หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
Samathi
Connecting the dots
Joined: พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2009 8:02 pm
217
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Samathi
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: โบรกไหนซื้อหุ้นในเวียดนามได้ครับ
เห็นมี ETF ที่ตลาดเวียดนามชื่อ VFMVN30 ไม่ทราบว่ามีใครเคยซื้อบ้างเหรอครับ และเวลารับปันผลจะเสียหัก ณ ที่จ่ายหรือเปล่าครับ
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2015 10:20 am
0
0
Re: aec
AEC จะกระทบไทยแน่นอน แต่คนไทยพร้อมหรือยัง ผมยังไม่แน่ใจ - AEC เปิดเสรีด้านไหนบ้าง ลอง Search กันดูนะครับ - AEC คือกรอบความร่วมมือ ไม่ใช่ กฎหมาย ในทางทฤษฎีควรแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับกรอบ แต่ในทางปฎิบัติ หลายๆประเทศยังไม่มีการแก้กฎหมายกันเลย เลยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรให้ทันกับปี 2015 - ค้าปลีกไม่อยู่ในกรอบ AEC และหลายประเทศในอาเซียนไม่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติทำธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กเช่น อินโด เวียดนาม ใครเคยไปสองประเทศนี้จะพอว่าไม่มีเซเว่น ขนาดเล็กเลย ที่อินโดถ้าจะเปิดต้องขนาด 5000 ตารางเมตรขึ้นไป (ถ้าผมจำไม่ผิด) ประเทศ lower developing countries เช่น พม่า ลาว กัมพูชา ไม่ต้องพูดถึงครับ ว่าไม่อนุญาตแน่นอน - สิ่งที่หลายๆฝ่ายกังวลกันมากคือการเคลื่อนย้ายแรงงานโดยเสรีครับ แรงงานพม่าจะกลับไปประเทศส่งผลให้ประเทศไทยไม่มีแรงงานพม่าราคาถูกอีกต่อไป ส่วนแรงงานฝีมือในประเทศไทยจะย้ายไปประเทศที่ค่าแรงสูงกว่าเช่น มาเล สิงคโปร์ รวมถึง จากการวิเคราะห์ของผมคาดว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศผลิตอีกต่อไป - หมอ พยาบาลชาวไทย ที่พูดภาษาอังกฤษ น่าจะไปทำงานที่มาเล สิงคโปร์ มากขึ้นด้วยเนื่องจากหมอเป็นอาชีพหนึ่งที่เปิดให้เคลื่อนย้ายเสรี แล้วถามว่าหมอในอาเซียนจะมาทำงานที่ไทยหรือไม่ คงมีแต่ไม่มากเพราะพูดภาษาไทยไม่ได้ ดังนั้นคาดว่าประเทศไทยในอนาคตจะหาหมอเก่งๆยากขึ้น - ธุรกิจท่องเที่ยว ต่อไปภาคบริการจากฟิลิปปินส์คงมาทำงานเมืองไทยมากขึ้น เนื่องจากพูดภาษาอังกฤษได้ดี ใครอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ถ้าไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ควรระวังตัวไว้ด้วยนะครับ อาจตกงานได้ พนังงานเสริฟหมูกะทะในอนาคตอาจเป็นคนฟิลิปปินส์ก็ได้ใครจะไปรู้ - อุตสาหกรรมแร่ อยู่ในกรอบ AEC ด้วย แต่ยังไม่มีประเทศไหนเริ่มแก้กฎหมายกัน ถ้าแก้กันเมื่อไหร่คงพอทราบว่าบริษัทไหนได้ประโยชน์ - โลจิสติกส์ จะเปิดเสรี แต่เช่นเดียวกันแร่ ยังไม่มีการแก้กฎหมาย ต่อไปเราคงเห็นรถบรรทุกป้ายทะเบียน พม่า ลาว วิ่งในไทยมาขึ้น แต่ผมก็ยังงงว่าวิ่งกันคนละฝั่งจะวิ่งกันอย่างไร ไม่เห็นมีใครออกมาชี้แจง - การศึกษา จะแก้ให้โรงเรียนเปิดเรียนพร้อมๆกัน เพื่อให้นักเรียน ย้ายตามพ่อแม่ไปทำงานได้สะดวก ต่อไปลูกๆของเราจะมีเพื่อนร่วมชั้นเป็นชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น - เมืองฝั่งทะเล แถวพม่าและเวียดนาม จะเจริญมากเนื่องจากสินค้าไปอินเดีย และ จีนจากอาเซียนจะผ่านสองประเทศนี้ แหลมฉบัง ของไทยจะไปอยู่ตรงไหน ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่คาดว่ากาญจนบุรีจะเป็นจังหวัดที่เจริญมากๆในอนาคตเนื่องจากเป็นทางออกไปพม่า คาดกันว่าโรงงานอุตสาหกรรมจะไปเปิดที่ภาคอีสานมากขึ้นจากแต่ก่อนที่โรงงานภาคอีสานไม่เกิดเพราะค่าขนส่งมาแหลมฉบังแพง แต่ในอนาคตคาดว่าจะส่งไปออกที่เวียดนามแทน แต่อันนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะจริงหรือเปล่า - มีคนสรุปดังนี้ครับ ผมจำไม่ได้ว่าไปเห็นที่ไหน ผลิต High En: อินโด เวียดนาม ผลิต Low En: พม่า กัมพูชา ลาว ศูนย์ R&D: สิงคโปร์ มาเล ไทย (จำไม่ได้ว่าทำไมไทยติดมาได้) บริการ (แพทย์ การเงิน): สิงคโปร์ มาเล ท่องเที่ยว: ไทย สิงคโปร์ ไม่มีที่ยืน: ฟิลิปปินส์ บรูไน ผมไม่ได้สรุปเองนะแต่จำไม่ได้ว่าไปฟังจากที่ไหน
โดย
Samathi
เสาร์ พ.ค. 12, 2012 10:31 pm
0
5
Re: ค้าปลีกไทยจะไปเมืองนอก
ค้าปลีกโตนอกประเทศยากส่วนหนึ่งเพราะกฎหมายครับ หลายๆประเทศห้ามบริษัทต่างชาติทำค้าปลีก โดยเฉพาะค้าปลีกขนาดเล็ก
โดย
Samathi
อังคาร พ.ค. 08, 2012 8:04 pm
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
14. เงินคือความเชื่อมั่น หลายคนกลัวอเมริกาหรือยุโรปล่มแล้วแห่มาตุนทองคำ concept ตุนทองคำถูกครับสมัยสงครามเวียดนามเพราะโลกส่วนใหญ่ยังยอมรับทองคำอยู่ แต่ผมมองว่าวิกฤตหากเกิดที่อเมริกาหรือยุโรป การตุนทองคำอาจไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะทองเป็นแค่ความเชื่อมั่นเหมือนกันไม่ต่างจากเงิน Dollar นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมเชื่อว่าทำให้ทองเปลี่ยนจาก safe haven เป็น commodity ธรรมดาตัวหนึ่งและโลกเราไปไกลเกินกว่าที่จะกลับมาใช้ทองคำเป็นสินทรัพย์ back up เงินทั้งหมดแล้ว หวังว่าบทความจะทำให้ทุกท่านเข้าใจการทำงานของระบบเศรษฐกิจ และอ่านข่าวเศรษฐกิจเข้าใจมากขึ้นนะครับ ไว้วันหลังจะมาเล่าเรื่องอื่นๆอีก ขอบคุณครับ
โดย
Samathi
อาทิตย์ ม.ค. 08, 2012 9:28 am
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
13. ขอถามว่าเมื่อไหร่จะเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ปกติแบ๊งค์ชาติจะมีกฎอยู่ว่าพิมพ์ได้เท่านี้ๆ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่จะมีเหตุการณ์ทำให้พิมพ์เกินลองคิดเล่นๆกันดูนะครับ ผมให้ทายกันดูว่าช้อยไหนบ้างทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรง a. รัฐบาลออกพันธบัตรให้ประชาชนซื้อ เพื่อนำไปลงทุนใน Mega Project b. รัฐบาลออกพันธบัตรให้ชาวต่างชาติซื้อ เพื่อนำไปลงทุนใน Mega Project c. รัฐบาลออกพันธบัตรให้แบ๊งค์ชาติซื้อ เพื่อนำไปลงทุนใน Mega Project คำตอบคือ c ครับ สำหรับ a. จะเห็นว่าปริมาณเงินในระบบจะยังคงเท่าเดิม สินทรัพย์ back up เท่าเดิม ไม่ได้พิมพ์เงินเพิ่ม ไม่เกิดเงินเฟ้อ สำหรับ b. จะเห็นว่าปริมาณเงินในระบบเพิ่ม แต่สินทรัพย์ back up เพิ่มด้วย (เงินสกุลต่างชาติ ทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่ม) เกิดเงินเฟ้อแต่ไม่รุนแรง สำหรับ c. . จะเห็นว่าปริมาณเงินในระบบเพิ่ม สินทรัพย์ back up เท่าเดิม แบ๊งค์ชาติไม่มีเงินให้ยืมครับดังนั้นถ้ารัฐบาลขอยืมเงินแบ๊งค์ชาติจะทำการพิมพ์เงินเพิ่ม เกิดเงินเฟ้อรุนแรง นี่เป็นสาเหตุให้เวลาขาย Bond หนังสือพิมพ์ต้องลงว่าใครเป็นผู้ซื้อบ้างเพราะว่ามีผลต่อระดับเงินเฟ้อครับ (เร็วๆนี้ก็มีข่าวรัฐบาลจะผลักหนี้ให้แบ๊งค์ชาติ ถ้ารับก็แน่นอนครับจะเกิดเงินเฟ้อตามมา) รวมถึงรัฐบาลสหรัฐออกมาตรการ QE (พิมพ์เงินเพิ่ม) หรือรัฐบาลอิตาลี่ขายพันธบัตรแต่มีคนซื้อไม่หมด จริงๆข่าวพวกนี้เป็นข่าวใหญ่มากที่กระทบกับความเป็นอยู่ของทุกคน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจกันครับ
โดย
Samathi
อาทิตย์ ม.ค. 08, 2012 9:25 am
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
12. พออเมริกาพิมพ์เงินได้มากมายปุ๊บก็เกิน Financial innovation ตามที่ผมเล่าในข้อหก เศรษฐกิจโตอย่างรวดเร็ว ประชาชนร่ำรวยมาขึ้น เงินเฟ้อมากขึ้นด้วย ก่อนหน้านั้นหลายร้อยปีเงินเฟ้อขึ้นอย่างช้าๆ พึ่งจะมาขึ้นอย่างรวดเร็วหลังปี 1971 นี่เอง (รวมถึงตลาดหุ้นก็พึ่งจะเริ่มขึ้นแรงๆหลัง Financial Innovation นี้นี่เอง) เงินเฟ้อมีข้อดีเยอะนะครับ รัฐบาลทุกรัฐบาลจะชอบเงินเฟ้ออย่างอ่อนๆ เวลาออกพันธบัตรมาแล้วคืนเงินให้ในอนาคตจะได้ใช้หนี้น้อยลง (ถ้าอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ) ขณะเดียวกันทำให้ประชาชนไม่อยากเก็บเงินในธนาคารเพราะทราบว่ามูลค่าจะลดลงและเร่งนำมาใช้จ่ายทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้นั่นเอง สำหรับผมมองว่าเงินเฟ้อเป็นการเก็บภาษีรูปแบบหนึ่ง ภาษีเงินได้เก็บจากรายได้หักค่าใช้จ่าย แต่เงินเฟ้อนี่เก็บจากสินทรัพย์ที่ทุกคนมีเก็บทีได้มหาศาลแถมทุกคนหลบเลี่ยงไม่ได้
โดย
Samathi
อาทิตย์ ม.ค. 08, 2012 9:22 am
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
10. กลับมาฝั่งอเมริกาบ้าง กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้จัดตั้งธนาคารกลาง (FED) ขึ้นเพื่อควบคุมปริมาณเงิน ซึ่งธนาคารกลางนี้เป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับรัฐบาลคือรัฐบาลก็ยังสั่งไม่ได้ หน้าที่ของ FED คือควบคุมปริมาณเงินในระบบ ผ่านการกำหนอัตราดอกเบี้ยและปริมาณธนบัตร ปัญหาของอเมริกาในก่อนสงครามโลกเลยคือเงินฝืดเพราะพิมพ์ธนบัตรเยอะไม่ได้ธนบัตรยังยึดติดกับทองคำคือมีทองเท่าไหร่พิมพ์ได้เท่านั้น เราๆหลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง The Great Depression ซึ่งเป็นภาวะเงินฝืดนะครับ คนมีเงินแต่ไม่กล้าใช้จ่าย 11. หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โครงสร้างที่มีธนาคารกลางได้แพร่กระจายไปทั่วโลก โดยทุกประเทศใช้เงิน Dollar backup แทนทองคำ อเมริการกลัวเรื่อง Great Depression มากและเริ่มเข้าใจเกมการเงินมากขึ้นและตะหนักว่า เราเอาเงินไปยึดติดกับทองทำไม ในเมื่อทองไม่มีค่าอะไรเลยทองมันคือความเชื่อมั่นเหมือนกัน อย่ากระนั้นเลยเนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มั่นคงที่สุดในโลก เราเปลี่ยนระบบความเชื่อมั่นจากทองเป็นความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลอเมริกาจะจัดเก็บภาษีได้ดีกว่า อเมริกา (โดย Fed) จึงพิมพ์เงินได้โดยไม่ต้องมีทองคำ Back Up ตั้งแต่บัดนั้น หลายๆคนเข้าใจว่าเงิน Dollar ไม่มีอะไร Back up แต่จริงๆแล้วยังมีอยู่แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นความเชื่อมั่นว่าคนอเมริกายังเสียภาษีและรัฐบาลอเมริกายังอยู่ได้
โดย
Samathi
อาทิตย์ ม.ค. 08, 2012 9:21 am
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
8. กลับมาต่อจากข้อ 5 นะครับ (ข้อ 6 และ 7 ผมลัดไปหน่อย) ในเมื่อธนาคารสามารถโกงได้โดยพิมพ์เงินกระดาษออกมามากกว่าทองที่มีแล้ว หากไม่มีใครควบคุมต้องแย่แน่ๆ รัฐบาลจึงเข้ามาควบคุม โดยไม่ให้พิมพ์เงินมากกว่าสินทรัพย์ที่มี Back up 9. รัฐบาลได้คิดเครื่องมือทางการเงินอย่างหนึ่งที่ทรงพลังมากขึ้นมานั่นคือ พันธบัตร ถ้าผมจำไม่ผิดประเทศที่คิดขึ้นมาครั้งแรกคืออังกฤษเพื่อระดมทุนสำหรับทำสงคราม หลักการง่ายๆคือประชาชนให้รัฐบาลยืมเงินแล้วรัฐบาลจะให้คูปองไป ประชาชนจะสามารถเอาคูปองมาแลกดอกเบี้ยจากรัฐบาลเมื่อถึงเวลาที่กำหนด (จนปัจจุบันศัพท์ว่า coupon ยังให้กันอยู่ หลายๆคนคงเคยได้ยินพันธบัตรที่เรียก Zero coupon bond คือพันธบัตรที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยนั่นเอง) โดยประชาชนซื้อเพราะมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจ่ายดอกเบี้ย (ซึ่ง Back up โดยภาษี) ให้ในอนาคต ผลคืออังกฤษเกือบล้มละลายเพราะออกพันธบัตรมาทำสงครามมากเกินไป (แม้จะชนะสงครามกับฝรั่งเศสก็ตาม)
โดย
Samathi
อาทิตย์ ม.ค. 08, 2012 9:20 am
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
7. ยังๆไม่จบนะครับเดี๋ยวมาต่อ แต่มาถึงตรงนี้คงเริ่มเห็นกันแล้วว่า เงินกระดาษที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ หรือแม้กระทั่งทองก็ตาม มันมีค่าเพราะมันคือความเชื่อมั่น หากไม่มีความเชื่อมั่น เช่นในยุคอนาธิปไตย (สังคมไร้ระเบียบ ขาดรัฐบาล) คนก็ไม่ต้องการเงินกระดาษหรือทอง เลยจะเลือกเอาข้าวหรืออาหารมากกว่าเพราะทำให้ท้องอิ่มได้ ตัวอย่างก็เช่นหนังที่เกี่ยวกับโลกกำลังจะแตก คนติดเกาะ เป็นต้น
โดย
Samathi
จันทร์ ม.ค. 02, 2012 11:40 pm
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
4. สังคมและเศรษฐกิจพัฒนาขึ้นมาอีกขั้น เริ่มมีการค้าขายระหว่างเมือง ซึ่งแต่ละเมืองก็ยัง Value ทองเหมือนกัน แต่ปัญหาคือทองมันช่างขนไปขนมายากเหลือเกินแถมยังต้องระวังโจรปล้นอีกด้วย ทีนี้ก็เกิดคนหัวใสขึ้นอีกครั้ง ทำไมเราไม่ใช้กระดาษแทนทองซะล่ะ คุณเอาทองมาแลกกระดาษที่เมือง A แล้วเอากระดาษไปแลกทองคืนที่เมือง B โดยทองจริงๆไม่ต้องมีการขนย้าย โดยทั้งนี้ร้านรับแลกทองที่เมือง A และ B มี Assumption ว่า ปริมาณทองและกระดาษที่แลกไปมาระหว่างเมือง A และ B เท่าๆกัน เพื่อนๆเริ่มสังเกตุอะไรหรือเปล่าครับ ธนาคารแบบแรกเริ่มเกิดขึ้นแล้ว รูปแบบของเศรษฐกิจก็เริ่มซับซ้อนขึ้น ทำให้ต้องมีการลงบัญชี (Balance sheet ก็เริ่มพัฒนาจากการค้าขายระหว่างเมืองนี่เอง) ธนาคารในรูปแบบแรกๆต้องอาศัยความเชื่อมั่นมากจึงมักเป็นบุคคลในตระกูลเดียวกันดำเนินกิจการ เช่น พี่ชายประจำเมือง A น้องชายประจำเมือง B จุดประสงค์เพื่อป้องกันการโกงกันนั่นเอง 5. ผู้คนเริ่มสังเกตว่าการค้าขายกันโดยใช้กระดาษนั้นง่ายกว่ามาก จึงนิยมใช้เงินกระดาษมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันนายธนาคารเริ่มหัวใสโดยออกเงินกระดาษมากกว่าทองที่ตนเองมีอยู่จริง โดยมี Assumption ว่าทุกคนคงไม่แห่เอาเงินกระดาษมาถอนทองพร้อมกัน ระบบจะดำเนินอยู่ต่อไปเรื่อยๆได้ตราบที่มีความเชื่อมั่น แต่มันมักมีเหตุการณ์โดยบังเอิญให้คนแห่มาถอนเงินพร้อมๆกันเสมอ และมักพบว่าธนาคารออกเงินกระดาษมากเกินไป และเรียกนายธนาคารว่าเป็นคนฉ้อฉล นี่เป็นสาเหตุให้ศาสนาต่างๆในอดีตมักรังเกียจนายธนาคารและบอกว่าอาชีพนายธนาคารเป็นอาชีพของคนโลภและบาป ต่างกันปัจจุบันซึ่งถ้าใครทำงานธนาคารจะถูกมองว่ามีเกียรติและเป็นคนซื่อสัตย์ 6. แต่การออกเงินกระดาษเกินกว่าทองที่ Back up ไว้ไม่ได้มีแต่ข้อเสียนะครับ เป็น Innovation ระดับโลก ข้อดีก็มีอยู่มากมันทำให้เศรษฐกิจโตอย่างก้าวกระโดด เพราะมันช่วยแก้ปัญญาของมนุษยชาติที่มีมานานนับพันๆปี ปัญหาแรกคือทองมีไม่เคยพอ ทองนั้นหายากเหลือเกินสมัยก่อนก็ไม่ได้มีรถตักเครื่องจักรอะไรเหมือนสมัยนี้ด้วย ลองคิดดูนะครับ ว่าถ้าหากเศรษฐกิจโต 10% ปริมาณทองควรต้องโต 10% ด้วยเพื่อให้มีทองมา Back up เงินกระดาษพอ แต่ในอดีตผลผลิตทองไม่พอทำให้เศรษฐกิจโตอย่างรวดเร็วไม่ได้เพราะถูก Capture ด้วยผลผลิตทอง ถ้าปีไหนผลิตทองไม่ได้ เศรษฐกิจปีนั้นก็จะไม่โต ถึงจะผลิตข้าวหรือสิ่งของอื่นได้มหาศาลก็ตามเพราะไม่มีสื่อในการแลกเปลี่ยน นี่เป็นสาเหตุที่พวกอินคาไม่เข้าใจว่าทำไมพวกสเปนถึงดีใจเหลือเกินที่เห็นทอง สำหรับชาวอินคาทองคือเครื่องประดับ (ลองย้อนกลับไปอ่านข้อ 3) แต่สำหรับชาวสเปนที่ระบบเศรษฐกิจเริ่มทันสมัยแล้วทองคือความเชื่อมั่นการที่มีทองเพิ่มทำให้เศรษฐกิจของยุโรปเติบโตขึ้น ปัญหาที่สองการมีเงินกระดาษเยอะๆก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ลองคิดดูนะครับว่าทองนั้นหายากอยู่แล้วถ้าไปอยู่ในมือคนที่ไม่ค่อยใช้จ่ายล่ะเช่นเศรษฐี เจ้าของที่ดิน แต่ถ้าคนเหล่านั้นเก็บเงินกระดาษ ซึ่งผลิตออกมาเยอะๆ แล้วคนเหล่านั้นไม่ใช้เงินกระดาษ ความร่ำรวยของคนเหล่านั้นก็จะค่อยๆลดลง
โดย
Samathi
จันทร์ ม.ค. 02, 2012 11:39 pm
0
0
Re: เมื่อเงินไม่ใช่พระเจ้า แล้วมันคืออะไร
เงินคืออะไร ก่อนที่ผมจะสามารถอธิบายว่าเงินกำเนิดมาจากอะไรก่อนนะครับ 1. สมัยก่อนที่สังคมไม่มีเงิน เศรษฐกิจเติบโตช้ามาก ทุกครอบครัวพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งปลูกข้าว ล่าสัตว์ ซักผ้า ทำอาหาร 2. พอสังคมเริ่มพัฒนาขึ้นแนวคิดเรื่องใครชำนาญอะไรควรทำสิ่งนั้นและแนวคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนเริ่มเข้ามา (Barter System) ระบบแลกเปลี่ยนสิ่งของกันทำให้สังคมและเศรษฐกิจพัฒนาเร็วขึ้นเกิดอาชีพเช่น ช่างไม้ ชาวนา เป็นต้น การแลกเปลี่ยนยังเป็นไปโดยตรงเช่นเอาข้าวไปแลกเนื้อเป็นต้น 3. ถึงตอนนี้หลายๆคนคงมองเห็นปัญหานะครับ ผมอยากเอาข้าวไปแลกกับเก้าอี้ แต่คนขายเก้าอี้ไม่อยากได้ข้าว แล้วมันจะแลกกันได้อย่างไรล่ะ ตอนนี้มีคนหัวใสมองหาว่าสิ่งที่ทุกคนต้องการเหมือนๆกันคืออะไร ใช่ครับคำตอบคือทองนั่นเอง ซึ่งแปลกมากๆเพราะทองไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลย กินก็กินไม่ได้ แต่ทุกคนเชื่อมั่นว่าทองคือสิ่งที่ทุกคนต้องการเหมือนกัน ดังนั้นเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนแบบแลกก็กำเนิดขึ้นคือโลหะทองนั่นเอง
โดย
Samathi
จันทร์ ม.ค. 02, 2012 11:38 pm
0
0
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
ตารางของคุณนพพรไม่ถูกนะครับไว้ผมจะมาแก้ให้ หรือใครรู้ว่าที่ถูกควรเป็นอย่างไรลอง Post ดูก็ได้ครับ
โดย
Samathi
พุธ ธ.ค. 28, 2011 7:31 pm
0
0
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
อ่านง่ายดีครับ ผมมีขอสงสัยเพิ่มเติม ถ้าอย่างนี้บริษัทสามารถลง ค่าเสื่อมเยอะๆ ได้รึเปล่า เพราะทำให้กำไรลดลง เสียภาษีก็ลดลง หรือมันมีอะไรมาควบคุมกำหนดว่าลงค่าเสื่อมได้แค่ไหนอย่างไร สรรพากรจะให้ Guildline มาคร่าวๆครับ เช่น อาคารตัด 20 ปี เครื่องจักร 5 ปี ถ้าอยากตัดแบบแปลกๆต้องขึ้นกับว่า Defend ได้หรือเปล่า ยกตัวอย่างเคสที่ผมเรียนมานะครับ เงิน R&D ของ Microsoft Office บริษัท Microsoft ลงเป็น Expense ทั้งหมดในปีเดียวเลย ทีนี้สรรพากรของอเมริการไม่ยอมครับบอกให้ Microsoft ทยอยตัด การทยอยตัดทำให้ PE ratio ของ Microsoft ดูดีขึ้น แต่ในแง่ Cooporate Finance ตัวบริษัทแย่ลงครับเพราะเสีย Tax มากขึึ้น
โดย
Samathi
พุธ ธ.ค. 28, 2011 7:14 pm
0
0
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
ตกใจมากที่เห็นกระทู้นี้ไปไกลถึงห้องสินธร ไว้วันหลังจะเขียนมาอีกนะครับ :)
โดย
Samathi
พุธ ธ.ค. 28, 2011 7:07 pm
0
0
Re: การขายหุ้นเพิ่มทุนจดทะเบียน เงินได้ใครครับ
Company krub
โดย
Samathi
เสาร์ ธ.ค. 10, 2011 4:00 pm
0
0
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
อยากให้ช่วยขยายความครับ ทำไมถ้าบริษัทไม่จ่ายปันผล จะทำให้ ROE ลดลงในปีถัดๆไป ถ้า assume Return เท่าเดิม แต่บริษัทเก็บกำไรไว้ไม่ยอมปันผล ROE จะลดลงเรื่อยๆครับ Key อยู่ที่ว่าถ้าบริษัทเก็บกำไรสะสมไว้ไม่จ่ายปันผลมีความสามารถพอที่จะทำให้ Return เพิ่มทันหรือเปล่า
โดย
Samathi
จันทร์ ธ.ค. 05, 2011 6:57 pm
0
0
Re: EBITDA สำคัญอย่างไร
ถ้าใครตอบว่าลูกสมชายถูกแสดงว่ายังไม่เข้าใจเรื่องบการเงิน กับเรื่องกระแสเงินสด จริงอยู่ที่ Net Income ของ Apartment แห่งนี้ติดลบแต่ หากดู EBITDA จะเป็นบวกนะครับ EBITDA = + 20,000 THB หมายความว่า Apartment แห่งนี้ยัง Generate เงินสดให้สมชายอยู่ถึงเดือนละ 20,000 บาทเลยทีเดียว ตัว Depreciation นั้น เป็นค่าใช้จ่ายที่เรียกว่า Sunk Cost ครับ คือ Cash ส่วนนี้ได้ออกจากบริษัทไปนานแล้วแต่ที่ยังโชว์ในงบการเงินเป็นไปตามหลักการ Cost-Revenue Matching ครับ ดังนั้นหากบริษัทที่เราสนใจมี Net Income ติดลบ แต่ EBITDA เป็นบวก ก็เป็นหลักประกันระดับหนึ่งว่าธุรกิจอาจจะไม่แย่อย่างที่คิด เราคงต้องมาวิเคราะห์กันก่อนว่าสาเหตุมาจากอะไร - ติดลบจาก Depreciation: อันนี้คงต้องมองลึกไปดูนโยบายตัดค่าเสื่อมว่าสมเหตุสมผลมั๊ย บางบริษัทใช้นโยบายตัดค่าเสื่อมเร็วเพื่อโชว์ Net Income น้อยๆเพื่อประหยัดภาษี - ติดลบจากบรรทัด Interest: อาจจะเป็นไปได้ว่าโครงสร้างทางการเงินของบริษัทไม่ดี เช่นมีหนี้สินต่อทุนมากเกินไป ถ้ามีการ restructure บริษัทก็จะเป็น sign turnaround ได้ นี่เป็นสาเหตุที่นักวิเคราะห์หุ้น Turnaround มัดจับจ้องตัวเลข EBITDA ครับ โดยถ้าบริษัทขาดทุนเป็นเวลานานๆแล้วปีไหน EBITDA พลิกกลับมาเป็นบวก ก็เป็น Sign ของหุ้น Turnaround ว่าอาจจะพลิกฟื้นกลับมาได้ P.S. ผมไม่เคยเล่นหุ้น Turnaround นะครับ ใครรักจะเล่นควรกระจายความเสี่ยงหลายๆตัวด้วยเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
โดย
Samathi
อาทิตย์ พ.ย. 20, 2011 5:27 pm
0
13
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
งบดุลของสมชายหลังจบปีที่ 1 เป็นอย่างไร? Assume ว่าสมชายไม่จ่ายปันผล ทำกันได้หรือเปล่าครับ Assets = ร้านก๋วยเตี๋ยว 0.72 ล้านบาท เงินสด 0.33 ล้านบาท รวม 1.05 ล้านบาท Liabilities = เงินจากเมียหลวง 5 แสน Equity = เงินจากเมียน้อย 5 แสน กำไรสะสม 0.05 แสน รวม 5.05 แสน สังเกตอะไรมั๊ยครับ ส่วนของเมียน้อยเพิ่มขึ้น นี่เป็นสาเหตุครับว่าถ้า Net Income ของร้านก๋วยเตี๋ยวเท่าเดิม แล้วบริษัทไม่จ่ายปันผล ROE จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ เพราะ ส่วนของเมียน้อยจะค่อยๆทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ตราบเท่าที่บริษัทมีกำไร) ทุกปีครับ ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าคงพอจะช่วยเพื่อนๆได้บ้าง
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 7:45 pm
0
2
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
ROA, ROE คืออะไร ROA คือ Return on Assets หรือผลตอบเทนของร้านก๋วยเตี๋ยวเทียบกับสินทรัพย์ ROE คือ Return on Equity หรือผลตอบแทนของเมียน้อยเทียบกับเงินที่เมียน้อยลงทุน ดังนั้นจากตัวอย่างข้างต้น ROA = (50,000 + 50,000)/1 ล้าน = 10% ROE = (50,000)/5 แสน = 10% จะเห็นได้ว่า Return on Assets ต้องรวมผลตอบแทนของทั้งเมียหลวงและเมียน้อยครับ เพราะคนให้เงินสมชายไปซื้อ Assets คือทั้งเมียหลวงและเมียน้อย หลายๆคนจะงงๆตรงนี้แต่ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้น ผมหวังว่าจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ เวลาคนมาพูดกับผมแล้วจะงงกันมากๆเลย คือเวลาคุยกันคำว่า Return คือ return ของอะไร return ของทั้งบริษัท หรือ Return เฉพาะของส่วนผู้ถือหุ้นครับ
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 7:44 pm
0
2
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
แล้ว Cash ของบริษัทล่ะ สิ่งนี้สำคัญมากนะครับ ทำได้สองวิธีครับ เราลองมาดูกัน วิธี 1 ทำตรงๆ Cash ตั้งต้น (ปีที่ 0) 1 ล้าน จ่ายค่าเซ้ง -0.8 ล้าน จ่ายค่าวัตถุดิบก๋วยเตี๋ยว = 1x20,000 = -0.02 ล้าน รายได้ขายก๋วยเต๋ยว = 20,000 x 10 = +0.2 ล้าน จ่ายเงินเมียหลวง = -0.05 ล้าน Cash สิ้นปี = 0.33 ล้าน จะเห็นว่า Cash ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเหลือ จะเหลือประมาณ 3.3 แสน ซึ่งตัวเลขนี้สำคัญมากครับ วิธีการหา Cash คงเหลือมีอีกวิธีได้เริ่มทำจาก Net Income วิธีที่ 2 ทำจาก Net Income Net income +0.05 ล้าน (1) + ค่าเสื่อม +0.08 ล้าน (2) ในงบการเงินเรามักเห็นเรามัก (1) + (2) เราเรียกว่า Cash flow from operation ‘- Cash flow from investment -0.8 ล้าน (ค่าเซ้งร้าน) + Cash flow from financial +1 ล้าน (เงินระดมทุนจากเมียน้อยและเมียหลวง) Cash สิ้นปี 0.33 ล้าน จะเห็นว่าคำตอบจะเท่ากันครับ แต่เราๆน่าจะคุ้นวิธีล่างมากกว่า เพราะพบเห็นได้บ่อยกว่าในงบการเงินครับ
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 7:43 pm
0
2
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
Income Statement คืออะไร Income Statement คืองบกำไร ขาดทุน ส่วนของเมียน้อย เท่านั้นนะครับ หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นกำไรของบริษัท เรามาดูตัวอย่างกันต่อนะครับ สมชายหลังจากได้เงินแล้วนำเงินมาเซ้งร้านเป็นเวลา 10 ปี มูลค่า 8 แสนบาท อีก 2 แสนบาทเป็นเงินทุนหมุนเวียน สิ้นปีที่ 1 สมชายมียอดขาย 2 หมื่นชามชามละ 10 บาท สมชายรู้ว่าค่าวัตถุดิบของก๋วยเตี๊ยวชามละ 1 บาท ถามว่า Income Statement ของสมชายหน้าตาอย่างไร Sales ของสมชาย = 20,000 x 10 = 200,000 บาท Variable cost (ต้นทุนก๋วยเตี๋ยว) = 20,000 x 1 = 20,000 บาท Fixed cost (ค่าเสื่อมร้านที่เซ้ง) = 800,000/10 = 80,000 บาท Gross Profit = 200,000 – 20,000 – 80,000 = 100,000 บาท Interest Payment (เงินจ่ายเมียหลวง) = 50,000 บาท Net Income = 50,000 บาท จะเห็นว่า Net Income นั้นเป็นบรรทัดหลังจ่ายเงินให้เมียหลวงแล้ว เงินทั้งก้อนจึงตกเป็นของเมียน้อยครับ ทีนี้ขึ้นอยู่กับสมชายล่ะครับ ว่าจะจ่ายปันผลหรือจะเก็บไว้ก่อนครับ
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 7:42 pm
0
2
Re: งบการเงิน ฉบับเมียหลวง เมียน้อย
Assets, Liabilities, Equity คืออะไร? พอพูดถึงต้องเห็นสมการ Asset (สินทรัพย์) = Liabilities (ส่วนของเจ้าหนึ้) + Equity (ส่วนของผู้ถือหุ้น) มือใหม่หลายๆคนคงถามว่ามันคืออะไร (วะ) เอาเป็นว่าลองจำสมการนี้แล้วลองฟังเรื่องนี้ละกันครับ สมชายมีภรรยาอยู่ 2 คนคือเมียหลวงกับเมียน้อย สมชายวางแผนเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว จึงขอยืมเงินจากเมียทั้งสองคนละ 5 แสน เพื่อเอาไปเซ้งร้านและเป็นเงินทุนหมุนเวียน เมียหลวง ไม่ต้องการความเสี่ยงมากบอกสมชายว่า “มึงเอาเงินกูไปได้ แต่ต้องจ่ายผลตอบแทนคืนทุกงวด ปีละห้าหมื่น ห้ามขาด ขาดเมื่อไหร่มึงตาย! ถ้ามึงเหลือมากกว่านั้นเอาไปแบ่งให้เมียน้อยได้” เมียน้อย ของสมชายเป็นคนดี บอกสมชายว่า “พี่เอาเงินหนูไป ถ้าร้านได้กำไรค่อยแบ่งหนูละกัน ถ้ายังไม่กำไรก็ไม่ต้องแบ่ง ไม่เป็นไรหนูรอได้” คุ้นๆหรือเปล่า ครับ ไม่ใช่ชีวิตของใครนะครับ แต่เรื่องนี้เหมือนกับสมการที่ผมขอให้เพื่อนๆจำเอาไว้น่ะเอง Assets ในเรื่องคือร้านก๋วยเตี๋ยวและเงินทุนหมุนเวียนของสมชายมูลค่าล้านนึงน่ะครับ Liabilities ในเรื่องคือเงินของเมียหลวง ห้าแสน Equity ในเรื่องคือเงินของเมียน้อย ห้าแสน CEO ของบริษัท/กรรมการบริษัท คือสมชาย จะเห็นว่า Liabilities นั้นในชีวิตจริงคือเงินกู้แบ๊งค์น่ะเอง หากเราชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยไม่ได้ แบ๊งค์สามารถฟ้องเราได้ เปรียบเหมือนเราไม่จ่ายเงินเมียหลวง เมียหลวงก็สามารถฆ่าสมชายได้นั่นเอง ส่วน Equities นั้นคือเงินจากเมียน้อย เพราะผู้ถือหุ้นได้ผลตอบแทนเป็นเงินปันผล ซึ่งถ้าปีไหนร้านก๋วยเตี๋ยวกำไรเยอะจะจ่ายเยอะ ปีไหนกำไรไม่ดี ก็ไม่ต้องจ่าย เมียน้อยอาจบ่นบ้าง แต่ก็ได้แค่บ่นครับ สมชายทนได้ และที่ผมเรียก Equities ว่าเมียน้อยยังมีอีกสาเหตุหนึ่งครับ หากร้านก๋วยเตี๋ยวเลิกกิจการ อาจจะด้วยล้มละลายหรืออย่างไร เมียหลวงจะมีสิทธิ์เรียกสินทรัพย์ไปขายทอดตลาดก่อนนะครับ เหลือเท่าไหร่ถึงจ่ายให้เมียน้อย ดังนั้น การที่เราซื้อหุ้นบริษัทใด เปรียบเสมือนเรายอมสมัครใจเป็นเมียน้อยบริษัท นั้น ต้องศึกษาให้ดีครับ ว่ารวยจริงหรือเปล่า เมียหลวงกำลังจะฟ้องหรือเปล่า ถ้าไม่ดีจริงอย่ายอมเป็นเมียน้อยใครง่ายๆครับ เอาล่ะครับมาดูหน้าตางบดุลร้านก๋วยเตี๋ยวสมชายเมื่อปีที่ 0 กัน ลองทำกันดูครับว่าหน้าตาอย่างไร Assets เงินสด 1 ล้าน Liabiities เงินจากเมียหลวง 5 แสน Equity เงินจากเมียน้อย 5 แสน
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 7:41 pm
0
3
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
หนังสือขอคุณสุมาอี้ค่อนข้างครบถ้วนครับ เป็นหนังสือที่สอนให้สามารถวิเคราะห์บริษัทที่ไม่ซับซ้อนมากครับเหมาะกับมือใหม่มาก อ่านครั้งแรกก็จะไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ ถ้าไม่ได้เรียนบัญชีหรือการเงินมาก่อน ต้องลองทำไปซักพักน่ะครับ
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 5:46 pm
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
ไม่แน่ใจไปเอาสูตรมาจากไหนเหรอครับ ปกติผมคุ้นเคยภาษาอังกฤษมากกว่าเพราะคำแปลภาษาไทยมันจะงงๆ เอาเป็นว่าตามนี้นะครับ Change in Cash for Equity= OCF+ICF+Financial cash flow Change in Cash for firm = OCF +ICF Net Income +non cash item + change in WC = OCF (บวกหรือลบให้ดูว่า Cash ไหลเข้าหรือไหลออกเอง) ในกรณีของคุณจะนำไปทำ DCF ซึ่งปกตินั้น DCF จะทำการ Discount ตัว Free Cash flow (FCF) FCF for firm = Net income + Depreciation + Amortization + change in WC + Investment in CAPEX ซึ่งผมเห็นนักวิเคราห์หลักทรัพย์หลายคนใช้ Net income + Depreciation + Amortization + change in WC = OCF (ประมาณๆ) Investment in CAPEX = ICF (ประมาณๆ) ดังนั้นเลยได้เป็นสูตร FCF for firm = OCF + ICF ที่คุณถามมาน่ะครับ เครื่องหมายในสูตรผมให้เป็น + หมดนะครับ ถ้าจะนำไปใช้ให้ดูว่า Cash ไหลเข้าหรือออก ถ้าออก ก็เป็นลบครับ
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 7:20 am
0
0
Re: กองทุนอสังหา M-AAA
จริงๆ กองนี้ไม่ได้บริหารโรงแรมโดยตรงนะครับ กองนี้เป็นเจ้าของโรงแรม แล้วให้ผู้บริหารเก่าเช่า 15 ปี ดังนั้นรายได้ของกองนี้จะเป็น Fixed Income คนเข้าพักน้อยหรือเยอะไม่เกี่ยวกับกับ Performance กองทุนนี้เลยอย่างน้อย 15 ปี นะครับ
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 18, 2011 7:08 am
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
Cash Flow for Equity ต่างจาก Cash Flow for firm อย่างไร ยกตัวอย่างครับ สมชายขายข้าวแกง โดยในปี 51 ได้ยืมเงินธนาคารมา 30 บาท โดยจะใช้คืนปีละ 10 บาทเป็นเวลาสามปี (เพื่อความง่ายจะสมมุติว่าธนาคารไม่คิดดอกเบี้ย) สมชายขายข้าวแกงได้เงินสดเป็นกำไรมาปีละ 20 บาท โดยไม่ได้ขยายการลงทุน ถามว่าถ้าสมมุติสมชายเป็นบริษัท สมชายมี Cash Flow for Equity และ Cash Flow for Firm อย่างไร สูตร Cash Flow for firm = OCF +/- ICF สมชายขายข้าวแกงได้เงินสดปีละ 20 บาท (OCF=20 บาท) สมชายไม่ได้ขยายร้าน (ICF = 0) Cash flow for firm = 20+0 = 20 สูตร Cash flow for equity = OCF +/- ICF +/- FCF (financing Cash flow) สมชายขายข้าวแกงได้เงินสดปีละ 20 บาท (OCF=20 บาท) สมชายไม่ได้ขยายร้าน (ICF = 0) สมชายใช้คืนเงินที่ยืมปีละ 10 บาท (FCF = 10) Cash flow for equity = 20 + 0 - 10 = 10 ดังนั้นที่ถามว่าตัวแปรครบมั๊ย ต้องถามว่ามองในมุมไหน ถ้ามุม Firm ครบครับ ถ้ามุม Equity ยังขาย Financing cash flow
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2011 6:55 pm
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
ผมพอเข้าใจคำถามแล้ว เข้าใจว่าสูตรที่ถามเอามารายงานของนักวิเคราะห์หุ้นสำหรับทำ DCF ใช่มั๊ยครับ จริงๆสูตรที่ถูกควรเขียนอย่างงี้ครับ Cash Flow for the Firm = OCF +/- ICF ต้องเน้น for the firm ด้วยครับ สูตรที่เราให้มาไม่ได้เขียนคำว่า For the firm ความหมายจะเป็นคนละเรื่อง เพราะในงบกระแสเงินสด Cash flow ที่โชว์เป็น Cash flow for the equiity ครับ
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2011 6:43 pm
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
ไม่เคยเห็นสูตรที่ว่ามาก่อนเลยครับ เข้าใจว่าสูตรคงผิด ปกตินะครับ Change in Cash Flow = Cash flow from operation + Cash Flow from Investment + Cash flow from financing เข้าใจว่าคำถามคือ "ทำไม Net Income ไม่เทากับ Operating Cash Flow" สาเหตุคือ Net Income มีหลักการ Realized ไม่เหมือน OCF ทำให้มีรายการ Non Cash Item อยู่ใน Net Income ครับ ยกตัวอย่าง Non Cash Item เช่น ค่าเสื่อม ค่าเผื่อด้อยค่า ต่างๆ ค่าต่างๆพวกนี้ต้องทำการบวกกลับเข้าไปใน Net Income อีกอย่างคือหากมีการเปลี่ยน Working Cap จะมีการโชว์ใน OCF เช่น Inventory เพิ่ม/ลด แต่ใน Net Income จะยังไม่การ Realized จนกว่าจะเกิดการขายครับ สาเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทที่มี Net Income เป็นบวกตลอด แต่ล้มละลายได้ครับ ต้องระวังโดยเฉพาะบริษัทที่ Net Income น้อยๆเฉี่ยวๆขาดทุน ผมเคยทำงานกับบริษัทนอกตลาดแห่งหนึ่งบริษัทงบดี แต่ขาดเงินสดตลอดเพราะใช้นโยบายตัดค่าเสื่อมยาวมากไม่สะท้อนความเป็นจริง หนึ่งในแผน Turnaround บริษัทนี้ตอนที่ผมเข้าไปคือเปลี่ยนนโยบายตัดค่าเสื่อมเพื่อสะท้อนความเป็นจริงมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นมือใหม่จะงงๆหน่อยและบางคนไม่เข้าใจว่าทำไมบริษัทที่กำลังเติบโตเช่นสร้างโรงงานใหม่ ทำไมจ่ายปันผลไม่ได้ทั้งๆที่ Net Income เป็นบวก สาเหตุคือเงินลงทุน เช่นค่าสร้างโรงงานจะไป Show ใน Cash Flow Statement ไงครับ
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2011 6:32 pm
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
คือสูตรมันเขียนว่า กําไร (ขาดทุน) ก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ * 100 / รวมสินทรัพย์เฉลี่ย = ROA กําไร (ขาดทุน) ก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ = EBIT เปิดจาก 56-1 ตรงงบกำไรขาดทุน ใช่หรือไม่ครับ สินทรัพย์เฉลี่ย = [ยอดสิ้นงวดปีก่อนหน้า + ยอดสิ้นงวดปีปัจจุบัน] /2 ผมไม่เข้าใจว่า ยอดสิ้นงวดปีก่อนหน้า กับ ยอดสิ้นงวดปีปัจจุบัน นี่เอาตัวเลขจากตรงไหนมาเหรอครับ เช่น ROA ปี 54 ดูตรงงบดุลครับ (Balance Sheet) เอางบดุล Total Assets ปี 53 + ปี 54 แล้วหารสอง
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2011 10:36 am
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
A คืออสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ครับ ซึ่งคน Finance เงินให้คือผู้คือหุ้นกับเจ้าหนี้ ดังนั้น Return ของ Assets ต้องเป็นกำไร (ส่วนที่ผู้ถือหุ้นได้) + ดอกเบี้ย (ส่วนที่เจ้าหนี้ได้)
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. พ.ย. 17, 2011 10:34 am
0
0
Re: ปกติพี่ๆเพื่อนๆทำ SAP กันบ่อยไม๊คับ
SAP หลักการดีแต่ทำยากมากครับ
โดย
Samathi
อังคาร พ.ย. 15, 2011 2:54 pm
0
0
Re: สอบถาม วิธีการ โหวตมติ ประชุมผู้ถือหุ้น ครับ ว่า
ถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่มี 77% ยังไงก็ปลดได้ ส่วนใหญ่ครับแต่ก็เรียกว่าคุมได้เกือบหมดครับ แต่ถ้าจำไม่ผิดจะมีบางประเด็นที่ต้องการเสียง 80%-90% เหมือนกัน ผมก็ไม่ค่อยแม่นกฎตลาดจำไม่ค่อยได้ ยกตัวอย่างเรื่อง Delist นี่ห้ามให้ผู้ถือหุ้นใหญ่โหวต เรื่องออก ESOP ด้วยมั้งครับ ถ้ารวมเสียงได้ 10%-20% จะคัดค้านได้ (จำ % ไม่ได้จริงๆครับ)
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 14, 2011 1:16 pm
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
ดังนั้นประเด็นที่ผมจะบอกคือ ROA และ ROE ที่โชว์ ไม่ว่าจะใน Settrade หรือรายงานประจำปี เป็นแค่ตัวกรองหยาบๆในการเลือกหุ้นเท่านั้น ไม่ใช่ว่า ROA/ROE เยอะจะเป็นบริษัทที่ดีกว่า บริษัทที่ ROA/ROE น้อยกว่าเสมอไปครับ
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 14, 2011 1:11 pm
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
มาถึงตอนนี้สังเกตอะไรหรือเปล่าครับ ROE และ ROA จะบอกว่าคุณได้ใช้สิ่งที่คุณลงทุนไป (E หรือ A) อย่างมีประสิทธิภาพหรือเปล่า ยกตัวอย่างเช่าถ้ามีสมหญิง ทำงานได้เงินเดือนเท่ากัน แต่บอกว่าตอนเรียนใช้เงินเรียนปริญญาตรีแค่ 400,000 บาท (กู้ 250,000 เท่ากันและใช้คืนเท่ากัน) สมศรีจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพมากว่าสมชายและถ้าเป็นบริษัทจะน่าลงทุนมากกว่า แต่ทว่าการดู ROA และ ROE โดยผิวเผินอาจจะติดกับดักได้ครับ เช่น 1. บางบริษัทมี ROA และ ROE สูงมาก แต่มีทรัพย์สินที่ไม่ได้ตีมูลค่าเพิ่มอยู่ เช่นที่ดินที่บันทึกไว้ที่ราคาทุน หลักทรัพย์ที่ซื้อไว้ที่ราคาทุน โดยหากตีตามราคาตลาด ROE และ ROA จะต่ำมาก 2. บางบริษัทมี ROA และ ROE ต่ำแต่มีประสิทธิภาพดีก็ได้ เช่น มีการซื้อที่ดินที่ไม่ได้พัฒนาไว้จำนวนมาก ทำให้ A เยอะแต่ยังไม่มี Return 3. บางบริษัทมี ROA และ ROE สูง แต่มี หนี้สิน off balance sheet มากมาย หรือใช้กลยุทธ์ทางบัญชีเพื่อให้โชว์ว่าบริษัทมี Assets น้อยๆ เช่นใช้วิธีเช่า office แทน โดยราคาค่าเช่าในปีหลังๆสูงมากโดยไม่มีเหตุผล แต่ต้องการโชว์ ROA และ ROE สูงๆในปีแรกๆ เพื่อประโยชน์ในการขายหุ้น เรื่องกับดัก ROA และ ROE จะพูดแค่นี้ละกันครับ หากอยากทราบมากกว่านี้คงต้องศึกษาเพิ่มครับ
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 14, 2011 1:00 pm
0
0
Re: มือใหม่อยากทราบเกี่ยวกับ ROE , ROA ครับ
บอกว่าคุณทำเงินเท่าไหร่จากสิ่งที่คุณลงไป ยกตัวอย่างนะครับ สมชายเรียนปริญญาตรีโดยกู้เงินมาเรียน 50% รวมค่าใช้จ่ายตอนเรียนปริญญาตรีทั้งหมด 500,000 บาท หลังเรียนจบได้เงินเดือนหลังหักภาษีและค่าใช้จ่ายปีละ 100,000 บาท โดยสมชายต้องใช้หนี้เงินกู้มาเรียนอีกปีละ 50,000 บาท ถามว่า สมชายมี ROE และ ROA จากการเรียนปริญญาตรีเท่าไหร่ ROE คือ Return on Equity หรือพูดง่ายๆคือ Return ในส่วนที่คุณลงไป (ผู้ถือหุ้น) Return = 100,000 บาทต่อปี Equity = 500,000 x 50% = 250,000 บาท ดังนั้น ROE = 100,000/250,000 = 40% ROA คือ Return on Assets หรือ Return ในสินทรัพย์ทั้งหมดที่คุณลงไป Return = 100,000 +50,000 (ต้องรวม 50,000 ที่ใช้คือเงินกู้ด้วยเพราะเป็น Return ของเจ้าหนี้เรา) Assets = 500,000 (ทั้งก้อนเพราะคนที่ส่งเสียสมชายไปเรียนคือตัวสมชายและเจ้าหนี้) ROA = 150,000/500,000 = 30%
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 14, 2011 12:48 pm
0
0
Re: สอบถามเรื่องเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถา
เงิน เบิกเกินบัญชี (over draft) คือเงินกู้ระยะสั้นๆที่ไม่ต้องบอกแบงค์ว่าจะเอาไปทำอะไร ส่วนใหญ่เอาไปเพื่อชดเชยสภาพคล่องชั่วคราวครับ เพราะดอกสูงกว่าเงินกู้ทั่วไป ยกตัวอย่างสมมุติบริษัทเป็นบุคคลธรรมดาละกัน คุณได้เงินเดือนวันที่ 28 และต้องจ่ายค่าเช่าบ้านวันที่ 28 เหมือนกัน แต่เดือนนั้นเจ้านายคุณติดเดินทางไปต่างประเทศโดยจะจ่ายช้าไปหนึ่งวัน ถ้าคุณมีวงเงินเกินบัญชีคุณสามารถเบิกเงินเกินบัญชีมาจ่ายค่าเช่าบ้านก่อน โดยธนาคารจะคิดดอกคุณ 1 วัน แต่ถ้าคุณรู้ว่านายคุณจะจ่ายช้าทุกเดือน คุณไม่ควรจะเบิกเกินบัญชีแล้วควรขอกู้ดีกว่าเพราะเสียดอกน้อยกว่า หรือ คุณกันเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเผื่อไว้เวลานายคุณจ่ายช้า พูดง่ายๆคือ Overdraft เหมือนบัตรเครดิตน่ะครับ กู้ง่ายใช้ง่ายดอกสูง แต่ต่างกันที่ว่าบัตรเครดิตคุณจ่ายตรงเวลาไม่เสียดอกแต่ Overdraft คิดดอกทันทีที่คุณใช้ ถ้าวางแผนการเงินดีๆ บัตรเครดิตก็ไม่จำเป็น มีมากอันตรายหรือเปล่า ผมว่าการมี Overdraft เล็กน้อยเป็นเรื่องปกติครับ ถ้าไม่มี Overdraft เลยอาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทเก็บเงินสดมากไป แต่ถ้ามีมากไปหลายๆปีติดกันอาจหมายความว่าบริษัทวางแผน Cash Cycle ไม่ดี ปกติการที่คุณจะมีวงเงิิน over draft ได้คุณต้องมีหลักทรัพย์คำ้ประกันครับ อย่างเช่นที่ดิน อาคาร และจะมีวงเงินแค่ระดับหนึ่งไม่ใช่จะขอเท่าไหร่ก็ได้ครับ
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 14, 2011 8:03 am
0
0
Re: มือใหม่ถามเรื่องพาร์..
อ่านจากรายงานประจำปีหรือ 56-1 จะมีบอกครับว่าหุ้นตัวนั้นเคยแตก พาร์ หรือเปล่าครับ
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 14, 2011 7:42 am
0
0
Re: ถามวิธีคำนวณมูลค่าหุ้นครับ
โดยส่วยตัวผม Classify วิธีวัดมูลค่าหุ้นเป้น 2 วิธี 1. Replacement 2. DCF (วิธี PE multiple หรือ multiple อื่นๆผมถือเป้น subset ของ DCF) สำหรับ Replacement นี้ผมว่าต้องอาศัยประสบการณ์ครับ ไม่เคยเห็นหนังสืออันไหนสอนตรงๆ สำหรับ DCF ถ้าไม่เอาแบบที่เป็น Text Book และะเป็นภาษาไทย ผมแนะนำ หนังสือวัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง ของคุณสุมาอี้ ครับ แต่วิธี DCF เนี่ย ผมคิดว่าถ้าไม่เคยทำงานเกี่ยวกับการเงินหรือเรียนมาก่อน อ่านเองเนี่ยคงยากที่จะ In ได้ครับ เอาเป็นว่า 99% ของคนที่ผมรู้จักเนี่ยถึ้งรู้วิธี DCF ก็ไม่เคยใช้ DCF ประกอบในการซื้อหุ้นน่ะครับ
โดย
Samathi
พุธ พ.ย. 09, 2011 7:53 am
0
0
Re: ถามเกี่ยวกับหนังสือ A Random Walk Down Wall Street ครับ
โดยส่วนตัวผมชอบมากกว่า the intelligent investor ด้วยซ้ำ พึ่งหยิบมาอ่านอีกรอบพอดีช่วงน้ำท่วมครับ main idea ของหนังสือคือบอกว่าตลาดหุ้นนั้นยากจะคาดเดาเหมือนคนเมาเดิน (random walk) ผู้เขียนสนับสนุนให้นักลงทุนสมัครเล่นลงทุนใน index fund portfoilio และกระจายการซื้อแบบ DCA ในหน้งสือมีการสอนพวกทฤษฎีการเงินพวก CAPEX Beta การ balance portfolio options behavivor finance ด้วยครับ หากเรากำลังเรียน MBA หรือ Finance อยู่แนะนำให้อ่านประกอบครับ จะเข้าใจมากขึ้น ขอนอกเรื่องหน่อยตอนผมเรียนอยู่ที่อเมริกา อาจารย์ Finance ผม แกดังมากเป็นเจ้าของ Hedge Fund หลายคนเลือกเรียนที่มหาลัยผมเพราะอยากเรียนกับอาจารย์คนนี้ อาจารย์ผมแกขายบริษัท Hedge fund ไปได้เงินหลายร้อยล้านเหรียญครับ แกเป็นคนแนะนำว่าเป็นหนังสือที่นักเรียน MBA ทุกคนต้องอ่าน แล้วที่ฮากว่านั้นแกแต่งหนังสือเรื่อง A non random walk on the wall street ด้วยครับ โดยแกบอกว่าตลาดหุ้นสามารถทำนายได้โดยใช้คณิตศาสตร์ชั้นสูง ผมอ่าน random walk จบแล้วประทับใจมากจนไปหาซื้อ Non random มาเล่นละสองร้อยกว่าเหรียญ พึ่งได้โอกาสมาเปิดตอนกลับมาที่เมืองไทย ปรากฎว่าอ่านไม่รู้เรื่องเลยครับ เลยไปบ่นกับเพื่อนเพื่อนพวกเลยบอกว่า เอ็งไม่ได้ฟังที่อาจารย์บอกเหรอว่า Non Random Walk เค้าแนะนำให้เฉพาะคนจบ PHD Math อ่านคนธรรมดาไม่แนะนำ ก็จบเอวัง เสียเงินไป 200 เหรียญเปล่าๆไปเลยครับ T-T
โดย
Samathi
พุธ พ.ย. 09, 2011 7:44 am
0
0
Re: ถามเรื่องตลาดตราสารหนี้ครับ
thaibma.or.th ครับ
โดย
Samathi
อังคาร พ.ย. 08, 2011 7:56 am
0
0
Re: ขอถามเกี่ยวกับงบกระแสเงินสดหน่อยครับ
ตอบข้อสอง ถ้าใช่ เงินสดที่ได้มามันจะไป +เพิ่มในเงินสดสุทธิได้มาจาก (ใช้ไปใน) กิจกรรมดำเนินงานรึเปล่าครับ ไม่ครับ เพราะเงินจากกำกรรมดำเนินงานมันจะเริ่มทำมาจาก Net Income ซึ่งไม่เกี่ยวกับกิจกรรมจัดหารเงิน
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 07, 2011 5:06 pm
0
0
Re: มือใหม่ถามเรื่องพาร์..
เอาง่ายๆ พาร์ คือหน่วยอย่างหนึ่ง เพื่อให้เวลาเราคุยกันแล้วเข้าใจตรงกัน ครับ ยกตัวอย่างเช่น ปี 2551 ผมซื้อหุ้น 1000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท โดยพาร์ของหุ้นหุ้นละ 10 บาท ปี 2552 (ก่อนแตกพาร์) ราคาหุ้นขึ้นเป็นหุ้นละ 1000 บาท บริษัทตัดสินใจแตกพาร์เป็นพาร์ละ 1 บาท ปี 2553 ผมเจอเพื่อน เพื่อนผมโม้ว่าได้ซื้อหุ้นบริษัทนี้เมื่อเดือนที่แล้ว 5,000 หุ้น ถามว่าถ้าเทียบกับเมื่อปี 2551 ถือว่าเพื่อนผมซื้อกี่หุ้น ตอบ 500 หุ้นน่ะเอง ถามต่ออีก ปี 2552 ในวินาทีหลังแตกพาร์ราคาหุ้นควรเป็นเท่าไหร่และผมมีกี่หุ้น ตอบ ปี 2552 (หลังแตกพาร์) ผมจะมีหุ้นทั้งหมด 10,000 หุ้น หุ้นแต่ละตัวราคา 100 บาท แต่พาร์ของหุ้นจะเป็นหุ้นละ 1 บาท สรุปง่ายๆพาร์ก็เหมือนหน่วยอย่างหนึ่งนั่นเอง เหมือนผมพูดว่าผมมีเงิน 50 ล้าน แต่ไม่บอกหน่วย ผมอาจจะมีเงิน 50 ล้านบาท หรือ 50 ล้านสตางค์ก็ได้ครับ มีไว้ให้เราแปลงกลับไปกลับมาได้โดยไม่งง
โดย
Samathi
จันทร์ พ.ย. 07, 2011 5:03 pm
0
0
Re: งบการเงินบริษัทไหนไม่ซับซ้อน สำหรับมือใหม่หัดแกะ
TWFP
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 04, 2011 4:02 pm
0
0
Re: Market Share ของบริษัท ดูที่ไหนครับ
บางทีพวก Annual Report มีครับ ต้องถามว่ามองหา Market Share สินค้าอะไร ถ้าพวกสินค้าใหญ่ๆ เช่น ปูน ถ่านหิน บ้าน ห้างสรรพสินค้า ปั้มน้ำมัน ในรายงานประจำปีมีแน่นอน แต่ถ้า Fragment มากๆ เช่น % shareรถสิบล้อ อาจต้องประมาณเอาจาก GDP ครับ
โดย
Samathi
ศุกร์ พ.ย. 04, 2011 7:28 am
0
1
Re: มหาอุทกภัย VS มุมมองการลงทุนเน้นคุณค่า
ความคิดของพี่คล้ายๆกับผมเลยครับว่าพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของเราคล้ายกับพฤติกรรมการลงทุน จากการอยู่ในตลาดหุ้นมาซักระยะมีความรู้สึกว่า 1. คนเราชอบบริโภคข่าวดีเมื่อเรายังไม่ได้ commit ยกตัวอย่างเช่น ก่อนซื้อหุ้นอะไรก็ตามเรามักมองหุ้นตัวนั้นในแง่ดีหมด กำไรเติบโตแน่นนอน ได้สิบเด้งชัวร์ๆ และมักเข้าข้างตัวเองว่าศึกษามาดีพอแล้ว 2. คนเราชอบบริโภคข่าวร้ายเมื่อเรา commit กับมันไปแล้ว เช่น เชื่อข่าวลือโดยเฉพาะในแง่ร้าย Over react กับข่าวร้าย ซึ่งผมว่าพฤติกรรมการซื้อหุ้นนั้นมันสะท้อนมาถึงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆเรื่องเหตุการณ์น้ำท่วมก่อนหน้านี้ซัก สามอาทิตย์ก่อน (คนยังไม่ได้ Commit กับเหตุการณ์) หากใครเริ่มหาจองโรงแรมต่างจังหวัด เริ่มซื้อน้ำ ซื้ออาหาร คงเป็นแค่คนส่วนน้อย คนส่วนใหญ่คงมองว่าคนกลุ่มนี้แปลกด้วยซ้ำ เปรียบเสมือนคนส่วนน้อยในตลาดเท่านั้นที่มีการเตรียมตัว หรือเรียนรู้ที่จะ Cut loss หลายคนกว่าจะรู้ตัวก็ติดดอย (ติดน้ำท่วมแล้ว) หรือเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่มองว่าคนอ่าน Annual Report โดยละเอียดก่อนซื้อหุ้นเป็นพวกที่แปลกมาก หรือ อีกอย่างหนึ่งที่มักเป็นกันคือซื้อตามเพื่อนหรือซื้อตามนักวิเคราะห์ในทีวี โดยไม่ได้ไตรตรองก่อน เทียบกับเหตุการณ์น้ำท่วมคงเป็นเรื่องที่คน Panic กันเหลือเกิน บางคนเชื่อว่าน้ำท่วมจะเกินสามเมตร หรือเชื่อว่ามกราคมน้ำยังไม่ลด พอถามว่าได้ยินมาจากไหน ก็จะบอกว่าคนโน้นหรือคนนี้บอกมาซึ่งหากลองวิเคราะห์ด้วยตัวเองกันหน่อย ก็จะขำๆว่าคนเชื่อข่าวลือพวกนี้ไปได้อย่างไร ถามว่าผิดมั๊ย ก๊คงไม่ผิดครับ มันเป็นพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ ผมเองก็เป็นและหวั่นไหวตามข่าวบ่อยๆ แต่ผมเชื่อว่าเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เป้นแมงเม่าในลาดหุ้นนั่นเอง
โดย
Samathi
เสาร์ ต.ค. 29, 2011 7:50 am
0
1
Re: นักธุรกิจหนุ่มแห่งปี กับเส้นทางสู่คำว่า" พันล้าน
เคยเห็นแต่คนที่รวยด้วยตัวเองประหยัดอดออม นี่ทำแค่หกปีเริ่มจากเงินแค่เจ็ดหมื่นมีเงินซื้อรถหรูตั้งหลายคัน มันเป็นไปได้อย่างไรครับ
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. ต.ค. 27, 2011 6:41 pm
0
0
Re: เมื่อ Western Digital เตรียมย้ายฐานไปมาเลเซียและฟิลิปปิน
ไม่หนีไป 100% หรอกครับ ถ้าทำอย่างงั้นก้อ โง่มาก ผู้ผลิตก็ต้องกระจายความเสี่ยงในการผลิตถูกต้องแล้วนี่ครับ ทุกประเทศมี country risk ของตัวเองหมดน่ะครับ ถ้ากระจายแหล่งผลิตโดยยังได้ Economy of scale ในแต่ละแหล่งอยู่ ผมก็ว่าบริษัททำโดยมีเหตุผล มาเลหรือฟิลิปปินส์ก็มีความเสี่ยงของตัวเองนะครับ
โดย
Samathi
พุธ ต.ค. 26, 2011 7:49 am
0
2
Re: ขอทางสว่างล้านแรก มือใหม่
เนื่องจากเป็นมือใหม่และต้องการลงทุนระยะยาว แนะนำให้หนึ่งหมื่นที่ลงทุกเดือนมีการกระจายความเสี่ยงที่พอเพียงด้วยนะครับ ถ้าให้ดีควรลงใน Index Fund portfolio หรือจะใช้วิธีพี่สุมาอี้ ตั้ง Portfolio ส่วนตัวขึ้นมาเลย
โดย
Samathi
พฤหัสฯ. ต.ค. 13, 2011 8:40 pm
0
0
Re: เกี่ยวกับงบดุล
ถ้าจะเอาละเอียด ต้องดูหมายเหตุงบการเงินน่ะครับว่าเงินลงทุนในอะไร ตราสารหนี้ ตั๋วแลกเงิน มีความเสี่ยงหรือเปล่า โดยส่วนตัวผม ผมจะเอาเร็วๆ จะประมาณว่าเท่ากับเงินสดได้เลยครับ
โดย
Samathi
อาทิตย์ ก.ย. 11, 2011 7:54 am
0
0
Re: การลดพาร์กับผลกระทบราคาหุ้น
ตอบคุณกาละมัง ครับ เจ้าหนี้ยังมีสิทธิ์เรียกร้องสินทรัพย์อยู่ก่อนผู้ถือหุ้นหากบริษัทล้มละลายถูกต้องครับ แต่มองในแง่เงินสดระหว่างทางพอบริษัทเริ่มมีกำไรควรจะนำไปใช้เจ้าหนี้ก่อนแต่ดันรีบลดทุนเพื่อจ่ายปันผลครับ ยกตัวอย่างนะครับ ปีที่ 1 บริษัทมีหนี้ 1000 ล้านขาดทุนสะสมพันล้าน ปีที่ 2 ปีถัดมามีกำไรร้อยล้าน 2.1 กรณีไม่ลดทุน กำไรร้อยล้านกลับไปเจ้าหนี้ 2.2 กรณีลดทุน สมมุติปันผลห้าสิบล้าน อีกห้าสิบล้านจ่ายเจ้าหนี้ ปีที่ 3 บริษัทล้มละลายเอาสินทรัพย์มาแบ่งกันเจ้าหนี้กับผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ได้เงินกลับคืนจากกรณี 2.1 และ 2.2 ไม่เท่ากันนะครับ เป็นการผ่องถ่ายเงินจากเจ้าหนี้มาผู้ถือหุ้นนั่นเอง ถามว่ามองในแง่ผู้ถือหุ้นดีมั๊ย ต้องตอบว่าดีครับ แต่มองในแง่ธรรมาภิบาลผู้บริหารผมว่าไม่ผ่านนะ แต่ไม่ใช่ว่าการลดทุนทุกกรณีไม่ดีนะต้องดูเป็นเคสๆไป กรณีการลดทุนที่ดีอย่างคุณกาละมังบอกก็มีเหมือนกัน
โดย
Samathi
อาทิตย์ ก.ย. 11, 2011 7:51 am
0
0
77 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
Samathi
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พฤหัสฯ. มี.ค. 12, 2009 8:02 pm
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร พ.ย. 17, 2020 1:50 pm
โพสต์ทั้งหมด:
217 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.04 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
Connecting the dots
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว