หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
miracle
Joined: เสาร์ ธ.ค. 18, 2004 1:38 pm
18134
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - miracle
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
การมาของเจ้าพ่อ Content -> Disney + ตอนนี้กระแสเรื่องของการรับชมภาพยนต์ที่บ้านนั้นเป็นกระแสที่มาในช่วงโควิค 19 เพราะว่า ทุกคนอยู่กับบ้าน ไม่สามารถไปข้างนอกได้ ไม่เพียงเท่านั้นโรงภาพยนต์ปิด หรือจำกัดจำนวนผู้รับชมต่อรอบ ต้องมี Social distancing และมาตรการควบคุมโรค ซึ่งทำให้ภาพยนต์ที่เข้าฉายในปี 2020 น้อยมากๆ เรียกได้ว่าต่ำมากในรอบ 20-30 ปีที่ผ่านที่ช่วงหน้าร้อนมีแต่หนังดีๆเข้า แต่กลับกลายเป็นปี 2020 ไม่มีหนังดีเข้ามา ซึ่งมันเป็นจังหวะที่ Disney ส่ง Disney + เข้ามายังตลาดนี้ โดยคู่แข่งรายสำคัญคือ Netflix ที่ตอนนี้เริ่มทำ original content เป็นของตัวเอง และไม่เพียงแค่นั้นเริ่มมีการยอมรับกันมากขึ้นในเวทีประกวดภาพยนต์ต่างๆ ที่จัดประกวดกัน Disney + มาที่ไหน Netflix ต้องปรับตัวที่นั้น เพราะ Disney + หัวใจที่สำคัญคือ การ์ตูนและเสริมทัพด้วย Marvel ,Starwar หรืออีกหลายแฟรนไซน์ ที่ยอดนิยม เลยทีเดียว จุดเด่นของ Disney + คือจุดนี้ คือ แฟนหนังที่สะสมมานานนั้นเอง การต่อสู้รอบนี้เหมือน โลกยุคเก่า VS โลกยุคใหม่ โดยตัวแทน คือ หนังยุคเก่า VS หนังยุคใหม่ นั้นเอง ต้องติดตามดูว่า เมื่อ Disney + เข้าเมืองไทย นั้นซ้ำรอยเมืองนอกหรือไม่ เพราะตลาดเมืองไทยเป็นตลาดที่ปราบเซียน มานักต่อนักแล้ว ประสบความสำเร็จที่ไหนก็ตาม แต่ที่เมืองไทยอาจจะล้มเหลวไม่เป็นท่าก็ได้ เพราะตลาดเมืองไทย ไม่เหมือนใคร
โดย
miracle
พฤหัสฯ. มิ.ย. 10, 2021 7:50 pm
0
0
Re: รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าเปิด 0.5% มีปัญหาพวกบริษัทที่ การกระจายหุ้นไปอยู่กับกลุ่มที่มากกว่า 0.5% บางบริษัท 3 อันดับเท่านั้น แต่หากมีจำนวนมาก หลายคน แบบเบี้ยหัวแตกก็ยาวเลย แต่หากเปิด 10 อันดับแรก บริษัทที่กระจายน้อยก็จะเห็นเป็น 10 อันดับ แต่หากบริษัทไหนที่มีเพียบถือใกล้ๆกัน ก็เห็น 10 อันดับเท่านั้น ทางที่ดี คือ เอาเกณฑ์ทั้งสองมารวมกัน ได้ประโยชน์มากที่สุด อันนี้จาก Clubhouse เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว จาก 0.5% เป็น 10 อันดับ จำนวนผู้ที่มีรายชื่อเพิ่มขึ้น เพราะบริษัทที่จุกตัว จะเปิดออกมาเพียบ แต่ทว่า พวกบริษัทที่กระจายดี เบี้ยหัวแตกก็ลดลง ตามที่บอกไว้
โดย
miracle
เสาร์ เม.ย. 10, 2021 5:21 pm
0
1
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
การรับฟังความคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วงนี้ออกมาแบบถี่ๆ กันเลย จำนวน 4 เรื่องด้วยกัน โดยดูที่ https://www.bot.or.th/Thai/Segmentation/Public/PublicHearing/Pages/default.aspx มีดังนี้ 1. (ร่าง) หลักเกณฑ์การกำกับดูแลโครงสร้างและขอบเขตธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 2. (ร่าง) หลักเกณฑ์การกำกับดูแลโครงสร้างและขอบเขตธุรกิจของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของบริษัทเงินทุน 3. การประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 4. หลักเกณฑ์การปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าบริการต่าง ๆ และเบี้ยปรับ โดยข้อ 1 และ 2 รับฟังในช่วง 10/04/2021 - 26/04/2021 ข้อ 3รับฟังในช่วง 01/04/2021 - 31/05/2021 ข้อ 4 รับฟังในช่วง 01/04/2021 - 26/04/2021 ลองไปอ่านดูได้ตามที่ระบุไว้
โดย
miracle
เสาร์ เม.ย. 10, 2021 3:24 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
การ Backup ของ Computer System อันนี้เกี่ยวข้องกับงานประจำที่ทำโดยตรง คือการออกแบบการสำรองข้อมูล ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ทางสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ Thaivi ก็มีปัญหาเรื่องระบบมีปัญหาจนต้องเอาระบบสำรองกลับขึ้นมา ทำให้ข้อมูลบางส่วนหายไป ซึ่งสิ่งที่แนะนำ อาจจะทำได้หรือไม่ก็ได้ แต่ทว่า มันเป็นแนวทางในการสำรองข้อมูล การสำรองข้อมูล สิ่งที่ต้องพิจารณา 1. ระยะเวลาที่ให้ในการสำรองข้อมูล ว่ามีมากแค่ไหน เคยเจอระบบที่ online 24x7 แบบไม่พักเลย แต่ต้องสำรองให้ได้ ทำไงละ งานเข้าอย่างแรง ต้องหาระยะเวลาที่ระบบนั้นทำงานน้อยที่สุด ซึ่งเป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนไปแล้ว (ระบบส่วนใหญ่ก็ทำงาน ณ เวลานั้นกัน) แล้วก็ต้องรู้ว่า ระยะเวลาในการสำรองข้อมูลเท่าไร นั้นคือระยะเวลาที่ระบบหน่วงลงไป จากการทำงานของสำรองข้อมูล นั้นเอง 2. การสำรองข้อมูลนั้น ทำแบบ Full Backup หรือ Backup level 0 คือเอามันทุกอย่างที่มีเก็บไว้เลย เรียกได้ว่า เวลา Restore มันก็ได้จุดนั้นเลย กับ incremental Backup คือ การสำรองจาก Full backup จนถึงเวลาที่ incremental backup ทำงาน สำรองเฉพาะส่วนที่แตกต่างจาก Full backup ไว้จนถึงเวลาที่สั่งการ สิ่งที่ได้คือลดเวลาที่ Backup ลง แต่ทว่า การRestore เมื่อมีปัญหาคุณต้องมี Full Backup + incremental backup ทำพร้อมกัน 3. การสำรองนั้น ไว้ที่ไหน ซึ่ง best practice คือ 1+1+1 คือ ที่ Site 1 (อาจจะเป็นตัวเครื่องก็ได้) : นอกจากนั้น 1 คือไปที่เครื่องอื่นแต่ต้องไม่ใช่ Siteนี้ เก็บไว้บน Cloud Storge ตัวอื่นที่ไม่ใช่ที่เราใช้บริการ แล้ว Offline 1 ที่ไม่ใช่ที่ Siteนั้น และไม่ใช่บน Cloud Storage ด้วย เรียกได้ว่า 1 Backup มีสำเนาไว้ 3 แห่ง ซึ่งดวงแตกคือ ทั้ง 3 ใช้งานไม่ได้ นั้นเอง เรียกได้ว่า ต้องไหว้พระ 7 วัด 7 วา กันเลยทีเดียวหากทำแบบนี้แล้วยังโดนอีก อาจจะมีคนบอกว่า บน Cloud ก็เพียงพอแล้ว ทำแค่ 1+1 แต่จริงแล้ว หาก Cloud มีปัญหาไป ใครรับผิดชอบละ อันนี้คือระดับของธนาคารใช้กันแบบนี้เลย 4. ต้อง test restore อย่างน้อยปีละ 1 ครั้งว่า มันสามารถทำงานได้ ไม่ใช่ทำอย่างเดียวไม่เคย Restore กลับ อันนี้ทั้งมีเรื่องเล่าของ admin ว่าโดนกันมานักต่อนักแล้ว กับโดนมากับตัวเองเลย ว่า Backup ทุกวันแต่ว่า Tape เสื่อมสภาพ เมื่อมีปัญหานั้นคือข้อมูล เมื่อสามปีที่แล้ว เอามาใช้ ต้องไปนั่งแก้ไขอีก 5. สิ่งที่แนะนำต่อไป ไม่ต้องใช้ Tool อะไรมากมาย ทุกระบบที่ใช้งานมี Backup ให้ใช้งาน database ก็มีคำสั่งของมัน ระบบปฏิบัติการก็มี ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อ แต่ทว่าต้องอ่านและเข้าใจมันหน่อยละกัน ว่าทำกันอย่างไร อาจจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาทำให้ (อาจจะเสียเงินซักนิด แต่คนในสมาคม TVI มีคนทางด้าน IT เพียบอาจจะขอแรงได้ ฟรีครับรายการนี้) อันนี้คือ แนะนำไว้ ละกัน เรื่องที่เล็กๆในวันนี้อาจจะสำคัญในวันหน้า ซึ่ง Backup and restore ก็ตกม้าตายกันนักต่อนัดแล้ว ซึ่งหากใครอ่านข่าว มีไฟไหม้ Cloud ใน EU แห่งหนึ่งที่เยอรมันนี ซึ่งไหม้แล้วทำให้ ธุรกิจเกี่ยวกับความบันเทิงไม่สามารถให้บริการได้ เพราะว่า ไม่มี Backup โดนผู้ใช้บริการถึงขั้นฟ้องเลยทีเดียว เหตุการณ์เมื่อเดือนสองเดือนที่แล้ว เป็นตัวอย่างที่ดีเลยทีเดียว :)
โดย
miracle
อังคาร เม.ย. 06, 2021 9:44 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ความกังวล ตอนนี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่คาดเดาได้ยากช่วงหนึ่งเลย ว่าเดินไปทางไหน เพราะ ว่า ปี 2020 ในไตรมาสที่ 2 นั้น เป็นช่วงที่ Lock down ทั่วโลก ประชาชนหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเคลื่อนไหว และ การทำงานก็ทำงานที่บ้าน คนอยู่กับบ้าน ทำให้ไตรมาสนี้ของปีที่แล้ว GDP ติดลบหนักมาก บางประมาณ ลงป -30% เลยก็มี แต่พอเวลาผ่านไป 1 ปี ไตรมาสที่ 2/2021 นั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้น เริ่มกลับมาปกติ คนในประเทศกลัวอดตายมากกว่ากลัวติดเชื้อ คนต้องเดินไปข้างหน้าต่อไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น การเดินทางก็เพิ่มขึ้น ไม่เพียงแค่เศรษฐกิจจริงเท่านั้น ยังมีเรื่องของการกระตุ้นทั้งทางการคลังที่แต่ละประเทศ ออกมาแจกเงินเข้ากระเป๋าประชาชนใช้จ่ายในช่วงเวลานี้ เพือเป็นกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชน ไม่เพียงแค่การคลังเท่านั้น การเงินก็ลดดอกเบี้ย อัดฉีดเงินเข้าระบบ แถมบางประเทศก็เอาเงินไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงโดยตรงเลย เพื่อพยุงตลาดการเงินไม่ให้ยุบตัว ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือเงินเฟ้อเมื่อประชาชนจับจ่ายมากขึ้นก็เกิดเงินเฟ้อ แลกด้วย GDP ที่เติบโตจากฐานที่ต่ำ สิ่งที่น่ากังวลเมื่อเงินเฟ้อมาแล้ว คือการขึ้นดอกเบี้ย หรือ การดูดเงินกลับของธนาคารกลาง ถ้าหากดูดกลับเร็วไป ก็ทำให้ เศรษฐกิจที่กำลังเดินหน้าก็ถดถอยอีกรอบ แต่ถ้าหากดูดช้าไปก็ทำให้เกิดการร้อนแรงเกินไป ซึ่งในอดีต ก็มีการเกิด Hyper inflation พร้อมกับขึ้นดอกเบี้ย แบบ 18% จนต้องใช้เครื่องมืออื่นมากด สิ่งนี้แหละที่กังวลใจ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของดิจิตอลหยวน อันนี้ มีมุมมองคือ ในจีนนั้น การใช้จ่าย E-payment นั้น อยู่ในภาคเอกชน ทำ ดิจิตอลหยวนออกมา นั้นคือ เพื่อลดอำนาจของภาคเอกชนหรือเปล่า น่าคิด เพราะช่วงเวลานี้ ก็เป็นช่วงที่จีนออกมาตราการมาเพื่อจัดการกับภาคการเงินของเอกชน แต่เรื่องนี้ก็มีอีกมุมมองคือ จีนเข้ามาสู่โลกของเงินดิจิตอล เป็นประเทศแรกที่ๆ ทำแบบนี้ (เหรียญส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชนที่ออกมายกเว้น ดิจิตอลหยวนเท่านั้น) จุดนี้แหละที่น่าติดตามว่า Case Study คืออะไร ส่งท้ายอีกเรื่องคือ เรื่องการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระ อันนี้ยังไม่ประกาศลงราชกิจจานุเษกษา แต่ต้องตบมือให้ ธปท ที่เป็นหัวหอกในเรื่องนี้ เริ่มจากภาคธนาคารที่ภาคใต้การกำกับดูแล ต่อมาก็เป็นการเข้าครม เพื่อเห็นชอบการแก้ไข ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ที่ปัจจุบันคิดทั้งก้อน แต่ที่แก้ไขคิดบนงวดที่ผิดนัดชำระเท่านั้น ดังนั้น ทำให้ ดอกเบี้ยที่ส่งจากการผิดนัดชำระลดลงนั้นเอง ทำให้ลูกหนี้มีโอกาสที่ลืมตาอ้างปากได้ แตกต่างกับเมื่อก่อนนี้คือ ไปสู่กระบวนการล้มละลาย ซึ่งศาลล้มละลายก็มีคดีเพิ่มขึ้น ถ้าออกมาแบบนี้ จำนวนคดีก็ลดลงได้นั้นเอง ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่อง NPL ที่เจรจากันยากมากๆ กว่าจะจบได้ ต้อง hair cut กัน ในส่วนนี้ต้องดูว่า การแก้ไข ระบบ IT ต้องใช้เวลาแก้ไข สามารถแก้ไขได้เร็วแค่ไหน
โดย
miracle
อาทิตย์ มี.ค. 14, 2021 9:18 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ทัวร์ลง กับการปรับตัวของหน่วยงานกำกับ ในอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่มีกระแสอะไร ที่ร้อนแรงไปกว่า การที่หน่วยงานกำกับดูแล ออกร่างรับฟังความคิดเห็น (ดูได้จาก https://www.sec.or.th/th/pages/pb_listview.aspx) ในส่วนของคุณสมบัตินักลงทุนสำหรับสินทรัพย์ดิจิตอล เรียกได้ว่า เปิดปุ๊บ ทัวร์ลงทันที เมื่อเปิดออกมาก็ทำให้ นักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลรวมกันให้ความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก จนกระทั่ง เลขาธิการของหน่วยงานกำกับต้องลงมารับฟังเอง โดยผ่าน ClubHouse พร้อมกับ คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวบรวมความคิดเห็นว่าควรดำเนิการอย่างไร เรื่องนี้มีข้อสังเกต ว่า 1. หน่วยงานกำกับ เริ่มปรับตัวใช้ช่องทางใหม่มากขึ้น ซึ่ง ClubHouse ในช่วงเวลาที่รับฟังนั้น คนฟังตอนที่ prime time ของ ห้องคือ มากกว่า 4k เลยทีเดียว แสดงว่ากระแสมากอยู่เหมือนกัน แต่ต้องตบมือให้ว่าปรับตัวเร็วมากๆ ไม่เพียงแค่ คนในหน่วยงานกำกับมาเปิดห้อง มีคนฟังตั้งแต่เปิดห้องยันปิดห้องเลย (ปิดประมาณ ตีสองหรือตีสามเลยทีเดียว เริ่มประมาณ สามทุ่มครึ่ง) 2. การออกร่างนี้จังหวะพอดีที่ หน่วยงานกำกับดูแลในต่างประเทศ ลดความร้อนแรงด้วย จังหวะเดียวกันเลย สิ่งที่แนะนำคือ 1. ควรปรึกษากับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน โยนหินก้อนใหญ่ออกมาถามทาง 2. ควรหาช่องทางที่สื่อสารกับนักลงทุนโดยตรง อย่างเช่น YouTube/PodCast/ClubHouse/FB เพื่อชี้แจงด้วย ไม่งั้นนักลงทุนฟุ้งมากๆ ขอบคุณครับที่ทำให้เกิด Event แบบนี้ขึ้นมา ตั้งแต่การลงทุนมา ก็เห็นครั้งนี้ครั้งแรกที่รับฟังแบบนี้ (แบบไม่เป็นทางการ)
โดย
miracle
อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 9:53 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ทำไม การลงทุนอินเดียถึงไม่น่าสนใจ ในมุมมองคนไทย อินเดียคือประเทศที่มีประชากรมากที่สุด อันดับ 2 ของโลก รองจากจีน ซึ่งอินเดียมีความหลากหลายของประชากรมาก นับถือศาสนาฮินดูมากที่สุด แต่มีคนที่นับถือศาสนาอื่นๆอยู่ด้วย โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม ประชากรนับถือศาสนาอิสลาม นั้นมีปัญหากับประเทศอินเดียตลอด คือ ปากีสถานและบังกลาเทศ การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย แปลกมาก ไม่มีข้อมูลอะไรที่ให้อ่านในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับอินเดียเลย แทบไม่มีข้อมูล แต่อินเดีย ที่น่าสนใจนั้นมีอะไรบ้าง 1. ประเทศที่มีประชากรอันดับ 2 ของโลก 2. อินเดียเป็นประเทศที่มีงาน Outsource ทาง IT สูงมากๆ 3. ตอนนี้คนเชื้อสายอินเดียเป็นผู้บริหารบริษัท IT ที่ US หลายบริษัท 4. การกระจายโรงงานออกจากจีน มีเป้าหมายไปที่อินเดียและเวียดนาม (จีน +1 นั้นเอง) แต่สิ่งที่มีปัญหาคือ 1. อินเดียเหมือนสหรัฐคือ รัฐบาลกลางก็ออกกฏหมายมาควบคุมแต่รัฐแต่และรัฐนั้น ก็สามารถออกกฏหมายของตัวเองได้อีกด้วย ทำให้ภาษีการค้าไม่เท่ากัน (สองสามปีที่ผ่านมาก็เริ่มทำลายเรื่องนี้ลงแล้ว) 2. เจองูกับเจอแขก จะตีงูหรือตีแขก 3. การเจริญเติบโตของเมืองนั้น แตกต่างกันมาก และสาธารณูปโภคต้องลงทุนอีกมาก แต่ทว่า อินเดียนั้นกำลังจะกลายเป็นโรงงานของโลกต่อไป ในอนาคต :)
โดย
miracle
พฤหัสฯ. ก.พ. 25, 2021 11:27 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
DeFi - Decentralized Finance (DeFi) ยุคที่สองของ BitCoin DeFi เป็นคำเรียกสั้นของ Decentralized Finance มันแตกต่างกับ BitCoin อย่างไรหรือ ต้องเล่าย้อนกลับไปยุคของเหรียญของก่อนว่า BitCoin เป็นเหรียญที่ทำหน้าที่คล้ายกับเงิน มีการแลกเปลี่ยนมือได้ ต่อมาพัฒนาเป็น Etherium (Eter-อีเทอร์) ที่สามารถเขียนสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นให้ดำเนินการก่อนเพื่อได้รับ Coin หรือเรียกได้ว่าเป็น Smart Contract ซึ่งต่อมาก็ยังไม่ค่อยมีการพัฒนาอะไรมากมาย แต่มี Case ออกมาว่า ทำในรูปแบบของสัญญาความเป็นเจ้าของ หรือ สัญญาทางการเงิน เป็นหลัก DeFi นั้นยังเป็นการเริ่มต้น โดยการดำเนินการในตอนนี้ที่เด่นชัดเจนคือ 1. ทำตัวเป็นตลาดการอัตราแลกเปลี่ยนให้กับ Coin อื่นคือ ใครที่ต้องการแลก Coin ด้วยกันเอง เช่น BitCoin ไปเป็น Etherium โดยมองว่า Etherium นั้นให้ผลตอบแทนมากกว่า ก็ดำเนินการ switch การถือครอง Coin แทน หรือ เอา BitCoin ไปแลกเป็นเงินจริงๆ แทนเลย เป็น US dollar /ยูโรพวกนี้ 2. ไม่อยากแลก เพราะเราสูญเสียความเป็นเจ้าของไป ก็ดำเนินการเข้าโรงรับจำนำแทน คือ เอา Coin เป็นตัวค้ำประกัน แล้วเอาเงินออกมาใช้ ไม่ว่าเป็นเงินสกลุไหน เรียกได้ว่าเกิดการปล่อยกู้ขึ้นมานั้นเอง สิ่งที่สังเกตคือ ค่อยๆเริ่มต้น ยังมีคนทำหลายคน แถมคำศัพท์ออกมา คือ อะไรฟ่ะ ต้องค่อยๆอ่านค่อยๆศึกษากันไป แต่บอกก่อนว่า ยังไม่ค่อยมี Aduit(การตรวจสอบ) ยังไม่มีหน่วยงานไหนเป็นเจ้าภาพ แต่ทุกคนลงทุนไปเพราะเชื่อมันในระบบไม่สามารถ hack ได้นั้นเอง (อาทิตย์มาให้อ่านสองอันละกัน)
โดย
miracle
อาทิตย์ ก.พ. 21, 2021 8:33 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
Club Hose ณ วินาทีนี้ Application อะไร บนมือถือที่ได้รับความนิยมสูงสุด คงหนีไม่พ้น Club House Club House ตัวนี้ นิยมตัวเอง ว่า Drop in Audio Chat นั้นคือ สงครามสื่อสารเสียงกำลังเริ่มต้น บน Application ของมือถือกำลังเริ่มต้นขึ้น ทำไมเป็นบอกเป็นเช่นนั้น สังเกตไหมว่า Application ที่ใช้งาน Chat บนมือถือนั้น พิมพ์อย่างเดียว ไล่ตั้งแต่ BB messager(Blackberry) /we chat /line พวกนี้ แต่ยังไม่เริ่มต้นพวก เสียงกัน ซึ่ง twitter ก็เริ่มทดสอบให้ส่งเสียงได้ 20 วินาที แต่ทว่าก็ไม่ใช่ แบบ Club house แล้วทำไม Club house ถึง Boom อันนี้ต้องบอกว่า มีสิ่งที่กระตุ้นทำให้ผู้ใช้เข้ามาคือ 1. สมัครแล้วใช้งานไม่ได้เลย ต้องรอคนเชิญ อันนี้คือ connect the dot คนที่เข้าใช้งานต้องเป็นเพื่อนของคนที่ใช้งานแล้วเท่านั้น จึงสามารถเล่นได้ ถ้าหากเพื่อนใช้งานแล้ว เราไม่ได้ใช้งานก็ตกรถนั้นเอง (Network effect เกิด) แถมไม่พอ 1 คนเชิญได้ 2 คนต่อวัน (แต่มากกว่านั้นได้ ต้องเปิดห้องหรือต้องฟังมากๆ หรือเป็นผู้สัมมนาในห้อง) 2. ผู้ใช้งานต้องมีอุปกรณ์คือ Iphone/iPad เท่านั้น หรือ เฉพาะ Apple iOS ซึ่งคนที่มีอุปกรณ์นี้คือ คนที่มีลักษณะเฉพาะตัว คือ ผู้นำเทคโนโลยี /มีเงิน /คำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคล (เพราะ Apple ไม่ทำตาม FBI ในกรณีต้องการเปิดมือถือของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าคำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคลเป็นสำคัญ หรือเคส Apple VS Facebook ที่ทำให้ Ads ของ FB นั้นมีปัญหายิงได้ยากขึ้น เพราะข้อมูลการใช้งานบน Facebook เก็บไม่ได้) 3. influencer อันนี้สำคัญอย่างมาก ที่สังเกตมา คนที่เป็น influencer นั้นต้องเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป ตอนนี้คือห้องไหนมีนักการเมืองหรือผู้นำทางการเมืองเข้ามาปุ๊บห้องเต็มทันที (รวมถึงห้องที่ดร นิเวศน์เข้ามาให้สัมภาษณ์ ก็เพิ่มขึ้นกว่าห้องการลงทุนทั่วไป เป็นหลัก 4-5k เลยทีเดียว) ซึ่งตอนนี้คนที่มีการติดตามของไทย สูงสุดประมาณ 100k เข้าให้แล้ว ภายในระยะเวลา 2 อาทิตย์เท่านั้น และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากขึ้น ประเด็นสำคัญของ Club house คือ 1. ยังไม่มีผู้ควบคุมกฏเข้ามาวุ่นวาย แต่ทว่าสามารถส่งคนมาสังเกตการณ์ได้ ถ้าหากมีปัญหาก็ขอข้อมูลได้ แต่ทว่าให้ไม่ให้อีกเรื่องหนึ่ง (มีห้องที่คุยเรื่องพวกนี้เมื่อวันที่ 17-18 Feb 2021 ในประเด็นนี้) 2. คุยที่อ่อนไหวทางสังคมโดยเฉพาะ ทางด้านการเมือง การปั่นกระแสของราคาหลักทรัพย์บางประเภท อันนี้ต้องระวัง โดยเฉพาะหลังๆ ในช่วงเวลา 2-3 วันหลังๆ นี้ เริ่มมีการขายของและการตั้งกวนเรื่องปั่นกระแสสินค้ากันบางแล้ว 3. สือหลักเริ่มเข้ามาใช้เป็นช่องทางสื่อสาร มันคือวัดผู้รับชมได้ทันที ซึ่งช่องทางอื่นไม่สามารถวัดได้ว่า หรือวัดได้แต่ ความสนใจมันน้อยลง เช่น FB live นั้นวัดได้แต่ทว่าคนที่ให้ความสนใจนั้นลดลง ไปแล้ว (คนกลุ่ม Gen z หรือ Alpha ไม่ได้ใช้ FB หนีไปทีอื่นแล้ว) ,youtube ดูยอด view แล้วเท่าไร ตอน Live ก็ดูได้ แต่มีปัญหาว่า ดูย้อนหลังได้ ซึ่งคนดูย้อนหลังมากกว่า Club house ที่สร้างกระแสได้คือ ต้องฟังสดเท่านั้นไม่สามารถย้อนหลังได้ ในระบบไม่มีการ re run เด็ดขาด (ถ้าต้องการก็อัดเอาเองล่ะกัน) ส่วนเรื่องของการลงทุนนั้น มีเรื่องตลกร้ายคือ Clubhouse Media Group Inc ตัวย่อคือ CMGR นักลงทุนนึกว่าเป็นผู้สร้าง Application Club house ราคาในรอบ 52 สัปดาห์ อยู่ที่ $0.05 ถึง $28.43 ณวันที่เขียน (ปิดตลาดวันที่ 19/feb/2021 ราคาอยู่ที่ $12.55) แต่จริงๆแล้ว Application Club house มีพนักงานแค่ 9 คน เพิ่งได้รับเงินทุนในรอบ Series Bจนเป็นยูนิคอลไปแล้ว (มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญ) คำถามที่เกิดกับ club house คือ ระดมคนใช้งาน ใช้เงินทุน เพื่อให้ได้อะไร น่าคิดครับ 1. ทำสัมมนาออนไลน์หรือเปล่า แต่จริงๆน่าจะน้อยเพราะ มันได้แค่เสียงเท่านั้น 2. ช่องทางขายของแต่ต้องมีผู้สนับสนุน (ซึ่งตอนนี้ในต่างประเทศที่เห็นคือ พวก VC /Startup ใช้เป็นช่องทางในการพูดคุยกันมากกว่า) น่าคิดอย่างมาก แต่อย่างไร เสียต้องระวังว่า กระแสนี้ยังอยู่นานแค่ไหน เพราะว่า ที่สำคัญคือ ผู้ที่ใช้งาน Anroid ยังไม่ได้เข้าระบบนั้นเอง ซึ่งแค่ iOS นี้ก็มีคนยอมเดินไปซื้อ อุปกรณ์ Apple ที่เป็นทั้งมือ 1 และมือสองนำมาใช้งาน Club house งานนี้ club house ทำให้เกิด demand iphone และ ipad เพิ่มขึ้นหรือไม่รอคำตอบต่อไป ละกัน การที่คนเข้าระบบนั้น 1 เชิญ 2 คนนั้น เมื่อเป็นแบบนี้ไปเรื่อย หากเป็นแบบนี้ไปตลอด ข้อจำกัดคือ ได้เท่ากับจำนวนอุปกรณ์ iphone/ipad เท่านั้น การเติบโตของคนใช้งานเป็น Expo เลย 1->2 ->4->8 เป็นสองเท่าทุกวันๆ เลยทีเดียว ต้องระวังว่าการเติบโตสองเท่านั้นระบบสามารถรองรับได้แค่ไหน (ถ้าหากคนที่ใช้งานเมื่อวันที่ 18 /feb/2021 ตอนประมาณ 10-13 น. นั้นมีปัญหาเกิดขึ้นจากการ upgrade ระบบของ Club house คือเสียงหาย /เชิญมิได้ /เข้าห้องไม่ได้ /ออกจากห้องไม่ได้ ) อีกประเด็นหนึ่งคือ คู่แข่งที่ยังไม่ลงมาเล่นในตลาดนี้ต้องระวังไว้ด้วย สุดท้าย ที่ต้องฝากไว้คือ Club house เป็นแหล่งความรู้ แต่ผู้ใช้งานต้องเลือกว่าเราต้องการความรู้เรื่องอะไรเอง ต้องรู้และเลือกให้ได้ด้วยตัวเอง ปล ยังไม่เห็น Club house money talk /Thaivi เห็นแล้ว แต่เป็น Version ที่ยังไม่รวมสุดยอดของนักลงทุน ต้องเป็นเชิญนักลงทุน Thaivi มาล้อมวงคุยกันบ้างก็ดีน่าครับ
โดย
miracle
เสาร์ ก.พ. 20, 2021 5:30 pm
0
1
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ก กับ ข ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ได้อ่านเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาประเทศไทย 20 ปี ฉบับเพิ่มเติมหรือปรับปรุงแผน เนื่องจากผลกระทบจากโควิค 19 เอกสารชิ้นได้ระบุอุตสาหกรรมใหม่ที่แผนหลักไม่ได้ระบุไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหรรมรถยนต์ไฟฟ้านั้น เป็นอะไรที่ไก่กับไข่ ว่า รถยนต์ไฟฟ้า ต้องผลิตในประเทศไทย หรือ นำเข้าจากต่างประเทศทั้งคัน หรือ เอาชิ้นส่วนมาประกอบในประเทศ แต่ไม่ว่าอะไรเป็นไก่หรือไข่ แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญคือ รถยนต์ไฟฟ้าของจีนมาเปิดตัวในประเทศไทย เรียบร้อยแล้ว แถมราคาไม่ถึงล้านบาท วิ่งได้ 500 km (ระยะทางเกือบถึงเชียงใหม่ในการชาร์จ 1 รอบแล้ว) ระยะทางดีกว่ารถยนต์ยี่ห้ออื่นๆในตลาดที่ขายกันอยู่ แต่ทว่าเป็นยี่ห้อของจีน เท่านั้นเอง สิ่งนี้น่าจับตา พอดีช่วงระยะเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์ รายใหญ่เปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่และควบรวมกิจการ และตอนนี้อีกรายก็ทำ tender offer ออกนอกตลาดไป จุดนี้แหละ ที่น่าสนใจว่า หัวใจของรถยนต์ไฟฟ้า คือ แบตเตอรี่ ถ้าหากไม่มีแหล่งกำเนิดไฟฟ้า รถยนต์ก็วิ่งไม่ได้ ตัวแบตเตอรี่ที่จำเป็นนั้นมีส่วนประกอบของ ลิเทียม แต่ทว่าแบตเตอรี่รถยนต์ในปัจจุบันนั้นไม่ใช่ ดังนั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนเรื่องการผลิตแบตเตอรี่ มารองรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อนแบตเตอรี่ ถ้าหากลองย้อนกลับไปในช่วง 1900s (ต้น 1900s) ที่รถยนต์ไฟฟ้ายุคแรก แข่งกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ผลคือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันชนะ แต่ทว่า ไม่ได้พูดถึงประเด็นนั้นแต่ กำลังพูดถึงเรื่องของน้ำหนักของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักมาก คือ เป็นหลักตันเลย หนักกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันมาก จุดนี้แหละที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าไม่เกิดในยุคนั้น คือ ทั้งน้ำหนัก และระยะทางวิ่ง สิ่งที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยม คือ แบตเตอรี่และ ระบบขับเคลื่อน ระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้ายุคนี้คือ 0 ถึง 100km ต่ำกว่า 5 วินาที แต่รถยนต์น้ำมันนั้นมีเพียงน้อยรุ่นที่สามารถทำได้ในระดับนั้น แบตเตอรี่ก็จุมากขึ้นและอึดมากขึ้น รวมถึงการชาร์จที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ต้องรออยู่ดี ซึ่งการชาร์จนี้เป็นประเด็นที่หลายคนกังวล เพราะใช้เวลาชาร์จที่นาน เมื่อเทียบกับ รถยนต์น้ำมัน คือ รถยนต์น้ำมันไม่เกิน 10 นาที ก็สามารถขับออกจากปั้มน้ำมันได้แล้ว จุดนี้แหละที่รถยนต์น้ำมันยังชนะอยู่ ที่ชนะแบบเด็ดขาดอย่างมาก แต่หากแก้ไขจุดนี้ได้ รถยนต์ไฟฟ้ามาครองเมืองแน่นอน ถ้าหากเทียบกับมือถือยุคแรก ที่เป็นรุ่นกระดูกหมา ชาร์จค้างคืน ไม่พอต้องแกะแบตออกมาเพื่อชาร์จไว้หลายก้อนอีกต่างหาก เพื่อให้มือถือมีแบตได้ใช้งาน ซึ่งก็พัฒนาเรื่อยกันมา ในระยะเวลาต่อมา จนในปัจจุบัน Fast charge วัดใน 80% ในเวลา 10 นาทีหรือเปล่า ด้วยซ้ำกัน แถมชูเป็นจุดขายของมือถือในหลายต่อหลายรุ่น และหลายยี่ห้อแข่งขันกัน ช่วงเวลาต่อไป คือจับตาเรื่องของแบตเตอรี่ของรถยนต์ว่า สามารถชาร์จได้ 80% ในระยะเวลา 10 นาทีหรือไม่ อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจับตาคือ การขายไฟฟ้าของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งทำกันเป็น Pool จุดนี้ก็ยังไม่ได้พัฒนา ซึ่งต้องพัฒนาแบบ real time เลยว่า ค่าไฟฟ้าที่สถานีชาร์จไม่ได้ใช้งานแล้วขายคืนให้แก่ กฟภ/กฟน เท่าไร แต่หากต้องการไฟฟ้าจาก กฟภ/กฟน แล้วเท่าไร จุดนี้ยังไม่ได้พัฒนา แต่ใน US นั้นพัฒนากันเป็น real time เลยทีเดียว จุดนี้แหละ เป็นจุดที่ ทำให้การผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยมีความมั่นคงมากขึ้น และปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตจากธรรมชาติเพิ่มขึ้นนั้นเอง ไม่ต้องประมูลกัน แต่ทว่า อิงกับราคาตลาดบนความต้องการแบบ real time แทน ่ถ้าพัฒนาได้แบบนั้นได้ การตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ก็ไม่จำเป็นแล้ว ใช้กองทัพมดในการจัดการแทน กองทัพมดนั้นคือ สถานีอัดประจุของรถไฟฟ้านั้นเอง
โดย
miracle
อาทิตย์ ก.พ. 14, 2021 4:01 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
การกลับตัวของเศรษฐกิจหลังโควิค 19 ตอนนี้เราอยู่หลังท้ายเรื่องของโควิค 19 แล้ว คือเริ่มการกระจายวัคซีนและฉีดวัคซีนแล้ว แต่หนังเรื่องนี้ท่าทางจบได้ยาก เพราะว่า วัคซีนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของประเทศพัฒนาแล้ว ไปซักงั้น ไมใช่เครื่องมือที่ใช้ช่วยชีวิตคน จากการที่คนของตัวเองต้องได้ก่อน ตอนนี้ตลาดนี้เป็นตลาดของผู้ผลิต ซึ่งอีกซักระยะหนึ่งก็กลายเป็นตลาดของผู้ซื้อ เพราะ จำนวนบริษัทที่สามารถผลิตได้มีมากขึ้น และกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นนั้นเอง จุดนี้แหละที่ทำให้ตลาดกลายเป็นของผู้ซื้อ เราไม่พูดถึงประเด็นเหล่านั้นละกัน แต่กลับมาเศรษฐกิจ มองไปในปี 2021 ว่าการกลับตัวของเศรษฐกิจเป็นเช่นไร เรามามองมาตรการของ ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมา คือ 1. ยืดหนี้ ให้ โดยการพักต้นและพักดอกเบี้ย อันนี้คุยกันเป็นรายกิจการเลย กับธนาคาร ถ้าคุยธนาคารไม่รู้เรื่อง โทรไปธปท ได้เลย เดี๋ยวจัดการให้ 2. คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระแบบใหม่ อันนี้กำลังเริ่มต้น จากเดิมที่คิดทั้งก้อน คิดแค่งวดที่ผิดค้างชำระเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องมานานแล้วเพิ่งจะดำเนินการ (อันนี้กระทบรายได้ของธนาคาร แต่ทว่า มองในแง่ดีคือ NPL ก็ไม่พุ่ง ลูกนี้มีปัญญาหาเงินมาจ่ายได้ละกัน ) 3. การจับมือกับทุกภาคส่วนในการช่วยเหลือลูกหนี้ให้รอดให้ได้ ตอนนี้หากใครที่ถอดใจก็ไปแล้ว ที่เหลือคือพวกที่แข็งใจทำต่อ เพราะว่า ตลาดหลังจากโควิค 19 คือ คู่แข่งน้อยลง คู่แข่งจะเหลือแต่รายที่แข็งแรง ที่อยู่รอดได้ ซึ่งตอนนี้กิจการที่น่าสนใจมากคือ โรงแรม เพราะว่า โรงแรมตอนนี้ เทขายกันหมดหน่วง ทำไมน่าสนใจ ก่อนหน้านี้โรงแรมนั้น โดน AirBnB มา Disrupt เอาบ้าน หรือคอนโดมิเนี่ยมมาปล่อยเช่ารายวันได้ จนต้องออกระเบียบออกมาห้ามคอนโดมิเนี่ยมปล่อยเช่า แต่สุดท้ายก็ยังทำกันอยู่ จนมีโควิค 19 เท่านั้นแหละ เรียบร้อยซาไป เมื่อโรงแรมโดน Disrupt ก็สามารถอยู่รอดได้ เพราะ ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างนั้น มีค่า สร้างทดแทนก็ใช้เงินมาก ดังนั้น ก็ต้อง maintain ไป ขายก็ได้ราคาเพราะที่ดินมีจำนวนจำกัด แต่ทว่า ธุรกิจนี้กู้หนัก หรือลงทุนระยะยาวกว่าคืนทุน แล้วต้องปรับปรุงบ่อยๆด้วย นั้นเอง จุดนี้แหละ ที่น่าสนใจเพราะการประกาศขายโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจที่กระทบหนักสุด และมากที่สุด ออกมาแล้ว แสดงว่า สัญญาณการฟื้นตัวกลับมาแล้ว หากย้อนกลับไปมองปี 2008 สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจคืออะไร มาตรการ 2,000 บาทแจกให้กับผู้ประกันตน ที่เงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาทเป็นการเร่งเครื่องเศรษฐกิจให้ขยายตัว คือ ขึ้นฮ.แล้วโปรยเงินลงมาให้ใช้ หากไม่ใช้ตามระยะเวลาคือ0 บาทนั้นคือเร่งบริโภค พอการเร่งบริโภคก็มีการผลิตมากขึ้น พอผลิตมากขึ้นก็ต้องกู้มากขึ้น ทำให้วงจรทางเศรษฐกิจเดินไปได้ นั้นเอง มารอบโควิค 19 ก็มีมาตราการ เราช่วยด้วยกัน แจกไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ทำให้เศรษฐกิจไม่หดตัวมาก แต่เจอรอบสองนี้ ต้องงัดกลับมาใช้ แถมผู้ประกันตนในมาตรา 33 ของประกันสังคมที่เป็นคนไทยได้ด้วย (เงินฝากไม่เกิน 500,000 บาทในทุกบัญชีธนาคาร) ก็เป็นการขึ้น ฮ. โปรยเงินอีกครั้ง เพื่อจุดเศรษฐกิจให้กลับมาให้ได้ แล้วไม่พอเรื่องของดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน ทำให้ตอนนี้ Search for yield กลับมาอีกครั้ง คือ หุ้นเน่าเริ่มให้เห็นการกลับมา พวก penny stock กลับมาบ้างแล้ว ปลุกผี ฟื้นกลับมา หรือความร้อนแรงของการจอง IPO ที่ร้อนแรงมาก รายย่อยจำนวนมาก จอง งานนี้ก็ต้องดูว่าเมื่อเข้ามาแล้ว เป็นเช่นไร แต่ทว่าตัวชี้ตัวหนึ่งที่ดีคือ Google mobility index เราไม่ค่อยต่ำเหมือน lock down ปีที่แล้ว ตัวนี้ชี้ได้ว่า เรามีการเดินทางเกือบเป็นปกติแล้ว นั้นคือ ยอดการใช้น้ำมัน กลับมาสู่เกือบเป็นปกติ แล้ว มิน่าปลายปีถึงต้นปี ได้ยินว่า ไปลงทุนพวกกองทุนน้ำมันกันเป็นทิวแถว ไม่มีใครไปลงทุนพวกอื่นๆเลย ตอนนั้นแปลกใจ แต่ไม่คิดว่า เป็นเช่นนี้ การกลับตัวของเศรษฐกิจ นั้น ตัวที่ดูได้อย่างดี คือการเคลื่อนที่ของประชาชน ว่ามากน้อยแค่นั้น (เฉลยไปแล้วดูที่ google mobility index https://www.google.com/covid19/mobility/) เมื่อคนเดินทางน้อยลง ทำให้เศรษฐกิจก็แย่ลง ถึงแม้นมีคนบอกว่า ก็สั่ง Grab /line man /การขนส่งทำงาน แต่ทว่า มันน้อยกว่าปกติละกัน เมื่อคืนมีกิจกรรมน้อยลงก็ทำให้เศรษฐกิจก็ลดลงไม่ผิดอะไร เลยต้องดูเรื่องนี้เป็นหลัก ตัวที่ต้องจับตาคือ การขยายตัวของสินเชื่อ โดยปกติแล้ว ธุรกิจก็ต้องใช้สินเชื่อธุรกิจแต่เมืองไทยนั้น มีปัญหาคือ 1. บัญชีมากกว่า 1 เล่ม งานนี้เข้าซิ ซึ่งสุดท้ายต้องทำการแก้ไขให้ ธุรกิจมีบัญชีเล่มเดียวกัน ถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วไซร้ก็แก้ไขไม่ไ้ด 2. กู้ธนาคารยากต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น ที่ดิน อาคาร เป็นต้น ดังนั้น ก็ไปกู้บัตรเครดิต หรือ อาบังแทน ซึ่งดอกเบี้ยโหดกว่า ตอนนี้ก็เริ่มแก้ไข อาบัง หรือ หนี้นอกระบบให้บรรเทาเบาบางลง และ ลดเรื่องดอกเบี้ยบัตรเครดิตลง นั้นเอง ส่วนพวกจำนำทั้งหลาย ยังไม่เห็นออกมาเท่าไร มีแต่ตอนที่นักเรียนเปิดเทอมเท่านั้น ดังนั้น เรื่องนี้ก็ควรพิจารณา ว่า ตอนเกิดโควิค 19 รอบแรกนั้น โรงรับจำนำก็เป็นที่พึ่งพาของประชาชน ต้องลดดอกเบี้ยเป็นพิเศษ หรือ ให้ผ่อนยาวขึ้น แต่มันไม่มีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพ เรื่องนี้ก็ต้องพิจารณา และต้องหาหน่วยงานที่อัดฉีดสภาพคล่องและตลาดรองรับด้วย ดังนั้นจับตาดูให้ดีละกัน ว่าสินเชื่อเพิ่มไหม ในช่วงเวลาต่อไป ตอนนี้เราเริ่มไปยืนในปี 2009 ถึง 2010 ตอนที่ตลาดหุ้น บ้าคลั่ง ต้องระวังตัวไปละครับ
โดย
miracle
อาทิตย์ ก.พ. 07, 2021 10:25 pm
0
2
Re: GameStop สงคราม(หุ้น)ประชาชน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
มันคือ Case Study ของการลงทุนยุคใหม่ครับ เหมือนที่เคยเกิดในประเทศไทย ครับ หนึ่งในนั้นคือ TVI นี้แหละครับ ในยุคก่อร่างสร้างตัว :)
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 31, 2021 10:36 pm
0
1
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
แนะนำหนังสือพวกสาย Tech ซักหน่อย บางเล่มไม่ใช่ tech จ้าแต่ทว่า เป็น Management ของสาย Tech ที่เขียนแล้ว apply ไปใช้งานกับสายอื่นๆได้ หรือ ไม่ก็เป็นการจัดการในอนาคต Hard thing about hard thing (เล่มนี้มีภาษาไทย) No rule rules (อันนี้โดยป้ายยามา กำลังนั่งอ่าน แต่ทั้งอ่านและฟัง review แล้ว ต้องอ่าน แนะนำไปหาได้ที่ asia book หนังสือเข้ามาแล้ว เป็นปกแข็ง แต่ปกอ่อนไม่แน่ใจว่าเข้าหรือยัง ราคาประมาณ 500 กว่าบาทเอง) Unicorn Tears (เล่มนี้มีแปลไทย) กลุ่มนี้เป็นสายพื้นฐานของ startup Design thinking (เล่มนี้มีแปลไทย แต่หายากมาก) Business Model canvas (เล่มนี้มีแปลไทย เพิ่งพิมพ์ใหม่แต่หมดหรือยังไม่รู้ ) ตัวนี้เป็น HBR ออกปี 2020 เพิ่งสอยมา Monopolies Tech giants (ไม่แพง เพิ่งออกมาไม่นาน)
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 9:39 pm
1
15
Re: อยากทราบเรื่องของ รายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน
เพิ่มเติมครับ รายการนี้เกิดขึ้นเมื่อ ธนาคารหนึ่งมีเงินสดเหลือ และอีกธนาคารหนึ่งต้องการเงินสด ซึ่งทุกสิ้นวัน ธนาคารก็ต้องเอาเงินสดไปฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ไว้ รายการนี้เรียกง่ายๆคือการบริการกระแสเงินสดของธนาคาร และถ้าหากรายการนี้มากๆ ก็ต้องคิดว่า ธนาคารมีเงินสดมาก หรือ ธนาคารต้องการเงินสดมากเพื่ออะไร ต้องคิดไว้อีกชั้นหนึ่งด้วย ว่าหาก ธนาคารมีเงินสดมาก แล้วไปปล่อยกู้กับธนาคารด้วยกันเอง เพื่ออะไร ไม่ปล่อยกู้ให้แก่คนอื่นละ แต่ถ้าหากธนาคารต้องการเงินสดมาก แสดงว่า ธนาคารนั้นระดมเงินฝากไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้นหรือ คนมองว่า ความน่าเชื่อถือน้อยกว่าธนาคารอื่น หรือ ความมั่นคงน้อยกว่าหรือเปล่า
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 4:51 pm
0
1
Re: สอบถามเรื่องงบกระแสเงินสด ในกลุ่มธนาคารครับ
1. ในงบกะแสเงินสดจากการดำเนินงาน ส่วนของรายได้จากดอกเบี้ยรับในกลุ่มธนาคาร ทำไมถึงต้อง "ลบออก" ในเมื่อเป็นรายได้จากการประกอบธุรกิจหลัก 2. ในส่วนของกิจการอื่นๆทั่วไป "รายได้พิเศษ" จะถูก "ลบออก" ใช่ไหมครับ (ในงบกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน) ขอบคุณครับ มันคืองบกระแสเงินสดแบบทางตรง คือตรงไปตรงมาเลย ไม่แบบทางอ้อม ที่กระทบยอดจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ไม่คุ้นชินกันคือ อุตสาหกรรมประกันภัย/ประกันชีวิตที่ทำวิธีทางตรงเลย ว่ารายการเงินสดเดินอย่างไรเลย ว่ารับมาเท่าไร ออกไปเท่าไร ไม่ใช่ Net การเปลี่ยนแปลงจาก งบดุล(งบแสดงสถานะของกิจการ) :)
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 4:48 pm
0
0
Re: ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ หนี้สงสัยจะสูญ และหนี้สูญ
ผมรบกวนขอถามหน่อยครับผม หลังจากตัดหนี้สูญ เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนแล้ว ในงบกระแสเงินสด :: จะบันทึกอย่างไรครับ หนี้สงสัยจะสูญพอเข้าใจว่า ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสดออกไปจริงๆ จะบวกกลับมาให้ แต่หนี้สูญนี้จะบวกกลับมาในงบกระแสเงินสดไหมครับผม ตอนนี้ไม่มีคำนี้ในงบการเงิน แต่ทว่ามีคำหนึ่งแค่ คืน ขาดทุนจากการประเมินเครดิต (อะไรประมาณนี้) นั้นคือการตั้งหนี้สงสัยจะสูญไว้ คำถามคือ การตั้งค่านี้คือ เอาข้อมูลในอดีต หรือ ความรู้ความสามารถของผู้บริหารกิจการนั้นๆมาตั้งค่านี้ขึ้น นั้นเอง คำถามต่อมา การตั้งค่านี้มันเปลี่ยนกับเงินสดหรือไม่ นั้นคือไม่เกี่ยว ดังนั้น ถ้าหากิจการใดที่ใช้งบกระแสเงินสดแบบทางอ้อม ที่มาจากบรรทัดของ กำไรขาดทุนก่อนภาษี หรืออะไรทำนองนี้ ก็ต้องบวกลบรายการที่ไม่ใช่เงินสดเข้าไปก่อน ซึ่งรายการนี้ คือ รายการไม่ใช่เงินสด ครับ สำหรับหนี้สงสัยจะสูญ คือ ยังไม่สูญ นั้นเอง
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 4:47 pm
0
0
Re: รถยนต์ไฟฟ้ากับประเทศไทย
ปธน ไบเดน ทำงานวันแรก ก็ให้หยุดการสร้างท่อน้ำมัน XL จากต้นทางแคนาดา ลงมาที่ US อันนี้ก็น่าคิดเลยว่า หยุดการสร้างไว้ เพื่อรออะไร แต่ทว่าอันนี้มีความหมายว่า ไบเดน เดินหน้าเรื่อง การดูแลสิ่งแวดล้อมโลก ตามที่ได้หาเสียงไว้นั้นเอง หาก 4 ปี จำนวนรถยนต์ EV และ สถานีการชาร์จสำหรับรถ EV หรือมาตราฐานที่ใช้กับรถ EV ออกมาก็ไม่แปลกใจ แต่ทว่าแล้วไทยจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไร และการปรับตัวของไทยอย่างไร สิ่งที่ US ทำก่อนหน้านี้คือการซื้อขายไฟฟ้า หาก สถานีชาร์จสามารถซื้อและขายไฟฟ้าให้กับหน่วยงานที่ผลิตไฟฟ้าได้ แปรผันตามเวลา และความต้องการไฟฟ้าในเวลานั้นๆ (อันนี้ ดร. แป้ง มีความรู้ดีเลย เพราะทำเรื่องนี้ที่ US มาก่อน) และอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถยนต์ และการทำลายแบตเตอรี่ก็ต้องมาพร้อมกับตัวรถยนต์ไฟฟ้าด้วย หากรัฐยังไม่ได้วางโครงสร้างเรื่องการขายหน่วยไฟฟ้า หรือ ซื้อหน่วยไฟฟ้าแบบ Real time ให้แก่สถานีอัดประจุไฟฟ้า งานนี้ก็ทำให้ลำบากในการดำเนินการเลยทีเดียว หากรัฐไม่ส่งเสริมเรื่องแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์นั้นก็ยากที่เกิดขึ้นด้วย สิ่งสำคัญคือ บริษัทรถยนต์ที่ดำเนินการในไทยนั้น เป็นบริษัทญี่ปุ่น ที่เค้าลงทุนในนโยบายของรัฐที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลง ก่อนหน้านี้ ที่ได้เกิด โครงการ Eco Car Phase 1 ได้เห็นรถยนต์ขนาด 1200cc ออกมา หลายต่อหลายบริษัท จนบริษัทบางแห่งของญี่ปุ่นต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองที่ไม่ออกก็ต้องออกเพราะเรื่องยอดขาย โครงการ Eco Car Phase 2 ที่เห็นได้รถยนต์ขนาด 1,000 cc ลดลงมา แต่ทว่าออมาก็เงียบ มีแค่ 1-2 ยี่ห้อที่ออกมาเท่านั้น แต่ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ เครื่อง 1200cc แล้วก็เงียบหายไปจาก เรื่องของ EV ที่ไม่ชัดเจน แต่กลับไปหนุนเนื่องเรื่องของ Hybrid แทน แถมงานนี้ผู้ที่เสียผลประโยชน์กับกลายเป็นหน่วยงานที่รัฐถือหุ้นอยู่ อีกต่างหาก ซึ่งก็ยากมากที่จะเดินหน้าหรือถอยหลัง เพราะ ถ้าเดินหน้า รัฐก็เสียผลประโยชน์ทั้งในรูปของรายได้ทางตรง และรายได้จากปันผลของกิจการที่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่เดินหน้า ก็เสียหายเรื่องศักยภาพของประเทศ /รายได้ของประเทศ /รายได้ประชาชนในประเทศ ต้องคิดให้หนักว่าเดินหน้าหรือ ถอยหลัง
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 4:40 pm
0
4
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
เอามาแบ่งปัน กันละกัน 1. ตลาดใหญ่แค่นั้น แล้ว คู่สามารถไปกินส่วนแบ่งตลาดได้มากแค่ไหน 2. การที่ทำให้ลูกค้าอยู่กับเราได้นาน (อันนี้เหมือน บริษัททั่วไป) และ ลูกค้ามาใช้บริการรายใหญ่เท่าไร (ก็เหมือนเดิม) 3. Growth เป็นเช่นไร เมื่อไรถึง Limitation แต่อย่างไรเสีย บางครั้ง เทคโนโลยี่มันล้ำน่าใช้ แต่ทว่า มาไม่ถูก timing ก็จบได้เหมือนกัน ทุกอย่างมันขึ้นกับ เวลา เป็นจุดที่บอกได้ว่า มันถึงเวลาของเทคโนโลยีนั้นหรือไม่ เช่น AI เมื่อ ปี 2000 นั้น บูมมา แต่ทำไมหายไป เพราะว่า ตอนนั้น ยังไม่ค่อยมี ecosystem ที่เหมาะสมกับ AI ไล่ตั้งแต่ เรื่องของการจัดการ Data ที่ยังเป็นยุคเริ่มต้นของการเขียนโปรแกรมแบบ Object (JAVA มาได้ไม่นาน หรือ dot net ของ MS) การ Cross platform ของระบบปฏิบัติการยังไม่สะดวก การทำโปรแกรมแต่ติดตั้งบนเครื่องเท่านั้นขยายยากต้องซื้อเครื่องใหม่ (ติด Limitation ของ Hardware โดยที่ ยุค Cloud ก็เพิ่งเริ่มต้นตั้งไข่ รวมถึงการประมวลผลแบบขนานก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น) ไม่ต้องพุดถึง เรื่องของ Hardware ที่ใช้กับ AI โดยเฉพาะ ยังไม่มีเหมือนในยุคนี้ที่มี Chip เฉพาะ ในการประมวลผล แถมแข่งกันออกมาอีกต่างหาก ตอนนี้ตัวที่น่าจับตาคือ quatum computer ที่เริ่มตั้งไข่ได้ซักพักหนึ่ง ยังอยู่ตามมหาวิทยาลัย ต้องรอระยะเวลาอีกอย่างน้อย 10 ปี กว่าจะออกมาให้ใช้งานได้เต็มที่ แต่ทว่า ภาษาที่ใช้งานกับ Quatum computer มาก่อนเลย มีความนิยมก่อน นั้นคือ Software lead hardware เมื่อไร ก็ตาม Hardware ไล่ตามได้ทัน เมื่อนั้น เทคโนโลยีนั้น ก็เข้าสู่การใช้งานแบบ Massive production ทันที และยังไม่มีคู่ชนะ ก็ต้องรอเวลาซักหน่อย ว่าใครชนะก็รอซักแป๊บก็เห็นกัน พาออกนอกเรื่องซักไกลเลย แต่ทว่าคงได้ความรู้แหละ
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 4:27 pm
0
12
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
Netflix ไม่ใช่แค่ ดูหนัง ดูซีรีย์ เท่านั้นแต่มันคือ เอ็นเตอร์เทอร์เมนต์ครบวงจร ที่มาทดแทน TV และ ภาพยนต์ และขั้นตอนการสร้างทั้งหมด Netflix นั้น ก่อนตั้งเมื่อปี 1997 หลังจากคุณ Reed Hastings ขายกิจการของตัวเองออกไป เป็นการส่ง ม้วนเทป (VHS) โดยส่งผ่านจดหมาย ซึ่ง เหมือนกับ Amezon ที่ ส่งหนังสือทางจดหมาย เรียกได้ว่า เริ่มต้นคล้ายคลึงกัน แต่ปัจจุบัน นั้น Amezon ไม่เพียงแค่ หนังสือเท่านั้นแต่ ทว่า กลับกลายเป็น ูธุรกิจบริการ Cloud Computing ที่ ใหญ่ระดับโลก ที่เทียบเท่า Google /Microsoft/IBM หรือเจ้าอื่นที่เป็นผู้นำ IT ของโลก กลับมาที่ Netflix นั้น กาลเวลาก็โดนมรสุมลูกใหญ่คือ วิกฤติ Dot com จนทำให้ต้องลดคน เหลือประมาณ 2 ใน 3 ของที่มี (จาก 120 เหลือ 80) จุดนี้แหละ ที่เป็นจุดเปลี่ยนของ Netflix เลยทีเดียว เพราะทำให้รู้ว่า คนเก่งเมื่อเวลาอยู่ด้วยกัน แล้ว มีจิตใจที่รวบกันต่อสู้เพื่อกิจการ แล้วเป็นเช่นไร ่คนเก่ง 80 คน ทำให้งาน เท่ากับ 120 คน แถม moral ของพนักงานไม่ลดลง อีกต่างหาก จุดเปลี่ยน จุดนี้แหละ เป็นจุดสำคัญ เลยทีเดียว ทำให้ต่อมา Reed ก็ต้องการแต่คนเก่งเข้ามาในกิจการของตัวเอง ตัดภาพในปัจจุบัน Netflix ไม่เพียงแค่ มี หนังหรือ ซีรีย์ ที่ส่งให้คนดู มีสารคดี ด้วย โดยที่ ตอนเริ่มต้นของจุดนี้คือ outsource ให้ Studio ใหญ่ทำให้ แต่ทว่าโดยปฏิเสธอย่างมาก จนกระทั่งตัวเองก็ต้องทำเอง ไม่เพียงทำเองเท่านั้น แต่ทำในลักษณะของ Local จ้างคนท้องถิ่นประเทศนั้นๆทำขึ้นมาเองเลย ทำให้มันเหมาะกับแต่ละประเทศเลยทีเดียว และไม่เพียงแค่นั้น เมื่อก่อน สถาบันการประกาศรางวัลเกี่ยวกับรายการทีวี หรือ ภาพยนต์ก็ไม่ยอมให้ Netflix เสนอชื่อเข้าประกวดได้ แต่ในปัจจุบันกลับกลายเป็น Netflix เริ่มได้รางวัล เหล่านั้นเสียเอง เริ่มทำให้ Studio หรือ เจ้าของรายการทีวี หรือ ซีรีย์ หรือภาพยนต์จับตามองอย่างมาก จุดเปลี่ยนนี้แหละที่สำคัญเพราะว่า สิ่งที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้านั้น ทำแบบเจาะกลุ่มตลาดในแต่ละพื้นที่ของโลกไปเรื่อยๆ อีกประกาศที่ Netflix ให้ความสำคัญคือ และแตกต่างกับ บริษัทอื่นๆ คือให้อำนาจแก่พนักงานอย่างมาก ในเรื่องของการตัดสินใจ ถ้าหากพนักงานนั่ง First class แล้ว ทำให้ ได้ดีล ก็ทำไป หากทำแล้ว มีผลกระทบ ต้องรู้ว่ามันต้นเหตุมาจากอะไร ผิดไม่ว่า แต่ต้องรู้ว่าสาเหตุคืออะไร จะได้ไม่ผิดซ้ำ โดยเฉพาะพนักงานที่มีปัญหา บริษัทเป่าประกาศหลังจากที่พนักงานคนนั้นออกไปว่า มีปัญหาเพราะอะไร (องค์กรคนไทย ไม่บอกเรื่องพวกนี้ ว่าใครทำอะไร มีปัญหาอะไร เก็บเงียบ ต้องไปคุยในทีลับกันเอาเอง) และที่สำคัญคือ คุณต้องออกเงินไปก่อน แล้วเครมบริษัทที่หลัง อันนี้คือ ถ้าหากพนักงานต้องจ่ายเงินแล้ว มันคือพนักงานต้องคิดแล้วว่า มันคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ทำให้ตัวพนักงานเองได้ประโยชน์ที่สูงสุด นั้นคือ องค์กรก็ลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ด้วย แต่ทว่า สิ่งสำคัญคือ เมื่อพนักงานจ่ายเงินไปแล้ว บริษัทก้ต้องทำเรื่องเบิกคืนให้เร็วที่สุดเหมือนกัน ไม่ใช่ ข้ามไป 2-3 เดือน แล้วเบิกให้ แบบนี้ พนักงานก็หมุนเงินไม่ทัน ตัวพนักงานเองก็ต้องกินก็ต้องใช้งาน (จุดนี้บางบริษัทในประเทศไทย ทำแต่ทว่าขั้นตอนการเบิกเงิน ยุ่งยาก แบบเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว) ตัดกลับมา ถ้าทำพวกสื่อจะรู้ดี คือ ถ้าหาก คนทำไม่มีอารมณ์หรือไม่มีจิตใจทำ ผลงานทีดีๆก็สามารถออกมาสู่สายตาของสาธารณชนได้ นั้นเอง นั้นคือ ทำอย่างไร ให้พนักงานมีความสุข ในการทำงานให้มากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้ ผลงานที่ได้นั้นเป็นการส่งความสุขให้แก่ผู้รับชม Netflix นั้นเอง ทุกอย่าง ไม่ใช่สร้างขึ้นได้วันเดียว แต่มันสะสมเรื่อยมา จนเป็นวัฒนธรรมขององค์กร แล้วคู่แข่งของ Netflix ไม่ใช่แค่ Streaming ไม่ใช่ Studio เท่านั้น ไม่ใช่ TV หรือ Youtube แต่ทว่า กลับกลายเป็นเวลาของผู้ใช้บริการที่มีแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น งานนี้มันคืออะไร เราสามารถเอาเอง ที่ทุกคนมีจำกัด เอาไปดู ซีรีย์ ดูหนัง ผ่าน Netflix ได้ เพราะว่า เพื่อนเราดูว่า บอกต่อกัน กลัวการคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องหรือเปล่า คือการเกิด Network effect ของ ผู้ใช้บริการที่บอกต่อๆ แบบ ปากต่อปาก ไม่ต้องเสียเงินโฆษณาเลย แต่กลับกลายเป็น เขามารับชมแล้ว บอกต่อ นั้นคือตัว Netflix โฆษณาด้วยตัวของมันเอง โดยใช้ สื่อที่ตัวเองสร้างเป็นเครื่องมือในการโฆษณา หากมองย้อนกลับไป นั้นคือ ถ้าหากสื่อที่สร้างด้วยตัวเอง นั้นไม่ดี ไม่ส่งต่อความสุขได้ ก็คือ The end เหมือนกัน ไม่เกิด Network effect แบบนี้เกิดขึ้นจนเป็น กระแสแบบ Talk of the town ได้นั้นเอง ส่วนคนอื่นที่มาทำแล้ว น่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Netflix เท่าที่มอง นั้นคือ Disney ซึ่ง หาก Disney ยังคง concept เดิมไว้อยู่คือ สร้างความสุขให้แก่สาธารณชนได้ ก็เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว แต่ข้อเสียของ Disney คือ วัฒนธรรมองค์ที่มีอายุ เกือบ 100 ปี แล้ว ขั้นตอนที่เยอะมาก แต่หาก Disney ให้แต่ละ Studio ในชายคาบ้านตัวเอง ทำแบบ องคพยพ เดียวกันได้ แล้วสร้างความสุขแบบ มาเวล ทำแล้วละกัน ก็น่าคิดว่า ถ้าหากดูเรื่องนี้แล้วไม่รู้เรื่องนี้ มันดูไม่ดูเรื่อง แถมมันคือจิตใจของรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งเลยทีเดียว ที่พลาดไม่ได้แล้ว ละกัน งานนี้ก็ มวยถูกคู่ในด้านนี้เลยทีเดียว สิ่งที่ Netflix ที่ต้องระวังคือ องค์กรนี้ อายุยังน้อยอยู่ ประมาณ 20 ปีเท่านั้น ไม่ได้เผชิญ เหตุการณ์หนักๆ มากเท่ากับคู่แข่ง ที่มีการเปลี่ยนแปลง มาหลายอย่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การกีดกั้นการค้า oil shock เงินเฟ้อผิดปกติ เศรษฐกิจตกต่ำ พวกนี้ยังไม่โดนมากเท่าไร ดังนั้น เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องที่พิสูจน์ องค์กรแบบ Netflix ว่าระยะยาวนั้นอยู่รอดไหม
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 4:17 pm
0
0
Re: MONEY TALK Special - กลยุทธ์วีไอ (4) ในปี 64 - พีรนาถ โชควัฒนา - 13 มกราคม 2564
คลิปนี้ได้ฟังแล้ว สะตันไป 3 วินาทีเลยทีเดียว แต่ทว่า ทำให้สะกิดตุ่มคิดว่า ต้องไม่ประมาท บางทีสิ่งที่คิดไว้แล้ว อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ในช่วงเวลา ที่อยู่ทว่ากลาง วิกฤติ นั้น เราไม่รู้ว่า พายุนั้นรุนแรงแค่ไหน จนกว่า เราจะหลุดพ้นพายุนั้นออกมาแล้วเท่านั้น :)
โดย
miracle
จันทร์ ม.ค. 18, 2021 6:01 pm
0
2
Re: รถยนต์ไฟฟ้ากับประเทศไทย
แผนพัฒนาชาติ 20 ปี ซึ่งปรับปรุงหลังจากผลกระทบของโควิค 19 นั้น เริ่มเห็น ว่ารัฐให้ความสำคัญของรถไฟฟ้า คำถามคือ แล้วคนที่ลงทุนรถยนต์ประเภทอื่นๆก่อนหน้านี้แหละ แล้ว รายได้ของรัฐในรูปภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จะจัดเก็บผ่าน การไฟฟ้านครหลวง /การไฟฟ้าภูมิภาค อย่างไร เพราะ ก่อนหน้านี้มีประกาศของการไฟฟ้าภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวงเรื่องการจัดเก็บค่าไฟฟ้าสำหรับสถานีชาร์จของรถไฟฟ้าออกมาแล้ว คำถามคือ ถ้าเป็นแบบนั้น รัฐได้เงินผ่านการส่งเงินของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าภูมิภาค เพียงพอ/ทดแทนภาษีสรรพสามิตน้ำมันแล้วใช่ไหม คำถามต่อมาคือเมื่อมีรถไฟฟ้าแล้ว รถยนต์ที่สันดาบ ทำลายทิ้งหรือ ส่งออกรถใช้แล้วอย่างไร ต้องมีโรงงานทำลายแยกซากรถยนต์ไหม /มีการส่งออกรถยนต์สันดาบใช้งานแล้ว ให้กับใครต่อไป ในเมือประเทศต่างๆในโลกก็รณรงค์ไปรถไฟฟ้ากันหมด ส่วนเรื่องสภาพอากาศ ก่อนหน้านี้ อากาศหนาว PM 2.5 ก็มา ทันที ผู้ร้ายคือรถยนต์ แต่รอบนี้ (13-17 Jan 2021) ในช่วงโควิค 19 รอบนี้ประมาณการเดินทางลดลง แต่ทว่า ปริมาณค่า PM 2.5 นั้นเป็นมากกว่าม่วงไปได้ คือเกิน 300 ไปได้ แล้วจริงๆแล้ว มันเป็นที่อะไรสำหรับ PM 2.5 จาก คอนโดที่สร้างขวางเส้นทางลม หรือ กิจกรรมอื่นๆที่เราทำกัน ที่ไม่ใช่เรื่องการเดินทางโดยใช้รถยนต์สันดาบภายใน ก็น่าคิด เรื่องที่อ้างกัน ต้องศึกษาอีกซักพักว่า มันคืออะไรเป็นต้นเหตุกัน สุดท้ายคือไปสรุปกันที่ เรื่องการกีดกันทางการค้า ในรูปแบบอื่นๆหรือไม่ รอติดตามดูกันต่อไป :)
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 17, 2021 1:43 pm
0
1
Re: ประณามพฤติกรรมของบางคนน่ารังเกียจในสังคมเว็บบอร์ด
ต้องคิดว่า การลงทุน คนที่เห็นต่างนั้นคือ ช่วยให้เรามองได้รอบด้านต่างหาก บางที่เรามองไม่รอบด้าน ครับ อีกประการหนึ่ง การลงทุนสิ่งที่ได้รับคือ ความคิดเราถูก แต่คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อ ไอเดียของเรา หรือคนส่วนใหญ่เห็นว่า ความคิดเราไม่ถูกต้อง ยังลงทุนอยู่ ก็ถือว่า คนโพสได้รู้ว่า มันคืออะไรครับ บางครับ คนที่มีกำลังเงินและรู้เรื่องมากกว่า เค้าก็ยังลงทุนอยู่และเพิ่มขึ้นด้วย บางที่เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ในเรื่องพวกนี้ครับ และอีกประการหนึ่งที่บอก คือ "การลงทุนมีความเสียงโปรดศึกษาก่อนการลงทุน" และ "เราเป็นเจ้าของเงิน มิใช่เงินเป็นเจ้าของเรา เมื่อเงินอยู่ในกระเป๋าของเรา เราเป็นเจ้าของมัน แต่เมื่อเงินออกจากกระเป๋าแล้ว ก็ให้มันทำงานตามที่เราต้องการเถอะครับ "
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 17, 2021 1:36 pm
0
10
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
อยากให้ทุกท่านฟัง Money Talk ของพี่พีรนาถ ที่เล่าประสบการณ์ในช่วงปี 2563 ทำไมหรือครับ ที่ให้ทุกท่านฟัง เพราะมันมีประเด็นดังนี้ 1. ไม่ค่อยมีใครเล่าเรื่องที่ประสบการณ์ด้านลบในการลงทุน โดยเฉพาะช่วงที่เราถือสินทรัพย์แล้ว สินทรัพย์นั้นราคาลดลง แล้วเราต้องการขาย ว่าทำอย่างไร มีวิธีการอย่างไร 2. ไม่ค่อยมีคนแบ่งปันประสบการณ์ว่า ออกจากวิกฤติอย่างไร ในเมื่อเราใช้ Margin แล้วโดย Call 3. ไม่มีใครเล่าเรื่องการปรับสภาพจิตใจ ในช่วงวิกฤติ ว่าทำกันอย่างไร หันไปพึ่งพาอะไรในช่วงเวลานั้น 4. ไม่มีใครบอกกล่าวว่า ในช่วงวิกฤตินั้น ก็มีแสงสว่างจากคน โดยคนที่ยื่นมือมานั้นเป็นเช่นไร อันนี้สำคัญกว่า เรื่องที่บอกว่าสำเร็จอย่างไร เพราะว่า คนที่เล่านั้น ต้องกล้าหากมาก ในเรื่องด้านลบ และ ยังอยู่ได้ในการลงทุนต่อไป
โดย
miracle
อาทิตย์ ม.ค. 17, 2021 1:28 pm
0
3
Re: VI หาดใหญ่
สวัสดีปีใหม่ ครับ
โดย
miracle
ศุกร์ ม.ค. 15, 2021 12:10 pm
0
2
Re: มีโอกาสที่จะตีมูลค่า data เป็น asset ได้มั้ยครับ
เห็นมีคนตีค่า แต่ตีค่าตอนที่ทำ M&A ว่า ข้อมูลลูกค้า นั้นมีมูลค่าเท่าไร หรือ พฤติกรรมการใช้งานมีมูลค่าเท่าไร data = oil แต่สุดท้าย หากมันไม่มีค่าคือไม่มีค่า เพราะ มีเคสบริษัทที่ล้มละลายแล้ว ตีมูลค่าของ data นี้ แต่สุดท้ายมันคือ 0 ก็คือ 0 เพราะมันคือ ความว่างเปล่าแต่แรก แต่หาก คนซื้อเห็นค่า มันก็มีค่านั้นเอง ตีความให้ดีละกัน
โดย
miracle
พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2021 12:25 pm
0
0
Re: ความหมายของ WACC Weighted Average Cost of Capital
อธิบายให้ฟังละกัน (ทบทวนตัวเองไปในตัว) WACC นั้นสะท้อนความต้องการอยู่ สามส่วนคือ 1. ส่วนของหนี้สิน คือ ตัวที่ บริษัทไปกู้มา ก็ต้องใช้คืนในรูปของดอกเบี้ยและเงินต้น 2. ส่วนของผู้ถือหุ้น เมื่อนักลงทุนลงทุนไป ผลตอบแทนคือ ปันผล 3. ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ซื้อ หุ้นกู้ไม่มีวันหมดอายุ อันนี้ผลตอบแทนก็อยู่ในรูปของดอกเบี้ย ที่จ่ายทุกปี ดังนั้น WACC มันสะท้อน ความต้องการของ บุคคลทั้งสามกลุ่มข้างต้น คำถามคือ เมื่อไรจะ ใช้ WACC เป็นตัวหารในสมการ ที่ใช้งาน ถ้าหากคุณต้องการรู้มูลค่าของบริษัทว่าเท่าไร นั้นคือ ใช้ทั้งบริษัทประเมิน ดังนั้น คุณก็ต้องใช้ตัวหาร WACC เพราะ มันคือ ความสามารถของบริษัทที่หามาแล้วจ่ายคืน ให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัททั้งหมด ถ้าหากคุณต้องการรู้มูลค่าของหุ้นที่ลงทุนไปควรเป็นเท่าไร ก็ใช้ผลตอบแทนของส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Ke ในสมการของ WACC เท่านั้น สิ่งที่ต้องระวัง คือ ดอกเบี้ยของหนี้สิน ถ้าหากออกเป็น Zero cupon bond ต้องเอามาคิดไหม บอกว่าต้องมาคิด มันคือ การจ่ายดอกเบี้ยที่ปลายทาง ตอนวันหมดอายุ ไม่จ่ายระหว่างทาง ทำให้มีดอกเบี้ยนั้นเอง แต่ตอนขายมัน Discount ลงมา ส่วน หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ นั้น ปัจจุบัน ถ้าใครออกหลังปี 2563 แล้ว ก็คิดเป็นส่วนของหนี้สิน ถ้าออกก่อน ก็ลงในส่วนของผู้ถือหุ้นได้ แต่ให้เวลา 3 ปีที่ต้องดำเนินการไปอยู่ด้านหนี้สิน อันนี้คือ ป่าของเรื่อง WACC link กันให้หมดแล้ว แต่ระวังสิ่งหนึ่งที่ WACC ไม่ได้บอกคือ การเอาเงินจาก Supplier มาใช้ก่อน WACC ไม่ได้บอกในจุดนี้น่า หรือ ตัวเงินที่ต้องจ่ายให้พนักงานในอนาคต ก็ต้องดูว่า ทำมาแล้ว ถ้าปลดพนักงาน ณ วันนี้เป็นเช่นไร ก็ต้องดูไว้ด้วย
โดย
miracle
พฤหัสฯ. ม.ค. 14, 2021 12:22 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
บทเรียนโควิค 19 กับบริษัทประกันภัย ในปี 2020 ปี 2020 นั้นใครว่าธุรกิจทุกอุตสาหกรรมมีปัญหา แต่ยังมีธุรกิจหนึ่งที่ไม่ประสบปัญหา ในเรื่องการหารายได้ ลูกค้าไม่หนีหาย แค่ บอกว่ามีเท่านั้น ลูกค้าวิ่งใครเลย ไม่ว่าช่องทางไหนที่บอกว่ามี ลูกค้าก็สรรหาเลยทันที นั้นคือ กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่คุ้มครองโควิค 19 บริษัทไหนที่เปิดตัวขึ้นมาบริษัทแรก ลูกค้าถล่มจนเกิดปรากฏการณ์ website ล่ม / ประชาชนแน่นสาขาของธนาคาร / โทรศัพท์ไม่ว่าง (เหมือนจอง เดียว ของพี่โน้ต) เรียกได้ว่า รับมือไม่ดี อาจจะมีเสียงสรรเสริญตามมาได้ ว่า ซื้อไม่ทัน ซื้อไม่ได้ ไม่เพียงปรากฏการณ์เรื่องประกันสุขภาพที่ขายดีเทน้ำเทท่าเท่านั้น ปรากฏการณ์เรื่อง ประกันภัยรถยนต์ ที่เปลี่ยนแปลง สำหรับ รถยนต์ที่ให้บริการนักท่องเที่ยว ส่งประกันภัยไม่ไหว ต้องทำเป็นกรมธรรม์ระยะสั้นเท่านั้น เรียกได้ว่ากระแส มันกลับด้าน แต่ทว่า จริงๆแล้ว รถยนต์วิ่งบนถนนน้อยลง กว่าปกติ (ดูจากปริมาณยอดการใช้น้ำมันต่อวันได้) อันนี้เรียกได้ว่า อุบัติเหตุทางรถยนต์ลดลงกว่าช่วงปกติมากมาย อัตราการเสียชีวิตก็ลดลง ทำให้ Lose ratio ที่ลดลงไป อย่างเห็นๆชัดเจน (อันนี้ถ้าใครขับรถออกนอกบ้านรับรู้ได้เลยว่า ถนนโล่งมากกว่าปกติ เพราะ มาตรการหยุดเชื้อเพื่อชาติ นั้นเอง) จากเหตุการณ์ข้างต้น ก็มีคำถามเกิดว่า เมื่อหยุดเชื้อเพื่อชาติ แล้วอัตราการเกิดมากขึ้นไหม ก็บอกเลยว่า ช่วงนี้อัตราเกิดอาจจะลดลงไปด้วยซ้ำ เนื่องจาก คนเครียดว่ามีงานทำไม มีเงินไหม มีจะกินในวันรุ่งขึ้นไหม จุดนี้แหละที่ประกันภัย ยังไม่เข้ามาคือ ประกันเรื่องการว่างงาน มีแต่ประกันสังคมเท่านั้นที่ทำ แต่ ประกันภัยไม่ทำ ไม่รู้เพราะอะไร ถ้าทำได้ก็ดี จะได้เป็นหลักประกันให้แก่ประชาชน ยิ่งช่วงนี้น่าทำเพราะ มีข้อมูลแล้วว่า อาชีพไหนมีความเสี่ยงเท่าไร ขายยากหน่อย แต่ทว่า มันมีหนทาง จากโควิค 19 เนียแหละ ตัวต่อไปคือ เกิดโควิค 19 คนก็ไปใช้บริการโรงพยาบาลน้อยลง traffic ในโรงพยาบาลลงลดทำให้ lose ratio ของการเครมประกันภัยสุขภาพลดลงไป ลดลงจากปกติ เลย เพราะ คนไปโรงพยาบาลลดลง ดูได้จาก รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายได้ลดลง อย่างมาก เนี่ยก็ทำให้ บริษัทประกันภัยดีขึ้น นั้นเอง เรียกได้ว่าโควิค 19 ทำให้ รายได้บริษัทประกันภัย เติบโตจากประกันสุขภาพ ลดค่าใช้จ่ายในตัวของประกันรถยนต์ และ ประกันสุขภาพ นั้นเอง ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของอุตสาหกรรมประกันภัย แต่ทว่าในปี 2021 นั้น สิ่งที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยน อัตราสำรองการคิด RBC ใหม่ ว่าเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร มีแนวโน้มว่าบางสินทรัพย์ที่บริษัทประกันภัยลงทุนนั้น ลดอัตราสำรองลง อันนี้เป็นตัวที่ทำให้ บริษัทประกันภัย ที่โดนหน่วยงานกำกับดูแลนั้น ตั้งสำรองจาก RBC ไว้สูงจากการลงทุนในสินทรัพย์ก็ลดลงไป อันนี้ต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะ คนวงในอุตสาหกรรมนี้รู้ก่อน พวกนี้คือ สิ่งที่บทเรียนในปี 2020 ที่โควิค 19 มีผลต่ออุตสาหกรรมประกันภัย นั้นเอง เรียกได้ว่า 2020 นี้ อุตสาหกรรมประกันภัย เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าในอดีต ที่จาก ต้องขายประกันภัยตัวต่อตัว เป็น ไปสาขาของธนาคาร หรือขายทางโทรศัพท์ เปลียนแปลงมาสู่บน Website หรือ บนมือถือ จนสู่ line application นั้นเอง ส่วนต้นทุนก็มีแนวโน้มที่ลดลงไป และ การตั้งสำรองก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เอวังด้วยประการเช่นนี้
โดย
miracle
เสาร์ ม.ค. 09, 2021 9:36 pm
0
3
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
โควิค 19 ระลอกใหม่ กับเดิมพัน no lock down โควิค 19 ระลอกใหม่นั้น เริ่มตั้งแต่ปลายเดือน พฤศจิกายน 2020 จากชายแดนทางเหนือ แล้วหยุดลงเพราะ ตรวจขันแต่ทว่า กระแสคือ ทำไมไม่ lock down เพราะ ทว่า เป็นช่วงของการท่องเที่ยว แต่ทว่า โควิค 19 ระลอกใหม่ระเบิด เพราะว่า ประเทศไทย นั้น ภาคที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริง คือ แรงงานที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มาใช้แรงงานนั้นเอง จากจุดเล็ก แต่ทว่าไม่เล็ก จากหลัก 10 ตอนนี้ใกล้แตะ 1000 คนต่อวัน จากยอดคนตายที่หยุดนิ่งที่ 59 -60 คนนานหลายเดือน พอมาทีเดียวก็ตาย 1 คนแทบจะทุกวัน เพราะยอด ผู้ติดเชื้อ สูงนั้นเอง ตอนนี้คือช่วงเวลาที่วัดจำนวนเตียงในโรงพยาบาลและจำนวนเครื่องช่วยหายใจที่มีในประเทศไทย ว่าสามารถรองรับผู้ป่วยได้มากน้อยแค่ไหน ไม่เพียงแค่ ผู้ป่วยปกติ ต้องรับมือผู้ป่วยโควิค 19 ด้วย รอบนี้เดิมพันสูงเพราะว่า ช่วงเดือน ธันวาคม 2020 ภาคส่วนต่างๆไม่กล้าออกมาตรการรุนแรง เพราะ กลัวกระทบการท่องเที่ยว และการกลับบ้าน แต่เดิมพันที่ลงไป มันมีมูลค่าสูงกว่านั้นมาก เมื่อเกิดการเคลื่อนย้ายประชาชนเกิดขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มสูงขึ้น โดยดูตัวอย่างได้จากประเทศทางตะวันตก ที่มีการเคลื่อนย้ายของประชาชนในช่วงเทศกาล Thank giving day หลังจากนั้น 1 ถึง 2 อาทิตย์ เท่านั้น ยอดเพิ่มขึ้นสูงขึ้นมาก แบบมาแรงแซงทางโค้งจนต้อง Lock down รอบสอง เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นไหม บอกว่าเคยเกิดขึ้น เหตุการณ์ของประเทศไทยนั้น ลอกเลียนแบบเหตุการณ์ของประเทศสิงคโปร์ที่เกิดขึ้นที่ แคมป์พักคนงานนั้นเอง เรียกได้ว่า กว่าจะสงบใช้เวลา 2-3 เดือนในการเอาอยู่ มีข้อสังเกตต่อไปอีกว่า รอบนี้ที่เกิดจากการมั่วสุม ในสถานที่อโคจร ซึ่ง ถึงเวลาที่ล้างบาง ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดหรือยัง เพราะว่า ท้องที่ไหนมี ก็ถึงเวลา จัดการ 5 เสือ หรือ ผู้บังคับบัญชา เพื่อตัดตอน ไม่ใช่แค่ เชือดไก่ให้ลิงดู ถึงเวลาจัดการล้างบางอย่างจริงจัง ไม่ใช่จิ้งโจ้ ซักที สำหรับเคสเหล่านี้ สุดท้ายคือ จัดการให้หมด ถึงเวลาล้างบาง :)
โดย
miracle
พุธ ม.ค. 06, 2021 5:54 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ภาคที่ 3 มองไปข้างหน้า ในปี 2021 (ยังอยู่ท่ามกลางโควิค 19) ภาคนี้เป็นภาคที่ต่อเนื่องจาก ภาคที่ 2 แต่ทว่ามันเป็น Outlook ในปี 2021 แทน ว่าเป็นเช่นไร สิ่งแรกที่บอก คือ ภาคเอกชน ปรับตัว เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม และที่พัก ในปี 2020 ยังไม่ได้ยินเรื่องโรงแรมล้มละลาย ทำไมเป็นเช่นนี้ เพราะ โรงแรมเป็นกิจการที่ใช้ สินทรัพยืในการลงทุนสูง สร้างทีอยู่ได้เป็น 20-30 ปี หรือมากกว่า กว่าจะทุบแล้วสร้างใหม่ ทีหนึ่ง เรียกได้ว่า ลงทุนหนักแล้ว เก็บเกี่ยว ดังนั้น เงินทุนหมุนเวียน ก็มีแค่เรื่องของคนเป็นหลัก ซึ่ง ในปี 2020 นั้นก็ลดคนกันเป็นแถวอยู่แล้ว ดังนั้น จำตาว่า มีการ ควบรวมกิจการโรงแรมไหม สิ่งที่สอง ที่เห็นคือ การปั้มเงินออกมา ของภาครัฐ ที่พยายามเอาเงินไปซื้อวัคซีน โควิค 19 เรียกได้ว่า กักตุนวัคซีนในประเทศร่ำรวยนั้นเอง ก็เห็น แนวโน้มตั้งแต่ ปี 2020 ว่า มีการสั่งจอง วัคซีน โควคิ 19 จำนวนมากกว่าความสามารถที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนสามารถผลิตได้ เรียกได้ว่า จองข้ามไปถึง ปลายปี 2021 แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น อีกด้านคือ รัฐต้องพยุงเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่ให้ยุบตัว สามารถให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ในช่วงระยะเวลานี้ มีเงินใช้ มีงานทำ ท้องอิ่ม แต่ อาหารไม่อร่อยเท่านั้นเอง สิ่งที่สามคือ สายการบิน ที่ต้องปรับตัวอย่างมาก คือ จากเดิมที่จำนวนสายการบินและเครื่องบิน มากมายมหาศาล เรียกได้ว่า สั่งจองเครื่องบิน ที่รอคิวไปนาน บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินก็กำไรดี ก่อนที่เกิดโควิค 19 ไม่มีข่าวเรื่องสายการบิน มีปัญหาเรื่องการเงิน หรือล้มละลาย นั้นเอง แต่ทว่า พอโควิค 19 มา เท่านั้นแหละ สายการบิน หรือกิจการที่เกียวข้องตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ก็มีผลกระทบอย่างหนัก จากขนคนต้องขนของแทน ไม่เพียงแค่นั้น การปิดประเทศ ทำให้ ค่าส่งสินค้าทางอากาศ แพงเป็นทวีคูณ คือ อย่างน้อย 3-4 เท่าตัว คือไม่มีเส้นทางการบิน ที่สามารถส่งสินค้าได้ นั้นเอง แต่ในปี 2021 นั้นคือ ปีที่สายการบิน มีการควบรวมกิจการ กันมากขึ้น นั้นเอง และมาตรการเดินทางทางอากาศต้องวางมาตรฐานใหม่ ซึ่งครั้งล่าสุดคือ 911 ที่เรียกได้ว่า ถอดรองเท้า ไม่ให้เอาเจล หรือ ของเหลวขึ้นเครื่องบิน ก็ตอนนี้แหละ จากนั้นมาก็ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย จนโควิค 19 นี้แหละ ที่มาตรการเพียบ ต่อไปนี้ สายการบิน ก็ต้องปรับตัวเข้ามาตรฐานใหม่อีก สิ่งที่สี่ ที่พวกเราเจอ คือ การที่ทำงานที่บ้านได้ การลดขนาดของพื้นที่การทำงานของบริษัทต่างๆ ส่วน Co-working space นั้นลดความสำคัญลง เพราะ ทำงานที่บ้านก็ได้ นั้นเอง งานนี้ต้องแนวโน้มกันต่อไป สิ่งที่ห้าความเชื่อสิ่งหนึ่งคือ ช่วงโควิค 19 นั้นจะทำให้อัตราเกิดเพิ่มขึ้น เพราะคนอยู่กับบ้าน แต่อาจจะกลายเป็นอีกด้านหนึ่งคือ คนมันเครียดมากกว่าเดิม เพราะ สิ่งที่สีที่บอกไว้คือ ต้องนำงานมาทำที่บ้าน ทำให้ บ้านที่เงียบสงบ กลายเป็นบ้านที่ต้องทำด้วย นั้นเอง นั้นคือ คนไม่มีที่พัก ทำงานตลอดเวลา อันนี้ทายต่อไป ผู้นำทางจิตใจ กำลังเข้ามาในสังคมไทย (เมื่อก่อนคือ พระสงฆ์ หรือ เข้าหาทางธรรมเพื่อใจสงบแต่งานนี้มากกว่านั้นแน่นอน) สิ่งที่หก ที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ การบูมของตลาดหลักทรัพย์ ต่างๆ อันนี้ทายไว้เพราะว่า จากข้อข้างบนที่รัฐปั้มเงินนั้นเอง ซึ่ง แนวโน้มเห็นตั้งแต่ปี 2020 แล้ว และยังคงทำต่อไปในปี 2021 และ อาจจะต่อไปในปี 2022 ด้วย แต่คำถามสำคัญคือ ดอกเบี้ยของไทย จะลงเหลือ 0.00% หรือไม่ อันนี้ต้องรอดูว่ามีทางไหน แต่ว่า ยากหน่อย ในระยะเวลาภายในปี 2022 สิ่งส่งท้ายคือ แนวทางการลงทุน มิใช่แบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ในปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอย่างมาก คือ ต้องเร็ว และไวกว่าเดิม รอไม่ได้ เวลาลดลง มีเวลาแค่ นับ 1,2,3 ยังไม่ทันเลย ส่วนลงไปกองกับพื้น ก็คนก็กลัวกัน ว่าจะลงลึกไหม อันนี้ mood and tone ไม่ได้ นั้นเอง ช่วงจังหวะที่ต้องช้อน ต้องใช้หลักการดันโด ยังคงใช้งานได้อยู่เสมอ แต่ทว่าคุณต้องมองทะลุ ว่ากิจการนั้นยังคงอยู่ไหม ถ้าหากสัญญาณบอกว่า กิจการนั้นเป็น Zombie คือ เติบโตก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ แต่ธนาคารยังคงปล่อยกู้ให้ จากกระแสเงินสดยังหมุนเวียน ไม่เป็นหนี้เสีย มันทำให้กิจการอื่น ไม่สามารถเติบโตได้ แบบนี้ก็น่าพิจารณาน่าครับ ว่าเอาไง กัน สิ่งที่ต้องระวังในปี 2021 นั้นคือ ปลายปี 2021 ที่หมดเวลาการส่งเสริม การจ้างงานของประชาชน จะหมดลง ยอดคนตกงานจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งไหม ต้องรอดูต่อไป ปล. เอ็นทราส ปี 2020 คณะที่ได้คะแนนสูงสุด และ เป็นผู้นำคือ คณะที่เกี่ยวกับทางการแพทย์และสาธารณสุขทั้งหมด ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเป็นแบบนั้น คำตอบคือโควิค 19 นั้นเอง แต่กระแสนี้อีกนานไหม เพราะว่า หากคนเก่งไปเรียนแพทย์ทั้งหมดแล้ว ประเทศก็พัฒนาในด้านนั้นอย่างเดียว ดังนั้นต้องมีพวกที่เป็นดาวเด่นแต่ไปสาขาอื่นๆ ด้วย จะได้กลมกล่อมนั้นเอง
โดย
miracle
พฤหัสฯ. ธ.ค. 31, 2020 12:02 pm
0
1
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ภาค 2 การลงทุนในช่วงโควิค 19 ภาคนี้ต้องแบ่งออกเป็น แค่ 2 ช่วงเพราะว่า ยังเราไม่ผ่านพ้นโควิค 19 นั้นเอง ระยะเวลา กินเวลาจนถึง 2022 เป็นอย่างน้อยกว่าจะผ่านพ้นไป ดังนั้น ถึงหากมีเวลาจะเขียนให้ ในปี 2022 ละกัน ในช่วงที่ 3 สองช่วงที่นั้นแบ่งเป็นช่วงก่อน และ ช่วงที่อยู่ในท่ามกลางโควิค 19 ช่วงก่อน โควิค 19 นั้น เรียกได้ว่า ไม่มีการปรับ Port การลงทุนอะไรเลย คือ มีอะไรอยู่ก็ตามนั้น แต่ทว่า เมื่อ โควิค 19 มาปุ๊บ การเตรียมตัวคือ ไล่เปิด เคสย้อนหลังคือ ตอนไข้หวัดนก และ ตอนซาร์เลย ว่า กิจการไหนเป็นที่ต้องการ ไล่เปิดปุ๊บก็เจอ ว่า ถุงมือยาง (ตอนนั้นเป็นบริษัทนอกตลาดถือผ่าน บริษัทแม่ในตลาด ) ถุงยางอนามัย พวกเจลล้างมือ เป็นต้น เห็นๆเลยว่าขาดตลาด ซึ่งเป็นช่วงที่ขายดี Supply ขาด แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ คลื่นกระแทกมาอย่างแรงคือ ลงกันหมด ทั้งกระดาน ทำอะไรไม่ทัน (เหมือนปี 2008 แต่แตกต่างคือ คลื่นรอบนี้มาเร็วและแรง กว่า ตั้งหลักได้น้อยมากกว่า เพราะตอน 2008 มีกูรู ทั้งหลายออกมาพูดเพื่อเรียกความเชื่อมั่น แต่รอบนี้ ฟังแต่แพทย์เท่านั้น) ต่อมาคือ Lock down ช่วงนี้แหละ ที่เริ่มปรับ port และช่วงโชคดี ด้วย คือ ทองคำลดลง แต่ทว่า เราตีความได้ถูกต้องช่วงเวลานั้น เจอใครก็บอกลงทุนทองคำ ในช่วงนั้นเลย ไม่สนใจอะไร บอกอย่างเดียวว่าลงทุนทองคำ เพราะอะไร ในเมื่อ ประชาชนกลัวว่าติดโควิค 19 และมันเป็นโรคระบาด ช่วงเวลานั้น ก็ต้องไม่ให้ประชาชนเคลื่อนย้าย ไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่ของประชาชน จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง นั้นเอง ทองคำเป็นสิ่งที่คุ้มครองค่าเงิน ซึ่งช่วงเวลานี้คือ ช่วงเวลาที่คนแห่ไปขายทองคำ มันคือ ช่วงโอกาสทอง ที่หากได้ยาก ว่าคนแพนิค ขาย จนกระทั่งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องออกมา มีเงินพอที่ให้ร้านทองกู้ ถึงจะค่อยๆ หยุด เนี่ยคือโอกาส เลยทีเดียว แต่ทว่าโอกาสนี้ เป็นโอกาสดีในรอบหลายปีของทองคำเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่ทองคำเท่านั้น อยู่ๆ หุ้นใน Port ที่ถือมาลดลง แต่ทว่า ตีคืนมาอย่างรวดเร็วเลยที่เดียว port ที่เน่าก็กลับมาอยู่ในระดับลบที่น้อยลงกว่าปี 2019 port ที่ถือยาวก็ลบแบบ 30% แต่ทว่า เดือนพค 2020 เป็นเขียวแก่เลย แบบว่า แดงแค่ตัวเดียวจาก 4 ตัวซึ่งเป็นตัวที่ขายเอากำไรไปหมดแล้ว เหลือหุ้นไว้ดูเท่านั้น (เป็นพวกกิจการห้างสรรสินค้า ซึ่งใน US ช่วงนี้ขายล้มละลายของห้างก็เพียบเลย ก็เลยต้องตัดใจขาย) อีกสามตัวที่เหลือ มีหุ้น เช่าซื้อรถยนต์ ,หุ้นที่ซื้อมาขายไปอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้วกำลังเปลี่ยนแปลง Biz model และอีกตัวคือ เทคโนโลยีเป็นผู้นำ ยืนเด่นสง่ามากตัวนี้ ไม่ลดลงแถมเพิ่มขึ้นติด Top chart อีกต่างหาก เพราะถือมานานเป็น 10 ปี แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ลด Port ไป จากเรื่องอื่นๆที่จำเป็น เรียกได้ว่า ช่วงแรกของคลื่นไม่ค่อยได้ทำอะไร แต่ช่วงเดือน เมษายน ถึง มิถุนายน 2020 Active มากช่วงหนึ่งของปีเลย เห็นของถูกเทกระจาด ลงมากองกับพื้นเลย เช่น ประกันชีวิต ที่อะไรฟ่ะ มูลค่า market cap น้อยกว่า port การลงทุนของบริษัท แบบนี้เงินลงทุนของเราคือ Port การลงทุนของบริษัทประกันชีวิตเลยทีเดียว ส่วนอื่นคือ ไม่ให้ค่า อย่างนี้ไม่เอาก็ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น หรือ พวกบริษัทประกันวินาศภัย ที่ทุกคนมองว่าต้องจ่ายจากการทำประกันมากมายในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ทว่า เมื่อ Lock down คนเดินทางน้อยลง ขับรถน้อยลง อุบัติเหตุเกิดน้อยลง เครมอุบัติเหตุลดลง ก็ทำให้เกิดกำไรขึ้นมา นั้นเอง (ส่วนใหญ่ Lose ratio ของประกัน มาจากอุบัติทางรถยนต์ เพราะสัดส่วนของตลาดนี้ใหญ่มาก) หรือ พวกปล่อยกู้ อันนี้คิดว่ากระทบหนัก แต่ทว่า จริงๆแล้ว ใครที่ผ่านปี 2554 จะรู้ว่า มาตรการที่ออกมาคือ ตัวแก้ไขในปี 2554 ที่บังคับให้ตั้งสำรองไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน (Cookie jar) นั้นเอง แต่รอบนี้คือ ให้ไม่คิด แล้วค่อยว่ากันตอนสุดท้ายว่า เน่าหรือดี เรียกได้ว่า พยุงกันเต็มที่เลย ในกลุ่มนี้ แต่น่าเสียดาย ธนาคารมากๆ เพราะ อะไร ตัวนี้แหละ คือ key ที่ทุกคนมองว่า หยุดชำระหนี้แล้ว ทำให้ธนาคารไม่ดี แต่ทว่าตัวที่ทำให้ธนาคารไม่ดี คือ outlook ปี 2021 ต่างหากคือ การคิดต้นคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบใหม่นั้นเอง น่าเสียดายมากๆ แต่ทว่า จริงๆแล้ว มันคือโอกาสต่างหาก เพราะ หากคนที่จ่ายดอกเบี้ยน้อยลงไป มีกำลังมากขึ้นก็ทำให้เค้ามาเป็นลูกค้าของธนาคารได้มากขึ้นนั้นเอง พยุงลูกค้าก็เท่ากับพยุงธนาคาร ยิ่งธนาคารสะสม เงินกองทุนมากเท่าไร ก็ยิ่งป้องกันเรื่องความเสี่ยงแบบปี 2540 มากเท่านั้น (ทุกคนที่ผ่านประสบการณ์ปี 2540 หรือต้มยำกุ้งคือ รอยประทับว่าห้ามทำ เหมือนที่เยอรมันนีเกลียดเงินเฟ้อเข้าชีวิตจิตใจ เพราะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่สอง นั้น เงินไม่มีค่า หอบกระสอบไปซื้อสินค้าเลยทีเดียว เลยทำให้คนเยอรมันกลัวเงินเฟ้ออย่างมากนั้นเอง) มาถึงวันนี้คือ อะไร เรายังนั่งท่ามกลางวิกฤติที่ยังไม่จบ มีอะไรที่ต้องดูอีกหรือเปล่า 1. วัคซีนมาเมื่อไร 2. ฉีดเท่าไร ถึง เป็น มีภูมิคุ้มกัน 3. โควิค 19 เป็นเหมือนไข้หวัดสเปนหรือไม่ ที่หายไป หรือ เป็นไข้หวัดที่มากับหน้าหนาวต่อไปในปีต่อๆไป 4. แผลเป็นในการใช้มาตรการทางการคลัง ของภาครัฐของแต่ละประเทศ 5. อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นเวลานาน ตามที่ คุณอลัน กรีนสแปน บอกไว้ในหนังสือ คือ ช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ มันอาจจะก่อให้เกิด คลื่นใหญ่ตามมาได้ ปล สิ่งที่ทิ้งทายคือ ก่อนหน้า เกิดโควิค 19 คืออุตสาหกรรมการบิน เฟื่องฟู อะไรที่เฟื่องฟูมากเกินไป มันจะเข้าสู่ สมดุลตามธรรมชาติ โดยทางใดก็ทางหนึ่ง
โดย
miracle
พุธ ธ.ค. 30, 2020 12:34 pm
0
2
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ภาค1 ของปี 2020 ปีแห่งความผันผวน ปี 2020 เป็นปีที่ลากความผันผวนมาจากปี 2019 สิ่งแรกที่เริ่มคือสงครามการค้า ที่คาดว่าจบลง สงบศึกชั่วคราว ในข่วงเดือนมกราคม 2020 แต่ไม่ทันเข้าช่วงตรุษจีน คำใหม่ ที่เราๆท่านๆกลัวมากคือ lockdown ก่อตัวตัวขึ้นที่ประเทศจีน lockdown อู่ฮั่น หยุดการเดินทางของคนจีนในข่วงตรุษจีน เนึ่ยคือเริ่มต้นของระฆังช่วยจากเดิมในเมืองไทยหน้าหน่วแต่ร้อนมากในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมาก็เริ่มสิ่งที่เรียกว่าประชาชนตื่นหน้ากากและเจล หาซื้อไม่ได้ ไหมคลี่คลายได้ตอนเดือน กันยา ถึง ตุลาคม 2020 ทุกสรรพกำลังมุ่งตรงที่แนวหน้าคือ สถาพยาบาล (โรงพยาบาล) จากนั้น ทุกอย่างหยุดชะงัก โดน Shutdown ไล่ยาวถึงเดือนพฤษภาคม2020 เลยทีเดียว แล้วค่อยๆ ให้ประชาชนทำกิจกรรมได้อีกครั้ง แต่ทว่า ปิดกั้นต่างประเทศ ก็ทำให้เศรษฐกิจภายในพัง เครืาองหนุดหยุดนิ่ง ตลาดหุ้น เอ๋ย ร้านทองก็ดี โดนมหกรรมแห่เทขาย แต่ทว่า ทั้งตลท นั้นกว่าฟื้นตัวก็ปลายปี 2020 ในเดือนตุลาคม 2020 เป็นต้นมา ส่งทองคำหลังจากมหกรรมแห่เทขายก็วิ่งยาวทำ new high ใหม่ ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดดาวโจร แนสแดก ก็ทำจอดภูเขาใหม่เรื่อยมา ปีนี้เรียกได้ว่า ขึ้นสุดลงสุด เดี๋ยวมาขยายความตอนต่อไปละกัน
โดย
miracle
อังคาร ธ.ค. 29, 2020 11:55 am
0
2
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
Lock down ในรอบสัปดาห์นี้ ข่าวใหญ่ ในแวดวงเรื่องโควิค 19 หนีไม่พ้นเรื่อง Lock down ไล่ตั้งแต่ประเทศในยุโรป คือ เยอรมัน และ อังกฤษ กลับมาที่บ้านเรา ก็เริ่มมีการ Lock down ตอนนี้จังหวัดแรกคือ สมุทรสาคร สองสามวันยอดมาทีเดียวมากกว่า 500 ราย ต่อมาคือ Lock down อำเภอ แม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ แค่นี้ยังไม่จบแน่นอน เพราะเพิ่งเริ่ม เท่านั้น แต่ที่แปลกใจ คือ เชียงรายไม่ Lock down ซึ่งเป็นแหล่งที่ คนไทย หรือคนพม่า ที่เดินทางจากท่าขี้เหล็กเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติ งานนี้คือ ไม่ต้องหาว่า ผู้ติดเชื้อคนแรกคือใคร แต่ตอนนี้กลาย เป็นเราสามารถ ปูพรมในการ ตรวจหาผู้ติดเชื้อได้ดีแค่ไหน คือ รถตรวจเคลื่อนที่ และห้องแล็บสามารถตรวจสอบได้ดีแค่ไหน นั้นเอง ประเด็นนี้สำคัญคือ ยิ่งตรวจสอบเชื้อเร็วแค่ไหน มาตรการก็มาเร็ว ด้วย มาอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องของหนังสือ no rules ,rules ที่เขียนโดยผู้ก่อตั้ง netflix อันนี้กลายเป็น หนังสือที่ขายดีในช่วงนี้ เรียกได้ว่าคัมภีร์บริหารจัดการเดิม เลยทีเดียว ต้องหามาอ่านให้ได้แหละ เพราะว่า แนวความคิดมันแตกต่างจากเดิม ซึ่งโลกยุคใหม่ต้องอ่านอะไรใหม่ๆ แต่โครงเดิมใช้งานได้ เพราะสิ่งเดิม ทิ้งไม่ได้ จนกว่า คนรุ่นเดิมตายหมดไปแล้วเท่านั้น เรื่องต่อมา เรื่อง ของการสะสมอาวุธ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของ US ในด้านกองทัพเรือ นั้น มีสามเรื่องใหญ่ คือ 1. ขนาดที่ต้องลดลง ของกองทัพเรือในเรื่องของจำนวนเรือ 2. การเปลี่ยนแปลงชั้นของเรือ ทั้ง เรือบรรทุกเครื่องบิน ,เรือดำน้ำ และ เรือพิฆาต 3. เรืองของเครื่องบินประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินและเรือยกพลขึ้นบก ที่เป็นทั้งเรือบรรทุกเครื่องบินไปในตัวด้วย สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่จับตาดูว่า เปลี่ยนแปลงแล้วเป็นเช่นไร ต่อไป
โดย
miracle
อาทิตย์ ธ.ค. 20, 2020 11:17 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
เงิน เงิน เงิน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ เงิน ไม่มีที่ไป ทำไมบอกแบบนั้นแหละ เพราะว่า เงิน ต้องสร้างการหมุนเวียนให้แก่ระบบเศรษฐกิจ แต่ทว่า เศรษฐกิจทรุด คนที่ช่วยเหลือคือ รัฐ แต่ทว่ารัฐก็มีหน้าที่ ซื้อวัคซีน มาฉีดให้แก่ประชาชน ในประเทศด้วย ดังนั้น การขยายเงินของรัฐ ก็เพื่อ ช่วยเหลือประชาชน และ เพื่อป้องกันโรคไปในตัว แต่ทว่า ณ ตอนนี้คือ มีการกักตุน จำนวนวัคซีน เพื่อประโยชน์ของประเทศร่ำรวย เรียกได้ว่า ไม่ใช่ พวกข้าก็ไม่ได้วัคซีน จุดนี้แหละ ที่ทำให้ประเทศยากจนก็ต้องเลือกข้างไม่พอ แต่ต้องมีเงินด้วย เรียกได้ว่า ก็ต้องกู้เงินมาเพื่อซื้อวัคซีนหรือเปล่า ไม่เพียงแค่เรื่องของ วัคซีนเท่านั้น ยังมีเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีผลกระทบจากโควิค บางประเทศนี้ รายได้ที่หดเท่าไร ให้เท่านั้น แต่ทว่ากิจการไม่ได้เปิดนิ ทำให้ นั้นคือ รัฐให้เงินโดยที่ไม่ต้องจ่าย ผลคือ bottom line โตกว่าปี 2019 อีกต่างหาก งานนี้ก็สนุกซิ แต่ทว่าเป็นแบบนี้ได้แป๊บเดียว เมื่อประชาชนตรวจสอบก็ต้องลดสิ่งนี้ลง แต่ทว่าเงินออกจากกระเป๋าของรัฐเข้าสู่เอกชน แต่ทว่าเอกชนก็ไม่ได้ลงทุน รัฐก็ต้องลงทุนต่อไป ทำให้เงินก็ปั้มออกมาเรื่อยๆ นั้นเอง ทำให้กิจการที่ตอนนี้มีอนาคต ก็ยิ่งแพงไปอีก เช่น รถไฟฟ้า พวก Platform ก็ยิ่งได้เงิน ส่วนสิ่งที่คนกลัวคือ Bubble ใน platform นั้น ห่างไกลกว่าปี 2001 คือ ช่วงนั้น บริษัท Dot com มาแบบขาดทุน แต่ทว่ารอบนี้เค้าปรับตัวแล้วคือ กำไร นอกจากบางบริษัทที่ขาดทุนแต่ทว่า รายได้เพิ่มทุกๆปี มี growth ก็ต้องเล่นแบบ Growth Story ไม่ใช่กำไรโต แทนไป ช่วงนี้ เงินมันก็ต้องมีไปนั้นเอง :)
โดย
miracle
จันทร์ ธ.ค. 14, 2020 7:15 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
สัปเพเหระ นับถอยหลัง Brexit อันนี้ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ใช้งานวันที่ 1 มกราคม 2564 ไม่เลื่อนอีกแล้ว งานนี้คือ จากเดิม EU ต้องหาศูนย์การทางเงินแห่งใหม่แทน ลอนดอน แต่แล้วก็ไม่ทันก็ต้องใช้ลอนดอนเป็นศูนย์กลางไปก่อน ไม่เพียงแค่นั้น เรื่องของ Export - import ก็ต้องเจรจากับประเทศการค้าขนาดใหญ่ ซึ่ง อังกฤษ เจรจากับ ญี่ปุ่นไปแล้ว ตอนนี้ก็ต้องไล่เจรจาให้จบก่อนเส้นตาย ไม่งั้นปั่นป่วนอีกระลอกแน่นอน ไม่เพียงแค่ Brexit ตอนนี้โลกทั้งใบก็ปั้มเงินออกมาเพื่อพยุงเศรษฐกิจ เลยทำให้ หลังจากโควิค 19 ถล่มให้ระทวยใจแล้ว ตอนนี้รัฐบาลกลางก็ต้องวัดสภาพทางการเงินว่า ล้มละลายหรือไม่ ณ ตอนนี้ ประเทศที่ล้มละลายมีจำนวน 8 รายไปแล้ว หลังจากเกิด โควิค 19 ขึ้น อันก็ต้องจับตามองต่อไป ปี 2563 กลายเป็นปีที่ดีในการลงทุน เพราะ มีหุ้น 10 เด้ง แต่เราไม่มี เรามีแค่ หลายเด้งเท่านั้น ตัวหนึ่งเกือบที่ว่าแล้ว แต่ทว่า จริงๆแล้วระบบคำนวณผิด เนื่องจากแตกพาร์แล้ว ราคาไม่ปรับลดลง ขายก็ไม่ได้ด้วย สบายไป อีกตัว Dividend payout ก็ 10% กว่าๆ กับราคาที่ซื้อมา แต่ราคานี้ไปไกลแล้ว PE 30 กว่าเท่าแล้ว จากเดิม ที่นิ่งอยู่ 10 เท่ากว่าๆมานาน แล้วระเบิดที่ก็วิ่งหน้าตั้งเลย ส่วนทองคำที่ลงทุนก็ถือว่าอดทนมากๆ ก็สบายใจ ไปเรื่อยๆ เพราะทองไม่มีปันผล แต่ที่ลงทุนมีปันผลรับให้สบายไป เรียกได้ว่า กลับตาลปัตรสำหรับปี 2563 ที่โหดร้ายมาก การงานก็เรียกได้ว่า งานเพียบ แน่นมากๆ เหนื่อยมากๆ อันนี้แก้ไขที่ใจอย่างเดียว ต้องบอกว่า "...ใจ สู้หรือเปล่า ไหว ไหมบอกมา โอกาส ของผู้กล้า ศรัทธา ไม่มีท้อ ..." ศรัทธา ของหิน เหล็ก ไฟ เท่านั้นในเรื่องนี้ :)
โดย
miracle
เสาร์ ธ.ค. 05, 2020 4:38 pm
0
0
Re: รถยนต์ไฟฟ้ากับประเทศไทย
คำถามใหญ่คือ รายได้ของรัฐ คือ ภาษีสรรสามิต ที่เรียกเก็บ จากน้ำมัน แล้วถ้าหากเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แล้ว รัฐเรียกเก็บจากอะไร งานนี้คำตอบคือ เรียกเก็บจากหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่เอามาชาร์จรถยนต์ นั้นเอง ว่าราคาต่อหน่วยนั้น ต้องบวกเพิ่มไปเท่าไร แต่คงได้น้อยกว่า ภาษีสรรสามิตที่มีอยู่ปัจจุบัน แถมด้วย บริษัทน้ำมัน มีขนาดใหญ่กว่าบริษัทไฟฟ้า ไม่เพียงแค่นั้น รัฐวิสาหกิจไฟฟ้า ก็แปลงสภาพไม่ได้ งานนี้เลยหวยไปออกที่ไม่ต้องพัฒนารถไฟฟ้า จนกว่า ประเทศโดยบีบบังคับว่า ต้องสูญเสีย การเป็น hub ทางรถยนต์ไปก่อน ถึงยอมมานั่งคิดว่า ทำไมเราเป็นเช่นนี้ หลุดจากเทรนไปได้อย่างไร :)
โดย
miracle
เสาร์ ธ.ค. 05, 2020 4:26 pm
0
4
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
เรื่องของค่าเงินบาทที่แข็ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย นั้นได้ผ่อนผันที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างประเทศ ทั้งส่วนบุคคลและของบริษัทเพิ่มเติมขึ้น เป็นมาตราการที่ช่วยเรื่องค่าเงินบาท แต่ในมุมมองภายใหญ่คือ มันไปเกี่ยวข้องกับการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยบังเอิญ หรือเรียกง่ายๆคือ เตรียมการไว้ก่อน ล่วงหน้านั้นเอง ทำไมเป็นเช่นนั้นได้แหละ ลองตามความคิดดูว่ามันคืออะไร สิ่งแรกที่เราเป็นคือ เมื่อสังคมมีผู้สูงอายุมากขึ้นนั้นคือ วัยแรงงาน 1 คนดูแลผู้สูงอาย 2-4 คน (พ่อแม่ -พ่อแม่ของภรรยา) นั้นเอง นั้นคืออะไร productive ของสังคมก็ลดลง ทำให้แรงงานทำงานน้อยลงเพื่อดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น สิ่งที่สองคือ คือเมื่อมีแรงงานน้อยลง ค่าแรงทีจ้างก็ต้องสูงขึ้น แล้วงานที่ทำต้องมีคุณค่ามากกว่าเดิมเพื่อคุ้มค่า ดังนั้นก็ต้องมีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงาน นั้นเอง เพื่อชดเชยแรงงานที่ขาดหายไป สิ่งที่สามคือ ประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุก่อนเราคือ ญี่ปุ่น แล้วมันเป็นเช่นไน ค่าเงินของญี่ปุ่นมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ อยู่ระดับ 100 เยน บวกลบ 20 เยนต่อ 1 ดอลล่าร์มาโดยตลอด หลังจาก Plaza accord แล้ว (นั้นคือหลังจากยุคที่ญี่ปุ่น รุ่งเรื่องที่สุดเลยก็ว่าได้) จากประเทศที่ผลิตเป็นหลัก บริษัทก็ย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศ เพราะค่าแรงสูง ไปผลิตที่ไหนละ ที่ไทย หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับ เกาหลีใต้ เมื่อผลิตแล้ว ก็ส่งเงินกลับ หรือส่งสินค้ากลับไปขาย ซึ่งสินค้าก็ต้องราคาถูกกว่า เดิม เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดดุลการค้ามากเกินไป เมื่อทำมาค้าขายก็ส่งกำไรคืนก็มีปัญหาเรื่องของภาษี ก็ใช้วิธีการเรื่องของค่าลิขสิทธิ์หรือสิทธิบัตร หรือ ค่าที่ปรึกษา หรือค่าใช้งานระบบนั้นเอง ส่งเงินกลับ สิ่งที่สามคือ เมื่อค่าเงินบาทแข็งก็ไม่มีใครลงทุน แต่มันคือโอกาสที่เราไปลงทุนข้างนอกหรือเปล่า เพื่อแสวงหา อาณานิคมทางเศรษฐกิจต่อไป ในประเทศที่กำลังมีประชาชนอยู่ในวัยเรียน หรือกำลังทำงานช่วงต้นๆ เหมือนที่จีนไปลงทุนที่ทวีปแอฟริกา ในปัจจุบันนั้นเอง สิ่งเหล่านี้แหละคือ สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้นเอง ส่วนเรื่องการส่งออกนั้น เราต้องพัฒนาจากสินค้าที่แข่งขันด้วยราคา แต่เราต้องส่งออกด้านบริการให้ได้ หรือระบบให้ได้ เพราะว่า คนของเราต้องดูแลผู้สูงอายุนั้นเอง มันเลยเกิดแรงกดดัน เรื่อง digital transfer เกิดขึ้น ซึ่งมันคือ การใช้คนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะ อนาคตคนทำงานน้อยลงนั้นเอง ส่งท้าย เมื่อวานนี้ดูข้างเรื่องสหกรณ์รถไฟ ที่มีปัญหา เล่นกู้กันคนละ 1.5 ล้านบาทต่อครั้ง แล้วทำเอกสารปลอมแปลง จากนั้นเอาเงินสดๆ มาเก็บไว้ที่พัก เพราะฝากเข้าธนาคารไม่ได้ ทำให้นึกถึงเคสหนึ่งของสถาบันทางการเงินที่วางระบบ ใหม่ แล้วพนักงานรู้ว่ามีช่องโหว่ง จากระบบ ก็เอาเงินพักออกมา แล้วฟอกด้วยการไปซื้อหวยบนดิน เมื่อซื้อเสร็จ (เหมายกแผง) เมื่อถูกก็ไปซื้อบ้านซื้อรถ ทุกคนบอกว่าโชคดีจากหวย อันนี้ก็ต้องระวัง เพราะ ลอตเตอรี่อาจจะเป็นแหล่งฟอกเงินก็เป็นไปได้ ในอนาคต เพราะไม่รู้ว่า เงินที่ซื้อมาจากไหน ดังนั้น ต้องระวังไว้ด้วย สำหรับหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนี้ :)
โดย
miracle
เสาร์ พ.ย. 28, 2020 1:05 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
เมื่อ ธนาคารกรุงไทย ไม่ใช่ รัฐวิสาหกิจ อีกต่อไป ธนาคารกรุงไทย นั้นเป็นธนาคารที่เกิดมาแบบพิเศษ เรียกได้ว่า เกิดมาจากการควบรวมกิจการของธนาคาร ถ้าหากย้อนกลับไป ในตอนช่วง2509 โดยการควบรวบกิจการของธนาคคารมณฑล (เป็นธนาคารของรัฐ) และ อีกแห่งคือ ธนาคารเกษตร (ธนาคารหลังมีปัญหาทางการเงินจนรัฐต้องไปถือครองหุ้นใหญ่ในที่สุดและควบรวมกิจการกัน) ต่อมายังควบรวมกิจธนาคารสยาม ในช่วงปี 2530 เมื่อวันและเวลาผ่านต่อมาอีก ก็ได้ควบรวมกิจการ ของธนาคารมหานคร ในช่วงปี 2541 ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นมือไม้ของรัฐบาลมาโดยตลอด เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด ใครที่ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย นั้นมีเส้นทางที่ต้องผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ก่อน แล้วหากเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ก็อาจจะย้ายไปที่อื่นต่อไป ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น พนักงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีแรงงานสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจ ด้วย และหนี้ของธนาคารกรุงไทยก็นับเป็นหนี้สาธารณะของประเทศไทยอีกด้วย เมื่อกฤษฏีกา ตีความว่า ธนาคารกรุงไทย ถือครองโดยกองทุนฟื้นฟูฯ (กองทุนมหัศจรรย์ ที่ทำให้ประเทศไทยบาดเจ็บในช่วงสงครามค่าเงินในช่วงปี 2538-2540) โดยกองทุนฟื้นฟูฯนั้นมิใช่รัฐวิสาหกิจ ทำให้ธนาคารกรุงไทย หมดสิ้นความเป็นรัฐวิสาหกิจไป ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น 1. หนี้ของธนาคารกรุงไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณของประเทศไทย (คุ้นๆไหมว่า ก่อนหน้านี้ หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้ของประเทศไทย หนี้ก้อนที่เกิดจากปัญหาต้มยำกุ้ง) ยอดหนี้สาธารณก็ลดลงไปหลายเลยทีเดียว มีการเขียนบทความจัดหนักจัดเต็มไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่รอบนี้ไม่เห็น เพราะมีอย่างอื่นบดบังทัศนียภาพ ในเรื่องนี้ไป (เบียดประเด็นนี้ไป) 2. ค่าใช้จ่ายพนักงานของธนาคารกรุงไทย ที่เปิดเผยออกมา สูงกว่าธนาคารแห่งอื่นๆ เพราะธนาคารเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้พนังานก็เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีสวัสดิการขั้นดีเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาลของพ่อแม่ตัวเองและลูก นั้นเอง ค่าเรียนค่าการศึกษาของบุตร ด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ หายไปทำให้กระทบต่อกำลังใจของพนักงาน งานนี้สิ่งที่ติดตามมาคือ พนักงานที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวจะออกมาเรียกร้องสิทธิหรือไม่ อันนี้น่าคิด เพราะ มันเกิดจากความตีความ สิ่งที่เคยได้อยู่แต่กลับวันดีคืนดีไม่ได้ อันนี้จบที่ศาลแรงงาน หรือศาลปกครองหรือไม่ติดตามกันต่อไป 3. ผู้สนองนโยบายของรัฐ ที่เป็นแขนขา ต้องเปลี่ยนแปลงจาก ธนาคารกรุงไทย เป็น ธนาคารออมสิน (ธนาคารของเด็ก เงินของเด็ก) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ,Exim Bank,ธนาคารเกษตรและสหกรณ์ พวกนี้เป็นหลัก ทดแทนธนาคารกรุงไทยได้หรือไม่ น่าติดตาม โดยเฉพาะสิ่งที่ รัฐ บอกว่าทุกคนที่รับมาตรการของรัฐ คือ กระเป๋าตุง ที่ทำโดยธนาคารกรุงไทย คือ เอื้อประโยชน์ต่อเอกชน หรือไม่ เพราะ ธนาคารกรุงไทยมิใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว ต้องเกิดการแข่งขัน เรื่อง การใช้ Application ต้องเกิดการประมูลเกิดขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น การเดินบัญชีเรื่องรัฐสวัสดิการต้องเปลี่ยนธนาคารหรือไม่ ต้องเปิดการบริหารจัดการแบบใหม่หรือไม่ สิ่งที่น่าจับตาคือ การซื้อลอตเตอรี่ที่ออกโดยสำนักงานกองสลาก ที่ซื้อกันผ่านระบบของธนาคารกรุงไทย ทุกอย่างนี้เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ไม่มีค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่เมื่อไม่ใช่แล้ว เกิดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น มันก็ต้องไม่ผูกขาด นั้นเอง สิ่งนี้แหละ ที่เป็น key ว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ก็ต้องมีระบบมารองรับ หรือมีธนาคารอื่นมาดำเนินการแทน 4. การลดค่าจ่ายในเรื่องค่าใช้จ่ายพนักงานลง ต้องทำให้เหมือนกับธนาคารอื่นๆ ให้ได้ จุดนี้สำหรับ หากเปิด ค่าใชจ่ายของธนาคารกรุงไทยเทียบกับธนาคารอื่นๆ ค่าใช้จ่ายเรื่องพนักงานของธนาคารกรุงไทยนั้นสูงกว่าแห่งอื่นๆ เป็นแบบนี้มานานแล้ว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้กระทบเรื่องค่าใช้จ่ายของพนักงานโดยตรงเลยทีเดียว 5. ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง อันนี้เมื่อก่อน ผูกพันกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครััฐ ต้องประกาศ เป็นไปตามกฏหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แต่ทว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แล้วขั้นตอนกระบวนการโปร่งใส รวดเร็วแบบเอกชนหรือไม่ มาการตรวจสอบทีดีหรือไม่ น่าคิด ต่อไป 7.เมื่อหลายปีที่แล้ว อดีตผู้บริหารระดับสูงของกรุงไทยเข้าตาราง เนื่องจาก ปล่อยกู้ให้แก่เอกชนรายหนึ่ง โดยชี้มูลและฟ้องศาลถึงขั้นติดคุกติดตะราง เพียงการตีความว่าธนาคารกรุงไทยเป็นของรัฐ จุดนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะธนาคารกรุงไทย มิใช่ของรัฐอีกแล้ว ทำผิดอะไร ก็เหมือนธนาคารพาณิชย์เอกชนอื่นๆ กระทำกันแล้ว บางคดีไม่มีอาญาพ่วงมาในฐานะเป็นพนังานของรัฐวิสาหกิจนั้นเอง ทั้งหมด คือ สิ่งที่ตามมาจากการตีความ ของ กฤษฏีกา แต่ทว่า การตีความก็คือความตีความ อาจจะจบทีศาลปกครองหรือศาลแรงงานก็เป็นไปได้ ต้องติดตามต่อไป เพราะ เรื่องมันเพิ่งเริ่มเท่านั้น :) ในส่วนของการใช้งานของรัฐนั้น ล่าสุดคือ กฤษฏีกาตีความว่า ธนาคารกรุงไทยไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว แต่รมว คลัง แก้ไข กฏระเบียบ ในการเบิกจ่ายเงิน โดยถือว่า ธนาคารกรุงไทยเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ เพราะอยู่ภายในใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ถือ กองทุนฟื้นฟู และ กองทุนฟื้นฟูถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกรุงไทย เรียกได้ว่า ใช้สัดส่วนการถือครองหุ้นแทน งานนี้ ตกลงว่า ฐานะของธนาคารกรุงไทยคืออะไร กันแน่นอน แล้วประเด็นเรื่อง หนี้สาธารณ นั้นนับหรือไม่ ติดตามตอนต่อไป
โดย
miracle
เสาร์ พ.ย. 14, 2020 12:21 pm
0
0
Re: เนอร์สซิ่งโฮม
ตอนนี้เริ่มมีการจัดระเบียบธุรกิจ เนอร์ซิ่งโฮมกันแล้ว เริ่มบังคับใช้ปี 2564 ที่ถึงนี้ มีทั้งเรื่องความปลอดภัย ,ขนาดพื้นที่ เป็นต้น ต้องดูว่า ใช้เวลานานแค่ไหน ในการปรับตัว
โดย
miracle
เสาร์ พ.ย. 14, 2020 11:33 am
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
เมื่อ ธนาคารกรุงไทย ไม่ใช่ รัฐวิสาหกิจ อีกต่อไป ธนาคารกรุงไทย นั้นเป็นธนาคารที่เกิดมาแบบพิเศษ เรียกได้ว่า เกิดมาจากการควบรวมกิจการของธนาคาร ถ้าหากย้อนกลับไป ในตอนช่วง2509 โดยการควบรวบกิจการของธนาคคารมณฑล (เป็นธนาคารของรัฐ) และ อีกแห่งคือ ธนาคารเกษตร (ธนาคารหลังมีปัญหาทางการเงินจนรัฐต้องไปถือครองหุ้นใหญ่ในที่สุดและควบรวมกิจการกัน) ต่อมายังควบรวมกิจธนาคารสยาม ในช่วงปี 2530 เมื่อวันและเวลาผ่านต่อมาอีก ก็ได้ควบรวมกิจการ ของธนาคารมหานคร ในช่วงปี 2541 ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นมือไม้ของรัฐบาลมาโดยตลอด เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด ใครที่ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย นั้นมีเส้นทางที่ต้องผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ก่อน แล้วหากเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ก็อาจจะย้ายไปที่อื่นต่อไป ธนาคารกรุงไทยนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น พนักงานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีแรงงานสัมพันธ์รัฐวิสาหกิจ ด้วย และหนี้ของธนาคารกรุงไทยก็นับเป็นหนี้สาธารณะของประเทศไทยอีกด้วย เมื่อกฤษฏีกา ตีความว่า ธนาคารกรุงไทย ถือครองโดยกองทุนฟื้นฟูฯ (กองทุนมหัศจรรย์ ที่ทำให้ประเทศไทยบาดเจ็บในช่วงสงครามค่าเงินในช่วงปี 2538-2540) โดยกองทุนฟื้นฟูฯนั้นมิใช่รัฐวิสาหกิจ ทำให้ธนาคารกรุงไทย หมดสิ้นความเป็นรัฐวิสาหกิจไป ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น 1. หนี้ของธนาคารกรุงไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้สาธารณของประเทศไทย (คุ้นๆไหมว่า ก่อนหน้านี้ หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่นับรวมเป็นหนี้ของประเทศไทย หนี้ก้อนที่เกิดจากปัญหาต้มยำกุ้ง) ยอดหนี้สาธารณก็ลดลงไปหลายเลยทีเดียว มีการเขียนบทความจัดหนักจัดเต็มไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่รอบนี้ไม่เห็น เพราะมีอย่างอื่นบดบังทัศนียภาพ ในเรื่องนี้ไป (เบียดประเด็นนี้ไป) 2. ค่าใช้จ่ายพนักงานของธนาคารกรุงไทย ที่เปิดเผยออกมา สูงกว่าธนาคารแห่งอื่นๆ เพราะธนาคารเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้พนังานก็เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีสวัสดิการขั้นดีเลยทีเดียว ทั้งเรื่องการรักษาพยาบาลของพ่อแม่ตัวเองและลูก นั้นเอง ค่าเรียนค่าการศึกษาของบุตร ด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ หายไปทำให้กระทบต่อกำลังใจของพนักงาน งานนี้สิ่งที่ติดตามมาคือ พนักงานที่อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวจะออกมาเรียกร้องสิทธิหรือไม่ อันนี้น่าคิด เพราะ มันเกิดจากความตีความ สิ่งที่เคยได้อยู่แต่กลับวันดีคืนดีไม่ได้ อันนี้จบที่ศาลแรงงาน หรือศาลปกครองหรือไม่ติดตามกันต่อไป 3. ผู้สนองนโยบายของรัฐ ที่เป็นแขนขา ต้องเปลี่ยนแปลงจาก ธนาคารกรุงไทย เป็น ธนาคารออมสิน (ธนาคารของเด็ก เงินของเด็ก) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ,Exim Bank,ธนาคารเกษตรและสหกรณ์ พวกนี้เป็นหลัก ทดแทนธนาคารกรุงไทยได้หรือไม่ น่าติดตาม โดยเฉพาะสิ่งที่ รัฐ บอกว่าทุกคนที่รับมาตรการของรัฐ คือ กระเป๋าตุง ที่ทำโดยธนาคารกรุงไทย คือ เอื้อประโยชน์ต่อเอกชน หรือไม่ เพราะ ธนาคารกรุงไทยมิใช่รัฐวิสาหกิจแล้ว ต้องเกิดการแข่งขัน เรื่อง การใช้ Application ต้องเกิดการประมูลเกิดขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น การเดินบัญชีเรื่องรัฐสวัสดิการต้องเปลี่ยนธนาคารหรือไม่ ต้องเปิดการบริหารจัดการแบบใหม่หรือไม่ สิ่งที่น่าจับตาคือ การซื้อลอตเตอรี่ที่ออกโดยสำนักงานกองสลาก ที่ซื้อกันผ่านระบบของธนาคารกรุงไทย ทุกอย่างนี้เมื่อเป็นธนาคารของรัฐก็ไม่มีค่าใช้จ่ายเท่าไร แต่เมื่อไม่ใช่แล้ว เกิดค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น มันก็ต้องไม่ผูกขาด นั้นเอง สิ่งนี้แหละ ที่เป็น key ว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ก็ต้องมีระบบมารองรับ หรือมีธนาคารอื่นมาดำเนินการแทน 4. การลดค่าจ่ายในเรื่องค่าใช้จ่ายพนักงานลง ต้องทำให้เหมือนกับธนาคารอื่นๆ ให้ได้ จุดนี้สำหรับ หากเปิด ค่าใชจ่ายของธนาคารกรุงไทยเทียบกับธนาคารอื่นๆ ค่าใช้จ่ายเรื่องพนักงานของธนาคารกรุงไทยนั้นสูงกว่าแห่งอื่นๆ เป็นแบบนี้มานานแล้ว เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้น ก็ทำให้กระทบเรื่องค่าใช้จ่ายของพนักงานโดยตรงเลยทีเดียว 5. ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง อันนี้เมื่อก่อน ผูกพันกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครััฐ ต้องประกาศ เป็นไปตามกฏหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แต่ทว่าเมื่อ ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แล้วขั้นตอนกระบวนการโปร่งใส รวดเร็วแบบเอกชนหรือไม่ มาการตรวจสอบทีดีหรือไม่ น่าคิด ต่อไป 7.เมื่อหลายปีที่แล้ว อดีตผู้บริหารระดับสูงของกรุงไทยเข้าตาราง เนื่องจาก ปล่อยกู้ให้แก่เอกชนรายหนึ่ง โดยชี้มูลและฟ้องศาลถึงขั้นติดคุกติดตะราง เพียงการตีความว่าธนาคารกรุงไทยเป็นของรัฐ จุดนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป เพราะธนาคารกรุงไทย มิใช่ของรัฐอีกแล้ว ทำผิดอะไร ก็เหมือนธนาคารพาณิชย์เอกชนอื่นๆ กระทำกันแล้ว บางคดีไม่มีอาญาพ่วงมาในฐานะเป็นพนังานของรัฐวิสาหกิจนั้นเอง ทั้งหมด คือ สิ่งที่ตามมาจากการตีความ ของ กฤษฏีกา แต่ทว่า การตีความก็คือความตีความ อาจจะจบทีศาลปกครองหรือศาลแรงงานก็เป็นไปได้ ต้องติดตามต่อไป เพราะ เรื่องมันเพิ่งเริ่มเท่านั้น :)
โดย
miracle
เสาร์ พ.ย. 14, 2020 11:31 am
0
0
Re: รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 3/2563
กราบขออภัยพี่ๆลูกอีสานและทีมงานด้วยครับ พอดีติดธุระกิจในช่วงเวลาดังกล่าวไม่สามารถเดินทางได้ครับ อันดับที่ 44. Miracle (ครั้งแรก) ไว้โอกาสหน้าครับ :)
โดย
miracle
อังคาร พ.ย. 10, 2020 6:46 pm
0
1
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
เมื่อลอนดอนไม่ได้ใช่ศูนย์กลางทางการเงินของยุโรปอีกต่อไป เมื่อเดือนที่แล้ว มีข่าวอันหนึ่ง ที่เป็นผลพวงมาจาก อังกฤษออกจาก EU คือ เรื่องของศูนย์กลางทางการเงิน ซึ่งในโลกของเรา ที่รุ่น Baby boomer หรือ Gen X,Y เรียนรู้มานั้น ศูนย์กลางทางการเงินนั้นมี สามแห่ง คือ ฮ่องกง ,ลอนดอน และ นิวยอร์ก ในปี 2020 นี้ ฮ่องกง ได้โดนลดอันดับตัวเองจากศูนย์กลางทางการเงิน จากเหตุการณ์ประท้วง และ เหตุการณ์ต่างๆ ส่วน อังกฤษก็ลดบทบาทตัวเองจากศูนย์กลางทางการเงินเพราะออกจาก EU ทำให้ภูมิภาค ของ EU ต้องหาศูนย์กลางทางการเงินใหม่ ทดแทน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่ค่อยพูดถึง คือ ลอนดอนนั้น เมื่อก่อน เป็นตลาดที่รัสเซียซึ่งตอนเป็นสหภาพโซเวียต ระดมเงินในรูปของดอลล่าร์สหรัฐ และ อีกตัวที่เราใช้กัน คืออัตราแลกเปลี่ยน LIBOR ซึ่งอนาคตก็ยกเลิก LIBOR นี้คือหัวใจของการทำ สวอป (เป็นอนุพันธ์ที่ป้องกันเรื่องกระแสเงินสด โดยคนหนึ่งต้องการดอกเบี้ยคงที่ แต่ตัวเค้ากู้มาเป็น อัตราลอยตัว และ อีกคนกู้มาเป็นดอกเบี้ยลอยแต่ต้องการดอกเบี้ยคงตัว) เมื่อไทยก็มีหลายอัตรา ตั้งแต่ THFIX BIBOR แต่ทว่า เมื่อไม่มี LIBOR แล้วจะเป็นเช่นไร อันนี้ ธปท ได้เฉลยออกมาตอนปลายเดือน กันยายน 2020 และต้นเดือน ตุลาคม 2020 ว่า ตัวที่ได้ไปต่อ คือ THFIX แต่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไป และประเมินอีก 3 ปีว่าใช้งานต่อหรือไม่ อีกตัวที่เกิดใหม่ คือ เทพพระเจ้าสายฟ้า THOR มาแทน งานนี้คือ เริ่มใช้งานควบคู่กันไป จนกว่า LIBOR ยกเลิกคือ 2022 ธปท ก็เริ่มให้ลูกค้าธนาคารพาณิชย์ หากทำธุรกรรมใหม่ๆ ก็พยายามไปใช้ตัวใหม่ แทน เพราะ THFIX ตัวทดแทนนั้นเป็นการคำนวณให้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ลูกค้าจะรู้ว่าจ่ายดอกเบี้ยได้ ก็จนกว่าถึงกำหนดวันชำระดอกเบี้ย (ก่อนหน้า 2-3 วันเท่านั้น) นี้แหละที่ทำให้ ฝ่ายดำเนินการ(operation) ของธนาคารและลูกค้า มีปัญหาได้ อีกอย่าง หนึ่ง การคำนวณดอกเบี้ยเป็นการคำนวณย้อนหลัง ไปเรื่อยๆ เราไม่สามารถคำนวณเดินหน้าได้ เพราะ ตัวที่อ้างอิงมาจาก Repo (การกู้เงินข้ามคืน interbanking แบบมีหลักประกัน ของ US มาทดแทน) เนี่ยแหละ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ข้อสังเกตคือ งานนี้คือต้นทุนการเงินจะลดลง เพราะใช่ overnight interbanking แบบมีหลักประกัน เป็น Baseline แต่ทว่า เมื่อต้นทุนการเงินลดลง ก็ทำให้รายได้ลดลงไปด้วย แต่ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งก็น่าจับตา เพราะ ม็อบทำให้ เรื่องนี้หายไปจากหน้าข่าว
โดย
miracle
อาทิตย์ พ.ย. 01, 2020 8:50 pm
0
1
Re: รับจองมีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 3/2563
1 ที่
โดย
miracle
อาทิตย์ ต.ค. 18, 2020 11:00 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ระวังเรื่อง moral hazard ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดไพ่มาแล้วว่า หมดมาตรการพักหนี้แล้วไม่ต่อ ให้ธนาคารพาณิชย์เป็นคนพิจารณาลูกหนี้เอง อันนี้ทำให้คิดถึงปี 2540 ขึ้นมาทันทีว่า สาเหตุหนึ่งของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจนั้นมาจากการปล่อยกู้เครือญาติ หรือกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับธนาคารพาณิชย์ เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดวิกฤติครั้งนั้นเกิดขึ้น แล้วซ้ำเติมด้วยว่า ลูกหนี้รายไหนที่ได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือ ผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเราได้เห็นผู้บริหารของธนาคารติดคุกในเวลาต่อมาเนื่องจากการใช้อำนาจ ก็เห็นกันมาแล้ว ซึ่งปัญหานี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการแก้ไขมาโดยตลอด แต่ทว่าในยุค 2563 กลับชี้กลับไปยังแนวทางเดิม ที่ให้ธนาคารพาณิชย์มาดูแลลูกหนี้ของตัวเอง เป็นตัวกำหนดว่าได้ไปต่อหรือไม่ได้ไปต่อ อันนี้ต้องดูว่าในอนาคตเป็นเช่นไร จะออกมาในหน้าไหน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกมาบอกตัวเลขที่ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งน่าสงสัยว่า ลูกหนี้กลุ่มนี้เป็น Ghost (ผี) ที่เคยเกิดในช่วงต้มยำกุ้งหรือไม่ ที่ปิดตาปล่อยกู้ที่ดินตาบอดทำไปได้ในเวลานั้น หรือจัดบริษัทแบบไม่มีอยู่จริง ก็เคยทำกันมาแล้ว ดังนั้นจุดนี้ต้องระวัง ถึงแม้นว่า จำนวนเงินน้อยคือหลัก หมื่นล้านจากยอดทั้งหมด สิบล้านๆก็ตาม แต่ทว่า มันแสดงให้เห็นว่า มีปลายหางที่เข้าไปดูแลจัดการไม่ได้ อยู่จำนวนหนึ่ง ก้าวต่อไปของธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องการกำกับ ต่อไปจากนี้คือ ลงไปดู ในการเลือกของธนาคารที่ให้ลูกหนี้คนไหนได้ไปต่อหรือไม่ได้ไป ว่าหลักเกณฑ์นั้น เป็นเช่นไร เป็นไม้บรรทัดเดียวกันหรือไม่ มีอิทธิพลมืดเข้ามาสอดแทรก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆ แต่ทว่าสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำนั้น เป็นสิ่งที่ดี เพราะว่า จะได้รู้ว่า ธนาคารพาณิชย์ นั้นแข้งแกร่งจริงหรือไม่ ตัดภาพกลับมา ในงานประชุมของ BOT ปีนี้นั้น ลงใน Youtube ช้ากว่า Facebook มาเนื่องจาก BOT ไปใช้ช่องทาง Fackbook live ในการถ่ายทอด และเป็นช่องทางการสื่อสารของ BOT ด้วย ซึ่งก็ดีแล้วครับ แต่ทว่าครั้งหน้ารบกวนลง Youtube เร็วๆหน่อย เพราะหลายองค์กร เค้าห้ามใช้ Facebook ในเวลางานครับ ส่วนเนื้อหานั้น ปีนี้ มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่รับรู้คือ ผลกระทบต่อ Shock ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ มีผล ต่อไป 3 ปี กว่าจะกลับมาทีเดิม และคำตอบที่มีคำถามว่า เมื่อเกิด Shock แล้วทำไมเงินบาทแข็ง โดยเฉพาะการเมืองเพราะว่า นักธุรกิจไม่ได้ลงทุนเพิ่มเติม เงินก็ไม่ไหลเข้า นั้นเอง สิ่งพวกนี้ต้องรอ ทีมนักวิจัยหลายๆแห่งมารวมกันหา inside ข้อมูลออกมาครับ ถือว่าเป็นงานที่น่าติดตามทุกปี และได้ความรู้ ที่ตอบคำถามคาใจทุกปี และที่สำคัญได้เห็น ธนาคารแห่งประเทศไทย นั้นพัฒนาเน้นไปในด้านข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big data และเครื่องมือในการจัดการข้อมูลที่เป็นแบบ Unstructure (ไม่มีโครงสร้างที่ตายตัวเช่น ข้อความเป็นต้น) จุดนี้แหละเป็นก้าวย่างการพัฒนา ให้เครื่องมือของธนาคารแห่งประเทศไทยใช้งานให้ได้ผลในอนาคตต่อไป ส่วนสิ่งที่ทำมานั้น มีคำตอบทุกอย่าง ก็เพิ่งพางานวิจัยเป็นตัวขับเคลื่อนนั้นเอง ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ สำหรับงานสัมมนาดีของธนาคารแห่งประเทศไทย
โดย
miracle
อาทิตย์ ต.ค. 18, 2020 10:53 pm
0
2
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ก้าวต่อไปในการจัดการแผลทางเศรษฐกิจ ขอย้อนแล้วไป อดีตประมาณ 2 ปีที่แล้ว ที่เริ่ม Prompt Pray ของ ธนาคารแห่งประเทศ ให้ ประชาชนทั่วไป ใช้ Application บนมือถือสามารถโอนเงินแบบสะดวกสบาย โดย ผูกบัญชีธนาคารพาณิชย์ต่างๆกับเบอร์มือถือและหมายเลขบัตรประชาชน จากจุดนั้นก็เริ่ม Series ขอการปรับปรุงการโอนเงินของประชาชนทั่วไป (ขอไม่ดราม่าละกัน) ประชาชนทั่วไป รู้ว่า ไปสาขาของธนาคารช่วงปลายเดือน เรียกได้ว่าคิว การเบิกถอนเงิน /ฝากเงินคิวยาวมากๆ แต่ทว่า เวลาผ่านไป 1-2 ปี คิวยาวๆหายไป สาขาของธนาคารปิดตัวลง สาเหตุมาจากการลงต้นทุน และใช้เทคโนโลยีมาแทน ประชาชนรุ่นใหม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วโดยเฉพาะสังคมเมือง แต่ทว่าสิ่งที่เกิดมา คือระบบธนาคารก็ล่ม จนกระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องออกมาป่าวประกาศเรื่อง ธนาคารแห่งไหน ระบบล่มบ่อยแค่ไหน เรียกได้ว่าประจานระบบไอทีของธนาคาร เพราะปัจจุบัน ใช้ระบบไอทีกันหมดตั้งนานแล้ว ในช่วงเวลานั้น กรมสรรพากร ก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัว ในเรื่องของใบกำกับภาษี ออกระบบ E-invoice ออกมารองรับ การใช้งาน โดยปีที่แล้วนั้น กรมสรรพากรก็กระตุ้นให้บริษัทมาใช้กันมาขึ้นจนต้องยอมลดภาษีให้เลยทีเดียว มาปี 2563 ในปีนี้ ต่อยอดจากระบบ E-invoice คือ การจำนำใบแจ้งหนี้ หรือ กิจการ Factory ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะมาก ในการเริ่มเรื่องนี้ เพราะว่า ช่วงนี้ผลกระทบโควิค 19 มันทำให้กิจการขาดแคลนเงินสด กระแสเงินสดไม่ดี ทำให้กิจการซวนเซอย่างมาก ดังนั้นหากเริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธุรกิจ Factory ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเลย (อันนี้เดาเอาว่า ตอนนี้ กลุ่มที่ซุ่มทำนั้นใช้ Block chain ในการพัฒนาเป็น Smart Contract อยู่ บน E-Invoice เดิม) ปัญหาเดิมของ Factory ก็มีคือ กิจการชอบเวียนเทียนใบแจ้งหนี้ ไปจำนำหลายๆเจ้า หรือไม่หา Factory รับยากมาก ไม่แน่ใจว่า ใบแจ้งหนี้นี้สามารถเก็บหนี้ได้จริงหรือไม่ หรือไม่ ก็Factory ก็กล้าปล่อย เพราะไม่รู้จัก คนที่ไปเรียกเก็บเงินว่า เป็นใคร หรือไม่ก็ บริษัทเจ้าของใบแจ้งหนี้ โดยกดดอกเบี้ยคิดลด สามารถใช้งาน Factory ได้เพียงเจ้าเดียวเท่านั้นสำหรับลูกค้ารายนี้ ตัวอย่างเหล่านี้กำลังหมดไป หาก ธปท สามารถดำเนินการ ตัวนี้สำเร็จ ตัวนี้เป็น กุญแจสำหรับในการหมุนเวียนเงินของกิจการขนาดเล็กเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นี้ ธปท กำลังหาวิธีการ (ประจาน) บริษัท ที่ชอบจ่ายเจ้าหนี้ช้า (ดึงหนี้ นั้นเอง ยิ่งดึงเจ้าหนี้ได้มากเท่าไร ก็เหมือนการหยิบเงินจาก Supplier มาหมุนโดยไม่เสียดอกเบี้ยทั้งเอง เป็นหนึ่งรายการในด้านหนี้สิน ที่ไม่มีดอกเบี้ยปรากฏในการนี้ ดังนั้น หากยิ่งสามารถดึงการจ่ายให้นานเท่าไร กิจการก็มีเวลาในการหาเงิน หรือ ให้เงินทำงานได้นานเท่านั้น) อันนี้ต้องรอดูว่าทำอย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขง่าย เพราะ อันนี้เป็นการสมัครใจ ไม่สามารถบังคับได้ กิจการใหญ่ ก็มีพวกที่จ่ายช้า (ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงตัวเลขที่คำนวณอยู่แล้วคือ วงจรเงินสด คือ Cash flow cycle อยู่แล้วนั้นเอง) เรื่องนี้ต้องรอดูว่า จะเป็นเช่นไรต่อไปในอนาคต แต่อย่างไร เสียสิ่งที่ให้เห็นจากการที่ส่งท้ายผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนเดิม มาสู่คนใหม่ คือ งานที่เรียกได้ว่า หินกว่า เดิม ในเรื่องการจัดการแผลเป็นที่เกิดจากโควิค 19 ว่ากิจการไหนได้ไปต่อ ซึ่งหัวใจมันคือ เงินสด การเก็บหนี้ การจ่ายหนี้ การแปลงหนี้เป็นทุน หรือ แปลงสินทรัพย์เป็นทุน นั้นเอง ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ในช่วงเวลาถัดไปจากนี้ อนึ่ง สิ่งที่ต้องระวังเรื่องนี้ คือพวกที่ชอบทำให้เกิดดราม่า เหมือน กรณีของ Prompt pray ที่ดราม่ากันจัง จากวันนั้นถึงวันนี้ ลองมองกลับไปว่า ดราม่า นั้น เป็นเช่นไร ประชาชนต่างจังหวัดหรือคนส่วนใหญ่ก็ใช้เงินธนบัตรเงินเหรียญกันอยู่ (รมว คนก่อนหน้านี้นั่งไปถึง 30 วันก็ยังลงนามในธนบัตรที่ออกใช้ปีหน้า ) สิ่งที่ Prompt pray ทำ คือเป็นทางเลือกในการจ่ายเงินเท่านั้น ทำให้ธุรกรรมง่ายขึ้นเท่านั้น ส่วนประเด็นเรื่องการหมุนเวียนเงินเร็วขึ้นไหม มีบทความที่ออกมาขัดแย้งในเรื่องนี้ว่า ไม่เพิ่มการหมุนเวียนเงินในระบบ พวก M1 ให้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินมัน เปลี่ยนมือในบัญชีธนาคาร ซึ่งไม่เกิดเงินใหม่ แต่เปลี่ยนมือไปเท่านั้น การวัด ปริมาณเงิน ต้องวัดจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น จุดนี้ต้องรอเวลาว่า เป็นจริงด้านไหน ต้องรอเวลาต่อไป สุดท้ายคือ รอมาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทยว่า แผลเป็นที่เกิดจากโควิค 19 รอบนี้ ยาขนานไหนแก้ไขต่อไปหนอ ปล เรื่องของรถทัวร์โดยรถไฟชนที่ฉะเชิงเทรานั้น ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่ถนนที่ตัดทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้น แต่มันมีคนตายทุกปีจากกรณีการข้ามทางรถไฟที่ไม่มีเครื่องกั้น ในเมื่อชีวิตนั้นวัดเป็นตัวเงินไม่ได้แล้วไซร้ ถึงเวลาที่ จัดการหาเครื่องกั้นหรือสะพานข้ามทางรถไฟให้ครบทุกแห่งแล้วหรือยัง มันถึงเวลาเป็นวาระแห่งชาติหรือยัง เพราะ 1 ชีวิต นั้นไม่มีอะไรทดแทนได้ รฟท ก็มีข่าวเรื่องกำลังทำมาตรฐาน เรื่องอาณัติสัญญาณอยู่ โดย อจ จากมหาวิทยาลัย ในการจัดทำอยู่ มันถึงเวลาที่ใช้ของไทย และมาตรฐานของไทยแล้วหรือยัง สำหรับอาณัติสัญญาณของรถไฟ อันนี้ก็น่าถาม ส่วนการดูแล คาดว่า รถไฟ ไม่มีเงินในการดูแล เพราะองค์กรขาดทุนอยู่ ปัญหาคือ จะทำอย่างไรให้องค์กรนี้มีประสิทธิภาพ และราคาถูกที่ทุกชนชั้นเข้าถึงได้ ก็ฝากไว้ด้วยกัน หลายเรื่องที่ฝากไว้ คงเกิดอีกหลายคราวถึงแก้ไขได้ ไม่ใช่จบด้วย คนชั่วชีวิตเดียว เพราะมันค้างคากันมานานมาแล้ว :)
โดย
miracle
อังคาร ต.ค. 13, 2020 4:47 pm
0
1
Re: สิ่งที่ นักลงทุนระยะยาว ควรทำมีอะไรบ้างครับ
สิ่งที่นักลงทุนระยะยาวต้องมี 1. ความอดทน อันนี้ต้องมีครับ เพราะว่า กิจการที่ลงทุน อาจจะ เจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด คือ เป็นหุ้นที่ถูกเมินไปเป็น 10 ปีๆก็ได้ แล้วค่อยเติบโต จากหุ้นที่ไม่มีใครมองเป็นหุ้นที่ถูกหวยก็ได้ นักลงทุนระยะยาวต้องอดทน ให้ได้ ซึ่งหลายคนประสบความสำเร็จจากจุดนี้แหละ 2. ไม่ต้องดูราคาหุ้นทุกวัน คือ ซื้อแล้ว ฝังดินเอาไว้ 10 ปีมาเปิดดูให้ไห ว่าไห เป็นเช่นไร ถ้าดูหุ้นทุกวัน คือ สิ่งกระตุ้นนั้นเอง 3. อ่านเหตุการณ์ ณ วันนี้แล้ว มองทะลุไปได้อีก 10 ปี ว่ากิจการนี้อยู่หรือตาย แล้วจุดตายของกิจการคืออะไร สิ่งหนึ่งที่กิจการส่วนใหญ่ตายคือกระแสเงินสด นั้นเอง แต่สิ่งที่ทำให้กระแสเงินสดมีปัญหาคือ โครงสร้างของงบดุล คือ Asset คือ Use of fund คือ เงินที่ได้มาไปลงทุนที่ไหน ส่วน หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้นคือ Source of fund โครงสร้างของเงินทุน ซึ่งบริษัท มีสัดส่วนของพวกนี้ที่เหมาะสม อยู่จุดๆหนึ่ง ต้องตรวจสอบคุณภาพของมัน 4. ฟังมากๆ จากคนรอบข้าง แต่ต้องคิดว่า สะท้อนมาในงบการเงินอย่างไร บางที่เจอ VI แบบ VSOP หรือ แบบ เทคนิคคอน ก็ได้ ต้องระวังไว้ ซึ่งไม่ค่อยมีใครถือเป็น 10 ปี หรือถือจนออกนอกตลาดตามออกไป อันนี้เป็นที่สังเกตไว้ ซึ่งกิจการที่ดี ออกนอกตลาดก็ยังคงดีอยู่ ยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดในรูปของเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอเหมือน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อันนี้สำคัญมาก 5. ทุกคนอยากรวย ดังนั้น ตัวเองเป็นที่พึ่งของตัวเองอย่างมากที่สุด เป็นเหาฉลาม หรือ ว่ายทวนน้ำ หรือ จับปลาเอง ออกเรือเอง แบบไหนดีกว่ากัน 6. หาความรู้เติมเสมอ เพราะทุกกิจการนั้น พัฒนาไปทางด้านไหน R&D นั้นสำคัญ แต่ทว่า มันด้านไหน หากเป็นด้านเดิมที่บริษัทเชี่ยวชาญ สุดท้ายคือ ระเบิดออกมาในอีก 20-30ปี หรือนานกว่านั้น ก็ได้ ที่มีผลิตภัณฑ์ทดแทนได้ หรือ อาจจะเป็น 100 ปี ก็ได้ ที่กิจการยังคงทำแบบเดิมๆ ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่รอดทำแบบเดิมมาโดยตลอด 100 ปีก็ได้ (ในประเทศไทย มีองค์กร 100 ปีที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทที่ให้ศึกษา ว่ากิจการเหล่านั้น ณ วันนี้กับ 100 ปีที่ผ่านมาธุรกิจเปลี่ยนแปลงไหม จากภายในอุตสาหกรรม หรือ ภายนอกอุตสาหกรรมที่ทำให้เปลี่ยนแปลง ลองไปศึกษา) 7. สิ่งที่สำคัญ คือเงินต้องฝังไห สูญเงินทั้งก้อนได้ ไม่ต้องคิดว่าเงินนี้หายไปแล้ว ชีวิตอยู่ไม่ได้ (ข้อนี้สำคัญที่สุด) เมื่อสิ่งนี้บอกว่า ฝังไหแล้วไม่มีปัญหา แสดงว่า ส่วนที่งอกเงยนั้น คือ ต้องเป็นอนันต์ซิ หรือโดนปลวกกินเงินในไหหมด หรือ โลหะโดนย่อยสลายไปหมดแล้ว คิดกันเอาเอง ละกัน 8. ผลตอบแทนที่คาดหวังว่า ต้องการเท่าไร ถ้าหากต้องการ 100% แสดงว่าคุณต้องทำงานมากกว่า 100% ถ้าหากต้องการ 10% แสดงว่าคุณทำงานมากกว่า 10% เท่านั้น 9. สิ่งสุดท้ายที่ฝากไว้คือ ลงทุนต้องนอนให้หลับ ไม่ใช่นอนหลับแบบเท้าก่ายหน้า หรือ ลูกปืนมาจ่อหัว แล้วยิงปัง แล้วฝากให้คนอื่นจัดการต่อ อันนี้ฝากไว้ว่า จบ ณ รุ่นนี้ หรือ จบรุ่นอื่น แต่สุดท้ายคือ ไม่มีรุ่นไหนที่จบเรื่อง แต่เป็นการส่งไม้ต่อเท่านั้นเอง ว่าปัญหาเดิมๆ ก็วังวนเดิม อ้างแบบเดิมๆ จนสุดท้าย Architecture ถาม Neo ว่า ต้องการช่วย ทรินิตี้ หรือ Reset แล้วเริ่มใหม่ The one มีมากกว่า 1 เสมอ ดังนั้น คุณไม่ใช่ The one คนแรก และคนสุดท้าย ที่จัดการเรื่องนั้นๆได้ นั้นเอง จนหาทางว่า เราจะเป็น หนึ่งในบรรดา the one ได้อย่างไร เพราะ The one แต่คนละ แตกต่างกัน จงหาวิธีของตัวเองให้เจอนั้นเอง ส่งท้าย เงินในกระเป๋าของเรา เราเป็นเจ้าของเงิน แต่เมื่อเงินออกจากกระเป๋าเราไปแล้ว เงินเป็นเจ้าของเรา
โดย
miracle
อาทิตย์ ก.ย. 27, 2020 4:50 pm
0
11
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
ช่วงเวลาต่อจากโควิค-19 หลังจากที่ โควิค -19 (เริ่มต้นประมาณเดือนพฤศจิกายน 2019) แต่ระบาดหนักๆ เริ่มปลายเดือน มกราคม 2020 ที่จีนประกาศเลื่อน ตรุษจีน และ เริ่ม Lock down อู่ฮั่น จนถึงตอนนี้ วันที่ 27 กันยายน 2563 เราได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง สิ่งแรกที่เรียนรู้คือ การ Lock down นั้น ช่วยในแง่ คนที่ที่ติดเชื้อน้อยลง และควบคุมได้ แต่ทว่า แลกกับเศรษฐกิจที่พังทลาย คนตกงานอย่างมหาศาล รัฐกลายเป็นผู้เล่นหลัก สิ่งที่สองที่เรียนรู้คือ สินค้าสามารถส่งออกนำเข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นทางเรือ หรือทางเครื่องบิน แต่ทว่า ต้องมีการ tracking and trace ให้ได้ว่า ถ้าหากสินค้านั้นมีการติดเชื้อ มาจากที่ไหน จากสถานที่ไหนที่เกี่ยวข้อง มีใครเกี่ยวข้องบ้าง สิ่งที่สาม คือการปรับตัว ทั้งในแง่ของสายการบิน ที่เปลี่ยนจากให้คนโดยสาร กลายเป็นสายการบินของส่งสินค้าแทน เอาเก้าอี้ออก หรือ สายการบินที่บินวนรอบประเทศแล้วกลับ เพื่อให้คนที่ต้องการบรรยายกาศการบินต้องการ สิ่งที่สี่ คือ สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานระยะไกล เช่น infra structure ด้าน IT คือ VPN เครือข่ายมือถือ เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้า การควบคุมระยะไกล (remote desktop) การประชุมทางไกล/VDO Call (MS team,Zoom) พวกนี้ มีการปรับตัวอย่างมาก เติบโตเร็ว สิ่งที่ห้า คือการป้องกันของเราได้แก่หน้ากากถุงมือ ที่ตอนแรกขาดแคลน แต่ตอนนี้มีมาก แต่ทว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นการเริ่มต้นของเส้นทางเปลี่ยแปลงครั้งใหญ่ ก็ว่าได้ เมื่อ โควิค 19 กระทบ เศรษฐกิจ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กระทบต่อสังคม และการเมืองของแต่ละประเทศ การเดินทางก้าวต่อไปนั้นสำคัญ อย่างยิ่ง ว่าจะเป็นเช่นไร โลกหลังโควิค19 นั้นให้ความสำคัญ กับกระแสเงินสดของกิจการมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ที่งบดุลหรืองบกำไรขาดทุนอีกต่อไป เพราะหน้าตางบดุลเริ่มจะมีการประมาณการไปข้างหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ การตั้งสำรองล่วงหน้าไปข้างหน้าไว้ด้วย ไม่เพียงแค่นั้น รัฐบาลเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละประเทศ คือ 1. ออกนโยบายไม่ให้คนตกงาน คนต้องมีการมีงานทำ เพื่อประคองประเทศ ประคองเศรษฐกิจ ของตน 2. ออกมาตรการช่วยเหลือ หยุดพักชำระ ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น 3. พิมพ์เงินเข้ามาในระบบเพื่อซื้อ สินทรัพย์ทางการเงิน เพราะว่า แห่กันเทขาย จนไม่มีใครรับซื้อ 4. หนี้สินสาธารณะที่เพิ่มขึ้นสูง ในแต่ละประเทศ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ 5. การกีดกั้นสินค้าจากต่างประเทศ การสร้างชาตินิยมสมัยใหม่ การแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างตะวันออกและตะวันตกจากการกีดกั้นทางการค้า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองต่อไป สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ 1. การลดค่าเงินลง เพื่อให้พยุงเศรษฐกิจการส่งออก เพื่อให้เกิดการแข่งขันให้ได้ 2. การจัดการเรื่องการทุ่มตลาด ซึ่งปัจจุบันสินค้าจีน นั้นทุ่มตลาด ราคาต่ำกว่าสินค้าที่เราซื้อจากจีนมาขายต่อ ซื้อทีเดียวกัน แต่ทว่าเค้าขายตรงถูกกว่าเรา เป็นไปได้อย่างไร ใครอุดหนุนการทำแบบนี้หนอ 3. การจัดการเรื่องการขนส่งที่ต้องการลดต้นทุนลงให้ได้ 4. การจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน คือต้นทุนเงินทุนในการดำเนินกิจการที่ลดลง ตัวกลางคือธนาคาร ต้องกลายเป็น fin tech ให้ได้ ในการขยับเคลื่อนต่อไป 5. การจัดการด้านคน ซึ่งต้องมีการ Upskill หรือ reskill ให้ชัดเจนว่า คนในรุ่นต่อไปมี ทักษะ (skill) อะไรที่จำเป็น เช่น IT ต้องเขียนโปรแกรม ,การเงินก็ต้องเรียนรู้ ,ประวัติศาสตร์ก็ต้องรู้ เพื่อปัจจุบันย้อนรอยอดีต พวกนี้ 6. การชำระ กฏหมายที่เรียกได้ว่า ทำอะไรซักอย่าง กระทรวงที่เกี่ยวข้อง 3-5 กระทรวง ไม่นับกรมหรือหน่วยงานต่างๆที่ต้องดำเนินการด้วย พวกนี้ต้องจัดการให้เป็นทีเดียวกันให้หมด ทีเดียวเอาให้จบ กฏหมายกระจัดกระจายซ้อนทับกันมากมาย จนไม่รู้ว่า อะไรคืออะไร ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก จากการแก้ไขของเดิม นั้นเอง 7. มาตรฐานบัญชีที่เปลี่ยนแปลงไป ต้องเอาให้ชัดเจน ว่าของเดิมไปสู่ของใหม่นั้น คนที่เกี่ยวข้องมีความรู้ความเข้าใจหรือยัง ก่อนที่บังคับใช้ ส่วนใหญ่ บังคับก่อนแล้วค่อยอบรม ต้องอบรมกันก่อนแล้วค่อยใช้งาน มาตรฐานต้องเสร็จก่อน 12-18 เดือน แล้วค่อยใช้งาน เพื่อให้ทุกภาคส่วนรับรู้กันไป 8. อะไรที่รัฐทำแล้วขาดทุนให้เอกชนทำ อย่างเช่น US นั้น NASA ยังให้เอกชนทำ แล้วต้นทุนที่ถูกลงเป็น 10 เท่าเลยทีเดียว แถมไม่พอ ยังนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย 9. ส่งเสริมในประเทศ ไม่ใช่สักแต่ซื้อ แล้วไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยี เราต้องทำเองให้ได้ ซึ่งอันนี้น่าจะมีการขัดผลประโยชน์ แต่ทว่าเพื่อประเทศชาติในระยะยาวต้องทำ แบบนี้เท่านั้น (Copy and develop ก่อนเป็น R&D) 10. ส่งท้ายคือ คำถามว่า ลงทุนกับประชาธิปไตย เลือกตั้งแต่ละรอบเป็นพันล้านบาท แล้วตัวชี้วัด คืออะไร กำหนดให้ชัดเจนว่า ออกกฏหมายปีละกี่ฉบับ ทำงบประมาณให้เกินดุลได้ภายในกี่ปี ประเทศไทยต้องมีอันดับในการแข่งขันที่เท่าไร การระดมทุนภาคเอกชนต้องได้เท่าไร ตั้งตัววัดกันล่วงหน้า แบบนี้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันว่า รัฐชุดไหนดีกว่ากัน เป้าเขียนวันนี้ วัดกันทุกปี ไปตามเป้าหมายกันเลย ไม่ได้ตั้งกัน ปีต่อปี แต่ว่าตั้งกัน 10 ปี 20 ปีวัดกันยาวๆ เพราะทุกอย่างต้องวัดผลได้ :)
โดย
miracle
อาทิตย์ ก.ย. 27, 2020 10:29 am
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
กลับตาลปัตร ภาคงบการเงิน มิน่าอ่านแล้ว งงไปหมด ปี 2563 เป็นปีที่เริ่มบังคับใช้มาตราฐานการบัญขีใหม่หลายตัว ทำให้ สิ่งต่างๆที่ได้เรียนมาในเรีฝื่องงบการเงินนั้น เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสิ่งนี้ เป็นสิ่วที่ต้องเรียกว่า ไปแสวงหาความรู้มาด้วยตัวเอง ลักจำจาการอ่านหนังสือ ลงเรียนกับ อจ ภาพร และ อจ สรรพงศ์ ตลอดจนพี่ไม่ ที่อยู่ในวงการบัญชีทั้งหลาย ปี 2563 เป็นปี่ที่เปลี่ยนแปลงมาก เหมือนปี 2554 รายการบางรายการเช่น สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ที่อยู่บรรทีดก่อนสรุป สินทรัพย์หมุนเวียนนั้น กลับกลายเป็น เงินลงทุนระยะสั้น +เงินลงทุน แทน ไม่พอ ยังสลับตำแหน่งเดิมที่ อะไรที่หมุนเวียนเร็วอยู่ด้านบน อะไรที่หมุนเวียนช้าอยู่ด้านล่าง ไม่พอ ในเมื่อมีสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ก็ต้องมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นอีก อันนี้ไปรวมพวก กิจการค้าร่วม+กิจการร่วมค้า+ เงินลงทุนในบริษัทร่วม+ เงินลงทุนระยะยาว และอยู่ก่อน รวมสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน แค่สองตัวนี้ ถ้าไม่มีหมายเหตุประกอบงบการเงิน ก็แย่แล้ว เพราะแยกไม่ออก เลยว่า รายการไหนเป็นอะไร แล้วจังรวมทำไมหนอ และ วางตำแหน่งก็ไม่เหมือนเดิมด้วย คนใช้งบก็มึนไปเลยว่า รายการโดนอุ้ทหายไปไหน หรือกระจายไปไหน เค้าหวังว่า ให้เรามีงานทำกันยาวๆไปนั้นเอง ไม่พอ พวก IFRS 9 เมื่อก่อน ไม่โพล่ ไปโพล่ในหมายเหตุ เดี๋ยวนี้โพล่งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ในแง่ของการตั้งสำรองหนี้สูญ เอาให้เห็นเลยว่ากั้นไว้เท่าไร ให้ตัดออกไป อันนี้คือการประเมินเอาว่า ตั้งเท่าไร ให้เห็นกันไปเลย ชื่อก็ผลขาดทุนด้านเครดิต อ่านตอนแรกงงเป็นไก่ตาแตกเลย ว่าคืออะไร เนี่ยแค่นำ้จิ้ม เนื้อๆ คือ financial model ที่มากับการคำนวณ แบบ big data ในการตั้งสำรองของธนาคารและลิสซิ่ง บนข้อมูลที่มีอยู่ งานนี่ไปสร้างงานให้กับพวก data science และ data engineer ให้มีงานทำนั่งวิเคราะห์ และสร้าง model ในการตั้งสำรองกันสนุกเลย ทีเดียว มิน่าทำไมช่วงระยะหลัง ตำแหน่งทางด้าน ไอที มีความต้องการจากภาคการเงินเพิ่มขึ้นเพราะตัวนี้เอง ไม่ว่านุคไหนสมัยไหน ไอทีขาดแคลนเสมอ ไม่เคยเพียงพอ แล้วไม่พอ ซ้ำเติมการเปลี่ยนมาตราฐานทางบัญชีการศึกตอนเดือน พฤษภาคม 2563 ย้ายรายการพวกกงอทุนอสังหา กับ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ว่าเข้างบกำไรขาดทุน ไปเป็นงบกำไรขาดทึนเบ็ดเสร็จอีก และพวก recycle รายได้ บางอุตสาหกรรมก็ได้ บางอุตสากรรมไม่ได้ งานนี้ต้องบอกว่า ทั้ง ธปท + คปภ +ตลท+ก.ล.ต. + สภานักบัญชี+ กรมสรรพากร คุยจนไหมว่า บัญชีกับการจ่ายภาษี นั้นเล่มเดียวกัน ไม่ใช่บางรายการ บัญขีบอกว่าทำได้ แต่กรมสรรพากรบวกกลับ เล่นเอางง อีก ในงบปี2563 นั้นมีเรื่องประมาณการเข้ามาเกี่ยวเพียบเลย การใช้งบ นั้น บางไอเท็มใช้ discount cash flow จาก กระแสเงินสดที่ได้รับจากสินทรัพย์ ประเภทนั้น คิดกลับมาปัจจุบันตั้งไว้ เพื่อรอตัดไปสู่งบกำไรขาดทุนตาอไป และเงินสดที่ได้เข้างบกำไรขาดทุน ทำให้นักลงทุนต้องติดตามเรื่องการปรับปรุงมาตรฐานอย่างใกล้ชิด และสิ่งที่ออกมาแค่เบื้องต้นค่อยๆทยอยออกมา ดังนั้น นักลงทุนก็ต้องหายสพารามาทานในข่วงเวลานี้ จนกว่า IFRS ทั้งหมดออกมาบังคับใช้ให้ครบอถ้วยสำหรับชุดนี้ —————— ส่งท้าย ฝนตกแล้วดูน้ำในเขื่อนด้วยว่า ปีหน้ามีน้ำกินน้ำใข้หรือไม่ คงได้แต่หวังว่า ปีหน้าคงไม่ต้องทำโฆษณา น้ำหนดออกจากก๊อกทีละหยดทีละหยด เหมือนในอดีตละกัน
โดย
miracle
เสาร์ ส.ค. 22, 2020 3:45 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
เรื่องตลกที่ไม่ตลก สำหรับ นักวิเคราะห์ เมื่อปลายเดือนกรกฏาคม 2563 ต่อต้นเดือน สิงหาคม 2563 มีบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ภายใต้ธนาคารแห่งหนึ่ง ออกมาสร้างกระแสได้มากคือ เอา CG มาใช้ในการวิเคราะห์กับกิจการแห่งหนึ่ง ที่ยอมลดค่าตอบแทนของผู้ค้าในสัญญาลง เนื่องจากพิษของโควิค 19 จากที่ประเมินไว้แบบหนึ่ง ก็ใช้อีกวิธีหนึ่งแทน อันนี้ต้องมองในหลากหลายแง่ 1. การทำธุรกิจ เมื่อคู่ค้ามีปัญหา คู่สัญญาที่ทำด้วยกันก็ต้องพิจารณาว่า ทำอย่างไรให้ไปได้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แต่ทว่า มากน้อยได้แค่ไหน และเวลาแค่ไหน แต่เคสนี้เอาหมดตลอดสัญญา ซึ่งในความเห็นส่วนตัวคือ ไม่ใช่ แล้วแหละ ต้องพิจารณาเป็นช่วงๆไป 2. การช่วยเหลือเฉพาะราย อันนี้สามารถทำได้ แต่รายอื่นๆแหละ ได้แบบนี้หรือเปล่า เกณฑ์อะไรแหละ ที่ใช้ในการช่วยเหลือ หากเป็นเอกชนเลือกช่วยได้ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นหน่วยงานที่รัฐเป็นเจ้าของ อันนี้มีคำถามทันที ต่อมาเมื่อออกบทวิเคราะห์นี้ไปแล้ว ได้ไม่ถึงหนึ่งวัน บทวิเคราะห์นี้ปลิวไปกับอากาศธาตุ และไม่เพียงแค่นั้น บริษัทที่โบรกเกอร์ออกผลวิเคราะห์นั้นเรียก บริษัทโบรกเกอร์เขั้าชี้แจง และมีบทวิเคราะห์ออกมาใหม่อีกครั้ง จุดนี้แหละ หน่วยงาน สองหน่วยงานที่กำกับดูแล กิจการในตลาดหลักทรัพย์เงียบเข้าป่าช้าไปเลย เพราะอะไร หน่วยงานหนึ่งกำกับ ดูแล เรื่องของการทำบทวิเคราะห์ อีกหน่วยงานหนึ่งดูแลเรื่องของ CG แล้ว คำว่าจริยธรรม ที่บอกว่า นักวิเคราะห์มีความเป็นอิสระในการออกบทวิเคราะห์ที่ทั้งสองหน่วยงานพยายามสร้างขึ้นมา โปรโมทขึ้นมา หรือทำมาหลายเพลา ตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน นี้ หายไปกับตาทันที อันนี้ต้องบอกได้ว่า เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง หรือเรื่องไม่เป้นเรื่อง เพราะอะไร เพราะว่า สุดท้ายคือนักลงทุนดูที่ผลตอบแทน ของกิจการ ว่ากิจการนั้น เติบโต ยั้งยืนและสร้างผลตอบแทนจากผลการดำเนินการดีแค่ไหน และทำธุรกจโปร่งใส ไม่ขุ่นจนดำ นั้นเอง อันนี้เก็บให้คิดกันสำหรับเรื่องนี้ ปล เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ด้วย แต่ทว่า เห็นแล้วเหนื่อยใจแทน พอๆกับเคสทองหล่อเลย สำหรับเคสนี้ น่าจะตั้งคณะกรรมการสอบหน่อยก็ดี ว่า 1. ปลิวเพราะอะไร 2. ทำไมกลับบทวิเคราะห์ หลังจาก ที่เข้าพบผู้บริหาร และจริงๆแล้ว ผลการดำเนินการก็ตามที่ทุกคนรู้คือ ออกมาขาดทุน เพราะกิจการที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ มันก็แปลกน่า ทำเพื่ออะไร ในเคสนี้ :)
โดย
miracle
พุธ ส.ค. 12, 2020 2:33 pm
0
0
Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่
น้ำผึ้งหยดเดียว มีเหตุการณ์ที่ผ่านมาสองเหตุการณ์ ที่เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เหตุการณ์แรกเป็นอุบัติเหตุรถยนต์ เป็นรถหรูชนตำรวจ รายการนี้คือ คนที่น่าจะขับรถก็ขับรถเข้าบ้าน แล้วให้ลูกน้องแสดงตัวเป็นคนขับแทน แต่ทว่าสุดท้ายก็ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่ดี จับพลัดจับพลูสุดท้ายคือ ยื่นขอประกันตัวสู้คดี แล้วเดินทางออกนอกประเทศ ห่างไป ได้หมายแดง คดีหมดอายุความ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งไม่ฟ้องคดีที่เหลือ เพราะมีหลักฐานใหม่ งานนี้คือกิจการที่ครอบครับถืออยู่เละเทะ สังคมแบนเลย เพราะว่า คดีทางท้องถนน เป็นคดีความเล็กก็จริง แต่มันไม่เล็กเพราะคนตาย 1 คนแถมเป็นเจ้าหน้าที่อีกต่างหาก และเราๆท่านๆได้ดูเรื่องเปาวุ้นจิ้นมาโดยตลอดว่า ไม่ว่า มีอำนาจระดับไหน ตั้งแต่ฮ่องเต้,เชื้อพระวงศ์,ผู้มีอิทธิพล,จอมยุทธ ก็จับมาประหารด้วยเครื่องประหารหัวมังกร ,หัวเสือ และหัวสุนัข ดังนั้น ประชาชนมองว่า ไม่มีใช่อภิสิทธิ์ชน งานนี้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ได้ เรื่องที่สองคือ เรื่องของทหารและลูกฑูตที่ติดเชื้อ ไม่ต้องเล่าอะไรมาก กระทบความเชื่อมั่นไปเต็มๆ คือ ทั้งภาคการท่องเที่ยวและ คำสั่งของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง แต่ดีที่แก้ไขปัญหาได้เร็วก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี สองเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังในแง่ของน้ำผึ้งหยดเดียว ที่สามารถเกิดได้ในสังคม แล้วคำถามในด้านการลงทุนแหละเคยมีเคสแบบนี้บ้างไหม ที่เรื่องเล็กแต่มันไม่เล็ก ก็บอกเลยว่ามี เช่นกรณีของ Enron ที่ พนักงานแจ้งเรื่องความผิดปกติ แล้ว ระดับผู้บริหารไม่ใส่ใจ จนพนักงานต้องวิ่งหน้าหน่วยงานภายนอก จนทำให้เกิดการตรวจบัญชีของ Enron จนล้มละลาย ไปในที่สุดคือการลงบัญชีที่มีปัญหา ก็เข้าข่ายน้ำผึ้งหยดเดียว
โดย
miracle
อาทิตย์ ก.ค. 26, 2020 4:35 pm
0
0
Re: รบกวนพี่ๆ แนะนำหนังสือหน่อยครับ
ลงทุนอย่าง...ปีเตอร์ ลินช์ : Beating the Street https://www.se-ed.com/product/%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B9%8C-Beating-the-Street.aspx?no=9786169098430 เศรษฐีชี้ทางรวย https://www.se-ed.com/product/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2.aspx?no=9786160829262 THE SNOWBALL : เปิดปมชีวิตสู่วิธีคิดแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (มีสองเล่ม) https://www.lazada.co.th/products/the-snowball-2-i466982933-s854384899.html?exlaz=d_1:mm_150050845_51350205_2010350205::12:1498579383!58089999096!!!pla-296030489971!c!296030489971!854384899!136121767&gclid=CjwKCAjwx9_4BRAHEiwApAt0zkomJDKr7kOd74OBHU0UdUoPi66obfhK-8-f6YuQwWoIo-EXs0FXERoC9QMQAvD_BwE เจ้าสัว Yesterday (มีสองภาค) อันนี้ประวัติศาสตร์ช่วงต้มยำกุ้ง https://www.kaidee.com/product-123668343
โดย
miracle
พุธ ก.ค. 22, 2020 6:55 pm
0
1
11607 โพสต์
of 233
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
miracle
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
การดูหนัง
การลงทุน
หนังสือหนังหา (นิยายจีน)
ละคร (ทำไมชอบไม่บอกละ)
ความถนัด:
เกี่ยวกับ IT
ที่อยู่:
กรุงเทพมหานคร
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
เสาร์ ธ.ค. 18, 2004 1:38 pm
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. มิ.ย. 10, 2021 7:51 pm
โพสต์ทั้งหมด:
18134 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.96% จากโพสทั้งหมด / 2.49 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว