หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
sakkaphan
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
Joined: จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 12:29 pm
1111
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - sakkaphan
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เล่าธรรมะแบบชิวๆขำๆมั่งครับ วันก่อน ผมไปทานข้าวกับแม่ ระหว่างทานข้าวแม่ก็เล่าให้ฟังว่า แม่ไปเจอเพื่อนเก่ามา เค้าเป็นหมอ เค้าบอกว่าเคยสอนผมเรียนจินตคณิตตอนเด็กๆ ผมตอนนั้นเก่งมากกก ใครๆก็ชื่นชม(ตอนเด็กผมเรียนเก่งมาก) แล้วแม่ก็พูดต่อไปประมาณว่า แต่ตอนนี้ผมไม่เก่งแล้ว ไม่ฉลาดเหมือนก่อน เพราะทำอะไรไม่สำเร็จเท่าคนอื่นเค้า ประมาณว่า เดี๋ยวนี้ผมโง่แล้ว พอฟังปุ๊ป ในใจก็เริ่มหงุดหงิด เถียงแม่ไปหน่อยๆ แถมยังคิดในใจตลอด เชอะะ เราเก่งกว่าเดิมอีกตังหาก เราเจอสัจธรรมบลาๆๆๆ เราเก่งกว่าคนไหนๆ ชั้นมาเร็วกว่าคนไหนๆ บลาๆๆๆๆ คิดอย่างงั้น หงุดหงิดอย่างงั้นอยู่สักพัก พอสติมาปุ๊ป แค่นั้นแหละ... "เออจริงด้วย แม่พูดไม่ผิดเลยทีเดียว เรานี่มันยังโง่อยู่จริงๆ 5555" :D :D :D :D ธรรมะสวัสดี :D
โดย
sakkaphan
ศุกร์ พ.ค. 05, 2017 5:50 pm
0
4
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
สาธุ ขอให้เจริญในธรรม สมหวังกันทุกๆท่านครับ
โดย
sakkaphan
ศุกร์ พ.ค. 05, 2017 5:16 pm
0
1
Re: สรุปผลตอบแทนปี59ครับ
มีน้อยตัวครับที่ขึ้นประมาณ 10 เท่าในรอบสองปีนี้ พอดีผมถือตัวเดียวทั้ง PORT ซึ่งไม่ใช่แนวทางการกระจายความเสี่ยงที่ดีเลย ถึงแม้ผมมั่นใจมากแค่ใหนก็ตาม หากผันผวน จะเกิดความเสียหายมากครับแต่ผมก็ยังถือตัวเดียว ไม่ควรทำครับ แต่ผมรับความเสี่ยงใหว เพราะผมเอาทุนตนเองที่ลงในตลาดมาทั้งหมดออก จึงค่อนข้างอุ่นใจว่าไม่ขาดทุนเพราะที่เหลือไม่มีทุนตนเอง ท่านคงเดาๆได้ครับ เนื่องจากตัวนี้ลงทุนหลายประเทศที่GDP โตดีกว่าไทยทำให้ มองว่าโอกาสเติบโตดีกว่า ลงทุนในไทยครับแต่ปัจจุบันราคาดูแล้วน่ากลัวครับ ด้วยความเคารพ ขอเดาเล่นๆว่า เป็นบ.ญี่ปุ่นที่ผมคุ้นเคยครับ :B แล้วคุณ Loby ไม่ทราบว่าพอร์ตเป็นอย่างไรบ้าง โตมากขนาดไหนเทียบกับเมื่อก่อน เห็นถือตัวนี้มานานใช่มั้ยครับ ผมเคยถือตัวนี้เมื่อหลายปีก่อนและขายไปนานแล้วเลยอดมีส่วนร่วม555
โดย
sakkaphan
พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2017 12:43 am
0
2
Re: หุ้น 100 เด้ง/วีระพงษ์ ธัม
6.จงเน้นบริษัทที่มีขนาดเล็ก โอกาสยากกว่ามากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวันนี้จะกลายเป็นหุ้น 100 เด้งได้ในอนาคต Facebook ซึ่งมีมูลค่าตลาด 250,000 ล้านเหรียญ หาก Facebook จะเป็นหุ้น 100 เด้ง ขนาดตลาดของ Facebook จะต้องเป็น 25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจสหรัฐทั้งประเทศเสียอีก แต่หุ้นเล็กนั้นเติบโตได้โดยมีเพดานจำกัดกว่า ผมสงสัยข้อนี้ครับ เราจะรู้ได้ไงว่า บริษัทที่เราสนใจ ใหญ่เกินไปรึไม่ ดูมูลค่าตลาดครับ บริษัทที่มูลค่า 1000 ล้านบาท หากหวังร้อยเด้งก็คือ หวังให้มันกลายเป็น แสนล้านบาท ถึงจะฟังดูยาก แต่ก็คงยากน้อยกว่า บริษัทที่มูลค่าแสนล้านบาท แล้วหวังให้มันโตเป็น สิบล้านล้าน นะครับ
โดย
sakkaphan
เสาร์ พ.ย. 26, 2016 10:54 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
วันนี้ผมครบ 1 เดือนที่ลาออกจากงานมาพอดีเลยครับ ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ ขอบคุณมากครับ ผมก็ท้ออยู่เรื่อยๆเหมือนกันครับ ทั้งท้อบ้าง ฮึดบ้าง เรื่อยๆบ้าง วนเป็นลูปยาววๆๆๆๆๆๆไปเลยครับ ฮ่าๆๆๆ เหนื่อยเอาการเหมือนกัน รู้แต่ว่าต้องสู้ต่อไปครับ ส่วนเรื่องการปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสในแต่ละวัน ผมก็ไม่ละทิ้งครับ ยังคงปฏิบัติควบคู่กันไปโดยใช้การเจริญสติ ดูกาย ดูจิต เป็นหลัก แล้วก็นั่งสมาธิทำอานาปานสติอยู่บ้างครับ ถึงจะมีย่อหย่อนไปบ้าง แต่ก็พยายามดึงกลับมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ผมจะหนักไปทางหย่อนมากกว่าตึงนะ555 แต่ก็พยายามใช้คติที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงทางสายกลางคือ ไม่พักอยู่และไม่เพียรอยู่ ครับ ส่วนอาการปรามาสผมก็ลดลงไปเยอะจากเมื่อก่อนครับ จะว่าไปผมก็ราคะเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ความจริงก็รู้สึกจะเยอะไม่แพ้กันทุกตัวนะ ทั้งราคาโทสะโมหะ 555 ก็ทำไปเรื่อยๆครับ อนุโมทนาบุญกับพี่ tum_H ด้วยครับ :D
โดย
sakkaphan
พฤหัสฯ. ต.ค. 27, 2016 9:40 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมก็ไปตั้งจิต ผูกใจเอาไว้เหมือนกัน ชาตินี้โอกาสได้บวชคงจะน้อยมาก ถ้าได้บวชก็คงจะเป็นช่วงท้ายๆ ของชีวิต เพราะ ได้ทำเสร็จกิจแล้ว และตั้งใจเอาไว้ว่าก่อนตาย จะไม่ผูกจิตอะไรเอาไว้อีกแล้ว ขอเป็นอิสระทั้งที แต่เอาจริงๆ ผมว่าเป็นฆราวาสเราก็ยังมีเส้นทางในการพัฒนาจิตได้มากระดับหนึ่ง เราก็มาพยายามด้วยกันครับ อย่างไปถึงสุดทางของฆราวาสที่เป็นอนาคามีแล้ว ในอนาคามีด้วยกันเอง ก็ยังแบ่งระดับแยกย่อยเป็นอีกหลายชั้น หลายลักษณะ ซึ่งก็ต้องพัฒนากันต่อไปอีก กว่าจะสิ้นกิเลสจริงๆ ครับผม มาพยายามด้วยกันนะครับ ไม่มีงานใดยากยิ่งไปกว่าการพยายามให้ได้ซึ่ง อิสรภาพทางใจ อย่างที่พี่เคยพูดถึง ^^ อุปสรรคมากมายที่ผ่านมาแล้ว อุปสรรคอีกมากมายที่รอเราอยู่ และเจออยู่ทุกวันๆ แต่มันจะผ่านไปได้แน่ๆ ผมเชื่อเช่นนั้น ทั้งผม ทั้งพี่ และทุกๆคนในห้องนี้ เป็นกำลังใจให้ทุกๆคนครับ :D
โดย
sakkaphan
พุธ ต.ค. 26, 2016 8:47 am
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เห็นห้องนี้เงียบๆไปนาน วันนี้อยู่ๆก็อยากจะมาอัพเดตเส้นทางธรรมของตัวเองครับ ก่อนหน้านี้ ผมเคยคิดออกบวชตลอดชีวิต เพื่อให้ไปถึงจุดหมายสูงสุด คือ หมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง และวันนี้ก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่ ตอนนั้น ผมเที่ยวป่าวประกาศบอกใครไปทั่ว ทั้งบอกลาเพื่อนฝูงหลายๆคน แต่ปรากฏว่า ก่อนบวช วันที่ตัดสินใจจะไปจริงๆ ไม่รู้ทำไม จิตใจเศร้า ทุกข์ทรมาณอย่างมาก ผงเคร่งมากช่วงนั้น กินมื้อเดียวเป็นเดือน และก่อนจะบวชก็ไปเป็นผ้าขาวที่วัดอยู่หลายวัน พยายามตัดใจไปให้ได้อยู่หลายวัน จนวันท้ายๆที่ข่มใจจะไปจริงๆ ผมร้องไห้ออกมาอย่างมาก จิตทุกข์มากเศร้ามาก มีอะไรติดค้าง ผมติดอะไรอยู่? ตอนนั้นผมเหมือนจะรู้ แต่ก็ยังไม่มั่นใจเท่าไร สุดท้ายก็ยังไปไม่ได้ เลยออกมาปฏิบัติในเพศฆราวาส ลองดูไปเรื่อยๆ หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็แน่ใจว่า ทำไมตอนนั้นถึงยังบวชไม่ได้ จะเรียกว่า เป็นหนี้กรรม หรือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ก่อนจะไป และคงเป็นแรงตั้งมั่นแห่งจิตหรือแรงอธิษฐานแต่อดีตชาติด้วย ผมนึกถึงคำพูดของในหลวงที่ได้ตรัสแก่ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ในวันที่ต้องเกษียณว่า "สุเมธ...งานยังไม่เสร็จ" จนกระทั่งถึงวันนี้ ที่ท่านได้สละร่างไปแล้ว งานของท่าน ก็ยังไม่เสร็จ... แต่จะเสร็จอย่างแน่นอนสักวันหนึ่งในอนาคต งานของผมก็เช่นกัน จะว่าไปแล้ว การที่เรามุ่งมั่นทำตามแรงอธิษฐาน ก็เป็นการสะสมสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี ขันติ วิริยะบารมี ไปด้วยเช่นกัน และมันจะเป็นพลังที่ทำให้เราหลุดพ้นไปได้ในที่สุด ผมมั่นใจว่า งานของผม ไม่ยากขนาดนั้น ถ้าโชคดี งานสุดท้ายนี้คงเสร็จ โดยไม่จำเป็นต้องถอนคำอธิษฐานแต่อย่างใด และท้ายที่สุดของชีวิต จะได้สานต่องานหลัก ให้เสร็จสิ้นซะในชาตินี้เสียที เป็นกำลังใจให้กับนักรบธรรมทุกท่าน ในงานข้ามภพข้ามชาตินี้ ขอให้เจริญก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ขอให้บรรลุความปรารถนา ขอให้ประสบความสำเร็จกับสิ่งที่หวังไว้ด้วยกันทุกๆท่านนะครับ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
โดย
sakkaphan
อังคาร ต.ค. 25, 2016 11:39 pm
0
8
Re: เกมส์ทายชื่อหุ้น จากปริศนาคำใบ้
ไม่ถูกเลยสักข้อ ที่ตลกคือผมถืออยู่ตัวนึง 5555
โดย
sakkaphan
จันทร์ ก.ย. 26, 2016 12:06 pm
0
1
Re: กทม.เตรียมขึ้นแท่นเมืองรถติดที่สุดในโลก หุ้นไหนได้ประโยช
โรงหนังครับ รถติด คนไม่อยากกลับบ้านเร็ว แวะดูหนังก่อนดีกว่า
โดย
sakkaphan
พฤหัสฯ. ก.ย. 22, 2016 5:32 am
0
1
Re: ขอเชิญร่วมทำบุญบริจาคสร้างหนังสือ "กายคตาสติ"
จริงๆผมตั้งใจพิมพ์หนังสืออีกสองเล่ม 1 วิสุทธิ7 (ของอ.แนบ) เป็นแนวอภิธรรม ต้นฉบับที่ผมมีเก่ามาก พิมพ์ข่วงปี 07 ให้เพื่อนไปจัดเล่มใหม่หลายปีแล้ว แกหายไปพร้อมกับหนังสือผม ฮา เห็นยุ่งๆอยู่กับร้านเสื้อผ้า 2 ทางแห่งมรรคผล หลวงปู่แบน ธนากโร เล่มนี้แจกเฉพาะลูกศิษย์ เป็นหนังสือที่สุดยอดเล่มนึง ที่ได้อ่านมาในรอบหลายๆปี สำนวนหลวงปู่เฉียบขาด เด็ดขาดตามสไตล์หลวงปู่ แต่ปัญหาคือ ผมไม่กล้าขออนุญาติหลวงปู่เพราะปกติหลวงปู่ท่านจะไม่ชอบให้ทำหนังสือ ตัวท่านเองก็เป็นคนเก็บตัว อยู่เงียบๆ ว่าจะไปขออนุญาติหลายครั้งแล้วแต่พอนึกถึงตอนที่โดนหลวงปู่จัดหนักก็ยังไม่ค่อยกล้า ขนาดรอบที่แล้วขออนุญาติกลับบ้านยังโดนท่านดุเอา ท่านไม่อยากให้กลับ ผมก็ใช้ไหวพริบอ้างโน่นอ้างนี่ จริงๆก็ไม่อยากเถียงเพราะรู้ว่าท่านเมตตาผม กำลังนึกข้ออ้างอะไรดีหนอที่จะขออนุญาติหลวงปู่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ได้ นึกไม่ออก บอกว่ามีคนอยากอ่านครับ ผมฟังแล้วอยากลองอ่านนะ แต่ผมชอบสั้นๆง่ายๆ ถ้ายาวๆนี่สงสัยได้ตั้งทิ้งดองไว้แน่
โดย
sakkaphan
จันทร์ ก.ย. 19, 2016 12:07 pm
0
0
Re: ขอสอบถามพี่ๆเพื่อนๆเกี่ยวกับนาฬิกา Brand Rolex หน่อยครับ
1. คนละหมวดกันนะครับ รถยนต์ เป็นสินค้าใช้แล้วเสื่อม คุณก็คงไม่อยากได้รถอายุ 10 ปีในราคาที่แพงกว่ารถรุ่นใหม่เทคโนโลยีใหม่หรอกถูกมั้ยครับ ยกเว้นเสียว่าเก่าจนกลายเป็นรถโบราณเป็นของสะสม ก็มูลค่าเพิ่มได้ แต่นาฬิกาเป็นหมวดเครื่องประดับ ถ้ามีความต้องการ หรือเรียกง่ายๆว่า "มีคนเล่น" ราคาก็ไม่ตกมาก สินค้าอย่างอื่นเช่น กระเป๋าหลุยส์ หรือแม้แต่พวกโมเดลกันดั้ม ไพ่เมจิก รองเท้า พวกนี้มีกลุ่มคนที่ต้องการหรือกลุ่มคนที่เล่นของพวกนี้ สะสมของ ทำให้มีราคาอยู่เสมอ 2. อย่างที่บอกว่าครับว่ามีคนเล่น อาจจะเพราะตัวแบรนด์ที่ดูหรู มีค่า ไม่ตกต่ำตามกาลเวลา ผมคิดว่าแบรนด์อื่นก็มีคนเล่นบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็อาจจะไม่เท่า rolex 3. ก็เป็นไปได้ ถ้าต่อไปมีความต้องการลดลง เช่น คนไม่นิยมสวมนาฬิกาข้อมืออีกต่อไป หรือมีแบรนด์อื่นที่คนนิยมกว่ามาแทน
โดย
sakkaphan
พุธ ก.ย. 14, 2016 8:56 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณพี่ tum_H มากๆครับ สำหรับธรรมทาน ปล. เรียกผมว่าน้องดีกว่าครับพี่ เพราะว่าผมอายุ 28 เอง
โดย
sakkaphan
อังคาร ส.ค. 30, 2016 10:03 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขออนุญาติแชร์เทคนิคของผมนะครับพี่ picatos ระหว่างรอพี่ tum_H มาตอบ เคยได้ยินว่าหากกามราคะแรง ให้ใช้การพิจารณาอสุภะอสุภังเนืองๆ แต่ผมลองทำดูรู้สึกว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร เหมือนฝืนๆคิด รู้สึกไม่ค่อยตรงกับจริต ก็เลยใช้วิธีดูจิตดูอารมณ์ ใช้สติกำกับ พอเกิดกำหนัดขึ้นก็รู้ รู้อยู่เฉยๆ รู้แล้วก็วาง หรือคิดซะว่ามันก็แค่ขันธ์ขันธ์หนึ่ง ไม่ต่างจากขันธ์หรืออารมณ์อื่นๆ เวลาอารมณ์เกิดขึ้น มันก็เหมือนกับเวลาโดนยุงกัดเป็นตุ่ม เราคัน อยากเกา แต่รู้ว่าถ้าเกาแล้วเด๋วมันก็คันยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นแผลเป็นอีก ก็ช่างหัวมัน เฉยๆกะมันซะ เด๋วก็หายคัน สักพักก็คันใหม่ แล้วก็ลืม หายคันอีก มันก็เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ แต่โดยรวมแล้วพอทำบ่อยๆ สำหรับตัวผมเองพบว่าช่วยแก้เรื่องกามราคะได้เยอะเลยครับ เหมือนพอทำเรื่อยๆแล้ว สักพักอารมณ์มันจะเบาขึ้น ไม่หนักหน่วงรุนแรง แล้วก็กามราคะลดลงได้จริงๆ สรุปคือจริงๆแล้วตอนนี้ ไม่ว่าจะกิเลสตัวไหน ผมใช้วิธีเดียวกันหมดเลยคือ เมื่อสติตามรู้อารมณ์เกิดขึ้น รู้แล้วก็วางมัน แล้วก็ใช้ปัญญาเข้ากำกับด้วยว่า มันไม่ใช่เรา กำหนัดไม่ใช่เรา มันแค่ขันธ์ โลภ โกรธ หลง ไม่ใช่เรา ความคิดที่ฟุ้งซ่านขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรา ไม่ต้องไปยึดติดมัน ซึ่งเท่าที่ทำมา ผมก็พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้อยู่พอควรเลยครับ ไม่ทราบว่าพี่ picatos เป็นอย่างไรบ้าง การปฏิบัติมีความก้าวหน้าหรือติดขัดประการใด หากติดขัดแล้วแก้ไขไปได้อย่างไรบ้าง รวมถึงคำถามเรื่องกามราคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ใช้วิธีใดในการขัดเกลา และผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง อยากให้พี่แชร์บ้างเพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ทุกคนครับ
โดย
sakkaphan
อังคาร ส.ค. 30, 2016 12:15 am
0
6
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสไปฟังธรรมกับพระอาจารย์สุชาติ ที่วัดญาณสังวราราม ชลบุรี บ่อยๆ เวลานั่งพิจารณาหรือใช้สติปัญญาในการแก้ รู้สึกว่า สักแต่ว่ารู้ แต่พอไปฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์เรื่องเดิม ผลลัพธ์กลับอัศจรรย์ใจมากเลยครับ ท่านว่า เรื่องกามราคะ ก็ใช้ปํญญากำกับและรู้ตามมันไปสิ ความรู้สึกในวันนั้นอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเกิดความสว่างในจิต ทั้งๆที่ในตำรา ก็มีสอน และเป็นสิ่งที่เราเอง ก็รู้อยู่แล้ว แต่ทำไม่ได้ ไม่ใส่ใจ ไม่อยู่ในใจ แต่พอได้ฟังจากครูอาจารย์ กลับมีพลังและเกิดปัญญาขึ้นมารู้ตามและหายสงสัย ซึ่งทำให้ระลึกถึงคำของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ว่า ถ้าเราไม่ได้มีนิสัยปัจเจก ก็ต้องเข้าหาครูอาจารย์ ฝึกเองจะเนิ่นช้าและใช้เวลามากกว่า ตอนนี้ทำให้รู้จริตตัวเองเลยว่า ต้องอาศัยคำแนะนำและหลักใจ จากครูอาจารย์ ถึงจะก้าวหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น ผู้ใดที่หาจริตของตนเองได้พบแล้ว ผู้นั้นก็จะเจอแสงสว่างของจิตที่ตามหาครับ :D อนุโมทนาด้วยครับ ในเฟซบุค ก็มีเพจชื่อ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต มี live ถ่ายทอดสดท่านแสดงธรรมตลอดเลยครับ รู้สึกว่าทุกวันช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสี่โมง แถมถ้าสงสัยอะไรก็สามารถพิมพ์ใน comment เป็นคำถามจากทางบ้านได้ด้วย เท่าที่ตามดูท่านตอบแทบทุกคำถามเลยครับ เรียนเชิญเพื่อนๆพี่ๆทุกท่านเข้าไปลองดูได้ครับ
โดย
sakkaphan
จันทร์ ส.ค. 29, 2016 11:37 pm
0
1
Re: เลือกหุ้น 20 ตัวสำหรับลงทุน 20 ปี เลือกตัวละ 5% จะเลือกใ
ไม่มีใครสนใจ xo เลยเหรอครับ ผมว่าน่าจะได้ประโยชน์ทางอ้อมจากmegatrendอย่างการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะคงอยู่ต่อไปอีกนานระดับสิบปี ทำให้ทั่วโลกมีความต้องการอาหารจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น อาหารไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น และxoก็ดูมีวิสัยทัศน์ที่ต้องการจะทำให้ลูกค้าต่างประเทศเมื่อนึกถึงอาหารไทยต้องนึกถึง xo ถ้า ผบห ทำได้จริงก็เป็นตัวหนึ่งที่หวังลุ้นในระยะยาวได้นะ คหสต ปล.มีหุ้นนะครับ
โดย
sakkaphan
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2016 1:01 pm
0
1
Re: เลือกหุ้น 20 ตัวสำหรับลงทุน 20 ปี เลือกตัวละ 5% จะเลือกใ
ขอแชร์ไอเดียนะครับ ถ้าเอาตามโจทย์ที่ให้มาเลย ก็เป็นตามนี้ กองหลัง ขึ้นชื่อว่ากองหลัง ถึงจะเป็นหุ้นเน้นปันผล ก็ควรมีโมเดลกิจการแข็งแกร่ง อย่างโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นที่โมเดลดูแล้วไม่น่าไว้วางใจควรตัดออกอย่างเช่น TMT กองกลาง ควรเป็นได้ทั้งรุกและรับ คือแข็งแกร่ง และหวังเติบโตได้พอควร เน้นอุตสาหกรรมที่เป็นmegatrend เช่น ท่องเที่ยว หรือ โรงพยาบาล เห็นด้วยกับ aot bdms mint รวมถึงพวกแนวผูกขาดเช่น bem bafsนี่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับน้ำมัน แต่อาจจะเพิ่มพวกสาธารณูปโภคเช่น หุ้นไฟฟ้า หุ้นประปา ลงไป รวมถึง หุ้นที่เป็นmegatrend ก็อาจจะใส่ไปได้มากกว่าหนึ่งตัวอย่างเช่นพวกโรงพยาบาลมีให้เลือกเพียบ กองหน้า ขึ้นชื่อว่ากองหน้า วิ่งจี๊ด ยิงตูม ถ้าเข้าเป้าก็ได้เฮ แต่อาจกระดูกเปราะ วิ่งหัวคะมำเองได้ แต่ไม่เป็นไรเพราะเรามีกองหลังกะกองกลางกันความเสี่ยงไว้แล้ว แต่ถ้าพูดถึงหวังโตระยะยาว 20 ปี ควรเลือกหุ้นที่ดูมี room ให้โตได้อีกเยอะ และเป็นโมเดลธุรกิจที่อาจจะไม่ได้เด่นในวันนี้แต่อาจดีในอนาคตอย่างพวกค้าขายonline หรือไม่ก็โมเดลแบบที่ยังไงก็ต้องกินต้องใช้ เช่น อาหาร เป็นผมผมคงตัด swc ออก ดูไม่แน่ใจในroomที่เหลืออยู่ หรืออย่าง rp ก็เช่นกัน ผมไม่รู้ว่ามันโตได้ขนาดไหนกันกับการทำท่าเรือ ส่วน beauty กับ spa ดูเป็นไปได้ แต่ ณ วันนี้ได้ผลบวกเพราะการท่องเที่ยวจากจีนอยู่ อาจจะต้องระวังเรื่องนี้ comment : 1. ผมว่าโจทย์ลงหุ้น 20 ตัว ตัวละ 5 เปอร์เซนต์ ดูเป็นการบีบบังคับไปหน่อย ทำให้ภาพของพอร์ตที่อยากจะเห็น ดูไม่ค่อยชัดเจน ผมว่าหากลองตั้งโจทย์โดยเริ่มจากภาพใหญ่ของพอร์ตก่อน เช่น อยากได้พอร์ตที่หวังเติบโตได้เยอะและรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมากหน่อย ก็อาจจะเน้นที่กองหน้ามากขึ้น แต่ถ้าอยากได้พอร์ตที่ปลอดภัยไว้ก่อน หวังโตพอควร ความเสี่ยงไม่มาก ก็เน้นที่กองกลางกับกองหลังมากขึ้น 2. การกระจายความเสี่ยง อาจจะกำหนดเป็นอัตราส่วนของหุ้นแต่ละแบบในพอร์ตแทนที่จะกำหนดเป็นจำนวนตัว อย่างเช่น กองหลัง:กองกลาง:กองหน้า 30:50:20 อะไรทำนองนี้ หากตัวที่คิดว่าดีมากแข็งแกร่งมาก ก็อาจจะซื้อในสัดส่วนที่สูงหน่อย อย่างเช่นชอบbdmsมาก ก็จัดสัก8-10 เปอร์เซนต์ ผมไม่รู้กฏ 5 เปอร์เซนต์นะครับว่าคืออะไร แต่คิดว่าบีบเกินไป ทำให้เราต้องซื้อหุ้นที่เราคิดว่าดีมากที่ 5 เปอร์เซนต์ และกลับกัน ต้องกระจายไปลงในตัวที่เราคิดว่าไม่ค่อยดีเท่าไร 5 เปอร์เซนต์ซะอีก จาก diversification ก็อาจจะกลายเป็น diWORSTได้ ปีเตอร์ ลินช์ ว่ามา
โดย
sakkaphan
อังคาร ส.ค. 23, 2016 12:16 pm
0
3
Re: เลือกหุ้น 20 ตัวสำหรับลงทุน 20 ปี เลือกตัวละ 5% จะเลือกใ
แล้วก็ อยากทราบเรื่องผลตอบแทนที่คาดหวัง และ ความเสี่ยงที่รับได้ ก็เป็นปัจจัยในการเลือกหุ้นเข้าพอร์ตด้วย อยากทราบเช่นกันครับ
โดย
sakkaphan
จันทร์ ส.ค. 22, 2016 6:34 pm
0
0
Re: เลือกหุ้น 20 ตัวสำหรับลงทุน 20 ปี เลือกตัวละ 5% จะเลือกใ
ทำไมถึงต้องเป็น 20 ตัวครับ มีเหตุผลในการfixจำนวนหุ้นรึป่าวครับ
โดย
sakkaphan
จันทร์ ส.ค. 22, 2016 6:29 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
มีหลายคนเป็นอย่างพี่ pekko ที่ผมเคยเจอมา ส่วนใหญ่คนจำพวกนี้นั่งสมาธิได้เก่งแล้วพาลไปติดไปหลงในสมาธิ นึกว่าตัวเองบรรลุธรรมขั้นสูง คล้ายคนบ้าเลย ถ้าไม่เจออาจารย์ที่รู้มาท้วงชักจูงให้เข้าแนวทางเดิม มาแนะนำก็หลงทางไปเลย คนนี้ที่ผมเจอด้วยตัวเอง ท่านไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน นั่งสมาธิ เดินจงกลม เจ็ดวัน ช่วงที่อยู่ได้สมาธิแบบอัปปนาเลย และพูดทำนองว่าได้บรรลุถึงขั้นนั้นขั้นนี้ ปฏิบัติธรรมอย่างแรงกล้า แต่ก็ไปเพ่งโทษคนอื่นด้วยหาว่า หย่อนยาน แต่ก็ไม่มีอาจารย์แก้ไขให้ กลับมาก็ยังติดในสมาธิ แถมไปว่าคนโน้นคนนี้ว่า ทำตัวไม่ดีบ้าง และได้ข่าวว่าท่านต้องสึกเพราะเหมือนกลายเป็นโรคจิต และคนที่หลงนี่ไม่รู้ตัวหรอกครับ ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่รู้จริงคอยท้วงติง บอกแนวทางที่ถูกต้อง ท่านถึงบอกว่า มิจฉาทิฎฐิ มีโทษมากกว่าอนันตริยกรรม เพราะทำกรรมหนักเช่นฆ่าพ่อแม่ ลงนรกยังมีกำหนดว่าพ้นโทษเมื่อไหร่ แต่เห็นผิดนี้คือหลงทางแล้วต้องวนเวียนในสังสารวัฏฏ์นานมากกว่าหลายเท่า ขอบคุณครับพี่ oatty ที่ผมถามก็เพราะกลัวตัวเองไปหลงติดอะไรสักอย่าง เพราะ การที่ตัวเองยังมีกิเลสอยู่นี่ก็แสดงว่ายังมีความหลงอยู่แน่ๆ และก็กลัวว่าสิ่งที่กำลังเพียรทำอยู่นี่จะไปเข้ารกเข้าพง ยิ่งโดยส่วนตัวเป็นพวกอ่อนศรัทธา เข้าหาอาจารย์น้อย ยิ่งกลัวว่าตัวเองจะเสียเวลาหลงทางไปไกล อาจารย์ที่สอนให้ผมปฏิบัติธรรมก็เป็นฆารวาสที่ยังมีความไม่สมบูรณ์ของสมาธิและปัญญา ครั้นจะหาอาจารย์ท่านอื่น ก็ไม่รู้อีกว่าอาจารย์ท่านไหนบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะ ในยุคนี้ก็ไม่มีพระพุทธเจ้ามารับประกันผลการปฏิบัติ กลัวจะเสียเวลาไปกับการค้นหาอาจารย์อีก โชคดีที่พอจะอ่านพุทธพจน์และคำสั่งสอนของพระอรหันตสาวกในสมัยพุทธกาลเข้าใจอยู่บ้าง เวลามีปัญหาในการปฏิบัติก็เจาะลงไปที่เนื้อหาคำสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติในพระสูตร และอรรถกถา โดยตรงแทน เพราะ คำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนของพระอรหันต์แน่ๆ แต่ก็ยังกลัวว่าจะไปผิดทางอยู่ เพราะ ตัวผมเองก็ยังปัญญาอ่อนด้อยเกินกว่าที่จะเข้าใจเนื้อหาได้ทั้งหมด เลยอยากสอบถามความเห็นจากเพื่อนๆ ที่เคยเดินผิด เก็บเป็นฐานข้อมูลของตัวเอง เพื่อระวังไม่ให้ตัวเองหลงไปผิดทาง เลยอยากให้เพื่อนๆ ช่วยกันแชร์ indicator ในการวัดผลการศึกษาธรรมะ โดยส่วนตัว indicator ของผมในการใช้ชีวิต ผมจะใช้แนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้ไว้ใน มหาสุญญตาสูตร เป็น benchmark ในการวัดว่าไม่หลงออกนอกทาง คือ ถ้าเดินถูกทาง การคิด การพูด การกระทำ จะมีความโน้มเอียงเข้าสู่พระสูตรนี้มากขึ้นเรื่อยๆ บางอย่างยังทำไม่ได้ แต่เป็นเป้าที่จะมุ่งหน้าไป อีกอย่าง คือ ผมวัดความก้าวหน้าของตัวเองจาก ความเป็นอิสระจากเรื่อง คน หรือสิ่งต่างๆ โดยย่อคือ ความเป็นอิสระจากอุปทานขันธ์ 5 มีมากขึ้นหรือเปล่า วัดง่ายๆ อย่างเรื่องหุ้น เช่น หุ้นขึ้น หุ้นลงครั้งนี้ จิตใจเราหวั่นไหวมากขึ้นหรือน้อยลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้า เมื่อเสวยเวทนาครั้งนี้ จิตของเรามีการปรุงแต่งแตกต่างจากในอดีตอย่างไร เป็นต้น โดยย่อ คือ เข้าใจทุกข์และการเกิดของทุกข์มากขึ้นหรือไม่? ชีวิตเป็นทุกข์น้อยลงหรือไม่ และเห็นทางที่จะทำให้ทุกข์น้อยลงไปอีกหรือไม่ ถ้าใช่ ก็คิดว่าน่าจะมาถูกทาง ขออนุญาติแสดงความเห็นนะครับ ผมว่าเอาจริงๆแล้ว เนื้อหาในพระไตรปิฎก ก็ผ่านมานานมากแล้ว ผิดเพี้ยนไปมากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ในขณะเดียวกัน ครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เป็นพระอรหันต์จริงๆ เราก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน สำหรับผมสิ่งเหล่านี้มีค่าเท่ากัน คือเป็นสิ่งที่ ไม่รู้ ผมใช้วิธีแค่ เคารพ และ ฟังไว้ สุดท้ายต้องปฏิบัติเองถึงจะรู้จริงๆ ผมเคยถามครูบาอาจารย์บางท่านว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าก้าวหน้าแล้ว ท่านก็ตอบว่าเหมือนเรากินข้าว หิวเราก็รู้ว่าหิว อิ่มเมื่อไรก็รู้ว่าอิ่ม ไม่ต้องพูดต้องอธิบายออกมา การพูดออกมาเป็นคำพูดหรือบันทึกเป็นคำเขียนนี่เป็นสมมติบัญญัติ มันคลาดเคลื่อนได้เสมอ ดังนั้นแล้ว ใจจริงผมว่า หากพี่picatosลองเข้าหาครูบาจารย์บ้าง มีหรือจะไม่ได้ประโยชน์ พี่picatosคงมีปัญญาและมีสติพอที่จะฟังเอาไว้ โดยไม่เชื่อก่อนตามหลักกาลามสูตรอยู่แล้วนี่ครับ มันจะเป็นประโยชน์กับพี่มากกว่านะผมว่า ขออภัยหากล่วงเกินตรงนี้ หรือ เรื่องที่ว่า กลัวว่า ฟังเยอะแล้วฟุ้ง พูดเยอะแล้วฟุ้ง ผมเห็นด้วย ผมก็เป็น แต่ความจริงแล้วเราฟุ้งกันมาเท่าไรแล้วที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้ ฟุ้งทางโลกก็ฟุ้ง แต่พอฟุ้งทางปัญญา กลับกลัวว่ามันจะเป็นโทษซะงั้น ขออภัยหากล่วงเกินตรงนี้อีกเช่นกัน แต่บรรทัดนี้ผมเอาคำพูดครูบาอาจารย์มาพูดนะครับ(ดัดแปลงนิดหนึ่งแต่มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยพูดคล้ายๆแบบนี้) ผมเขียนไว้เตือนตัวเองด้วยนะ ส่วนเรื่อง indicator นี่ สำหรับผม อย่างที่พระท่านบอกเลยครับ หิวก็รู้ว่าหิว อิ่มก็รู้ว่าอิ่ม สำหรับผมคือ ผมวัดความรุนแรงของกิเลสตนเอง แล้วก็วัดว่า มีสติบ่อยขึ้นมั้ยมากน้อยแค่ไหน และตอนนี้เหมือนจะรู้มากขึ้นด้วย เวลาใจเป็นกุศล หรือ อกุศล อีกอย่างหนึ่งก่อนหน้านี้ที่ผมแชร์ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ได้พี่cobain_vi มาช่วยพูดเตือนสติ ตอนนั้นที่ได้สติและรู้สึกว่าตัวเองช่างกระจอก ขำตัวเอง แต่กลายเป็นว่าผมจับความรู้สึกได้ว่า จิตคลายความยึดมั่นว่า ตัวเองเป็นบางอย่าง ลงไป ณ วินาทีนั้นเข้าใจเลยว่า คำพูดที่หลวงตามหาบัวเคยพูดไว้ว่า "ผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ผู้นั้นไม่ใช่" หรือคำพูดหลวงปู่ชา "อย่าเป็นอรหันต์ อย่าเป็นอะไรเลย เป็นแล้วทุกข์" เข้าใจเลยว่ามันเป็นยังไง ไอการที่เราไปเป็นอะไรสักอย่างนี่ หมายความว่าจิตมันถืออยู่ครับ มันไม่ปล่อย ตอนนี้ผมรู้แค่ว่า เป็นอะไรก็ไม่ได้ครับ หรือตัดสินว่า รู้อะไร ก็ไม่ดีครับ ตัดสินปุ๊ปสังขารเกิด ตัดสินว่าใช่ ไม่ใช่ ถูก ไม่ถูก ว่าเป็นยังงั้นเป็นยังงี้ พอตัดสินก็เกิดความเอนเอียงไม่เป็นกลาง เกิดต่อว่า ชอบ ไม่ชอบ พอชอบไม่ชอบแล้วก็ อยาก ไม่อยาก ทีนี้จิตอกุศลก็เกิดครับ สำคัญที่มีสติรู้ตัว รู้แล้วก็ปล่อย ประมาณนี้นะ ขออภัยหากล่วงเกิน ผมเป็นผู้น้อยด้อยปัญญา แต่แค่คิดว่า ผมพูดออกมานี่ น่าจะดีกว่าเก็บความคิดไว้คนเดียว น่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นมากกว่า นี่เป็นจริตผมด้วยแหละ
โดย
sakkaphan
จันทร์ พ.ค. 30, 2016 11:09 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ีอีกคำถามครับ สภาวะธรรมตอนเจอผู้รู้นี่ ยังไม่ใช่โลกุตตระ รึป่าวครับ ยังต้องทำต่อรึป่าวครับ ผมเสียดายที่ไม่เคยได้ถามครูบาอาจารย์ ขอคุณ cobain vi ชี้แนะด้วย ผู้รู้ คือ จิต มโน วิญญาณ ตัวเดียวกันหมดครับ ผู้รู้ในขันธ์ 5 ก็วิญญาณนั่นแหละครับ บัญญัติศัพท์ตถาคตเรียกว่า วิชานาติ ต้องละตัว ผู้รู้ หรือ จิตนี่แหละถึงจะนิพพานครับ วิธีละจิต ก็ เห็นจิตเกิดดับโดยใช้ มรรคแปดครับ อานาปานสติ ครับ ปล่อยวางจิต ส่วนสิ่งที่เข้ามาหลงยึดจิต ก็เรียกว่า สัตว์ สัตตะ สัตตา สัตตานัง ไม่เกิดไม่ดับ เป็นผู้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏครับ พอมีวิชชาแล้วก็จะ ไม่เพลินกะขันธ์ 5 มีบัญญัติศัพท์ว่า วิมุตติญาณทรรศนะครับ พระพุทธเจ้าเรียกแทนตัวพระองค์ว่า ตถาคต ครับ มีเหตุให้เรียกแบบนี้* ขอบคุณมากครับ
โดย
sakkaphan
อังคาร พ.ค. 24, 2016 11:39 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณพี่ๆทั้งสองมากครับ ได้ประโยชน์มากทีเดียว
โดย
sakkaphan
พฤหัสฯ. พ.ค. 19, 2016 7:40 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ีอีกคำถามครับ สภาวะธรรมตอนเจอผู้รู้นี่ ยังไม่ใช่โลกุตตระ รึป่าวครับ ยังต้องทำต่อรึป่าวครับ ผมเสียดายที่ไม่เคยได้ถามครูบาอาจารย์ ขอคุณ cobain vi ชี้แนะด้วย
โดย
sakkaphan
พุธ พ.ค. 18, 2016 3:11 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ดีใจที่ยังมีห้องนี้อยู่ ไม่รู้จะหาที่สนทนาธรรมที่ไหน ผมห่างจากบอร์ดนี้ไม่ค่อยได้เล่น คราวก่อนมาร่ำลาเพื่อนๆพี่ๆในห้องนั่งเล่น แต่ก็ยังไม่ได้ไปบวชเสียที เห็นที่พี่picatosอนุโมทนาไว้ก็ละอายใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็เชื่อว่าถึงวันนี้จะยังทำสัจจะที่ว่าไว้ให้เป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ แต่ตั้งใจจะทำเหตุให้ดีที่สุด เพื่อผลที่ตามมา จะได้ทำให้เป็นจริงได้ในภายหลัง ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสได้มานั่งคุยธรรมะที่นี่ ผมไล่ตามอ่าน2-3หน้าสุดท้าย น่าสนใจมากๆครับ เลยอยากจะแชร์สิ่งที่พบเจอในการปฏิบัติรวมถึงอยากถามคำถามบางอย่างกับพี่ pekko และพี่ cobain vi นะครับ ....ผมได้พบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างมากเมื่อต้นปี ผลคือ หลังจากนั้น ผมปฏิบัติภาวนาอย่างหนัก เนื่องจากมีความอยากหลุดพ้นเป็นแรงผลักดันอย่างยิ่งยวด มีช่วงหนึ่งที่ทำตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอน โดยไม่ออกไปไหนเลยนอกจากกินข้าว นับเฉพาะช่วงที่หนักที่สุดนี้กินเวลาประมาณ10วันครับ - ผมทำอานาปานสติ อย่างเดียวรวดเลยครับ คือไม่ได้มีปริยัติในหัวเลย ดูลมแบบอุกฤษณ์อย่างเดียว จิตเกิดวิปัสสนาเองโดยไม่ต้องเอาความคิดมาปรุงแต่ง เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านว่านั่นเป็นวิปัสสนาแท้ อาจจะเป็นไปได้ว่ามีแรงผลักดันที่เป็นในส่วนของปัญญา คือความเห็นแต่ทุกข์ อยากหลุดพ้นอยู่แล้วในตัว พอเติมสมาธิมากๆเข้าไป จึงเห็นผลในที่สุด - สภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น จิตเกิดความเบื่อหน่ายอย่างหนัก เบื่อแบบเหมือนจะตาย แล้วจิตจะเกิดวิปัสสนาเอง เราจะรู้ได้เองเช่น จิตจับที่ร่างกาย มีครั้งนึงอยู่ๆไปจับที่แข้งรู้สึกถึงกระดูกข้างใน มีหลายครั้งสำหรับตัวผมที่ได้กลิ่นจากในตัว เหม็นอย่างมาก ยิ่งกว่าส้วมแตก หรือบางครั้งก็รู้สึกว่ากายหายไปเลยชั่วแวบหนึ่ง เป็นต้น - ถึงจุดหนึ่งจะเจอผู้รู้ ธาตุรู้ หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นเหมือนเป็นอิสระจากขันธ์ 5 หลังจากนั้นกิเลสไม่ขึ้นเท่าเดิมอีกเลย ถึงแม้ว่าสมาธิจะเสื่อมเพราะเริ่มคลายการปฏิบัติ แต่ก็ยังมีกิเลสอยู่ เยอะด้วย - ฌาณก็กดกิเลสได้ ถ้าอยากรู้ว่า ที่กิเลสลดๆไปนี่ เป็นโลกุตตระหรือแค่ฌาณกด ก็ต้องลองคลายสมาธิหรือหาเรื่องกระตุ้นกิเลสดู ผมใช้วิธีนี้สำรวจเหมือนกันตอนแรกๆที่ตกใจ แปลกใจจากผลการปฏิบัติ - พลังสมาธิเหลือเชื่อมาก ช่วงที่มีสมาธิดีๆนี่ เกิดสิ่งที่เอาไปเล่าคนอื่นคงหาว่าบ้า เรื่องอิทธิฤทธิ์หรือญาณต่างๆของพระอรหันต์เลยเป็นเรื่องปกติไปเฉยซะงั้น ไม่แปลกเลย ขนาดสมาธิระดับขี้กากก็ยังทำอะไรแปลกๆเล็กๆน้อยๆได้ อยากถามพี่ pekko และพี่ cobain vi ต่อนะครับ รวมถึงพี่ๆท่านอื่นๆด้วยหากปฏิบัติถึงแล้ว อ่านเจอตรงที่ว่าแบกผู้รู้อยู่ อย่างนี้ก็หมดกามราคะ กับโทสะ แล้ว ใช่มั้ยครับ ปฏิบัตินานมั้ยครับกว่าจะถึงตรงนั้น ที่คุณเล่ามาไม่มีตรงไหนที่เป็นวิปัสสนาแท้เลยครับ มีแต่อาการของสมถะ (ได้ยินแล้วก็อย่าท้อนะครับให้สู้ต่อไป อย่าล้มเลิก ) ความเพียรที่เล่ามาใช้ได้ครับ ขอให้อดทนทำไปเรื่อย ส่วนเรื่องที่ถามมาตอนท้ายขออนุญาติไม่ตอบนะครับ อ้าวจริงเหรอครับ ขอบคุณมากครับ ไม่ท้อหรอกครับ ขี้เกียจจะท้อแล้ว ถ้าท้อทั้งฮึดมาหลายครั้ง ก็ยังคงงูๆปลาๆไปเรื่อยๆ ได้แต่รู้ว่าต้องทำไปเท่านั้น แต่ถ้าอย่างนี้ วิปัสสนาแท้เป็นอย่างไรครับ รบกวนช่วยชี้แนะด้วย
โดย
sakkaphan
พุธ พ.ค. 18, 2016 2:43 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โอ้ ขอบคุณพี่ picatos มากครับสำหรับความรู้ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรพวกนี้เท่าไร เน้นแต่ทำอานาปานสติไปเรื่อยๆ แล้วก็พิจารณาความไม่สวยไม่งาม (ถึงจะยังชอบในกามราคะอยู่มากโดยเฉพาะสาวๆนี่ชอบนัก555) พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็พิจารณาความตายบ่อยๆ ผมว่ามันทำให้เห็นความไม่มีแก่นสารของการมีชีวิต การเกิดตาย ได้ดีทีเดียว มันเบื่ออยู่เรื่อยๆ แต่เบื่อเพราะโมหะหรือเบื่อเพราะปัญญานี่ แรกๆแยกไม่ออกเลยครับ หลังๆมาก็รู้ตัวมั่งไม่รู้ตัวมั่งตามประสา แต่ก็ได้เห็นจริงๆว่าโมหะนี่มันตัวร้ายเลย กว่าจะรู้ตัวนี่บางทีนานมาก ต่างจากโลภ หรือ โกรธ ที่เห็นง่ายรู้ง่าย ส่วนเรื่องฌาณสมาธินี่ ผมปล่อยไปตามยถากรรมเลยครับ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้จิตรวม จิตรวมมั่งไม่รวมมั่งช่างหัวมัน บางทีผมยังไม่รู้เลยว่านี่เรียกว่าฌาณอะไร แค่รู้ว่ามันมีสมาธิ หรือไม่มีสมาธิ เท่านั้น คงเรียกได้ว่า แนวทางของผมตอนนี้ คงเบื่อที่จะคิดมาก เพราะคิดเยอะไปมันก็เป็นแต่สัญญา สังขาร เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้สัญญามันว่างี้ มันก็ปรุงไปอย่างงี้ อีกวันนึงสัญญามันเป็นอีกแบบนึง คิดเรื่องเดียวกันก็ปรุงไปอีกทางนึงได้ เบื่อสัญญา เบื่อสังขาร ได้แต่ ทำแม่งไปเถอะ ทำๆไปเหอะ ประมาณนั้น 55 :?: แต่เอ๊ะพี่ picatos ครับ ขออนุญาตินิดนึงตรงที่ วิญญานขันธ์ เห็นพี่วงเล็บไว้ว่า ผู้รู้ ไม่แน่ใจว่าพี่picatosเข้าใจหรือสื่ออย่างไร แต่ ผู้รู้ ที่ผมหมายถึงนี่ ไม่รวมอยู่ในขันธ์ 5 เลยนะครับ ไม่ใช่วิญญานขันธ์ด้วย มันเป็นอีกตัวนึงเลย มันรู้อยู่เฉยๆ เหมือนเป็น observer ผู้สังเกตุการณ์ มันไม่ไปรู้สึกรู้สาอะไรกับขันธ์ 5 เหมือนแค่มองดูเฉยๆ ขันธ์มันแยกออกไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเลยครับ ผมเกิดภาวะนี้ไม่นาน ไม่กี่วินาทีหรอก แต่มันอัศจรรย์จริงๆ มันรู้อยู่เฉยๆโดยไม่ยึดถืออะไรทั้งนั้น มันเห็นขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ น่ะครับ จะบอกว่าภาวะตอนนั้นเป็นภาวะที่ แทบไม่มีทุกข์ เลย ก็เกือบๆจะใช่ ผมไม่แน่ใจว่าตัวนี้ใช่ ตัวรู้ แบบที่พระอรหันต์ท่านบอกกันรึปล่าว แต่ถ้าใช่ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา เมื่อถึงอนาคามีตัวรู้นี้จะเด่นจ้า เหลือแบกแต่ตัวรู้นี่เท่านั้น ปล่อยเมื่อไรก็หลุดพ้น ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก เข้าใจว่าตัวรู้นี้แหละ คือ จิต จิตแท้(หรือไม่แท้มั้ง) ที่พาเวียนตายเวียนเกิด ครูบาอาจารย์บางท่านก็ใช้คำว่าจิต ผมเข้าใจว่านี่เป็นเหตุผลที่คำว่า ดูจิต จึงเป็นคำที่ฟังดูเกิดความขัดแย้ง เพราะจิตตัวนี้ คนทั่วไปไม่มีทางเห็นเลย เข้าใจว่าจิตจะตั้งเด่นจริงๆตอนอนาคามี เพราะตอนอานาคามี จิตไม่ยึดถือในกายตนแล้ว เหลือแต่ยึดถือในผู้รู้ หรือก็คือ จิตยึดถือในตัวจิตเอง ปล่อยได้เมื่อไรหลุดพ้นเมื่อนั้น ดังนั้นคำว่า ดูจิต นี่ พระอาจารย์บางท่าน จึงใช้คำว่า ดูอารมณ์ น่ะครับ ไม่งั้นมันจะไปสับสนกับ ตัว จิต จริงๆ ผมเข้าใจประมาณนี้นะครับ ถ้าผิดตรงไหนอย่างไรแก้ได้เลยครับ
โดย
sakkaphan
พุธ พ.ค. 18, 2016 12:50 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ลืมบอกไป มีเพจคำสอนพระอรหันต์ในเฟซบุค สำหรับผู้ที่ต้องการอ่านเพื่อหาแนวทางปฏิบัติ หรือรู้แนวทางแล้ว อ่านเพื่อเสริมกำลังใจก็ตาม เพื่อเตือนตนในทุกๆวันก็ตาม ชื่อเพจ ธรรมะของพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครับ
โดย
sakkaphan
พุธ พ.ค. 18, 2016 8:25 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ดีใจที่ยังมีห้องนี้อยู่ ไม่รู้จะหาที่สนทนาธรรมที่ไหน ผมห่างจากบอร์ดนี้ไม่ค่อยได้เล่น คราวก่อนมาร่ำลาเพื่อนๆพี่ๆในห้องนั่งเล่น แต่ก็ยังไม่ได้ไปบวชเสียที เห็นที่พี่picatosอนุโมทนาไว้ก็ละอายใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็เชื่อว่าถึงวันนี้จะยังทำสัจจะที่ว่าไว้ให้เป็นจริงขึ้นมาไม่ได้ แต่ตั้งใจจะทำเหตุให้ดีที่สุด เพื่อผลที่ตามมา จะได้ทำให้เป็นจริงได้ในภายหลัง ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็ดีเหมือนกัน ถือโอกาสได้มานั่งคุยธรรมะที่นี่ ผมไล่ตามอ่าน2-3หน้าสุดท้าย น่าสนใจมากๆครับ เลยอยากจะแชร์สิ่งที่พบเจอในการปฏิบัติรวมถึงอยากถามคำถามบางอย่างกับพี่ pekko และพี่ cobain vi นะครับ ....ผมได้พบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างมากเมื่อต้นปี ผลคือ หลังจากนั้น ผมปฏิบัติภาวนาอย่างหนัก เนื่องจากมีความอยากหลุดพ้นเป็นแรงผลักดันอย่างยิ่งยวด มีช่วงหนึ่งที่ทำตั้งแต่ตื่นนอน ยันเข้านอน โดยไม่ออกไปไหนเลยนอกจากกินข้าว นับเฉพาะช่วงที่หนักที่สุดนี้กินเวลาประมาณ10วันครับ - ผมทำอานาปานสติ อย่างเดียวรวดเลยครับ คือไม่ได้มีปริยัติในหัวเลย ดูลมแบบอุกฤษณ์อย่างเดียว จิตเกิดวิปัสสนาเองโดยไม่ต้องเอาความคิดมาปรุงแต่ง เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านว่านั่นเป็นวิปัสสนาแท้ อาจจะเป็นไปได้ว่ามีแรงผลักดันที่เป็นในส่วนของปัญญา คือความเห็นแต่ทุกข์ อยากหลุดพ้นอยู่แล้วในตัว พอเติมสมาธิมากๆเข้าไป จึงเห็นผลในที่สุด - สภาวะธรรมต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น จิตเกิดความเบื่อหน่ายอย่างหนัก เบื่อแบบเหมือนจะตาย แล้วจิตจะเกิดวิปัสสนาเอง เราจะรู้ได้เองเช่น จิตจับที่ร่างกาย มีครั้งนึงอยู่ๆไปจับที่แข้งรู้สึกถึงกระดูกข้างใน มีหลายครั้งสำหรับตัวผมที่ได้กลิ่นจากในตัว เหม็นอย่างมาก ยิ่งกว่าส้วมแตก หรือบางครั้งก็รู้สึกว่ากายหายไปเลยชั่วแวบหนึ่ง เป็นต้น - ถึงจุดหนึ่งจะเจอผู้รู้ ธาตุรู้ หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นเหมือนเป็นอิสระจากขันธ์ 5 หลังจากนั้นกิเลสไม่ขึ้นเท่าเดิมอีกเลย ถึงแม้ว่าสมาธิจะเสื่อมเพราะเริ่มคลายการปฏิบัติ แต่ก็ยังมีกิเลสอยู่ เยอะด้วย - ฌาณก็กดกิเลสได้ ถ้าอยากรู้ว่า ที่กิเลสลดๆไปนี่ เป็นโลกุตตระหรือแค่ฌาณกด ก็ต้องลองคลายสมาธิหรือหาเรื่องกระตุ้นกิเลสดู ผมใช้วิธีนี้สำรวจเหมือนกันตอนแรกๆที่ตกใจ แปลกใจจากผลการปฏิบัติ - พลังสมาธิเหลือเชื่อมาก ช่วงที่มีสมาธิดีๆนี่ เกิดสิ่งที่เอาไปเล่าคนอื่นคงหาว่าบ้า เรื่องอิทธิฤทธิ์หรือญาณต่างๆของพระอรหันต์เลยเป็นเรื่องปกติไปเฉยซะงั้น ไม่แปลกเลย ขนาดสมาธิระดับขี้กากก็ยังทำอะไรแปลกๆเล็กๆน้อยๆได้ อยากถามพี่ pekko และพี่ cobain vi ต่อนะครับ รวมถึงพี่ๆท่านอื่นๆด้วยหากปฏิบัติถึงแล้ว อ่านเจอตรงที่ว่าแบกผู้รู้อยู่ อย่างนี้ก็หมดกามราคะ กับโทสะ แล้ว ใช่มั้ยครับ ปฏิบัตินานมั้ยครับกว่าจะถึงตรงนั้น
โดย
sakkaphan
พุธ พ.ค. 18, 2016 12:02 am
0
1
Re: ขอลาอุปสมบทครับ
อย่าเสียใจไปเลยครับ ขนาดพระพุทธเจ้ายังบวชๆสึกๆ ถึง 7 รอบ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=13&p=5 อำนาจของอวิชชานี่ทำเอาเราหลงภพหลงชาติมานับครั้งไม่ถ้วน หากครั้งนี้ยังไม่พร้อม ก็เก็บสะสมหน่วยกิตไปก่อนก็ได้ครับ เอาไว้ครั้งหน้า มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม หน่วยกิตที่เราสะสมเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้มีศรัทธา มีกำลังใจ กระโดดข้ามห้วงน้ำนี่ไปได้เองครับ ขอบคุณพี่ picatos มากครับที่ให้กำลังใจ ปัจจุบันผมก็ยังคงปฏิบัติอยู่มากบ้างน้อยบ้างตามสถานการณ์ แต่ไม่กล้าประมาทแล้วจริงๆ ผมเพิ่งพบเจอเหตุการณ์แห่งการพลัดพรากสิ่งที่เรารัก และเรื่องความตาย ในเวลาเดียวกันเมื่อช่วงต้นปีนี้เองครับ เหตุการณ์หนักๆมันมาในช่วงที่ผมประมาทไม่ค่อยปฏิบัติภาวนาพอดี แต่ว่ากลับเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทนึงในชีวิตเลยทีเดียว มันทำให้ผมเบื่อหน่ายในวัฏฏสงสารเหลือเกิน ทุกวันนี้ก็ตั้งใจภาวนาอยู่เรื่อยๆแทบทุกวัน และผมหวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสสนทนาธรรมกันบ่อยๆนะครับ
โดย
sakkaphan
อังคาร พ.ค. 17, 2016 9:42 pm
0
2
Re: ขอลาอุปสมบทครับ
สารภาพว่า จนป่านนี้ ก็ยังไม่ได้บวช และไม่รู้ว่าจะได้บวชเมื่อไร ก่อนนี้คิดว่า เข้มแข็งพอจะทิ้งทางโลกได้แล้ว กลับกลายเป็นว่าเราคิดผิด สุดท้ายก็โดนทางโลกดึงไว้ ไม่ได้ไปสักที ไม่ต้องโทษใคร โทษตัวเอง ยังไงผมก็ขอขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่ร่วมอนุโมทนาด้วย ขอให้ผลบุญนี้ส่งถึงทุกท่านทั้งในวันนี้ และวันหน้าไม่ว่าเมื่อไรก็ตามที่ผมได้ทำให้คำพูดเป็นจริง และผมยินดีน้อมรับ คำแนะนำ จากทุกท่านจริงๆ ทั้งในทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพบแล้วว่า ตนเองยังอ่อนด๋อย ขี้กาก ยิ่งนัก ไม่ว่าจะทางโลก หรือ ทางธรรม ขอให้ทุกท่าน มีแต่ เจริญ ยิ่งๆขึ้นไปๆ คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวัง ไม่ว่าจะในทางโลกหรือทางธรรม นะครับ :D
โดย
sakkaphan
ศุกร์ พ.ค. 13, 2016 5:30 pm
0
5
Re: ขอโพสเรื่อยเปื่อย ซักกระทู้ครับ
ที่สุดแห่งทุกข์ คือราวๆนี้มั้งฮะ http://www.kanlayanatam.com/sara/sara229.htm ไม่รู้ผมโดนครอบงำความคิดมาป่าวนะฮะ รึไม่ก็เป็นวิกฤติซึมเศร้าวัยกลางคน แต่ช่วงหลังๆเนี่ย รู้สึกตลอดเลยว่า ชีวิตมันคือทุกข์ ไม่อยากทุกข์อีก เลยไม่อยากเกิดอีก พอบ่นให้ใครฟัง ก็มักได้คำตอบว่า เอาจริงรึ มันยากอยู่นะ แต่ยังไม่ได้เริ่มไปเล้ยย จะไปถึงได้ไงฟระเนี่ย ตามประสาคนขี้เกียจฮะ อยากได้ แต่ไม่เพียรสร้าง อ่านในที่เค้าเล่ามา บางทีรู้สึกว่าคนรุ่นพุทธกาลโน้นเค้าบรรลุธรรมกันง่ายจัง อาจเป็นเพราะบารมีสะสมที่ได้ทำมาอดีตกาลมั้ง สะกิดนิดเดียวก็ฟินแระ อย่าถือสานะฮะ บ่นพึมพำประสาตาแก่ฮะ.. จับอารมณ์ท่านkongkitiได้ว่า เซ็งๆหุ้นตกป่าวฮะ เลยมาตั้งกระทู้เรื่อยเปื่อยงี้ เด๋วผมแจมด้วยฮะ เอาแบบซึมเศร้าเคล้าน้ำตา รึแบบฮาหาผ้าอ้อมใส่ไม่ทันได้ทั้งนั้นฮะ จะจัดให้.. ให้กำลังใจพี่ dr1 ครับ แค่ เห็นทุกข์ และเห็นหนทางดับทุกข์ ก็มาได้ไกลกว่าคนมากมายแล้วครับ ยิ่งสังคมสมัยนี้เป็นยุคเสื่อมของพระพุทธศาสนาจริงๆ ผู้คนสนใจในวัตถุและทุนนิยม ไม่ค่อยให้ความสนใจทางด้านจิตใจกันเท่าไร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่างผมนี่เห็นชัดเลยครับ จริงๆผมว่าการปฎิบัติมันไม่ได้ยากขนาดนั้นนะครับอย่าเพิ่งท้อ ผมเองก็มีช่วงนึงที่เคยปฎิบัติจริงๆจังๆ แบบนั่งสมาธิวันละ2-3 รอบ แล้วก็คาดหวังกับผลลัพธ์มาก แบบประมาณวาดหวังไว้ว่าต่อไปนี่ ใครมาพูดอะไรไม่เข้าหูคงไม่มีอารมณ์โกรธเลย นึกภาพตัวเองมีความสุขอยู่แทบจะตลอดเวลา สุดท้ายพอมันรู้สึกว่าไม่เห็นเป็นยังงั้นสักทีก็ท้อ แล้วก็เลยเริ่มปล่อยๆ ไม่ได้ทำจริงๆจังๆละ แต่รู้แต่ว่า ทำ ดีกว่าไม่ทำ ก็ทำไปเรื่อยๆเอื่อยๆ ใช้วิธีฝึกสติง่ายๆเอา เวลาทุกข์ พอรู้ตัว ก็ช่างหัวมัน และคิดว่า มันไม่อยู่กับเราตลอดหรอก มันมา เดี๋ยวมันก็ไป ประมาณนี้ สักพักรู้ตัวอีกที ผมก็รู้สึกว่า เริ่มปล่อยวางได้มากขึ้น เริ่มเข้าใจธรรมะมากขึ้น ธรรมะ คือ ธรรมดา นี่แหละ ไม่ได้แบบว่าต้องบรรลุธรรมแล้วมีออร่าพวยพุ่งอะไรแบบนั้น แค่ปล่อยวางมันไปเรื่อยๆๆๆ แค่นั้นเองจริงๆครับ ผมว่าวิธีนี้เหมาะกับคนขี้เกียจนะ 555 ปล. ไม่รู้ว่าพี่dr1ปฏิบัติหรือมีความรู้ขนาดไหน ถ้าพี่รู้อยู่แล้วก็ขอโทษด้วยนะครับ ไม่ได้เจตนาจะทำเป็นอวดรู้อะไรทั้งนั้น แต่เวลาเห็นเพื่อนทางธรรมแล้ว ปลื้มใจ สหายทางธรรมของผมก็มีแค่ในบอร์ดนี้แหละ ข้างนอกหายากยิ่งกว่ายาก เลยอยากแชร์เท่าที่แชร์ได้
โดย
sakkaphan
ศุกร์ ก.พ. 05, 2016 11:14 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
มีท่านใดใช้แนวทางของหลวงพ่อปราโมทย์บ้างครับ
โดย
sakkaphan
อังคาร ต.ค. 20, 2015 11:32 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ ผมมักเกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆเหมือนกันครับ ตอนที่จิตไม่ห่างจากการภาวนา บางครั้งจนเพลอคิดว่าตัวเองเป็นพระอนาคามีไปแล้วหรือเปล่าหนอ เพราะมองไปทางไหนก็ปล่อยวาง มองไปทางไหนก็ใจเบา จิตรวมลงจนคิดว่าไม่ยึดมั่นแล้วในกายนี้ พอคิดว่า"เป็น" จนจิตเริ่มละเลยจากการสำรวมและห่างจากภาวนา ก็จะกลับมาเป็นคน ที่ยังหลงโลกอีกเช่นเดิม วกกลับไปมาแบบนั้น ที่พูดมาไม่ได้มีเจตนาว่ากล่าวนะครับ แต่เล่าอาการเมื่อห่างจากภาวนาให้ฟัง เพราะเมื่อไม่ห่างจากภาวนาจิตจะรวมง่าย แต่เมื่อไหร่ที่เพลอหรือหลุดออกมา ก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาดูจิตอีกครั้ง (สำหรับผมนะครับ) :D ขอบคุณที่เตือนสติครับ
โดย
sakkaphan
พุธ ก.ย. 30, 2015 10:01 am
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
พี่ๆคิดว่าผมควรต้องทำทุกวันมั้ยครับ? หรือมีหลักสูตรหรือค่ายปฎิบัติธรรมที่ไหนแนะนำมั้ยครับ :arrow: :idea: น่าจะไป "โกเอ็นก้า" ค่ะ :idea: http://www.thaidhamma.net/ ผมเพิ่งไปหลักสูตรวิปัสสนา 10 วัน ที่กาญจนบุรีมา หลังจากที่คุณพี่ได้แนะนำแล้ว ผมก็ไปทันทีเลย เป็นความรู้สึกขอบคุณที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ผมไม่คิดเลยว่า ผมจะได้เริ่มเดินบนหนทางสายเอก ทางแห่งความจริงแท้ ได้เร็วถึงเพียงนี้ ผมพบเจอพี่ๆหลายคนที่ไปปฏิบัติด้วยเค้าบอกว่า ใครที่ได้มาปฏิบัติวิธีนี้ เป็นบุญวาสนาเก่าโดยแท้ พี่ๆหลายคนปฏิบัติสายอื่นอยู่นาน เดินวนไปมาหาทางไปไม่เจอ ผมปฏิบัติด้วยตนเองและพบเห็นด้วยตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับความเป็นคนเรียนรู้เร็วซึ่งก็เป็นความขอบคุณในความโชคดีของตัวเองอย่างล้นเหลือนี้ ไม่รู้ว่าเคยไปทำบุญอะไรไว้แต่ชาติปางไหน ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ ทางสายเอกแห่งชีวิต ทางที่จะเดินจากนี้ไปไม่ว่าจะถึงหรือไม่ในชาตินี้หรือภพชาติอื่นๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังอีกยาวไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น ผมเริ่มเดินไปบนทางโดยมีเป้าหมายเพื่อการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เพื่อการหยั่งรู้ถึงสรรพสิ่งอย่างแท้จริงนี้แล้ว ผมอยากเชิญชวนเพื่อนๆพี่ๆทุกคน ให้ลองมาปฏิบัติวิธีนี้ดู ไม่ว่าท่านจะเคยปฏิบัติด้วยวิธีไหนมาก่อนก็ตาม หากใครที่รู้สึกว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นผลชัดเจน กิเลสไม่ได้เบาบางลงไป สังขารความปรุงแต่งไม่ได้ลดไป อยากให้ลองมาปฏิบัติดู ผมยอมรับว่า ผมเพิ่งเริ่มปฏิบัติ และไม่เคยปฏิบัติวิธีอื่นใดอย่างจริงๆจังๆมาก่อน เป็นแค่เด็กหัดเดิน ดังนั้นผมไม่อาจจะบอกได้เลยว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีสุด เพียงแต่ผลที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองนั้น ทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะเชิญชวนทุกๆคน ให้มาลองดู หากมีโอกาส ไว้ผมจะเขียนในกระทู้คราวหน้า ถึงคอนเซปต์แนวทางการปฏิบัติวิธีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่อื่นไกลเลย คือ สติปัฏฐาน 4 นั่นเอง เพียงแต่อาจจะมีรูปแบบเทคนิค ที่แตกต่างกันออกไป ขอขอบคุณท่าน tanoppan อีกครั้ง ขอให้ผลบุญนี้ ส่งผลให้ท่านมีแต่ความเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด อนุโมทนาด้วยนะครับ คุณ Sakkaphan สติ ปัญญาดีอยู่แล้ว ได้เติมสมาธิเข้าไป ก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ปัญญาแก่กล้า สิ้นทุกข์ได้ในชาตินี้นะครับ ขอบคุณมากครับ ขอให้พี่picatosก้าวหน้าในธรรม บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ในเร็วพลันเช่นกันครับ
โดย
sakkaphan
อังคาร ก.ย. 29, 2015 8:49 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
พี่ๆคิดว่าผมควรต้องทำทุกวันมั้ยครับ? หรือมีหลักสูตรหรือค่ายปฎิบัติธรรมที่ไหนแนะนำมั้ยครับ :arrow: :idea: น่าจะไป "โกเอ็นก้า" ค่ะ :idea: http://www.thaidhamma.net/ ผมเพิ่งไปหลักสูตรวิปัสสนา 10 วัน ที่กาญจนบุรีมา หลังจากที่คุณพี่ได้แนะนำแล้ว ผมก็ไปทันทีเลย เป็นความรู้สึกขอบคุณที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ผมไม่คิดเลยว่า ผมจะได้เริ่มเดินบนหนทางสายเอก ทางแห่งความจริงแท้ ได้เร็วถึงเพียงนี้ ผมพบเจอพี่ๆหลายคนที่ไปปฏิบัติด้วยเค้าบอกว่า ใครที่ได้มาปฏิบัติวิธีนี้ เป็นบุญวาสนาเก่าโดยแท้ พี่ๆหลายคนปฏิบัติสายอื่นอยู่นาน เดินวนไปมาหาทางไปไม่เจอ ผมปฏิบัติด้วยตนเองและพบเห็นด้วยตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับความเป็นคนเรียนรู้เร็วซึ่งก็เป็นความขอบคุณในความโชคดีของตัวเองอย่างล้นเหลือนี้ ไม่รู้ว่าเคยไปทำบุญอะไรไว้แต่ชาติปางไหน ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ ทางสายเอกแห่งชีวิต ทางที่จะเดินจากนี้ไปไม่ว่าจะถึงหรือไม่ในชาตินี้หรือภพชาติอื่นๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังอีกยาวไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น ผมเริ่มเดินไปบนทางโดยมีเป้าหมายเพื่อการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เพื่อการหยั่งรู้ถึงสรรพสิ่งอย่างแท้จริงนี้แล้ว ผมอยากเชิญชวนเพื่อนๆพี่ๆทุกคน ให้ลองมาปฏิบัติวิธีนี้ดู ไม่ว่าท่านจะเคยปฏิบัติด้วยวิธีไหนมาก่อนก็ตาม หากใครที่รู้สึกว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นผลชัดเจน กิเลสไม่ได้เบาบางลงไป สังขารความปรุงแต่งไม่ได้ลดไป อยากให้ลองมาปฏิบัติดู ผมยอมรับว่า ผมเพิ่งเริ่มปฏิบัติ และไม่เคยปฏิบัติวิธีอื่นใดอย่างจริงๆจังๆมาก่อน เป็นแค่เด็กหัดเดิน ดังนั้นผมไม่อาจจะบอกได้เลยว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีสุด เพียงแต่ผลที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองนั้น ทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะเชิญชวนทุกๆคน ให้มาลองดู หากมีโอกาส ไว้ผมจะเขียนในกระทู้คราวหน้า ถึงคอนเซปต์แนวทางการปฏิบัติวิธีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่อื่นไกลเลย คือ สติปัฏฐาน 4 นั่นเอง เพียงแต่อาจจะมีรูปแบบเทคนิค ที่แตกต่างกันออกไป ขอขอบคุณท่าน tanoppan อีกครั้ง ขอให้ผลบุญนี้ ส่งผลให้ท่านมีแต่ความเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
โดย
sakkaphan
อังคาร ก.ย. 29, 2015 12:48 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณพี่ tanoppan และพี่ picatos มากครับ ขอให้อานิสงส์ผลบุญที่พี่ทั้งสองให้แบ่งปันความรู้แนะนำอะไรต่างๆให้กับน้องใหม่ ขอให้พี่ๆเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปและถึงจุดหมายปลายทางแห่งทางสายนี้อย่างที่ตั้งใจไว้นะครับ
โดย
sakkaphan
ศุกร์ ก.ย. 11, 2015 12:25 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขออนุญาตแชร์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติหน่อยนะครับ ซึ่งความเห็นหรือประสบการณ์ของผมก็ถือว่าเป็นแค่ความเห็นของผู้กำลังศึกษา อันมีความผิดพลาดมากมายเป็นธรรมดา หากเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เห็นว่ามีสิ่งใดให้คำแนะนำกับผมได้ ได้โปรดให้ความกรุณาชี้ให้ผมได้เห็นที่มุมของคนนอก มุมที่ผมไม่อาจเห็นได้ด้วยตัวผมเองได้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ ผมเข้าใจว่าโดยพื้นฐานของผมแล้ว ผมเป็นคนโทสะจริต ทิฎฐิจริต มีสมาธิมาก สติน้อย วิริยะอ่อน ทำให้โดยสภาวะแล้ว ความไม่สมส่วนของอินทรีย์ 5 จะเกิดจากการที่สมาธิล้ำหน้า มีวิริยะในการเอาสติเข้าไปรับรู้อารมณ์ อาการต่างๆ มีไม่เพียงพอ ผลที่เกิดขึ้น คือ ชีวิตในวัยเด็กของผม การรับรู้ต่างๆ จะมีลักษณะที่เป็น Tunnel Vision ปักเข้าไปในอารมณ์หนึ่งนาน โดยลืมโลก ไม่รับรู้โลก มักจะหงุดหงิดรำคาญใจเวลามาคนมารบกวนในช่วงเวลาที่กำลังจดจ่อสิ่งต่างๆ จนกลายเป็นโทสะ โดยส่วนตัวแล้ว เชื่อว่า การปฏิบัติธรรมที่มีประสิทธิภาพ คือ การเติมของพร่อง ของที่เราขาด เพราะ ปัญญาต่างๆ จะเกิดขึ้นได้เมื่อเกิดความสมส่วน ไม่ว่า จะเป็นความสมส่วนของอินทรีย์ ความเสมอกันของสมถะและวิปัสสนา เป็นต้น เมื่อผมได้ประสบกับความทุกข์และมีจิตโน้มเข้าศึกษาธรรม ธรรมะได้จัดสรรให้ได้เจอวิธีการปฏิบัติที่เติมของพร่องให้สมบูรณ์ขึ้น ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ในสายพองหนอ-ยุบหนอ ของมหาสีสยาดอ ซึ่งในสายนี้จะเน้นการทำวิปัสสนาโดยจำกัดกำลังสมาธิให้อยู่แค่ในระดับอุปจาระสมาธิ กล่าวคือ ไม่ปล่อยให้จิตไหลลงสู่อัปปนาสมาธิแบบสมถะฌาน ซึ่งแนวทางในการปฏิบัติแบบนี้ถือว่าเติมสิ่งที่ผมขาดอยู่พอดี หลังจากที่ปฏิบัติครั้งแรก การได้เติมสัมมาสติที่ตัวเองขาดไป ทำให้การรับรู้ทางโลกเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก จากที่ปักอยู่ในอารมณ์หนึ่งลึกและนานเกินไป ก็มีความสามารถในการตัดอารมณ์ เปลี่ยนอารมณ์ การรับรู้ที่มีเป็นลักษณะแบบ Tunnel Vision ก็จางลง การรับรู้ต่างๆ สะอาดและผ่องใสขึ้น มีความสามารถในการจัดการอารมณ์ ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น ทุกข์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นก็เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ผลที่ได้รับจึงเป็นที่มาของศรัทธาที่เต็มเปี่ยมยิ่งๆ ขึ้น พยายามศึกษา พยายามปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมา ความสะอาดของจิต ความเข้าใจวิธีการใช้จิตในการทำการงานมากขึ้น ความมีสติที่สมส่วนมายิ่งขึ้น ทำให้ชีวิตหมุนไป ดำเนินไป ในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยหมั่นเติมทาน ศีล และภาวนา ให้วงรอบแห่งมรรคที่ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ผมปรับการใช้ชีวิตให้เข้าสู่ความสงบมากยิ่งขึ้น ห่างไกลจากสังคมและภาระมากยิ่งขึ้น การกระทำต่างๆ ก็พยายามสำรวมระวังมากยิ่งขึ้น มีเรื่องวุ่นวายน้อยลง ส่งผลให้มีความสงบมากขึ้น ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการศึกษา ทำความเข้าใจตัวเองได้มากยิ่งขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตามอันธรรมทั้งหลายเป็นเรื่องรู้เห็นได้เฉพาะตน สภาวะต่างๆ ของคนแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไปตามจริต ตามนิสัย ตามวาสนาเดิมของแต่ละคน ในการปฏิบัติในสายนี้วิปัสสนาจารย์ของผมก็มีธรรมชาติจิตที่แตกต่างจากผมไป โดยตัวผมเองก็มีธรรมชาติจิตที่มีลักษณะเฉพาะมากๆ แตกต่างจากคนอื่นๆ เมื่อติดอุปสรรคในการปฏิบัติบางอย่างคำแนะนำของวิปัสสนาจารย์ก็ไม่สามารถใช้แก้ไขได้ จึงจำเป็นต้องทดลอง ดิ้นรน ขวนขวาย หาทางแก้ไขเอาเอง โดยแนวทางการปฏิบัติของที่นี่ จะไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งคิด เมื่อฟุ้งคิด ก็ให้ตัดความคิดกลับมากำหนดที่ฐานกาย เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตก็จะเข้าสู่สมาธิ แต่ก็จะไม่ปล่อยให้สมาธิไหลลงลึกจนถึงระดับอัปปนาสมาธิ เมื่อกำลังสมาธิมากขึ้น ก็จำเป็นต้องเร่งวิริยะในการกำหนดสติด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเพิ่มขอบเขตในการรับรู้ของจิต การเพิ่มความว่องไวในการรับรู้ของจิต การปรับโหมดของจิตไปรับรู้สิ่งที่ละเอียดละออมากกว่าบ้าง เป็นต้น ในขณะที่เมื่อความคิดฟุ้งซ่านมาก ก็ต้องเพิ่มกำลังสมาธิโดยปักอารมณ์เข้าไปที่อารมณ์หลักให้มากขึ้นมาก เพิ่มความละเอียดละออในการเกาะอารมณ์บ้าง เป็นต้น มันจะเป็นการรักษาสมดุล เดินไต่บนเส้นเชือกบางๆ รักษาอินทรีย์ให้สมส่วน เพื่อป้องกันนิวรณ์ และพัฒนาความสมส่วนของจิตให้เข้าถึงสภาพที่เหมาะสมแก่การเรียนรู้ธรรมต่างๆ ที่จะผุดเกิดขึ้นเอง หากไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์วิปัสสนา รูปแบบการปฏิบัติของแนวทางในสายนี้ คือ การเดินจงกรมและนั่งสมาธิ การเดินจงกรมใช้สติตามดูฐานกายเป็นอารมณ์หลัก การนั่งสมาธิจะดูอาการเคลื่อนของท้องเป็นอารมณ์หลัก โดยจะใช้องค์บริกรรม "หนอ" เป็นเครื่องมือในการปักจิตลงสู่อารมณ์ โดยบังลังค์มาตรฐานของสายนี้จะเดิน 1 ชั่วโมง นั่ง 1 ชั่วโมง ทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ วันหนึ่งทำ 12 ช.ม. เป็นอย่างน้อย นอน 6 ช.ม. เป็นอย่างมาก นอกการปฏิบัติจะต้องกำหนดในรู้ในอิริยาบทต่างๆ โดยเคลื่อนไหวช้าๆ งดเว้นการพูดคุย อุปสรรคของผมในการปฏิบัติที่เกิดขึ้น คือ ธรรมชาติจิตของผมมีระดับของสมาธิที่ลึกพอสมควร จึงทำให้จิตไหลไปในทางเกียจคร้าน โดยสภาพปกติทั่วไปในชีวิตประจำวัน ระดับของสมาธิที่ลึกแบบนี้ เหมาะแก่การคิด คำนวน วิเคราะห์ ที่มีเป้าหมายในการกระทำ แต่พอมาทำวิปัสสนาเมื่อกำจัดความฟุ้งซ่านหมด จิตมันจะมีแต่ความว่าง ความไม่มี ไม่ค่อยมีอารมณ์ให้กำหนด จิตมันจะไหลลงอัปปนาสมาธิเร็วมาก แต่ไม่มีวิริยะในการกำหนดสติมากพอ ทำให้จิตใกล้ภวังค์บ่อยครั้ง เป็นผลให้โงกง่วง มึนงงมากระหว่างปฏิบัติ ในช่วงที่อินทรีย์ไม่สมส่วน เดินจงกรมนี่แทบจะเดินเป็นตุ๊กตาล้มลุก ทำให้การปฏิบัติในช่วงเช้า แทบจะทั้งเช้า จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการเร่งวิริยะ กว่าจะปรับอินทรีย์ให้สมส่วนได้ แต่ด้วยความที่สมาธิมาก นอกจากถีนมิทธะแล้วปัญหานิวรณ์ก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก จึงเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กับการปรับเทคนิคในการกำหนด เทคนิคในการเร่งวิริยะ เทคนิคในการเอาสติเข้าไปรู้สิ่งต่างๆ เทคนิคในการขยายการรับรู้ เทคนิคในการเพิ่มการงานให้แก่จิตซะมากกว่า ก็ต้องมัว สู้แทบตาย กว่าจะเข้าใจถึงธรรมชาติจิต ธรรมชาติของสติ ธรรมชาติของสมาธิ ธรรมชาติของวิริยะ จนมีเครื่องมือ ประสบการณ์ และเทคนิคที่มากเพียงพอที่จะจัดการกับจิตตัวเองได้ระดับหนึ่ง ถึงทุกวันนี้ เมื่อเข้าใจจิต จัดการกับจิต ได้มากเพียงพอแล้ว การศึกษาธรรมก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก ความสามารถในการวางจิต ในการใช้งานจิตที่ฝึกมาแล้ว ก็ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเราก็ได้เรียนรู้ธรรมะ จากสิ่งต่างๆ ที่มากระทบทางกายและใจ เห็นการปรุงแต่งของจิตที่เกิดขึ้น ระหว่างการดำเนินชีวิต ธรรมต่างๆ ก็หลั่งไหลมาของมันเองตามเหตุปัจจัย โดยส่วนตัวเป็น Type ที่ไม่ได้เดินไปสู่ไปเป้าหมายเพราะคิดว่าความสุข แต่เป็นคนที่เห็นทุกข์ในสิ่งต่างๆ และพยายามเดินหน้าเพื่อให้ทุกข์น้อยลงอีกนิด ให้เบาคลายจากกิเลสที่มาบีบคั้นลงอีกสักหน่อย สมัยก่อนทุกครั้งที่ไหว้พระ ก็ขอแค่ความกล้าหาญ เพียรพยายาม ที่จะเผชิญหน้ากับทุกข์ ก้าวข้ามผ่านทุกข์ กล้าเผชิญหน้ากับกิเลส และมีความเข้มแข็งพอที่จะสู้กับมัน สำหรับผม ผมทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ก็ขอแค่อยากจะทำให้วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน และอยากจะทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้ ขอบคุณมากครับ อ่านดูแล้วเท่าที่ผมเข้าใจ ขอตั้งคำถามแบบมือใหม่นะครับ แสดงว่า พี่ picatos ก็ฝึกจิตควบคู่ไปกับการวิเคราะห์เรียนรู้กิเลสไปในทุกๆวันด้วยใช่มั้ยครับ? หรือว่าฝึกจิตดีแล้วจนจิตอยู่ในสภาพ "พร้อมทำงาน" ตลอดเวลา หรือว่าในทุกๆวัน ก็ต้องปรับสภาพจิตให้พร้อมทำงาน ก่อนที่จะวิเคราะห์เรียนรู้ แต่เพียงแค่ว่าพี่picatosเรียนรู้จิตมาจนรู้จักดี ทำให้เข้าถึง สภาพพร้อมทำงานได้เร็ว? เป็นแบบไหนกันแน่ครับ หรือว่าไม่ใช่แบบไหนในบรรดาที่ผมกล่าวมาเลย? แล้วพี่ทำมากี่ปีแล้วครับ แล้วคิดว่า กิเลส มันอ่อนกำลังไปเยอะมั้ย เมื่อเทียบกับตอนแรก หรือว่าสามารถตัดกิเลสได้บางตัวเรียบร้อยแล้ว? เมื่อวาน ระหว่างที่ผมนั่งพิมพ์ ผมยังคิดอยู่เลยว่า ค่อยๆไปก็ได้ ช้าๆไม่ต้องรีบ แต่วันนี้ พบเจอกับความงอแงของกิเลส มันจะขึ้นๆมาแผลงฤทธิ์อีกแล้ว เลยคิดได้ว่า กิเลสนี่ ตัวร้ายเลย เลี้ยงไม่เชื่อง ปล่อยไว้มันก็แว้งกัดเราอยู่เนืองๆ เลยคิดว่า ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะหาทางปฏิบัติฆ่ามันให้ตายเสีย แต่ก็ยังไม่รู้ว่า จะทำได้มั้ยในเมื่อยังอยู่ทางโลก ถ้ายังงี้ ผมก็ควรหาทาง ฝึกสภาพจิตให้พร้อมทำงาน ในทุกๆวัน ใช่มั้ยครับ (ที่เหมาะกับผมคงต้องทำสมาธิมั้งครับ เพราะผมว่าผมขาดสมาธิ) พี่ๆคิดว่าผมควรต้องทำทุกวันมั้ยครับ? หรือมีหลักสูตรหรือค่ายปฎิบัติธรรมที่ไหนแนะนำมั้ยครับ รบกวนด้วยครับ
โดย
sakkaphan
พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2015 11:28 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณพี่ picatos มากครับ สำหรับการแลกเปลี่ยนมุมมอง ผมก็ประทับใจพี่ picatos เช่นกัน และจริงๆก็เคยคิดตั้งนานแล้วครับ ตั้งแต่ในช่วงที่ผมเข้าร่วม thaivi แรกๆแล้วได้อ่านความเห็นของพี่หลายๆอย่างทั้งในห้องหุ้น ห้องหนังและห้องอื่นๆ ว่า พี่มีความคล้ายคลึงผมอยู่บ้างเหมือนกัน แล้วเมื่อสักสองปีก่อนผมก็หายๆจากเว็บนี้ไป ไม่ใช่ไปไหน ไปเพื่อค้นหา สิ่งที่แท้จริง เหมือนเดิม เหมือนกับที่ทำมาทั้งชีวิตนี่แหละ จะว่าไปผมก็เดินหาทางที่ถูกมานานแล้วแต่ไม่เคยเจอสักที เพิ่งจะมีครั้งนี้นี่แหละ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่า หลังจากเดินหลงมานาน ในที่สุดผมก็เจอทางที่ถูกต้อง ถึงแม้จะยังแค่อยู่ต้นซอย แถมซอยนี้นี่ไม่รู้จะไกลแค่ไหน ท่าทางจะลึกน่าดู 5555 ส่วนคำถามที่ว่า ผมมีเป้าหมายหรือแนวทางในการดำรงชีวิตอย่างไร ให้ไปถึงที่สุดแห่งการพ้นทุกข์นั้น จริงๆสำหรับผมก็ต้องขอบอกก่อนว่า มันไม่เชิงว่าจะเป็นเป้าหมายที่ผมยึดติดอย่างจริงจังว่าจะต้องไปให้ถึงที่สุดให้ได้ หรือจะต้องไปให้ถึงให้เร็วที่สุด แต่มันเป็นลักษณะเหมือนกับว่า ผมรู้แล้วว่า แนวทางนี้คือแนวทางที่ถูกต้อง และผมจะใช้มันเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตทั้งหมด หลังจากที่คิดได้แบบนี้ ผมก็คิดว่า ระหว่างนี้ที่ผมยังคงอยู่ในทางโลก ยังต้องหาเงิน ต้องดูแลครอบครัวและคนรัก ผมก็ยังคงทำในสิ่งเหล่านี้ต่อไปด้วยความไม่ประมาท และในขณะเดียวกันผมก็ควรทำกิจให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นหากทำได้ จึงมีเป้าหมายเพิ่มเติมว่า ผมต้องการเผยแผ่แนวคิดทางพุทธศาสนาให้กับผู้อื่น ทั้งคนไทย ทั้งคนชาติอื่นทั่วโลก เนื่องจากผมเห็นจากคนรอบข้างของผม ทั้งแม่ ทั้งพ่อ ทั้งแฟน ทั้งพ่อแฟน ทุกคนต่างยังหลงอยู่วังวนที่เกิดจากกิเลสและยังทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อผมสามารถเข้าถึงหนทางที่แท้จริงได้แล้วแม้ในแค่ระดับน้อยนิด หากเราช่วยได้แม้เพียงสักนิดเดียว ย่อมเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง ปัจจุบันแฟนผมก็เริ่มฟังผม เริ่มนำไปคิดนำไปใช้ เริ่มทุกข์น้อยลงบ้าง ส่วนแม่ผมท่านก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไป แต่ไม่เป็นไร ผมแค่รู้ว่า ผมต้องทำหน้าที่ของผม เมื่อทำดีที่สุดแล้วผลจะเป็นอย่างไร นั่นอยู่นอกเหนือจากความสามารถของผมแล้ว นอกจากนี้ผมยังต้องการเผยแผ่ไปสู่ผู้อื่นด้วย อาจจะในรูปแบบหนังสือ บทความ หรือรูปแบบใดๆก็ได้ ส่วนในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ผมคงค่อยๆศึกษา เรียนรู้ และปฏิบัติ ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมทางโลก โดยที่ผมไม่ได้ยึดติดอย่างจริงจังว่า ต้องไปให้ถึงให้ได้ อารมณ์ผมก็ประมาณ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพกว่านั้นอีก ก็คงเป็นประมาณว่า ผมรู้ตัวแล้วว่า ถนนเส้นนี้ คือทางที่ใช่แล้ว แต่ผมไม่รู้เลยว่า มันจะไปอีกไกลแค่ไหน และระหว่างทางนั้น ก็อาจจะมีซอยย่อยเล็กๆน้อยๆ ซอยบางซอยอาจจะเป็นซอยตัน เดินเข้าไปสักพักเดียวก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ ก็กลับออกมาเส้นหลักแล้วเดินต่อ ซอยบางซอยอาจจะเป็นเขาวงกต ผมอาจจะติดอยู่ในนั้นแล้วหาทางกลับออกมาเพื่อไปสู่ปลายทางไม่ได้ตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้ หรือในทางเส้นหลัก ระหว่างเดินไป ผมอาจจะไปเจอเครื่องทุ่นแรง เช่นรถม้า รถยนต์ ทำให้ไปถึงปลายทางเร็วขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งผมคิดว่าการปฏิบัติธรรมก็คงเป็นเช่นนี้ไม่ต่างกัน เดินได้ ล้มได้ หลงทางได้ แต่ที่สำคัญก็ต้องรู้ว่า ถนนเส้นไหนคือทางเส้นหลัก ถ้ารู้ตัวว่าหลงทางแล้วก็กลับออกมา จะได้ไปต่อได้ สรุปก็คือ ผมรู้แค่ว่า ผมต้องเดินก้าวไปในถนนเส้นนี้ไปทีละก้าว ตอนนี้ผมรู้แค่นี้เองครับ มาถึงตรงนี้ ผมก็อยากถามพี่ picatos และพี่ท่านอื่นๆ ทุกคนด้วย ในฐานะที่ เดินมาก่อน ผ่านเส้นทางนี้มาสักระยะแล้ว ไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหน ผมเลยอยากถามว่า ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรม เส้นทางเป็นอย่างไรบ้าง มีหลงทาง มีอุปสรรคอย่างไรบ้าง และตั้งแต่ปฏิบัตธรรมมา เห็นความก้าวหน้าพัฒนาไปจากตอนเริ่มต้นอย่างไรบ้าง ขอคำแนะนำด้วยครับ
โดย
sakkaphan
พุธ ก.ย. 09, 2015 4:50 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมคงแปลกเพื่อน ช่วงนี้ถึงตลาดจะลงพอร์ตจะแดง แต่มันก็ทำร้ายผมไม่ได้มากเท่าไร อาจจะเพราะผมไม่ยึดติดว่า ต้องการรวยเร็วอะไรมากมาย จะว่าไปช่วงหลังๆผมว่าผมละความอยากในเรื่องเงินๆทองๆไปได้พอสมควรละมั้งครับ555 แต่สาเหตุที่เริ่มจริงจังกับทางธรรมะมากขึ้น ก้เพราะได้พบเจอ ธรรมชาติ ด้วยตนเอง โดนธรรมชาติเล่นงานก็หลายหนมาในอดีต ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอื่นๆอย่างเช่นเรื่องความรัก หรือความอยากมีอยากเป็น อยากได้รับการยอมรับ หรืออะไรต่างๆเทือกนั้น เมื่อโดนเล่นงานมากๆเข้า ก็คิดได้ว่า จริงๆแล้ว ธรรมชาติไม่ได้เล่นงานเราเลย ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ไม่เที่ยง เปลี่ยนได้ตลอดเวลา กิเลสและความโง่เขลาของตัวเองต่างหาก ที่ไปคิดเอาว่า มันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างงี้ ความไม่รู้อะไรเลยของตัวเองต่างหากที่เล่นงานตัวเองให้พบเจอความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ผมจึงได้เข้าสู่ทางธรรมมากขึ้น ศึกษาจิตใจตัวเองและพยายามเข้าใจธรรมชาติให้มากขึ้น หวังว่าคงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ยังไงก็ ขอฝากตัวไว้ในห้องนี้อีกคนนึงนะครับ ผมมือใหม่ ไร้ซึ่งปัญญา ขอคำแนะนำจากพี่ๆ ฝากตัวด้วยครับผม คุณ sakkaphan มีแนวทางในการศึกษาธรรมะอย่างไรบ้างเหรอครับ? เอามาประยุกต์ใช้กับการลงทุนแนววีไอได้มากไหมครับ? ขอบคุณสำหรับคำถามครับ ผมขออนุญาตขอพื้นที่ตรงนี้ให้ผมอธิบายในสิ่งที่ผมคิดได้ ในสิ่งที่ผมประจักษ์ เผื่ออาจจะเกิดประโยชน์กับท่านอื่นบ้างนะครับ ก่อนตอบคำถามผมขอเสนอแนวคิดของผมก่อนอย่างหนึ่งว่า จริงๆแล้ว ธรรมะ กับ วีไอ หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ ธรรมะ กับ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรา มันเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก การรู้หลักธรรมแล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่นๆในชีวิตได้ฉันใด การเรียนรู้เรื่องอื่นๆในชีวิตก็สามารถนำไปเชื่อมต่อประยุกต์ใช้กับหลักธรรมได้ฉันนั้น เพราะธรรมะคือธรรมชาตินั่นเอง เป็นของซึ่งขึ้นต่อกันและกัน ไม่สามารถแยกออกมาเป็นหนึ่งเดียวได้ ซึ่งไว้ผมจะพยายามอธิบายต่อไปนะครับ ทีนี้คำตอบต่อคำถามเรื่องการแนวทางการศึกษาธรรมมะ ผมก็อยากจะขอเล่าความเป็นมาเป็นไปว่า ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไงก่อนแล้วกันนะครับ จะได้เข้าใจบริบททั้งหมด แรกเริ่มเดิมทีผมก็เหมือนคนทั่วๆไป ที่มีความต้องการความสุขในชีวิต เป็นตัวขับเคลื่อนทำให้ชีวิตดำเนินไปได้ครับ โดยรูปแบบของความต้องการความสุขนี้ อาจจะเปลี่ยนรูปแบบไปได้ตามการเวลา เช่น บางช่วงเวลาก็ต้องการความรัก บางช่วงอยากรวย บางช่วงอยากมีชื่อเสียง อะไรทำนองนี้ ทีนี้ ไอ้รูปแบบเหล่านี้แหละ ที่ผมไล่ตามมานาน ไล่ตามอยู่ตลอดเวลา และเป็นแรงผลักทำให้ผมทำสิ่งต่างๆ โดยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเรื่อยๆ บางช่วงขยันเรียน บางช่วงศึกษาหุ้นอย่างจริงจัง บางช่วงทำธุรกิจส่วนตัว บางช่วงบ้างานอดิเรก บ้าเที่ยว เป็นต้น รวมถึงด้านความรัก พอเจอทุกข์ด้านความรักในแต่ละครั้ง ผมก็พยายามเปลี่ยนวิธีคิดต่อความรัก เปลี่ยนลักษณะการกระทำ ผมมีแฟนมา 4 คนครับ บางคนรักมาก บางคนไม่รักมาก บางคนคาดหวังมากพยายามมาก ทุ่มเทมาก บางคนคาดหวังน้อยไม่ต้องการอะไรมาก ถ้าดูจริงๆแล้วจะเห็นได้ว่า ผมเป็นเหมือนนักวิทยาศาสตร์ในชีวิตจริง โดยใช้ตัวเองเป็นหนูทดลอง พยายามเปลี่ยนตัวแปร เปลี่ยนปัจจัย เปลี่ยนลักษณะการกระทำไปเรื่อยๆ โดยผมหวังมาตลอดว่าสักวัน ผมจะเจอสิ่งที่แท้จริง หลังจากผ่านประสบการณ์ชีวิตมาสักพัก และใช้การคิดการทดลองกับชีวิตจริงแบบวิทยาศาสตร์แล้วนั้น ผมเริ่มสับสน ผมไม่เจอ"สิ่งที่แท้จริงที่ว่านั้น"เลย ผมทำ ผมสุข แล้วก็กลับมาทุกข์ ผมทำ ผมสุข แล้วก็ทุกข์อีก เป็นอยู่อย่างนี้ซ้ำๆเดิมๆ เมื่อเป็นมากเข้า พอครั้งนี้ ก่อนที่จะทำอะไรต่อไปอีก ผมก็จะ"จินตนาการ"ไปในอนาคต เมื่อจินตนาการดูแล้ว ก็พบว่า หากไม่หลอกตัวเอง จะเห็นภาพตัวเองอยู่ในวงจรซ้ำๆแบบนั้น ไม่มีทางหนีได้เลย เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผมอยากให้ทุกคนลองนึกภาพ ในเว็บนี้ใครก็อยากรวยอยากมีอิสรภาพทางการเงินทั้งนั้น แต่ลองนึกภาพดู ผมไม่รู้ใครจะจินตนาการเห็นภาพอย่างไร แต่สำหรับผมแล้ว พอผมจินตนาการดูแล้ว ผมเห็นภาพที่ ผมเริ่มรวยขึ้นมา พอเริ่มรวยแล้ว อาจจะรวยมากๆเลยจนนับได้ว่าตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว แล้วไงต่อ ทีนี้ อาว ถ้าผมยังคง "อยากให้ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินตลอดไป" ผมก็ต้องทำในสิ่งที่พยายามรักษาเงินนั้นไว้ให้ได้ แล้วเพื่อความปลอดภัยก็ต้องพยายามให้มันงอกขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามันเริ่มลดลงมา ก็จะเริ่มกลัวเริ่มทุกข์ว่า เฮ่ยๆ อิสรภาพกำลังหมิ่นเหม่แล้ว แล้วหากเงินลดมามาก สมมติหุ้นตกมากจริงๆ ก็จะกลายเป็นว่า "เฮ่ยๆ ตอนนี้อิสรภาพบินหนีไปแล้ว" ก็ดิ้นรนให้มันกลับมาอีก พอมันกลับมาอีกได้จริง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? คิดว่าวงจรนี้จะหยุดเมื่อไร? ผมใช้การ "จินตนาการไปไกลๆ" ให้เห็นภาพยืนยาวไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเช่นนี้ พอผมใช้วิธีนี้แล้ว ผมก็พบจริงๆว่า มันไม่มีอยู่เลย สิ่งที่จะคงอยู่กับเราไปตลอดชีวิต สมมติว่าความรวยของเรามันอยู่ไปจนแก่เฒ่าก็จริง สมมติตอนนั้นผมรวยระดับแสนล้านแล้ว บิล เกต ก็คารวะให้แล้ว แล้วไงต่อ เกิดโรค สุขภาพเริ่มแย่ เจ็บปวดทรมาณ ผมจะมีความสุขได้อย่างไรในภาวะแบบนั้น? เงินแสนล้านเริ่มไร้ค่า ผมเริ่มอยากหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์จากความเจ็บปวด จากความตาย ความอยากมีอิสรภาพทางการเงินหายไปแล้ว แต่เกิดอะไรขึ้นแทนล่ะ? ความอยากมี "อิสรภาพทางการไม่เจ็บปวด ไม่แก่ไม่ตาย" ขึ้นมาแทนที่ แล้วมันหนีพ้นตรงไหน "ความอยากอันหนึ่งหมดไป ความอยากอีกอันหนึ่งเข้ามาแทนที่" มันเป็นสิ่งแท้จริงตรงไหน "ไหนล่ะสิ่งที่แท้จริงที่ผมหามาตลอด" เมื่อผมคิดได้ดังนี้แล้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้ ผมไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้ว การเลือกหาความแท้จริงในทางโลก มันไม่มีอยู่เลย ผมหาไม่เจอ ผมเหลือทางเดียวแล้ว นั่นคือพระพุทธศาสนา ศาสนาที่สอนให้เข้าถึงสิ่งที่แท้จริงในโลกนี้ ผมเริ่มจากหนังสือ คู่มือมนุษย์ ของท่านพุทธทาสครับ เนื่องจากได้ยินมาว่า เป็นหนังสือที่อ่านง่าย เข้าถึงแก่นพระพุทธศาสนา และผมเห็นด้วยว่า เป็นสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล เข้าใจได้ขั้นต้นในเชิงตรรกะ ถึงแม้จะยังไม่ "รู้แจ้ง" ก็ตาม ผมจึงเริ่มใช้หลักธรรมมาเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ในการดำเนินของจิตใจ จากที่ก่อนหน้านี้มีกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนให้ทำสิ่งต่างๆ ผมเริ่มหาทางลดกิเลส โดยการ "จินตนาการไปไกลๆ" ให้เห็นภาพในสิ่งที่เราอยากมีอยากเป็น หรือแม้แต่ความโกรธความทุกข์เล็กๆในชีวิตประจำวันทั้งหลาย เช่น ทะเลาะกับแฟนกับแม่ อะไรเทือกนี้ เมื่อจินตนาการไปแล้วให้พยายามมองโดยไม่หลอกตัวเองว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ จะทำให้เป็นอย่างไรในอนาคต จะมีผลต่อเราอย่างไร มันสำคัญหรือไม่ มันทำให้เราหยุดทุกข์หรือเปล่า พอผมใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มเห็นความสำคัญของสิ่งต่างๆที่คนเรายึดติดยึดมั่นน้อยลง เริ่มไม่ค่อยเห็นค่าเห็นความหมายของมัน และเริ่มเป็นผลทำให้จิตใจของผมมันแกว่งน้อยลง คำว่าแกว่งคือ แกว่งไปตามสิ่งเร้าที่ทำให้ทุกข์หรือสุข พอจิตใจผมแกว่งน้อยลง มันก็เหมือนกับ ทุกข์น้อยลง แต่ในขณะเดียวกันเวลามีอะไรมาทำให้ควรจะสุข ผมก็สุขน้อยลงเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่า ปัญญา เริ่มเข้ามาแทนที่ การจะทำสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน ทุกๆอย่างๆ จากที่แต่ก่อน เราจะเลือกทำเมื่อเห็นว่า เราจะได้ความสุขจากมัน หรือได้อะไรบางอย่างจากมัน กลายเป็นว่าตอนนี้ ความสุขที่ไม่จีรังเหล่านั้น เริ่มไม่มีค่าสำหรับผม ผมเลือกทำในสิ่งต่างๆในชีวิตด้วยเห็นว่า มันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้าง ดีกว่าอยู่เฉยๆอย่างเกียจคร้านเท่านั้นเอง ซึ่งทำให้เกิดประโยคที่ผมค้นพบด้วยตนเองว่า ชีวิตเราจะ "มีสติปัญญาเข้ามาเป็นพลังในการทำสิ่งต่างๆในชีวิต โดยพลังของกิเลสนั้นลดน้อยถอยลงไป" นั่นเองครับ เกี่ยวกับเรื่องการค้นพบข้างต้น ผมขออธิบายเพิ่มเติมว่า ตอนแรกๆ ผมก็เริ่มจากนั่งสมาธิ หรือบางครั้งก็ใช้วิธีดูจิต ตามจิตตัวเองให้ทัน หรืออะไรทำนองนั้น ในเทคนิคการวิปัสสนาทั้งหลายเหมือนกัน บางครั้งเมื่อทำแล้ว ผมก็รู้สึกว่า มันสงบดี มันเกิดสมาธิดี แต่แล้วไงต่อ? ผมก็งงว่าผมจะเข้าถึง "ปัญญาสูงสุด" เพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่แท้จริงคืออะไร ได้อย่างไร หากมัวแต่ทำสมาธิเช่นนี้ ซึ่งตรงนี้ ท่านพุทธทาส ก็บอกว่า อย่าดูถูกสมาธิที่เกิดจากธรรมชาติ สมาธิตามธรรมชาติตามที่พวกเราทุกคนมีอยู่ทั่วไปก็ก่อให้เกิดปัญญาได้เช่นกัน และท่านก็กล่าวว่า สมาธิ เป็นแค่ฐานเพื่อให้จิตใจ ได้ทำการวิเคราะห์สรรพสิ่ง เพื่อให้เกิด ปัญญา ต่อไป ดังนั้นแล้ว ตามหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ เป็นรากฐานที่ทำให้เกิด ปัญญา เท่านั้น ผมเลยไม่ติดใน สมาธิ ผมใช้ทั้งการทำสมาธิตามเทคนิค และใช้สมาธิตามธรรมชาตินี่แหละ ในการวิเคราะห์ จินตนาการ สรรพสิ่งต่างๆ ครับ ทีนี้ คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ผมเอาไปใช้ในแนวทางวีไออย่างไรบ้าง เอาจริงๆแล้ว ผมรู้สึกจริงๆว่า มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เหมือนว่าผมเอาไปใช้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเอาไปใช้ตั้งแต่แรก แถมพอมาคิดตอนนี้ ผมไม่แน่ใจด้วยว่า "อะไรเกิดก่อนกัน" แต่ขอเริ่มดังนี้ละกันนะครับ เมื่อผมเริ่มมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ และเริ่มลดกิเลสได้ จากการ"จินตนาการเรื่องเงิน" ทำให้รู้สึกว่า ไม่ได้อยากทำเพื่อความร่ำรวยเพื่อความสุขของตนเอง ผมก็ตั้งคำถามว่า ผมควรจะลงทุนต่อไปหรือไม่ ผมได้คำตอบว่า ผมควรจะลงทุนต่อไป เพราะว่าผมมีภาระต้องดูแลแม่และพ่อซึ่งแก่เฒ่าขึ้นทุกวันในอนาคต แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังมากมายให้มันสำเร็จ หรือหากทำดีที่สุดแล้วเจ๊งจริงๆ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไม่เชิงว่ายึดติดว่าจะต้องดูแลพ่อแม่นะ เพราะสังคมบอกว่าดีนะ ไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นรูปแบบที่ว่า แม้แต่เหตุผลที่จะทำให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ผมก็คลายความยึดติดเช่นกัน หรือแม้แต่เหตุผลของเหตุผลของเหตุผล ยาวไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด ผมก็เริ่มคลายเช่นกัน เหมือนเริ่มอิสระในการคิดมากขึ้น "อะไรก็ได้"มากขึ้น เจ๊งจริงก็ไม่เห็นเป็นไร จะได้บวชไปหาทางเข้าถึงพระธรรมให้ถึงที่สุด แล้วก็มาสอนพ่อแม่ สอนคนอื่น อะไรเทือกนี้ เมื่อเหตุผลที่ทำให้ผมต้องลงทุนต่อไป มาจากปัญญาและความไม่ประมาท ไม่ได้มาจากความยึดติดว่าต้องรวย ทำให้ผมเริ่มมองอะไรอย่างสภาพจริงมากขึ้น มองอย่างเป็นกลางมากขึ้น "ทิฐุปาทาน"หรืออคติซึ่งเกิดจากความยึดมั่นเริ่มหมดไป ผมก็หาข้อมูลในการลงทุนอย่างเป็นกลาง ทั้งข้อมูลแบบ VI ข้อมูลเศรษฐกิจ ข้อมูลแบบกราฟ แล้วค่อยเอามาประมวลผลว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทีนี้ ยกตัวอย่างจากตลาดหุ้นช่วงนี้ ตามความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ หากความยึดติดหรือ โลภ ในความอยากรวย มีพลังมากกว่าความกลัวว่าจะสูญเงิน พูดง่ายๆคือพลังโลภมากกว่า ก็จะมีแนวโน้มที่ว่า ความคิดหรือการกระทำของเรา จะส่อไปในทาง ลงทุนในหุ้นตลอดเวลาเข้าไว้มากกว่า แต่หากเกิดความกลัวว่าจะสูญเงิน มีพลังมากกว่าความโลภ ก็อาจจะกลัวและถือเงินสดมากกว่า ทีนี้พอกิเลสในตัวผมมันมีพลังอ่อน การที่จะวางกลยุทธ์การลงทุนต่อไปนั้น ไม่ขึ้นกับกิเลสอีกต่อไป ขึ้นกับการวิเคราะห์ของผมล้วนๆ นั่นหมายความว่า ผมจะไม่รู้สึกเสียดายหากผมถือเงินสดแล้วตลาดกลับขึ้นเอาๆ หรือ ผมจะไม่รู้สึกแย่ถ้าผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแล้วตลาดลงหนักๆ พูดอีกอย่างก็คือ เหมือนมันไม่สำคัญอะไรเท่าไรอีกต่อไป ผมแค่ทำเพราะตามการวิเคราะห์แล้วผมควรทำ ก็แค่นั้นเอง หรืออย่างเวลาหุ้นขึ้นหรือลง อยากซื้อหรืออยากขาย ให้สำรวจดู "ความวูบวาบในจิตใจดูก่อน" ผมขอใช้คำนี้เพราะว่า กิเลส มันจะทำให้เกิดลักษณะอย่างนั้นจริงๆ สำหรับผม นั่นทำให้บางที เราหลอกตัวเองว่า เราไม่ได้ทำเพราะกิเลสหรอก แต่จริงๆก็ยังทำเพราะกิเลสอยู่ดี ทีนี้ เวลาหุ้นขึ้น หุ้นลง อยากซื้อ หรือ อยากขาย ลองดูว่า มันเกิดความรู้สึกอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าเกิด ให้วิเคราะห์มันว่า ณ ตอนนี้ ที่เราอยากซื้อ หรือ อยากขาย เป็นเพราะกิเลส เพราะความกลัวหรือโลภ หรือเปล่า ถ้าใช่ ให้หยุดก่อน การกระทำโดยมีกิเลสเป็นเครื่องนำทาง มันก็จะไปจบที่กิเลสเป็นผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นความสุขชั่วคราว หรือความเสียใจเสียดายทุกข์ใจก็แล้วแต่ เมื่อหยุดแล้ว ให้คิดดูให้ถี่ถ้วน ถึงเหตุผลที่ทำให้เราลงทุน ตั้งแต่ภาพใหญ่ที่สุด ไปจนถึงภาพเล็กที่สุดที่ทำให้เกิดการซื้อขายครั้งนี้ ให้ลองคิดดูถึงความเป็นไปได้ในทุกๆทางในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น และตรวจสอบดูว่ามันสอดคล้องกับสิ่งที่สมควรทำ มันเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่มิใช่ตั้งอยู่บนกิเลสหรือไม่ เมื่อตรวจสอบคิดถี่ถ้วนแล้ว หลังจากนั้น สิ่งที่คุณควรจะทำถัดไป จะซื้อ จะขาย หรือจะอยู่นิ่งๆ ก็จะปรากฏชัดแก่ใจเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า การนำธรรมะไปใช้เป็นครั้งคราว โดยไม่ได้เกิดจากการเข้าใจจริงๆ มันจะได้ผลหรือไม่ ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม เพราะกิเลสในการใช้วิตของเราทุกคน มันก็เป็นกิเลสตัวเดียวกันกับที่เราใช้ทำในเรื่องเล็กๆอย่างแค่การเคาะซื้อเคาะขายในเสี้ยววินาทีนั่นเอง ดังนั้น หากเราเริ่มเข้าใจธรรมชาติและเริ่มละกิเลสได้ในชีวิตประจำวัน เราก็จะลดละกิเลสในการซื้อขายแต่ละครั้งได้ หรือถ้าเราเข้าใจและลดละกิเลสจากการเคาะซื้อขายได้ มันก็จะนำไปสู่การเข้าใจและลดละกิเลสในทุกสิ่งอย่างได้เช่นกัน ทำนองเดียวกัน หากความรู้ในธรรมมะสามารถนำมาใช้ในการลงทุนวีไออย่างที่ผมได้อธิบายไว้ข้างบน ความรู้ VI ก็นำกลับนำมาใช้ในการวิเคราะห์ธรรมได้ เช่น VI สอนให้มองระยะยาว ไม่ใช่มองเพียงแค่ซื้อขายรายวัน ผมก็นำสิ่งนี้ไปใช้พิจารณาทุกสรรพสิ่ง เวลาวิเคราะห์สรรพสิ่ง ให้มองไปยาวๆ มองให้เห็นสิ่งที่มันเกิดที่มันเป็น ให้เห็นความตั้งอยู่ เห็นความทนอยู่ เห็นความเปลี่ยนแปลง และเห็นความดับของมัน จะเห็นว่าธรรมะกับทุกๆสิ่งมันเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน แยกกันสิ้นเชิงไม่ได้ เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันโยงใยไม่จบไม่สิ้น ดังนั้น ตามความเห็นของผมแล้ว สาระสำคัญจริงๆอยู่ที่ว่า หากอยากนำหลักธรรมไปใช้ในการลงทุนจริง ควรเข้าใจจริงๆก่อนว่า มันไม่ได้แยกกันอย่างสิ้นเชิง ให้นำทั้งสองสิ่งมาเชื่อมโยงกัน ใช้วิเคราะห์ซึ่งกันและกัน โยงไปได้ ก็โยงกลับได้ ก็จะเกิดความรู้ในธรรมและในการลงทุนไปพร้อมๆกันเอง ตรงนี้ขอฝากเพิ่มเติมนิดนึงว่า จะเห็นว่า มันมีหลักธรรมหรือก็คือ หลักความจริงของทุกสรรพสิ่งแทรกอยู่ในสิ่งที่ผมพูดมาบ้างแล้ว เชื่อมโยงกันอยู่แล้ว อย่างเช่น เรื่องที่ว่า มันเชื่อมโยงกันจนไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อน เรื่องของเหตุและผลที่โยงกันไปไม่จบไม่สิ้น ก็เชื่อมโยงกับหลักธรรมที่ว่า ทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน มีแต่เหตุให้เกิด เหตุให้เปลี่ยน เหตุให้ดับ และผลของมันสืบรับกันไปเป็นทอดๆไม่จบสิ้น ซึ่งในส่วนของเรื่องนี้ มีการค้นพบอยู่จริงอยู่ในทฤษฤีสัมพัทธภาพของไอสไตน์ และฟิสิกส์ควอนตัม และโดยส่วนตัวของผมก็กำลังศึกษาเรื่องนี้เช่นกัน และเริ่มเห็นด้วยตนเองว่า หลักธรรมในศาสนาพุทธ มันใช้ได้ตามการคิดด้วยหลัก ตรรกะ ในขั้นต้น ข้อย้ำว่าแค่ในขั้นต้นนะครับ (ตรงนี้ผมขอยืนยันระดับหนึ่งว่า เคยได้ยินคำพูดว่าพุธศาสนาเข้าถึงไม่ได้โดยหลักตรรกะทั่วไป ผมยืนยันว่า ไม่จริงครับ เข้าถึงได้ครับ แต่ที่มันเข้าถึงได้ยาก เพราะต้องลดกิเลสหรือความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่งก่อน เพราะทุกคนเวลาคิดตามตรรกะจะมีความยึดมั่นในตรรกะพื้นฐานอยู่ในระดับหนึ่งโดยไม่รู้ตัว หากมีโอกาสจะอธิบายเพิ่มเติมในอนาคตครับ) ซึ่งส่วนตัวผมก็เห็นด้วยตนเองแล้วว่า แค่ผมเข้าใจในขั้นต้น และพยายามทำความเข้าใจมันจริงๆ กิเลสในตัวผมมันก็อ่อนพลังลงไปแล้ว แต่อย่างไรผมก็ยังเชื่อว่า การจะเข้าให้ถึงในระดับที่ตัดกิเลสได้จริงๆ ซึ่งฝังลึกอยู่ในสัญชาติญาณสัตว์โลกและสรรพสิ่งทั้งปวง ยังต้องไปอีกไกลมาก และเชื่อว่าน่าจะต้องใช้การเข้าถึงทางจิตเพื่อให้เกิดการรู้แจ้งอย่างแท้จริง จึงจะถึงระดับนั้นได้ พูดมาซะยืดยาว วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อนละกันครับ หวังว่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ
โดย
sakkaphan
อังคาร ก.ย. 08, 2015 5:37 pm
0
7
Re: ตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง !
ขอแสดงความเห็นนะครับ ถ้าตลาดหุ้นไม่มีอยู่จริง แสดงว่าผลตอบแทนของนักลงทุน คือ เงินปันผล+มูลค่าสุดท้ายตอนขายกิจการต่อให้คนอื่น ในแง่เงินปันผลตอนนี้ set dividend อยู่ที่ 3 เปอร์เซนต์ และเท่าที่ผมดูๆยังหาบริษัทที่ปันผลเกินแถวๆ 5 เปอร์เซนต์ไม่เจอ แสดงว่าผลตอบแทนระยะยาวจริงๆของนักลงทุน หากหวังให้เยอะๆเกินสัก 15 เปอร์เซนต์ต่อปี ด้วยเงินปันผลระดับนี้ ต้องหวังให้ราคาสุดท้ายตอนขายกิจการทิ้งต้องมีราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมากพอดู ถ้าดูแค่ปันผล พันธบัตรรัฐบาลก็ให้ปันผลอยู่ที่ 3 เปอร์เซนต์ แต่ความเสี่ยงต่ำกว่าเยอะ
โดย
sakkaphan
จันทร์ ส.ค. 31, 2015 9:33 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมคงแปลกเพื่อน ช่วงนี้ถึงตลาดจะลงพอร์ตจะแดง แต่มันก็ทำร้ายผมไม่ได้มากเท่าไร อาจจะเพราะผมไม่ยึดติดว่า ต้องการรวยเร็วอะไรมากมาย จะว่าไปช่วงหลังๆผมว่าผมละความอยากในเรื่องเงินๆทองๆไปได้พอสมควรละมั้งครับ555 แต่สาเหตุที่เริ่มจริงจังกับทางธรรมะมากขึ้น ก้เพราะได้พบเจอ ธรรมชาติ ด้วยตนเอง โดนธรรมชาติเล่นงานก็หลายหนมาในอดีต ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องอื่นๆอย่างเช่นเรื่องความรัก หรือความอยากมีอยากเป็น อยากได้รับการยอมรับ หรืออะไรต่างๆเทือกนั้น เมื่อโดนเล่นงานมากๆเข้า ก็คิดได้ว่า จริงๆแล้ว ธรรมชาติไม่ได้เล่นงานเราเลย ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น ไม่เที่ยง เปลี่ยนได้ตลอดเวลา กิเลสและความโง่เขลาของตัวเองต่างหาก ที่ไปคิดเอาว่า มันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างงี้ ความไม่รู้อะไรเลยของตัวเองต่างหากที่เล่นงานตัวเองให้พบเจอความทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ผมจึงได้เข้าสู่ทางธรรมมากขึ้น ศึกษาจิตใจตัวเองและพยายามเข้าใจธรรมชาติให้มากขึ้น หวังว่าคงจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ยังไงก็ ขอฝากตัวไว้ในห้องนี้อีกคนนึงนะครับ ผมมือใหม่ ไร้ซึ่งปัญญา ขอคำแนะนำจากพี่ๆ ฝากตัวด้วยครับผม
โดย
sakkaphan
พุธ ส.ค. 26, 2015 4:05 pm
0
2
Re: ล้างพอร์ตกันรึยังครับ
อาจจะเป็นเพราะ คำว่า"ล้างผอร์ท" ไม่มีในศัพท์ของชาววีไอมั้งครับ การล้างผอร์ท ขายหุ้นที่วิเคราะห์มาอย่างดีแบบวีไอ ยามหุ้นตกนั้น ถือเป็นข้อห้ามและ "ผิดศีล"วีไอ(ยังไม่รู้เลย ว่าศีลวีไอมีกี่ข้อ เคยได้ยินแต่ข้อนี้ แหะๆ) ชาวสมาชิกวีไอ เลยไม่อยากได้ยิน ได้เห็นคำนี้ เพราะอาจรู้สึกว่ากำลังถูกเยาะเย้ยจากสำนักอื่นมั้ง เค้าว่ากันว่า ผอร์ทไม่ใช่หน้ารึก้น ที่ต้องล้างบ่อยๆนะฮะ แต่ผมเอง ถ้าดัชนีตลาด(ปกติวีไอก็ไม่ค่อยดูดัชนีตลาด ดูหุ้นเป็นตัวๆไปมากกว่า)เป็นเลขสามหลักเมื่อไร ตั้งใจว่าจะล้างผอร์ท .. ผอร์ทเงินฝาก ที่เหลืออยู่กระจึ๋งนึง ไปถมหลุมผอร์ทหุ้นให้หมดเลยฮะ ปกติผมไม่ค่อยได้โพสต์ แต่เห็นสถานการณ์ การลงทุนที่มันวิกฤติแบบนี้แล้ว แทนที่เพื่อนสมาชิกจะเข้ามาแนะนำหรือช่วยกันแก้สถานการณ์ แต่ดันมากดลบ "ใจแคบ โลกแคบ.กันจังครับ" แล้วประโยชน์จากการที่เรารวกกลุ่มกัน คืออะไรครับ? ปล. คุณ dr.1 กับผม ก็โดนไปคนละ -1 ละครับ ผมว่าคนที่ -1 นี่น่าจะเป็นคนเดิมๆที่ตาม -1 ในทุกกระทู้ของ ดร มั้งครับ อย่าไปใส่ใจเลยครับ 555 ปล. แต่ผมว่า ระบบ + - นี่ ไร้ประโยชน์จริงๆครับ ผมนึกออกแต่โทษครับ ในเว็บนี้ผู้คนก็เข้ามาด้วยกิเลสที่หวัง อยาก จะรวย กันอยู่แล้ว ดันมาเจอระบบที่ก่อให้เกิดกิเลส เมื่อตอบความเห็นลงไปแล้ว หวัง ให้ได้+ เยอะๆ อีก เหมือน facebook เลยครับ ที่ถึงไม่มี - แต่ถ้าใครตามกิเลสไม่ทัน ก็ตกเป็นทาสมัน โพสรูปโชว์นั่นนี่ให้ได้ไลค์เยอะๆเป็นแถบๆ แถมตัวผมเคยหนักกว่านั้นอีก ตกเป็นทาสของ ความอยากได้รับการยอมรับ เห็นคนอื่นโชว์นั่นนี่ก็อยากมีอยากเป็นอยากลงเฟสโชว์ พยายามดิ้นรน 55555 โถ่เอ๊ยย ว่าแต่มาออกเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย?55 ไหนๆก็ตอบแล้วขอตอบ จขกท นะครับ สำหรับผมแล้ว ผมว่าจริงๆ มันยากมาก ที่จะบอกว่า ควรล้างพอร์ต หรือ ควรถือ100เปอร์เซนต์ มันขึ้นกับเหตุกับปัจจัยหลายๆอย่างมากๆ อย่างเช่น ถ้าผมบอกว่า VI ควรถือ 100 เปอร์เซนต์ตลอดเวลาสิ อาวแต่ถ้าหุ้นที่คุณถือในพอร์ต มันพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างเช่นเป็นหุ้นที่โดนผลลบจากราคาน้ำมันลงจริงๆ หรือ ถึงจะพื้นฐานดีแต่เป็นหุ้นที่คุณซื้อมาแพงมากเช่น แพงกว่าค่าเฉลี่ยปกติในการซื้อขายในอดีตของมัน หรือไม่ ถ้าผมบอกว่า ไม่ได้แล้วๆๆตลาดลงแบบนี้ต้อง cut loss อาวแต่ถ้าหุ้นที่คุณถือมันคือหุ้นดีที่คุณคำนวณว่าราคาที่ซื้อก็ซื้อมาถูกแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องขายนี่ครับ? สรุปคือ ถึงคนอื่นๆตอบไป แต่มันก็ใช่ว่ามันจะเป็นหลักการที่จะใช้กับ จขกท ได้.... แต่ส่วนตัวผมใช้การ switch หุ้นครับ ผมใช้วิธีนี้มาตลอดในช่วงขาลงและก็ยังคงใช้อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมว่าหลักที่เราควรทำตอนนี้คือ ตั้งสติ มากกว่าครับ อย่าไปกลัวครับตลาดมีขึ้นมีลง มันต้องลง มันถึงจะขึ้นได้ ผมก็อยู่ในตลาดไม่นานมาก แต่ก็เห็นมันดึ๋งๆดั๋งๆยังงี้หลายรอบละ พวกเราก็ยังไม่เห็นจะหนีหายกันไปไหน สติมา เดี๋ยวปัญญาเกิดเองครับ :D
โดย
sakkaphan
พุธ ส.ค. 26, 2015 3:06 pm
0
7
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอถามทุกท่านครับ สิ่งหนึ่งที่เรามักจะลืมคือเรากำลังหายใจ แต่สิ่งที่ยากคือ เช่น เวลาเราพูดและเราสัมผัสลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่ให้หลุด มีวิธีการอย่างไรครับ ของผมจะเป็นลักษณะ เวลาพูดจะหลุดจากลมหายใจ เมื่อพูดเสร็จแล้วจึงกลับมา สำหรับแนวทางที่ผมใช้ผมจะกำหนดอารมณ์ที่เด่นชัดที่สุด กายชัดกำหนดกาย เวทนาชัดกำหนดเวทนา จิตชัดกำหนดจิต ธรรมชัดกำหนดธรรม ถ้าไม่มีอะไรเด่นชัดก็มากำหนดฐานกายซึ่งก็คือลมหายใจ สำหรับในการพูด ผมจะกำหนดความคิดก่อน เห็นจิตที่อยากจะพูดก็กำหนดรู้ความอยากพูด ขณะพูดก็กำหนดอาการเคลื่อนของปากบ้าง อาการกระทบของลมบ้าง ตอนฟังก็กำหนดการฟัง นานๆ ไปเผลอ ก็กำหนดรู้ว่าเผลอ แล้วตั้งสติใหม่ครับ กำลังสับสนพอดีว่าการตามดูกายดูจิต ควรจะใช้อะไรเป็นหลักดี เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ บางทีผมใช้แบบนึงได้ผล ใช้อีกครั้งไม่ค่อยได้ผลละ จะลองนำไปใช้ดูครับ ขอบคุณข้อความนี้มากๆครับ
โดย
sakkaphan
อาทิตย์ ส.ค. 23, 2015 9:15 pm
0
0
Re: VI PHUKET
สวัสดีครับ ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ภูเก็ตขอเสียงviที่นี่เพื่อพบปะ พูดคุย แรกเปลี่ยนแนวความคิดกันหน่อยนะครับ จาก vi สงขลา ยินดีต้อนรับครับคุณ Domee :D
โดย
sakkaphan
อาทิตย์ ส.ค. 23, 2015 8:24 pm
0
0
Re: รบกวนสอบถามมีบริษัทไหนบ้างมีการวิจัยทางด้านเกษตรกรรมบ้าง
อยากทราบว่าทำไมถึงสนใจบริษัทที่มีวิจัยด้านเกษตรครับ พอจะบอกได้รึป่าว
โดย
sakkaphan
ศุกร์ ส.ค. 21, 2015 3:42 pm
0
1
Re: ดัชนีต่ำกว่า1,500จุด เราควรทำ อย่างไร
ผมอ่านประวัติการลงทุนของคุณโจทีไร ก็ย้อนมาดูตัวเอง ผมเริ่มลงทุนช่วงประมาณปี '37 น่าจะไล่เลี่ยกัน และผมก็มีความทรงจำกับ VNG เช่นกัน แต่ไม่ได้ Happy ending นะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด VNG ทำ IPO เข้าตลาด หลัง IPO ของ EGCOMP ช่วงนั้น ตลาด IPO กำลังร้อนแรง ในสมัยนั้นจะมีการเปิดโอกาสให้รายย่อย จองซื้อ IPO แล้วทำการสุ่ม กรณีที่ความต้องการมาก เทคนิคอันหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ สำหรับคนทุนน้อย ก็คือการหาทางเปิดบัญชีกระแสรายวัน แล้วเราก็เขียนเช็ค เป็นค่าจองซื้อ โดยสมมติว่าโอกาสสุ่มได้ 1 ใน 5 เราก็อาจจะเขียนเช็คมูลค่า 3-4 ใบ แต่มีเงินจ่ายจริงแค่ใบเดียว แต่ช่วงนั้นบรรยากาศพลิกผัน คนจองน้อย ผลก็คือเช็คเด้งรวด ผมต้องไปนั่งฟังสมุบัญชีอบรม และถูกปิดบัญชีหมด หลังจากนั้นบริษัทก็เจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ยอดขายหาย เป็นหนี้มาก แต่หลังจากนั้นก็มีการแปลงหนี้เป็นทุนโดยเจ้าหนี้บางส่วน รวมทั้งแบ้งค์ใหญ่แห่งหนึ่งด้วย ส่วนผมก็ยังติดตามบริษัทอยู่เรื่อยๆ ด้วยความคิดที่ต้องการแก้ตัว ผมยังจำได้ว่าผมตัดข่าวของ VNG จากหนังสือพิมพ์เก็บไว้ และก็เห็นว่าบริษัทฟื้นตัว ยอดขายเติบโต ส่งออกดี ซึ่งจากข้อมูลนั้นคิดเป็น PE แล้วต่ำมากๆ แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่ามันจะเป็นไปได้หรือ ทำไมเราเห็นคนเดียวหรือ แล้วทำไมคนอื่นไม่เห็น หุ้นก็ไม่ขึ้น สภาพคล่องก็น้อยมาก และสมัยนั้นการหาข้อมูลก็ยากมาก Internet ก็ยังไม่มีใช้ สุดท้ายหลังจากนั้นไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นอย่างแรงไปหลายเด้งมาก ผมก็สุดแสนจะเสียดาย แม้กระทั่งหลายปีที่ผ่านมาผมก็ยังติดตาม หุ้นตัวนี้อยู่ จนกระทั่งปีที่แล้วปัจจัยบวกหลายๆอย่าง มาพร้อมกัน ทั้งยางถูก กาวถูกลง การขยายกำลังการผลิต ราคาหุ้นก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ซื้อเหมือนเดิม บางทีคุณกับ VNG อาจจะไม่ได้ทำบุญร่วมกันมาในชาติปางก่อนนะครับ 5555
โดย
sakkaphan
พฤหัสฯ. ก.ค. 16, 2015 9:18 pm
0
0
Re: คนที่ได้อิสรภาพทางการเงิน ทุกวันทำอะไรครับ
ขออนุญาติแสดงความเห็นคุณ chakasak นะครับ เท่าที่อ่านแล้วฟังๆดู ดูเหมือนความเบื่อของคุณ อาจจะมีที่มาจากพื้นฐานของมาสโลว์ ข้อที่ 4 คือ ตอนนี้ คุณมีอิสรภาพทางการเงิน ปัจจัยข้อ 1-2 ก็คงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญละ ส่วนปัจจัยข้อ 3 ผมก็ไม่ทราบ แต่ถ้าตามกฏแล้ว คุณก็ต้องมีปัจจัยข้อ 3 แล้ว ถึงจะกำลังต้องการข้อ 4 ได้ ทีนี้ปัจจัยข้อ 4 มีคนให้ทัศนะไว้ในเวบที่ผมแปะข้างบนแล้วว่า(เม้น 31) ความต้องการได้รับความยอมรับนับถือ นั้น สาระสำคัญอยู่ที่"การนับถือตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง" แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนเราจะยึดติดว่า ต้องได้รับการยอมรับนับถือจากผู้อื่น ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า หรือจริงๆแล้วมันอาจจะเป็น requirement อันนึงเลยก็ได้ ที่มนุษย์เราต้องการให้มีคนนับถือบ้างจึงจะเริ่มรู้สึกนับถือตัวเองขึ้นมา เท่าที่ฟังคุณ chakasak พูด ดูเหมือนว่า คุณ จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง ทั้งที่สิ่งที่คุณทำนั้น มันเป็นสิ่งที่คุณเห็นว่า มันดีอยู่แล้ว ทำให้คุณรู้สึกเหมือนว่า เอ๊ะ ตัวเองเป็นอิสรภาพทางการเงินแล้ว แต่ทำไม่ยังเบื่อ ยังว้าเหว่ คุณต้องถามตัวเองแล้วล่ะว่า"ลึกๆ"แล้วคุณกำลังต้องการการยอมรับอยู่หรือเปล่า ตอนนี้เอาแค่เรื่องสาเหตุก่อนละกันครับ ถ้าหากไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่ามันใช่ เรามาคุยกันต่อนะครับ ว่าจะหาวิธีทำอย่างไรต่อไป เพราะผมจะบอกว่า ผมก็ไม่ต่างจากคุณมากมายเท่าไรเหมือนกัน 5555
โดย
sakkaphan
พุธ ก.ค. 15, 2015 1:20 pm
0
3
Re: คนที่ได้อิสรภาพทางการเงิน ทุกวันทำอะไรครับ
ที่คุณ chakasak พูดมา ทำให้ผมนึกอะไรได้หลายอย่าง ผมขอแปะ เรื่อง ทฤษฎีของ มาสโลว์ ไว้ก่อนนะครับ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/03/X9024602/X9024602.html ผมแนะนำว่า ลองอ่านไปเรื่อยๆทุกเม้น โดยเฉพาะเม้นที่ 29 และ 31 จะได้เข้าใจ โดยเฉพาะเม้นที่ 31 ผมนี่ขำก๊ากเลยครับ 55555 และเพิ่มเติมด้วยว่า ทฤษฎีของมาสโลว์นั้น ตั้งอยู่บนสมมติฐาน 3 ข้อ 1. มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอและไม่มีที่สิ้นสุด 2. ความต้องการของบุคคลจะถูกเรียงลำดับตามความสำคัญ หรือเป็นลำดับขั้นความต้องการพื้นฐาน 3. ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้ว จะไม่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรมนั้นๆ ต่อไป สาเหตุที่ผมแปะทฤษฎีนี้ เพราะผมเห็นว่า มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณ chakasak พูดมา ขอแสดงความเห็นในช่องถัดไปนะครับ
โดย
sakkaphan
พุธ ก.ค. 15, 2015 12:38 pm
0
2
Re: คนที่ได้อิสรภาพทางการเงิน ทุกวันทำอะไรครับ
ผมเคยอ่านบทความนี้ เมื่อประมาณ 2 ปีกว่าๆที่แล้ว โชคดีที่ยังเก็บมันไว้ เอามาให้อ่านกันครับ ชีวิตที่ต้องมีความอ้างว้างเป็นเพื่อน... https://www.facebook.com/note.php?note_id=186846488010093
โดย
sakkaphan
ศุกร์ ก.ค. 10, 2015 5:58 pm
0
4
Re: ปรึกษาเรื่องซื้อรถครับ ระหว่างซื้อกับเช่า
ลืมบอกไปนี่หมายถึงรถใหม่นะครับ ไม่ใช่รถมือสอง
โดย
sakkaphan
พุธ ก.ค. 08, 2015 10:42 am
0
2
Re: ปรึกษาเรื่องซื้อรถครับ ระหว่างซื้อกับเช่า
ช่วงนี้มีรถมือสองราคาถูกคุณภาพดีค่อนข้างเยอะ ถ้าเป็นรถคันแรกที่ซื้อ ซื้อในนามบุคคล และไม่ถือรถมือสอง ผมว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มที่สุด เอาไปขายต่อตอนหลังราคาก็ไม่ตกมากครับ เพิ่มเติมครับ ถ้าจะนึกถึงเรื่องขายต่อ ก็อาจจะต้องดูยี่ห้อดูรุ่นด้วยนะครับ ส่วนใหญ่แล้วค่ายโตโยต้าจะขายต่อได้ราคาดี แล้วก็มีเรื่องที่ว่า ระหว่างซื้อสด กับ ดาวน์น้อยผ่อนเยอะ กับ ดาวน์เยอะผ่อนน้อย ก็จะมีผลเรื่องขายต่อด้วยนะครับ ผมเคยซื้อบิ๊กไบค์เงินสดแล้วขายต่อยากเพราะคนส่วนใหญ่ซื้อผ่อนกัน ทำให้ราคาตกเยอะ และพนักงานขายก็เคยแนะนำว่า ดาวน์น้อยผ่อนเยอะ ขายต่อง่ายสุด ส่วน ดาวน์เยอะผ่อนน้อย ขายต่อยากที่สุด ครับ (คิดว่ารถยนต์ก็คงไม่ต่างกัน) เค้าบอกรึเปล่าครับ ว่าทำไม ดาวน์น้อยผ่อนเยอะ ถึงขายต่อง่ายสุด แล้วดาวน์เยอะผ่อนน้อย ขายต่อยากสุด อยากทราบเหตุผลครับ ไม่ค่อยเข้าใจ เค้าไม่ได้อธิบาย แต่ผมคิดส่วนตัวเอาเอง คือออพชั่นดาวน์เยอะผ่อนน้อย เป็นออพชั่นสำหรับคนมีเงินก้อน แต่คนที่มีเงินก้อนเยอะๆถ้าจะซื้อทั้งที ก็น่าจะเลือกซื้อเงินสดไปเลย เหมือนที่ผมซื้อตอนนั้น กลายเป็นว่าออพชั่นดาวน์เยอะผ่อนน้อยมันครึ่งๆกลางๆ สำหรับคนมีเงินน้อยก็ไม่ใช่ สำหรับคนมีตังก็ไม่ใช่
โดย
sakkaphan
พุธ ก.ค. 08, 2015 10:40 am
0
3
Re: ปรึกษาเรื่องซื้อรถครับ ระหว่างซื้อกับเช่า
ช่วงนี้มีรถมือสองราคาถูกคุณภาพดีค่อนข้างเยอะ ถ้าเป็นรถคันแรกที่ซื้อ ซื้อในนามบุคคล และไม่ถือรถมือสอง ผมว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มที่สุด เอาไปขายต่อตอนหลังราคาก็ไม่ตกมากครับ เพิ่มเติมครับ ถ้าจะนึกถึงเรื่องขายต่อ ก็อาจจะต้องดูยี่ห้อดูรุ่นด้วยนะครับ ส่วนใหญ่แล้วค่ายโตโยต้าจะขายต่อได้ราคาดี แล้วก็มีเรื่องที่ว่า ระหว่างซื้อสด กับ ดาวน์น้อยผ่อนเยอะ กับ ดาวน์เยอะผ่อนน้อย ก็จะมีผลเรื่องขายต่อด้วยนะครับ ผมเคยซื้อบิ๊กไบค์เงินสดแล้วขายต่อยากเพราะคนส่วนใหญ่ซื้อผ่อนกัน ทำให้ราคาตกเยอะ และพนักงานขายก็เคยแนะนำว่า ดาวน์น้อยผ่อนเยอะ ขายต่อง่ายสุด ส่วน ดาวน์เยอะผ่อนน้อย ขายต่อยากที่สุด ครับ (คิดว่ารถยนต์ก็คงไม่ต่างกัน)
โดย
sakkaphan
จันทร์ ก.ค. 06, 2015 12:49 pm
0
3
706 โพสต์
of 15
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
sakkaphan
ระดับ:
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
จันทร์ ธ.ค. 07, 2009 12:29 pm
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ มิ.ย. 05, 2021 5:05 pm
โพสต์ทั้งหมด:
1111 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.06% จากโพสทั้งหมด / 0.20 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว