกมาเป็น ที่ดินตัวน้อย บ้านตัวน้อย คอนโดตัวน้อย ไม่ได้ครับ ผลตอบแทนที่ท่านจะได้รับก็คือ มูลค่าตัวมันเองที่เพิ่มขึ้น กับค่าเช่า (ถ้ามี) เท่านั้นเองครับ - แต่หุ้นนี่สิ กิจการจากมี 1 สาขา คลอดลูกคลอดหลานออกไปเป็น 2,4,8,16, โอ๊ยทายาททุกคนสร้างรายได้กลับมาหมด ( ฮิฮิ พอเห็นภาพยังครับ) ขอสรุปตามแนวทางแห่งคุณค่า แบบบ้านๆ ส่วนตัว:D ลงทุนอสังหาฯ ตามแนวทางแห่งคุณค่านั้นให้ ผลตอบแทนต่ำ ความเสี่ยงต่ำ จากเหตุผล 1. ข้างต้น 2. โอกาสหาซื้อของถูกผิดราคาเกิดขึ้นยาก ถึงแม้ผู้ขายจะร้อนเงินเพียงใดก็ยังมีสติดีพอที่จะไม่ขายถูกจนเกินไป 3. ต้นทุนทดแทนเรื่องวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นแน่ๆ เรื่อยๆ ทำให้ yield ค่าเช่าลดต่ำลง 4. ข้อยกเว้นเดียวที่จะได้ capital gain สูงๆ ก็คือ ท่านต้องไปลงทุนในที่ๆ จะมีการพัฒนาทางด้านคมนาคมดีขึ้นอย่างมากในอนาคต โดยเข้าไปลงทุนไว้ก่อนในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาโครงการนั้นๆ ลงทุนในหุ้น ตามแนวทางแห่งคุณค่านั้นให้ ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ จากเหตุผล 1. ข้างต้น 2. โอกาสหาซื้อของดีซึ่งถูกผิดราคาเกิดขึ้นง่ายครับ เพราะท่าน mr. market นั้นมีอยู่เกือบเต็มตลาด ท่านใช้อารมณ์ของตัวเองเป็นหลักอย่างที่เราๆ ท่านๆ รู้ๆ กันอยู่ จนบางครั้งกิจการดีๆ ให้ส่วนลดถึง 50% บางที 80-90% ยังมี ทำให้ความเสี่ยงของเราถูกกดต่ำแทบติดดิน ยิ่งบางชั่วขณะที่ market Cap. ต่ำกว่า FCF ไม่อยากจะบอกว่าของฟรีนั้นมีในโลกก็ที่นี่แหล่ะครับ มีอยู่ที่เดียวก็คือตลาดหลักทรัพย์ ฮิฮิ 3. ผลตอบแทนของหุ้นชั้นดีคงไม่ต้องอธิบาย แสดงให้เห็นในตลาดได้ ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว 4. Yield นี่ไม่ต้องห่วงถ้าแตกตัวได้อย่างข้างต้นจะมหาศาลขนาดไหน 5. ฯลฯ มีเหตุผลดีๆ อีกมากมาย พร่ามไปคงไม่หมดอย่างตำราที่เขียนกันได้เป็นเล่มๆ :lovl: จะเลือกแบบไหนไม่มีคำว่าผิดหรอกครับ ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนคาดหวังของแต่คน ซึ่งก็ไม่เหมือนกัน และก็อยู่ที่ศักยภาพและวิจาณญาณของผู้ลงทุนเองที่จะเลือกระหว่าง ที่ดี กับที่เน่า หรือหุ้นดี กับ หุ้นเน่า ด้วยครับ :lol: ขอให้โชคดีครับ :D
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 8:45 am
0
0
ทำไม่โบรกเกอร์ ถึงเกลียดนักลงทุนแนว VI
ไม่อยากจะบอกเลยว่าไม่เคยเห็นหน้ามาร์ แล้วก็ไม่เคยไปเหยียบที่ โบรกด้วย :oops: load ใบสมัคร สัญญา ทางเน็ท เซ็นไปพร้อมเอกสาร ที่ต้องใช้ แล้วส่งไปรษณีย์ไป แล้วเค้าก็ mail ครับมา โอนเงินเข้าไป แล้วก็ตามอัทยาศัย :D โลกส่วนตัวแบบ cash balance สุขมาก อยากทำอารายทำ อยากเคาะอารายเคาะ อยู่กับบ้านตลอด :D
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 2:22 am
0
0
ถามเรื่องบ้่านที่น่าซื้อ
ขอเล่าในฐานะชีวิตผู้รับเหมาก่อสร้างในวงการ :D วิถีชีวิตบนความเสี่ยงทั้งขึ้นทั้งร่อง เจ้าของโครงการโคตรเร่ง ลูกน้องต้องง้อ แถมมีฝีมือหายากอีก คุณภาพต้องได้ วัสดุมีแต่วิ่งขึ้น โอ๊ยชีวิต margin ก็ต่ำต้องเน้น สเกลใหญ่ :'O คิดไปคิดมายังไงก็ซื้อปูนครึ่งราคาไม่ได้ ซื้อเหล็กนี่แล้วใหญ่หาลด 20-30% ฝันไปเถิด ค่าแรงไม่ต้องพูดถึงมีแต่เพิ่ม แต่มีที่นี่แหล่ะครับ ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ที่มีการแบ่งขายกิจการแบบลดครึ่งราคาบ้าง ลด 80-90% บ้าง เปรียบเปรยเหมือนฝันที่ได้เห็นอิฐ หิน ปูนทราย ลดกระหน่ำ :ep: เอ๊ะ สงสัยจะนอกเรื่อง เข้าเรื่องดีกว่า ถ้าคิดจะซื้อบ้านโครงการ โครงการเครือแลนด์ คุณภาพดีที่สุดแล้วครับ ทั้ง LH QH มีระบบควมคุมคุณภาพที่ดีที่สุดในประเทศครับรับรอง :cool: เพราะเป็น sub เค้าอยู่ ทั้ง Qc หน้างาน ทั้งส่วนกลาง End Product อีก กว่าจะได้เงินแต่ละงวดตรวจแล้วตรวจอีก ทำไม่เป็นไม่รอดครับมีแต่เจ้ง :x ขอเล่าประสบการณ์สมัยเข้าไปทำใหม่ๆ รู้ไหมครับ ว่า qc เค้ามีการทดสอบหย่อนลูกปิงปอง ลงในท่อระบายน้ำภายบ้านทุกจุดด้วย อย่าว่าแต่เศษวัสดุอะไรหลุดลงไปขวางเลย แค่คราบน้ำปูนที่ล้างตอนฉาบปูน หรือปูกระเบื้องห้องน้ำ ไหลลงไปแล้วไปแห้งแข็งอยู่ภายในท่อเป็นเนินเล็กๆ อยู่ ลูกปิงปองที่ย่อนลงที่ floor drian มันก็ไม่ออกมาแล้ว แล้วเจ้า Qc มันก็เซ็นชื่อไว้ที่ลูกปิงปองด้วย ถ้าจะผ่านงวดก็ต้องไปเอาลูกปิงปองมาคืนมันให้ได้ แล้วนัดมันมาหย่อนใหม่ให้มันดู คิดดูสิครับท่านผู้ชมบ้านก็เสร็จแล้ว ฝ้า วอลเปเปอร์ พื้นลามิเนต โอ้ชีวิตตู เอารื้อมันเข้าไปบ้านทั้งหลังไม่รู้มันไปติดอยู่ช่วงไหน :wall: บทเรียนข้อแรกที่มีที่โครงการของเครือแลนด์ที่เดียวเท่านั้น ก็นั้นแหล่ะครับเจ็บแล้วจำ หลังสองเรื่อยไป นี่กระเบื้องห้องน้ำต้องจบ ขังน้ำห้องน้ำต้องผ่านก่อน แล้วให้ลูกน้อง test ลูกปิงปองก่อนปิดฝ้า เป็นผู้รับเหมาเครือแลนด์ต้อง qc ตัวเองล่วงหน้าเสมอครับไม่งั้นไม่รอด ปลั๊กไฟ นี้ไม่ต้องกลัวครับทุกจุดที่มีไฟ เช็คทริปสายดินทุกจุด ตอน end product ยังมีรายระเอียดคุณภาพอีกมากมายเหลือเกินสมกับเป็นบ้าน 5 คุณภาพพร่ามไปก็คงไม่หมด ทุก site งานมีใช้ระบบ realtime online หมดนะครับทั้งติดต่อสื่อสารอนุมัติงวดงาน มีประสิทธิภาพมากพวกคู่แข่งหลายขุม pf siri spali ฯลฯ ยังตามหลังอีกไกลครับ ว่าไปว่ามาก็ไม่รู้จะเถิดทูนมันทำไม คิดไปคิดมา มาเป็นลูกค้ามาซื้อบ้านมัน กับไปซื้อหุ้นเป็นเจ้าของโครงการมันเอง น่าจะเป็นฝ่ายที่ถูกต้องมากกว่ามารับงานมัน โง่อยู่ตั้งนาน :lovl:
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 1:16 am
0
0
หุ้นถูกๆ อยู่ที่หนายย รอแล้วรออีก ก็ไม่ลงมาให้เราเก็บซะที
ขออภัยพิมพ์ผิด ไม่มีคำว่า แพง สำหรับ Super Stock ที % Growth Profit ยังมากเป็น 2 เท่าของค่า P/E ปัจจุบัน ขอบอก :mrgreen:
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 12:09 am
0
0
หุ้นถูกๆ อยู่ที่หนายย รอแล้วรออีก ก็ไม่ลงมาให้เราเก็บซะที
ไม่มีคำว่าถูกสำหรับ Super Stock ที % Growth Profit ยังมากเป็น 2 เท่าของค่า P/E ปัจจุบัน ขอบอก :mrgreen:
โดย
laohanant
พุธ ก.ย. 01, 2010 12:07 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
laohanant
อังคาร ส.ค. 31, 2010 11:44 pm
0
0
n-park ยังมีอนาคตไหม
อยากให้มีกฎบังคับให้รวมพาร์จัง สำหรับหุ้นแบบนี้ (คิดเล่นๆ แบบแก้เผ็ดซะบ้างชอบแตกพาร์อ้างว่าเพื่อสภาพคล่องกันนัก ไม่รู้เป็นไปได้ปล่าว) แบบกลับจากแตกพาร์เป็นรวมพาร์ จากพาร์ละ บาท กลับไปเป็นพาร์ละร้อย ร้อยหุ้นรวบเหลือหนึ่ง เศษเก็บไว้เชยชมอยู่บ้าน :lol: จาก 0.01 บาทกลับกันไปเริ่มใหม่ที่ 1 บาท เพื่อนๆ พี่ๆ คิดว่ามันจะไปที่ 4-5 บาท อย่างปัจจุบัน หรือว่าจะกลับไป 0.01 สตางค์อีกรอบ :?:
โดย
laohanant
พุธ ส.ค. 18, 2010 11:57 pm
0
0
n-park ยังมีอนาคตไหม
:ohno: ทำให้หุ้นจาก 200 กว่าบาท หรือ สตางค์เดียวเนี่ยมันช่างเป็นงานที่แสนง่าย :ohno: (ใครเอาไปหว่าฮิฮิ คิดเอาเอง :wink: ) :la: ทำมั้ย ทำไม แต่การทำให้หุ้นสตางค์เดียวขึ้นทีละสตางค์เนี่ย อย่าให้พูดเลย นึกแล้วเหนื่อยแทน :la: (แล้วคราวนี้ล่ะใครจะได้ ขอให้ทุกท่านค้นพบสัจธรรมแห่งความเป็นจริง :pray: ขอให้โชคดีครับทุกท่าน)
โดย
laohanant
อังคาร ส.ค. 17, 2010 12:32 pm
0
0
พบตัวจริงเสียงจริง SAI จากเด็กวินสู่วีไอ
:cool: เจ๋งมากครับพี่ ได้ดูจากทีวีก่อน (เปิดเจอพอดี) แล้วมาตามอ่านทีหลังถึงรู้ว่าแฟนคลับเยอะจริงๆ ชอบมากครับจากใจจริง คนที่มาจากศูนย์ มันยากกว่าพวกรับไม้ต่อแสนสาหัสนัก สุดยอดดดดด ครับพี่ :cool: :cool: ขอสมัครเป็นแฟนคลับด้วยอีกคน :D
โดย
laohanant
เสาร์ ส.ค. 14, 2010 12:47 am
0
0
53 โพสต์
of 2
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
laohanant
กลุ่ม:
สมาชิก
ความถนัด:
Invester
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ธ.ค. 22, 2009 12:59 am
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ ก.ค. 31, 2017 7:46 am
โพสต์ทั้งหมด:
372 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.07 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
Detect and Act on the market 's error.
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว