หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
pak
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
Joined: พุธ ก.ค. 08, 2009 5:17 pm
5659
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - pak
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: หนังสือภารกิจพิชิตหุ้น Turnaround/ นพดล ดาวแสงสว่าง
ขอบคุณหลายๆท่านที่ให้เกียรติพูดถึง และยังจำกันได้นะครับ หลายๆประเด็นที่ผมกลับมาอ่าน แล้วก็ทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์นั้นๆ ...บางอย่างก็น่าตื่นเต้นจริงๆครับ ^ ^ [attachment=0]10296705_487289481400597_135050701849642441_n.jpg[/attachment]
โดย
pak
พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2014 10:08 am
0
2
Re: หนังสือภารกิจพิชิตหุ้น Turnaround/ นพดล ดาวแสงสว่าง
ปล. ถ้าจะให้ผมตั้ง KPI ให้กับหนังสือตัวเอง ผมมองว่า... 1. ผมอยากเห็นนักลงทุนหน้าใหม่ๆที่มีคุณภาพมากขึ้น 2. ผมอยากเห็นนักลงทุน "ขยัน, อดออม และหมั่นหาความรู้และข้อมูลใหม่ๆอยู่เสมอ" 3. ผมอยากเห็นนักลงทุนมาประชุม ผถห. เพื่อ "ทำหน้าที่และรักษาสิทธิ์" มากกว่าจะมา "เก็บโกยอาหารว่างและของที่ระลึก" 4. ผมอยากเห็นความสำเร็จของนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ที่สามารถบอกเล่าประสบการณ์ความสำเร็จของตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจ 5. ผมอยากให้นักลงทุนรู้สึกว่า "ฉันลงทุนด้วย...ความสุขอยู่เสมอ" ครับผม pak
โดย
pak
พุธ มี.ค. 12, 2014 12:41 pm
0
30
Re: หนังสือภารกิจพิชิตหุ้น Turnaround/ นพดล ดาวแสงสว่าง
[youtube]gfX30jkkKII[/youtube] "ถ้ารักเธอแล้วต้องผิดอีกครั้งหนึ่ง ฉันขอทำผิดอีกได้ไหม จะหยุดตรงนี้ หรือรักเธอต่อไป และมันจะเป็นอย่างไรไม่รู้เลย..." "แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ ผมอาจไม่ใช่ "วีไอ" ที่ดีนัก แต่ผมพยายามเรียนรู้ที่จะเป็น "นักลงทุน(ที่มีความสุข)" ...สุขที่ได้ฝัน และค่อยๆเห็นมันเป็นจริงขึ้นมา ด้วยความเคารพเสมอ pak, 23 ม.ค. 56 ^ ^ นั่นคือโพสต์สุดท้ายของผมนะครับ กว่าหนึ่งปี...ที่ไม่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นใดๆ เป็นกว่าหนึ่งปี...ที่ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น "นักลงทุนแนว VI" เป็นกว่าหนึ่งปี...ที่ผมพยายามค้นหาและทบทวนตัวเองอย่างหนัก และเชื่อว่า ผมยังคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร...ในการพิสูจน์ตัวเองต่อไป สำหรับหนังสือเล่มนี้... เป็นการรวบรวมบทความหลากหลายแง่มุมในการลงทุนของผม ที่ Focus เฉพาะเพียง "หุ้น Turnaround" เท่านั้น มันอาจเป็นเพียง "ประสบการณ์" และ "มุมมอง" เท่านั้น หาใช่เป็น "ทฤษฎีใดๆ" ไม่!!! ถ้าหนังสือของผม มีจำนวนพิมพ์ 3,000 เล่ม เล่มละ 220 บาท นักเขียนได้รับ 10% คือ 22 บาท/เล่ม ขายหมด 3,000 เล่ม ได้เงินค่าส่วนแบ่ง 66,000 บาท เสียภาษีประมาณที่ฐาน 25% เป็นจำนวนภาษี = 16,500 บาท คงเหลือรับเงินจริง 49,500 บาทเท่านั้นครับ "เงิน...จึงไม่ใช่แรงจูงใจหลักในการออกหนังสือเล่มนี้ครับ!!!" แต่ทว่า... มีสายตาบางคู่ มองว่า มันมีแง่มุมที่เป็นประโยชน์เพียงพอที่จะนำไปแบ่งปันแก่นักลงทุนท่านอื่นๆ ผมเองอาจไม่มั่นใจว่า "หนังสือเล่มนี้...ดีพอไหม?" แต่มันได้พยายามนำเสนอทั้งด้านดี, ด้าน Dark Side และคำนึงถึงความเสี่ยงต่างๆ ให้ครบถ้วนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และอย่างน้อยที่สุด... มันเป็นเรื่องจริง, ประสบการณ์จริง และสามารถอ่านได้อย่าง "ละมุน" ทางอารมณ์พอสมควรครับผม ขอบคุณทุกๆท่านที่ยังจำกันได้ และให้เกียรติโพสต์หนังสือนะครับ ขอบคุณมากๆจริงๆครับ ด้วยความเคารพ pak turnaround, 12 มี.ค. 57 ปล. เช่นเดิมครับ...มีเพลงเพราะๆมาฝากครับผม [youtube]m1j3IDImueQ[/youtube]
โดย
pak
พุธ มี.ค. 12, 2014 12:37 pm
0
34
Re: "รอ..."
EYy2uVSYswQ "ถ้ารักเธอแล้วต้องผิดอีกครั้งหนึ่ง ฉันขอทำผิดอีกได้ไหม จะหยุดตรงนี้ หรือรักเธอต่อไป และมันจะเป็นอย่างไรไม่รู้เลย..." "แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ ผมอาจไม่ใช่ "วีไอ" ที่ดีนัก แต่ผมพยายามเรียนรู้ที่จะเป็น "นักลงทุน(ที่มีความสุข)" ...สุขที่ได้ฝัน และค่อยๆเห็นมันเป็นจริงขึ้นมา ด้วยความเคารพเสมอ pak, 23 ม.ค. 56
โดย
pak
พุธ ม.ค. 23, 2013 10:41 pm
0
1
Re: "รอ..."
klsEd73rIQc
โดย
pak
พุธ ม.ค. 23, 2013 7:16 pm
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
คืนสังเวียนรอบนี้ ขอ “ใหญ่” กว่าเดิม BY “สมโภชน์ อาหุนัย” โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, วันที่ 21 มกราคม 2556 news_img_486159_1.jpg เปิดก้นบึ้งหัวใจ ชายผู้ไม่มีชื่อเล่น “สมโภชน์ อาหุนัย” เจ้าของ “พลังงานบริสุทธิ์” หุ้นไอพีโอน้องใหม่ กลับมาคราวนี้ “ต้องเด่น-ดัง” “ปูมหลัง” ที่มี “ตำนิ” ถือเป็น “จุดบอด” ที่ทำให้นักลงทุน “แคลงใจ” จนไม่กล้าควักเงินลงทุน แม้หุ้นตัวนั้นจะมีอนาคต “สวยหรู” ก็ตาม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) หุ้นไอพีโอน้องใหม่ของ “สมโภชน์ อาหุนัย” ที่ “กดบัตรคิว” ขอเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตัวแรกของปีมะเส็ง (2556) ในวันที่ 23 ม.ค.2556 หลังประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก 560 ล้านหุ้น ราคา 5.50 บาท กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นได้จากการพร้อมใจ “ขุดประวัติ” ของ “สมโภชน์” มาโพสต์ตามกระทู้ต่างๆ ครั้งหนึ่ง “สมโภชน์ อาหุนัย” อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ธุรกิจโบรกเกอร์สัญชาติไต้หวัน อดีต “ลูกน้องสุดเลิฟ” ของ “ศิริธัช โรจนพฤกษ์” เจ้าของ “คอม-ลิงค์” ผู้ถือหุ้น 22.88% “อีเทอเนิล เอนเนอยี” หรือ EE (ตัวเลข ณ วันที่ 2 มี.ค.2555) เคยประสานมือกับเจ้าพ่อคอม-ลิงค์ และ "วรเจตน์ อินทามระ" เพื่อร่วมกัน “เนรมิต” “อีเทอเนิล เอนเนอยี” ให้กลายเป็นธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ จากบริษัทผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่ ภายใต้ชื่อ "ซีฮอร์ส" (SH) ด้วยการเข้าซื้อ “บุญเอนก” บริษัทคนสนิทของ “ศิริธัช โรจนพฤกษ์” เพื่อนำที่ดินของ “บุญเอนก” มาสร้างเป็นโรงผลิตเอทานอล ขนาดกำลังการผลิต 1.5 ล้านลิตรต่อวัน โดยการขายหุ้นเพิ่มทุนให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง 370 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ราคาหุ้นละ 3.40 บาท การประกาศขายหุ้นเพิ่มทุนล็อตนี้ ห่างจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ “วรเจตน์ อินทามระ” จำนวน 2,179 ล้านหุ้น และ “สมโภชน์ อาหุนัย” จำนวน 421 ล้านหุ้นหุ้น ราคา 0.63 บาท ไม่นาน จากนั้น ก็มี “ข่าวลือสะพัด” ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “สมโภชน์” กับ“เสี่ยศิริรัช” เดินมาถึง “ทางตัน” จำต้องสวมคอนเวิร์ส “ทางใครทางมัน” แต่ “สมโภชน์” ยังคงถือหุ้น EE อันดับ 8 จำนวน 66.88 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.41% (ณ วันที่ 2 มี.ค.2555) ด้วยความมุ่งมั่นอยากทำธุรกิจพลังงานทดแทน เพราะเห็นแวว “รุ่งเรือง” ทำให้ “สมโภชน์” โทรไปชวนเพื่อนสนิท 3-4 คน ให้มาร่วมลงขันเฉลี่ยคนละ 10-20 ล้านบาท เพื่อไปซื้อโรงงานผลิตไบโอดีเซล 1 แห่ง พร้อมก่อตั้งบริษัทภายใต้ชื่อ “ซันเทคปาล์มออยล์” ในปี 2549 ถัดมา 2 ปี เปลี่ยนชื่อเป็น “พลังงานบริสุทธ์” และดึง “ปลัดแป๋ง” สมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง มานั่งเป็นประธานกรรมการ ก่อน “สมโภชน์” แอนด์เดอะแกงค์ จะลงมือแต่งตัวสวยๆดันบริษัทเข้าเป็นสมาชิกตลาดหุ้น “สมโภชน์” ยกหูโทรไปเชิญชวน เจ้าของฉายา “นาย ช.หนวดงาม” ชำนิ จันทร์ฉาย ประธานกรรมการ บจก.ซี.เจ.มอร์แกน บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินปรับโครงสร้างหนี้ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและกรรมการบริหาร สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ให้มาร่วมลงทุน แต่ “พ่อมดวงการปรับโครงสร้างหนี้” กับตอบ “ปฏิเสธ” โดยให้เหตุผลกับคนรอบข้างว่า “ไม่ใช่กลัวธุรกิจไม่ดี แต่กลัวใจเจ้าของ” แม้ “นาย ช. หนวดงาม” จะเมินหน้าหนี แต่ “มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย กลับเดินปรี่เข้ามาสะกิด “สมโภชน์” กลางงานแถลงข่าวเคาะราคาไอพีโอ “มีหุ้นอีกมั้ย นักลงทุนอยากได้หุ้นคุณเยอะมาก !!!” (ลากเสียง) “ผมอยากมีกิจการของตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ลูกคนจีนโดนปลูกฝังมาแบบนี้ มันฝังอยู่ใน “สายเลือด” เมื่อโตขึ้นมามีโอกาสต้องรีบคว้า “สมโภชน์ อาหุนัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “พลังงานบริสุทธิ์” เล่าความคิดวัยเยาว์ให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง ก่อนจะพูดถึงสิ่งที่ต้องการจะทำ หลังนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นสำเร็จ “สมโภชน์” เล่าว่า ผมมีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนกลาง คนโตอายุห่างจากผม 1 รอบ (ตกใจละสิ) ส่วนน้องสาวคนสุดท้องห่างกัน 9 ปี เหมือนพี่ชายคนโตเป็นพ่อน้องสาว (หัวเราะ) พี่น้องมีชื่อเล่นกันหมดเลย เว้นแต่ผมคนเดียว “งง” เหมือนกัน หรือนี่จะ “จุดกำเนิด” อะไรบางอย่าง ? ผมใช้ชีวิตวัยเด็กอยู่ในตึกแถวร้านทำผม ใจกลางถนนราชดำเนินที่มีคุณแม่เป็นเจ้าของ ร้านอยู่ติดถนนทุกครั้งที่เขาเดินขบวนประท้วง ทหารปฏิวัติ ผมเห็นจนกลายเป็นเรื่อง “ชินตา” ส่วนคุณพ่อท่านทำงานบริษัททั่วไป ที่ผ่านมาท่าน 2 คน ไม่เคยบังคับผมว่าโตขึ้นมาต้องทำอะไร แต่จะปลูกฝังตลอดว่า “สมบัติที่พ่อแม่มีให้มีเพียงความรู้” ท่านจะสนับสนุนให้พวกเราเรียนให้สูงที่สุด หลังจากเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (วศ.69) ผมก็ออกไปหาประสบการณ์ด้านการทำงานชนิด “ไม่เกี่ยง” เรื่องเงินเดือน ด้วยการเข้าไปทำตำแหน่งเซลล์ในบมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) ทำไปสักพักเริ่มเห็นเพื่อนๆที่พ่อแม่เขามีสตางค์ ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ทำให้เกิด “ความอยาก” อย่างน้อยการเรียนต่อเมืองนอก ก็เป็นเครื่องมือเบิกทางที่ดีในชีวิต ผมตัดสินใจไปเรียนปริญญาโท MBA University of Pittsburgh ,USA ใช้เวลาเพียง 11 เดือน ก็จบการศึกษา ที่นี่สอนให้วิเคราะห์ ทำแบบฝึกหัด แตกต่างจากการเรียนในเมืองไทย เมื่อเรียนจบผมดันไปเข้าตา “ซิตี้แบงก์ นิวยอร์ก” เขารับให้มาทำงานใน “ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย” แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ (หัวเราะ) เพราะขั้นตอนการทำงานที่ทาง “ซิตี้แบงก์ นิวยอร์ก” บอกเรามันไม่เหมือนที่ “ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย” อธิบาย ฉะนั้นถ้าฝืนทำต่อก็ “เสียดายเวลาชีวิต” สุดท้ายไปได้งานใน “ดับบลิว.ไอ.คาร์” โบรกเกอร์อันดับ 1 ของต่างชาติ เป็น “นักวิเคราะห์หลักทรัพย์” อยู่ได้ 1 ปี ก็มี “ยูบีเอส” แบงก์ต่างชาติมาซื้อตัว เพราะเขาจะมาทำบทรีเสิร์ชในเมืองไทย ทำได้ 3 ปี ก็ลาออกมาทำตำแหน่งผู้อำนวยการผ่ายวิจัยใน “บงล.บุคคลัภย์” เชื่อหรือไม่ ผมมาอยู่ที่นี่เงินเดือนลดลงเยอะมาก (ลากเสียงยาว) “หลักแสนบาท” (หัวเราะ) ถามว่า ทำไมถึงยอม!!! ช่วงนั้นเพิ่งแต่งงานด้วย ผมทำงานแบงก์มานานเห็นวัฎจักรขึ้นลงตลอด ช่วงไหนบทรีเสิร์ชที่เรารับผิดชอบมันไม่บูม ผู้บริหารจะเดินถือซองขาวมาที่โต๊ะตอนเช้าแล้ว “เชิญออก” หน้าตาเฉย พนักงานนั่ง “งง” กันเป็นแถว ไล่ออกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว (โหดร้ายมาก) ผมกลับมานั่งคิดความมั่นคงทางอาชีพอยู่ตรงไหน !!! ทำงานใน “บงล.บุคคลัภย์” ได้ 1 ปี รู้สึกไม่ชอบเรื่องระบบ ระเบียบ ในการทำงาน ทุกอย่างมันดูช้า กว่าจะอนุมัติแต่ละงาน ไม่ทันใจ ไม่เหมือนอยู่บริษัทต่างชาติ เมื่อรู้สึกเริ่มลำบาก ผมตัดสินใจลาออกไปทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสถาบันต่างประเทศ ในบริษัทหลักทรัพย์ นวธนกิจ จำกัด เข้าไปทำงานแรกๆไม่รู้เรื่องเลย ถึงขนาดลูกน้องเอ่ยปาก “พี่นั่งเฉยๆเถอะ” ผมหันไปบอก “สอนงานพี่หน่อย” ผมขอผู้บริหารระดับสูงเวียนฝึกงานตามแผนกต่างๆ 1-2 สัปดาห์ต่อแผนก กว่าคนเก่าๆจะยอมรับก็ใช้เวลานาน 2-3 เดือน เมื่อมีความรู้ ผมก็ขอผู้บริหารไปหาลูกค้าที่ฮ่องกง เขาถามว่า “รู้จักลูกค้าหรอ” ผม “ส่ายหัว” แล้วตอบไปว่า “ไปหาเอาดาบหน้า มีที่อยู่ในมือแล้วจะกลัวอะไร" แต่สุดท้าย “บงล.บุคคลัภย์” ก็โดนเทคโอเวอร์ เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ผู้บริหารเขาจะให้ผมลดพนักงาน ตอนนั้นเครียดมาก คิดในใจ คนเหล่านี้ผิดอะไร บางคนมีลูกมีเมียต้องดูแล ผมก็ไปบ่นกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาสวนกลับมาว่า.. “เดี๋ยวเขาก็ต้องเอาโบรกเกอร์มาขายถูกๆ ต่างชาติก็ต้องอยากได้ คุณรู้จัก ผู้บริหารต่างชาติเยอะแยะ ไปชวนเขามาลงทุนสิ” สุดสิ้นคำแนะนำ ผมคิดในใจ “จะบ้าหรอ” แต่เมื่อคิดไปคิดมา “ลองดูสักตั้งก็ได้ว่ะ” ทันทีที่ทำแผนธุรกิจเสร็จ ก็บินไปนำเสนอกับบล.หยวนต้า (ไต้หวัน) เขาให้เงินผมมา 500 ล้านบาท แต่ผมใช้ซื้อบล.คาเธ่ย์ แคปปิตอล แค่ 250 ล้านบาทเท่านั้น !!! ทำได้ 3 ปี จำต้อง “อัปเปหิ” ตัวเองออกมา รู้สึก “เฮิร์ท” เหมือนคนอกหัก โดน ก.ล.ต.กล่าวหาว่า บล.หยวนต้า สาขาหาดใหญ่ ปั่นหุ้น ไทยธนาคาร (BT) “เราไม่ได้ทำรู้อยู่แก่ใจ” ผมทำงานตั้งแต่เช้าตรู่กลับบ้านเที่ยงคืนทุกวันนี้ แต่ได้ผลลัพธ์แบบนี้มันไม่แฟร์!!! ในใจมีแต่คำว่า “กูผิดอะไรว่ะ” วนเวียนอยู่ในหัวตลอด ที่ผ่านมาไม่เคยได้อธิบายให้สังคมรับรู้ รุ่งเช้าผมเดินไปขอลาออกเลย “ออกไปเป็นนักลงทุนถือหุ้นบริษัทโน่นนี่ ได้ผลตอบแทนดีกว่าเยอะ” ถามว่าเดินทางมาถึง “จุดกำเนิด” ของ “พลังงานบริสุทธิ์” แล้วใช่มั้ย เขาหัวเราะ ทันทีที่ได้ยินคำถาม เมื่อก่อนไม่มีประสบการณ์เรื่องพลังงานทดแทน แต่เห็นอนาคตท่าจะดี ผมเป็นพวกชอบคิดใหม่ ทำใหม่ วิเคราะห์ใหม่ “สนุกดี” ผมตัดสินใจยกหูโทรหาเพื่อน 3-4 คน ชวนมาลงขันทำบริษัทด้วยกัน ตอนนั้นโชว์วิสัยทัศน์กับเพื่อนว่า “กำไรขั้นต้น10% สุดยอดมากสำหรับธุรกิจนี้ โอกาสมากกว่านี้มีแน่ เพราะรัฐบาลตอนโน่น (ปี 2550) เขาส่งเสริมกัน “สุดฤทธิ์” วันนี้ผมโชว์ “จุดเด่น” ได้เพียงว่า ภายในปี 2558 เราจะมีกำไรสุทธิ 3,000 ล้านบาท “เฮ้ย!!” เอ็งจะเอาอะไรมากำไร หลายคนคงคิดแบบนั้นใช่มั้ย ผมจะแจกแจงให้ฟัง ช่วงเดือนต.ค.2555 เราจะผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ จังหวัดลพบุรี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เขาให้ค่าไฟพิเศษ (ADDER) 10 ปีแรก จากอายุสัมปาน 25 ปี จำนวน 8 บาทต่อหน่วยกับเรา ฉะนั้นเราก็จะรับรู้กำไรจากโครงการนี้ในปี 2556 เต็มปีประมาณ 64 ล้านบาท ถัดมาช่วงเดือนธ.ค.2556 เราจะเดินเครื่องในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งบริษัทจะรับกำไรเต็มปีในปี 2557 จำนวน 915 ล้านบาท จากนั้นสิ้นปี 2557 จะผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 90 เมกะวัตต์ จังหวัดลำปาง โดยจะบุ๊คกำไร 915 ล้านบาท ในปี 2558 สุดท้าย คือ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 90 เมกะวัตต์ จังหวัดพิษณุโลก ตอนนี้กำลังหาที่ดินอยู่ แต่เราเชื่อว่าสิ้นปี 2558 จะเดินเครื่องผลิตได้ และจะรับรู้กำไร 915 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งทั้ง 3 โครงการ กฟผ.เขาให้ค่าไฟฟ้าพิเศษกับเรา 10 ปีแรก จำนวน 6.50 บาทต่อหน่วย เขา เล่าต่อว่า แผนงานในอนาคตยังไม่จบแค่นี้นะ ผมเพิ่งได้รับการตอบรับจาก กฟผ.ให้ดำเนินการโครงการพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลม 126 เมกะวัตต์ แต่เราขอไป 761 เมกะวัตต์ คิดเป็น 16 โครงการ เชื่อว่าที่เหลือจะได้รับการตอบรับเช่นกัน คุณลองคิดดูสิ หากเราได้โครงการพลังงานลมสมดั่งใจ ผลประกอบการหลังปี 2558 ของเราจะ “ดีมาก” ขนาดไหน อย่าให้พูดเลย (หัวเราะ) บอกได้เพียงว่าอนาคตสัดส่วนรายได้จะมาจากสายไบโอดีเซล 50% พลังงานทดแทน 50% “สมโภชน์” ทิ้งท้ายว่า ธุรกิจเราคงไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ มันต้องมี “ไดนามิค” ผมจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เราไม่ได้เป็นเพียงบริษัทขายไฟฟ้าธรรมดา แต่เป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถพัฒนาให้ธุรกิจมีความโดดเด่น เราจะพยายามผลักดัน “ตัวเลขการเงิน” ทุกตัวให้เติบโตอย่างยั่งยืน ณ 9 เดือนแรก เรามี “กำไรสุทธิ” 69.61 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 5.50% อัตรากำไรสุทธิ 1.91% และรายได้ 3,653 ล้านบาท
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 22, 2013 11:59 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
ปตท.สผ.ทุ่มลงทุน5ปี7แสนล.ยอดขายปี57พุ่ง3.4แสนบาร์เรล Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Tuesday, January 22, 2013 ปตท.สผ.เปิดแผนลงทุน 5 ปี ทุ่มงบกว่า 7.4 แสนล้านบาท ลุย 44 โครงการ ยังไม่รวมเงินลงทุนสำหรับการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ พร้อมคาดการณ์ตัวเลขยอดขายปิโตรเลียม 5 ปีข้างหน้า เผยปี 2557 ยอดขายเติบโตมากที่สุด ทะลุ 3.4 แสนบาร์เรลต่อวัน นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือปตท.สผ. (PTTEP) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) บริษัทและบริษัทย่อย มีแผนใช้งบในการลงทุน และงบการดำเนินงานรวม 2.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.4 แสนล้านบาท ยังไม่รวมประมาณการเงินลงทุนที่ปตท.สผ.อาจต้องใช้เพิ่มสำหรับโอกาสทางธุรกิจ โดยการลงทุนส่วนใหญ่ปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ และแผนงานล่าสุด โดยปัจจุบันปตท.สผ.มีโครงการทั้งหมด44โครงการ ประกอบด้วยโครงการที่อยู่ในระหว่างการผลิต 19 โครงการ ระยะพัฒนา 3 โครงการ และระยะสำรวจ 22 โครงการ งบสำหรับแผนงานใน 5 ปีแยกเป็น งบสำหรับลงทุน 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ หรือ 4.42 แสนล้านบาท งบดำเนินงาน 2.97 แสนล้านบาท โดยใช้ในปี 2556 รวม 5.08 พันล้านดอลลาร์ ปี 2557 รวม 4.98 พันล้านดอลลาร์ ปี 2558 รวม 4.7 พันล้านดอลลาร์ ปี 2559 รวม 4.2 พันล้านดอลลาร์ และปี 2560 รวม 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประมาณการรายจ่ายของ ปตท.สผ. ในปี 2556 เป็นจำนวน 5.08 พันล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายสำหรับ กิจกรรมการผลิต เพื่อรักษาระดับการผลิต โดยมีโครงการหลักที่สำคัญได้แก่โครงการอาทิตย์ ,โครงการบงกช, โครงการเอส 1, โครงการคอนแทร็ค 4 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียบี17 นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพัฒนา เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตจากแหล่งปิโตรเลียมใหม่ โดยมีโครงการหลักที่สำคัญได้แก่ โครงการพีทีทีอีพี ออสตราเลเชีย (แหล่งมอนทารา) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2556, โครงการพม่าซอติก้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2557 ,โครงการแอลจีเรีย คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในปี 2557 , โครงการ แคนาดา ออยล์ แซนด์ เคเคดี (แหล่งส่วนขยาย LEISMER และ CORNER) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2559 ,และโครงการโมซัมบิก โรวูม่า ออฟชอร์ แอเรีย วัน รวมถึงกิจกรรมสำรวจ เพื่อค้นหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ที่มีศักยภาพที่จะนำมาพัฒนาใน เชิงพาณิชย์ โดยมีโครงการหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการพม่าเอ็ม 3 และ เอ็ม 11 โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ , และโครงการสำรวจในประเทศ ออสเตรเลีย โมซัมบิก และเคนย่า ทั้งนี้ ปตท.สผ. คาดการณ์ตัวเลขประมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยต่อวัน (จากโครงการปัจจุบัน) ระหว่างปี 2556 -2560 ว่า ในปี 2556 จะมียอดขาย 3.1 แสนบาร์เรลต่อวัน ปี 2557 มียอดขาย 3.4 แสนบาร์เรลต่อวัน ปี 2558 มียอดขาย 3.35 แสนบาร์เรลต่อวัน ปี 2559 มียอดขาย 3.25 แสนบาร์เรลต่อวัน และปี 2560 มียอดขาย 3.39 แสนบาร์เรลต่อวัน
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 22, 2013 9:35 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
PTT presents long-term goals to House Source - The Nation (Eng), Tuesday, January 22, 2013 Panel informed coal, power targets as giant stresses overseas investment PTT has set a target of annual production of 70 million tonnes of coal by 2020, while owning power plants with combined capacity of 2,000 megawatts according to its shareholding in the plants, and producing 4 million tonnes of liquefied natural gas per year. Chodechai Suwanaporn, PTT’s executive vice president for energy economics and policy, presented these targets to the House of Representatives energy committee recently, saying it was a must for the giant oil company to invest overseas to ensure national energy security and bring revenue back home. The company has invested in a coal mine in Indonesia and conducted feasibility studies on coal-mining investments in Mozambique, Madagascar and Brunei. PTT owns a 25-per-cent stake in Laos’ Xaiyaburi hydropower project and has conducted a feasibility study on investing in a hydropower and a natural-gas-fuelled power plant in Myanmar. PTT Exploration and Production and PTT International have invested in petroleum fields in Mozambique, Kenya and Australia. The company has also studied investing in the petrochemical and refinery business in Malaysia, Indonesia and Vietnam. Chodechai said PTT had adjusted its operating strategy to fit with its overseas business expansion. It also set up a team to manage the risk from raw-material costs and seek ways to boost product prices. Another special team analyses legal and investment-support policies and taxation measures related to all the company’s investment projects. He said the government should exert a greater role in encouraging Thai firms to go overseas and help them deal with the obstacles they face. Chodechai said the tax rate Thailand charges local companies on their foreign incomes was still high at 23 per cent, compared with 17 per cent in Taiwan and 10-22 per cent in South Korea. Some Asean countries even waive the tax on foreign income. Thailand’s tax-refund process is also complicated. Therefore the government should reduce or waive tax on income gained from overseas investment, he said. He also urged local companies to take advantage of the baht’s current strength to invest or expand overseas.
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 22, 2013 9:33 am
0
0
Re: "รอ..."
My new avatar ^ ^
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 5:45 pm
0
0
Re: กิจการไทยทำ M&A น้อยไปหรือเปล่า
'เจริญ'กว้านซื้อเอฟแอนด์เอ็นรวม40.45% โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, วันที่ 20 มกราคม 2556 09:12 กลุ่ม"เจริญ"เพิ่มเสนอซื้อ"เอฟแอนด์เอ็น"เป็นหุ้นละ 9.55ดอลลาร์สิงคโปร์ หลังกว้านซื้อเพิ่มมาได้อีก90.8 ล้านหุ้นเมื่อ18.ค. ทำให้หุ้นเพิ่ม40.45 ศึกชิงเอฟแอนด์เอ็นดุเดือดขึ้นอีกครั้งเมื่อกลุ่มของ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้เพิ่มข้อเสนอซื้อบริษัทเฟรเซอร์แอนด์นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) ซึ่งเป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์และเครื่องดื่มของสิงคโปร์ ขึ้นเป็นจำนวนเกือบ 11,300 ล้านดอลลาร์ เพื่อต่อกรกับข้อเสนอซื้อจากบริษัทโอเวอร์ซียูเนียนเอนเตอร์ไพรส์ (โอยูอี) ของนายสตีเฟน ไรอาดี มหาเศรษฐีอินโดนีเซีย บริษัททีซีซีแอสเซตต์ของนายเจริญ เพิ่มข้อเสนอซื้อเอฟแอนด์เอ็นจาก 8.88 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น เป็นหุ้นละ 9.55 ดอลลาร์สิงคโปร์ สูงกว่าข้อเสนอซื้อของโอยูอีที่ราคาหุ้นละ 9.08 ดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนราคาเสนอซื้อรวมนั้นอยู่ที่ 13,750 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (330,000 ล้านบาท) สูงกว่าข้อเสนอของกลุ่มบริษัทโอยูอีที่ยื่นเสนอซื้อแข่งเมื่อกลางเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาในราคา 13,100 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (314,400 ล้านบาท) การเพิ่มข้อเสนอซื้อของนายเจริญมีขึ้นหลังจากสภาอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลกฎระเบียบของสิงคโปร์ระบุว่า หากผู้เสนอซื้อทั้งสองรายไม่ยื่นข้อเสนอสุดท้ายภายในวันอาทิตย์ (20 ม.ค.) จะเปิดให้มีการประมูลอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ม.ค.นี้ นายเดวิด สมิธ หัวหน้าฝ่ายบรรษัทภิบาลแห่งบริษัทอาเบอร์ดีนแอสเซตต์แมเนจเมนต์เอเชีย กล่าวว่า ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ต้องจัดให้มีการประมูลในสิงคโปร์มาก่อนเลย การออกกฎของสภาอุตสาหกรรมหลักทรัพย์มีขึ้นหลังจากศึกเสนอซื้อเอฟแอนด์เอ็นยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือน ก.ค.ปีที่แล้ว เมื่อกลุ่มของนายเจริญซื้อหุ้น 22% ของเอฟแอนด์เอ็นจากกลุ่มโอซีบีซีของสิงคโปร์ กลุ่มเจริญซื้อหุ้นเพิ่มได้อีก 6.3% ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ (18 ม.ค.) กลุ่มของนายเจริญได้หุ้นเอฟแอนด์เอ็นเพิ่มได้อีก 90.8 ล้านหุ้น หรือ 6.3% ในราคาหุ้นละ 9.55 ดอลลาร์สิงคโปร์ ทำให้กลุ่มของนายเจริญมีหุ้นในเอฟแอนด์เอ็นเพิ่มเป็น 40.45% ทั้งนี้รวมการยอมรับของผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งที่ขายหุ้นให้ก่อนหน้านี้ในราคาหุ้นละ 8.88 ดอลลาร์สิงคโปร์ อันเป็นราคาเสนอซื้อเดิม การเดินเกมของกลุ่มนายเจริญก่อให้เกิดแรงกดดันแก่กลุ่มบริษัทภายใต้การนำของโอยูอีที่จะต้องเคลื่อนไหวรับมือ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของการยื่นข้อเสนอสุดท้าย หรือถอนตัวออกจากการเสนอซื้อนี้ไป การเพิ่มข้อเสนอซื้อของกลุ่มนายเจริญไม่มีแนวโน้มจะทำให้การประมูลต้องเลื่อนออกไป เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอถอนตัว แต่ในกรณีที่สองฝ่ายยังเสนอซื้อแข่งกันอยู่ ก็จะนำไปสู่การประมูล ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องปรับข้อเสนอใหม่เป็นเงินสด และต้องไม่มีการกำหนดเงื่อนไขพ่วงท้ายไปด้วย จนกว่าข้อเสนอประมูลจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นที่ยอมรับ หรือจนกว่าคณะกรรมการดูแลตลาดหลักทรัพย์จะยื่นมือเข้ามาอีก จับตามาตรการรับมือโอยูอี เอฟแอนด์เอ็นซึ่งกลุ่มของนายเจริญและโอยูอีกำลังแย่งกันเข้าถือครองอยู่นี้ เป็นบริษัทที่มีอายุเก่าแก่ถึง 130 ปี และมีสินทรัพย์ด้านอสังหาริมทรัพย์มูลค่ากว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงธุรกิจเครื่องดื่ม นมเนย และสิ่งพิมพ์ บริษัทภายใต้การนำของโอยูอีที่ร่วมเสนอซื้อแข่งกับนายเจริญนั้น รวมถึงกองทุนบริหารความเสี่ยงฟารัลลอนแคปิตอลแมเนจเมนต์ของสหรัฐ และบริษัทนูนเดย์โกลบอลแมเนจเมนต์ ซึ่งแหล่งข่าวเผยว่ากลุ่มบริษัทดังกล่าวได้ใช้เวลาเมื่อคืนวันศุกร์ (18 ม.ค.) หารือท่าทีต่อไปว่าควรดำเนินการอย่างไร เพราะขณะนี้แรงกดดันตกอยู่กับบริษัทโอยูอีที่จะต้องยื่นข้อเสนอซื้อในระดับราคาที่สูงกว่ากลุ่มของนายเจริญ ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวเผยว่ากลุ่มโอยูอีพร้อมจะสู้ในระยะยาว จนกว่าฝ่ายไทยจะเพิ่มข้อเสนอซื้อขึ้นสูงจนสู้ไม่ไหว ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมหลักทรัพย์สิงคโปร์ซึ่งดูแลด้านการเข้าถือครองกิจการ มีสมาชิก 16 คน ส่วนใหญ่มาจากภาคเอกชน รวมถึงผู้แทนภาคอุตสาหกรรม ผู้เชี่ยวชาญภาคการเงิน และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การต่อสู้ไปจนถึงขั้นของการประมูลนั้น คล้ายคลึงกับการหาทางออกในกรณีของบริษัทรอยัลดัชท์เชลล์ กับ ปตท.สผ.ของไทย ที่เสนอซื้อบริษัทโคฟเอนเนอร์จี และ ปตท.สผ.ชนะไปในที่สุด ส่วนในกรณีนี้เป็นการต่อสู้กันระหว่างนายเจริญ ซึ่งนิตยสารฟอร์บส์ของสหรัฐระบุว่ามีทรัพย์สิน 6,200 ล้านดอลลาร์ กับ นายไรอาดี ประธานบริษัทโอยูอีและประธานกลุ่มบริษัทลิปโปของอินโดนีเซีย หุ้นเอฟแอนด์เอ็นพุ่งแตะ9.58ดอลล์ ศึกเสนอซื้อเอฟแอนด์เอ็นถือเป็นมหากาพย์ที่ยืดเยื้อ โดยกลุ่มของนายเจริญได้เลื่อนเส้นตายมาแล้ว 7 ครั้ง ส่วนบริษัทโอยูอีเลื่อนเส้นตายมา 2 ครั้ง ซึ่งการเลื่อนเส้นตายหลายต่อหลายครั้งนี้ถือเป็นการทดสอบความอดทนของผู้ถือหุ้นเอฟแอนด์เอ็น ก่อนหน้านี้ เจพีมอร์แกน ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระของเอฟแอนด์เอ็น กล่าวว่าจากการประเมินมูลค่าของเอฟแอนด์เอ็น ราคาน่าจะอยู่ที่หุ้นละ 8.58-11.56 ดอลลาร์สิงคโปร์ ขณะที่ล่าสุดราคาหุ้นเอฟแอนด์เอ็นในตลาดหุ้นสิงคโปร์ซื้อขายที่หุ้นละ 9.58 ดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งหมายความว่าข้อเสนอซื้อล่าสุดจากกลุ่มของนายเจริญนั้น ยังต่ำกว่าราคาปิดตลาดของหุ้นเอฟแอนด์เอ็นเมื่อวันศุกร์ (18 ม.ค.) ที่ระดับ 9.58 ดอลลาร์สิงคโปร์ กองทุนบริหารความเสี่ยงได้พากันเข้าซื้อหุ้นของเอฟแอนด์เอ็น หลังจากราคาหุ้นไต่ระดับสูงกว่าข้อเสนอที่นายเจริญไปยื่นไปในตอนแรก เพราะคาดหมายว่าจะเกิดสงครามเสนอซื้อที่ยืดเยื้อ คิรินโฮลดิงส์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 2 ของเอฟแอนด์เอ็นด้วยจำนวนหุ้น 14.8% ได้สนับสนุนข้อเสนอซื้อของโอยูอีอย่างมีเงื่อนไข โดย คิรินโฮลดิงส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเบียร์ของญี่ปุน จะเสนอซื้อธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเอฟแอนด์เอ็นเป็นเงิน 2,700 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หากกลุ่มโอยูอีประสบความสำเร็จในการเสนอซื้อเอฟแอนด์เอ็น เจพีมอร์แกนประเมินว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเอฟแอนด์เอ็นมีมูลค่าประมาณ 1,880-3,820 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ "เจริญ"หวังใช้เอฟแอนด์เอ็นขยายธุรกิจ นักวิเคราะห์มองว่าหากนายเจริญสามารถเสนอซื้อเอฟแอนด์เอ็นเป็นผลสำเร็จ เขาน่าจะใช้เครือข่ายจัดจำหน่ายของเอฟแอนด์เอ็นในสิงคโปร์และมาเลเซียเป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าต่างๆ ของเขา รวมถึงนำสินค้ายี่ห้อต่างๆ ของเอฟแอนด์เอ็นเข้าไปจำหน่ายในไทย ซึ่งกลุ่มบริษัทของนายเจริญเป็นผู้นำในหลายด้านอยู่แล้ว บริษัทไทยเบเวอเรฟของนายเจริญเป็นผู้ผลิตเบียร์ช้าง ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดในแง่ยอดขายเป็นอันดับ 2 ในไทย นอกจากนั้นเขายังมีธุรกิจผลิตสุรา เครื่องดื่มบำรุงกำลัง และกาแฟสำเร็จรูป อีกทั้งนายเจริญยังมีอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ในชื่อบริษัททีซีซีแลนด์ ทั้งนี้ เอฟแอนด์เอ็นเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในมาเลเซียและสิงคโปร์ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 31.3% ในมาเลเซีย และ 21.4% ในสิงคโปร์ เอฟแอนด์เอ็นตกเป็นเป้าหมายของการเข้าถือครองกิจการเมื่อเดือน ก.ย.2555 หลังจากขายบริษัทเอเชียแปซิฟิกบริวเวอรีส์ ผู้ผลิตเบียร์ไทเกอร์ ให้แก่ไฮเนเก้น แต่การเสนอซื้อเอฟแอนด์เอ็นก็ยืดเยื้อมาหลายเดือน เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเลื่อนเส้นตายในการยื่นข้อเสนอสุดท้าย จนในที่สุดสภาอุตสาหกรรมหลักทรัพย์สิงคโปร์ต้องกำหนดวันประมูล ด้วยเหตุผลว่านักลงทุนต้องการความแน่นอนเกี่ยวกับข้อเสนอซื้อ โดยที่ผ่านมาผู้ถือหุ้นของเอฟแอนด์เอ็นมีท่าทีไม่กระตือรือร้นต่อข้อเสนอซื้อทั้งจากกลุ่มนายเจริญและบริษัทโอยูอี เพราะหวังว่าจะมีการเพิ่มข้อเสนอซื้อในที่สุด โอยูอีเล็งขึ้นบ.อสังหาฯเบอร์1สิงคโปร์ ในส่วนของโอยูอีซึ่งมีธุรกิจในสิงคโปร์นั้น หากประสบความสำเร็จในการเสนอซื้อเอฟแอนด์เอ็น ก็อาจแปลงโฉมบริษัทให้กลายเป็นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยอันดับ 1 ของสิงคโปร์ นอกจากนั้น ยังสามารถขยายอาณาจักรไปต่างประเทศ เพราะเอฟแอนด์เอ็นบริหารอพาร์ตเมนต์เพื่ออยู่อาศัยหลายพันแห่งในเมืองใหญ่อย่างลอนดอน ปารีส ดูไบ อีกทั้งพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ของเอฟแอนด์เอ็น ยังรวมถึงห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคในสิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นายไรอาดี เคยกล่าวว่า สินทรัพย์ทั้งหลายของเอฟแอนด์เอ็นล้วนเป็นสินทรัพย์ดี และสอดรับอย่างมากกับสินทรัพย์ของโอยูอี แหล่งข่าวเผยว่า เครดิตสวิสและแบงก์ออฟอเมริกาเมอร์ริลลินช์ทำหน้าที่รับประกันเงินกู้ระยะสั้นสำหรับข้อเสนอซื้อของโอยูอี นอกจากนั้น ซีไอเอ็มบีก็ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โอยูอีด้วย สถาบันวิจัยเรลิแกร์ระบุว่าหากโอยูอีเสนอซื้อสำเร็จ บัญชีของบริษัทจะดีขึ้นมาก และมูลค่าสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น 22% แต่ข้อเสนอของโอยูอีต่ำกว่ามูลค่าหน้าตั๋ว 30% และโอยูอีอาจเพิ่มข้อเสนอซื้อเป็นหุ้นละ 10.30 ดอลลาร์สิงคโปร์
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 4:03 pm
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
'ESSO' เปิดแผนรุกขยายสถานีน้ำมันชู 'โปรตอน เทรดดิ้ง' เป็นคู่ค้าธุรกิจ 21 ม.ค. 56 นายยอดพงษ์ สุตธรรม กรรมการและผู้จัดการการตลาดขายปลีก บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เอสโซ่ได้ขยายเครือข่ายการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะเปิดสถานีให้ บริการน้ำมันอีกกว่า 100 สถานี ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้ เพื่อเป็นการรับประกันความพึงพอใจด้านความสะดวกสบายและการเข้าถึงของลูกค้าให้ได้เต็ม 100% เราได้ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ และเพิ่มความสดใหม่ให้กับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการตัดสินใจเพิ่มร้านค้าปลีกและการบริการด้านคาร์แคร์ ซึ่งรวมถึงศูนย์โมบิล 1 เซ็นเตอร์ ผ่านคู่ค้าทางธุรกิจ
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 11:56 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
TTA หวังแผนเพิ่มทุนใหม่ฉลุย-รุกประมูลโรงไฟฟ้า IPP ที่อินโดฯ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์, 17 มกราคม 2556 17:01 น. “โทรีเซนไทย” เชื่อรายได้ปีนี้เติบโตเพิ่ม 20% พลิกกลับมามีกำไรจากธุรกิจเรือขุดเจาะ ลอจิสติกส์ที่เวียดนาม และการเปิดโรงงาน จ.สมุทรสาคร ของยูนิคไมนิ่ง ส่วนธุรกิจเดินเรือภาพรวมแค่ทรงตัว ล่าสุด รุกประมูลโรงไฟฟ้า IPP ที่อินโดนีเซีย 200 เมกะวัตต์ เหตุติดพื้นที่ที่ได้รับสัมปทานถ่านหิน ด้านผู้บริหารหวังแผนเพิ่มทุนรอบนี้ฉลุย! หลังปรับใหม่ และเดินสายชี้แจงผู้ถือหุ้นที่เคยค้าน ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า ในปี 2556 บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโต 20% จากปีก่อนซึ่งมีรายได้ราว 1.6 หมื่นล้านบาท โดยในงวด 1 ปี สิ้นสุดเดือน ก.ย.2555 บริษัทขาดทุนสุทธิ 4.62 พันล้านบาท สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้ ประเมินว่า ธุรกิจเดินเรื่อสินค้ายังไม่ดีเท่าที่ควร โดยค่าระวางเรือในปี 2556 น่าจะอยู่ที่ระดับ 9-9.5 พันเหรียญสหรัฐ/วัน/ลำ ลดลงจากปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.07 หมื่นเหรียญสหรัฐ/วัน/ลำ ขณะเดียวกัน เชื่อว่า บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการวิศวกรรมโยธาใต้น้ำ จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น 100% เช่นเดียวกับธุรกิจลอจิสติกส์ และปุ๋ยในเวียดนาม (Baconco) ขณะที่ธุรกิจถ่านหินของ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส น่าจะมีข่าวดีในช่วงมีนาคม คือ สามารถเปิดใช้โรงงานใน จ.สุมทรสาคร ได้อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานประมาณ 50% ของรายได้ทั้งหมด “ค่าระวางเรือตอนนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่เราก็หวังว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณบริษัท (เม.ย.-ก.ย.2556) จุดนี้ทำให้ราคาเรือมือสองปรับตัวต่ำลง และเรามองว่านี่คือโอกาสในการเข้าซื้อเรือในราคาที่ถูก ซึ่งอาจซื้อแบบเป็นล็อต หรือทยอยซื้อ เพื่อเสริมศักยภาพกองเรือรับการฟื้นตัวของธุรกิจที่ใกล้จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เรายังไม่คิดที่จะทำธุรกิจเรือเดินทะเลเข้าจดทะเบียนในตลาดสิงคโปร์ช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะโอกาสยังไม่เหมาะ ด้านเมอร์เมดฯ ปีนี้ถือว่าจะเติบโต100% แต่เราของเราทั้ง 2 ลำเก่าแล้ว จำเป็นต้องซื้อเรือใหม่อีก 2 ลำ หามือสองไม่ได้ เพราะมีน้อย และทุกลำก็มีงาน” ม.ล.จันทรจุฑา กล่าวว่า สำหรับธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย ที่ลงทุนผ่านบริษํทลูกร่วมกับพันธมิตรอีก 3 ราย ด้วยงบลงทุน 9 ล้านเหรียญสหรัฐ (TTA ลงทุน 3ล้านเหรียญ) ขณะนี้ได้รับใบอนุญาตสัมปทานแล้ว แต่เนื่องจากการไฟฟ้าของอินโดนีเซีย กำลังจะเปิดประมูลโรงไฟฟ้า IPP ขนาด 200-300 เมกะวัตต์ ในพื้นที่ติดกับพื้นที่สัมปทานของบริษัท ทำให้ TTA มีแผนที่จะเข้าประมูลโรงไฟฟ้าดังกล่าวด้วยจุดเด่นในการขนส่งถ่านหินจากแหล่งสัมปทานได้ง่าย ซึ่งบริษัทจะส่งเอกสารร่วมประมูลในช่วงกรกฎาคม-สิงหาคมนี้ และคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนในช่วงปลายปี “เราสนใจเข้าร่วมประมูล ถ้าชนะก็จะง่ายต่อเราเพราะไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนขนส่งถ่านหินมาชายหาด แต่จะลำเลียงไปผลิตไฟฟ้าต่อเลย หรือไม่เราก็จะติดต่อผู้ชนะการประมูลการนำเสนอขายถ่ายหินเนื่องจากสะดวก และรวดเร็วกว่ารายอื่น” สำหรับการเพิ่มทุนของบริษัทนั้น ทางผู้บริหารเชื่อว่าในการประชุมผู้ถือหุ้น 30 ม.ค.นี้ ผู้ถือหุ้นจะมีมติให้บริษัทเพิ่มทุนได้ เนื่องจากมีการปรับสัดส่วนการจัดสรรหุ้นใหม่ และทำความเข้าใจกับผู้ถือหุ้นที่คัดค้านในครั้งก่อนไปได้แล้วบางส่วน ซึ่งหากสำเร็จบริษัทจะได้รับเงินจากการเพิ่มทุนประมาณ 3.9 พันล้านบาท ในช่วงวันที่ 21-28 ก.พ. และหากผู้ถือหุ้นใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ก็จะทำให้บริษัทได้รับเงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 2.4 พันล้านบาท
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 11:48 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
ยอดใช้เอทานอลพุ่งหลังปั๊มเลิกขาย'เบนซิน91'คาดปีนี้ผลิต1,000ล้านลิตร Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Monday, January 21, 2013 โพสต์ทูเดย์ -ผู้ผลิตเอทานอลชะลอส่งออก หลังยอดใช้ในประเทศพุ่ง-ราคาดี หลังเลิกขายเบนซิน 91 คาดยอดใช้พุ่ง 2 ล้านลิตรต่อวัน นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี นายกสมาคมผู้ผลิตเอทานอล เปิดเผยว่าขณะนี้ผู้ผลิตเอทานอลเริ่มชะลอการส่งออกเอทานอลไปต่างประเทศเนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ในประเทศสูงขึ้นจากเดิมวันละ 1.2-1.3 ล้านลิตร เป็นวันละ 1.6 ล้านลิตร ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการยกเลิกจำหน่ายเบนซิน 91 ทำให้รถยนต์หันมาเติมน้ำมันประเภทแก๊สโซฮอล์ ซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอลเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ราคาเอทานอลตลาดโลกอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายในประเทศ จึงไม่จูงใจให้มีการส่งออกเท่าใดนัก สภาพตลาดเอทานอลเปลี่ยนแปลงไปหลังยกเลิกการใช้เบนซิน 91 ก่อนหน้านี้เอทานอลมีกำลังการผลิตล้นตลาดจนต้องหาตลาดส่งออก เพื่อระบายสต๊อกที่มีอยู่ "ในช่วง 1-2 เดือนนี้จะติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้รถยนต์ ว่าหันมาเติมแก๊สโซฮอล์มากขึ้นแค่ไหน แต่เบื้องต้นคาดการณ์ความต้องการใช้เอทานอลจะพุ่งถึงวันละ 2 ล้านลิตร เพราะขณะนี้ผู้ใช้รถยนต์คลายความกังวลผลกระทบจากการใช้น้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของอุตสาหกรรมผลิตเอทานอลที่จะมีความต้องการในตลาดมากขึ้น" นายสิริวุทธิ์ กล่าว ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานเอทานอลอยู่ 21 แห่ง มีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่วันละ 4 ล้านลิตร โดยในปี 2555 ผลิตเอทานอลได้รวม800 ล้านลิตร แยกเป็นใช้ในประเทศ 500 ล้านลิตร และส่งออก 300 ล้านลิตร สำหรับปีนี้คาดว่าการผลิตเอทานอลสูงสุดจะอยู่ที่ 1,000 ล้านลิตร/ปี สำหรับการเตรียมพืชวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตเอทานอลรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นนั้นคาดว่าไม่น่ามีปัญหา แม้ผลผลิตอ้อยปีนี้จะต่ำกว่าปี 2555 แต่ก็ยังมีการผลิตจากมันสำปะหลังอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้มันสำปะหลังรัฐบาล มีนโยบายรับซื้อ เพื่อพยุงราคาไม่ให้ตกต่ำ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเอทานอลสูงบ้างเฉลี่ย 25-26 บาท/ลิตร เมื่อเทียบกับการผลิตเอทานอลจากโมลาสเฉลี่ยอยู่ที่ 21 บาท/ลิตร แต่ในภาพรวมราคายังดีกว่าเอทานอลในตลาดโลก นายสิริวุทธิ์ กล่าวว่าแนวโน้มธุรกิจเอทานอลในปี 2556 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีอัตราการเติบโตของยอดใช้ ซึ่งจะทำให้โรงเอทานอลที่มีใบอนุญาตแล้วเริ่มเดินหน้าเปิดโรงงานมากขึ้น โดยขณะนี้มีอีก 2-3 แห่ง ที่เตรียมรอเปิดเดินเครื่องขณะเดียวกันโรงงานเอทานอลที่เปิดกิจการอยู่แล้วก็มีโอกาสขยายในเฟส 2 ตามมาด้วย รายงานข่าวจากวงการค้าน้ำมันแจ้งว่า ปีนี้ผู้ค้าน้ำมันทั้ง ปตท.และบางจากจะมีการปรับหัวจ่ายน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันจากเบนซิน91 เป็นแก๊สโซฮอล์ อี10 และ อี20 เพิ่มมากขึ้นให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ขณะที่บริษัทน้ำมันต่างชาติทั้งเชลล์ คาลเท็กซ์ และเอสโซ่ ก็มีแผนที่จะเปิดสถานีบริการน้ำมันที่มีหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นเพราะรถยนต์รุ่นใหม่ในโครงการรถยนต์คันแรกที่จะออกสู่ตลาดมีประมาณ 1.2 ล้านคัน ซึ่งรถยนต์จำนวนนี้สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้ทั้งหมด จึงน่าจะทำให้ยอดการใช้แก๊สโซฮอล์และเอทานอลเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 11:01 am
0
0
Re: รวมข่าวท่าเรือน้ำลึกทวาย
'กนอ.'ตั้งบริษัทลูกลุยนิคมฯต่างแดน Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Monday, January 21, 2013 คาดจัดตั้งได้ก.ย.นี้ วาง"คุนหมิง-ทวาย" พื้นที่นำร่องลงทุน กนอ.เตรียมออกประกาศชวนเอกชน ลงทุนตั้งนิคมฯ เชียงของ ชงบอร์ดตั้งบริษัทลูกลุยลงทุนต่างแดน คาดตั้งได้เดือน ก.ย.นี้ วาง คุนหมิง-ทวาย พื้นที่นำร่องลงทุน "วีระพงศ์"เผยจีนสนดึงเอกชนไทยร่วมพัฒนานิคมฯ เถิงจวิ้น เตรียมสรุปข้อมูลเสนอขอสิทธิประโยชน์เพิ่ม ขณะที่โครงการฯ ทวาย กนอ.พร้อมลงทุนในนิติบุคคล ย่อย รอความชัดเจนหลังประชุมร่วมไทย- เมียนมาร์ ก.พ. นี้ นายวีระพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า เดือน มี.ค.ที่จะถึงนี้ กนอ.จะประกาศเชิญชวนภาคเอกชน เข้ามาร่วมดำเนินการลงทุนในโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมบริหารโลจิสติกส์ อ.เชียงของ จ.เชียงราย โดยเดือน ก.พ.จะนำรายละเอียดออกประกาศ และสิทธิประโยชน์ที่เอกชนจะได้รับในการลงทุนโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการบริหารการนิคม แห่งประเทศไทย หรือบอร์ดกนอ.พิจารณา เบื้องต้นคาดว่า นักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามหลักการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ลดหย่อน ค่าธรรมเนียมดำเนิน การ รวมทั้งจะได้ ประโยชน์ในการขนส่งสินค้าไปยังตอนใต้ของจีน เนื่องจากจะมีการตั้งจุดบริการเบ็ดเสร็จ หรือวัน สต็อป เซอร์วิส เพื่อลดขั้นตอนขนส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างไทยและจีนในอนาคต กนอ.อยู่ระหว่างเลือกพื้นที่ดำเนินการ "โครงการนิคมอุตสาหกรรมบริหาร โลจิสติกส์เชียงของ จะทำหน้าที่กระจายสินค้า และอำนวยความสะดวกให้สินค้าที่จะขนส่งจากไทยไปตอนใต้จีน และสินค้าจากจีนที่จะขนส่งมาไทย และลงไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ ขณะนี้ กนอ.อยู่ระหว่างเลือกพื้นที่ดำเนินการ โครงการนี้ได้รับความสนใจจากภาคเอกชน และมีผู้เสนอเป็นผู้ลงทุนแล้ว 2 ราย มีทั้งนักธุรกิจไทย และกลุ่มบริษัทที่ร่วมทุนระหว่างไทยและจีน โดยให้เอกชนเข้ามาลงทุน ทำให้โครงการนี้สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว มีเป้าหมายในการเปิดบริการใน เฟสแรกก่อนเปิดเออีซีในช่วงปลายปี 2558" นายวีระพงศ์ กล่าว นายวีระพงศ์ กล่าวด้วยว่า กนอ.ยังมีแผนจัดตั้งบริษัทลูก เข้าไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ ภายใต้ชื่อบริษัท ไออีเอที อินเตอร์เนชั่นแนล (I-EA-T International) โดยจะเสนอต่อบอร์ด กนอ.ในเดือนก.พ. ที่จะถึงนี้ และหากได้รับความเห็นชอบจากบอร์ด ก็จะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติจัดตั้งเป็นนิติบุคคลต่อไป คาดจัดตั้งได้เสร็จก.ย.56 นี้ ทั้งนี้ คาดว่า บริษัทลูกจะสามารถจัดตั้งได้แล้วเสร็จในเดือน ก.ย.2556 โดยระยะแรก กนอ.มีเป้าหมายเข้าไปร่วมลงทุน หรือร่วมดำเนินธุรกิจในนิคมอุตสาหกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น และมีความสำคัญกับ ไทย 2 แห่ง คือ 1.นิคมอุตสาหกรรมบริการโลจิสติกส์เถิงจวิ้น นครคุนหมิง มณฑล ยูนนาน ประเทศจีน และ 2.โครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ประเทศเมียนมาร์ เขา กล่าวว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ และคลังสินค้ายูนนานเถิงจวิ้นเป็นโครงการสำคัญที่รัฐบาลท้องถิ่นนครคุนหมิง รัฐบาลมณฑลยูนนาน และรัฐบาลกลางจีน ให้ความสำคัญ โดยบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติจีน ฉบับที่ 12 กำหนดให้เป็นโครงการสำคัญเปิดประตูการค้าจีน สู่ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ โดยทางการจีนยืนยันว่า โครงการนี้ จะมีสิทธิประโยชน์ให้กับนักลงทุนต่างชาติรวมทั้งนักลงทุนจากไทยตามเกณฑ์ส่งเสริม การลงทุนของจีน เช่น ลดภาษีเงินได้นิติ บุคคลจาก 25% เหลือ 15% รวมทั้งทาง การไทยสามารถจะเข้ามาตั้งหน่วยงาน ราชการที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ โลจิสติกส์ได้ อย่างไรก็ตาม กนอ.จะประสานงานกับทางการจีนเพื่อเจรจาขอสิทธิประโยชน์ทั้งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษีเพิ่มเติม โดย จะเสนอสิทธิประโยชน์เปรียบเทียบกับ นิคมฯเชียงของซึ่งจะมีการขนส่งสินค้าระหว่างนิคมอุตสาหกรรมและบริการ โลจิสติกส์ทั้งสองแห่งผ่านเส้นทางถนน สาย R3A ที่เชื่อมระหว่างประเทศไทย สปป.ลาวและจีน ซึ่งเส้นทางสายนี้จะมีบทบาทมากขึ้นหลังจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 จะเปิดให้บริการได้ภายในเดือน มิ.ย.นี้รองรับการขนส่งทั่วอาเซียน นายภวัต ตั้งตรงจิตร ผู้อำนวยการ สถาบันโลจิสติกส์นานาชาติ คณะเศรษฐ ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว ว่า โครงการนิคมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ และคลังสินค้ายูนนานเถิงจวิ้นเป็นโครงการสำคัญที่จีนกำหนดให้เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ตามยุทธศาตร์เชื่อมต่อทางบกระหว่างจีนและต่างชาติ มีพื้นที่กว่า 2.4 ล้านตารางเมตร ใช้เงินลงทุนกว่า 4.53 แสนล้านบาท เป็นโครงการรองรับการ ขนส่งหลากหลายรูปแบบในอาเซียน ภายในโครงการได้ก่อสร้าสถานี และทางรถไฟแล้วเสร็จเชื่อมต่อไปยังเส้นทาง รถไฟความเร็วสูงสายคุนหมิง-แพนเอเชีย ต่อไปยัง สปป.ลาว และเชื่อมต่อกับรถไฟ ความเร็วสูงของไทยที่จ.หนองคาย ในอนาคต หากกนอ.เข้าไปร่วมลงทุนจะมีประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยมาก โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับจีนทำได้รวดเร็วขึ้นลดความ เสียหายของสินค้า จากขั้นตอนขนส่งที่ล่าช้า โดยจะนำระบบไอทีมาช่วยวางแผน โลจิสติกส์ระหว่างนิคมฯที่ยูนนาน และนิคมฯเชียงของ ด้าน นายณรงค์ พงศ์ภัทรานนท์ ผู้จัดการส่วนการตลาดและทรัพย์สินสาธารณูปโภค บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กล่าว่า ปตท.และบริษัทในเครือสนใจศึกษาการขนส่งสินค้ามายังตอนใต้ ของจีนผ่านเส้นทาง R3A มานานพอสมควร โดยโครงการดังกล่าวทำให้การขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางนี้น่าสนใจขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้ กนอ.เร่งสรุปสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนไทยจะได้รับจากการเข้าไปลงทุนให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถคำนวณความคุ้มทุนในการขนส่งเมื่อเปรียบเทียบกับเส้นทาง อื่นๆ ได้ คุย"ซีพี"แนะความร่วมมือ รวมทั้งอยากให้กนอ.ประสานกับบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือซีพี เพื่อให้ช่วยพิจารณาถึงความน่าสนใจและความเป็นไปได้ผู้ผู้ประกอบการไทยในการลงทุนในโครงการนี้ และวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียร่วมกัน เนื่องจาก ซีพีมีประสบการณ์ในการลงทุนในจีน มายาวนาน สำหรับความคืบหน้าในการที่ กนอ.จะเข้าไปร่วมลงทุนในโครงการทวาย แหล่งข่าว จากกนอ.เปิดเผยว่า ขณะนี้กนอ.เตรียม ความพร้อมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนส่วนพัฒนานิคมฯทวาย โดยกนอ.จะเข้าไปลงทุน ส่วนของนิติบุคคลย่อยในโครงการนิคมฯทวาย แต่ต้องรอความชัดเจนรูปแบบการ ลงทุน หลังประชุมร่วมระหว่างคณะ กรรมการประสานงานไทย-พม่าเพื่อ พัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุต สาหกรรมทวายเดือนก.พ.ที่จะถึงนี้ รวมทั้งต้องดูการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างลงทุนนิติบุคคลเฉพาะกิจ หลังมีแนวโน้มชัดเจนในการเข้ามาเป็นผู้ลงทุนหลักของญี่ปุ่น ’โครงการนี้มีสิทธิประโยชน์ให้นักลงทุนต่างชาติ-ไทยตามเกณฑ์ส่งเสริมของจีน’ วีระพงศ์ ไชยเพิ่ม--จบ--
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 11:00 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
PTTEP ship sinks off Dawei coast Source - The Nation (Eng), Monday, January 21, 2013 A support vessel laying a natural gas pipeline for the offshore Zawtika field operated by PTTEP of Thailand sunk on Saturday after hitting a coral reef, Bloomberg said yesterday, quoting New Light of Myanmar. All 42 crewmembers, of nationalities not immediately known, were rescued. According to PTTEP’s public relation division, the unnamed ship belonged to a contractor of unknown nationality hired to survey pipeline paths. The accident has not hampered or delayed the progress of work under PTTEP’s responsibility. The damage caused by the vessel capsizing would be shouldered by the contractor. PTTEP did not know the details of the vessel or its nationality. According to New Light of Myanmar’s website, the ship was named Penrith Hallin. It said the Zawtika Development Project was being implemented by Myanmar’s Energy Ministry at the Mottama Offshore area. The ship hit coral reefs off Mawgyi village in Yebyu township in Dawei district at 7pm last Thursday before it sank on Saturday morning. Source: The Nation
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 10:58 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
เร่งสรุป กม.ต่อสัญญาผลิตก๊าซ Source - บ้านเมือง (Th), Monday, January 21, 2013 นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่แปลงสัมปทาน แหล่งปลาทอง ของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และแหล่งบงกช ของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ที่จะหมดอายุสัญญาสัมปทานภายในปี 2565 หลังจากขอต่ออายุสัมปทานมาครั้งหนึ่งแล้วเป็นระยะเวลา 10 ปี หากจะต่ออายุอีกครั้ง กฎหมายปิโตรเลียมระบุว่าไม่สามารถดำเนินการได้ "กรมฯ เห็นว่าภายในปี 2565 แหล่งปลาทองของเชฟรอนจะหมดอายุสัมปทานแล้ว แต่คาดว่าจะยังมีปริมาณสำรองประมาณ 4-6 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตก๊าซอยู่ที่ 1.2 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ในส่วนของแหล่งบงกชของ ปตท.สผ. ก็จะมีปริมาณสำรองก๊าซใกล้เคียงกัน แต่ยังไม่สามารถสรุปตัวเลขได้ชัดเจน ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้ ปตท.สผ.ดำเนินการขุดเจาะสำรวจเพิ่มเติมภายใน 2 ปีนี้ เพื่อให้ทราบปริมาณสำรองที่ชัดเจน" ทั้งนี้ ในแง่ของการจัดหาก๊าซจึงมีความจำเป็นที่จะนำปริมาณสำรองก๊าซที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างไร เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการขาดแคลนก๊าซในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษากฎหมายใหม่ เพื่อพิจารณาว่าผู้รับสัมปทานเดิมสามารถดำเนินการต่อได้หรือไม่ เพราะทั้ง 2 แหล่ง มีกำลังการผลิตก๊าซคิดเป็นประมาณ 50% ของปริมาณการผลิตก๊าซทั้งประเทศที่ 3.8 พันล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน อย่างไรก็ตาม การที่ต้องเร่งศึกษาข้อกฎหมายใหม่นี้ ทั้งที่อายุของสัมปทานทั้ง 2 แหล่งยังเหลืออีก 9 ปี เนื่องจากการศึกษากฎหมายใหม่ต้องใช้ระยะเวลานาน ขณะเดียวกันหากไม่เจรจากับผู้รับสัมปทานเดิมแต่เนิ่นๆ จะทำให้ผู้รับสัมปทานเดิมจะไม่ลงทุนในช่วง 5 ปีสุดท้ายของอายุสัมปทาน จะส่งผลให้ปริมาณก๊าซขาดแคลน และกระทบต่อภาคการผลิตไฟฟ้าได้ ทั้งนี้ในต่างประเทศก็มีกรณีดังกล่าวให้เห็น เมื่อเปลี่ยนผู้รับสัมปทานเป็นรายใหม่ ทำให้ก๊าซในระบบขาดแคลนได้ --จบ--
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 10:58 am
0
0
Re: AEC+โอกาส+เติบโต+บริษัทในตลาดหลักทรัพย์
คอลัมน์: รายงาน: เปิดAEC'รักษาจุดแข็งลดจุดอ่อน' Source - โลกวันนี้ (Th), Monday, January 21, 2013 อัฉรา นาคสุขสน
[email protected]
งานสัมมนา "AEC Forum 2013 : พลังเศรษฐกิจเออีซี สู่การเป็นเมืองหลวงแห่งอาเซียน" มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธาน และผู้ร่วมสัมมนาระดับ CEO จากหลากหลายธุรกิจร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะ มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ ยุทธศาสตร์ไทยใน AEC นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "ยุทธศาสตร์ไทยใน AEC" ว่ายินดีสำหรับแนวคิดนี้ ซึ่งเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา จากเกษตรกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรม มีการจ้างแรงงานที่หลากหลาย ภาคการพาณิชย์ ภาคการบริการ ธุรกิจอุตสาหกรรม ขยายเติบโตมาก การบริการนักท่องเที่ยว โดยภาครัฐทำหน้าที่ชี้แนะ มีการลงทุน มีการจ้างงาน ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในเชิงยุทธศาสตร์ในการตัดสินใจหลายด้านเพื่อเตรียมอนาคต แล้วเดินไปข้างหน้าที่รอยต่อสำคัญในอาเซียน โดยเริ่มจากทัศนคติที่ดีต่อสมาชิก แล้วใช้ศักยภาพต่อประเทศอื่นๆเชิงภูมิศาสตร์ของประเทศที่เหมือนกับเป็นเพื่อนคู่ค้าตามยุทธศาสตร์ทั้ง 8 ของรัฐบาล และเตรียมบุคลากร ที่เหมาะสม เตรียมประเทศให้ พร้อมกับการเติบโต และนักลงทุนไทยต้องกล้าตัดสินใจไปลงทุนในต่างประเทศ รักษาจุดแข็ง ลดจุดอ่อน นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางใน 5 ประเทศที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้า เพื่อเป็นเมืองหลวงของอาเซียนไปสู่ 10 ประเทศ ต้องรักษาจุดแข็ง ลดจุดอ่อน ผนึกกำลังจากหลายประเทศ ด้วยฐานของประชากร 200 กว่าล้านคน ซึ่งผู้ที่ยังไม่คิดที่จะเข้าไปในอาเซียนต้องมีความพร้อมแล้วของธุรกิจที่จะเดินหน้า จากแผนธุรกิจ เหลือเพียง 35 เดือนเศษ ต้องรักษาตลาดใน 4 ประเทศ เป็น 5 ประเทศ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ต้องมีความร่วมมือกัน ด้วยความภาคภูมิใจ เช่น การลดจุดอ่อน เน้นความเชื่อมั่นภาคการเงิน เป็นการจุดประกายอาเซียนที่มีการแข่งขัน ที่ผ่านมามีโอกาสมาก เช่น พนักงาน 200 คน ต้องมีระบบจัดการ มีการสอนหนังสือเพิ่มเติม 2-3 ชม. ซึ่งต้องกล้าลงทุน กระจายสินค้าไทยออกนอก นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า บริษัทแม่อยู่ที่มาเลเซียจะคอยหนุนเพื่อรองรับ AEC การสนับสนุนของอาเซียน พม่า ลาว กัมพูชา โลจิสติกส์ การลงทุน บริษัทข้ามชาติ ระบบเศรษฐกิจไทยต้องออกไปกระจายข้างนอก ที่มีความพร้อมของวัตถุดิบ ของระบบที่มีเสรีภาพ เข้าสู่อาเซียนมากขึ้น ซึ่งซีไอเอ็มบีไทยมีความพร้อมสูงกว่าธนาคารพาณิชย์ไทย นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ต้องเข้าถึงเยาวชนและรับฟังการเตรียมตัว เรียนรู้ เตรียมความพร้อมในภาพกว้าง ซึ่งไทยมีโอกาสมาก ด้านภูมิศาสตร์ไม่แพ้อินโดนีเซีย ซึ่งไทยมีความคล่องตัว เช่น โรงเกลือ แม่สาย มีการรองรับแน่นอน นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน มีการยอมรับ และมีฐานการเงินที่มั่นคง --จบ--
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 10:56 am
0
1
Re: ถือหุ้นรับเหมาแล้วเหนื่อยใจ
รถไฟฟ้าความเร็วสูงจะเซ็นต์สัญญาและเริ่มสร้างภายในรัฐบาลชุดนี้ Source - กรมประชาสัมพันธ์ (Th), Sunday, January 20, 2013 นายประพัฒน์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและเตรียมเอกสาร โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งจราจรหรือ สนข. ภายในปีนี้จะออกรายละเอียดขอบเขตการดำเนินงานหรือ TOR โดยสี่สายจะประกาศพร้อมกัน คือ กรุงเทพมหานคร-เชียงใหม่, กรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา-หนองคาย, กรุงเทพมหานคร-ระยอง และกรุงเทพมหานคร-หัวหิน จะเริ่มเซ็นต์สัญญาและเริ่มก่อสร้างภายในรัฐบาลชุดนี้ โดยจะประกาศทั่วไป ล่าสุดมีนักลงทุนทั้งประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลี และประเทศแถบยุโรปให้ความสนใจ ในส่วนของการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้น ได้มีโครงการปรับปรุงรางรถไฟและจัดสร้างรางคู่ จัดซื้อหัวรถจักรและตู้โดยสารเพิ่ม เพื่อสนองความต้องการของภาคธุรกิจ ในการบรรทุกสินค้า โดยได้รับการร้องของจากบริษัท ปตท.จำกัด มหาชน อยากให้เพิ่มหัวลากเพื่อส่งน้ำมันจากลานกระบือเข้ากรุงเทพมหานคร ซึ่งรัฐบาลที่แล้วได้จัดสรรงบประมาณให้ 176,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลชุดนี้เตรียมออกพระราชบัญญัติกู้เงิน 2 .2 ล้านล้านและร้อยละ 60 จะนำไปให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบรางทั้งประเทศที่ไม่ได้พัฒนามากว่า 40 ปีแล้ว เนื่องจากระบบรางประหยัดกว่าการขนส่งระบบอื่น ธนวันต์ ชุมแสง สวท.เชียงใหม่
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 10:54 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
คอลัมน์: สัมภาษณ์พิเศษ: 'โกลบอลฯ'แต่งตัวเกาะขบวนประมูลไอพีพี Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Saturday, January 19, 2013 ศรัญญา ทองทับ การเปิดประมูลแข่งขันตามโครงการกรับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือไอพีพี ซึ่งกำหนดยื่นแบบฟอร์มลงทะเบียนซื้อเอกสารรายละเอียดการยื่นประมูล (RFP) ระหว่างวันที่ 20 ธ.ค. 2555 - 21 ม.คฟ. 2556 จะมีชื่อของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด หรือ จีพีเอสซี ในเครือปตท.เข้าร่วมประมูลครั้งนี้ด้วย หลังจากบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ซุ่มแต่งตัว รวบรวมการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าที่อยู่กระจัดกระจายในบริษัทต่างๆ ทั้งในและนอกเครือ กระทั่งควบรวมบริษัทที่ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้า และสาธารณูปโภคพื้นฐานหลักในเครือ ระหว่างบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด (ไอพีที) ที่มีการลงทุนโรงไฟฟ้า กำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ ตามโครงการไอพีพี ครั้งที่ 1 ระยะที่ 1 สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออก เมื่อ 12 ปีก่อน มีฐานการลงทุนในศรีราชา จังหวัดชลบุรี และบริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ จำกัด ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก หรือ เอสพีพี ที่ลงทุนผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุด น้องใหม่ในเครือปตท. บริษัทนี้ เปิดตัวก่อนปิดระยะเวลาซื้อเอกสารการประมูล ไอพีพีเพียงไม่กี่วัน มีทุนจดทะเบียนถึง 8,630 ล้านบาท และประกาศตัวชัดเจนที่จะรุกธุรกิจผลิตไฟฟ้าทั้งใหญ่และเล็กทุกเชื้อเพลิง รวมถึงพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ พร้อมตั้งเป้าหมายเติบโต กว่า 6 เท่าตัวภายใน 10 ปี หรือภายในปี 2565 จะมีกำลังผลิตให้ถึงระดับ 6,000 เมกะวัตต์ นายจักรชัย บาลี ลูกหม้อปตท.ได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลฯ กล่าวว่า สิ่งที่กำลังเร่งดำเนินการในขณะนี้ เป็นการศึกษาข้อกฎหมาย ว่าบริษัทโกลบอลฯ สามารถเข้าร่วมประมูล ไอพีพี ครั้งนี้ได้หรือไม่ โดยจะต้องให้ได้ข้อสรุปภายใน 1-2 วัน หรืออย่างช้าภายในวันที่ 20 ม.ค. นี้ ก่อนสิ้นสุดวันซื้อเอกสารรายละเอียดการประมูลวันที่ 21 ม.ค. นี้ ประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เป็นเรื่องเพดานสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจในบริษัทที่จะเข้าร่วมประมูล เนื่องจากบริษัทโกลบอลฯ มี ปตท. ถือหุ้น แม้จะไม่เกิน 50% แต่ต้องศึกษาในรายละเอียดว่า การถือหุ้นในสัดส่วน 30.10% ของ ปตท.นั้น ไม่ผิดเงื่อนไขข้อห้ามเข้าประมูล "หากไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้เอง มีแนวทางที่จะจับมือกับพันธมิตรเอกชน เพื่อร่วมประมูลต่อไป โดยมีพื้นที่พร้อมสำหรับการประมูลอย่างน้อย 1 โรง ขนาด 700- 900 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับโรงไฟฟ้าของไอพีทีที่เดินเครื่องในปัจจุบัน ขณะเดียวกันพื้นที่ของบริษัทพีทีทียูทิลิตี้ ในมาบตาพุดก็สามารถนำมาพัฒนาโรงไฟฟ้าได้บางส่วน ส่วนจะนำพื้นที่ใดเข้าประมูลไอพีพีครั้งนี้ ยังมีเวลาศึกษา เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนดระยะเวลายื่นข้อเสนอด้านเทคนิคและด้านราคาในวันที่ 29 เม.ย. 2556 " สำหรับโครงการลงทุนระยะยาวนั้น บริษัทอยู่ระหว่างทำแผนระยะ 10 ปี (2556- 2565) ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิต 6 เท่าตัว เป็น 6,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2565 จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิต 1,357 เมกะวัตต์ จากการควบรวมบริษัท ไอพีที ขนาด 700 เมกะวัตต์ และบริษัท พีทีทียูที กำลังผลิต 338 เมกะวัตต์ กำลังผลิตไอน้ำ 1,340 ตันต่อชั่วโมง รวม 657 เมกะวัตต์ โดยกำลังผลิตตามเป้าหมาย ดังกล่าว กำหนดให้เป็นพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 5% และมาจากสัดส่วนการลงทุน โรงไฟฟ้าในต่างประเทศ 30% ในประเทศ 70% ส่วนของพลังงานหมุนเวียนนั้น ยอมรับว่าอาจพัฒนาไม่ได้มากนัก เนื่องจากต้นทุนสูง และต้องมีพื้นที่พัฒนาที่เหมาะสม นอกจากนี้รัฐยังต้องเข้ามาสนับสนุนค่าไฟฟ้าในรูปการให้อัตราส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า (แอดเดอร์) ซึ่งตกเป็นภาระค่าไฟฟ้าของทั้งระบบ ส่วนรูปแบบการลงทุนนั้น จะมีหลายโมเดล แนวทางหลักๆ ประกอบด้วย 1.ลงทุนเอง หรือ 2.ร่วมลงทุนกับพันธมิตร แต่สำหรับการลงทุนนอกประเทศนั้น จะไม่ทิ้งหลักการสำคัญของปตท. คือ สร้างพลังร่วมกับกลุ่มปตท. อาทิ ในกรณีที่บริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.เข้าไปสำรวจและผลิตแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพสามารถเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าได้ ก็มีโอกาสที่บริษัทโกลบอลฯ จะเข้าไปลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าที่นั่น แต่ในระยะแรกจะเน้นการลงทุนในอาเซียนก่อน "ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของบริษัท รวมถึงศักยภาพในการผนึกกำลังกับกลุ่มปตท. ที่มีธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่อื่นๆ ได้ เพราะอย่างน้อยก็มีโรงไฟฟ้าตามโครงการไอพีพี ครั้งที่ 1 ที่ทำให้มีประสบการณ์ในธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มา 12 ปี" ขั้นตอนต่อไปหลังจากควบรวมไอพีทีและพีทีทียูทิลิตี้แล้ว จะดึงสินทรัพย์ที่ ปตท.ไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ นอกเครือมารวมอยู่ภายใต้บริษัทโกลบอล ฯ ด้วย โดยจะทยอยดำเนินการ เพราะการถือหุ้นของ ปตท.ในโรงไฟฟ้านอกเครือเป็นเพียงผู้ลงทุน ไม่ได้เข้าไปบริหารจัดการ ’กำลังเร่งศึกษา’ข้อกฎหมาย หากสามารถเข้าร่วมประมูลได้ จะดำเนินการทันที --จบ--
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 10:47 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
เลิกส่งเสริม78กิจการกระทบเม็ดเงิน3แสนล.ปตท.-รถเต้นพบBOI Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Saturday, January 19, 2013 ยกเลิกส่งเสริม 78 กิจการ กระทบลงทุน 300,000 ล้านบาท หลังประเมินตัวเลขขอรับส่งเสริมปี 2555 เร่งโรงงานสิ่งทอถอนการลงทุนย้ายฐานออกนอกประเทศจ้าละหวั่น เตรียมจับเข่าคุยบีโอไอ ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานการปรับเปลี่ยนทิศทางการส่งเสริมการลงทุนตามข้อเสนอยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2556-2560) ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ว่า จากการตรวจสอบประเภทกิจการที่จะถูกยกเลิกการให้การส่งเสริมทั้ง 7 หมวดที่ปรากฏอยู่ในร่างบัญชีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนตามยุทธศาสตร์ใหม่ (Draft New List of BOI Promoted Activities) ทั้ง 78 กิจการ มีมูลค่าเงินลงทุนสูงมากกว่า 200,000 ล้านบาท และหากรวมประเภทกิจการที่จะถูกยกเลิกในหมวด 7 กิจการบริการและสาธารณูปโภคเข้าไปด้วยแล้ว ตัวเลขการลงทุนที่จะ สูญเสียไปอาจจะสูงถึง 300,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ตามยุทธศาสตร์ใหม่ BOI จะปรับเปลี่ยนทิศทางการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วยการ 1) ให้การส่งเสริมแบบมีเป้าหมายที่ชัดเจน (focus & prioritized) แทนการส่งเสริมแบบครอบคลุมเกือบทุกกิจการ 2) ส่งเสริมการลงทุนที่ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ (merit-based incentives) แทนการส่งเสริมตามประเภทกิจการ (sector-based incentives) 3) ส่งเสริมการลงทุนที่ก่อให้เกิดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใหม่ในภูมิภาค (new regional clusters) แทนการส่งเสริมการลงทุนแบบแบ่งเขต (nones 1-2-3) 4) ส่งเสริมการอำนวยความสะดวกให้เกิดการลงทุน แทนที่จะส่งเสริมแบบเน้นให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (tax incentives) และ 5) ส่งเสริมการลงทุนทั้งในและนอกประเทศ จากที่ ส่งเสริมการลงทุนในประเทศเพียง อย่างเดียวผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายข้างต้น จะทำให้ประเภทกิจการ ที่จะได้รับการส่งเสริมตามยุทธศาสตร์ใหม่เหลือเพียง 7 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1 เกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร หมวดที่ 2 เหมืองแร่/เซรามิกและโลหะขั้นมูลฐาน หมวดที่ 3 อุตสาหกรรมเบาหมวดที่ 4 ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง หมวดที่ 5 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์/เครื่องใช้ไฟฟ้า หมวดที่ 6 อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์/กระดาษและพลาสติก และ หมวดที่ 7 กิจการบริการและสาธาณูปโภค โดยมีประเภทกิจการที่จะต้องถูกยกเลิกให้การส่งเสริมกระจายอยู่ในทั้ง 7 หมวดรวมกันถึง 78 ประเภทกิจการอย่างไรก็ตาม จากการติดตามสถิติประเภทกิจการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนสุทธิปี 2555 ทั้ง 78 กิจการที่จะถูกยกเลิกพบว่า ประเภทกิจการเหล่านี้มีเงินลงทุนสูงมากกว่า 200,000 ล้านบาท และอาจจะสูงเกินกว่า 300,000 ล้านบาท หากรวมประเภทกิจการในหมวดที่ 7 ที่จะถูกยกเลิก อาทิ กิจการสัมปทาน, กิจการโทรคมนาคมดาวเทียม, กิจการบริการโทรศัพท์, สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ, การขนส่งทางท่อ, นิคมอุตสาหกรรมครบวงจร และ กิจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน/รถไฟขนส่งสินค้า เข้าไปด้วย โดยประเภทกิจการที่มีเงินลงทุนขอรับการส่งเสริมสูงมากกว่า 2,000 ล้านบาทในปี 2555 ประกอบไปด้วย หมวด 1 กิจการปลูกป่า ขอรับการส่งเสริม 55 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 9,323 ล้านบาท, โรงงานผลิตอาหารสัตว์/ส่วนผสมอาหารสัตว์ 13 โครงการ มูลค่า 4,783 ล้านบาท และห้องเย็น/ขนส่งห้องเย็น 12 โครงการ มูลค่า 2,791 ล้านบาท หมวดที่ 2 กิจการทำเหมืองแร่/แต่งแร่ 14 โครงการ มูลค่า4,879 ล้านบาท หมวดที่ 3 กิจการสิ่งทอและชิ้นส่วน ขอรับการส่งเสริม 31 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 14,598 ล้านบาท, กิจการผลิตเครื่องเรือน/ชิ้นส่วน 7 โครงการ มูลค่า4,090 ล้านบาท หมวดที่ 4 กิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะ/ชิ้นส่วนโลหะ 144 โครงการ มูลค่า 34,161 ล้านบาท หมวดที่ 6 กิจการผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ 8 โครงการ มูลค่า7,349 ล้านบาท, กิจการผลิตสิ่งของจากเยื่อหรือกระดาษ 11 โครงการ มูลค่า 3,878 ล้านบาท และหมวดที่ 7 กิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง 38 โครงการ มูลค่า 3,288 ล้านบาท, กิจการพัฒนาพื้นที่สำหรับกิจการอุตสาหกรรม 64 โครงการ มูลค่า 38,705 ล้านบาท ด้านแหล่งข่าวในบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทาง ปตท.กังวลกับประเภทกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ กับกิจการขนส่งทางท่อ ในหมวดที่ 7 ที่อยู่ใน list ที่จะถูกยกเลิกการให้การส่งเสริม เนื่องจากในแต่ละปี ปตท.ต้องลงทุนวางท่อและตั้งสถานีบริการก๊าซธรรมชาติคิดเป็นมูลค่าสูง "เราจะเข้าพบกับ BOI เร็ว ๆ นี้เพื่อขอหารือในเรื่องนี้" ขณะที่อุตสาหกรรมผลิตรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะและรถที่ขับเคลื่อนด้วยด้วยระบบไฟฟ้าก็เริ่มหารือกันในหมู่ผู้ประกอบการถึงการถูกยกเลิกส่งเสริมการลงทุนในข้อที่ว่า ขณะนี้แม้โรงงานจะได้รับการส่งเสริมก็ยังมีต้นทุนการผลิตที่สูง แทบจะแข่งขันกับคู่แข่งไม่ได้อยู่แล้ว สอดคล้องกับความเห็นของผู้ประกอบการสิ่งทอที่กำลังประสบภาวะค่าแรง 300 บาท ส่วนใหญ่เห็นว่า การยกเลิกการส่งเสริมการลงทุนจะเป็นตัวเร่งให้โรงงาน การ์เมนต์ต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่นโยบายส่งเสริมการลงทุนไปนอกประเทศยังไม่มีความชัดเจน ส่วนกิจการโรงพยาบาลและการผลิตรองเท้าเห็นว่า แทบจะไม่ส่งผลกระทบ เพราะปัจจุบันแทบไม่มีใครขอรับการส่งเสริมในประเภทกิจการเหล่านี้อีกแล้ว --จบ--
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 10:45 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
'ปตท.'ติด100บริษัทศักยภาพสูง-โตเร็ว Source -กรุงเทพธุรกิจ (Th), Saturday, January 19, 2013 บีซีจีเผยผลศึกษา 100 บริษัทชั้นนำตลาดเกิดใหม่รวมถึงปตท. มีศักยภาพขยายธุรกิจ เพิ่มจ้างงานบวกผลิตภาพเหนือกว่าบริษัทคู่แข่งในตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ ด้วยรายได้ปี 2554 แตะ 2.65 หมื่นล้านดอลลาร์ มากกว่ากลุ่มบริษัทอยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 นอกกลุ่มการเงินทำได้ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนอัตราโตปี 2551-2554 สูงกว่า 4 เท่า บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (บีซีจี) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาบริษัทชั้นนำระดับโลก 100 แห่ง ที่มาจากตลาดเศรษฐกิจกำลังพัฒนา เทียบกับบริษัทคู่แข่งจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ พบว่าบริษัทชั้นนำจากตลาดกำลังพัฒนาทั่วโลกรวมถึงบริษัท ปตท. (มหาชน) จำกัด (PTT) สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว และมีส่วนช่วยกำหนดอนาคตเศรษฐกิจโลกช่วงทศวรรษหน้าได้ รายงานของบีซีจีอธิบายว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นบริษัทจากตลาดกำลังพัฒนาทั้งหมด 100 แห่ง มีความสามารถเหนือกว่าคู่แข่งมาจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในแง่ของการขยายธุรกิจ การสร้างงานและผลิตภาพของบริษัท และหากคำนวณหาอัตราการเติบโตของบริษัททั้ง 100 แห่ง พบว่ามีอัตราเติบโตเฉลี่ย 16% ต่อปี ในช่วงปี 2551-2554 คิดเป็นอัตราเติบโตมากกว่าบริษัทคู่แข่งในตลาดพัฒนาแล้วถึง 4 เท่า ขณะเดียวกันพบว่า รายได้เฉลี่ยของ 100 บริษัทชั้นนำตลาดเกิดใหม่ในปี 2554 แตะระดับ 2.65 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับรายได้ของ กลุ่มบริษัทจดทะเบียนอยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ทำได้ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกัน สำหรับ 100 บริษัทกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจีนและอินเดีย แต่ข้อเท็จจริงนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนไปในช่วง 7 ปีข้างหน้า และในรายชื่อมีบริษัทจากประเทศในตลาดเกิดใหม่รวม 17 ประเทศ เพิ่มขึ้นมา 7 ประเทศเทียบปี 2549 และในรายชื่อดังกล่าวมีบริษัทปตท.ของไทยรวมอยู่ด้วย นอกเหนือจากปิโตรนาสของมาเลเซีย, แกสพรอมของรัสเซีย, เตอร์กิช แอร์ไลน์, หัวเหว่ยบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์ไร้สายของจีน, โกลเดนท์ อะกรี-รีซอร์สของอินโดนีเซีย และเอมบราเออร์ผู้ผลิตเครื่องบินของบราซิล "บริษัททั้ง 100 แห่งจะช่วยกำหนดอนาคตเศรษฐกิจโลกช่วง 10 ปีข้างหน้า และบริษัทที่ศึกษานี้รวมถึงอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบิน อุปกรณ์การแพทย์ โทรศัพท์ไร้สายและอี-คอมเมิร์ซ บริษัทเหล่านี้ได้รับประโยชน์อยู่ในสถานะทำธุรกิจให้ขยายตัวต่อเนื่องได้ ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ด้วยจำนวนผู้บริโภคสามารถใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก" บีซีจีระบุในรายงานอัตราเติบโต มากกว่าคู่แข่ง ถึง 4 เท่า --จบ--
โดย
pak
จันทร์ ม.ค. 21, 2013 10:43 am
0
0
Re: ถือหุ้นรับเหมาแล้วเหนื่อยใจ
"ปู" โชว์ลงทุน 4.75 ล้านล. ตีปี๊บจีดีพี 6% ดึง "จีน-ญี่ปุ่น" เอี่ยวทวาย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์, 20 ม.ค. 2556 เวลา 09:36:36 น. 13586495421358649598l.jpg "ยิ่งลักษณ์" จัดบิ๊กอีเวนต์ โชว์วิสัยทัศน์แผนลงทุน 4.75 ล้านล้าน ดันจีดีพีโต 6% เรียกปลัดกระทรวง-หัวหน้าส่วนราชการ-ผู้ว่าฯทั่วประเทศติวเข้ม รับนโยบายปฏิรูปรายได้ประเทศ 4 ด้าน ญี่ปุ่น-จีน แห่ดูบัญชีโครงการลงทุนยักษ์ หวังเอี่ยวโครงการทวายโปรเจ็กต์ "อำพน" แจงแผนใหม่รุกเศรษฐกิจ 3 ก๊อก คมนาคมหั่นงบซ่อมถนนเหี้ยน หันทุ่มทุนสร้างระบบรางเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน แหล่งจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผย"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่จังหวัดอุตรดิตถ์ วันที่ 21 ม.ค. 2556 นี้ รัฐบาลจะอนุมัติบัญชีรายการโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 ม.ค. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะชี้แจงแผนยุทธศาสตร์ชาติ หรือ country strategy ภายใต้โครงการ 2 ล้านล้าน และการใช้งบประมาณรายจ่าย งบฯลงทุนปี 2557 เพื่อสั่งการให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ และผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ รับฟังและนำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกันทั้งประเทศ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร 4 ยุทธศาสตร์ปั้นจีดีพี 6% ทั้งนี้ รัฐบาลจะจัดเวทีให้นายกรรัฐมนตรีได้ประกาศชี้แจงแผนการยุทธศาสตร์ให้กับนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนไทยอีกครั้งเพื่อเชิญชวนนักลงทุนจากทั่วโลกและตอกย้ำภาพปีแห่งการลงทุนเป็นวาระแห่งชาติในโอกาสต่อไป สำหรับเนื้อหาในการชี้แจงของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะครอบคลุมการลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้มีการขยายตัวแบบ New growth new model จาก 4 ด้าน คือการปรับโครงสร้างการผลิตและบริการ การสร้างรายได้จากอตุสาหกรรมและธุรกิจที่ประชาชนมีส่วนร่วม อุตสาหกรรมที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และการปฏิรูปประเทศด้วยกฎหมาย ปฏิรูประบบราชการ เป้าหมายเพื่อให้ประเทศมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 6% ต่อปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 เป็นต้นไป รัฐบาลมีแผนในการลงทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ตามแผนยุทธศาสตร์ 2 ล้านล้านบาท รวมกับลงทุนระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท ดังนั้นมียอดงบประมาณที่รัฐบาลต้องทำตามแผนทั้งสิ้นประมาณ 4.75 ล้านล้านบาท จีน-ญี่ปุ่น แย่งเค้ก แหล่งข่าวทำเนียบรัฐบาลยังเปิดเผยต่อไปว่า ขณะนี้นักลงทุนและรัฐวิสาหกิจของประเทศต่าง ๆ ให้ความสนใจโครงการลงทุนของประเทศไทยจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต้องการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 สายทั่วประเทศ มูลค่าลงทุน 8 แสนล้าน โครงการรถไฟฟ้า 6 สายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และโครงการทวายโปรเจ็กต์ โดยกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือจีนและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมูลค่าลงทุนที่ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอเฉลี่ยสูงกว่าราคาของนักลงทุนจากจีนถึง 3 เท่า ทำให้รัฐบาลไทยต้องพิจารณาถ่วงดุลการเป็นพันธมิตรกับนักลงทุนจากทั้ง 2 ประเทศอย่างรอบคอบโดยการมาเยือนของของนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในวันที่ 17-18 ม.ค.ที่ผ่านมา ก็มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อหารือและพิจารณาบัญชีโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของไทย และแสดงความจำนงการเป็นหุ้นส่วนและพันธมิตรในการร่วมลงทุนโครงการทวายโปรเจ็กต์ โครงการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท โดยฝ่ายญี่ปุ่นต้องการให้รัฐบาลไทยเชิญไปลงพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจทวาย เพื่อร่วมรับฟังแผนดำเนินการระหว่างไทย-พม่าในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายนักลงทุนของญี่ปุ่นได้เดินทางมาหารือและรับฟังการชี้แจงโครงการลงทุนของฝ่ายไทยเป็นระยะ ๆ อาทิ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือเจโทร องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือไจก้า และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือเจบิก นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา บริษัทอุตสาหกรรมการก่อสร้างอีกหลายแห่ง ได้เดินทางมารับฟังข้อมูลจากสำนักงบประมาณ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ มาโดยตลอด งัด 3 แผนรับเศรษฐกิจโลกล่ม นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2556 ว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนการลงทุน 2 ล้านล้านบาท และแผนการลงทุนเรื่องน้ำ 3.5 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นจากวิกฤต ทั้งอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ไว้วางใจการขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่าจะดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ จึงได้ปรับแผน ตั้งรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น 3 แนวทาง ตั้งแต่ก๊อก 1 ก๊อก 2 และก๊อกพิเศษ 3 ระดับ คือก๊อกที่ 1 การกระตุ้นการส่งออก ระบบเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นประเทศที่ต้องพึ่งตัวเลขการส่งออกเป็นสำคัญ และตัวเลขการส่งออกยังคงเป็นเรื่องที่เป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่รัฐบาลจะสู้อย่างเต็มที่ ก๊อกที่ 2 การหารายได้จากการท่องเที่ยว จะมีการปรับปรุงจุดขายเพื่อรองรับตลาดใหม่ โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวชาวจีน ชาวอินเดีย ที่มีกำลังซื้อมาก และมีพฤติกรรมการใช้จ่ายจากการกิน ช็อปปิ้ง และการหารายได้จากการผลักดันสินค้าโอท็อป โดยเฉพาะอาหาร การขยายตลาดให้กับสินค้าอาหาร ก็ยังพอมีทิศทางที่เป็นไปได้ และก๊อกที่สำคัญที่สุดก๊อกพิเศษ คือ 3 ถือเป็นแผนขับเคลื่อนครั้งใหญ่ของรัฐบาล เพื่อสร้างความมั่นใจในระยะยาว นั่นคือการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ในส่วนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศอีกครั้ง หลังจากที่เคยลงทุนกับสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อ 6 ปีที่ที่ผ่านมา "เราพูดกันมาตลอดว่า อนาคตพลังงานจะราคาสูงขึ้น เราจะถูกบีบเรื่องการลงทุนจากกฎระเบียบการค้าต่างประเทศ และเราก็พูดกันมาตลอดว่า จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ทั้งหมด การขนส่งจากถนนสู่ระบบราง จากรางสู่น้ำ ดังนั้น นี่ถือเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลจะทำในสิ่งที่ประเทศเราฝันกันมาตลอด 7 ปีว่า ระบบขนส่งทั้งหมดจะเชื่อมต่อกัน" นายอำพนกล่าวอีกว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด จะมีผลกระทบในด้านบวก ทำให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจไปในตัว ยกตัวอย่าง การก่อสร้างรถไฟฟ้า ก็ทำให้เกิดชุมชน เกิดบ้านจัดสรร เกิดร้านค้าบริเวณสถานีต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากระบบรางทั่วประเทศเชื่อมต่อกัน ก็จะทำให้เกิดการสร้างงานในกลุ่มจังหวัด แรงงานไม่ต้องย้ายถิ่นเข้าเมือง เกิดการใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นในการประกอบอาชีพ ซึ่งการลงทุน 2 ล้านล้านบาท ถือเป็นโอกาสของการเชื่อมโยงไปสู่ความเจริญที่ยั่งยืนในที่สุด โต้ง-ชัชชาติ ดันนโยบาย มีรายงานข่าวจากสำนักงบประมาณว่า วันที่ 22 ม.ค. ซึ่งจะมีการจัดประชุมสัมมนามอบนโยบายสำหรับขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ และการชี้แจงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 โดยมีนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นประธานมอบนโยบาย ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ภายในงานสัมมนา จะมีการชี้แจงแนวทางหลักในการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะชี้แจงภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทย และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม จะชี้แจงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ นอกจากนี้ จะมีการชี้แจงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 โดยผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในงานดังกล่าว เพื่อเร่งรัดให้หน่วยงานทุกกระทรวง ทบวง กรม ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในลักษณะบูรณาการร่วมกันให้เกิดผลในทางปฏิบัติเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด คมนาคมเกลี่ย2ล้านล้านใหม่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า หลังนำแผนโครงการ 2 ล้านล้านบาท จำนวน 55 โครงการของคมนาคมที่อยู่บัญชี 1 ภายใต้ พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เข้าหารือร่วมกับนายกฯ และกระทรวงการคลังเมื่อ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปลงตัวในส่วนการลงทุนงานถนน โดยนายกฯให้เสนอโครงการที่เป็นการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เน้นเส้นทางที่สนับสนุนด้านโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนขนส่งของประเทศระยะยาว ส่วนโครงการลงทุนทางราง ทางน้ำและทางอากาศเริ่มนิ่งแล้ว โยกงบฯถมทั้งคู่-ไฮสปดเทรน การเกลี่ยงบฯลงทุน ผลประชุมล่าสุด วันที่ 18 ม.ค. ตัดเงินลงทุนบางงานถนนทั้งกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทออกมาลงทุนโครงการทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เพิ่ม เช่น ต่อขยายทางคู่สายลพบุรี-ปากน้ำโพถึงเด่นชัย ส่วนรถไฟความเร็วสูง 4 สายคงเดิม วงเงินลงทุนล่าสุดรวม 753,105 ล้านบาท คือ สายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก 204,221 ล้านบาท และช่วงพิษณุโลก-เชียงใหม่ 183,600 ล้านบาท กรุงเทพฯ-นครราชสีมา 140,855 ล้านบาท กรุงเทพฯ-หัวหิน 123,798 ล้านบาท และต่อขยายแอร์พอร์ตลิงก์ไปพัทยา-ระยอง 100,631 ล้านบาท ในส่วนกรมทางหลวงชนบท เดิมของบฯลงทุนกว่า 56,000 ล้านบาท ปรับลดวงเงินบางโครงการ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและถนนเชื่อมต่อบริเวณ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ และ จ.สมุทรสาคร ออกให้เฉพาะค่าเวนคืน 800 ล้านบาท โยกงบฯลงทุนโครงการถนนเลียบชายฝั่งตะวันออกและตะวันตก (รอยัลโคสต์) เป็นต้น มอเตอร์เวย์ได้แค่ค่าเวนคืน สำหรับกรมทางหลวงเสนอขอกว่า 260,000 ล้านบาท ถูกตัด 50,000-60,000 ล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนทั้งทางคู่และขยายถนน 4 เลน ปรับลดวงเงินค่าก่อสร้าง เช่น มอเตอร์เวย์ 2 สาย ให้เฉพาะ ค่าเวนคืนที่ดิน โดยสายบางปะอิน-โคราช 8,000 ล้านบาท จากทั้งโครงการ 90,000 ล้านบาท สายบางใหญ่-กาญจนบุรี 6,600 ล้านบาท จากทั้งโครงการ 55,600 ล้านบาท ส่วนการก่อสร้างให้ดึงเอกชนมาลงทุนรูปแบบ PPP และตัดโครงการขยายโทลล์เวย์ (รังสิต-บางปะอิน) 23,000 ล้านบาท ไปอยู่บัญชี 2 งบฯขยาย 4 เลนพุ่ง 4.6 หมื่น ล. นำเงินมาลงทุนเพิ่มในการขยายถนนสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร จากวงเงินเดิม 17,700 ล้านบาท เป็นกว่า 46,000 ล้านบาท ระยะทางประมาณ 2,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยกเลิกวงเงินก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ที่คลังให้นำโครงการใส่ไว้ในบัญชี 1 กว่า 50,000 ล้านบาท ใช้เงินกู้ไจก้า โยกเงินมาลงทุนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 57,306 ล้านบาทเพิ่มอีก 1 สาย ส่วนโครงการทางด่วนยังลงทุน 3 สาย คือ สายดาวคะนอง-วงแหวนตะวันตก สายศรีรัช-ดาวคะนอง และสายกะทู้-ป่าตอง จ.ภูเก็ต รวมถึงโครงการของกรมการขนส่งทางบก คือโครงการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายที่เชียงของ สถานีขนส่นสินค้า 15 แห่ง ด้านโครงการของกรมเจ้าท่ายังได้เงินลงทุนคงเดิมที่ 30,277 ล้านบาท สร้างท่าเรือน้ำลึก จ.ชุมพร ท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 สร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังและขุดลอกร่องน้ำในแม่น้ำป่าสัก ท่าเรือน้ำลึกปากบารา ด้านอากาศมี 1 โครงการคือสร้างสนามบินแม่สอด 862 ล้านบาท
โดย
pak
อาทิตย์ ม.ค. 20, 2013 11:05 am
0
0
Re: ถือหุ้นรับเหมาแล้วเหนื่อยใจ
ปีทองหุ้นรับเหมาก่อสร้าง *ชู STPI-ITD- SEAFCO น่าลงทุน เซียนหุ้น ฟันธงภาพรวมธุรกิจรับเหมาฯปี56โต 20-30%รับอานิสงส์รัฐทุ่ม 2ล้านล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เอเซียพลัส คาด10หุ้นรับเหมาฯตุนงานในมือเพิ่มอีก 1.4 แสนล้านบาท ชู STPI-ITD- SEAFCO น่าลงทุน ฟากทิสโก้ แนะซื้อ CK ให้มูลค่าเหมาะสม 20 บาท ระบุมีอัพไซด์จากเงินลงทุน ส่วนเคจีไอ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย STEC เป็น 36 บาท หลังเซ็นสัญญารับงานรถไฟฟ้าสายสีแดง สัญญา1 ขณะที่บิ๊ก UNIQ มั่นใจปี56 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 10% *เซียนหุ้น ฟันธงรับเหมาฯปี56โต 20-30% นักวิเคราะห์จาก บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มของธุรกิจวัสดุก่อสร้างในปีนี้มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนของภาครัฐและเอกชน ทำให้ทิศทางของราคาวัสดุก่อสร้างอยู่ในระดับที่ทรงตัวและมีทิศทางปรับขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ เพราะเชื่อว่าคงจะเตรียมตัวรับมือไว้อยู่แล้วจากการสต็อกวัสดุก่อสร้างไว้ก่อน เพราะมีบทเรียนจากในช่วงปี 2008 ที่ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างรุนแรง จากกรณีที่ประเทศจีนได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตค่อนข้างมาก พร้อมกันนี้ คาดว่า แนวโน้มของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปีนี้จะเติบโตประมาณ 20-30% เนื่องจากมีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันยังมีโครงการใหม่ๆที่จะเข้ามารองรับงานในมือของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง ทั้งโครงการของภาครัฐและเอกชน โดยโครงการของภาครัฐ อาทิ โครงการบริหารจัดการน้ำวงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่คาดว่าจะได้ผู้รับเหมาก่อสร้างในช่วงเดือน เม.ย.นี้ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะมีการนำเสนอให้ครม.พิจารณาได้ในวันที่ 5 ก.พ.นี้ และโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย อาทิ สายสีแดง สายสีเขียว และสายสีส้ม ทั้งนี้หากประเมินราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูงแล้ว แต่ยังคงมีสตอรี่ที่รองรับ ดังนั้นหากราคาปรับตัวลงก็สามารถเข้าซื้อได้ โดยแนะนำ STEC ราคาพื้นฐานที่ 33.50 บาท CK ราคาพื้นฐานที่ 22 บาท และ ITD ราคาพื้นฐานที่ 5.30 บาท * รับอานิสงส์รัฐทุ่ม 2ล้านล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค.จะเสนอแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทเข้าครม. 21 ม.ค. นี้ ซึ่งจะมีรายละเอียดโครงการและงบประมาณของแต่ละโครงการ หลังจากนั้นจะเสนอร่างพรบ.กู้เงินตามโครงกล่าวเข้าครม. 5 ก.พ. สศค.คาดว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 1% และมีการจ้างงานเพิ่มกว่า 8 หมื่นตำแหน่ง...ความชัดเจนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลดีต่อหุ้นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการลงทุนดังกล่าวเน้นระบบโลจิสติกส์ และกว่าครึ่งหนึ่งเป็นขนส่งทางบก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับเหมาและผู้จำหน่ายและร้านค้าวัสดุก่อสร้าง * เอเซียพลัส คาด10หุ้นรับเหมาฯตุนงานปีนี้เพิ่ม1.4 แสนล้านบาท บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า วัฏจักรขาขึ้นรอบใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างของประเทศไทย เกิดขึ้นจากงานก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมากทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบันโดยสถานะ Backlog ณ สิ้น 3Q55 ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ 10 แห่ง ภายใต้ Coverageของ ASP มีรวมกันสูงถึง 3.5 แสนล้านบาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับปี 2556 จะมีการเปิดประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่จากภาครัฐ ภายใต้แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งปี 2556-2563 วงเงินรวม 1.99 ล้านล้านบาท โครงการที่สำคัญได้แก่ การเปิดประมูลงานก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง หลังได้สรุปแล้วใน 2 เส้นทาง คือกรุงเทพ-เชียงใหม่ วงเงินก่อสร้าง 3 แสนล้านบาท และกรุงเทพฯหนองคาย วงเงินก่อสร้าง 1.98 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการประมูลราคาผู้รับเหมาในช่วง3Q56 รวมถึงโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท จะช่วยสร้างกระแสเชิงบวกให้กับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะ 3 ผู้รับเหมารายใหญ่ได้แก่ ITD CK และ STEC ซึ่งมีศักยภาพในการก่อสร้างงานระบบรางขนาดใหญ่ ขณะที่ผู้รับเหมาขนาดกลางและเล็ก จะได้ประโยชน์ในฐานะที่เข้าไปเป็นผู้รับเหมาช่วง ภายใต้สถานการณ์ที่เอื้อหนุนดังกล่าวฝ่ายวิจัยคาดว่ายอดการรับรู้รายได้ในปี 2556 ของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง 10 แห่ง ภายใต้ Coverage ของ ASP จะเติบโตขึ้น 22%YoY เป็น 1.4 แสนล้านบาท และเพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านบาท ในปี 2557 * ให้น้ำหนักการลงทุนเท่ากับตลาด ชู STPI-ITD- SEAFCO เด่นสุด แม้ปี 2556 จะอยู่ในช่วงวัฏจักรขาขึ้นรอบใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้าง แต่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มรับเหมาฯ ได้ปรับตัวขึ้นมาก เทียบกับตลาดรวม โดยราคาของบริษัทรับเหมา 10 แห่ง ภายใต้Coverage ของ ASP ได้ปรับตัวขี้นเฉลี่ย 93% และส่วนใหญ่มีค่า PER สูงเกินกว่า 20 เท่า ในขณะที่ SETIndex ปรับตัวขึ้นเพียง 33% ฝ่ายวิจัยจึงไม่คาดหวังว่าที่จะเห็นผลตอบแทนการลงทุนหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดดเด่นเหมือนที่เกิดขึ้นในปี 2555 จึงให้น้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเพียง “เท่ากับตลาด” โดยเลือก ITD ,STPI และ SEAFCO เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มฯ ITD ( FV @Bt 5.24 ) : ถือเป็นหุ้นรับเหมาฯ ที่ยัง Laggard อยู่เมี่อเทียบกับตลาดรวม และบริษัทมีแนวโน้มผลดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้อีกครั้งในงวด 4Q55 เป็นต้นไปอีกทั้งโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายในประเทศพม่า เริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้นตามลำดับ จากการที่รัฐบาลไทยเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการทวายให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยจะมีการสรุปผลการศึกษาเพื่อพัฒนาโครงการท่าเรือทวายตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับพม่าในเดือน ก.พ. 2556 สำหรับโครงการทวายถือว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากต่อ ITD จากมูลค่าโครงการในเฟสแรกที่สูงถึง 2.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นแหล่งงานให้กับ ITD ในอนาคต ได้ไม่ต่ำกว่า 10 ปี STPI ( FV@Bt 72.55 ) : หลังคว้างานโครงการใหญ่ คือ Ichthys onshore LNG Projects มูลค่า 739 ล้านเหรียญฯ ในประเทศออสเตรเลีย คาดว่า STPI จะมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างมากในช่วงระหว่างปี2556-2558 ตามมูลค่าของงานที่ได้ส่งมอบ จากประสบการณ์และการเตรียมความพร้อมที่ดี ทำให้ STPIปิดความเสี่ยงเกี่ยวกับต้นทุนโครงการได้เกือบทั้งหมด ทั้งนี้โอกาสทางธุรกิจของ STPI ยังมีต่อเนื่อง หลังปี2558 จากธุรกิจ LNG ในประเทศออสเตรเลียที่มีการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของโลกแม้ว่าราคาหุ้น STPI จะปรับตัวขึ้นมาแล้ว 110% จากต้นปี 2555 แต่ยังมี Upside จาก Fair Value ของฝ่ายวิจัยอีก 17% บวกกับผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4% ต่อปี SEAFCO ( FV@ Bt 6.91 ) : พื้นฐานบริษัทที่พลิกฟื้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นมาก หลังส่งมอบงานโครงการ margin ต่ำประเภทงานสะพานและถนนไปแล้วเกือบทั้งหมดขณะที่งานที่รับเข้ามาในช่วงหลัง ส่วนใหญ่เป็นงานที่ SEAFCO รับเฉพาะค่าแรง ซี่งเป็นงานที่มี marginสูง ทำให้คาดว่าปี 2555 SEAFCO จะสามารถสร้างกำไรได้สูงถึง 132 ล้านบาท สูงที่สุดในรอบ 6 ปี และกำไรจะเพิ่มเป็น 144 ล้านบาท ในปี 2556 ซึ่งจะทำให้ SEAFCO กลับมาจ่ายเงินปันผลในปี 2555 ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี นอกจากนี้ในช่วงต้นปี 2556 SEAFCO มีลุ้นข่าวดีจากการรับงานเสาเข็มและฐานราก โครงการก่อสร้างทางพิเศษศรีรัช วงแหวนรอบนอก ต่อจาก CK มูลค่าราว 500-600 ล้านบาทจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจทีดีต่อกัน เห็นได้จากการที่ SEAFCO ได้รับงานต่อจาก CK ในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทุกสาย ที่ CK ชนะประมูล คือ สายสีม่วง สีนำเงิน และ สายสีเขียว * ทิสโก้ แนะซื้อ CK ให้มูลค่าที่เหมาะสม 20 บาท บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า ถึงแม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาสูงในช่วงที่ผ่านมา แต่เรายังคงแนะนำให้ “ซื้อ” CK เนื่องจาก 1) เราคาดว่าการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มงานในมือและผลประกอบการของ CK 2) กำไรจากการขายหุ้น TTW 3) กำไรจากการจดทะเบียนบริษัท CK Power และ 4) D/E ต่ำจากการขายหุ้นและการชำระหนี้แนวโน้มเชิงบวกจากงานในมือและโครงการที่มีศักยภาพ ปัจจุบัน CK มีงานในมือสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท รวมถึงโครงการที่รอเซ็นสัญญา 2.82 หมื่นล้านบาท เช่นโครงการ SPP เฟซที่ 2 (5 พันล้านบาท) รถไฟฟ้าสายสีเขียว แบริ่ง – สมุทรปราการ 2.5 พันล้านบาท และสายสีม่วง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมแล้วจะทำให้ CK มีงานในมือ 1.48 แสนล้านบาท และเราคาดว่างานในมือของ CK จะเพิ่มขึ้นได้อีกจากโครงการสาธารณะในปีนี้เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม บางซื่อ – สะพานใหม่, รถไฟรางคู่, สนามบินสุวรรณภูมิเฟซ 2 และโครงการจัดการน้ำ เราคาดว่าการที่ CK ขาย TTW ที่มีอยู่ 11% จะทำให้มีกำไรประมาณ 1.5 พันล้านบาทในช่วง 1Q56 และจะบันทึกกำไรจากการปรับมูลค่าตลาดของ TTW อีก 4 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ Gearing ของ Ck ลดลงจากเดิม 2.9 เท่าเป็น 1.4 เท่า แต่อย่างไรก็ตามหาก CK ลดการถือหุ้น TTW เป็น 19% จะทำให้ CK ไม่ได้รวมกำไรสุทธิของ TTW ไว้ในผลประกอบการแต่จะรับรู้เพียงเงินปันผลเท่านั้น (ประมาณ 372 ล้านบาทในปี 2556) แต่ยังมีอัพไซด์จากการนำบริษัท CK Power เข้ามาจดทะเบียนใน ตลท. ในปีนี้ (CK ถือหุ้น 38%) เราปรับประมาณการและมูลค่าที่เหมาะสมของ CK เพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนการขายหุ้น TTW และใช้ P/BV ที่ 2.6 เท่าจากเดิม 2.3 เท่าทำให้มูลค่าที่เมหาะสมของ CK สำหรับปี 2556 เพิ่มขึ้นจากเดิม 9.9 บาทเป็น 20 บาท อ้างอิง EV/Backlog 0.4 เท่าซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 9 เท่าโดยมีความเสี่ยงคือ 1) ความล่าช้าในการก่อสร้าง 2) โครงการใหม่ที่น้อยกว่าคาดและ 3) ต้นทุนที่สูงขึ้น * เคจีไอ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย STEC เป็น 36 บาท บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ ระบุว่า จากแนวโน้มของธุรกิจที่สดใสในระยะต่อไป เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” STEC โดยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 36.00 บาท จาก 28 บาท หลังจากการ re-rating PBV จาก 2Std มาเป็น 3Std ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อปี 2547 จากการที่บริษัทมียอด backlog ในมือสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 5.8 หมื่นล้านบาท จาก 2.65 หมื่นล้านบาทในปี 2547 นอกจากนี้ เรายังชอบ STEC จากแนวโน้มกำไรสุทธิที่ยังเติบโตต่อเนื่องทำสถิติสูงสุดใหม่ทุกปีในช่วงปี 2555-2557 ยิ่งไปกว่านั้น สถานะทางการเงินของบริษัทยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยมีสถานะเงินสดสุทธิ และสัดส่วน DE ที่ต่ำ ซึ่งเท่ากับเป็นการจำกัดความเสี่ยงในการที่จะต้องเพิ่มทุนในอนาคต มูลค่างานก่อสร้างสำหรับกลุ่มรรับเหมาก่อสร้าง คาดจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2556 อย่างน้อย 10.0% YoY เป็น 1 ล้านล้านบาท จากการใช้จ่ายลงทุนของภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนส่งมวลชน ทั้งนี้จากอัตราการประสบความสำเร็จในการประมูลงานที่ 30.0% และยอดงานในมือ (backlog) ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.8 หมื่นล้านบาท เราคาดว่ายอดขายของ STEC ในช่วงปี 2554-2557 น่าจะเพิ่มขึ้น 18.2% CAGR ขณะเดียวกัน เราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เอาไว้ได้ที่ 9.0% จากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทมีสภาพคล่องสูงทำให้สามารถต่อรองขอส่วนลดจากผู้ค้าวัสดุได้มากขึ้น อันจะช่วยชดเชยกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนงานก่อสร้างภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเป็น 65-70% ของงานทั้งหมดของบริษัทจาก 59% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 นอกจากนี้อัตราภาษีที่ลดลงเหลือ 20% ยังช่วยชดเชยผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและน่าจะทำให้ STEC ทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ในปี 2554-2557 จาก 903 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 1.0 พันล้านบาทในปี 2555 เป็น 1.2 พันล้านบาทในปี 2556 และ1.4 พันล้านบาทในปี 2557 ในช่วงที่อุตสาหกรรมการรับเหมาก่อสร้างอยู่ในช่วงขาขึ้น ตลาดเชื่อว่า STEC จะมีโอกาสเพิ่มทุนในอีกไม่ช้า แต่เราไม่ได้คิดเช่นนั้นเพราะเรามองว่ามีความเสี่ยงไม่มากนักที่บริษัทจะต้องเพิ่มทุนเนื่องจาก i) ไม่ได้มีงานกระจุกมากนักในช่วงปี 2554-2557 เนื่องจากรัฐบาลกระจายโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการระบบรางไปเป็นสัญญาย่อยๆหลายสัญญา ซึ่งจะช่วยให้ STEC สามารถรักษาสมดุลระหว่างงานเก่าและงานใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ii) บริษัทยังมีความสามารถที่จะกู้เพิ่มได้อีกจากการที่บริษัทมีสถานะเงินสดสุทธิและมีสัดส่วน DE ที่ต่ำ ประมาณการเฉลี่ยของ Bloomberg คาดว่ากำไรสุทธิของ STEC ในปี 2556 จะอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของเราที่ 1.2 พันล้านบาทอยู่ 10.8% ทั้งนี้จากยอด backlog จำนวนมากและ GPM ที่สูงถึง 9.0% เราเชื่อว่าตลาดมีมุมมองที่อนุรักษ์นิยมเกินไป และนักวิเคราะห์ในตลาดน่าจะมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทขึ้นอีกอย่างน้อย 10.0% ในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ เรายังมองว่าราคาหุ้นของ STEC ก็ยังถือว่าถูกที่ระดับ 4.9x 2013 PBV หรือ 2Std ในขณะที่บริษัทมียอด backlog ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 5.8 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับ PBV ในอดีตที่ทำสถิติสูงสุดที่ 3std ในขณะที่มียอด backlog ในมือในเวลานั้นเพียงแค่ 2.85 หมื่นล้านบาทเท่านั้น เราเชื่อว่า STEC สมควรที่จะได้รับการ re-rate จาก 2std มาเป็น 3Std ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของ PBV ในอดีต โดยราคาเป้าหมายของเราอยู่ที่ 36.00 บาทอิงจาก PBV ปี 2555 ที่ 6.3x ด้วยผลประกอบการที่อยู่ในช่วงขาขึ้นและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เราจึงเลือก STEC เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มโดยแนะนำ “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 28 บาทเป็น 36 บาท ล่าสุด วันนี้ (18 ม.ค.56 )กิจการร่วมค้า เอส ยู ซึ่งประกอบด้วย STECและUNIQ ซึ่งมีสัดส่วนในกิจการร่วมค้าฯ 60%และ40%ตามลำดับ ได้ร่วมกันลงนามสัญญาจ้างโครงการก่อสร้างกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ในโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต งานสัญญาที่ 1 *บิ๊ก UNIQ มั่นใจปีนี้รายได้โตไม่ต่ำกว่า 10% นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า คาดว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนเนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือหรือ Backlog อยู่ที่กว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยยังไม่ได้รวมกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 1 ที่มีมูลค่ารวม 2-3 หมื่นล้านบาทที่ร่วมกับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ที่คาดว่ารัฐบาลจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 8 ม.ค.นี้ ทั้งนี้ งานในมือปัจจุบันจะทยอยรับรู้บันทึกเป็นรายได้ตลอด 3-4 ปี พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ก็มีแนวทางที่จะเข้าประมูลงานภาครัฐอย่างต่อเนื่องโดยหากเงื่อนไขใดที่บริษัทฯสามารถเข้าร่วมประมูลได้ก็จะเสนอเรื่องในทันที โดยงานที่จะเข้าประมูลหลักๆ จะเป็นงานลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เชื่อว่าในปีนี้จะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนการบริหารต้นทุนบริษัทฯ ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจทั้งเรื่องต้นทุนจากค่าแรง วัสดุก่อสร้าง เพราะบริษัทฯจะต้องเน้นคุมต้นทุนเพื่อให้สามารถชนะการประมูลงานของภาครัฐที่จะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องในอนาคต สำหรับผลประกอบการในปี 2555 บริษัทฯเชื่อว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้เมื่อเทียบกับปี 54 ที่บริษัทฯ ขาดทุน 15.87 ล้านบาท จากผลกระทบเหตุการณ์น้ำท่วม โดยสาเหตุที่ทำให้เขื่อว่าผลประกอบการในปี 2555 จะพลิกกลับมามีกำไร เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับค่าสินไหมกรณีน้ำท่วมประมาณ 200 ล้านบาทและยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งรวมไปถึงบริษัทฯยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการเสริมรายได้ในอนาคต ทั้งนี้ ในงวดสิ้นปี2555บริษัทฯจะมีการจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นตามนโยบายบริษัทฯที่กำหนดไว้ว่าจะต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักเงินสำรองต่าง ๆทุกประเภท 'ปี 55 บริษัทฯ ก็คงกลับมามีกำไรอีกครั้งจากปีก่อนที่ขาดทุนไปเพราะเจอน้ำท่วม และก็คงจะมีปันผลได้ในงวดปี 55 ตามนโยบายที่จ่ายไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรบริษัทฯ ส่วนราคาหุ้นที่ขึ้นมาต่อเนื่องคงเห็นว่าบริษัทฯ เราก็อยู่ในระดับเทียบชั้นกับการแข่งขันตลาดฯ ได้ ซึ่งก็เป็นผลบวกต่อการปรับตัวของราคาหุ้น เพราะก่อนหน้านี้ราคายังไม่ปรับตัวก็คงไม่มีใครเห็นเท่านั้นเอง' นายนที กล่าว
โดย
pak
อาทิตย์ ม.ค. 20, 2013 12:53 am
0
0
Re: ถือหุ้นรับเหมาแล้วเหนื่อยใจ
“กิตติรัตน์” ดัน พ.ร.บ.โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านเข้า ครม. 29 ม.ค.นี้ สำนักข่าวไทย TNA News | 15 ม.ค. 2556 17:52 20130115175253-640x390x2.jpg ทำเนียบรัฐบาล 15 ม.ค. - นายทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ในที่ประชุม ครม.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงถึงการจัดทำร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ 2 ล้านล้านบาท โดยระบุว่าในวันที่ 21 มกราคมนี้จะเสนอยุทธศาสตร์เรื่องการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานตาม พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ทั้งด้านการขนส่งสินค้า การคมนาคม และอื่นๆ ให้ที่ประชุม ครม.สัญจรที่ จ.อุตรดิตถ์ รับทราบก่อนเสนอตัวร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ให้ที่ประชุม ครม.พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 29 มกราคมนี้ ซึ่ง พ.ร.บ.ฯ นี้จะเป็นประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจและประชาชนอย่างมาก เพราะจะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ทำให้ระบบการคมนาคมขนส่งในประเทศมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังช่วยเพิ่มการจ้างงานซึ่งถือเป็นตัวจักรสำคัญที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศเติบโตมากยิ่งขึ้น นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหารือกันอย่างละเอียด เพื่อกำหนดโครงการต่างๆ ที่จะลงทุนภายใต้ พ.ร.บ.เงินกู้ฯ 2 ล้านล้านบาท เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด เบื้องต้นโครงการที่จะดำเนินการแน่นอนและลงตัวแล้วประกอบไปด้วย โครงการทางด้านระบบราง ทั้งระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงทั้ง 4 สาย คือกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-หัวหิน กรุงเทพฯ-โคราช และกรุงเทพฯ-ระยอง รวมถึงการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย แต่ที่ยังเป็นปัญหา คือ เรื่องของระบบถนนที่ยังต้องศึกษาให้ชัดเจนว่าควรจะดำเนินการในเส้นทางใดบ้าง และในแต่ละเส้นทางควรลงทุนแบบใด เช่น กรณีของเส้นทางมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี ควรจะลงทุนในรูปแบบของการร่วมทุนกับภาคเอกชน หรือพีพีพี จะเหมาะสมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าแต่ละโครงการสามารถปรับลดปรับเพิ่ม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะการลงทุนของประเทศและเป็นไปตามกรอบวงเงินที่กำหนดไว้ 2 ล้านล้านบาท เพราะขณะนี้เมื่อพิจารณาตามฐานะ สภาพการลงทุน กำลังการผลิต และภาระหนี้ต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ไม่เกินร้อยละ 50 แล้วไทยเหมาะสมที่จะลงทุนในขนาดที่ไม่เกิน 2 ล้านล้านบาทใน 7 ปี นายชัชชาติ กล่าวด้วยว่า การลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจในประเทศกระเตื้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการไปเดินสายโรดโชว์ให้กับนักลงทุนต่างชาติที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก เช่น กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มีนักลงทุนรายอื่นเข้ามาลงทุน เพื่อแข่งขันกับเอกชนรายเดิมที่มีอยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้น. - สำนักข่าวไทย
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 4:10 pm
0
0
Re: VI อดทนกับความยั่วยวนตอนนี้กันยังไงครับ
บทความที่ผมเขียนไว้นานแล้วครับ ### จงสร้างวงสวิงที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง (By pak) ### จงสร้างวงสวิงที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง โดย "วงสวิงของคนอื่น" นั้น เราเพียงแค่ "เรียนรู้" มิใช่ "ลอกเลียน"!!! วงสวิงที่ดี ต้องมีการผสมผสาน และมีสัดส่วนที่กลมกล่อมลงตัวสำหรับตัวเราเองเท่านั้น หลับตาลง และจงสร้างวงสวิงที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเราเอง ... ถ้าเราสามารถทำได้อย่างดีตามที่เราวางแผนไว้แล้ว เหตุใดเราจะต้องนำไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น...จริงไหมครับ? วงสวิง KAMART หรือ วงสวิง APCO...ช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แต่ผมมักท่องในใจเสมอ ว่า... "มันไม่ใช่วงสวิงของเรา!!! และเราควรจะพลอยมีความสุขไปกับผู้อื่นด้วย เมื่อเห็นว่าเค้าได้ดีโดยพยายามให้ปราศจากซึ่งความอิจฉาทั้งปวง" เมื่อคิดได้แค่นี้ เราก็จะกลับมามีสมาธิที่ "วงสวิง" ของเราเอง โดยเก็บบทเรียนจากวงสวิงของเค้าไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต...ก็เท่านั้นเอง ...ผมคิดแบบนั้นนะ PNwucnryL1w 7fVJutKa2GM
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 12:27 pm
0
6
Re: VI อดทนกับความยั่วยวนตอนนี้กันยังไงครับ
ตอน JAS ราคา 40 กว่าสตางค์ ผมก็คิดแบบ จขกท. นี่แหล่ะครับ ผมเดินบอกชาวบ้านทั่วไปหมด ว่า... "หุ้น JAS มันขึ้นทีเป็นเด้งๆ โดยไม่เห็นจะมีพื้นฐานรองรับอย่างมีนัยยะเลย" ตอน KAMART ที่ราคาบาทกว่าๆ ผมก็ยังคิดแบบนี้อีกเช่นกัน เดินบอกคนอื่นอีก ว่า... "2 บาทนี่ แม่มดอยเห็นๆ อยากเล่นกันไฟก็เชิญ!!!" สุดท้าย... วันนี้ ผมเองไม่เคย "ดูเบา" หุ้นตัวใดในตลาดอีกเลยครับ เพราะไม่แน่ใจว่า "มันไม่มีพื้นฐาน" หรือ "ผมไม่รู้กันแน่"? แต่ถ้าจะให้แนะนำให้สบายใจที่สุดคือ... "ถ้าเราไม่เอาผลตอบแทนของเราไปเทียบกับใคร เราก็มีความสุขที่ได้ลงทุนในบริษัทฯที่เรารัก ชื่นชอบ และเชื่อมั่นแล้วครับ" เหตุผลในการซื้อขายหุ้น ที่ว่ากันว่า "ความโลภ" กับ "ความกลัว" ผมคิดขึ้นมาใหม่ว่า มันต้องไม่ใช่แบบนั้น!!! แต่เหตุผลที่ทำให้ VI ซื้อขายหุ้น คือ "มองเห็นโอกาส" กับ "ขาดความเชื่อมั่น" ครับผม pak ThaiVI ^ ^
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 12:15 pm
0
16
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
KICT Develops Technology for Building Floating LNG Terminal ที่ http://energy.korea.com/archives/39474
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 11:22 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
เปิดโลกทัศน์อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในระดับนานาชาติ ดันไทยเป็นศูนย์กลางพลาสติกชีวภาพของเอเชีย
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 10:49 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
PTTME ผ่าน ISO 10006 บริษัทแรกใน ASEAN 11 ม.ค. 56
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 10:40 am
0
1
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
ภาพข่าว: ปตท.สผ. คว้ารางวัล Source - สยามรัฐ (Th), Friday, January 18, 2013 4(412).jpg นายเทวินทร์ วงศ์วานิช (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. รับมอบรางวัล"บริษัทที่มีการบริหารจัดการดีที่สุดของประเทศไทย" และ"บริษัทที่มีการบริหารจัดการดีที่สุดของเอเชียประเภทธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ" จากนายมาคัส แลงสตัน (ที่ 2 จากซ้าย) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียนิตยสารยูโรมันนี่ โดยรางวัลดังกล่าว มอบให้กับบริษัทที่มีความโดดเด่น ด้านทฤษฎีการบริหารจัดการซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินการที่ดี ประสิทธิภาพในการบริการผลกำไร ศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงความโปร่งใสด้านการเปิดเผยข้อมูล และ บรรษัทภิบาล โดยสำรวจจากนักวิเคราะห์สถาบันการเงินขนาดใหญ่ รวมถึงศูนย์วิจัยต่างๆ ทั่วเอเชียแปซิฟิก --จบ--
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 10:07 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
ดันสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนหญ้าเลี้ยงช้างหมื่นแห่ง แหล่งข่าว : เดลินิวส์ , วันที่ : 18/01/2013 นายอำนวย ทองสถิตย์ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ พพ.อยู่ระหว่างจัดทำแผนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าระดับชุมชน โดยการใช้หญ้าเลี้ยงช้าง (เนเปียร์)หรือหญ้าโตเร็ว เป็นพืชพลังงานทดแทนตามนโยบาย ของนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน เบื้องต้นคาดว่าภายใน 10 ปีจะมีชุมชนเข้าร่วม 10,000 แห่ง หรือจะได้โรงไฟฟ้าชุมชนขนาด 1 เมกะวัตต์ จำนวน 10,000 โรง แต่ละโรงลงทุน 100 ล้านบาทและใช้พื้นที่ปลูกหญ้า 800-1,000 ไร่ โดยภาคเอกชนลงทุน 60% ชุมชน และเกษตรกรร่วมทุน 40% ทั้งนี้ คาดใช้เวลาคืนทุนประมาณ 6 ปี โดยในส่วนของชุมชนที่ร่วมทุนมีข้อเสนอให้ภาครัฐช่วยลงทุนก่อน ด้วยการให้ทุนเปล่า 20% และเป็นเงินกู้ทุนหมุนเวียนอีก 20% ขณะที่เกษตรกรจะเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า เป็นผู้เพาะปลูกหญ้า และร่วมทุนติดตั้งระบบผลิตไบโอก๊าซ ซึ่งจะเป็นผลดีที่สามารถเข้าร่วมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ นายอำนวย กล่าวว่า พพ.จะเข้าไปผลักดันโครงการดังกล่าว ด้วยการเริ่มตั้งแต่การปลูก เทคโนโลยีการปลูก การตัดหญ้า การส่งเสริมการลงทุน การจัดโซนนิ่งพื้นที่เพาะปลูกเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งพื้นที่ปลูกพืชอาหาร เช่น มันสำปะหลัง อ้อย "หลังจากการสำรวจข้อมูล และการศึกษาเพื่อหาพืชพลังงานทดแทนมาใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลพบว่า หญ้าเลี้ยงช้างหรือหญ้าเนเปียร์พันธุ์ที่ดี จะเริ่มตัดผลผลิตได้ทุก 45 วัน การเพาะปลูก 1 ครั้ง จะมีอายุอยู่ได้ 7 ปี ราคาเพียง 300 บาทต่อตัน ก็คุ้มทุน เร็วกว่าปลูกมันสำปะหลัง และการปลูกข้าวอีก แต่การจะส่งเสริมเช่นนี้ได้ ก็ต้องดำเนินการทั้งระบบ เพื่อให้แน่ใจว่ามีตลาดชัดเจน และไทยก็ยังลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ด้วย" --จบ--
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 10:00 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
บัวแก้วเร่งสอบหลังมีข่าวแรงงานไทยถูกจับในแอลจีเรีย Source -ฐานเศรษฐกิจ (Th), Friday, January 18, 2013 นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงได้ตรวจสอบกับสถานเอกอัครราชทูต ณ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งดูแลประเทศอัลจีเรียในเบื้องต้นได้รับแจ้งว่า สถานทูตกำลังอยู่ระหว่างรอการตรวจสอบข้อมูลจากทางการอัลจีเรียอยู่ เนื่องจากไทยไม่มีสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ในอัลจีเรีย และกำลังรอการยืนยันข้อมูลจากทางการอัลจีเรีย ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตได้ตรวจสอบข้อมูลกับปตท.สผ.ซึ่งได้ไปลงทุนขุดเจาะน้ำมันในอัลจีเรีย ได้รับแจ้งว่าในฐานขุดเจาะของปตท.สผ.มีคนไทยทำงานอยู่ประมาณ 70 คนซึ่งเป็นคนละแห่งกับที่กลุ่มกบฏได้จับตัวประกันอยู่ ขณะที่คนไทยในอัลจีเรียมีอยู่ราว 370 คน นอกจากที่ทำงานในฐานขุดเจาะแล้ว ยังทำงานกับบริษัทโตโยต้า งานก่อสร้าง และแต่งงานกับชาวอัลจีเรีย
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 9:59 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
พลังงานดัน3แนวทางแก้ปาล์มล้น Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th), Thursday, January 17, 2013 กระทรวงพลังงานดัน 3 แนวทาง ช่วยพยุงผลผลิตปาล์มน้ำมันหลังซีพีโอล้นตลาด ต้องส่งเข้าโรงไฟฟ้ากระบี่เป็นเชื้อเพลิง และให้ปตท.ช่วยรับซื้อเก็บไว้ในสต๊อกอีก 1 หมื่นตัน พร้อมออกนโยบายให้รถยนต์ใช้ดีเซลเป็นบี 7 เพิ่มปริมาณการใช้ซีพีโอได้อีก 2 หมื่นตันต่อเดือน แต่ต้องรอค่ายรถยนต์สรุปผลกระทบปลาย ก.พ.นี้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์อนุมัติงบ 1.25 พันล้านบาทซื้อเก็บเข้าสต๊อกอีก 5 หมื่นตัน นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากกรณีที่ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบหรือซีพีโอล้นตลาด ส่งผลให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันตกต่ำ ทางกระทรวงพาณิชย์จึงประสานมายังกระทรวงพลังงาน เพื่อขอให้ช่วยระบายสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ นำไปใช้ในภาคพลังงาน เพื่อฉุดราคาผลปาล์มน้ำมันให้ขึ้นไป ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวทางกระทรวงพลังงาน มองการดำเนินงานไว้ 3 แนวทาง โดยแนวทางแรกได้ประสานกับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)แล้ว ซึ่งเบื้องต้น กฟผ. แจ้งว่าสามารถใช้ซีพีโอ เพื่อนำไปผสมกับน้ำมันเตาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้ากระบี่ ได้ประมาณ 10% หรือประมาณ 1 พันตันต่อปี ของปริมาณการใช้น้ำมันเตาที่ 1 หมื่นตันต่อปี แต่ทั้งนี้ เนื่องจากโรงไฟฟ้ากระบี่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก การจะนำน้ำมันเตาที่ผสมซีพีโอมาใช้ต่อเมื่อเกิดการขาดแคลนปริมาณก๊าซและเป็นการช่วยระบายสต๊อกซีพีโอได้บางส่วนเท่านั้น อีกทางหนึ่ง ทางบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) จะเป็นผู้รับซื้อซีพีโอส่วนหนึ่ง ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ปตท. ได้สั่งซื้อซีพีโอจำนวน 1 หมื่นตัน เพื่อนำไปกลั่นเป็นไบโอดีเซลบี100 ได้ในปริมาณ 10 ล้านลิตร สต๊อกไว้ใช้ในช่วงซีพีโอเกิดการขาดแคลน นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้มีแนวคิด ที่จะเพิ่มส่วนผสมของน้ำมันไบโอดีเซลบี100 จากปัจจุบันอยู่ที่ 5% หรือ ดีเซลบี 5 เป็น 7% หรือดีเซลบี 7 ซึ่งจะช่วยให้ความต้องการใช้ซีพีโอเพิ่มขึ้นอีก 2 หมื่นตันต่อเดือน เป็น 7 หมื่นตันต่อเดือน จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 หมื่นตันต่อเดือน แต่ความพร้อมในการกำหนดนโยบายผสมเป็นดีเซลบี7 ได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของค่ายรถยนต์เป็นหลัก เพราะหากค่ายรถยนต์ยืนยันว่าไม่สามารถใช้ดีเซลบี 7 ได้ กระทรวงก็ไม่สามารถกำหนดนโยบายดังกล่าวได้ เพราะจะเกิดความเสียหายกับรถยนต์ อย่างไรก็ตาม กรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) ได้ประสานกับทางค่ายรถยนต์ เพื่อต้องการความชัดเจนในการนำดีเซลบี 7 ไปใช้กับเครื่องยนต์ ดังกล่าว โดยได้ขอเวลาในการศึกษาความเป็นไปได้ ที่น่าจะมีความชัดเจนภายในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ หากผลสรุปออกมาว่าค่ายรถยนต์ให้การยอมรับน้ำมันไบโอดีเซลบี7 กระทรวงก็พร้อมดำเนินงานทันที ทั้งนี้คาดว่าภายหลังจากได้รับความชัดเจนจากทางค่ายรถยนต์แล้ว ธพ.จะต้องหารือร่วมกับค่ายรถยนต์และผู้ค้าน้ำมันอีกครั้ง "ปัจจุบันในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และเยอรมนี มีการใช้น้ำมันดีเซลบี 10 แต่เป็นการใช้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น และเป็นการใช้แบบสมัครใจ แต่หากประเทศไทยจะใช้น้ำมันบี7 ก็ต้องเป็นนโยบายแบบบังคับ ดังนั้นหากเกิดปัญหากับรถยนต์ ก็จะสร้างความเสียหายจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะได้รับคำตอบจากทางค่ายรถยนต์ว่าจะสามารถรองรับน้ำมันบี7ได้หรือไม่ ซึ่งทาง ธพ.จะต้องคุยรายละเอียดและหารือกับค่ายรถยนต์และผู้ค้าน้ำมันต่อไป"นายประพนธ์ กล่าว แต่ทั้งนี้ ยอมรับว่าการช่วยระบายสต๊อกซีพีโอ ทางกระทรวงพลังงานคงช่วยได้ไม่มากนัก ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ จะผลักดันให้ส่งออก หรือช่วยชดเชยราคาซีพีโอได้หรือไม่ นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านธุรกิจการตลาด บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้เริ่มทดลองใช้น้ำมันดีเซลบี7 เป็นการเฉพาะกลุ่มแล้ว แต่การส่งเสริมเป็นนโยบายของภาครัฐ คงต้องใช้ระยะเวลา เนื่องจากยังไม่เป็นที่ยอมรับของค่ายรถยนต์ อย่างไรก็ตามหากสามารถเพิ่มสัดส่วนผสมเป็นน้ำมันดีเซลบี7 ได้ จะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันบี100 เพิ่มอีก 1 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 ล้านลิตรต่อวัน โดยปัจจุบันบางจากมีความต้องการใช้น้ำมันบี100 อยู่ที่เกือบ 3 แสนลิตรต่อวัน นางวิวรรณ บุณยประทีปรัตน์ เลขาธิการสมาคมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มแห่งประเทศไทย เปิดเผย ว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2555 ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้อนุมัติรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเข้าเก็บสต๊อกเพิ่มอีก 5 หมื่นตัน รวมกับของเดิมเป็น 1 แสนตัน ใช้งบประมาณจัดซื้อประมาณ 1.25 พันล้านบาท โดยในที่ประชุม องค์การคลังสินค้า (อคส.) แจ้งว่าได้รับซื้อน้ำมันดิบจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มไปแล้ว จำนวน 4.8 หมื่นตัน ยังเหลืออีก 2 พันตัน จึงได้อนุมัติเพิ่ม เพราะมีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มปิดโรงงานหลายแห่งหยุดรับซื้อปาล์ม เพราะสต๊อกเต็ม อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณที่ดีจากกฟผ. ที่จะรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผสมกับน้ำมันเตาเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว แต่ต้องให้เวลาปรับเทคนิคบางอย่างเพื่อไม่ให้การผลิตไฟฟ้าเกิดการขัดข้อง หรือต้องใช้แนวนโยบายให้รัฐอุดหนุนค่าใช้จ่าย เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้บริโภคในการปรับค่าไฟฟ้า นางวิวรรณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ นายบุญทรง ยังได้แต่งตั้งอนุกรรมการระบายขึ้นเพื่อขึ้นหาแนวทางการระบายสต๊อกขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านั้น ทางคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.)ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือ คณะอนุกรรมการด้านการตลาด เพื่อติดตามราคาผลปาล์มเพื่อส่งออก มีกระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพ และคณะอนุกรรมการด้านการผลิต เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น ให้มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงขึ้น ซึ่งมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพ สำหรับการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบเวลานี้ ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในตลาดโลกไม่จูงใจ เพราะราคาน้ำมันปาล์มดิบโลก(อิงตลาดมาเลเซีย ) ณ วันที่ 15 มกราคม 2555 ราคากิโลกรัมละ 22-23 บาท ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยอยู่ที่กิโลกรัมละ 25 บาท (ราคาผลปาล์ม อยู่ที่กิโลกรัมละ 3.50-3.70 บาท ) จึงไม่สามารถส่งออกน้ำมันปาล์มดิบไปต่างประเทศได้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งทางผู้ประกอบการกำลังรอดูในช่วงตรุษจีนว่า จีนจะเข้ามาซื้อน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นหรือไม่ หากเข้ามาก็จะช่วยให้สถานการณ์การส่งออกน้ำมันปาล์มดีขึ้น ปัจจุบันสต๊อก ณ เดือนพฤศจิกายน 2555 มีประมาณ 3.56 แสนตัน จากปกติไทยจะผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้เฉลี่ย 1.7 แสนตันต่อเดือน จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,810 วันที่ 17 - 19 มกราคม พ.ศ. 2556
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 9:57 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
'ปตท.'วางแผนยกชั้นสู่อาเซียนตั้งเป้าปี'60ผู้นำพลาสติกชีวภาพ Source - มติชน (Th), Thursday, January 17, 2013 นายชวลิต ทิพพาวนิช ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ แผนบริหารในเครือหน่วยธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วง 5 ปีจากนี้ (2556-2560) ปตท.มีแผนจะผลักดันขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศไทยในการเป็นผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพหรือไบโอพลาสติก ด้วยกำลังการผลิต 700,000 ตันต่อปี เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านไบโอพลาสติกในอาเซียน ดังนั้น ในปีนี้จึงมีแผนก่อตั้งโรงงานพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ชนิดพีบีเอส มีกำลังการผลิต 20,000 ตันต่อปีที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย มาบตาพุด จ.ระยอง ใช้เงินลงทุนประมาณ 6,900 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558 โดยเป็นการร่วมทุนระหว่าง ปตท.กับบริษัท มิตซูบิชิ เคมิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือเอ็มซีซีจากประเทศญี่ปุน นายชวลิตกล่าวว่า ข้อดีของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกชีวภาพ เช่น ถ้วยกระดาษ หรือแก้วน้ำที่เคลือบพีบีเอส คือสามารถย่อยสลายได้ทั้ง 100% โดยไม่ทิ้งซากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการใช้งานแล้วในพื้นดิน "การพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพของประเทศไทย ต้องอาศัยภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อดึงให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเหมือนกับประเทศมาเลเซียที่ส่งเสริมการลงทุนด้วยการอุดหนุนราคาน้ำตาลให้กับนักลงทุนเป็นกรณีพิเศษ เพราะน้ำตาลเป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติกชีวภาพ รวมทั้งจัดหาพื้นที่ตั้งโรงงานให้อีกทางหนึ่ง" นายชวลิตกล่าว นายพิพัฒน์ วีระถาวร นายกสมาคมอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพไทย กล่าวว่า เพื่อผลักดันพลาสติกชีวภาพให้แพร่หลาย สมาคมจะเน้นประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ส่งเสริมด้านการตลาด สร้างความเชื่อถือในมาตรฐานให้กับสินค้า รวมถึงการจัดสัมมนาให้เกิดการพบปะกันระหว่างนักวิจัยและบริษัท เพื่อให้เกิดการพัฒนาการวิจัยได้ตรงกับความต้องการของผู้ผลิตรวมถึงผู้บริโภค --จบ--
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 9:56 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
PTT จ่อลงทุน3พันล้านในพม่า Source - ข่าวหุ้น (Th), Thursday, January 17, 2013 เปิดตัวระบบเติมน้ำมันอัจฉริยะ PTT กางงบ 3 พันล้านบาท ภายใน 3 ปี รองรับบุกตลาดประเทศพม่า จับมือธนาคารกสิกรไทย เปิดตัวระบบเติมน้ำมันอัจฉริยะบันทึกฐานข้อมูลลูกค้าเป็นเจ้าแรกในอาเซียน นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ประเมินงบลงทุนประมาณ 2-3 พันล้านบาท ต่อแผนธุรกิจช่วง 2-3 ปีในประเทศพม่า เพื่อทำธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น การบริการเติมน้ำมันอากาศยาน การให้บริการค้าปลีกน้ำมัน และการสร้างคลังเก็บน้ำมันสำรอง โดยปัจจุบันธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นในประเทศพม่า ทางบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ในอันดับ 3 และภายในช่วงสิ้นปี 2556 จะสามารถขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 2 พร้อมกับมียอดขายเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 7-8 ล้านลิตรต่อปี จากงวดปีก่อนที่ได้ 5 ล้านต่อปี สำหรับปัจจัยผลักดันให้ตลาดน้ำมันเครื่องได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงอดีตประเทศพม่ายังมีรถยนต์รุ่นเก่าอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น น้ำมันหล่อลื่นที่ใช้จึงไม่ได้เป็นเกรดสูงมากนัก แต่ปัจจุบันมีรถรุ่นใหม่มากขึ้นผู้บริโภคจึงเปลี่ยนมาใช้น้ำมันเครื่องของ PTT ที่มีประสิทธิภาพสูงแทน นอกจากนี้ ยังวางแผนให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน และการรุกทำค้าปลีก เพราะถือเป็นหนึ่งในช่องการทำตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตระดับสูง ส่วนประเทศอินโดนีเซีย หากทาง PTT จะเข้าทำตลาดคงต้องใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเข้าสร้างฐานลูกค้าและให้ผู้บริโภคได้รู้จักกับแบรนด์เสียก่อน ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทได้เคยใช้กับประเทศอื่นในย่านอาเซียน หลังจากนั้นจึงค่อยศึกษาทำตลาดค้าปลีกน้ำมันเพิ่มเติมภายหลัง นายสรัญ กล่าวอีกว่า ภายในสัปดาห์นี้คงถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะขายน้ำมันเบนซิน 91 หลังจากมีการประกาศยกเลิกขายน้ำมันดังกล่าวตั้งแต่งวดต้นเดือน ม.ค. และจะช่วยผลักดันให้ยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์มียอดขายสูงขึ้น หลังจากประชาชนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์แทนเบนซิน 91 อย่างไรก็ตาม คงต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง ถึงจะประเมินได้ชัดเจนว่า หลังยกเลิกขายเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ประเภทใดที่จะทำยอดขายเพิ่มขึ้นมากสุด แต่ในเบื้องต้นแก๊สโซฮอล์ E20 จะมีทำยอดขายเติบโตขึ้นมาก เพราะในปัจจุบันมีรถยนต์จำนวนมากที่สามารถเติม E20 ได้ เพียงแต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เลือกเติมเท่านั้น นอกจากนี้ ยังได้วางแผนที่ขยายจุดจ่ายน้ำมัน E20 ขึ้นอีก 250 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 600 แห่ง และภายในสิ้นปี 2556 น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 900 แห่ง ขณะที่นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้ร่วมมือในการพัฒนาระบบเติมน้ำมันอัจฉริยะ PTT Smart Fuel-up Technology เป็นเจ้าแรกในอาเซียน โดยร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย และถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบบัญชีให้ลูกค้า ซึ่งมีแผนจะขยายสถานีบริการน้ำมันที่ติดตั้งระบบ พร้อมให้บริการภายในปี 2556 นี้ ประมาณ 60 แห่ง จนถึง 200 แห่งภายในปีหน้า สำหรับ PTT Smart Fuel-up Technology เป็นการบริการเติมน้ำมันโดยอาศัยระบบระบุยานยนต์ด้วยเทคโนโลยีไร้สาย (Vehicle Identification System – Radio Frequency Identification Technology) ซึ่งจะจ่ายน้ำมันให้กับรถที่ติดอุปกรณ์วงแหวนพิเศษเท่านั้น ทั้งนี้ ตัววงแหวนจะถูกบันทึกข้อมูลที่เป็นของรถเฉพาะแต่ละคัน ไม่สามารถถอดไปติดรถคันอื่นได้ และระบบนี้ยังมีการบันทึกข้อมูลเลขทะเบียนรถ ประเภทของน้ำมันที่กำหนดให้เติม จำนวนน้ำมันที่กำหนดให้เติมในแต่ละครั้ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เจ้าของธุรกิจสามารถนำไปวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย ต้นทุนค่าน้ำมัน และคำนวณอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง รวมทั้ง เป็นแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจได้อีกด้วย --จบ--
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 9:55 am
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
‘ปตท.’รุกขยายธุรกิจน้ำมันอินโดฯ Source - กรุงเทพธุรกิจ (Th), Thursday, January 17, 2013 ปตท.รุกลงทุนอินโดนีเซีย ตั้งบริษัทลูกขยายการค้าน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป และเม็ดพลาสติก เล็งจับมือ“เปอร์ตามินา” ลงทุนโรงกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี คาดได้ข้อสรุปเม.ย.-พ.ค.นี้ พร้อมส่งน้ำมันเครื่องขยายตลาดในอาเซียน ตั้งเป้าพม่าอันดับหนึ่ง เพิ่มยอดขายทะลุ 8 ล้านลิตรในปีนี้ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงนโยบายการเข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ว่า ปตท. ได้เข้าไปตั้งบริษัทลูกเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ โดยเปิดสำนักงานตัวแทน บริษัท ปตท. ค้าสากล จำกัด และบริษัท พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่กรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโด นีเซีย เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป รวมทั้งเม็ดพลาสติกในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปตท.เป็นคู่ค้ารายใหญ่ในการส่งน้ำมันเข้าไปขายหลายแสนบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 40% ของปริมาณการใช้น้ำมันทั้งประเทศ “อินโดนีเซียถือว่าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจสำคัญในอาเซียนที่ผ่านมา บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือปตท. สผ. ได้เข้าไปลงทุนในการสำรวจแหล่งปิโตรเลียม ในอินโดนีเซีย 5-6 แปลง ยังมีการลงทุนเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่และธุรกิจน้ำมันปาล์ม ในอนาคตจะมีการขยายการลงทุนเข้าไปอีก” ล่าสุดบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือพีทีทีจีซี ได้บันทึกความเข้าใจเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ขยายการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ครบวงจรร่วมกับบริษัทเปอร์ตามินา ซึ่งบริษัทพลังงานแห่งชาติของอินโด นีเซีย โดยพีทีทีจีซี เป็น 1ใน 3 ราย ที่เปอร์ตามินา ให้เป็นผู้ร่วมทุนในโครงการลงทุนโรงกลั่นใหม่และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดจะมีความชัดเจนเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ ซึ่งคู่แข่งของปตท.จะเป็นบริษัทพลังงานจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ทั้งนี้โอกาสในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและ ปิโตรเคมีในอินโดนีเซียยังเปิดกว้างมาก เนื่อง จากปัจจุบันโรงกลั่นของอินโดนีเซียมีกำลังการผลิตรวม 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เท่ากับไทย แต่อินโดนีเซียจะเป็นโรงกลั่นขนาดเล็กมีกำลังการ กลั่นระดับ 1 แสนบาร์เรลต่อวัน แต่ในอนาคตจะมีกำลังซื้อสูงมาก โดยให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกเข้าไปศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นเหล่านี้ ส่วนการลงทุนตั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ ต้องรอคำตอบจากรัฐบาลเวียดนามเสียก่อน นายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าไปขยายธุรกิจในอินโด นีเซีย จะเน้นการเข้าไปทำตลาดน้ำมันหล่อลื่นให้เป็นที่รู้จักก่อน จากนั้นจึงทำตลาดค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันในอินโดนีเซียมีการแข่งขันสูง และมีข้อจำกัดด้านกฎระเบียบต่างๆ “นอกจากอินโดนิเซียแล้ว ปตท.ยังให้ความสำคัญในการเข้าไปบุกเบิกตลาดน้ำมันของพม่ามากที่สุด โดยจะใช้เงินลงทุน 2-3 พันล้านบาทภายใน 3 ปี ส่วนธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นในพม่า คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ยอดขาย 8 ล้านลิตรต่อปี นอกจากนี้ยังขยายตลาดน้ำมันอากาศยานในพม่าด้วย” --จบ--
โดย
pak
ศุกร์ ม.ค. 18, 2013 9:52 am
0
0
Re: กิจการไทยทำ M&A น้อยไปหรือเปล่า
BGH ลุยซื้อร.พ.ต่างจังหวัด โรงพยาบาลกรุงเทพ คาดรายได้ปีนี้โต 13-14% แย้มศึกษาซื้อกิจการร.พ.ต่างจังหวัด 2-3 แห่ง เล็งขนาด 100-200 เตียง บล.ธนชาตฯ เชียร์ซื้อหุ้น ให้ราคาเหมาะสม 135 บาท เหตุยุทธศาสตร์ ธุรกิจเจ๋ง คาดปี 58 รายได้พุ่ง7-7.5 หมื่นล้านบาท นางนฤมล น้อยอ่ำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)(บมจ.)(BGH) ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลกรุงเทพ นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลในกลุ่ม อีกหลายแห่ง เปิดเผยว่าบริษัทคาดการณ์รายได้ปี 2556 เติบโต 13-14% จากปีก่อน ด้านงบลงทุนตั้งไว้ที่ 10-12% ของรายได้รวม ซึ่งรวมถึงงบสำหรับการซื้อกิจการโรงพยาบาลด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าซื้อกิจการโรงพยาบาล 2-3 แห่ง มีขนาดเตียงตั้งแต่ 100-200 เตียง สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทในปีนี้ ยังเน้นการขยายโรงพยาบาลออกไปสู่ต่างจังหวัด มากกว่าในกรุงเทพฯเนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาล มีอัตราการเติบโตที่ดีเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ขณะที่ในต่างจังหวัดมีความต้องการมาตรฐานการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจในต่างจังหวัด มีการขยายตัวที่ดี ขณะที่ สถานพยาบาลของภาครัฐและเอกชนที่มีอยู่ในขณะนี้ยังไม่เพียงพอ ทั้งนี้จากการศึกษาขนาดของจำนวนประชากรต่อเตียงผู้ป่วย พบว่าในกรุงเทพฯอยู่ที่ 300 คนต่อ 1 เตียง ขณะที่ต่างจังหวัด อยู่ที่ 500-600 คน ต่อ 1 เตียง ดังนั้นความต้องการโรงพยาบาล จึงมีมากกว่าในกรุงเทพฯ นอกจากนี้บริษัทมองว่าการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ในปี 2558 จะส่งผลต่อความ ต้องการใช้สถานพยาบาลในประเทศไทยให้มีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยจากประเทศกัมพูชา ลาว ที่ต้อง การเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในไทย ดังนั้นทำให้มองเห็นโอกาสการขยายโรงพยาบาล ไปยังจังหวัด ที่ใกล้ชายแดนมากขึ้น บทวิเคราะห์บมจ.หลักทรัพย์(บล.)ธนชาตฯ คงคำแนะนำ"ซื้อ"หุ้น BGH ให้ราคาเหมาะสม 135.00 บาทต่อหุ้น โดยมองว่า BGH มีกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่ดี เนื่องจากมีเครือข่ายที่ครอบคลุมและแข็งแกร่งทั่วประเทศ รวมถึงการให้บริการลูกค้าในทุกกลุ่ม การปฏิบัติดังกล่าวจะช่วยเพิ่มกำลังผนึก (Synergy) ภายในเครือ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันประเมินว่าปี 2555 รายได้บริษัทดังกล่าวเติบโต 17% ซึ่งเป็นการเติบโตจากการดำเนินธุรกิจปกติ(ออร์แกนิก โกรท ) และคาดว่าภายในปี 2558 รายได้แตะระดับ 7-7.5 หมื่นล้านบาท ด้านอัตรากำไรสุทธิคาดว่าทรงตัวในระดับ 13%ต่อปี อนึ่งปี 2554 BGH มีรายได้รวม 3.77 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 4.38 พันล้านบาท งวด 9 เดือน ปี 2555มีรายได้รวม 3.66 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิ 6.53 พันล้านบาท จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,810 วันที่ 17 - 19 มกราคม พ.ศ. 2556 ที่มา: http://www.thanonline.com
โดย
pak
พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2013 6:52 pm
0
0
Re: กิจการไทยทำ M&A น้อยไปหรือเปล่า
GSTEL คาดปีนี้มีกำไร-เล็งควบรวม GJS ได้สำเร็จในปีนี้ ผู้บริหาร บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEL เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีกำไรจากการดำเนินการผลิตเหล็กได้ประมาณ 80-90% ซึ่งในไตรมาส 2 จะถึงจุดคุ้มทุน โดยคาดว่าในครึ่งแรกปีนี้ หนี้ของบริษัทจะลดเหลือ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 550 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะมาจากการเพิ่มทุน และการเจรจาปรับหนี้กับธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ คาดว่า GSTEL ที่จะควบรวมกับบริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GJS ภายในปีนี้จะดำเนินการได้สำเร็จ ซึ่งจะทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 5-6% โดยกำลังการผลิตรวมทั้ง 2 บริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 3.3 ล้านตันต่อปี ขณะที่ ยอดขาย 2 บริษัทในปีนี้จะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท และเพิ่มเป็น 6 หมื่นล้านบาทในปีหน้า
โดย
pak
พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2013 6:17 pm
0
0
Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!
ตัดมาเก็บไว้อ่านครับ ตั้งแต่ 2008 Voting..0 UpvoteDownvote ระวังแก็งเสี่ยดกหุ้นอาราวาด ตัวอย่าง หุ้น NNCL มีเรื่องที่น่ารู้มาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับขบวนการปั่นหุ้นขาลงเพื่อหลอกนักลงทุนรายย่อยให้ขายหุ้น หรือ ยุทธการเขย่าข่มฝันเพื่อเก็บของ สึ่งที่ส่งมาด้วยข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการหลอกล่อรายย่อยให้ขายหุ้น เป็นวิธีการที่บ่อนทำลายความ เชื่อมั่นนักลงทุนและเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นทำ ให้นักลงทุนรายย่อยที่มีส่วนสำคัญในการ พัฒนาตลาดหุ้นไม่มีความมั่นใจในการลงทุน ถ้าปล่อยให้ก็วนนักลงทุนรายใหญ่เอาเปรียบโดยการกดราคา หุ้นเพื่อมาเก็บของคืน เรื่องมีอยู่ว่า ก็วนผู้ถือหุ้นนักลงทุนรายใหญ่ กลุ่ม IEC , Blistel ที่มีราย ชื่อ ซ้ำ ๆ กัน รวมถึง สาว ไฮโซ เจ้าของ เมืองไทยประกันภัยในกลุ่ม เสี่ย 2 ทึ่มีวิธีการที่ลำลึก ที่ ชอบไล่ราคาหุ้นที่ไม่มีอนาคตทางธุรกิจ ให้ราคาไปไกลเกินฝันแล้วกดราคาหุ้นดี ให้รายย่อยคายหุ้นเพื่อ การสะสมหุ้นในราคาถูก ๆ คืน หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือหุ้น NNCL ที่มีรายชื่อ ปิดสมุดทะเบียนผู้ ถือหุ้น เดือน เก้า ปี ที่แล้ว ที่กลุ่มก็วน ฉัตร์สุดา ตัวแทน เสี่ย มีหุ้นอยู่ในมือ รวมกัน ประมาณ 200 ล้านหุ้น ซึ่งมีหุ้น อยู่ในตลาดหมุนเวียน ประมาณ 300 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือประมาณ 700 ล้านหุ้นอยู่ในมือ ผู้ถือหุ้นเดิมในครอบคลัวทหารเจ้าของที่ดินที่ตั้งอุตสหกรรม นวนคร สาเหตุมีอยู่ว่าหุ้น ตัวนี้ NNCL มี รอบเล่นจัด ในปีที่แล้วก็เลยถูกตลาดหลักทรัพย์จัดชั้นให้เป็นหุ้นปั่นโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่พื้นฐานบริษัทนี้มี ทรัพย์สินที่ดินและธุรกิจต่อเนื่องมหาศาลในครอบครองแต่ก็ถูกจัดชั้นโดยนิยามให้เป็นหุ้นปั่นจากทางตลาด หลักทรัพย์ เพราะเหตุการเมื่อสองปีที่แล้วตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงซบเซาสุดขีด และเมื่อหุ้นตัวเล็กราคา ขยับขึ้นเลยถูกจัดชั้นให้เป็นหุ้นปั่นโดยปริยาย เลยทำให้ท่านผู้บริหารบริษัททหารเกิดความวิตก จากมาตรา การตลาด เพื่อลดความร้อนแรงในตัวหุ้นก็เลยมีการระบายของออกมาจากก็วนแล้วหวังว่าอาจจะมีโอกาศ เก็บของคืน 200 ล้านหุ้นในราคาต่ำเตี้ยติดดิน ในตลาดหุ้นจากรายย่อย ทีหลงกลขาย และต่อไปนี้ ก็ไม่ ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ก็วนรายใหญ่ จะใช้วิธีการกดราคาขย่มรายย่อย เพราะมีรายใหญ่นักลงทุนต่างชาติที่ เห็นโอกาสโดด สอยเก็บหุ้นจากก็วนรายใหญ่ที่หวังตั้ง ราคา offer หลอกช่องละหลายล้านหุ้น ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บางครั้งมีจำนวน offer มากถึง 20 ล้านหุ้น ซึ่งแน่นอน ผิดปรกติของคนที่อยากขาย หุ้น ก็เลยถูกกองทุน เฮ็ดฟัน ของ โบรกเกอร์ค่าย ทหาร ที่มีฝารั่ง ออสเตเลียถือหุ้นใหญ่ และกองทุนนี้ใหญ่ ไม่ใหญ่ ก็ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท นวนครได้สบาย อย่าว่า 200 ล้านหุ้นเลย ที่ก็วนรายใหญ่ขย่มกดลงมา เอาของเลย กองทุนเค้ามองว่า มูล ค่า บริษัทที่ราคา 2 บาท ที่ถูกกด เทียบกับทรัพย์สิน ที่ดินที่บริษัท สะสมมาในช่วง 30 ปีมันถูกแถมมีโครงการทำโรงงานไฟฟ้าขายน้ำประปาให้กับโรงงานในอุตสหกรรม รวมถึงธุรกิจทั้งหมดน่าจะเกือบถึงหมืนล้าน แต่ราคาหุ้นกับถูกเสี่ยกดให้เหลือ 2 บาท แล้วนักลงทุนราย ย่อยจะไปตกใจทำไมกับการกดราคาของกลุ่มเสี่ย และอยากจะเห็นกลุ่มเสี่ย ไปยืมหุ้นรายใหญ่มาขาย short กดราคาและคิดว่ารายย่อยจะคายหุ้นออกมา ก็ต้องเจอ กองทุน เฮ้ดฟัน สวน กับเพราะราย ใหญ่แก็ง กดหุ้นกระสุนหมด ตอนนี้ก็คอยติดตามชมว่า offer ช่องละ ๆ หลาย ๆ ล้าน ออก มาหลอกอีกหรือไม่ กองทุนจะได้สวนกับยึดคลองหุ้นกินปันผล 8 เปอร์เซ็น ซะเลย และเห็นทีแก็งนี้ถ้า short หุ้นจริงและกะ ว่าจะ กดลงมาซึ้อคืนในราคาต่ำคงจะยากเพราะ กองทุนดักรอดู OFFER อยู่ ท่าทาง แก็งเสี่ยกดหุ้นคงต้อง แพ้ทาง กองทุนฝรั่งแน่นอนเพราะเงืนหนาและเก็บหุ้น NNCL ได้อีกหลายโขเดอะ เอ้า แฟน หุ้น NNCL ช่วยกัน เชียรให้เสี่ยทุบหุ้นหน่อย จะได้จบ ๆ ซะที หุ้นจะได้ขึ้นมาซะท้อนราคาธุรกิจเสียที
โดย
pak
พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2013 5:49 am
0
1
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
ข่าวเก่าๆครับ PTT signs 20yr LNG deal with Qatar Published: 13 Dec 2012 at 12.53 Online news: PTT Plc has signed an agreement with Qatar Liquefied Gas Ltd (Qatargas) to buy liquefied natural gas (LNG) over 20 years at an annual volume of 2 million tonnes, with the first delivery set for January 2015. PTT president and CEO Pailin Chuchottaworn said in an issued statement this is Thailand's first long-term LNG contract. It will help ensure long-term national energy security. Production from the Gulf of Thailand and imports from neighbouring countries are inadequate, yet domestic gas demand keeps climbing due to economic growth. Qatargas and PTT have maintained cordial relations since mid-2011, when it supplied the first commissioning LNG cargo for Asean's inaugural receiving terminal, in Map Ta Phut Industrial Estate in Rayong, Mr Pailin said in the statement. "Qatargas has particularly helped Thailand by delivering LNG to make up for missing gas supplies from our transmission system, which was facing problems at the time. Successful cooperation between the two organisations, made possible with the support of both countries, is a milestone for a continued cordial partnership," he said. Thailand's gas demand under the third revision of the Power Development Plan between 2010-2013 looks set to grow across the board in the power, industrial, petrochemical and transport sectors. This would require Thailand to import more LNG in the future and to expand the LNG receiving terminal's capacity from 5 to 10 million tonnes a year, which is now planned for completion in 2017. Qatar's national energy company, Qatargas is 70% owned by the Doha government and is the world's largest LNG producer and distributor, with a capacity equivalent to about 30% of worldwide LNG trade. It holds over 900 trillion cubic feet in gas reserves, enough to fulfill global projected demand for more than a century.
โดย
pak
พุธ ม.ค. 16, 2013 6:11 pm
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
'พงษ์ศักดิ์'ส่งซิกเลิกหนุนพลังงานแสงอาทิตย์ โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, วันที่ 15 มกราคม 2556 17:48 "พงษ์ศักดิ์"ส่งสัญญาณเลิกส่งเสริมโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ชี้เป็นภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน เตือนสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้รับความเสี่ยงโครงการเอง นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในปี 2556 นี้กระทรวงพลังงานมีแนวทางที่ชัดเจนในการสนับสนุนการผลิลไฟฟ้าจากไบโอแก๊ส เป็นเชื้อเพลิงที่ได้จากการหมักหญ้าเนเปียร์ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำแผนระยะยาวในการส่งเสริมให้เกิดขึ้นจำนวน 10,000 เมกะวัตต์ ภายในระยะเวลา 10 ปี ที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่จะมีการนัดหมายการประชุมในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ ตามเป้าหมายจำนวน 2,000 เมกะวัตต์ นั้น หากโครงการใดไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามแผนก็จะต้องถูกยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไป โดยจะไม่มีการรับซื้อเข้ามาเพิ่ม และได้ส่งสัญญาณไปถึงสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้กับโครงการให้พิจารณารับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเอง เนื่องจาก กระทรวงพลังงานไม่มีนโยบายที่จะสนับสนุนเนื่องจาก โครงการโรงไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ ที่ได้รับการอุดหนุนส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า (Adder) จำนวน 8 บาทต่อหน่วยนั้น เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานอีกประมาณ3บาทต่อหน่วย ผู้ประกอบการจะได้รับอัตราค่าไฟฟ้าถึง11บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นภาระต่อค่าไฟฟ้าที่จัดเก็บกับประชาชน แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมามีโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ที่เสนอขายไฟฟ้าให้กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำนวนประมาณ 2,800 เมกะวัตต์ โดย กฟภ.มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แล้วประมาณ 2,000เมกะวัตต์ และอีกประมาณ 800เมกะวัตต์ ยังไม่ได้รับการพิจารณาในการซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการที่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้จริง จำนวนประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ ที่เหลืออีกประมาณ800 เมกะวัตต์ อยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการ ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นต่อ กฟภ.ไปว่า หากโครงการที่มีความก้าวหน้าไม่ถึง 80% ก็ไม่ควรที่จะขยายระยะเวลาการดำเนินการออกไป ทั้งนี้ โครงการที่มีปัญหาส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ใช้เทคโนโลยี ที่เรียกว่า Thermal Solar Plant ซึ่งมีต้นทุนที่สูงและสถาบันการเงินไม่สนใจที่จะปล่อยกู้ ซึ่งมีจำนวนประมาณ500เมกะวัตต์ และผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวพยายามที่จะยื่นเรื่องของเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี แต่กระทรวงพลังงาน ไม่อนุมัติ ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการยื่นขอโครงการมาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบันผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวยังไม่มีรายใดสามารถที่จะดำเนินโครงการเพื่อจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เลย โดยส่วนใหญ่จะต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบภายในปี 2557 สำหรับความคืบหน้าการจัดทำระบบฟีทอินทารีฟ หรือ ระบบการสนับสนุนเงินในการผลิตไฟฟ้าตามต้นทุนที่แท้จริง (Feed in tariffs หรือ เอฟไอที)เพื่อมาใช้แทนระบบแอดเดอร์นั้น ขณะนี้ได้ข้อสรุปเบื้องต้นหลังจากผ่านการทำประชาพิจารณ์ไปเมื่อปลายปี 2555 โดยจะใช้ระบบฟีทอินทารีฟสำหรับไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ 5.12 บาทต่อหน่วย ขณะที่แอดเดอร์ปัจจุบันอยู่ที่ 6.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งภาคเอกชนบางส่วนไม่เห็นด้วยเพราะกำไรลดลง อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ไม่สนับสนุนเรื่องของโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ อาจจะทำให้ การพิจารณานโยบายเรื่องของ Feed in Tariff ในส่วนของโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ที่อาจจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าอีก700-800 เมกะวัตต์ เพื่อให้ครบ 2,000 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมาย ทั้งตั้งไว้ อาจจะต้องชะลอการดำเนินการไปก่อน
โดย
pak
พุธ ม.ค. 16, 2013 6:10 pm
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
PTT OPENS JAKARTA OFFICE Source - The Nation (Eng), Wednesday, January 16, 2013 1(770).jpg PALIN CHUNCHOTTAWORN, president and chief executive officer of PTT, presides over the grand opening of the representative office for PTT International Trading Pte Ltd and PTT Polymer Marketing Co Ltd in Jakarta. PTT is one of the largest integrated petroleum producers in Asia, and the opening of the Jakarta office marks another step in its continuous expansion in this region.
โดย
pak
พุธ ม.ค. 16, 2013 5:19 pm
0
1
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
ดันรง.เอทานอลช่วยรับซื้อหัวมันปตท.ขานรับ-บางจากดูต้นทุนก่อนขึ้นราคาน้ำมัน Source - ประชาชาติธุรกิจ (Th), Wednesday, January 16, 2013 พาณิชย์ดึงกระทรวงพลังงานพยุงราคาหัวมันสดให้โรงงานเอทานอลรับซื้อ 2.50 บาท/กก. จากเดือน ม.ค.-มี.ค. 1.6 ล้านตัน ผู้ค้าน้ำมันทั้ง ปตท.-บางจากรับลูกพร้อมซื้อเอทานอลแพงขึ้น 2-3 บาท/ลิตร ผู้สื่อข่าวประชาชาติรายงานว่า ใน การประชุมคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง 2555-2556 เมื่อเร็ว ๆ นี้ตัวแทนกระทรวงพาณิชย์กับตัวแทนกระทรวงพลังงาน ได้ประสานให้โรงผลิตเอทานอลเข้ารับซื้อหัวมันสำปะหลังสดเท่าราคารัฐบาลแทรกแซง กก.ละ 2.50 บาท จำนวน 1.6 ล้านตัน ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2556 เพื่อลดผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ พร้อมกับหารือถึงความร่วมมือ ต่อเนื่องในปีการผลิต 2556/2557 ขอให้โรงผลิตเอทานอลรับซื้อเพิ่มอย่างน้อย 7.5 ล้านตัน หรือสัดส่วนประมาณร้อยละ 30 ของผลผลิตหัวมันสำปะหลังสดรวม ที่คาดว่าจะออกสู่ตลาด 25-26 ล้านตัน ในราคาตามนโยบายแทรกแซงราคาของรัฐ นอกจากนี้ กรมการค้าภายในได้ออกมาตรการการขนย้ายหัวมันสดและมันเส้นตั้งแต่ 5,000 กก. (5 ตัน) ตามจังหวัด ติดชายแดน ต้องได้รับอนุญาตก่อน สำหรับความคืบหน้าโครงการแทรกแซง รับซื้อหัวมันสด ยังมีปริมาณเข้าโครงการน้อยเพียง 1.5 แสนตัน คาดการณ์ สิ้นโครงการเดือน มี.ค.นี้จะมีหัวมันสดเข้าโครงการ 10 ล้านตัน นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากนโยบายดังกล่าวโรงงานเอทานอลจะทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้รับจำนำมันสดแทนรัฐบาล เพื่อช่วยรักษาราคามันสดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ก่อนหน้านี้กระทรวงพลังงานได้หารือกับบริษัทผู้ค้าน้ำมันและโรงงาน ผู้ผลิตเอทานอลแล้ว และพร้อมจะปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐ ตามเป้าหมาย ปีนี้จะรับซื้อมันสดเพื่อมาผลิตเอทานอล 1.6 ล้านตัน จากเดิมวางเป้าหมายว่าไตรมาส 1 จะรับซื้อได้ 400,000 ตัน และไตรมาส 2 อีก 400,000 ตัน โรงงานผลิตเอทานอลสามารถรับ ปริมาณมันสดที่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตทั้งระบบอยู่ที่ 1.3 ล้านลิตร/วัน แต่สามารถเดินเครื่องผลิตจริงเพียง 600,000 ลิตร/วัน ปริมาณเอทานอล ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะมีความต้องการใช้น้ำมัน ในกลุ่มแก๊สโซฮอล์มารองรับ ภายหลัง จากที่กระทรวงพลังงานได้ประกาศยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2556 ที่ผ่านมา "เหมือนเป็นการ shortcut ให้กับการรับจำนำมันสำปะหลังของภาครัฐ ลด ค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะเมื่อเวลารัฐรับจำนำแล้วจะต้องแปรรูปจากมันสดมาเป็นมันเส้น แต่การส่งเข้าโรงงานเอทานอลไม่มีต้นทุนตรงนี้ ซึ่งหน้าโรงงานเอทานอลจะมี เจ้าหน้าที่จากองค์การคลังสินค้า (อคส.) มาดำเนินการอยู่ด้วย เมื่อซัพพลายส่วนหนึ่งหายไปจากตลาดก็จะส่งผลให้ราคามันสดขยับขึ้น การประสานงานระหว่างกระทรวงทำให้ได้ประโยชน์ 2 เด้ง นอกจากลด ค่าใช้จ่ายจากการรับจำนำแล้ว ยังช่วยราคาผลผลิตของเกษตรกรด้วย" นายประพนธ์กล่าวว่า กระทรวงพลังงานยืนยันกับกระทรวงพาณิชย์ ว่า จะต้องบริหารจัดการราคามันสดให้ไม่เกิน 2.50 บาท/กก. เพราะหากสูงกว่านี้จะส่ง ผลกระทบต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่ต้องนำเอทานอลมาผสม ซึ่งหลังจากมีมติร่วมกันกระทรวงพาณิชย์จะวางแผนบริหารจัดการเพื่อให้ราคามันสดไม่เกินจากราคาดังกล่าว เพราะหากราคาสูงกว่านี้โรงงานเอทานอลอาจจะรับซื้อมันสดไม่ได้ตาม เป้าหมายที่กำหนดไว้ 1.6 ล้านตันในปีนี้ และ 6 ล้านตันในปี 2557 ด้านนายสรัญ รังคสิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรณีกระทรวงพลังงานให้โรงงานเอทานอลรับซื้อมันสำปะหลังในราคา 2.50 บาท/กก. เพื่อนำมาผลิตเป็นเอทานอล ว่า จะส่งผลให้ราคารับซื้อเอทานอลหน้าโรงงานเพิ่มขึ้น 2-3 บาท/ลิตรจากปัจจุบัน แต่ไม่ส่งผล ต่อราคาขายปลีกเพราะเอทานอลมีส่วนผสม ในน้ำมันเพียงแค่ร้อยละ 10 ขณะที่นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หากราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังสูงขึ้นย่อมส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ถ้าราคาเอทานอลสูงขึ้น จากปัจจุบันที่เฉลี่ย 22-24 บาท/ลิตร เป็น 25 บาท/ลิตร ฉะนั้น อาจต้องปรับราคาขายปลีกน้ำมันเพื่อรักษาค่าการตลาดไว้ ทั้งนี้ เชื่อว่าประชาชนสามารถรับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้เพราะคุ้นเคยกับการปรับราคาขึ้นลงตลอดเวลาอยู่แล้ว พลังงานพยุงราคามันสด - กระทรวงพลังงานขานรับกระทรวงพาณิชย์ ช่วยรักษาสมดุลราคามันสำปะหลัง ผันมันสดที่ควร เข้าโครงการรับจำนำมาเข้าโรงงานผลิตเอทานอลแทน แม้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์จะเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่กระทบราคาน้ำมัน --จบ--
โดย
pak
พุธ ม.ค. 16, 2013 5:16 pm
0
0
Re: กลุ่มสื่อ,สิ่งพิมม์และบันเทิง
โฆษณาปี'55โตเกือบ13%ปีนี้คาด10% Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Wednesday, January 16, 2013 โพสต์ทูเดย์ -ปิดยอดอุตฯ โฆษณาปี 2555 เม็ดเงิน 1.17 แสนล้านบาท โตเกือบ 13% ขณะ ธ.ค.โต23.27% บริษัท เดอะ นีลเส็น คอมพานีรายงานตัวเลขการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมโฆษณาปี 2555 มียอดรวม1.17 แสนล้านบาท โต 12.42% จากปีก่อน โดยสื่อที่โตสูงสุด3 อันดับแรกได้แก่ อินสโตร์ มีเดีย 68.85% มูลค่า2,732 ล้านบาท สื่อโรงภาพยนตร์67.68% มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาทและอินเทอร์เน็ต โต 21.91% มูลค่า573 ล้านบาท ขณะที่เดือน ธ.ค. ใช้งบโฆษณารวม 9,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น23.27% เทียบเดือนเดียวกันปีก่อนเช่น สื่อโทรทัศน์โต 28.75% หรือ5,580 ล้านบาท สำหรับแบรนด์ที่ใช้งบโฆษณาสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถปิกอัพอีซูซุ เครื่องดื่มโค้กรถยนต์โตโยต้าระบบโทรศัพท์แฮปปี้ และ ปตท. กรุ๊ป นายวิทวัส ชัยปาณี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ครีเอทีฟ จูซแบงคอก กล่าวว่า ภาพรวมโฆษณาปีนี้จะโตกว่า 10% หรือ 1.4 แสนล้านบาท ขณะที่ภาพรวมโฆษณาปีที่ผ่านมาโต 10% มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท สินค้าที่โฆษณาสูง คือ กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เช่น น้ำอัดลม เนื่องจากเจ้าของสินค้าทั้งโค้ก และเอส โคล่า ใช้งบโฆษณาจำนวนมาก กลุ่มรถยนต์ใช้งบมากจากนโยบายรถคันแรกด้านสื่อโฆษณาที่ จะมาแรงปีนี้ คือ สื่อเคเบิลทีวีและทีวีดิจิตอล เนื่องจากผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่หันไปใช้สื่อโฆษณามากขึ้นคาดว่าจะโตเท่าตัวเป็น 4 หมื่นล้านบาท --จบ--
โดย
pak
พุธ ม.ค. 16, 2013 5:14 pm
0
0
Re: "รอ..."
แค่ "รัก" ในสิ่งที่ทำครับ cgDI03DBUQ4
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 15, 2013 10:34 pm
0
0
Re: ถือหุ้นรับเหมาแล้วเหนื่อยใจ
ITD เซ็นสัญญารับใหม่ 2 โครงการในไทย-อินเดีย มูลค่ารวม 1.77 พันลบ. อินโฟเควสท์, 15 ม.ค. 56 บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาก่อสร้าง จำนวน 2 โครงการ ทั้งโครงการในประเทศและประเทศอินเดีย มูลค่างานรวม 1.77 พันล้านบาท โครงการแรกเป็น โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จ.กำแพงเพชร และ จ.อุบลราชธานี ของ บจก. บึงสามพัน โซล่าร์,บจก.นอร์ธเวสต์ โซล่าร์, บจก.ไนน์ เอ โซล่าร์, บจก.โซล่าร์เทคเอ็นเนอยี และ บจก.อี เอส พี พี มูลค่างาน 315,437,030.41 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 240 วัน ลักษณะงานก่อสร้าง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อสร้างที่ จ.กำแพงเพชร ขนาดกาลังการผลิต 8 MW จำนวน 4 โครงการ และก่อสร้างที่ จ.อุบลราชธานี ขนาดกำลังการผลิต 6 MW.AC. จำนวน 1 โครงการ ขอบเขตของงานในส่วนของบริษัท ประกอบด้วยงานด้านโยธาทั้งหมด งานปรับพื้นที่ งานฐานราก(ไม่รวมงานจัดหาเสาเข็ม) และติดตั้ง Mounting Structure ,PV modules ,งานก่อสร้างถนน,ระบบระบายน้า,กาแพงดินกั้นน้าและสถานีไฟฟ้าภายในโครงการ ส่วนอีกโครงการเป็นงานก่อสร้าง Delhi Metro Contract CC 26 R ,ประเทศอินเดีย ในนามของกิจการร่วมค้า ITD-ITD CEM ซึ่งเป็นโครงการของบริษัท เดลลี เมโทร เรล คอร์ปอเรชั่น จากัด มูลค่าโครงการ 5,460 ล้านรูปีอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนงานของ ITD ในสัดส่วน 51% คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 2,784.60 ล้านรูปีอินเดีย เทียบเท่ากับ 1,454,953,500 บาท อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 12 ธ.ค. 2555 : 1 รูปีอินเดีย เท่ากับ 0.5225 บาท โครงการดังกล่าวเป็นงานก่อสร้างประกอบด้วย งานออกแบบ และก่อสร้างงานรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนยกระดับ พร้อมทางเข้า-ออก โรงซ่อม บารุง และสถานี 8 สถานี รวมงานสถาปัตยกรรม, งานระบบประปา, งานระบบสุขาภิบาล และระบายน้า
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 15, 2013 1:47 pm
0
0
Re: รวมข่าว "การลงทุนในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี"
MDX แรงในรอบ 2 เดือน ลุ้นบันทึกรายได้ขายที่ดิน-โรงไฟฟ้าโตพรวด ข่าวหุ้น, วันอังคารที่ 15 มกราคม 2556 เวลา 11:08:16 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MDX ณ เวลา 11.02 น.อยู่ที่ระดับ 8.45 บาท บวก 0.45 บาท หรือ 5.62% ราคาหุ้นปรับตัวแรงในรอบ 2 เดือน นับตั้งแต่หุ้นปรับตัวอยู่ที่ระดับ 8.40 บาท เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 55 บล.เอเชีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะนำหุ้น MDXในฐานะที่เป็นหุ้นเล็ก ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีมากอีกบริษัทหนึ่ง ทั้งนี้แม้จะเป็นผู้พัฒนาที่ดินเพื่อขาย “นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้" ตั้งอยู่ที่ จ.ฉะเชิงเทรา แต่ได้ขยายฐานธุรกิจไปยังโรงไฟฟ้า ทำให้รายได้ และ กำไรมีความมั่นคงมากขึ้น โดยกำหนดมูลค่าที่เหมาะสมของ MDX ที่ PER 8 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม จะให้มูลค่าเหมาะสมที่ 11.88 บาท ทั้งนี้ หากพิจารณาโครงสร้างรายได้ของ MDX ในปี 2555 พบว่ามาจากยอดขายที่ดิน 900 ล้านบาท และสถานะสิ้นปี 2555 MDX มีที่ดินที่พัฒนาแล้วรอขาย 300–400 ไร่ และที่ดินรอพัฒนาอีก 900 ไร่ นอกจากนี้ยังมี Backlog ที่รอโอนฯอีก 70–80 ล้านบาท (ราคาขาย 2.7 ล้านบาท/ไร่) ซึ่งคาดว่าจะทำให้ MDX สามารถบันทึกรายได้จากการขายที่ดินประมาณ 590–600 ล้านบาทในงวดปี 2556 ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่ง MDX ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (น้ำเทิน-หินบูน) 20% และ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมบางบ่อ 32% โดยในปี 2556 คาดว่า MDX จะบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 295 ล้านบาทในปี 2555 มาเป็น 625 ล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตส่วนเพิ่มของโรงไฟฟ้า น้ำเทิน-หินบูน 290 MW (จากเดิม 210 MW เป็น500MW) เริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่ต้นปี 2556 องค์ประกอบดังกล่าวน่าจะทำให้กำไรของ MDX เพิ่มขึ้น 35.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 706 ล้านบาท หรือ 1.49 บาท/หุ้น
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 15, 2013 12:08 pm
0
0
Re: ถือหุ้นรับเหมาแล้วเหนื่อยใจ
STEC-UNIQวิ่งรับข่าวดีศุกร์นี้ 15-01-2013 04:10:37 คมนาคม’นัดเซ็นรถไฟสายสีแดงสัญญา1 STEC-UNIQ หลุดบ่วง คมนาคมนัดเซ็นงานสัญญา 1 โครงการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต 18 ม.ค.นี้ พร้อมเรียกผู้ยื่นซองสัญญา 3 เข้าแจง กรณีเป็นกรรมการซ้อน 2 กลุ่ม “ประภัสร์” เชื่อ ไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.ฮั้วประมูล เพราะคนเดียวกันสามารถนั่งหลายบอร์ดได้ หากอธิบายชัด เดินหน้าประมูลต่อทันที นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 18 มกราคมนี้ ร.ฟ.ท.จะลงนามโครงการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 1(งานก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อและอาคารซ่อมบำรุง) มูลค่า 29,828 ล้านบาท กับกลุ่มกิจการร่วมค้า SU ประกอบด้วย บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC และบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ ผู้รับงาน ส่วนสัญญาที่ 2 งานก่อสร้างงานโยธาและสถานี ระยะทาง 26 กิโลเมตร มูลค่า 21,235 ล้านบาท ที่มีบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD เป็นผู้รับงาน ซึ่งการประกวดราคาเสร็จสิ้นแล้วเช่นกันนั้น ยังไม่สามารถลงนามได้ เพราะต้องนำส่งผลการประกวดราคาให้องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (JICA) ผู้ให้เงินกู้ รับทราบก่อน “18 ม.ค.นี้ เราจะลงนามสัญญากับเอกชนผู้รับงานสัญญา 1 ส่วนสัญญาที่ 2 แม้ประมูลเสร็จแล้ว แต่ยังลงนามไม่ได้ เพราะตอนนี้ได้ส่งผลประมูลไปให้ JICA พิจารณา ถ้าเขาแจ้งกลับมาว่าไม่มีปัญหาอะไร เราก็พร้อมลงนามทันที” นายประภัสร์ กล่าว สำหรับการประกวดราคาสัญญาที่ 3 งานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้าบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน มูลค่า 28,899 ล้านบาท ที่มีปัญหาการตีความกรณีผู้ยื่นข้อเสนอเป็นกรรมการทับซ้อนกัน ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้วประมูล) นั้น นายประภัสร์ กล่าวว่า คณะกรรมการประกวดราคาที่มีนายภากรณ์ ตั้งเจตสกาว รองผู้ว่า ร.ฟ.ท. เป็นประธาน จะเชิญเอกชนที่เข้ายื่นข้อเสนอทั้ง 4 รายมาชี้แจง ในวันที่ 18 มกราคมนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นเห็นว่า การประกวดราคาสัญญา 3 ยังไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.ฮั้วประมูล เพราะการที่บุคคลใดเป็นกรรมการซ้อนใน 2 กลุ่มที่ยื่นประกวดราคา เป็นเรื่องปกติของประเทศญี่ปุ่นโดยไม่ถือว่าผิดกฎหมาย และมักนิยมกระทำเพื่อให้การประกวดราคาเกิดความโปร่งใส โดยกรรมการจะไม่เข้าประชุมในเรื่องที่มีส่วนได้เสีย ซึ่งประเทศไทยอาจยังไม่คุ้นกับวิธีการเช่นนี้ จึงมองว่าเข้าผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ฮั้วประมูล “การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติที่ญี่ปุ่นและเขาถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งการที่เขาปฏิบัติตามกฎหมายของเขาแต่เราไปบอกว่าผิดกฎหมายฮั้วของเราคงไม่ได้ ที่สำคัญคือความผิดยังไม่ได้เกิดขึ้น การที่กรรมการคนหนึ่งจะนั่งเป็นบอร์ด 2 กลุ่ม ก็เหมือนกับประเทศไทยที่บุคคลคนหนึ่ง อาจนั่งเป็นบอร์ดหลายที่ก็ได้ แต่ต้องไม่เข้าร่วมประชุมในวาระที่มีส่วนได้เสีย ซึ่งเราก็ต้องให้เขามาชี้แจงตรงนี้ ถ้าเขาชี้แจง พิสูจน์ได้ชัดเจนก็เดินหน้าประมูลต่อ แต่ถ้าเขาชี้แจงแล้วเห็นว่ามีพฤติกรรมที่ผิดปกติเราก็ยกเลิกประมูลไปเท่านั้นเอง” นายประภัสร์ กล่าว สำหรับสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต สัญญาที่ 3 มีผู้ยื่นข้อเสนอ 4 ราย คือ 1.กลุ่มกิจการร่วมค้า MHSC Consortium (บริษัท MITSUBISHI Heavy Industrial Ltd บริษัท Hitachi และ บริษัท Sumitomo Corporation) 2.กลุ่มกิจการร่วมค้า SMCK Consortium (บริษัท SIEMENS Ak piengesellschaft บริษัท SIEMENS LIMITED บริษัท MITSUBISHI CORPORATION และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK 3.กลุ่มกิจการร่วมค้า MIR Consortium (บริษัท Maru Beni coporation บริษัท อิตาเลียนไทย ดิเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD และ บริษัท Hyundai Rotem Company) 4.กลุ่มกิจการร่วมค้า SAMSUNG Consortium (บริษัท Samsung engineering LTD บริษัท Chr zhu zhou electronic locomotive ltd บริษัท Sojitz jitz corperation และบริษัท Samsung SDS Ltd)
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 15, 2013 12:02 pm
0
0
Re: กิจการไทยทำ M&A น้อยไปหรือเปล่า
SCCทุ่ม4หมื่นล.ขยายธุรกิจ ซุ่มเจรจาซื้อกิจการในยุโรป 15 ม.ค. 56 ผู้บริหาร SCC "กานต์ ตระกูลฮุน" เดินแผนลงทุนปี 2556 เตรียมเงินทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท ขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ แย้มมีดีลเจรจาซื้อกิจการในยุโรป ฟากโบรกส่องผลงานปี 2556 เติบโตต่อเนื่องทั้ง 3 ธุรกิจหลักวัสดุก่อสร้าง-ธุรกิจกระดาษและผลิตภัณฑ์-ธุรกิจปิโตรเคมี เคาะเป้าหมาย 506 บาท
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 15, 2013 9:46 am
0
0
Re: แจก W .........เพิ่มทุน...........ซื้อหุ้นคืน
วันที่/เวลา 14 ม.ค. 2556 07:25:00 หัวข้อข่าว แจ้งการกำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 การจ่ายหุ้นปันผลและเงินสดปันผล การเพิ่มทุน หลักทรัพย์ PICO แหล่งข่าว PICO รายละเอียดแบบเต็ม ที่ http://www.set.or.th/set/newsdetails.do?headline=%E1%A8%E9%A7%A1%D2%C3%A1%D3%CB%B9%B4%A1%D2%C3%BB%C3%D0%AA%D8%C1%CA%D2%C1%D1%AD%BC%D9%E9%B6%D7%CD%CB%D8%E9%B9%BB%C3%D0%A8%D3%BB%D5+2556+%A1%D2%C3%A8%E8%D2%C2%CB%D8%E9%B9%BB%D1%B9%BC%C5%E1%C5%D0%E0%A7%D4%B9%CA%B4%BB%D1%B9%BC%C5+%A1%D2%C3%E0%BE%D4%E8%C1%B7%D8%B9&time=1358123100000&source=PICO&symbol=PICO&pdf=dat%2Fnews%2F201301%2F13001793.pdf++++++++++++++++++&filename=dat%2Fnews%2F201301%2F13001793.t13++++++++++++++++++&type=H&language=th&country=TH
โดย
pak
อังคาร ม.ค. 15, 2013 9:34 am
0
0
3133 โพสต์
of 63
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
pak
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ก.ค. 08, 2009 5:17 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ พ.ค. 22, 2016 9:53 am
โพสต์ทั้งหมด:
5659 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.30% จากโพสทั้งหมด / 0.99 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว