หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
stemcell
Joined: อาทิตย์ ธ.ค. 20, 2009 9:54 am
666
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - stemcell
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ชมรมหมอ VI
บรรยากาศดีจังครับ :)
โดย
stemcell
ศุกร์ เม.ย. 20, 2012 11:13 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
แปลกแต่จริง ช่วงนี้ผมคิดว่าเสน่ห์ของ thai VI หายไป ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ... หรือเป็นแค่ความรู้สึกของผมคนเดียว :?: :?: :?:
โดย
stemcell
พุธ เม.ย. 11, 2012 2:21 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
วันนี้ช๊อบของถูกกระจาย :) , แต่ไม่รู้ว่าวันต่อไปจะมีถูกกว่านี้อีกมากไหม :)
โดย
stemcell
อังคาร เม.ย. 10, 2012 2:09 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
มาทักทายครับ และ มาแจ้งข่าวเรื่อง "คณะบุคคล" ---> สรรพากรมีแนวโน้มที่แก้ไขให้ "คณะบุคคล" จะต้องนำรายได้มารวมคำนวณร่วมกับ "บุคคลธรรมดา" , ซึ่งจะทำให้รายได้ฐานภาษีไม่ลดลง และโดนภาษีอัตราก้าวหน้าเหมือนบุคคลธรรมดา (อ้างอิง ไทยรัฐ 3/4/55 หน้าธุรกิจ ) , แต่อย่างไรก็ตามเป็นแค่ข่าว ไม่ได้ข้อสรุป ต้องรอดูต่อไปครับ :)
โดย
stemcell
จันทร์ เม.ย. 02, 2012 2:55 pm
0
1
Re: ชมรมหมอ VI
ขอให้ทุกท่านปลอดภัย
โดย
stemcell
พุธ ต.ค. 26, 2011 5:12 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ช่วงนี้รู้สึกหดหู่มากเลย คนใกล้ตัว 2 คน อยู่ดีๆ ก็มีอันเป็นไป คนนึงอายุยังไม่มากเลย 38 เอง หนุ่มแน่นแข็งแรง อารมณ์ดี อัธยาศัยดี no underlying disease นั่งพูดคุยอยู่ดีๆ ก็ paralyze ครี่งซีก มี intracerebral hemorrhage ผ่าตัดไปแล้วเมื่อคืน นึกถึงคำว่า "มรณานุสติ" เลย เกิด แก่ เจ็บ ตาย :cry: เสียใจด้วยครับ
โดย
stemcell
จันทร์ ต.ค. 10, 2011 5:04 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
เข้ามานั่ง พักเหนื่อย :) หายเหนื่อยยังครับ :D ยังไม่ทันหายดีเลยครับ ขอบคุณครับ :D
โดย
stemcell
ศุกร์ ต.ค. 07, 2011 5:08 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
เข้ามานั่ง พักเหนื่อย :)
โดย
stemcell
พฤหัสฯ. ต.ค. 06, 2011 1:52 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
โดนไปไม่น้อยทีเดียว :( ขนาดระวังแล้วนะเนี่ย 3 วัน อันตราย 55555+
โดย
stemcell
อังคาร ก.ย. 27, 2011 9:15 am
0
0
Re: คนนอนดึก
นอนเช้า เพราะหลังเที่ยงคืนประจำ อิอิ :)
โดย
stemcell
พุธ ก.ย. 21, 2011 12:02 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ตาเขียวแบบนี้เหรอเปล่าครับ หมอ stemcell :mrgreen: http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRr2FXvRL1V9ydQqKwu3ZMC-g9yxdTCezm1ikVmcN7xgYVooAPX 55555+
โดย
stemcell
อังคาร ก.ย. 20, 2011 5:29 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรทำครับ เลยมาแซวๆกันเล่นครับ หุ้นสไตล์ vi ปรับลงกันหนุกหนาน ฮ่าๆ รู้สึกว่าหุ้นยิ่งลง พี่มุขยิ่งแฮปปี้นะ น่าจะมีอะไรสักอย่างผิดปกติ 555 เพิ่งว่างฟัง opp day บริษัทนักร้อง เห็นรูปพี่มุขในสไลด์โชว์ตั้ง 3 รูปแน่ะ สมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จริงๆ :mrgreen: ผมว่าไม่ใช่หรอก เป็นเพราะ พี่หล่อเตะตา ตากล้องต่างหาก :B อูย!!!! ตากล้อง คงเจ็บตาแย่ ประคบน้ำแข็งหน่อย อิอิ ( แซวๆๆๆ ) :mrgreen:
โดย
stemcell
อังคาร ก.ย. 20, 2011 12:45 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ปีใหม่อยู่บ้านครับ ปีนี้ :)
โดย
stemcell
พุธ ก.ย. 14, 2011 2:11 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ขอพักด้วยคนครับ :)
โดย
stemcell
พุธ ก.ย. 07, 2011 4:55 pm
0
0
Re: ให้น้ำหนักในการลงทุน อะไรเป็นอันดับต้นๆ
"อย่าขาดทุน" เป็นน้ำหนักการลงทุนอันดับแรก :D
โดย
stemcell
เสาร์ ก.ย. 03, 2011 11:03 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
สุดท้ายนี้ผมแอบยิ้มมุมปาก"พยศ"อย่างนี้ ระวังให้ดี...ลูกดก นักเเล :ep: ลูกดกอาจหมายถึง แจก warrant อีกหลายรุ่นก็ได้ อิอิ :mrgreen:
โดย
stemcell
พุธ ส.ค. 31, 2011 1:12 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
แวะเข้าไปดูห้อง BWG อีกที ก็ยังมีความเห็นและอารมณ์ที่น่าสนใจให้เรียนรู้อยู่ :) ยังไงก็แวะมาที่ห้องนี้บ่อยๆนะครับ มาโพสต์ให้ความรู้หรือคุยเล่นได้ตามสบายเลยครับ :D ยินดีครับ , ช่วงนี้หาหุ้นเข้ากับ style ตัวเองลำบากมาก คงต้องแวะมาหาความรู้แถวๆนี้บ่อยๆ :)
โดย
stemcell
อังคาร ส.ค. 30, 2011 12:50 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
แวะเข้าไปดูห้อง BWG อีกที ก็ยังมีความเห็นและอารมณ์ที่น่าสนใจให้เรียนรู้อยู่ :)
โดย
stemcell
จันทร์ ส.ค. 29, 2011 9:48 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
[quote="Paul VI"][quote="stemcell"]เข้ามาทักทายหลังจากหันหลังให้หุ้น ( ถือ cash ) ไประยะหนึ่ง , สบายดีกันนะครับ :)[/quote] หวัดดีครับ หายไปนานเลย แฟนๆ BWG เมื่อ 1-2 เดือนก่อนเค้าคิดถึง หมอนะครับ[/quote] ตลาดหุ้นรวมทั้งBWG สอนให้เรามี entrance strategy , exit strategy และต้องมี sense of urgency(emergency) เพราะ mr.market และ insiders ไม่เคยเตือนเราก่อน :)
โดย
stemcell
จันทร์ ส.ค. 29, 2011 9:28 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
เข้ามาทักทายหลังจากหันหลังให้หุ้น ( ถือ cash ) ไประยะหนึ่ง , สบายดีกันนะครับ :)
โดย
stemcell
จันทร์ ส.ค. 29, 2011 5:23 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
เหลืออีก 10 วันก็สงกรานต์แล้วนะครับ เตรียมตัวไปเที่ยวกันเถอะ สรุปผมไป ฮ่องกง มาเก๊า เซินเจิ้น ไม่ได้ไปมาเก๊ามานาน จะไปดู เวเนเชี่ยนซะหน่อยว่าเป็นไง ส่วนเซินเจิ้นเคยไปนานมากๆแล้ว น่าจะเป็น 20 ปีได้แล้วมั้ง ตอนนั้นยังชนบทมากๆ ได้ข่าวว่าตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ แล้วเพื่อนๆเที่ยวไหนกันบ้างเอ่ย กลับบ้านเล่นน้ำสงกรานต์เชียงใหม่ครับ :D
โดย
stemcell
จันทร์ เม.ย. 04, 2011 9:31 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
[quote="Paul VI"][quote="jack_jack"]สึนามิ กระเทือนทริปพี่หมอมั้ยครับเนี่ย :cry:[/quote] ตอนนี้พี่มีแนวโน้มไปทาง ฮ่องกง มาเก๊า แทนแล้วครับ ขอ confirm อีกหน่อย ก็เอาทัวร์เดิม แต่เค้าไม่คืนค่ามัดจำครับ คุยกับเค้าว่าจะไป ซิดนีย์ เมลเบิ์รน ทางทัวร?ที่นี่ดันไม่จัดไป ออสเตรเลียซะอีก เฮ้อ ก็ดีกว่าไม่ไปละกันครับ[/quote] ระวังเรื่องสารกัมมันตรังสีรั่วไหลด้วยนะครับ ไปฝั่งยุโรปน่าจะดีกว่านะครับ :D
โดย
stemcell
อังคาร มี.ค. 15, 2011 4:04 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
การลงทุนแนววีไอทำให้พอร์ตโตแบบ snowball อยู่แล้วครับไมว่าจะเป็นกิจการแบบไหน ขอให้มีคุณภาพตามหลักการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่นพอร์ตของอจ.นิเวศน์ไงครับ บอลลูกเล็กๆกลายเป็นมหึมาขยายตัวขึ้นเป็น200เท่าในเวลาเพียง10กว่าปี :D แต่ถ้าเจาะลึกไปถึงกิจการที่มีการเติบโตแบบ snowball ผมคงนึกถึงกิจการที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ มักเป็นกิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริการ เป็นนวัตกรรมใหม่อยู่ในเทรนด์ที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีฐานรายได้ของลูกค้าแบบบอกรับสมาชิก อย่างธุรกิจเคเบิลทีวีในอเมริกายุคปี70 ยุคที่ MTV เริ่มครองเมือง ลักษณะการเติบโตที่จะก่อให้เกิด snowball จุดนึงที่สำคัญคือการเติบโตของกำไรจะโตในอัตราที่มากกว่าการเติบโตของยอดขาย ซึ่งสาเหตุมาจากการที่ธุรกิจมีต้นทุนคงที่ที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขาย กำไรก็เลยโตเพิ่มขึ้น ดังนั้นจะหากิจการที่เข้าข่ายการเติบโตเป็น snowball ก็ต้องหากิจการที่จะเป็น new trend ครับ และคนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมนั้นในการดำรงชีวิต อาจเป็น อาหาร พลังงานทดแทน สุขภาพ เทคโนโลยีสื่อสาร แต่ที่สำคัญอย่าลืมว่าทุกอย่างมีวัฎฎะสงสาร snowball effect เป็นเพียงแค่ stage หนึ่งของวงจรชีวิตของธุรกิจเท่านั้นครับ กด like ให้ 1 ที ครับ :D
โดย
stemcell
เสาร์ ก.พ. 26, 2011 12:06 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ไส้ติ่งในเด็กนี่ยากจริงๆ ครับ อาการก็ไม่ชัดแถมเวลากดท้องก็บอกอยากว่าเด็ก guard เพราะกลัวหรือเป็น guard จริงๆ เห็นใจกับทั้งฝ่ายญาติและฝ่ายแพทย์ครับ ครับเวลาเด็กมาด้วยเรื่องท้องเสีย ผมก็ให้คำแนะนำ DDx ไส้ติ่ง ด้วยเสมอ , หมอเด็กที่รพ.ผมถ้าไม่ชัวร์ ส่ง u/s บ่อย ( preventive medicine ) เห็นใจทั้งสองฝ่าย :(
โดย
stemcell
เสาร์ ก.พ. 26, 2011 12:02 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ปันผลปีนี้แต่ละตัวของผมชื่นใจจริงๆ :D :D จากการสะสมประสบการณ์การลงทุน อีกอย่างที่ผมเริ่มปิ๊งแล้วคือ การลงทุนแนว dividend approach :idea: ของผมกลับเป็น non-devidended approach แทนครับ
โดย
stemcell
พฤหัสฯ. ก.พ. 24, 2011 9:25 pm
0
0
Re: ค่า PE PBV YIELD ในพอร์ตของแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้างคร
ไม่รู้คำนวณถูกหรือไม่ แต่ 2 ปีก่อน P/E 5 , BV 0.8 , yeild 0 % ปีนี้ P/E 20 , BV 0.8 , yield 0.1% :mrgreen:
โดย
stemcell
พุธ ก.พ. 23, 2011 10:12 am
0
0
Re: ผมว่ามันเพี้ยนไปแล้ว
ผมคิดว่า derrivative warrant เป็นการออกมาเพื่อป้องกันความเสี่ยงของการซื้อขาย เงินลงทุนในหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ ( prop trading ) หรือ กองทุน หรือ รายใหญ่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การเล่นตัวเลข และ นำมาสู่การทำกำไรจากค่า commission + ค่า premium ในการออก DW และ ทำให้รายย่อยซื้อขายเป็นการพนัน :mrgreen:
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 22, 2011 2:35 pm
0
0
Re: กำไรพอเพียง ขาดทุนพอเพียง
ตอนสุดท้าย ขาดทุนพอเพียง เวลาเราเลือกลงทุนกิจการ หรือ ซื้อหุ้น ที่เราพูดกันบ่อยๆต้องมี margin of safety , risk management , money management ปัญหาคือตอนไหนล่ะที่มี margin of safety หรือมีความเสี่ยงต่ำ บางครั้งเราพบว่าหลายครั้งเราเลือกกิจการที่ดีแต่เราได้ราคา premium ทำให้ระยะยาวทำกำไรได้ไม่มากอย่างที่เคยคิด หรือ อาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ ตอนที่เราเลือกซื้อกิจการ เราอาศัยความรู้ ข้อมูลที่ได้มา และเราหวังว่าจะได้อย่างครบถ้วน แต่ความเป็นจริงแล้วข้อมูลไม่เคยครบถ้วนและนอกจากนั้นยังเกิดการ bias อยู่เสมอๆ การจะมี margin of safety จึงต้องเก็บข้อมูลให้มากที่สุด และ ต้องรอจังหวะ แล้วจังหวะไหนล่ะ? 1. " หุ้นตก หรือ panic หรือ เกิดจากความไม่มีเหตุผล " โดยอารมณ์ของผู้ถือ หรือ เกิดการ force cell 2. แต่ถ้าไม่ได้จังหวะนั้นและรอไม่ไหว ยอมซื้อในราคา premium หรือ ราคาที่มีความนิยม ( หุ้นตลาด ) เราต้องคาดการณ์ให้ได้ว่ากิจการนั้นจะมีการเจริญเติบโตอย่างสมเหตุผล และ สม่ำเสมอ เป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ จนความนิยมนั้นติดตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแบบ macro ( micro ) trend follower เช่น ในอนาคตมีผู้สูงอายุมาก โอกาสป่วยเยอะ โรงพยาบาลน่าจะดี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะผิดพลาดอ้างอิงจากกฎไตรลักษณ์, ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยอารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ ตามความเห็นของผม margin of safety ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ดังนั้นจึงต้องมีเทคนิกให้เกิดการขาดทุนพอเพียง ซึ่งหมายถึงการขาดทุนเป็นไป(และไม่เป็นไป)ตามที่วางแผนไว้ ในขั้นตอน PDCA เนื่องจากเราไม่สามารถที่จะทนขาดทุนครั้งละมากๆ หรือทนขาดทุนครั้งละน้อยๆแต่บ่อยเกินไป เพราะจะทำให้เงินต้นน้อยเกินกว่าที่จะทำกำไรให้มาเท่าทุน หรือ ต้องใช้เวลานานจนเสียโอกาสไป วิธีการมีมากมายซึ่งอ้างอิงมากจากหลายทฤษฎี แต่ที่แบ่งได้ตามกลยุทธ์คือ 1. กลยุทธ์หนี เช่น cut loss เป็นการออกจากตลาดมาเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องหรือไม่ เหมือนเราเล่นหมากรุกอยู่ก็จะมีbias แต่ถ้าออกมาเป็นผู้ชมก็จะมองเห็นได้ชัดมากขึ้น 2. กลยุทธ์โยนหินถามทาง(แนวรับ) เช่น kelly' method , matingale strategy , DSM ( Densri method or Descending selling method ), DCA ( dollar cost average ) ลองหาอ่านได้เพิ่มเติมนะครับ แต่กลยุทธ์เหล่านี้มีข้อจำกัดตรงที่ จะต้องมีความคาดหวังเป็นบวก หรือ กิจการต้องมีกำไรมากขึ้น มิเช่นนั้นจะขาดทุนในปริมาณที่มาก และนอกจากนี้ถ้าแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนน้อยเกินไป ถ้ากิจการมีการตกต่ำเป็นเวลานานก็จะไม่มีเงินลงทุนเพิ่ม 3. กลยุทธ์โยนหินถามทาง(แนวบุก) จะแบ่งเงินเป็นสัดส่วนต่างกัน ทยอยลงทุนถ้ากิจการมีการเติบโต หรือ คิดถูกต้อง ซึ่งถ้าคิดผิดก็จะเสียหายจำนวนน้อย 4. กลยุทธ์นิ่ง เป็นการทำตัวอยู่เฉยๆ ค้นหาข้อมูลมากขึ้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ ส่วนปริมาณเงินหรือเปอร์เซนต์สัดส่วนที่จะลงทุนในแต่ละกลยุทธ์ ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละคนซึ่งมีนิสัย ประสบการณ์ และ ความรู้ของแต่ละคน แต่เมื่อนำไปใช้ทุกคนก็จะมีรูปแบบของตัวเอง และ นอกจากนี้แนวคิดที่เขียนทั้ง 5 ตอนนี้ คนนำไปใช้ก็จะประยุกต์ทำให้ได้ results แตกต่างกัน หวังว่าทุกท่านจะได้กำไรพอเพียง และ ขาดทุนพอเพียง ลงทุนอย่างมีความสุข ปล. ขอขอบคุณ subprime ที่ทำให้ผมขาดทุน แต่ทำให้ได้กำไรประสบการณ์และความรู้ ขอขอบคุณ thaivi.org ที่ทำให้ผมคืนทุนและได้กำไร ลงทุนอย่างมีความสุข และได้แนวคิดเรื่องพอเพียง จบสักที 55555+ :D
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 22, 2011 11:46 am
0
0
Re: กำไรพอเพียง ขาดทุนพอเพียง
ตอนที่4 กำไรพอเพียง คนเราทุกคนยังไม่พ้นทุกข์ ยังมี "รัก โลภ โกรธ หลง และ ความกลัว" สิ่งนี้เป็นที่มาของการศึกษาหลายเรื่องที่ดูความเกี่ยวข้องทางเศรษฐศาสตร์ การลงทุน การพนัน กับ อารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ ตลาดหุ้น กิจการ ราคาหุ้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นเป็นภาวะไม่อยู่นิ่ง dynamic ตลอดเวลา เพราะมันคืออารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ เมื่อเราลงทุน หรือ เก็งกำไร หรือ พนันหุ้น เราทำการซื้อหุ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ ลึกๆเราก็อยากกำไร อาจเป็นได้หลายแง่ เช่น ส่วนต่างราคาหุ้น , เงินปันผล , มีชื่อเสียง , สนองตัณหา แล้วเราจะทำกำไรเมื่อไหร่ คำว่า"พอเพียง" จะมาร่วมกันกับคำว่า "positive attitude or positive thinking" เมื่อเราโชคดีได้กำไรมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า รักในหุ้น โลภในกำไร โกรธถ้ามันผันผวน หลงกับพื้นฐานที่มี dynamic และ กลัวจะขาดทุนกำไร และ ความไม่รู้ก็จะเกิดขึ้น ก็จะมีแนวทาง "พอเพียง" ช่วยได้แต่เทคนิกในการทำขึ้นอยู่กับแนวทางของแต่ละคน เช่น ถ้าลงทุนด้วยความสุข เมื่อไหร่ที่เริ่มไม่มีความสุข อันเกิดจากความไม่รู้ว่า " ความเสี่ยงเป็นอย่างไร" "เหลือ margin of safety เท่าไหร่" "กิจการจะเป็นอย่างไรในอนาคต" เราก็ขายกิจการ หรือ ขายหุ้นออกมา มีหลายแนวทาง เช่น คลายเครียดเรโช ( หาอ่านเพิ่มเติมเองนะครับ ) แต่ของผมใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์วัด ก็ขายจนกระทั่งมีความรู้สึกว่า ถ้าที่เหลืออยู่ขาดทุนจนหมดก็ไม่เป็นไร 55555+ หรือบางคนลงทุนจนกว่ากิจการจะมีพื้นฐานเปลี่ยนไป ก็จะขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน แต่มีข้อแม้ว่าอย่าปล่อยให้"ความไม่รู้" มากำหนดการลงทุน ซึ่งก็จะมีกระบวนการคิดแบบ PDCA มาช่วย หรือบางคนลงทุนโดยอาศัยการ switch ระหว่างหุ้นที่มี margin of safety ต่ำ ไป สูง หรือ บางคนกำหนด zoning ของกำไรไว้ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ขายทำกำไรออกมา เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราพอใจแล้ว อยู่ในแผนที่เราตั้งไว้ ซึ่งก็หมายถึงความพอเพียง นั่นเอง และ สิ่งหนึ่งที่พบได้บ่อยหลังจากการขายกิจการ หรือขายหุ้นไปแล้ว พบว่ากิจการยังดี หรือ ราคาหุ้นขึ้นไปต่อ ทำให้เราขาดทุนกำไร เราควรมี positive attitude หรือ positive thinking ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครทำกำไรได้สูงสุดตลอดไป และ เราได้แบ่งกำไรให้กับคนที่ซื้อกิจการหรือหุ้นต่อจากเราไป ได้ทำกำไรบ้าง อย่างนี้จึงจะเกิดความสุขในการลงทุน บางครั้งภาษาก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการบรรยายได้หมด ใกล้จะจบบทความสั้นแล้ว :D
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 22, 2011 11:45 am
0
0
Re: กำไรพอเพียง ขาดทุนพอเพียง
ตอนที่3 กระบวนการคิดลดเสี่ยง คนเรามีวิถึชีวิตต่างกัน มีอารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม และ การเรียนรู้ เป็นที่มาของประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้การเรียนรู้เรื่องเดียวกัน การกระทำจากเหตุเดียวกัน ส่งให้เกิดผลลัพท์แตกต่างกัน เช่น ตำราแพทย์เล่มเดียวกัน แต่ส่งผลให้เกิดการรักษาแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อเราได้เลือกลงทุนกิจการ หรือ เก็งกำไร หรือ พนันหุ้น จะต้องมีกระบวนการคิดให้สามารถลดความเสี่ยง ที่น่าสนใจคือกระบวนการคิดแบบวงจรคุณภาพ PDCA ( plan do check act ) คนที่ทำ HA , JCI หรือระบบคุณภาพอื่นๆอาจเคยได้ยินและทำมาแล้ว plan คือ การเตรียมการขั้นตอนการลงทุน ซึ่งจะต้องมีแผน มีทางหนีทีไล่ในกรณีที่เป็นอย่างที่คิด และ ไม่เป็นอย่างที่คิด อย่างที่เคยเกริ่นไว้ตามหลักไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) เหมือนอย่างที่เราเล่นหมากรุก ก็จะมีกระบวนการคิดว่าถ้าเราเดินแบบนี้ คู่ต่อสู้เดินแบบนี้ เราจะเดินแบบไหน ล่วงหน้า ก่อนที่จะเดินหมากจริงๆ do คือ การทำตามแผนการลงทุน check คือ การตรวจสอบแผนการลงทุนเป็นระยะๆ ทั้งผลประกอบการ ข่าว หรือ ข้อมูลที่มากระทบ act คือ หลังจากตรวจสอบการลงทุนแล้ว เราก็ตอบสนองต่อสิ่งที่มากระทบแตกต่างกัน บางครั้งเราพบว่า ถึงแม้มีแผนเตรียมการไว้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็อยู่นอกแผน เราต้องดำเนินการแก้ไขอย่างมีสติ และ นำไปสู่การ plan ใหม่เป็นวงจรต่อเนื่อง เมื่อเราทำตามขั้นตอนที่เรียกว่า วงจรคุณภาพความคิด ( PDCA ) ก็จะเกิดการเรียนรู้ขึ้น นำมาสะสมเป็นประสบการณ์ ในที่สุดก็นำมาสู่สิ่งที่เรียกว่า "สติ" มากขึ้นจากกระบวนการคิดเป็นระบบ ไม่มีใครที่รู้อนาคตเนื่องจากมันไม่แน่นอน แต่ถ้าเรามีการเตรียมกระบวนความคิดอย่างเป็นระบบ ก็จะช่วยลดผลกระทบลงได้ น่าจะเหลืออีก 2 - 3 ตอนสั้นๆ ถ้าไม่เบื่อกันนะครับ ( เขียนเหนื่อย ) :mrgreen:
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 22, 2011 11:45 am
0
0
Re: กำไรพอเพียง ขาดทุนพอเพียง
ตอน2 money management ก่อนลงทุน เมื่อเรามีงาน มีรายได้ มีรายจ่าย จะต้องมีรายได้มากกว่ารายจ่าย จึงจะออม ทำประกันความเสี่ยง(ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ )และ ลงทุนได้ ถ้ายังออมไม่ได้ต้องเพิ่มรายได้ หรือ ลดรายจ่าย หรือลงทุนเพิ่มโดยใช้เงินผู้อื่น เช่น กู้แบงค์ เมื่อเราออม ทำประกันความเสี่ยงแล้วจึงลงทุน โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนตามนิสัย ตามการรับได้ความเสี่ยงในการลงทุน และ style ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ( อย่างน้อย 6 เดือนของค่าใช้จ่าย / เดือน .... แล้วแต่ละคน) + หุ้น + ทอง + ที่ดิน + ตราสารหนี้ ........... ข้อนี้หาอ่านได้ทั่วไปนะครับ ( wealth management ) บางคนรับความเสี่ยงมากก็ลงหุ้นเยอะ รับความเสี่ยงน้อยก็ถือเงินสด + ตราสารหนี้เยอะ ข้อนี้ถือว่าสำคัญในเรื่อง "รู้จักตนเอง และ การประมาณตน" + "รู้เขา " ถ้ารู้น้อย ก็ลงทุนน้อยๆก่อน ถ้ารู้มากขึ้นค่อยลงทุนมากขึ้น และ การลงทุนในความรู้ เรียนรู้ต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ก็เป็นส่วนหนึ่งของ risk management ดังนั้นคนที่ " ไม่รู้จักตนเอง + ลงทุนโดยไม่รู้ + ไม่ได้บริหารจัดการเงินเบื้องต้นก่อนการลงทุน ( กู้หนี้ยืมสิน ) " จึงมีโอกาส ขาดทุนเกินพอเพียง ค่อยๆทยอยเขียนนะครับ บางทีไม่ว่างอาจทำให้ไม่ต่อเนื่อง :D
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 22, 2011 11:44 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
บทความที่เขียนครั้งก่อน อยาก share คนอื่น เอาเข้าห้องไหนดีครับ
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 22, 2011 11:05 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ตอนสุดท้าย ขาดทุนพอเพียง เวลาเราเลือกลงทุนกิจการ หรือ ซื้อหุ้น ที่เราพูดกันบ่อยๆต้องมี margin of safety , risk management , money management ปัญหาคือตอนไหนล่ะที่มี margin of safety หรือมีความเสี่ยงต่ำ บางครั้งเราพบว่าหลายครั้งเราเลือกกิจการที่ดีแต่เราได้ราคา premium ทำให้ระยะยาวทำกำไรได้ไม่มากอย่างที่เคยคิด หรือ อาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ ตอนที่เราเลือกซื้อกิจการ เราอาศัยความรู้ ข้อมูลที่ได้มา และเราหวังว่าจะได้อย่างครบถ้วน แต่ความเป็นจริงแล้วข้อมูลไม่เคยครบถ้วนและนอกจากนั้นยังเกิดการ bias อยู่เสมอๆ การจะมี margin of safety จึงต้องเก็บข้อมูลให้มากที่สุด และ ต้องรอจังหวะ แล้วจังหวะไหนล่ะ? 1. " หุ้นตก หรือ panic หรือ เกิดจากความไม่มีเหตุผล " โดยอารมณ์ของผู้ถือ หรือ เกิดการ force cell 2. แต่ถ้าไม่ได้จังหวะนั้นและรอไม่ไหว ยอมซื้อในราคา premium หรือ ราคาที่มีความนิยม ( หุ้นตลาด ) เราต้องคาดการณ์ให้ได้ว่ากิจการนั้นจะมีการเจริญเติบโตอย่างสมเหตุผล และ สม่ำเสมอ เป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ จนความนิยมนั้นติดตลาด ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแบบ macro ( micro ) trend follower เช่น ในอนาคตมีผู้สูงอายุมาก โอกาสป่วยเยอะ โรงพยาบาลน่าจะดี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะผิดพลาด อ้างอิงจากกฎไตรลักษณ์, ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยอารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ ตามความเห็นของผม margin of safety ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ดังนั้นจึงต้องมีเทคนิกให้เกิดการขาดทุนพอเพียง ซึ่งหมายถึง การขาดทุนเป็นไป(และไม่เป็นไป)ตามที่วางแผนไว้ ในขั้นตอน PDCA เนื่องจากเราไม่สามารถที่จะทนขาดทุนครั้งละมากๆ หรือทนขาดทุนครั้งละน้อยๆแต่บ่อยเกินไป เพราะจะทำให้เงินต้นน้อยเกินกว่าที่จะทำกำไรให้มาเท่าทุน หรือ ต้องใช้เวลานานจนเสียโอกาสไป วิธีการมีมากมายซึ่งอ้างอิงมากจากหลายทฤษฎี แต่ที่แบ่งได้ตามกลยุทธ์คือ 1. กลยุทธ์หนี เช่น cut loss เป็นการออกจากตลาดมาเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องหรือไม่ เหมือนเราเล่นหมากรุกอยู่ก็จะมีbias แต่ถ้าออกมาเป็นผู้ชมก็จะมองเห็นได้ชัดมากขึ้น 2. กลยุทธ์โยนหินถามทาง(แนวรับ) เช่น kelly' method , matingale strategy , DSM ( Densri method or Descending selling method ), DCA ( dollar cost average ) ลองหาอ่านได้เพิ่มเติมนะครับ แต่กลยุทธ์เหล่านี้มีข้อจำกัดตรงที่ จะต้องมีความคาดหวังเป็นบวก หรือ กิจการต้องมีกำไรมากขึ้น มิเช่นนั้นจะขาดทุนในปริมาณที่มาก และนอกจากนี้ถ้าแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนน้อยเกินไป ถ้ากิจการมีการตกต่ำเป็นเวลานานก็จะไม่มีเงินลงทุนเพิ่ม 3. กลยุทธ์โยนหินถามทาง(แนวบุก) จะแบ่งเงินเป็นสัดส่วนต่างกัน ทยอยลงทุนถ้ากิจการมีการเติบโต หรือ คิดถูกต้อง ซึ่งถ้าคิดผิดก็จะเสียหายจำนวนน้อย 4. กลยุทธ์นิ่ง เป็นการทำตัวอยู่เฉยๆ ค้นหาข้อมูลมากขึ้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ ส่วนปริมาณเงินหรือเปอร์เซนต์สัดส่วนที่จะลงทุนในแต่ละกลยุทธ์ ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดขึ้นอยู่กับการกำหนดของแต่ละคนซึ่งมีนิสัย ประสบการณ์ และ ความรู้ของแต่ละคน แต่เมื่อนำไปใช้ทุกคนก็จะมีรูปแบบของตัวเอง และ นอกจากนี้แนวคิดที่เขียนทั้ง 5 ตอนนี้ คนนำไปใช้ก็จะประยุกต์ทำให้ได้ results แตกต่างกัน หวังว่าทุกท่านจะได้กำไรพอเพียง และ ขาดทุนพอเพียง ลงทุนอย่างมีความสุข :D :D :D :D :D ปล. ขอขอบคุณ subprime ที่ทำให้ผมขาดทุน แต่ทำให้ได้กำไรประสบการณ์และความรู้ :mrgreen: ขอขอบคุณ thaivi.org ที่ทำให้ผมคืนทุนและได้กำไร ลงทุนอย่างมีความสุข และได้แนวคิดเรื่องพอเพียง :D จบสักที 55555+ :D
โดย
stemcell
พฤหัสฯ. ก.พ. 17, 2011 11:31 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
มึนๆ ชัดเจนครับ ไม่มึนๆ รอ final season อยู่ครับ :bow: ตอนสุดท้าย เขียนยากสุดครับ :D
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 15, 2011 2:10 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
มึนๆ
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 15, 2011 11:50 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ตอนที่4 กำไรพอเพียง คนเราทุกคนยังไม่พ้นทุกข์ ยังมี "รัก โลภ โกรธ หลง และ ความกลัว" สิ่งนี้เป็นที่มาของการศึกษาหลายเรื่องที่ดูความเกี่ยวข้องทางเศรษฐศาสตร์ การลงทุน การพนัน กับ อารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ ตลาดหุ้น กิจการ ราคาหุ้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นเป็นภาวะไม่อยู่นิ่ง dynamic ตลอดเวลา เพราะมันคืออารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ เมื่อเราลงทุน หรือ เก็งกำไร หรือ พนันหุ้น เราทำการซื้อหุ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกิจการ ลึกๆเราก็อยากกำไร อาจเป็นได้หลายแง่ เช่น ส่วนต่างราคาหุ้น , เงินปันผล , มีชื่อเสียง , สนองตัณหา แล้วเราจะทำกำไรเมื่อไหร่ คำว่า"พอเพียง" จะมาร่วมกันกับคำว่า "positive attitude or positive thinking" เมื่อเราโชคดีได้กำไรมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า รักในหุ้น โลภในกำไร โกรธถ้ามันผันผวน หลงกับพื้นฐานที่มี dynamic และ กลัวจะขาดทุนกำไร และ ความไม่รู้ก็จะเกิดขึ้น ก็จะมีแนวทาง "พอเพียง" ช่วยได้แต่เทคนิกในการทำขึ้นอยู่กับแนวทางของแต่ละคน เช่น ถ้าลงทุนด้วยความสุข เมื่อไหร่ที่เริ่มไม่มีความสุข อันเกิดจากความไม่รู้ ว่า " ความเสี่ยงเป็นอย่างไร" "เหลือ margin of safety เท่าไหร่" "กิจการจะเป็นอย่างไรในอนาคต" เราก็ขายกิจการ หรือ ขายหุ้นออกมา มีหลายแนวทาง เช่น คลายเครียดเรโช ( หาอ่านเพิ่มเติมเองนะครับ ) แต่ของผมใช้ความรู้สึกเป็นเกณฑ์วัด ก็ขายจนกระทั่งมีความรู้สึกว่า ถ้าที่เหลืออยู่ขาดทุนจนหมดก็ไม่เป็นไร 55555+ :D หรือบางคนลงทุนจนกว่ากิจการจะมีพื้นฐานเปลี่ยนไป ก็จะขายเมื่อพื้นฐานเปลี่ยน แต่มีข้อแม้ว่า อย่าปล่อยให้"ความไม่รู้" มากำหนดการลงทุน ซึ่งก็จะมีกระบวนการคิดแบบ PDCA มาช่วย หรือบางคนลงทุนโดยอาศัยการ switch ระหว่างหุ้นที่มี margin of safety ต่ำ ไป สูง หรือ บางคนกำหนด zoning ของกำไรไว้ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ขายทำกำไรออกมา เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราพอใจแล้ว อยู่ในแผนที่เราตั้งไว้ ซึ่งก็หมายถึงความพอเพียง นั่นเอง และ สิ่งหนึ่งที่พบได้บ่อยหลังจากการขายกิจการ หรือขายหุ้นไปแล้ว พบว่ากิจการยังดี หรือ ราคาหุ้นขึ้นไปต่อ ทำให้เราขาดทุนกำไร เราควรมี positive attitude หรือ positive thinking ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครทำกำไรได้สูงสุดตลอดไป และ เราได้แบ่งกำไรให้กับคนที่ซื้อกิจการหรือหุ้นต่อจากเราไป ได้ทำกำไรบ้าง อย่างนี้จึงจะเกิดความสุขในการลงทุน :D บางครั้งภาษาก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการบรรยายได้หมด :mrgreen: ใกล้จะจบบทความสั้นแล้ว :D
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 15, 2011 11:31 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ตอนที่3 กระบวนการคิดลดเสี่ยง คนเรามีวิถึชีวิตต่างกัน มีอารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม และ การเรียนรู้ เป็นที่มาของประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้ การเรียนรู้เรื่องเดียวกัน การกระทำจากเหตุเดียวกัน ส่งให้เกิดผลลัพท์แตกต่างกัน เช่น ตำราแพทย์เล่มเดียวกัน แต่ส่งผลให้เกิดการรักษาแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อเราได้เลือกลงทุนกิจการ หรือ เก็งกำไร หรือ พนันหุ้น จะต้องมีกระบวนการคิดให้สามารถลดความเสี่ยง ที่น่าสนใจคือกระบวนการคิดแบบวงจรคุณภาพ PDCA ( plan do check act ) คนที่ทำ HA , JCI หรือระบบคุณภาพอื่นๆอาจเคยได้ยินและทำมาแล้ว plan คือ การเตรียมการขั้นตอนการลงทุน ซึ่งจะต้อง มีแผน มีทางหนีทีไล่ในกรณีที่เป็นอย่างที่คิด และ ไม่เป็นอย่างที่คิด อย่างที่เคยเกริ่นไว้ตามหลักไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) เหมือนอย่างที่เราเล่นหมากรุก ก็จะมีกระบวนการคิดว่าถ้าเราเดินแบบนี้ คู่ต่อสู้เดินแบบนี้ เราจะเดินแบบไหน ล่วงหน้า ก่อนที่จะเดินหมากจริงๆ do คือ การทำตามแผนการลงทุน check คือ การตรวจสอบแผนการลงทุนเป็นระยะๆ ทั้งผลประกอบการ ข่าว หรือ ข้อมูลที่มากระทบ act คือ หลังจากตรวจสอบการลงทุนแล้ว เราก็ตอบสนองต่อสิ่งที่มากระทบแตกต่างกัน บางครั้งเราพบว่า ถึงแม้มีแผนเตรียมการไว้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็อยู่นอกแผน เราต้องดำเนินการแก้ไขอย่างมีสติ และ นำไปสู่การ plan ใหม่เป็นวงจรต่อเนื่อง เมื่อเราทำตามขั้นตอนที่เรียกว่า วงจรคุณภาพความคิด ( PDCA ) ก็จะ เกิดการเรียนรู้ขึ้น นำมาสะสมเป็นประสบการณ์ ในที่สุดก็นำมาสู่สิ่งที่เรียกว่า "สติ" มากขึ้นจากกระบวนการคิดเป็นระบบ :D ไม่มีใครที่รู้อนาคตเนื่องจากมันไม่แน่นอน แต่ถ้าเรามีการเตรียมกระบวนความคิดอย่างเป็นระบบ ก็จะช่วยลดผลกระทบลงได้ :D น่าจะเหลืออีก 2 - 3 ตอนสั้นๆ ถ้าไม่เบื่อกันนะครับ :D ( เขียนเหนื่อย :mrgreen: )
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 15, 2011 9:42 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ตอน2 money management ก่อนลงทุน เมื่อเรามีงาน มีรายได้ มีรายจ่าย จะต้องมีรายได้มากกว่ารายจ่าย จึงจะออม ทำประกันความเสี่ยง(ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ )และ ลงทุนได้ ถ้ายังออมไม่ได้ต้องเพิ่มรายได้ หรือ ลดรายจ่าย หรือลงทุนเพิ่มโดยใช้เงินผู้อื่น เช่น กู้แบงค์ เมื่อเราออม ทำประกันความเสี่ยงแล้วจึงลงทุน โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนตามนิสัย ตามการรับได้ความเสี่ยงในการลงทุน และ style ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ( อย่างน้อย 6 เดือนของค่าใช้จ่าย / เดือน .... แล้วแต่ละคน) + หุ้น + ทอง + ที่ดิน + ตราสารหนี้ ........... ข้อนี้หาอ่านได้ทั่วไปนะครับ ( wealth management ) บางคนรับความเสี่ยงมากก็ลงหุ้นเยอะ รับความเสี่ยงน้อยก็ถือเงินสด + ตราสารหนี้เยอะ :D ข้อนี้ถือว่าสำคัญในเรื่อง "รู้จักตนเอง และ การประมาณตน" + "รู้เขา " ถ้ารู้น้อย ก็ลงทุนน้อยๆก่อน ถ้ารู้มากขึ้นค่อยลงทุนมากขึ้น :D และ การลงทุนในความรู้ เรียนรู้ต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด ก็เป็นส่วนหนึ่งของ risk management ดังนั้นคนที่ " ไม่รู้จักตนเอง + ลงทุนโดยไม่รู้ + ไม่ได้บริหารจัดการเงินเบื้องต้นก่อนการลงทุน ( กู้หนี้ยืมสิน ) " จึงมีโอกาส ขาดทุน เกินพอเพียง ค่อยๆทยอยเขียนนะครับ บางทีไม่ว่างอาจทำให้ไม่ต่อเนื่อง :D
โดย
stemcell
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 10:52 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
เนื่องจากเรียบเรียงได้พอสมควร ขอเขียนเป็นหลายตอนสั้นๆนะครับ :D กำไรพอเพียง ขาดทุนพอเพียง มี keyword อยู่ที่คำว่า พอเพียง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจาก หลักศาสนาพุทธว่าด้วย "ทางสายกลาง" + "การประมาณตน" และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีนัยซ่อนไว้เป็นแนวคิดว่า "ตลาดหุ้น กิจการ และราคาหุ้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้อนาคต ดังนั้นเราจึงไม่สามารถทำกำไรได้สูงสุด และ เราไม่สามารถทนการขาดทุนได้ครั้งละมากๆ หรือ ทนการขาดทุนปริมาณน้อยแต่บ่อยเกินไป" โดยอ้างอิงมาจากหลักการและแนวคิดต่างๆดังนี้ 1. ศาสนาพุทธ เช่น หลักไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) 2. ลัทธิเต๋า เช่น ธรรมชาติ หยิน หยาง 3. ทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น critical mass , reflexivity , game theory 4. ทฤษฏีตลาดทุน 5. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การพนัน 6. กำลังภายในและตำราพิชัยสงคราม :mrgreen: เช่น รู้เขา รู้เรา , กลยุทธ์แรก ( หนี :mrgreen: ) เอามายำใหญ่เป็นแกงโฮ๊ะ.............. 55555+ :D แต่เราสามารถบริหารจัดการได้โดยใช้หลักต่างๆ เช่น money management , risk management , margin of safety และ process กระบวนการคิดแก้ไขปัญหาใช้หลัก PDCA ( plan do check act ) วงจรคุณภาพ เริ่มต้นเอาตรงนี้ก่อน ค่อยตามตอนต่อไป :D ( discuss ได้เต็มที่ เพื่อแลกเปลี่ยนกันนะครับ )
โดย
stemcell
จันทร์ ก.พ. 14, 2011 10:12 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
คุณหมอ stemcell ช่วยกรุณาให้ความรู้ตรงแนวคิดการจัดการการขาดทุนอย่างพอเพียง ด้วย risk management , money management หน่อยได้ไหมครับ ขอบคุณครับ คุณ 2BOK ครับ ผมขอไปเรียบเรียงความคิดก่อนนะครับ :D งานเข้า 55555+ :D
โดย
stemcell
อาทิตย์ ก.พ. 13, 2011 11:08 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ยินดีด้วยครับที่รู้จักตัวเอง ขอให้กำไรอย่างพอเพียง และ ขาดทุนอย่างพอเพียงครับ เอ่อ... ขอรับคำอวยพรครึ่งเดียวพอนะคะ เอาเฉพาะ กำไร ไม่เอาขาดทุนได้รึเปล่าคะ ฮาๆๆๆ :mrgreen: อยากอวยพรให้เฉพาะครึ่งแรกนะครับ แต่โลกแห่งความจริง มีทั้งสว่างและมืดสลับกันไป มีกำไรแต่ไม่มีขาดทุนจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ให้ ขาดทุนอย่างพอเพียง โดยใช้ margin of safety , risk management , money management เป็นแนวคิดนะครับ ปล. อวยพรล่วงหน้าให้ในวันวาเลนไทน์ 14 กพ. 2554 55555+ :D
โดย
stemcell
เสาร์ ก.พ. 12, 2011 10:38 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
อยากเพิ่มเติมว่า บางครั้งรู้เท่าที่มี แต่ชำนาญ ก็เพียงพอแล้วนะครับ การรู้จนชำนาญ บนเหตุผลตามความเป็นจริง ยากมากมาย ฝนมักจะทำได้ไม่ดี เพราะปัญหาคือ การยึดติดในสิ่งที่คิด ภาพมักจะออกมา bias ตอนนี้ตลาดแดงบ้างเหลืองบ้างเขียวบ้าง ทำให้ฝนได้มีเวลามานั่งคิดอะไรมากมาย บางครั้งนอกจากการคิดถึง upside ของหุ้นแล้ว การคิดถึง down side ของหุ้นและการรักษาตัวเองให้อยู่ในตลาดโดยไม่บาดเจ็บหนักและไม่ตาย อาจจะสำคัญไม่แพ้กันค่ะ นอกจากการเลือกหุ้นแล้ว การบริหารอารมณ์ เป็นเรื่องสำคัญมาก ฝนพยายามไม่ให้ให้ภาพของตลาดมาทำให้ต้องยึดติดกับความคิดของตัวเอง ในตลาดหุ้นแห่งนี้ ยังมีเพื่อนๆมากมาย ฝนเชื่อว่าถ้าฟังเยอะๆแล้วซักวันคงจะเก่งเอง พี่ท่านหนึ่งในเวป มักจะบอกเสมอว่า "มีความสุขกับการลงทุน" ฝนก็พยายามทำอยู่นะคะ ^^ ยินดีด้วยครับที่รู้จักตัวเอง ขอให้กำไรอย่างพอเพียง และ ขาดทุนอย่างพอเพียงครับ :D
โดย
stemcell
ศุกร์ ก.พ. 11, 2011 12:14 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
มาเล่าเรื่องพึ่งรู้ให้พี่หมอฟัง ผมเปิดพอร์ตเล่นหุ้นมาตั้งกะปี 07 แต่ผมยังมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นในตลาดไม่ถึง 10% เลยด้วยซ้ำ ไม่รู้อยู่รอดมาได้ไง สวัสดีค่ะพี่โรมมี่ ฝนเปิดพอร์ตเล่นหุ้นมาก็หลายปี ตอนเริ่มลงทุน รู้สึกมั่นใจมาก พอผ่านไปซักระยะ รู้สึกมั่นใจน้อยลง แต่ทำไมมีอะไรที่ไม่รู้เยอะจัง พอผ่านไปซักระยะใหญ่ๆ ทำไมฝนไม่รู้อะไรเยอะขนาดนี้ ปัจจุบัน... ทำไมฝนไม่รู้อะไรเลย :oops: ทั้ง โรม กะ หมอฝน ถล่มตัวทั้งคู่ แหะๆ แซวเล่น พี่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่พอร์ตจะเติบโต ก็อารมณ์นี้ซะทั้งนั้นล่ะ รู้ว่า เราไม่รู้อะไร ดีกว่า ไม่รู้ว่า ไม่รู้อะไร :D กด like 1 ล้านครั้ง :D อยากเพิ่มเติมว่า บางครั้งรู้เท่าที่มี แต่ชำนาญ ก็เพียงพอแล้วนะครับ :D
โดย
stemcell
พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2011 10:38 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ข่าวเรื่องโรคเอดส์รักษาหายได้ด้วยสเต็มเซลล์ที่เยอรมัน มันเรื่องโกหกหรือเปล่าครับพี่หมอ เท่าที่ทราบ stemcell ยังรักษาเอดส์ไม่ได้ครับ ฟันเฟิร์มครับ :B เจ้าตัวยืนยันเองเลย แหะแหะ หาเอกสารแพทยสภาประกอบ (มี guideline การรักษาด้วย stemcell ) นะครับ เพราะว่าในปัจจุบันมีรักษาได้ไม่กี่โรค(ส่วนใหญ่เป็นเกี่ยวกับโรคเลือด , เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก และ การรักษาหลังให้chemotherapy ) ที่เหลืออยู่ขั้นตอนทดลองหมด เช่น spinal cord injury , stroke , แผลเบาหวาน , nerve injury , อัลไซเมอร์ อื่นๆ ปล. ผมไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง stemcell แต่พอมีความรู้อยู่บ้าง เพราะเคยมี case ของตัวเองเข้าการรักษาด้วย stemcell 2 ราย ( จ่ายไปคนละ 1 ล้าน , result : ไม่แตกต่าง แต่ผู้ป่วยรู้สึกดีที่ได้จ่าย ) :D
โดย
stemcell
พุธ ก.พ. 09, 2011 9:07 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
[quote="erickiros"]ข่าวเรื่องโรคเอดส์รักษาหายได้ด้วยสเต็มเซลล์ที่เยอรมัน มันเรื่องโกหกหรือเปล่าครับพี่หมอ[/quote] เท่าที่ทราบ stemcell ยังรักษาเอดส์ไม่ได้ครับ
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 08, 2011 11:09 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
[quote="Paul VI"]หรือว่า เราก็มีแบบเพียงพอแล้ว ชีวิตก็สุขสบายมั่นคงดีอยู่แล้ว แล้วเราจะแสวงหา มากมายกว่านี้ ไปใย :?:[/quote] อาจเพราะนี่เป็นชีวิตปกติของเรา และ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น .....
โดย
stemcell
อาทิตย์ ก.พ. 06, 2011 7:57 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
รู้สึกกันบ้างไหม ว่าสภาพจิตใจและทัศนคติของนักลงทุน ที่มองตลาดหุ้น ต่างกันไปจาก เมื่อ ต้นปี 2554 กับ ต้นกุมภาพันธ์ เพีงเดือนเดียว อย่างพอสมควร เหมือนกับว่า หนังคนละเรื่อง นี่พอจะสรุปได้มั้ยว่า นี่คืออิธิพลของบรรยากาศการเิกิด จิตวิทยาแบบหมู่ การลงทุนก็ไปในแนวแบบที่มองตามนั้น อธิบายตาม critical mass theory and reflexivity theory ได้ แต่คงไม่มีผลกับมุมมองผลประกอบการของหลายคนในที่นี้มั้งครับ :D
โดย
stemcell
อังคาร ก.พ. 01, 2011 3:42 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
สงสัยค่ะ มีเรื่องแบบนี้เรื่อยๆ คุณหมอVI อยากให้ลูกเป็นหมอรึเปล่าคะ :?: ให้ลูกเลือกเองดีกว่าครับ
โดย
stemcell
ศุกร์ ม.ค. 28, 2011 3:43 pm
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
จับตาดูวันนี้อีกที จะเป็น โอกาส หรือเปล่า :?: โอกาสไม่มาให้เห็นบ่อยๆ
โดย
stemcell
อังคาร ม.ค. 25, 2011 11:24 am
0
0
Re: ชมรมสิงห์อมควัน
พ่อผมสูบบุหรี่ 40 มวน/วัน มา20 ปี วันที่ผมสอบติดแพทย์ ขอให้พ่อเลิกบุหรี่ พ่อใช้เวลา 24 ชั่วโมงหักดิบ เคี้ยวหมากฝรั่งแทนเป็นเวลา 1 อาทิตย์ หลังจากนั้น 20 ปี พ่อก็ไม่เคยสูบบุหรี่อีกเลย
โดย
stemcell
เสาร์ ม.ค. 15, 2011 5:28 pm
0
0
100 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
stemcell
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ ธ.ค. 20, 2009 9:54 am
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ ธ.ค. 18, 2017 3:47 pm
โพสต์ทั้งหมด:
666 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.04% จากโพสทั้งหมด / 0.12 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว