หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
il genio
Things don't just happen. They happen just.
Joined: พุธ มี.ค. 11, 2009 2:09 am
118
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - il genio
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ประกาศรายชื่องานสังสรรค์ VI Q3/55 "จากดักแด้เป็นผีเสื้อ"
โอนเงินแล้วครับ ยอด 2340.18 บาท
โดย
il genio
พฤหัสฯ. พ.ย. 15, 2012 9:32 pm
0
0
Re: เปิดจอง งานสังสรรค์ VI Q3/55 "จากดักแด้เป็นผีเสื้อ"
จอง 2 ที่ครับ ขอบคุณครับ
โดย
il genio
เสาร์ พ.ย. 10, 2012 7:59 pm
0
0
BLA VS SCNYL.
ผมว่าเหตุผลหนึ่งที่ BLA ประกาศ EV ก็เพราะกระตุกราคาตลาดที่เค้าเชื่อว่าราคาต่ำกว่าที่ควร Fund manager ต่างประเทศที่เข้าใจธุรกิจประกันก็คงคิดคล้ายๆ คุณ Pasaaris นี่แหละ เห็น EV แล้วก็ไปคำนวณมูลค่าที่ควรจะเป็น ราคาเลยขยับขึ้น SCNYL กับ BLA คงเทียบราคากันตรงๆ ไม่ได้ ราคา BLA สะท้อนมุมมองของ fund ไทย และต่างประเทศ การเคลื่อนไหวของราคาคงเป็นอะไรที่ systematic กว่า ราคา SCNYL ที่จำนวนคนที่ซื้อขายหุ้นมีจำกัดมากๆ อยากรู้ embedded value ของ SCNYL มากๆ เหมือนกันครับ ใครทราบช่วย PM มาบอกหน่อยนะครับ
โดย
il genio
พฤหัสฯ. มิ.ย. 24, 2010 12:15 am
0
0
ถามเรื่อง MOS หน่อยนะครับ
จะหา intrinsic value ได้ ต้องเข้าใจธุรกิจของบริษัทก่อนนะครับ :D ขอ quote คำพูดของอาจารย์ปัฟเฟตต์ซะหน่อย "หากเราไม่เข้าใจธุรกิจที่กิจการนั้นทำอยู่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นของกิจการนั้นควรมีมูลค่าเท่าไร" "If you don't understand the business, you can't value the stock"
โดย
il genio
อาทิตย์ ม.ค. 31, 2010 5:32 pm
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
Appraisal Value เป็นวิธีประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทประกันชีวิต โดยที่จริงแล้ว หลักการคล้ายๆ การใช้วิธี DCF ประเมินมูลค่าของธุรกิจอื่นๆ เพียงแต่สมมุตฐานอิงกับหลักสถิติมากกว่าธุรกิจอื่นครับ ดังนั้นเวลาพิจารณา Appraisal Value ต้องระลึกเสมอว่า Appraisal value ขึ้นอยู่กับสมมุตฐานอีกมากว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า Appraisal Value = Embedded Value (EV) + Value of New Business (VNB) ตามที่คุณ kewin บอก ส่วนแรก Embedded Value คือการมองมูลค่าบริษัทประกันชีวิต โดยสมมุตว่าบริษัทประกันชีวิตไม่รับทำกรมธรรม์พิ่มเติมแล้ว หากเป็นบริษัทอื่น มูลค่าบริษัทเมื่อหยุดดำเนินการจะเท่ากับ net asset value คือขายสินทรัพย์ทั้งหมดและใช้หนี้ทั้งหมด เหลือเท่าไรคือส่วนที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับ แต่กรณีของบริษัทประกันชีวิต มูลค่ากิจการยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแม้จะไม่รับทำกรมธรรม์เพิ่มเติม บริษัทประกันชีวิตก็ยังสามารถเก็บเบี้ยประกันสำหรับกรมธรรม์ที่เซ็นกันไว้แล้วอีก 10 - 20 ปี ข้างหน้า ซึ่งกำไรในส่วนเบี้ยในอนาคตที่ยังไม่ได้เก็บ ยังไม่ได้สะท้อนใน net asset value EV ของบริษัทประกันชีวิตจึงประกอบด้วย 2 ส่วน ตามสูตร ดังนี้ Embedded Value (EV) = Net Asset Value (NAV) + Value In Force (VIF) โดย NAV สะท้อนกำไรสะสมจากเบี้ยประกันที่ได้รับชำระแล้วจนถึงปัจจุบัน ส่วน VIF สะท้อนมูลค่าปัจจุบัน (Present value) ของกำไรจากเบี้ยประกันที่จะได้รับในอนาคตของกรมธรรม์ที่ทำสัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่มูลค่าของบริษัทประกันชีวิต ยังไม่หมดแค่นั้น ยังมี franchise value คือ ความเป็น SCNYL, ความเป็น BLA, ความเป็น MTL ซึ่งจะสามารถหาลูกค้าได้เพิ่มเติมในอนาคต ส่วนนี้แหละครับที่เรียกว่า Value of New Business (VNB) โดยวิธีหา VNB เริ่มจาก ดูความสามารถในการหาเบี้ยประกันปีแรก (First Year Premium) ของบริษัทประกันย้อนหลัง 12 เดือน และดูว่าหากเก็บเบี้ยประกันจนหมดอายุกรมรรม์ของเบี้ยเหล่านี้ บริษัทประกันจะมีกำไรเท่าไร โดย มูลค่าปัจจุบันของกำไรที่จะได้จากธุรกิจใหม่ที่บริษัทประกันจะสามารถหาได้ใน 1 ปี เรียกว่า Value of 1 year new business ครับ พอได้ Value of 1 year new business ก็ต้องมาคูณกับ Multiple ซึ่งหลักการคล้ายๆ กับ P/E คือเราจะให้ premium กี่เท่าของกำไร 1 ปี จริงๆแล้ว multiple ถ้าเป็น 4 เท่ากว่านี่ถือว่าต่ำมาก สำหรับประเทศที่ penetration rate ของประกันชีวิตยังต่ำอยู่อย่างประเทศไทย 7-10 เท่า น่าจะเป็นช่วงที่เหมาะสม [VNB คิดได้จากสูตร VNB = Value of 1 year new business * Multiple] ต้องเตือนอีกครั้งนะครับว่า Appraisal Value, Embedded value, VNB เหล่านี้ สมมุตฐานที่เกี่ยวข้องเยอะมาก หากอ้างอิงจาก ที่นักวิเคราะห์คิดเอง ไม่ได้มีนักคณิตศาสตร์ประกันคิดให้ มองไว้ก่อนได้เลยว่ามีโอกาสคลาดเคลื่อนสูง ดังนั้น discount ไว้เยอะๆ ก่อนเป็นดีที่สุด ส่วน PE มองประกอบได้ครับ แต่มีจุดอ่อนเยอะ ที่สำคัญที่สุด Earning ของบริษัทประกันชีวิตจะไม่ได้สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง โดยเราจะดูว่าธุรกิจของบริษัทประกันชีวิตยังเติบโตอยู่หรือไม่ เราต้องดูการเติบโตของเบี้ยปีแรก (First Year Premium) เป็นสำคัญ สาเหตุที่ไม่ดู เบี้ยปีต่ออายุ (Renewal Year Premium) เพราะ RYP เป็นบุญเก่าจากผลงานในอดีต (หากอัตราการต่ออายุไม่เปลี่ยน ซึ่งปกติจะค่อนข้างคงที่ ยังไงก็ได้ชัวร์) ผมขอยกตัวอย่าง SCNYL เพื่อให้เห็นภาพ ปี 2008 SCNYL มี earning 1,195 ล้านบาท ต่อให้ปี 2009 2013 SCNYL ไม่มีเบี้ยปีแรกเลย earning ในปี 2013 ก็อาจเติบโตถึงหลักเกิน 2,500 ล้านบาทได้ เพราะ port เงินลงทุนจะสูงขึ้นทุกปี รวมถึงรายได้จากเงินลงทุน หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ (SCNYL มีเบี้ยปีแรกของปี 2009 เท่ากับ 0) นักลงทุนควรขายหุ้นได้แล้ว เพราะ business ไม่มีอนาคตแล้ว แต่ถ้าเราดู PE อย่างเดียว เราจะยังเห็น PE ลดลงเรื่อยๆ เพราะ earning ยังเติบโตอยู่ครับ สรุปแล้วต้องดูหลายๆ อย่างประกอบกัน ถ้าจะมองตัวเดียว ขอให้มอง อัตราการเติบโตของ first year premium ครับ
โดย
il genio
อังคาร ต.ค. 13, 2009 1:22 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
il genio
จันทร์ ต.ค. 12, 2009 2:14 am
0
0
The good news 4 the life assurance companies(BLA,SCNYL).
Each analyst has each styles,I also have my style,but I 'm sorry 2 declare how the figures come into my head. Noted with respect อืม ลึกลับดีครับ :D
โดย
il genio
อังคาร ก.ย. 22, 2009 1:41 am
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
[quote="อะไรดีละ"]ROE ของบ.อื่นๆ อาจใช่.... แต่ไม่ใช่สำหรับธุรกิจประกันภัย เช่น S
โดย
il genio
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2009 1:05 pm
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
[quote="อะไรดีละ"] กำไรขาดทุนแต่ละไตรมาส
โดย
il genio
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2009 9:56 am
0
0
The good news 4 the life assurance companies(BLA,SCNYL).
If my forecast is right,SCNYL should b traded @3xx level,though.its fundamental says that 4xx level is the suitable price,only if SCNYL will b a non-illiquid stock. David krub. You come up with your forecast on appropriate price of SCNYL based on what basis? Based on my understanding, the appropriate pricing of a life insurance should take into account the Embedded Value of the company. I am not sure whether such information is published.
โดย
il genio
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2009 2:26 am
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
ทักทายพี่มิ ผมตั้งใจจะเข้ามาแสดงความเห็นเล็กน้อยเท่านั้นนะครับ เพราะช่วงหลังงานหนักมากและไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร :D
โดย
il genio
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2009 2:05 am
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
[quote="woody"] มันคงต้องดูโอกาสในการเติบโตของมูลค่าพอร์ตโฟลิโอด้วยหรือเปล่าครับ
โดย
il genio
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2009 1:45 am
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
[quote="อะไรดีละ"]คิดง่ายๆ ว่า
โดย
il genio
อาทิตย์ ก.ย. 20, 2009 12:29 am
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
ก็แล้วแต่ แต่ละคนจะมองครับ ผมไม่ได้บอกว่า ROE เป็นปัจจัยเดียวที่ต้องดู แต่เป็นปัจจัยที่ต้องดูประกอบนอกเหนือจากการดู PBV อย่างเดียว Argument เรื่อง ROE กับ Book Value คงวนกันไปมาเป็นงูกินหางแน่ เพราะ Book Value สูงทำให้ ROE ต่ำ ผมจึงยืนยันว่า ดู PBV อย่างเดียวไม่ได้ ส่วนตัวผมมอง THRE กับ BKI ในเชิงคุณภาพของกำไรเปรียบเทียบกับราคา น่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกัน (แม้ว่า PBV และ ROE ของทั้งสองจะต่างกันมาก) เพราะแม้ BKI จะไม่ได้อยู่ในธุรกิจผูกขาดเหมือน BKI แตกำไรของ BKI มีความมั่นคงมากๆ และผลตอบแทนจากการลงทุนไม่ผันผวนเนื่องจากถือหุ้นระยะยาว ไม่ active trade
โดย
il genio
เสาร์ ก.ย. 19, 2009 11:11 pm
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
[quote="อะไรดีละ"]สำหรับหุ้นอันตรายในกลุ่มนี้ก็คือ THRE ครับ... ผมคิดว่า
โดย
il genio
เสาร์ ก.ย. 19, 2009 7:40 pm
0
0
หุ้นประกันภัยยังไม่น่าสนใจหรือในภาวะแบบนี้
แสดงความเห็นครับ เห็นด้วยครับ prospect ของอุตสาหกรรมประกันภัยคงสู้ประกันชีวิตไม่ได้ เบี้ยประกันขีวิตน่าจะมี potential ที่จะเติบโตได้ 2 digits ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ส่วนประกันภัย ผมยังไม่เห็นปัจจัยอะไรที่ทำให้เชื่อได้ว่าเบี้ยประกันภัยโดยรวมจะโตมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา น่าจะสูงกว่า GDP นิดหน่อย คือประมาณร้อยละ 5-7 ต่อปี อย่างไรก็ตาม prospect ของอุตสาหกรรมเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการเลือกลงทุนในหุ้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ ผมมองว่า ผู้ที่ลงทุนในหุ้นประกันภัย อาจไม่ได้มอง growth prospect ของอุตสาหกรรมเป็นหลัก แต่เชื่อว่าหุ้นประกันภัยมีคุณสมบัติของการเป็น great companies (or just so-so companies) in a lousy industry เพราะการที่สภาพอุตสาหกรรมแข่งขันสูง และมีอัตราการเติบโตต่ำ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจหรือให้มูลค่ากับหุ้นกลุ่มนี้สูงเท่า หุ้นกลุ่มที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตสูง จึงเป็นโอกาสให้เราได้ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีราคาไม่แพง ในภาวะอุตสาหกรรมแบบนี้ ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การกำกับดูแลครั้งใหญ่ ผู้เล่น 76 บริษัทคงอยู่รอดได้ไม่หมด ผู้เล่นที่มีความแข็งแกร่งจะได้ประโยชน์จากการหายไปของผู้เล่นที่อ่อนแอ ส่วนผู้เล่นคนไหนจะได้ประโยชน์มากหรือน้อยก็แล้วแต่จะวิเคราะห์ หากเรามองดีๆ เราน่าจะมีโอกาสทำกำไรได้จากการลงทุนในอุตสาหกรรมดาวรุ่ง และอุตสาหกรรมดาวกระจายครับ ปล. อุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ลงทุนละเลยหุ้นประกันภัย น่าจะเป็นเพราะงบการเงินเข้าใจยาก และวิเคราะห์ยากกว่างบการเงินบริษัทอื่นๆ แต่ถ้าทำความเข้าใจดีๆ จะพบว่าไม่ยากอย่างที่คิดครับ ขอให้โชคดีในการลงทุนครับ
โดย
il genio
พฤหัสฯ. ก.ย. 17, 2009 12:55 am
0
0
แนะนำหนังสือให้หน่อยครับ
ขอบคุณ คุณ booklover สำหรับการแนะนำหนังสือเพิ่มเติมครับ จะลองดูครับ สำหรับ "ร้านไหน? กำไรมากกว่า" ผมก็สอยมาจาก ซีเอ็ด เหมือนกันครับ
โดย
il genio
จันทร์ ส.ค. 24, 2009 1:17 am
0
0
แนะนำหนังสือให้หน่อยครับ
[quote="booklover"]1.บันทึกหนุ่มนักลงทุนหน้าใหม่ ( Diary of Young Investor ) จะได้สร้าง ทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องการลงทุนครับ 2. Rich Dad เล่มแรก สร้างไฟ 3.หนังสืออาจารย์นิเวศน์ อ่านเข้าใจง่ายเห็นภาพตลาดหุ้นไทย 4.ร้านไหนกำไรมากกว่า
โดย
il genio
เสาร์ ส.ค. 22, 2009 2:10 pm
0
0
วิธีการคำนวณ FCF กับ DCF
[quote="Laziale"]อ่านแล้วยังคงงงนิดๆครับ รบกวนถามต่อครับ 1.exit value คือ ค่าที่เราหาได้โดยวัดจาก PE ที่กำหนดเป็นเป้าหมายคูณด้วยกำไรที่ forecast
โดย
il genio
อาทิตย์ ส.ค. 09, 2009 1:34 am
0
0
วิธีการคำนวณ FCF กับ DCF
ขอบคุณ พี่ il genio มากครับ สรุปในวิธีการหามูลค่าของพี่ก็คือว่า 1. cost of equity จะไม่ใช้สูตร risk free rate + (beta*risk premium) ของตลาด แต่จะใช้เป็นผลตอบแทนจากการลงทุนที่เราคาดหวัง เช่น ประมาณ ร้อยละ 12-16 ต่อปี อย่างนี้ใช่มั๊ยครับ 2. Cost of debt ที่มันใช้สูตร risk free rate + ค่า spread อันนี้สำหรับพี่ il genio นั้นใช้เพียงอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของบริษัทนั้นๆ สมมติว่าบริษัทมีเงินกู้ระยะยาวกับ bank 1 แห่ง อัตราดอกเบี้ย 5% อย่างนี้ก็ใช้ 5% เป็น cost of debt เลยใช่มั๊ยครับ แล้วถ้าเรามีแต่เงินกู้ระยะสั้นอย่างเดียวก็ใช้เหมือนกันใช่มั๊ยครับ 3. อย่างที่ว่า TNH เป็น debt-free company อย่างนี้เราไม่ต้องเอา cost of debt มาคำนวณเลยใช่มั๊ยครับ ถูกทั้ง 3 ข้อครับ เป็นแนวทางหนึ่งเทานั้นครับ แล้วแต่ถนัด อย่างของคุณ chanvanakorn ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่คุณ Laziale น่าลงใช้ประกอบดู เป็น concept ของ dividend discount model (DDM) แล้วกำหนด exit value ซึ่งเป็นวิธีปกติครับ การที่ใช้ discount rate สูงถึงร้อยละ 15 ถือว่า conservative ดีเลยครับ การใช้ exit multiple ที่ 7.5 เท่า เท่ากับให้ terminal growth แค่ ร้อยละ 1.67 เอง ซึ่งก็ conservative มากๆ อีกเหมือนกัน [ exit multiple = 1/(discount rate - terminal growth); discount rate คือ 15% ดังนั้นหาก terminal growth เท่ากับ 1.67% จะได้ exit multiple 7.5 เท่า] growth ร้อยละ 10 ต่อปี ใน 3ปีข้างหน้า สำหรับธุรกิจ retail น่าจะทำได้สบายๆ (ไม่ถือเป็นสมมุตฐานที่ agressive ครับ) ถ้าเราใช้ assumption ที่ conservative ขนาดนี้ เจอหุ้นที่ราคาตลาดใกล้เคียงกับ ราคาที่คำนวณได้ โดดใส่ได้เลยครับ (เพราะ margin of safety ถูกแฝงไว้ใน conservative assumption ไว้หลายมุมแล้ว) แต่ถ้าเราใช้ assumption ที่มีความไม่แน่นอนสูง เมื่อได้ราคาแล้ว ควรเลือกเฉพาะหุ้นที่ราคาตลาดมี discount จากราคาที่คำนวณได้พอสมควร เผื่อไว้ว่าเรามองบวกมากเกินไป ลองดูครับ ผมว่าใช้หลายๆ วิธีก็ดีครับ เป็นการ confirm ว่าเราไม่เข้าใจผิด
โดย
il genio
ศุกร์ ส.ค. 07, 2009 12:18 am
0
0
วิธีการคำนวณ FCF กับ DCF
เรื่อง discount rate นี้ปัญหาโลกแตกเลยครับ จริงการหา cost of equity โดยใช้ CAPM มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น หลักการของ Beta ซึ่งเป็นการวัดว่า หากซื้อหุ้นตัวหนึ่งเพิ่ม หุ้นตัวนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับพอร์ตโฟลิโอที่กระจายความเสี่ยงดีแล้ว (well-diversified portfoilo) มากน้อยเท่าไร และนำมาสู่อัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับจากการลงทุนในหุ้นตัวนั้นเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง concept นี้อาจไม่ตรงสำหรับคนที่ลงทุนแนว VI นัก เพราะนักลงทุนแนว VI ไม่ได้มีพอร์ตโฟลิโอแบบกระจายความเสี่ยง แต่เป็นแบบ focus มากกว่า ค่า beta จึงไม่มีความหมายสำหรับคนที่ลงทุนแนวนี้เท่าไร นอกจากนี้ค่า beta ของหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำอาจเชื่อถือไม่ได้อีกด้วย เวลาหา cost of equity เพื่อคำนวณ discount rate ผมจึงมักใช้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่เราในฐานะผู้ถือหุ้นควรได้รับ เช่น ร้อยละ 12-16 ต่อปี ส่วน cost of debt ผมมักดูจากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของบริษัทนั้นๆ (อยุ่ในหมายเหตุปรกอบงบ เรื่องเงินกู้ระยะยาว) หรือ cross check โดยเอา ดอกเบี้ยจ่ายในงบกำไรขาดทุนหาร หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเฉลี่ย (โดยปกติจะใกล้เคียงกัน) สัดส่วนของหนี้และทุนที่ใช้ถ่วงน้ำหนัก ควรคิดเฉพาะหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเท่านั้น (หักเงินสดในมือ) ส่วนของเจ้าหนี้การค้า ค่าใช้จ่ายค้ายจ่าย พวกนี้ไม่เกี่ยว เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของ working cap และไม่มีต้นทุน พอได้ discount rate จากการคำนวณ ไปคิดราคาที่เหมาะสมของหุ้น ราคาที่ได้จะเป็นราคาที่ทำให้เราได้ผลตอบแทนตาม cost of equity ครับ (ถ้ากระแสเงินสดเป็นจริงตามที่เราคาดนะ) จริงๆ แล้วจะใช้ discount rate เท่าไร สามารถมองได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับ ประมาณกระแสเงินสดด้วย หากเรามั่นในกับประมาณกระแสเงินสดมาก เช่น เราประมาณการโดย conservative มากๆ ไม่ได้ให้ growth จากผลประกอบการในปัจจุบันมากเกินไป เราแน่ใจมากๆ ว่า การประมาณการกระแสเงินสดของเรามีความเสี่ยงน้อยมาก แบบนี้ก็อาจใช้ discount rate ต่ำลงได้ครับ เวลาที่ผมคิดผมจะพยายาม มองแบบ conservative ไว้ก่อน และใช้ discount rate น้อยลง เพื่อหาก่อนว่ากิจการนี้ถ้าไม่มี growth เลยมูลค่าควรอยู่เท่าไร เป็น base case ไว้ก่อน แล้วค่อยขยับหาวิธีการมองแบบอื่นต่อไป ลองดูครับเป็นแนวทางหนึ่ง ของแบบนี้ผมว่าไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับแต่ละคนถนัด และต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ (ขอแค่อย่าไปโกง เปลี่ยนสมมติฐานตามความรู้สึก เช่นชอบหุ้นตัวนี้ แต่คำนวณมูลค่าแล้วใกล้เคียงกับราคาตลาด เลยปรับให้ growth สูงขึ้น โดยไม่มีอะไรมารองรับ เป็นแค่ไอเดียจับต้องไม่ได้ เพื่อให้ได้มูลค่าหุ้นสูงขึ้น และสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของตัวเอง แบบนี้ไม่ดี) ไม่รู้ว่าท่านอื่นมีวิธีการอย่างไรครับ สำหรับ tnh คุณ Laziale ควรถือว่าเป็น debt-free company ครับ (ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย แถมมีเงินสดในมืออีกหลายล้าน)
โดย
il genio
พฤหัสฯ. ส.ค. 06, 2009 1:27 am
0
0
ลูกหนี้การค้า มีค่า ติดลบ หมายความว่ายังไงครับ
อีกกรณี ที่อาจจะเป็นไปได้ คือ เป็นยอดตามใบลดหนี้ (credit note) ซึ่งเวลาทำ aging อาจไม่ได้นำไปหักกับ invoice ที่ออกไปก่อน
โดย
il genio
พุธ ก.ค. 15, 2009 12:26 am
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
ไม่น่าใช่ จริงๆ TOP PTTAR ได้กำไรจากปิโตรพาราไซลีนเยอะนะ เหตุผลจริงๆที่ bcp น่าสนใจนั้น เพราะมีการขยายโรงกลั่น และเพิ่มขบวนการกลั่นเข้าไป จากระบบการกลั่นแบบ Basic กลายเป็น Complex ทำให้ผลิตน้ำมันที่มีมูลค่ามากขึ้น เช่น ดีเซลและเจ๊ท ซึ่งเมื่อก่อนบางจากผลิตได้แต่นำ้มันเตาซึ่งมีราคาต่ำๆ น่าจะเป็นเหตุผลนี้มากกว่า Research ไหนที่บอกว่าไม่มีปิโตรดีกว่าเลยน่าลงทุน ช่วยบอกที นักวิเคราะห์ชื่ออะไรจะได้จำไว้ วิเคราะห์ผิดประเด็นอย่างแรง ที่พี่วิบูลย์บอกว่า ไม่มีปิโตรดีกว่าเลยน่าลงทุน วิเคราะห์ผิดอย่างแรง นี่ เพราะ การมีปิโตรเคมีพ่วงต่อจากโรงกลั่น ทำให้มีลูกเล่นในการทำ optimization ได้อีกชั้นหนึ่ง และทำให้โรงกลั่นที่มีปิโตรเคมีได้เปรียบ ในแง่ความสามรถในการทำกำไรมากกว่าหรือเปล่าครับ หรือเป็นประเด็นอื่นครับ
โดย
il genio
อาทิตย์ ก.ค. 12, 2009 12:07 pm
0
0
เรียนบัญชีดีไหม
เห็นด้วยเลยครับ หากเรียนปริญญาตรี หรือปริญญาโทบัญชีแบบจริงจัง จะมีรู้บัญชีมากกว่าที่จำเป็นสำหรับการลงทุน ในความคิดของผม ไม่ต้องมีความรู้บัญชีขนาด รู้ที่มาที่ไปของทุกรายการบัญชี แต่ขอให้ความเข้าใจบัญชีหลักๆ ว่าหมายถึงอะไร แสดงถึงความเป็นไปของธุรกิจ หรือสภาพของกิจการนั้นอย่างไรบ้าง ผมว่าความเข้าใจพื้นฐานพวกนี้ ไม่ต้องเรียนวิชาบัญชีหรอก ยิ่งเป็นวิศวะ logic ดีๆ ลองเริ่มจากการอ่านงบการเงินบริษัทขนาดกลางๆ เอาธุรกิจง่ายๆ ที่เป็นโรงงานผลิตสินค้า (เพราะเป็นธุรกิจพื้นฐาน งบการเงินไม่ซับซ้อน) ดูก่อน พวกนี้บัญชีหลักๆ มีไม่กี่บัญชีหรอก พออ่านงบพื้นฐานเหล่านี้สักพัก รู้จักบัญชีหลักๆ 7-8 item ก็จะสบายแล้ว พอขยับไปอ่านงบที่อื่นๆ ที่มีบัญชีแปลกๆ เฉพาะทาง เช่น พัฒนาอสังหาฯ ก่อสร้าง หรือธุรกิจการเงิน จะพบว่าต้องทำความเข้าใจเพิ่มอีกไม่กี่ item เท่านั้นเอง การอ่านงบการเงิน ผมว่าใช้ common sense มากกว่าความรู้บัญชี หรือการเงินมาก เราจึงเห็น หลายคนที่ไม่จบสายบัญชีโดยตรง เข้าใจงบการเงิน วิเคราะห์ความเป็นไปของธุรกิจ ได้ดีกว่าคนที่จบมาสายตรงเสียอีก
โดย
il genio
พฤหัสฯ. ก.ค. 09, 2009 11:53 pm
0
0
ค่าใช้จ่ายตามลักษณะ
เสริมคุณ Krisy ครับ ผมก็เพิ่งเคยเห็นการกระทบยอดแบบนี้เหมือนกัน :) มองให้ง่าย ค่าใช้จ่าย 5 ตัวแรก เหมือนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในกระบวนการผลิตในงวดนี้ (ต้นทุนการผลิต) Item สุดท้ายเป็นการปรับให้ ต้นทุนการผลิตกลายเป็นต้นทุนของสินค้าที่ขาย (สาเหตุที่ต้องปรับ ก็เหมือนที่คุณ Krisy อธิบาย สินค้าที่ขายงวดนี้ บางส่วนเป็นสินค้าที่ผลิตเสร็จจากงวดที่แล้ว ขณะเดียวกัน สินค้าบางส่วนที่ผลิตในงวดนี้ บางส่วนเก็บไว้เป็นสินค้าคงเหลือสิ้นงวดเพื่อขายในงวดหน้า) ยกตัวอย่าง เพื่อให้เห็นภาพ หากต้นงวด บริษัทมีสินค้าสำเร็จรูปต้นงวด 5 ชิ้น มีต้นทุน 15 บาท งวดนี้ไม่ได้ผลิตสินค้าเลย (ดังนั้นต้นทุนการผลิต = 0) แต่ขายสินค้าสำเร็จรูปออกไปได้ 3 ชิ้นในราคา 12 บาท ทำให้มีสินค้าคงเหลือสิ้นงวด 2 ชิ้น ต้นทุน 6 บาท หากไม่มีการกระทบยอด item สุดท้าย งบกำไรขาดทุนจะแสดงยอดขาย 12 บาท ไม่มีค่าใช้จ่าย (หรือต้นทุนสินค้าที่ขาย) แต่จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ต้นทุนของสินค้าที่เราขายออกไป คือ 9 บาท (3 ชิ้น ชิ้นละ 3 บาท) เพื่อปรับยอดต้นทุนผลิต 0 บาทเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น จึงต้องปรับการเปลี่ยนแปลงในสินค้าสำเร็จรูป (= สินค้าต้นงวด - สินค้าปลายงวด = 15 - 6) คือ 9 บาท ส่วนงานระหว่างทำ คิดซะว่าเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าสำเร็จรูปคงเหลือก็แล้วกันเพื่อไม่ให้งง hope this help krub.
โดย
il genio
จันทร์ ก.ค. 06, 2009 6:41 pm
0
0
รบกวนพี่ๆ ขอความรู้เกี่ยวกับสายงานลงทุนครับ
link นี้ น่าจะมีประโยชน์ครับ http://www.oneasset.co.th/News/Detail.asp?ID=316 และ http://www.one-asset.com/News/Detail_t.asp?ID=315
โดย
il genio
เสาร์ มิ.ย. 27, 2009 9:27 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
il genio
จันทร์ มิ.ย. 22, 2009 7:28 pm
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
ไม่ได้พูดอย่างนั้นนะครับ เจ้าของหลุมเก่า ถึงคิดจะเจาะหลุมใหม่ ก็ต้องพิจารณาว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ถ้าต้นทุนในการสำรวจและขุดเจาะ (จะเจอหรือไม่ยังไม่รู้เลย) บวกกับต้นทุนผลิตเฉลี่ยประมาณ 55 เหรียญ/บาร์เรล หากระดับราคาน้ำมันเท่ากับ 40 เหรียญ/บาร์เรล คงไม่มีใครเสี่ยงเจาะให้กำไรตัวเองลดลงครับ เจ้าของหลุมเดิมอาจจะอยากเฉลี่ยต้นทุนก็ได้ แต่ต้องมีกำไรที่ป็นตัวเงินเพิ่มเติม ไม่ใช่มาเฉลี่ยต้นทุนแล้ว กำไรที่เป็นตัวเงินน้อยลง ที่พยายามชี้ให้เห็นคือ กำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากการขุดเจาะเพิ่มเติม จะมีมากขึ้นหรือน้อย ถูกกำหนดโดยราคาน้ำมันวันนี้ ถ้าราคาน้ำมันยังต่ำไม่คุ้มกับต้นทุนที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด โอกาสที่คนส่วนใหญ่จะตัดสินใจขุดเจาะเพิ่มเติมมีน้อย (โดยที่การเป็นเจ้าของหลุมเก่าหรือเปล่า ไม่น่ามีผลต่อการติดสินใจ) ถ้าราคาน้ำมันเท่ากับ 40 เหรียญ/บาร์เรล คนที่ยังเดินหน้าขุดเจาะต่อไป ก็น่าจะเป็นคนที่มี knowhow บางอย่างดีกว่าคนอื่น เช่น มี model ในการสุ่มเจาะที่มี possibility of success สูงกว่าคนอื่น หรือแน่ใจว่าตัวเองมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าคนอื่น แต่คนกลุ่มนี้มีจำกัด
โดย
il genio
อังคาร มิ.ย. 02, 2009 1:29 pm
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
ถ้าคิดอย่างง่ายๆว่า เจ้าของบ่อน้ำมันมีหลุมใหม่และหลุมเก่าอย่างล่ะครึ่งในความครอบครองก็จะมีต้นทุนเฉลี่ยต่อหลุมล่ะ35(55+15/2)เหรียญต่อบาร์เรลถ้ามีหลุมใหม่เยอะกว่าหลุมเก่าก็35+ แสดงว่ามากกว่า40เหรียญต่อบาร์เรลก็น่าจะพอมีกำไรแล้วครับ เพราะถ้าน้ำมันวิ่งมากๆภาวะเงินเฟ้อจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นต่อของศก.ได้ตลาดหุ้นก็คงจะ.....อีกรอบครับ :8) ถ้าราคาน้ำมัน 40 เหรียญต่อบาร์เรล แต่เจาะหลุมใหม่ใช้เงิน 55 เหรียญต่อบาร์เรล คงไม่มีคนเจาะเพิ่ม เพราะเจ้าของหลุมเก่าไม่ได้มาเฉลี่ยต้นทุนกับคนเจาะหลุมใหม่
โดย
il genio
เสาร์ พ.ค. 30, 2009 12:30 am
0
0
ความจำเป็นในการดูงบรวม หากบริษัทจ่ายปันผลจากงบเดี่ยว
น้อง Laziale ทราบแล้วใช่ไหมว่า งบเดี่ยว กับงบรวม ปัจจุบันต่างกันอย่างไร? ถ้ายังไม่ทราบ ลองทำความเข้าใจดูก่อน (ใน Forum นี้น่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว) น่าจะทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องดูงบเดี่ยว และงบรวมประกอบกัน
โดย
il genio
ศุกร์ พ.ค. 22, 2009 5:10 pm
0
0
สูตรคำนวน ROA
เข้าใจว่าฐานข้อมูลของ SET กับ SETTRADE.com เป็นฐานข้อมูลชุดเดียวกัน ซึ่งน่าจะใช้ EBIT และตัวหารต้องใช้สินทรัพย์เฉลี่ย (คือต้นปี บวกปลายปี หาร 2)
โดย
il genio
อังคาร พ.ค. 12, 2009 2:19 am
0
0
สอบถามเกี่ยวกับ EBIT ครับ ...
แล้วกำไรทางภาษีดุได้จากตัวเลขไหนหรอครับ ? กำไรทางภาษี ต้องดูจาก ภงด. ที่บริษัทยื่นต่อกรมสรรพากร ซึ่งไม่มีใครให้ดูครับ แต่คำนวณคร่าวได้จาก ตัวเลข"ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้" / (อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัท) EBIT -1000 ล้านบาท Interest -50 ล้านบาท EBT -1050 ล้านบาท บรรทัดต่อไปต้องมีการคิด Tax ไหมครับ หรือเป็น Net income เลย อันนี้จริงๆ แล้วจะขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทด้วยว่า มีนโยบายตั้ง "ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี" (Deferred tax assets/liabilities) หรือเปล่า ถ้ามีนโยบายการตั้ง Deferred tax หลังจากบรรทัด EBT จะมียอดค่าใช้จ่ายภาษีเป็นยอดติดลบ EBT -1050 ล้านบาท Corporate income tax 315 ล้านบาท Net Income -715 ล้านบาท โดยบริษัทจะมีบัญชีภาษีเงินได้รอตัดบัญชีอยู่ใน Balance sheet ครับ
โดย
il genio
พุธ พ.ค. 06, 2009 6:43 pm
0
0
ไม่มีคนแปล Security Analysis เหรอครับ
สั่งทาง Amazon.com ได้ครับ http://www.amazon.com/gp/product/0071592539/ref=s9_sims_gw_s0_p14_i1?pf_rd_m=ATVPDKIKX0DER&pf_rd_s=center-1&pf_rd_r=08V3AYWM3FH6TQFZM8HK&pf_rd_t=101&pf_rd_p=470938131&pf_rd_i=507846 ราคา USD 48 บวกค่าส่งไม่เกิน USD 10 คิดแล้วไม่น่าเกิน 2,200 บาท ใช้เวลาส่งประมาณ 1 อาทิตย์ หรือไม่เกิน 10 วัน (ไว้ใจได้ครับ ผมสั่งอยู่หลายครั้ง) ลองเปรียบเทียบราคาดูที่ร้าน kinokuniya หรือ Asia book ที่ Siam paragon (คิดว่ามีนะครับ เคยเห็น) บางครั้งก็ถูกกว่า บางครั้งก็แพงกว่า ลองดูครับ ได้ถูกกว่า 3,000 บาท แน่ๆ
โดย
il genio
จันทร์ เม.ย. 27, 2009 10:54 pm
0
0
สูตรคำนวน ROA
ใช้ได้ทั้ง 2 ตัวครับ ใช้ Net profit เป็นสูตรอย่างง่ายที่ใช้ทั่วไป ROA ที่ได้จะเป็นการวัดประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัท (โดย ROA จากสูตรนี้ จะมีผลกระทบจากโครงสร้างการจัดหาทุนมาปนอยู่นิด ๆ เนื่องจาก Net Profit เป็นตัวเลขหลังหักดอกเบี้ยจ่ายแล้ว) หากจะเปรียบเทียบ ประสิทธิภาพที่เกิดจากทรัพย์สิน pure pure ไม่มีผลกระทบจากโครงสร้างการจัดหาทุนที่แตกต่างกัน (ใช้เงินกู้เท่าไร ใช้ทุนเจ้าของเท่าไร) ใช้ EBIT จะเปรียบเทียบได้ดีกว่า เช่น 2 บริษัทลงทุนในทรัพย์สินเดียวกัน บริษัทแรก ไม่กู้เงินเลย ใช้เงินเจ้าของทั้งหมด ในการซื้อทรัพย์สินดังกล่าว บริษัทที่ 2 กู้เงินครึ่งนึง ใช้เงินตัวเองครึ่งนึง แบบนี้ หากวัด ROA โดยใช้ Net Profit ROA ของบริษัทแรกจะสูงกว่า ROA ของบริษัทที่ 2 เพราะบริษัทแรกไม่มีดอกเบี้ยจ่าย (ทั้งๆ ที่ ทั้งสองบริษัทลงทุนในทรัพย์สินตัวเดียวกัน) แต่ ถ้าเราวัด ROA โดยใช้ EBIT ROA ของทั้งสองบริษัทที่คำนวณได้จะเท่ากัน (ลองสมมติตัวเลข และคำนวณดูจะเห็นภาพครับ) ข้อควรระวังของการใช้ EBIT คือต้องรู้ว่าเป็นการวัดประสิทธิภาพของทรัพย์ก่อนผลของภาษี ดังนั้น Net return จริงๆ ที่ทรัพย์สินของบริษัทสามารถสร้างได้ จะน้อยกว่า ROA ที่ได้จากการคำนวณ โดยใช้ EBIT โดยสรุป ใช้ได้ทั้งสองตัว จะใช้ตัวไหนขอให้แน่ใจว่าข้อมูลที่เรานำไปเปรียบเทียบเป็น basis เดียวกัน เช่น หากเรานำ ROA ของบริษัทอื่นๆ มาจากแหล่งอื่น ไม่ได้คำนวณเอง (เช่น SETTRADE.com เขาใช้ EBIT) เราก้ต้องปรับ ROA ที่เราคำนวณ ให้เป็น basis เดียวกันครับ
โดย
il genio
จันทร์ เม.ย. 27, 2009 12:38 pm
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
ไม่แน่ในแฮะ ส่วนตัว คิดว่ายาก เพราะงบกระแสดงินสด หลักๆ มี 3 ส่วน คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินการ กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน และกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน เมื่อบวกลบทั้ง 3 ส่วนจะได้ การเปลี่ยนแปลงของเงินสดระหว่างงวด และต้องตรวจสอบกับจำนวนเงินสดคงเหลือปลายงวดได้ กระแสเงินสดจากกิจการลงทุน และการจัดหาเงิน มักเป็นรายการใหญ่ ตรงไปตรงมา เช่น จ่ายเงินซื้อทรัพย์สิน, เงินสดรับจากการกู้ยืม, จ่ายชำระเงินกู้, จ่ายเงินปันผล ไม่น่าจะตกแต่งได้มากนัก หากจะตกแต่งกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ก็ไม่ง่ายอีก เพราะมีจำนวนเงินสดคงเหลือปลายงวดกำกับอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่ามีวิธีการตกแต่งอะไรใหม่ๆ หรือเปล่า อาจต้องถามผู้รู้ในแวกวงบัญชี ครับ
โดย
il genio
พุธ เม.ย. 22, 2009 1:54 pm
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
ผมเป็นแฟนติดตามงานเขียนของคุณมน พี่วิบูลย์ และดร. นิเวศน์ครับ นอกจากนั้น ยังเป็นนักลงทุนฝึกหัดที่ยังขาดทุนเยอะอยู่ (เพราะเริ่มลงทุนเมื่อต้นปีที่แล้ว ดัชนีประมาณ 850) เห็นด้วยกับคุณ Krisy (ขออภัยที่พิมพ์ผิด ครั้งที่แล้ว) กระแสเงินสดคือของจริง บิดเบื้อนได้ยากที่สุดจริงๆ ครับ ส่วนงบกำไรขาดทุนนั้น อาจเปรียบเทียบผลการดำเนินงานโดยเปรียบเทียบงบการเงินรวมครับ
โดย
il genio
อังคาร เม.ย. 21, 2009 12:43 pm
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
เสริมคุณ Kristy ครับ เข้าใจว่า ที่บริษัทเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีเกี่ยวกับเงินลงทุนในปี 2551 ไม่ได้เป็นเพราะบริษัทเลือกเองนะครับ แต่เป็นเพราะมาตราฐานการบัญชีใหม่เกี่ยวกับการบันทึกบัญชีเงินลงทุนกำหนดให้เริ่มบังคับใช้ในงวดบัญชี ดังกล่าว โดยมาตราฐานดังกล่าวจะมีผลต่องบการเงินเฉพาะบริษัท แต่ไม่มีผลต่อการบันทึกงบการเงินรวม (งบการเงินรวมตามมาตราฐานการบัญชีเก่าและใหม่บันทึกเหมือนกัน) ตามมาตราฐานการบัญชีเก่า บริษัทจะบันทึกเงินลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม ด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) ในงบการเงินเฉพาะบริษัท (งบเดี่ยว) แบบคร่าวๆ คือ บริษัทย่อยมีกำไรเท่าไร บริษัทแม่ก็จะร่วมยินดีด้วย ด้วยการบันทึกกำไรตามสัดส่วนที่บริษัทแม่ลงทุน เช่น A ถือหุ้น B ร้อยละ 75 ต่อมา B มีกำไร 100 ล้านบาท บริษัท A จะบันทึก กำไรจากการลงทุนใน B 75 ล้านบาท (100 ล้านบาท * 75%) การที่มาตราฐานเก่ากำหนดเช่นนั้น เพื่อให้งบเดี่ยว (งบเฉพาะบริษัท) สะท้อนสภาพที่เป็นจริงของกิจการ บังคับให้บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากบริษัทย่อยโดยไม่ชักช้า เช่น เมื่อก่อนมีบริษัทไทยผลิตปลากระป๋อง ชื่อบริษัทยูนิคอร์ค ได้เข้า takeover บริษัทบับเบิลบีในอเมริกา ยูนิคอร์ด มีกำไร แต่บับเบิลบีขาดทุนมาก การบันทึกวิธี Equity ทำให้ ยูนิคอร์ค ต้องบันทึกผลขาดทุนจากบับเบิลบีตามสัดส่วนที่ลงทุน ผลขาดทุนที่ต้องรับรู้ในงบเดี่ยวนี้ทำให้กำไรที่ยูนิคอร์ดสามารถจะจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นน้อยลงไป (โดยหากพิจารณาว่า ยูนิคอร์ดต้องกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มทุนให้บับเบิลบีตามสัดส่วนที่ขาดทุน การบันทึกบัญชีแบบนี้ ก็สมเหตุสมผลกับหลักความระมัดระวังของนักบัญชีดีแล้ว) ส่วนมาตราฐานใหม่ กำหนดให้บริษัทบันทึกเงินลงทุนในบริษัทย่อยและร่วม โดยวิธีราคาทุน (Cost Method) ในงบเดี่ยว คือรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัทย่อยตามเงินปันผลที่ได้รับจริงจากบริษัทย่อยครับ ส่วนบริษัทย่อยจะกำไรหรือขาดทุนเท่าไร บริษัทแม่ไม่ต้องทำอะไร การบันทึกแบบนี้ ก็เกิดจากหลักความระมัดระวัง (กลัวไว้ก่อน กลัวอะไรก็ไม่รู้) ของนักบัญชีอีกนั้นแหละ แต่คราวนี้กลัวว่าบริษัทแม่จะมีกำไรที่สามรถจ่ายเงินปันผลออกไปได้เยอะเกินไป โดยที่ไม่มีเงินสดจริง เช่น A เป็น Holding ไม่มีธุรกิจอื่น ถือหุ้นใน B 100% B มีกำไร 100 ล้านบาท B เป็นบริษัทที่ต้องขยายงานจึงไม่จ่ายเงินปันผล แต่เก็บกำไร 100 ล้านบาทไว้เพื่อใช้ในการลงทุนซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ กรณีนี้ ถามว่า A สามารถจ่ายเงินปันผลจากกำไรใน B ได้หรือไม่ หากบันทึกวิธี Equity A จะรับรู้กำไรจากการลงทุนใน B 100 ล้านบาท A ก็สามรารถจ่ายเงินปันผลได้โดยที่ยังไม่ได้งินสดจาก B เลย หากบันทึกวิธี Cost A จะไม่รับรู้กำไรใน B ตราบใดที่ B ยังไม่จ่ายเงินปันผลขึ้นมาให้ A ก็จะไม่สามรถจ่ายเงินปันผลจากกำไรส่วนนี้ เนื่องจากการถือหุ้นของบริษัทในปัจจุบันมีความสลับซับซ้อน คือไม่ได้ลงทุนในบริษัทย่อย (หรือบริษัทลูก) เพียงชั้นเดียว แต่บริษัทใหญ่ๆ ถือหุ้นหลายทอด เป็น ลูก หลาน เหลน โหลน และแต่ละชั้นก็มักไม่ได้จ่ายเงินปันผลทั้งหมด (payout ratio < 100%) แต่กันไว้ลงทุน ใช้จ่ายนู้นนี่ มาตราฐานฉบับใหม่จึงกำหนดให้ ใช้ Cost Method เพื่อให้บริษัทแม่สามารถจ่ายเงินปันผลเฉพาะที่ได้รับเงินปันผลจากบริษัทลูกๆ ขึ้นมาแล้วจริง ๆ (กันไม่ให้จ่ายเงินปันผลเกินตัว ว่างั้นเถอะ) การเปลี่ยนแปลงมาตราฐานฉบับนี้ จะกระทบต่อความสามรถในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทแม่ที่มีลูกหลานขี้เกียจครับ (ขี้เกียจจ่ายเงินปันผล) หากบริษัทลูกจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอในอัตราสูงเช่นร้อยละ 60-70 ก็ไม่น่ามีปัญหาเท่าไหร ส่วนบริษัทแม่ที่มีบริษัทลูกขาดทุนเยอะๆ ขาดทุนอยู่เป็นนิจ กลับได้อานิสงค์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ครับ ต่อไปไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทลูกในงบเดี่ยวแล้ว ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลกลับเพิ่มขึ้น (ประหลาดไหม) [อย่างไรก็ตาม ถ้าขาดทุนเยอะจริงๆ ขนาดมองแล้วว่า ชาติหน้าก็ไม่หายขาดทุน อาจโดนนักบัญชีให้บันทึก ผลขาดทุนจากการด้อยค่าแทน] โดยสรุปแล้วการเปลี่ยนมาตราฐานการบัญชีเกี่ยวกับการบันทึกบัญชีเงินลงทุนนี้ จะกระทบเฉพาะความสามารถในการจ่ายเงินปันผล ไม่กระทบต่อพื้นฐานการทำกำไรของบริษัทที่เราสามารถวิเคราะห์ได้จากงบการเงินรวม (ซึ่งมาตราฐานเก่าและใหม่บันทึกเหมือนกัน โดยกำไรจะเท่ากับงบเดี่ยวที่บันทึกเงินลงทุนด้วยวิธี Equity) วิธีไหนดีกว่ากัน ถามนักบัญชี ก็คงต้องบอกว่ามาตราฐานใหม่ดีกว่า (เขาเป็นคนประกาศใช้นี่) เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากกว่า ถามผม ผมก็ว่ามาตราฐานใหม่ก็ยังมีจุดอ่อน อีกสัก 10 ปี มีบริษัทอย่างยูนิคอร์คเพิ่มมากขึ้น เกิดปัญหาอีก เขาก็อาจกลับไปให้บันทึกแบบ Equity เหมือนเดิมตามหลักความระมัดระวัง (อีกแล้ว) ก็ได้ ใครจะไปรู้
โดย
il genio
อังคาร เม.ย. 21, 2009 12:19 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
il genio
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
Stock, sport
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ มี.ค. 11, 2009 2:09 am
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ พ.ค. 22, 2021 4:51 pm
โพสต์ทั้งหมด:
118 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.02 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
Things don't just happen. They happen just.
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว