หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
สถาปนิกต่างดาว
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
Joined: เสาร์ ม.ค. 31, 2009 5:42 pm
463
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - สถาปนิกต่างดาว
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: สถานะยังไม่ปรับเป็น "สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า"เพราะ
test
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ ส.ค. 22, 2012 7:13 pm
0
0
Re: ผู้ชายแบบไหนที่ผู้ญอยากอยู่ด้วยตลอดชีวิต
∵~★.ความรักไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง และไม่รับเอาสิ่งใด นอกจากตนเอง ความรักไม่ครอบครอง และไม่ยอมถูกครอบครอง เพราะความรักนั้นพอเพียงแล้วสำหรับตอบความรัก .★~∵ . ∵~★.จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากินจากก้อนเดียวกัน จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง แต่ขอให้แต่ละคน มีโอกาสในการอยู่โดดเดี่ยว ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้น ที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้ และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันมากนัก เพราะว่าเสาของวิหาร ก็ยืนอยู่ห่างกัน และต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้ .★~∵ คาริล ยิบราน .
โดย
สถาปนิกต่างดาว
ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 2:14 pm
0
1
Re: แคกาฟอ ...คอกาแฟ...
ไปอินโดนีเซีย ไปลอง kopi luwak มา ก็กาแฟ(อึ)ชะมด นั่นแหละ ลองแล้ว บรรยายไม่ถูก ฮ่า
โดย
สถาปนิกต่างดาว
ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 1:11 pm
0
0
Re: VI ตัวจริงไม่น่าตกรถ
"คนเรารวยขึ้นสองเท่าชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ บ้านหลังเดิม รถคันเดิม อาหารก็กินเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเงินหายไปครึ่งนึงนี่ชีวิตเปลี่ยนเลยนะครับ" อ่านแล้วเห็นภาพเลยครับ ชอบๆ ครับ อ่านแล้วก็คิดว่า... จะทำยังไงให้ไม่ว่าจะรวยขึ้น 2 เท่า หรือเงินหายไปครึ่งนึง เราก็ยังมีความสุขได้เท่าๆ กัน ทุกวันเป็นวันที่มีความสุขถึงแม้ว่าจะใช้ข้าวของที่ปราณีตมีราคายิ่งขึ้น หรือต้องใช้ของที่ประหยัดลง คนมีเงินไม่ใช่ว่าจะเป็นคนที่มีความสุข... บางคนยิ่งมีมากยิ่งทุกข์มาก... คนบางคนไม่มีแม้แต่บาทเดียวแต่ชีวิตกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข like :idea:
โดย
สถาปนิกต่างดาว
จันทร์ ธ.ค. 19, 2011 10:10 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
เป็นคนไทยก็คือเป็นใครใครก็ต้องทน สั้นยาวขาวดำชั่วดีมีปะปน มิมีปัญญาแยะแยกเหตุผล ก็เลยเป็นใครทนคนไทยกันไปนานนาน ฮ่า.....ด้วยคน
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร ต.ค. 04, 2011 12:46 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
หมีก็อยู่เฉยๆ ไม่เคย เห็นหมีเล่นหุ้น นิสัยหมีนั้นคุ้นคุ้น เป็นหมีหมกหุ้น อย่ามาจุ้นกับหมี
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2011 11:28 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
the medicine becomes poison......dangerous inflation ahead the inflation scenario has already begun in spring 2009, the fed decide to buy huge numbers of bonds...... late 2010, the fed once again increased the money supply with qe2 [qe นี่ง่ายๆคือ พิมพ์แบงค์ ] so now dollar has more problems, gold rises next few years ,inflation will become more apparent, possibly moving into 4to 10 percent range. more investers will become more noticeably skittish about dollar, and gold will go higher. it is very likely that the fed willhave to do far more money printing just to maintain some degree of financial stability. และแล้วก็ massive inflation dollar bubble และ ตามด้วย us government dept bubble และลามเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2011 9:20 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
ดูกราฟเฮียริว แล้วเชื่อเรื่อง aftershock ละก็ เฮีย david wiedemer บอกว่า 2013 เจอกันแน่ กรุณารอคอยด้วยใจระทึกพลัน และโปรดระวัง เพราะว่า inflation is as hard to see as the housing bubble before it pop.
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2011 8:54 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
:8) เฮียริว(เป็นนึ่ง) เคยสอนผมว่า พี่จำไว้นะ ไซเคิลมีแค่นี้เอง หุ้น-คอมโมดิตี้ส์-เงินเฟ้อ-พันธบัตร-เงินฝาก ผมกำลังอ่าน aftershock โดย david wiedmer คนเขียน america's bubble economy ซึ่งทำนายซับไพรม์ปี ๒๐๐๘-๒๐๐๙ ไว้ก่อนได้ถูกต้อง เฮียแกคอนเฟิร์มว่า อันแรกนั้นคือ bubbleQuake อันต่อไปที่จะมาคือ aftershock จะหนักหนาสาหัสกว่าหลายเท่า เพราะมันจะลุกลามไปในระดับglobal ไซเคิลของมันก็คือ 1. the real estate bubble 2. the stock market bubble 3".the private dept bubble 4. the discreationary spending bubble ซึ่งเราได้เจอกับมันไปแล้ว อีก๒กระทอกที่จะตามมา 5. the dollar bubble 6. the government bubble ข่าวดีคือ มันอาจจะอีกนาน ขึ้นกับการอัดฉีด และ qe ข่าวร้ายก็คือ........มันมาแน่ และจะกระเทือนไปทั้งโลก (ตัวที่จะได้เห็นเร็วๆนี้ก็คือ เงินเฟ้อ) น่าสนใจมากครับ ลองหามาอ่านดูกัน (เขาบอกทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย)
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ ก.ย. 07, 2011 5:23 pm
0
0
Re: ถ้า recession มาจริง พวก vi จะทำอย่างไร
ขออนุญาตแสดงทัศนะด้วยบทความจากบลอกของผมนะครับ ถ้าจะเกิดวิกฤติ ขอบคุณครับ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
จันทร์ ส.ค. 22, 2011 12:29 pm
0
0
Re: The Family Man ผู้ชายรักครอบครัว
เรื่องแรกเลย 1. การเตรียมพร้อม สำหรับการเลี้ยงลูกที่จะเกิด มีอะไรบ้าง 2. มักมีคนพูดเสมอว่า พอมีครอบครัวแล้ว ก็ มักจะไม่มีเวลา ดูแลพ่อแม่ มีการจัดสรรเวลายังไงกันมั่งครับ เห็นชีวิตที่เรารักเริ่มต้น เห็นชีวิตที่เรารักกำลังจะจาก ทำให้มองชีวิตตัวเองที่อยู่กึงกลางได้สุขุมและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นครับ ชอบประโยคนี้มากครับ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อาทิตย์ ก.ค. 24, 2011 11:15 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
พระพุทธเจ้า กัจจานะ โดยมากโลกนี้อาศัยที่สุด ๒ อย่าง คือ ๑ "ความมี" ๒ "ความไม่มี" ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดขึ้นของโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความจริง ความไม่มีในโลกก็ไม่มี เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความจริง ความมีในโลกก็ไม่มี ที่สุดอย่างที่๑นี้คือ สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ที่สุดอย่างที่๒ นี้คือ สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่ ตถาคตไม่เข้าไปใกล้ที่สุดทั้ง ๒ อย่างนี้ ย่องแสดงธรรมโดยสายกลางว่า "เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ๙ล๙
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 1:15 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
นักบวช แนวคิดเรื่อง "ความไม่อาจหยั่งถึง" ช่วยขจัดสัญชาตญาณ ในการเห็นปรากฏการณ์ต่างๆว่าเป็น "จริง" และเป็น "เอกเทศ" เพราะสภาวะธรรมชาติที่แท้ของปรากฏการณ์อยู่เหนือไปจาก ความเข้าใจใน "ความมีอยู่" existence และ "ความไม่มีอยู่" nonexistence เราเรียกมันว่า "สิ่งซึ่งไม่อาจหยั่งถึง" โดยทั้งนั้ไม่ได้หมายถึงอวิชา ในทางตรงกันข้าม ความรู้ตัวทั่วพร้อม หรือความรู้ซึ่งปราศจาก "ทวิภาวะ" ในการเข้าถึงสภาวะธรรมชาติที่แท้ของ "จิต" และปรากฏการณ์ที่อยู่พ้นไปจากแนวคิดทุกอย่าง ย่อมหมายถึงการ รู้แจ้ง มาติเยอ ริการ์
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 1:07 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
ควอนตัมฟิสิกส์ ตามทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ เราไม่อาจบอกได้ว่า "มี" หรือ "ไม่มี" อนุภาคและพลังงานอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งคู่ ที่แยกกันเด็ดขาดตายตัว จึงอาจบอกได้ว่ามีแต่ "ความว่าง" หรือสิ่งมีจริงที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น สรรพสิ่งจึง "ว่าง" จากตัวตนที่แน่อนตายตัว หรือไม่มีความเป็นอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอย่างเป็นอิสระและแน่นอน เพราะในโลกระดับจุลภาค สิ่งสิ่งหนึ่งจะเป็น "อนุภาค"หรือ "พลังงาน" ตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง ไม่มีอนุภาคที่ตายตัวและแยกจากพลังงาน และไม่พลังงานที่ตายตัวและแยกจากอนุภาค ทฤษฏีควอนตัมแสดงให้เห็นว่า โลกทางกายภาพมิได้มีฐานะเป็นสิ่งของ thing หรือ สวภาวะ substance คือสิ่งที่มีจริงอย่างอิสระตามลำพังของสิ่งนั้นเอง หากเป็นดุจดัง"ความว่างเปล่า"ที่อยู่กึ่งกลาง ระหว่าง "ความมี" กับ "ความไม่มี" โลกของอนุภาค อยู่เหนือภาษา และ ตรรกวิทยา สมการความว่าง ดร.วัชระ งามจิตรเจริญ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 12:57 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
ขอบคุณในธรรมครับพี่ป้อม
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ค. 21, 2011 12:33 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
:bow: :bow: เมื่อเอาเวลาเทียบกับจิตแล้ว เวลายิ่งไม่มีอยู่จริงเข้าไปใหญ่เลยครับ อันนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามีสติเข้าไปเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและใจของเราอย่างละเอียดๆ เวลามันเป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ การรับรู้ถึงเวลาก็เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์ด้วยเช่นกัน กรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ "เวลา" :ohno: ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซล ๑๐๐ ล้านล้านเซล แต่ละเซลจะมีนาฬิกาชีวภาพของใครของมัน ทำหน้าที่เหมือนนาฬิกาทรายจับเวลา การนำพาชีวิตให้รอดไปในแต่ละวันคืองานสำคัญของธรรมชาติมนุษย์ เป็นล้านปีมาแล้ว จนดูเหมือนธรรมชาติต้องติดตั้งเครื่องจับเวลาเอาไว้ทั่ว แล้วเวลาก็มาย้อนมาทำร้ายมนุษย์ ทำให้จิตไปยึดติดกับ อดีต ปัจจุบัน อนาคต เกิดการเปรียบเทียบ เกิดทุกข์
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. ก.ค. 14, 2011 10:55 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
จัดหนัก ถูกใจ กดlikeหลายๆที :D :mrgreen: :B
โดย
สถาปนิกต่างดาว
จันทร์ ก.ค. 04, 2011 2:25 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
:8) Hearing the Sunshine ดูแล้วจะรักเมืองไทยขึ้นอีกนิดนุง...ฮ่า... [p] ของ. ททท. มีทั้งหมด7ตอน ดูแล้วขอความเห็นด้วยครับ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร มิ.ย. 21, 2011 9:16 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
มนุสส วิเสโส เสพลัง มนุษย์ต่อให้วิเศษแค่ไหน ก็ต้อง....เสพย์กัน :D
โดย
สถาปนิกต่างดาว
จันทร์ มิ.ย. 20, 2011 11:52 am
0
0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
ศาสนา ๓ ประเภท ประเภทที่ ๑ สำหรับคนที่มีตัวกู ของกู เป็นตัวเป็นตนจัด เข้าหู เข้าตา ไม่ลืมหู ลืมตา ต้องมีศาสนาเหมาะสำหรับคนประเภทนี้ไว้พวกหนึ่ง ประเภทที่ ๒ ศาสนาสำหรับคนที่ไม่มีตัวตน สามารถที่จะปลดปล่อยตัวตน ละวางตัวตน ไม่มีตัวตน นี้ก็ต้องมีศาสนาชนิดนี้ไว้ให้คนพวกหนึ่ง ประเภทที่๓ ยังต้องมีศาสนาที่อยู่ตรงกลางสำหรับคนที่มันมีตัวตนก็ไม่เชิง ไม่มีตัวตนก็ไม่เชิง คือมันอยากจะมีตัวตน แต่มันยังทำไม่ได้ มันเหมือนกับยังเหยียบเรือสองลำอยู่นั่นน่ะ มันก็ต้องมีอยู่ศาสนาหนึ่ง ความลับของชีวิต พุทธทาสภิกขุ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ มิ.ย. 08, 2011 12:45 pm
0
0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
ตัวตน การเกิด การเกิด ในพุทธศาสนา การกิน กับ คนที่กิน อันไหนเกิดก่อน ? คำตอบ การกิน มันต้องมีการกินก่อน จึงจะมีผู้กิน เมื่อเรายังไม่ได้กิน แล้วจะมีผู้กินได้อย่างไร คนเรานี้ก็ไม่ได้เกิดอยู่ ต่อเมื่อมันมีความรู้สึกว่า ฉันเป็นฉัน(โดยผ่านกระบวนการ ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ) คนจึงจะเกิดขึ้นมา การเกิดดังนี้ จึงเป็นการเกิดดับ เกิดดับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เมื่อเกิดแล้ว แต่ด้วยความไม่รู้ใน อนัตตา ก็ปรุงเป็น ตัวกู แล้วตัวกูก็เกิด ความอยาก เกิดการสะสมๆๆๆๆๆๆๆ เป็น ภพ เป็น ชาติ วนเวียนไป ในชาตินี้แหละ ในขณะนี้แหละ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ มิ.ย. 08, 2011 11:15 am
0
0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
ตัวตน การเกิด ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับ "ตัวตน" มี ๓ จำพวก ๑ พวกที่เชื่อว่า มีตัวตน มี"อัตตา" ๒ พวกปฏิเสธว่า ไม่มีตัวตน เรียกว่า "นิรัตตา" ๓ พวกที่อยู่ตรงกลาง คือ "อนัตตา" แปลว่า ไม่ใช่อัตตา หรือ มันมีตัวตนซึ่งแท้ๆจริงแล้ว ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงตัวตนที่พูดกันแบบภาษาโลก ภาษาชาวบ้าน ตัวตนชนิดที่ไม่ใช่ตัวตนแท้ เรียกว่า อนัตต
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ มิ.ย. 08, 2011 11:02 am
0
0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
ซิกเนเจอร์พี่ฉัตร "จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี" นี่ก็เข้าใกล้นิพพานแล้วนะครับ "ติดดี" นี่หนักหนากว่า "ติดชั่ว" :shock: แก้ยาก..... :juju:
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ มิ.ย. 08, 2011 10:46 am
0
0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
ขอสนทนาด้วยคนครับ เรื่องรู้ ในเรื่องที่ไม่รู้ นี่ ผมถนัดนัก......ฮ่า :D ผมคิดเอาเองว่า คนเราเกิดมาแล้ว ควรที่จะรู้ใน ๒ เรื่อง ๑ จักรวาล เป็นยังไง ๒ คน คือ อะไร ติดต่อกับจักรวาลยังไง ที่ต้องรู้ ๒ เรื่องนี้ เพื่อที่จะอยู่ได้ในจักรวาลและในตัวเอง ในข้อ ๑ นั้น พระพุทธเจ้าได้ รู้ ว่า จักรวาลคือกระแสที่ เปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ ดิ้นรน ไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยงแท้ ในข้อ๒ นั้น คนก็คือกระแสของการติดต่อกับจักรวาลโดยการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ได้อารมณ์ ทีนี้หากรู้แล้วนำมากระทำให้เป็นไปตามที่ รู้ นั้นแล้ว โดยไม่ฝ่าฝืน นิพพาน........ก็เป็นภาวะนั้นๆ ตามธรรมชาติ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร มิ.ย. 07, 2011 1:57 pm
0
0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
พระไตรปิฎก จะ ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ หรือ จะกี่ล้านๆก็ตาม สรุปอยู่ที่คำๆนี้คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำผิด เป็นนรก ทำถูกเป็นสวรรค์ ทำได้เหนือผิด เหนือถูก ก็เป็นนิพพาน .................................... ทีว่า การทำผิด หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เราเป็นทาสมัน เราเป็นทาสอายตนะทั้ง ๖ ความเป็นทาสตา ทาสหู ทาสจมูก ทาสลิ้น ทาสกาย ทาสใจ นั่นแหละคือปัญหาทั้งหมดของความทุกข์ ไม่เป็นอิสระต่อตนเอง นี่คือเคล็ดลับของชีวิต
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร มิ.ย. 07, 2011 10:45 am
0
0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
ความลับของชีวิต เราอาจสรุปความได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" นั้น มันมี"เคล็ดลับ"มาก แต่มันก็รวมอยู่ที่ สิ่งที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ช่วยจำคำ ๖ คำนี้ไว้ให้ดีๆ อย่าหาว่าเป็นคำธรรมดา มันมีความลับอยู่ในนั้นมากมาย ............................................. ทั้ง ๖ นั้น มันยังมีสิ่งสัมพันธ์กันอยู่ด้วย คือมันต้องมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์อีก ๖ อย่างมาจับคู่กัน ถ้าไม่มีรูปมากระทบตา ไม่มีเสียงมากระทบหู เป็นต้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่มีความหมาย อะไร มันเหมือนกับไม่มี มันเท่ากับไม่มี ที่แท้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ยังอยู่ อยู่ที่ตัวคนนั่นแหละ แต่ทางธรรมะจะถือว่า ไม่มี คือมันเท่ากับไม่มี ................................................ อย่างว่า คนเรานี้ก็ไม่ได้เกิดอยู่ ต่อเมื่อมันมีความรู้สึกว่า ฉันเป็นฉัน คนจึงเกิดขึ้นมา นี่เป็นใจความสำคัญ ที่จะทำให้เข้าใจพระพุทธศาสนา คนทั่วไปจะพูดว่า ฉันมีอยู่ ฉันเกิดอยู่ตลอดเวลา แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนมันเกิดตายๆวันหนึ่ง ไม่รู้กี่หน คือรู้สึกว่า กูเป็นกู ฉันเป็นฉัน อะไรขึ้นมา อย่างนี้ก็ เรียกว่า คนเกิดทีหนึ่ง ดังนั้นจึงมีเคล็ดลับ คงามลับ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร มิ.ย. 07, 2011 10:36 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
ไฟลท์ดีเลย์ - - โชคดี ไป-กลับ ครับผม
โดย
สถาปนิกต่างดาว
จันทร์ มิ.ย. 06, 2011 10:49 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
จิ๊กซอว์จักรวาล ผมเพิ่งอ่าน ถอดรหัสจีโนมมนุษย์ genome โดย matt ridley สนุกมาก อ่านแล้วก็รู้ว่า คนตั้งชื่อคำว่า "พันธุกรรม" นี่เจ๋งจริงๆ มันเป็น กรรม ของสัตว์โลกมาแล้ว ๔๐๐๐ ล้านปี :ohno: เราๆท่านๆ หนอนตัวแบน แมลงหวี่ ลูกไก่ ล้วนเคยร่วมสายพันธุ์กันมา มือเรานี่เมื่อก่อนก็เคยเป็น ครีบ กิเลส มันสะสมความเก่งกาจผ่านยีน มาเป็นล้านๆปี เขาเขียนถึง พรหมลิขิต หรือ ยีนลิขิต สัญชาติญาณหรือยีน สมรภูมิรบในร่างกาย ยีนปรปักษ์ ลิขิตนิยมหรือเจตจำนงอิสระ อ่านแล้ว เข้าใจ"กรรม"ขึ้นอีก....เยอะ :idea:
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2011 1:03 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
กรูเก่ง กรูเก๋า กรูกล้า กรูก๋า กรูกั่น กรูโก๋ กรูกิ๊ก กรูกอด กรูโก กรูโก้ กรูกว้าง กรูไกล กรูเหนื่อย กรูหนัก กรูเน่า กรูหนาว กรูนอน กรูหน่าย กรูยังไม่รู้ กรูเป็นใคร มาจากไหน จะไปไหน ใครเป็นกรู :?: กิเลสเก่ง อะไรเก่งกว่า :8)
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2011 10:45 am
0
0
Re: จีน...ขยับเข้าใกล้อีกนิด อารยธรรมจะมากขึ้น
สนุกมากเลยคับพี่สถาปนิก ตามอ่านทุกตอนเลย :B :B ผมได้จากหมอมากกว่าครับ...เพราะแอบอ่านจากบล็อกที่หมอให้ความรู้ เขียนไปเรื่อยๆนะครับ ห้ามหยุด :8) ขอถามหน่อยว่า ทำไมอะวาตาร์เป็นรูป"หนู"ครับ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร พ.ค. 24, 2011 4:50 pm
0
0
Re: จีน...ขยับเข้าใกล้อีกนิด อารยธรรมจะมากขึ้น
หุ้นที่เมืองจีน ใช้สีไม่เหมือนเมืองไทยนะครับ หุ้นขึ้น สีแดง หุ้นลง สีเขียว
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร พ.ค. 24, 2011 2:01 pm
0
0
Re: "รอ..."
ผมเคยแซวซิกเนเจอร์ เฮียpak "fashion is my life" มาตั้งแต่มกรา ปีที่แล้ว เผลอแป๊บเดียว กลายเป็นความฝันยิ่งใหญ่ แถมทำได้ตามฝันด้วยเวลาอันรวดเร็วซะด้วย ขอให้ได้สมฝันที่รอคอย (เพราะผมก็มีหุ้นเหมือนเฮียเขาด้วยตัวนึง...แหะๆ)
โดย
สถาปนิกต่างดาว
ศุกร์ พ.ค. 13, 2011 4:58 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
จิตว่าง ๒๙ บาท วิดตอง ๒๙,๐๐๐ บาท ดับทุกข์ ๒๙ บาท คาเทีย ๒๙๐,๐๐๐ บาท เกิดและดับกิเลส ๒๙ บาท แอเมส ๒,๙๐๐,๐๐๐ บาท ธรรม คือสิ่งทำให้โลกงดงาม ยันฮี สวยตั้งแต่หัวยัน...ฮี :D
โดย
สถาปนิกต่างดาว
เสาร์ เม.ย. 30, 2011 11:52 pm
0
0
Re: หมีมาแล้วครับ
สุภาษิตสอนหมี เกิดเป็นหมีนั้นต้อง"...ดูดอย" ทำให้น้องน้อยนั้นดูดี๊ดี เกิดเป็นหมีควรจะ"...ขึ้นดอย" ขึ้นบ่อยบ่อยต้องลุยพงพี เกิดเป็นหมีต้งทำตัว"...หาย" หลีกเร้นกายอย่าให้ชมฟรี เกิดเป็นหมีต้องอย่าให้"...เห็น" หลบซ่อนเร้นแล้วจะเป็นหมีดี เกิดเป็นหมีอย่าใส่จริต หากเขา"...ฮิต"......ไม่อยากจะคิดเลยคุณพี่ :juju: (เด็กและสตรีมีครรภ์ ควรอ่านภายใต้คำแนะนำของผู้ปกครอง)
โดย
สถาปนิกต่างดาว
เสาร์ เม.ย. 30, 2011 10:09 am
0
0
Re: ล้างกรรมทำให้รวย newyork times,wallstreet jernal best se
อ่านหนังสือก็ต้องเลือกแต่เอาสิ่งดีดีนะครับ :D อันนี้ก็น่าจะดี money is extremly important in the areas in which it works, and extremly unimportant in the areas in which it doesn't.
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. เม.ย. 28, 2011 12:41 pm
0
0
Re: ล้างกรรมทำให้รวย newyork times,wallstreet jernal best se
แก้ไขคำผิด ต้องเขียนว่า journal ครับ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร เม.ย. 26, 2011 4:07 pm
0
0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
แนวทางของ ดีพัค โชปรา เมื่อเทียบกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ขอถามคุณนันท์หน่อยนะคะเกี่ยวกับแนวทางของ ดีพัค โชปรา เมื่อเทียบกับหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ในสองประเด็นดังต่อไปนี้ 1. ในทางพุทธจะสอนให้มุ่งสู่นิพพานคือการ”ละทิ้ง”ตัวตนเพื่อไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ในขณะที่ดีพัค โชปรา บอกว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราควรเป็นการ”ค้นพบ”ตัวตนที่สูงกว่าคือจิตวิญญาณของเราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่เป็นอมตะไม่มีที่สิ้นสุดในจักรวาล และให้เรา”ทำนุบำรุง”(nourish) จิตวิญญาณนี้ด้วยการกระทำ การคิด และการรับรู้ต่างๆเพื่อให้พลังอันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวสามารถถ่ายทอดออกมาได้โดยผ่านตัวเรา.... คุณนันท์คิดว่าแนวทางดังกล่าวเหมือนหรือต่างกันอย่างไรในแง่การตั้งจุดหมายในชีวิตของเรา 2. ในบทเรียนข้อที่ห้าของ Golf for Enlightenment ดีพัค โชปราพูดถึง Passion with Detachment หรือตรงกับคำว่า “Shakti “ ในภาษาสันสกฤต ว่าเป็นแรงบันดาลใจหรือพลังของชีวิตที่จะช่วยให้เราเข้าถึงแก่นแท้ของตัวเราได้ แต่ในทางพุทธศาสนาเท่าที่ทราบดูเหมือนจะไม่มีคำสอนในแง่พลังงานหรือความพยายามเช่นว่านี้อยู่ ไม่ทราบว่าคุณนันท์มีความเห็นอย่างไรบ้างคะในเรื่องนี้ ชื่อผู้ส่ง : นพรัตน์ ถามเมื่อ : 13/10/2008 -------------------------------------------------------------------------------- คุณนพรัตน์ ครับ ในความเห็นของผม คำถามนี้ตอบยากมาก ทั้งละเอียดอ่อน เพราะโดยเนื้อหาแล้วเป็นการแสดงความเห็น ที่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายสูงสุดระหว่างศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องที่เคยมีการถกเถียงกันมาตลอด และเป็นเรื่องลึกซึ้งอยู่มาก หากตอบสั้นๆ แบบกำปั้นทุบดินก็คงบอกว่า ไม่รู้ว่าจะตอบได้อย่างไร ผมจึงขอเน้นย้ำก่อนว่า นี่เป็นการพยายามตอบด้วยความเข้าใจส่วนตัวตามกำลังสติปัญญาที่ผมมี ซึ่งขอให้ฟังหูไว้หู ก็ดีนะครับ และอีกประเด็นหนึ่งคือ ผมไม่แน่ใจว่าการอธิบายผ่านทางตัวหนังสือนี้ของผม จะคลอบคลุมแง่มุมได้แค่ไหน เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว ผมขอเริ่มจากการสรุปทบทวนประเด็นของคำถามข้อแรก เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อน คำถามคือ . . . > ระหว่างคำสอนของพุทธศาสนา ที่สอนให้มุ่งสู่นิพพาน คือการ “ละทิ้ง” ตัวตน เพื่อไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก กับ . . . > ของ ดีพัค โชปรา ที่บอกว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราควรเป็นการ “ค้นพบ” ตัวตนที่สูงกว่า คือจิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ นั้น > ผมคิดว่าแนวทางดังกล่าว เหมือนหรือต่างกันอย่างไร “ในแง่การตั้งจุดหมายในชีวิตของเรา” ผมขออนุญาตยังไม่สรุป แต่ผมจะพยายามเล่าความเข้าใจส่วนตัวที่ผมมี ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเด็นของคำถาม แล้วคุณนพรัตน์อาจสรุปดูด้วยตัวเองว่า คำตอบคืออะไร หรืออาจจะสรุปว่าผมเข้าใจผิดทั้งหมดก็เป็นได้ เรื่องแรก ขอเริ่มเล่าความเข้าใจพื้นฐานทางพุทธศาสนาของผม ที่เชื่อมโยงกับกรณีนี้ก่อน ซึ่งความเข้าใจสำคัญประเด็นแรก เกิดมาจากข้อความอันหนึ่งซึ่งคุณนพรัตน์ก็น่าจะเคยได้ยิน ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงธรรมที่พระองค์ ได้ทรงค้นพบในคืนวันตรัสรู้ว่า “สิ่งนั้น(ธรรมนั้น)มีอยู่แล้ว คถาคตจะเกิดหรือไม่เกิด สิ่งนั้นก็มีอยู่แล้ว” ประเด็นต่อมา คือ ”สิ่งนั้น(ธรรมนั้น)” ที่มีอยู่แล้ว ที่พระองค์ทรงค้นพบคืออะไร ? ตามภาษาทางวิชาการ ธรรมที่พระองค์ทรงได้พบ ในคืนวันตรัสรู้หรือบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ถูกเรียกว่า กฎหรือหลัก “ปฏิจจสมุปบาท” (หรือในอีกกรณี เรียกว่า อิทัปปัจจยตา) ซึ่งผมสรุปเป็นความเข้าใจของผม เอาไว้ว่า เป็นการได้ทรงพบระบบความสัมพันธ์ในแบบสืบเนื่อง ของการมี “เหตุ(และปัจจัย)อันนำไปสู่ผล” และผลนั้นก็เป็น เหตุ(และปัจจัย)อันนำไปสู่ผลอันใหม่ และสืบเนื่องกันไปเช่นนี้ไม่รู้จบสิ้น ซึ่งเป็นระบบหลักที่ทำให้เกิดมีสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงขึ้น (หรือจะมองว่ามันเป็นความต่อเนื่องของระบบ “กรรม” ก็ได้) และ บ่อหรืออ่างหรือมวลรวม อันได้ปรากฏขึ้นและหมุนวนไม่จบสิ้นภายใต้ระบบนี้ คือสิ่งที่เราเรียกกันว่า “สงสารวัฏ” ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และเห็นขบวนการ เกิดเหตุ(และปัจจัย)ไปสู่ผล ตามระบบความสัมพันธ์นี้ ของทุกสรรพสิ่งอย่างลึกซึ้งทุกแง่มุม และทุกมิติ อันนำไปสู่แนวทางคำสอน เพื่อสร้างความเข้าใจและเกิดการหลุดพ้นจากการอยู่ภายใต้ระบบนี้ ในเรื่อง อริยสัจสี่ เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมทั้งจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ที่เรียกว่า นิพพาน ผมขอเน้นประด็นหลักในเรื่องแรกไว้ตรงนี้ก่อนว่า สิ่งที่พระองค์ได้ทรงไปพบเข้า นั้นคือ กฎหรือสัจจะธรรม อันหนึ่งที่มีอยู่เดิมแล้ว เรื่องที่สอง คือ เรื่องคำสอนของ ดีพัค โชปรา ซึ่งต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่ามีพื้นฐานเดิมมาจากฮินดู แต่สนใจศึกษาพุทธศาสนา (พระพุทธเจ้าของเราเดิมก็มีพื้นฐานมาจากฮินดูหรือศาสนาพราหมณ์เช่นกัน) ซึ่งผมขอเล่าความเข้าใจของผมเกี่ยวกับหลักอันสำคัญของฮินดู ที่มีคัมภีร์อุปนิษัท เป็นหลักคำสอน ว่าคืออะไร ฮินดูนั้น เชื่อและนับถือในสภาวะ สภาวะหนึ่ง ซึ่งทรงอานุภาพ เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง เป็นนิรันดร์ ไม่มีต้นกำเนิดและจุดสิ้นสุด เป็นทั้งผู้สร้าง ผู้รักษาและผู้ทำลาย เป็นเหมือนชีพของจักรวาล ซึ่งเรียกว่า “ปรมาตมัน” (หรือพระเจ้าหรือพรหมันในบางกรณี) และในมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ก็มีหน่วยย่อย ของ “ปรมาตมัน” นี้ ดำรงอยู่ภายใน ซึ่งเรียกว่า “อาตมัน” ตามหลักคำสอนของฮินดูนั้น มุ่งเน้นให้เข้าใจและรู้แจ้งในความจริงนี้ คือ รู้แจ้งใน “อาตมัน” แห่งตน อันนำสู่การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ “ปรมาตมัน” (หรือการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้า หรือพรหมัน) ซึ่งการรู้แจ้งเห็นจริงนี้ จะทำให้เกิดการหลุดพ้นจากความทุกข์ ซึ่งทางฮินดูเรียกว่า “โมกษะ” มีอีกประเด็นหนึ่ง ดีพัค โชปรา จะแยกความเป็นตัวเราออกเป็น 3 ส่วน คือ body (ร่างกาย) mind (จิตใจ) spirit (จิตวิญญาณ) ซึ่งความเข้าใจของผม “จิตวิญญาณ” นี้น่าจะหมายถึง “อาตมัน” นั่นเอง เพียงแต่ ใช้คำสากลขึ้นตามแบบฉบับภาษาอังกฤษของคริสต์ศาสนา (อาจจะเทียบได้กับคำว่า “จิตเดิมแท้” ในพุทธศาสนาแบบมหายาน หรือในนิกายเซน และขอเสริมนอกประเด็นว่า สภาวะอันเป็นหนึ่งนั้น ของฮินดู น่าจะเทียบได้กับ สภาวะธรรมที่ เหลาจื๊อ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร เลยขอเรียกว่า “เต๋า” ที่แปลว่า หนทาง) ผมขอสรุปประเด็นหลักของเรื่องที่สองนี้เอา ไว้ว่า ดีพัค โชปรา นั้นมีรากฐานความเชื่อในสภาวะอันเป็นหนึ่ง ที่ดำเนินความเป็นไปของจักรวาลนี้ ของฮินดู ดังปรากฏเป็นเนื้อหาหลักอยู่ในหนังสือของเขา ถึงตรงนี้ ถ้าต้องตอบคำถามคุณนพรัตน์ ผมเห็นว่าเรื่องนี้มีแกนหลัก ร่วมกันหรือเหมือนกัน คือ เรื่องขบวนการที่พระพุทธเจ้าทรงได้พบ กับสภาวะความเป็นหนึ่งของฮินดู อาจสรุปได้ว่าเป็นการพูดถึงความจริงอันหนึ่ง ซึ่งมีอยู่เดิมก่อนสิ่งใด และเป็นธรรมอันเดียวกัน ที่ทางพุทธศาสนาเราเรียกสิ่งนั้นว่า เป็นกฎ หรือหลัก ทางฮินดูเรียกว่า สภาวะ หรือเรียกเป็นรูปแทนว่า พระเจ้า แล้วพูดกันคนละวิธี อธิบายคนละเหลี่ยม คนละสถานการณ์ หรือบริบท (อาจเนื่องจากฮินดูมีมาก่อน พุทธศาสนาหลายพันปี และฮินดูไม่มีศาสดา คำสอนเกิดจากปราชญ์ของฮินดูในยุคต่างๆ บันทึกคำสอน อันเกิดจากการหยั่งถึงสภาวธรรมนั้น ต่อๆ กันมา เป็นคัมภีร์อุปนิษัท) แต่ที่สำคัญหลังจากนั้นคือ การแปรรูปออกมาเป็นคำสอน เป็นหลักปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผล ตรงต่อเป้าหมายสูงสุดของศาสนา ซึ่งสัมพันธ์กับเป้าหมายของชีวิตของเราที่นับถือศาสนานั้นๆ คำตอบต่อมา จากประเด็นสำคัญของคำถาม ตรงที่ว่า เหมือนหรือต่างกันอย่างไร “ในแง่การตั้งจุดหมายในชีวิตของเรา” ผมจึงขอตอบว่า ผมไม่รู้จริงๆ ครับ เพราะ ณ ขณะนี้ ผมไม่อาจรู้ได้จริงๆ ครับว่า สภาวะ “นิพพาน” กับ สภาวะ “การเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า” หรือ “โมกษะ” นั้น แตกต่างกันหรือเหมือนกัน และไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ หรือชาติไหน ผมจะรู้คำตอบนี้ได้ด้วยตัวเองครับ นอกจากนี้ ผมยังเคยได้ยินว่า มีข้อถกเถียงกัน ของปราชญ์ทางศาสนา เรื่อง ความเป็นอนัตตา ของสองสภาวะนี้อีกยาวเลยครับ และผมคิดว่าคนที่รู้คำตอบแล้ว ก้จะไม่มาเถียงกันเป็นแน่แท้ มีหนังสือของท่านพุทธทาส ที่อธิบายความสัมพันธ์ ของธรรม ดังกล่าวนี้ไว้ ได้อย่างดี ซึ่งผมได้แนะนำคุณpenguin ไว้ในกระทู้ก่อน ชื่อ สรรนิพนธ์ พุทธทาส ว่าด้วย "เต๋า" รวบรวมโดย กวีวงศ์ จัดทำโดย กลุ่มพุทธทาสศึกษา www.buddhadasa.org พิมพ์โดย มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ รายได้เข้าสถานปฏิบัติธรรม "สวนเมตตาธรรม" อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ หรือหาดูที่สำนักพิมพ์สุขภาพใจ ก้ได้ครับ แค่คำถามแรกผมก็เยิ่นเย้อยาวมาถึงขนาดนี้ ขออนุญาตคุณนพรัตน์ยกคำถามที่สอง ไปก่อน แล้วจะรีบกลับมาตอบโดยเร็วครับ หากทุกท่านมีความเห็นอะไร ก็แทรกเข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 13/10/2008 คุณนันท์และคุณนพรัตน์ครับ ผมเองคงต้องยอมรับก่อนว่ามีความรู้น้อยมากในเรื่องของศาสนา แต่จากการได้อ่านคำถามและข้อคิดเห็นของคุณนันท์ รวมถึงการมองย้อนไปที่คำถามที่สองของคุณนพรัตน์นั้น มีเรื่องหนึ่งที่แว่บผุดขึ้นมาในความคิดของผมทันที ไม่รู้ว่าจะเป็นส่วนเสริมในการหาคำตอบนี้ต่อไปหรือเปล่านะครับ และในที่นี้ผมเองก็ยังไม่เคยได้อ่าน Golf ของดีพัคด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ผุดมาในความคิดคือ ผมเองเคยมีโอกาสได้รับเชิยไปทานข้าวที่บ้านของครอบครัว อดีต กุมารีหลวงท่านหนึ่งในกาฏมัณฑุ กุมารีนั้นถือเป็นเทพผู้มีชีวิตที่ชาวเนปาลนับถือ เพราะถือว่าเป็นร่างผ่านของ Taleju Bravani หรือเทพผู้ปกปักษ์รักษาประเทศเนปาล กุมารีนั้นมีอยู่หลายองค์ในหลายๆเมืองของประเทศเนปาล ซึ่งชาวเนปาลนั้น เก้าสิบกว่าเปอร์เซนต์หรือส่วนใหญ่ตามบัตรประชาชนจะมีลงข้อมูลไว้ว่าพวกเขานับถือฮินดูกัน แต่อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้เห็นและได้พูดคุยกับคนหลากหลายอาชีพที่นั่น พวกเขาเองก็นับถือBudha เป็นองค์สูงสุดและบูชาพระพุทธเจ้าด้วยเช่นกัน โดยจะเห็นได้ว่าตามรูปเคารพและงานศิลปะต่างๆที่มีอยู่มากมายในประทศนั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นบูชา หรือรูปวาดองค์เทพทั้งหลายนั้นที่ยอดสูงสุดจะมีองค์ Budha เล็กนั่งสมาธิอย่างสงบอยู่ที่ยอดเหนือจากองค์เทพทั้งหลายเสมอ แต่การทานข้าวที่บ้านกุมารีในวันนั้น มีบางอย่างที่ผมสังเกตุเห็นนั่นคือ รูปวาดรูปหนึ่งในบ้านของกุมารีที่แขวนไว้บริเวณใกล้หน้าต่าง รูปวาดนี้เป็นรูปวาดลงสีสวยงาม และมองดูก็รู้ทันทีว่าเป็นรูปจากพุทธประวัติซึ่งมีความหมายกับผู้แขวนไว้ แต่อย่างไรก็ดี รูปที่ห็นนี้ไม่ใช้รูปเคารพอย่างที่เห็นกันบ่อยๆนั่นคือรูปพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ นั่งสมาธิ หรือโปรดสรรพสัตว์ต่างๆ หรือกำลังแสดงธรรม ตอนนั้นเองผมมองอยู่นาน เห็นไกลๆว่า ในรูปเป็นรูปชายหนุ่มกำลังแอบมองหญิงสาวสวยที่หลับไหลอยู่ในห้องนอนที่ตกแต่งสวยงาม ความเกรงใจทำให้ไม่กล้าถาม และมีความรู้สึกประหม่าที่จะเข้าไปดูใกล้ๆ แต่อย่างไรก็ดี อาทิตย์กว่าๆผ่านไป เรามีโอกาสกลับไปทานอาหาร ดื่มชาที่บ้านอดีตกุมารีอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไปอีก ผมขออนุญาติเดินไปดูรูป และได้ถามคุณพ่อเจ้าของบ้านถึงรูปและความหมายของรูปเคารพนี้ ตอนนั้นเองคำตอบทำให้แปลกใจอยู่บ้าง เพราะรูปนั้น เจ้าของบ้านอธิบายว่า เป็นรูปในคืนสุดท้ายก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะออกจากวัง พระองค์รู้แล้วว่าต้องทำอะไร แต่ก่อนออกไป พระองค์ของเดิมมามองพระชายาและบุตรเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความรัก ก่อนจะออกค้นหาไปตามทางและตรัสรู้ในที่สุด วันนี้เรื่องที่ไม่ได้เน้นการจดจำอะไรไว้มากกลับผุดมาอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าในรูปนั้นที่ถูกแขวนไว้อย่างสำคัญ ได้บอกความหมายถึงแรงดลใจ หรือแรงบันดาลใจบางอย่างของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่มองความรัก ทุกข์ด้วยความรัก จากไปเพราะความรัก และวันหนึ่งท่านก็กลับมาเพื่อเทศนาแสดงธรรมให้คนที่ท่านรัก บางทีทางผ่านสู่การหยั่งรู้นั้นอาจทำได้หลายทาง ไม่ว่าจะทางสมาธิ กอล์ฟ หรือกิจกรรมอื่นก็ได้นะครับ เพียงแต่ทางพุทธพระองค์เน้นการสอนให้เราพินิจพิจรณาและค้นหาด้วยตนเอง คำตอบตรงนี้เลยถูกละไว้แบบเปิดทาง เพราะเราต่างมีประสบกาณณ์ที่ต่างกัน มีเรื่องราวที่ทำให้เกิดแรงดลใจต่างกัน และเราอาจเลือกวิธีการ หรือเลือกกิจกรรมที่จะผ่านไปสู่การหยั่งรู้ต่างกัน ทั้งนี้เพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกันครับ หวังว่าจะมีประโยชฯบ้างนะครับ ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 13/10/2008 ขออนุญาตแสดงความคิดเห็น อย่างคนที่ก็ไม่ได้รู้มากไปกว่าคุณนพรัตน์, คุณนันท์ และคุณ Karn ครับ ผมเห็นจริงอย่างที่คุณ Karn เล่ามา ในคติความเชื่อของฮินดูนั้น เท่าที่ผมรับรู้มา เขาก็นับถือพระพุทธเจ้าอยู่ไม่น้อย และไม่ได้คิดว่าเป็นศาสนาอื่น เขามองว่าเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนาฮินดูของเขาด้วยซ้ำไป บางตำราของฮินดูยังเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ เขาจึงจัดพระพุทธเจ้าเป็นเทพชั้นสูง แม้ไม่เทียบเท่าพระศิวะ,พระนารายณ์ และพระพรหม ซึ่งจัดเป็น "มหาเทพ" แต่ก็ยังมีอีกบางตำราเล่าว่า แม้แต่พระพรหมก็ยังต้องมาเข้าเฝ้าเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสด็จกลับจากการไปแสดงธรรมบนสวรรค์ (ในประการนี้ คนไทยที่อ้างว่านับถือพุทธบางคน ซึ่งยังยึดมั่นถือมั่น ยังยึดมั่นในตัวกูของกู ยังมองอย่างแยกส่วน เชื่อมโยงอะไรไม่ได้ อาจจะรู้สึกรับไม่ได้ ที่พระพุทธเจ้าของเขาจะอยู่ในลำดับที่ต่ำกว่าพระศิวะ และพระนารายณ์) ที่กล่าวมาในประการนี้ ก็เพื่อจะบอกว่าศาสนาฮินดูเขายังมีการมองอย่างองค์รวม อย่างไม่แยกเขา ไม่แยกเราได้ดีทีเดียว ในประเด็นที่คุณนพรัตน์ ถามว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า กับสิ่งที่โชปรานำเสนอไว้นั้น เหมือนหรือต่างกันอย่างไรนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผม (ซึ่งส่วนตัวมากๆ ชนิดที่หลายคนอาจสาปแช่งผมได้เลยทีเดียว) นั้น ผมคิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้เรา "หลุดพ้น" มากจนเกินไป สงบเกินไป นี่น่าจะเป็นการขัดกับความเป็นจริงของจักรวาล หรือสัจธรรมสากล ที่ว่า มนุษย์เรานั้น มีหน้าที่ต้องแสวงหาความเป็นเลิศ (ในทุกด้าน) ต้องมีการเคลื่อนไหว มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ต้องมีสำนึกของความ "อยากมี" "อยากทำ" และ "อยากเป็น" อยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเอาหลักการของเรื่องสนามควอนตัม ที่ระบุว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นพลังงานและข้อมูล ต้องมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว การที่คนเราจะ "ละทิ้ง" และ "หลุดพ้น" หรือ "นิพพาน" ไปเสียทั้งหมดนั้น ก็น่าจะเป็นการขัดกับ "ความจริงสูงสุด" ไปเลยทีเดียว คุรุหลายท่านสอนว่า มนุษย์เราจะต้องมีแรงจูงใจเพื่อตอบสนองให้บรรลุ ให้ได้ใน 3 ส่วน คือ หนึ่งทางด้านร่างกาย สองทางด้านความคิดและจิตใจ และสามทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งผมขอเรียกว่า การบรรลุถึงการเป็น "คนรวย" (ร่างกาย) "คนเก่ง" (ความคิด/จิตใจ)และ "คนดี" (จิตวิญญาณ) ผมเคยตั้งคำถามง่ายๆ ว่า ทำไมจะเป็นคนดีแล้วจึงต้องเป็นคนจนด้วย และเป็นควนรวยแล้วจะเป็นคนเก่ง คนดีไปพร้อมๆ กันไม่ได้หรือ และบ่อยครั้ง ทำไมเป็นคนรวยแล้วจึงต้องเป็นคนเลว และหรือคนโง่ด้วยเล่า? มนุษย์จะสามารถบรรลุทั้งสามด้านนี้ไปพร้อมๆ กันไม่ได้หรือ ซึ่งคุรุหลายท่าน ตอบว่า "ได้" และ "ต้อง" เป็นเช่นนั้นด้วย แต่ผู้สืบทอดการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขาทำให้ทุกเรื่องแยกขาดออกจากกัน อย่างชนิดไปด้วยกันไม่ได้ พวกเขาสอนคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้กับฆราวาส เหมือนกับต้องการจะให้ทุกคนเป็นนักบวช แม้แต่หนังสือ The Top Secret ของทันตแพทย์สม สุจีรา ที่เอาหลักศาสนาพุทธมาอธิบายต่อยอดจากหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne (ตอนนี้หนังสือของหมอสม พิมพ์ไปครั้งที่ห้าสิบแล้วกระมัง) อ่านแรกๆ ก็ดูเหมือนหมอสมจะเห็นด้วยกับแนวเนื้อหาของ Byrne แต่ลงท้าย เขาก็สรุปว่าไม่มีอะไรวิเศษเท่าการหลุดพ้น และนิพพาน OSHO ก็ยังเคยแสดงความเห็นไว้ในหนังสือของเขาว่า คุณลักษณะของความเป็นมนุษย์รูปแบบใหม่ คือ "การผนวกรวมระหว่างซอร์บา เดอะกรีก (Zorba The Greek) และพระพุทธเจ้า" กล่าวคือ "มีความสุขทางโลกได้เหมือน Zorba และสุขสงบได้อย่างพระพุทธองค์" กล่าวโดยสรุปแล้ว ผมเห็นว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องของ "จิตวิญญาณ" ของแต่และคน ว่ากำลังแสวงหา และตัดสินใจ เลือกที่จะเป็นอะไร ทำอะไร และมีอะไร เป็นสำคัญ! ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/10/2008 ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดครับ (คัดจาก foot note ในหนังสือของ OSHO ที่ชื่อว่า Creativity หรือชื่อในภาษาไทยว่า "คิดนอกรีต") Zorba The Greek เป็นนวนิยายที่ประพันธ์โดย Nikos Kazanizakis นักเขียนชือ่ดังของกรีก และเคยได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี 1964 ในบทประพันธ์นี้ มีตัวละครเอกคือ Zorba ผู้มีความสุขกับชีวิต เริงร่า ร้องรำทำเพลง ไม่มีหลักการใดๆ ต้องยึดถือปฏิบัติ ใช้ชีวิตกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับตัวละครอีกตัวหนึ่ง คือ Basil นักเขียนอังกฤษ ที่มาจากเมืองหลวง แต่งกายภูมิฐาน สำรวม เงียบขรึม ซึ่งต้องการเดินทางไปเกาะ Crete เพื่อเก็บข้อมูลประวัติพระพุทธเจ้า แต่เมื่อได้รู้จักกับ Zorba ปรากฎว่า Basil ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากการได้ค้นพบอิสรภาพในตัวเอง OSHO ได้อธิบายความของการนำคำว่า Zorba มาใช้ในงานของตนว่า หมายถึง "ผู้ที่มิได้อยู่ใต้อาณัติศาสนาใดๆ เป็นผู้ที่หลุดพ้น และมีโอกาสเข้าถึงพระพุทธองค์ได้มากกว่าพุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดเสียอีก" ชื่อผู้ตอบ : วสันต์ พงศ์สุประดิษฐ์ ตอบเมื่อ : 13/10/2008 ผมเกิดความคิดขึ้นว่าน่าจะลองค้นหา ข้อเขียนหรือคำพูดที่บรรยายถึงคุณลักษณะของ สภาวะธรรมนี้มาประกอบ เผื่ออาจทำให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ทำให้นึกไปถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่ในความเห็นส่วนตัวของผม ท่านมักพูดถึง ธรรมอันเป็นหนึ่ง นี้เอาไว้ค่อนข้างเด่นชัด เลยไปเลือกคัดลอกมาและพยายามจัดกลุ่มให้ชัดเจนขึ้น ลองพิจารณาดูครับว่า มีมิติสัมพันธ์กับคำถามและคำตอบอย่างไรได้บ้าง กลุ่มแรกนี้ผมเลือกที่เป็นเชิงคุณลักษณะ มารวมๆ กันดูครับ > พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง “จิตหนึ่ง” นอกจาก “จิตหนึ่ง” นี้แล้ว ไม่มีอะไรตั้งอยู่เลย > "จิตหนึ่ง” ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย มันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด > “จิตนั้น” ไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้นไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซาบซึมอยู่ในสิ่งทุกๆ สิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน > “จิตหนึ่ง” นั่นแหละคือ พุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิ เช่นเดียวกับความว่าง มันเป็นเรื่องที่เพียงแต่ตื่นและลืมตาต่อ “จิตหนึ่ง” นั้น เท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร ไม่มีสิ่งใดแม้แต่อนุภาคเดียว ที่จะอิงอาศัยได้ > “จิตหนึ่ง” เท่านั้นที่เป็น พระพุทธะ ดังคำตรัสที่ว่า ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต > สิ่งต่างๆ ทุกสิ่ง ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะ เท่ากันหมด และทุกๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะอยู่ตลอดเวลา กลุ่มนี้เป็นเรื่องหลักพิจารณในวิธีการใช้ชีวิตครับ > วิธีอันโง่เขลา ที่สรรพสัตว์ใช้ในการดับทุกข์ มี ๒ วิธี คือ กามสุขัลลิกานุโยค อธิบายง่ายๆ ว่า วิธีคล้อยตามความปรารถนา คือ เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ให้สมปรารถนาในสิ่งนั้น ความทุกข์ก็ระงับดับไป และ อัตตกิลมถานุโยค หมายถึง วิธีหักห้ามความปรารถนา คือ เมื่อเกิดปรารถนาสิ่งใดก็แก้ไขหักห้ามตรงๆ บ้าง หันเหจิตใจไปสู่อารมณ์อื่นที่สุขุมประณีตกว่า เช่น การเล่นกีฬา เล่นต้นไม้ เป็นต้นบ้าง ในที่สุดความทุกข์นั้นก็ระงับดับไป สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ล้วนแสวงหาพระนิพพานแก่ตนด้วยวิธีการอันโง่เขลาทั้ง ๒ วิธี มาเป็นเวลานาน ความทุกข์ก็ยังเกิดมีมาให้ดับอยู่ร่ำไป จนพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก และทรงรู้แจ้งจึงชี้แนวทางที่ถูกต้องให้ดำเนินตาม ทรงชี้ให้เห็นว่า ปัญหาที่แท้จริง อยู่ที่ตัวความปรารถนานั้นนั่นเอง ถ้าสามารถทำความเข้าใจให้แจ้งชัด รู้ถึงเหตุปัจจัยการปรุงแต่งของมัน หรือรู้รากเหง้าของมัน ธำรงจิตเสียใหม่ให้ถูกต้อง ธำรงจิตให้อยู่โดยประการที่ความทุกข์ไม่อาจท่วมทับได้ โดยประการที่เหตุปัจจัยทั้งหลายไม่อาจปรุงแต่งจิตให้หลงโง่เขลาได้ ดังนี้แล้ว ก็เป็นอันว่าได้บรรลุถึงวิธีการดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์โดยสิ้นเชิง > เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเองเพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหยุดความกระวนกระวาย เพราะการแสวงหานั้นเสีย (ผมคิดว่าไม่ได้หมายความว่า ให้หยุดแสวงหา) พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่าจิตนี้คือพุทธะ นั่นเอง > มันเป็นเรื่อง ที่เพียงแต่ตื่นและลืมตาต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร กลุ่มนี้เป็นเรื่องการลุถึงจุดหมายสูงสุด > จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้น เป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้ง เห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้อง ในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผ็อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียง ไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง และเป็นสิ่งเดียวกับ “สิ่งสูงสุด” นั้น เราจะได้ลุถึง ภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์ และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม > ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือว่าเรียก "พระนิพพาน" อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้ ความจริงมีอีกมากครับที่หลวงปู่ท่านพูดถึง ธรรมอันเป็นหนึ่ง นี้เอาไว้ แต่มันจะยาวมากเกินไป คุณนพรัตน์ครับ ขอนอกเรื่องที่ไม่ตรงกับคำถามนัก อยากเล่าว่า ตัวผมเองก็ได้อาศัยข้อความทำนองนี้ เป็นสื่อในการเทียบเคียงให้เกิดความเข้าใจถึงธรรมะข้างต้นที่พูดถึงกัน มาโดยตลอด รวมทั้งจากของจากครู อาจารย์ ปราชญ์ ท่านอื่น ของทั้งพุทธและศาสนาอื่นๆ โดยเฉพาะฮินดู หรือเซน หรือเต๋า อยู่ด้วย คือผมคิดว่าผมเลือกเป็น คนตาบอดที่ชอบคลำช้าง เพื่ออย่างน้อยได้รู้ว่า มันใหญ่มากและผิวหยาบๆ แล้วมันน่าจะตรงกับที่เราเคยได้เห็นมาบ้างหรือไม่ หรือคนละเรื่องกันเลย ผมยังค้างตอบข้อสองอยู่นะครับ ไม่ได้ลืม และขอขอบคุณ คุณKarn และท่านอาจารย์ด้วยครับ ที่ช่วยขยายมุมมองในเรื่องนี้ ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง ตอบเมื่อ : 14/10/2008 ขอบพระคุณคุณนันท์มากๆครับ อธิบายได้คร่าวๆแค่ว่ารู้สึกดีมากๆ จิ๊กซอว์บางช่องลงล๊อค แต่รูปภาพรวมก็ขยายใหญ่ขึ้นต่อเนื่องไปอีก นอกนั้น คือคำ ขอบคุณๆ ชื่อผู้ตอบ : Karn ตอบเมื่อ : 14/10/2008 มันเป็นปมอันแสนปวดร้าวกับศาสนาพุทธของผม(เหมือนนุ่น วรนุชในบทพญานาคสาวในละครเรื่องกาษานาคาช่อง 7 ที่ชาติที่แล้วพระเอกละทิ้งตนหนีไปบวชชาตินี้เลยทั้งโกรธและแค้นศาสนาพุทธเสมอมาจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น) คือผมอยู่ปราจีนบุรี ไปเที่ยว อ.วังน้ำเขียวกับลูกพี่น้องคนสนิทและแม่และขากลับแวะห้างเทสโก้ โลตัสที่เพิ่งเปิดใหม่ของจังหวัด(อารมณืประมาณตื่นเต้นจังหวัดกูมีห้างซักที) แวะเข้าไปในร้านซีเอ็ดบุ๊คซ์ แล้วเมื่อนั้นสงครามนิก-พุทธครั้งที่1 จึงปรากฏขึ้น เมื่อผมไปเจอหนังสือชื่อว่าพระพุทธเจ้าสอนให้รวย ผมก็คิดว่ามีด้วยหรือวะพระพุทธเจ้าสอนให้รวย มีแต่จะให้ตัดกิเลส เปิดไปหน้าหลังถึงกับผงะ! คนเขียนมันบอกว่า(ขอเรียกว่ามันเพราะการเขียนทำลายจิตใจคนอ่านโดยอ้างเป็นนามพุทธไม่จับมันเผาทั้งเป็นก็บุญโข) พระพุทธเจ้าชี้ชัดดาราตกนรกแน่นอน! ผมตกใจมากเลยซื้อมาอ่าน พบเนื้อหาที่พูดถึงพระไตรปิฎกบทหนึ่งที่ตาลบุตรศิลปินดาราในสมัยนั้นไปถามพระพุทธเจ้าว่าผมเป็นดาราให้ความบันเทิงคนผมต้องได้ขึ้นสวรรค์ใช่ไหม พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธที่จะตอบ แต่ทรงทนการรบเร้าไม่ไหวเลย ตอบว่าเป็นดาราไปมอมเมาให้คนมีกิเลสตกนรก แล้วก็ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งชื่อความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า ของ ศิริพงศ์ อัครศรียุกต์ ที่บอกว่าเลิกเชื่อตัวเองเพราะไม่รู้จริงหันไปเชื่อพระพุทธเจ้าทุกอย่าง(ซึ่งผมเกลียดมากไอ้ความคิดแบบนี้) พูดจูงใจทำนองว่าหนังสือข้านี่ศักดิ์สิทธิ์จัดใครลบหลู่ตกนรกหมกไหม้ มันก็ถึงขนาดล้มเลิกความฝันการเป็นนักร้องของลูก(ลูกมันยังเล็กกำลังสนใจการเป็นนักร้องตอนแรกเขาก็จะสนับสนุน แต่แค่ไปอ่านเจอพระไตรปฎกบทนี้ มันก็ไปโปรแกรมลูกในสมองทันทีว่า ดารานักร้อง=ตกนรก ซึ่งรู้สึกแย่มาก (ตอนนั้นต้องยอมรับเลยสนพ.อมรินทร์ ทำให้ผมรู้สึกว่าศาสนาพุทธถูกต้อง 100% ราวกับ 2+2=4 ยังงั้นเลย) ผมสนใจและเรียนเรื่องการท่องเที่ยวและชื่นชอบวรรณกรรม รักโรแมนติกอย่างมาก ความคิดพล่างพลู มาว่า งั้น วอลซ์ ดิสนีย์ เชคสเปียร์ โมสารท์หรือแม้กระทั่งสุนทรภู่แม่งก็ตกนรกหมดสิผมยอมไม่ได้ ไปหาหนังสือของพุทธทาสมาอ่าน เพราะเห็นว่าท่านน่าจะรู้เกี่ยวพุทธดีที่สุด ทำให้ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก คำตอบของท่านเหมือนกับคำตอบของหนังสือ QUANTUM SUCCESS (ที่คุณวันชัยเอาแปลด้วยพระองค์เอง คาดว่าออกงานหนังสือช่วงมีนาคม) ว่าความสำนึกรู้หรือสภาวะจิตของเราเนี่ยแหละถ้ามันสวรรค์ตอนนี้ ตายไปมันก็ไปดี ถ้ามันนรกตอนนี้ตายไปก็ไปไม่ดี ก็คือพลังงานในสภาวะจิตมันจะกำหนดผลกรรมหรือสิ่งที่เราจะได้ ผมเลยสบายใจแต่ก็มาขัดแย้งกับหนังสือของท่านพุทธทาสคือ ท่านเชียร์นิพพานมากไป ราวกับสุขและทุกข์มันไม่ดีทั้งคู่ ตามหลักเหตุและผลหรืออิทัปปัจยตา ถ้าสภาวะจิตผมเป็นอย่างไรผมจะกำหนดเหตุการณ์ที่จะเข้ามาสู่ผม ถ้าผมร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลาผมเชื่อว่าถ้าผมตายไปขณะที่ใจกำลังร้อนรุ่มผมต้องไปอยู่ในภพที่เหมาะกับสภาวะจิต(ซึ่งอาจจะเป็นนรก) แต่ถ้าสภาวะจิตผมเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ร่างเริงเบิกบานมันก็เป็นเหตุให้ผมเจอสภาวะนั้นเรื่อย แต่ท่านพุทธทาสไม่อยากให้คนมีทั้ง2สภาวะ คือต้องมีเหตุและผลต่อเนื่องกันไม่สิ้นสุด ท่านสอนให้ตัดเหตุซะ แต่ท่านไม่เหมือนโอโช่ตรงที่ท่านมีทัศนะคติกับมนุษย์เหมือนมันสภาวะที่ทุกข์ทนไม่น่าอยู่แต่โอโช่นั้น WORD หรือคำแต่ละคำที่บรรยายมนุษย์ที่เข้าถึงจิตวิญญาณพูดแต่ว่ามันสวยงาม เป็นบทกวี เป็นเสียงดนตรีเป็นโรแมนติก ซึ่งขณะนั้นการท่องเที่ยวยังไม่บูมเหมือนสมัยนี้แต่ท่านก็เหมือนต่อต้านการท่องเที่ยวหรือบทเพลงหาว่าเป็นกิเลสลุ่มหลงเหมือนกัน ผมจึงเห็นด้วยกับอ.วสันต์ที่ยังไม่มีใครในศาสนาพุทธที่แสดงที่ความงดงามได้เหมือนคนที่เขาไม่ถือศาสนาใดทั้งสิ้น ซึ่กงารยึดติดกับศาสนามันบ่อนทำลายสภาวะความงดงามของผมที่เป็นค่านิยมหลักของผมมาก(เพราะพอจิตใจผมจะเสพควาสวยงามที เสียงของปราชญ์ชาวพุทธหลายคนก็ก้องเข้ามาในหัวให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่า "มันเป็นกิเลส" แถมมีหนังสือของแม่ชีดร.ไพเราะที่ใช้นามปากกาว่าสิริวรุณที่ชื่อ อิทัปปัจยตา อำนาจสูงสุดของธรรมชาติกับคิดให้เป็นเดี๋ยวเห็นเอง ของสนพ.สุขภาพใจ ต่อต้านการท่องเที่ยวและการมีเป้าหมายส่วนตัวโดยใช้วิธีกระแนะกระแหนอย่างสุดโต่ง ประมาณว่าถ้าใช้หลักเศษฐศาสตร์แบบพุทธจะไม่มีการท่องเที่ยว ถ้าเด็กไม่หลงค่านิยมผิดๆจะต้องเกลียดการมีเพศสัมพันธ์เข้ากระดูกดำ ทั้งที่พออ่านของ OSHO เราจะรู้สึกว่าเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสวยงามรวมถึงหนังสือฝรั่งหลายเล่มทั้ง สนทนากับพระเจ้าและกฏแห่งการดึงดูดเพื่อดึงดูดคนรัก ของ สนพ.ต้นไม้ จึงฝากให้พิจาณาพิษสงของการยึดติดทางศาสนา ผมคนนึงแหละสถาปนาเป็นแบบ OSHO กับ เอ็คฮาร์ท โทเล่คือ ขอไม่มีศาสนาใดทั้งสิ้น! ชื่อผู้ตอบ : นิก(ผู้คลั่งไคล้จิตวิญญาณ โดยหลักการที่งดงาม) ตอบเมื่อ : 14/10/2008 ผมขอแทรก เล่าเรื่องใกล้ตัวผมเรื่องหนึ่งครับ เหตุที่ทำให้ผมได้คิด จากเรื่องที่จะเล่านี้ เกิดจากลูกสาวและลูกชายของผม ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงวัยรุ่นทั้งคู่ และก็เหมือนวัยรุ่นทั่วๆ ไป ที่ชอบฟังเพลงเกือบจะตลอดเวลา เวลาที่ขึ้นรถไปด้วยกัน ทันทีที่ปิดประตูรถ ไม่คนใดคนหนึ่ง ก็จะต้องเอื้อมมือมาเปิดวิทยุหาคลื่นโปรดในทันที หรือบางครั้งถึงขนาดเตรียมแผ่นซีดีเพลงโปรด ขึ้นมาเปิดด้วยเลยก็มี ผมจึงต้อง(จำใจ)ฟังเพลงที่ถูกเปิดนั้น จนกระทั่งเราถึงที่หมายลงจากรถ ซึ่งบ่อยครั้งที่ผมอยากจะบอกพวกเขาว่า ไม่ต้องเปิดเพลงหรือขอแบบเงียบๆ บ้างได้ไหม แต่ก็ไม่ได้บอกออกไป เพราะพอนึกย้อนกลับไป ตอนที่ผมอายุเท่าๆ พวกเขา ตัวผมเองก็มีความสุขแบบเดียวกับเขาเหมือนกัน อยู่มาวันหนึ่ง ตัวผมและลูกทั้งสองคน มีเหตุให้เราต้องไปรอทำธุระบางอย่าง ใกล้บริเวณที่เขากำลังขุดเจาะพื้นถนน ซึ่งคงพอจะนึกกันออกนะครับ ว่ามันจะมีเสียงของเครื่องเจาะกระแทกกับพื้นคอนกรีต ที่ทำให้เกิดความรำคาญจากความดังที่แสนสั่นประสาทของมันขนาดไหน และจำต้องทนอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ๆ จนเสร็จธุระ จึงรีบโทรเรียกภรรยาของผม ให้ขับรถวนมารับเราออกจากพื้นที่อึกทึกนั้น ทันทีที่เราทั้งสามคน (ผมและลูก) ขึ้นรถ ปิดประตูและขับจากมา เสียงอึกทึกที่ต้องทนอยู่เมื่อครู่นั้น ก็หายไป พร้อมกับที่ลูกชายและลูกสาวของผม เอ่ยขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กันว่า "ค่อยยังชั่ว" และนั่งเฉยๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่ยื่นมือมาเปิดเพลงจากวิทยุ เหมือนเช่นเคย ไปอีกพักใหญ่ๆ จนเกือบจะถึงบ้าน ที่ผมได้คิดขึ้นในตอนนั้นก็คือว่า ทั้งลูกสาวและลูกชายของผม คงรู้จัก ความสุข อันเกิดจาก "เสียงแห่งความเงียบ" เข้าบ้างแล้ว และมันทำให้ผมหวังว่า ลูกชายและลูกสาวของผม จะได้รู้ว่า มันไม่ได้มีแค่ซีกของ ความทุกข์ หรือ ความสุข แบบที่เขาคุ้นเคยอยู่ เพียงแค่นั้น ความจริงมันมี "ความ" อีกความหนึ่ง ซึ่งเราอาจต้องออกไปพ้นจาก ความทุกข์ หรือ ความสุข แบบที่คุ้นชินนั้น และลองลิ้มรสสิ่งใหม่นั้นดู ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จะบอกอย่างไรให้เขาเข้าใจ ชื่อผู้ตอบ : นันท์ วิทยดำรง
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ เม.ย. 20, 2011 10:32 am
0
0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
osho โอโชกล่าวถึงงานของตนเองว่า เขากำลังสร้างเงื่อนไขต่างๆอันจะก่อให้เกิดมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้น เขากล่าวถึงมนุษย์สายพันธุ์นี้ว่าเป็น.........."พุทธะซอร์บา" คือมีความสามารถทั้งรื่นรมย์และเพลิดเพลินในทางโลกเหมือนซอร์บาเดอะกรีก และสงบสันโดษแบบพระพุทธเจ้า
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ เม.ย. 20, 2011 9:53 am
0
0
Re: เด็กเลี้ยงแกะมาแว้ว ตอน สาดดดดด น้ำกานมะ.. 120411
ขอสาดน้ำจิตมายังญาติผู้ใหญ่ ขอสาดน้ำใจมายังชาวไทยวิ ขอให้สตางค์มาพร้อมกับสติ ขอให้ ชิมิ ชิมิ ทุกท่านเอย :B
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร เม.ย. 12, 2011 10:55 am
0
0
Re: อินตะระเดีย.....นะนาย
1000 :idea: มีข้อสงสัยครับพี่สถาปนิก แล้วเราจำทำอย่างไร ให้อยู่ตรงกลาง ละครับ :roll: :?: เอ.....คำตอบน่าจะอยู่ที่ ซิกเนเจอร์ ของพี่เจ นะครับ ลองค้นๆดูละกัน มันคงไม่อยู่ตรงกลางเป๊ะๆมั้ง :D
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร เม.ย. 12, 2011 8:54 am
0
0
Re: อินตะระเดีย.....นะนาย
ปล. ผมชอบอาหารอินตะระเดียครับ "นาน"นุ่มๆ ทานกับ แกง"มาซาร่า"ข้นๆ อันนี้.....เซ็คคั่น ทู นัน นะครับ..นาย
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร เม.ย. 12, 2011 8:50 am
0
0
Re: ชมรมหมอ VI
บลอกผมอัพเดตตอนใหม่เยอะเลยครับ สนใจไปอ่านกันได้ :mrgreen: :mrgreen: http://reitertvi.wordpress.com ยอดเยี่ยมมากครับ ขอบคุณขอให้บุญหนุนนำ
โดย
สถาปนิกต่างดาว
จันทร์ เม.ย. 11, 2011 2:08 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
สวัสดีเดือนเมษา ร้อนจนอยากแก้ผ้าแล้วใช่ไหม อยากจะแก้ก็แก้ไป ปิดหน้าต่างก่อนหวานใจเดี๋ยวตกใจทั้งตำบล ร้อนกายแต่อย่าให้ร้อนจิต เปิดแอร์ใจสักนิดปิดสวิทซ์ความสับสน ปล่อยความทุกข์ออกจากใจ ไล่ความร้ายออกจากตน เริ่มปีใหม่ใทยเดือนเมษายน เริ่มที่ใจของตนบันดาลดลสิ่งดีดี
โดย
สถาปนิกต่างดาว
เสาร์ เม.ย. 09, 2011 11:36 am
0
0
Re: ใครมีหนังสือในดวงใจที่อยากแนะนำไหมครับ
the grand design - สตีเฟน ฮอว์คกิ้ง ทำให้นึกถึง "ประวัติย่อของการเวลา" อ่านสนุกมากครับ แม้จะรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง :) ... ถ้าชอบสนุกประเภทนี้ เอาไปอีก the fabric of the cosmos ทอถักจักรวาล brian greene parallel worlds จักรวาลคู่ขนาน michio kaku the quantum and the lotus ควอนตัมกับดอกบัว qed the strange theory of light and matter ริชาร์ด ฟายน์แมน
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร เม.ย. 05, 2011 3:46 pm
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
ทำไปทำไมเยอะแยะ ตายไปก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง ยิ่งมียิ่งทุข เฮียสมิทธิ อนุโมทนาด้วยครับ บางทีนะ บางที บางสิ่ง บางอย่าง ในจักรวาลใบนี้ บางทีมันเหมือนกับ "ปรอท" วัดอุณหภูมิ ปรอทมันก็วิ่งขึ้น วิ่งลง ไปตามธรรมชาติของมัน ไม่รู้ว่า มันจะรู้ตัวหรือเปล่า ว่าตอนนี้ หนาวสะท้าน -๒๐ องศา ตอนนั้น ร้อนตับแตก+๔๕ องศา แต่ "ใจ"ของสังคม ก็ไปขีดเส้น ไปกำหนด เป็นกฏเกณท์ บอกว่า ร้อน แล้วเว้ย หนาวแล้วว่ะ "ใจ"ของ คน แต่ละคนก็ไปทำตัว เป็นเทอร์โมสตัด พอถึง "จุดไม่พอใจ" ละเป็นอันร้อนรน ที่เขียนมา มีคำถามอยู่ว่า เราจะเป็น ปรอท ที่ไม่มีสเกล ไม่มีเทอร์โมสตัด จะได้ไหมหนอ จะดีไหมหนอ :?:
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร เม.ย. 05, 2011 2:02 pm
0
0
Re: เกาลี้ ....เกาหลี
ถาม จขกท นะครับ อยากถามว่า ถ้าแบบเกาหลี จขกท เห็นระบบเศรษฐิจจากควายเป็นอย่างไรครับ เกาหลี ถ้าคุณมีควาย ๒ ตัว คุณจับทำศัลยกรรม ๑ ตัว แล้วบอกว่ามัน "สวย" จากนั้นส่งไปประเทศๆนึง หลังจากนั้น คุณจะได้สาวก "สวย"แบบ ควา..ๆ อีกหลายพัน...ตัว อะ..อะ ล้อเล่น นะครับ :D หนุกๆอย่าคิดมาก นึกว่าพี่ หำดรัม ไปอยู่ซะที่ไหน คิดถึงมาตั้งนาน ที่แท้ก็....โลเคชั่น ....ซัมแวร์ บีไซด์ มี นี่เอง
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร เม.ย. 05, 2011 1:09 pm
0
0
Re: ธรรมะ ธรรมชาติ
สักวัน...คงต้องเริ่มจาก...สักวิ คงร้องฮิฮิ ถ้าได้ซักสิบแปดวิในหนึ่งวัน นิพพานเขาว่าอยู่ใกล้ตัวเรานา เปรียบเสมือนบรานั้นอยู่ใกล้ถัน ห่อหุ้มโอบอุ้มร่างกาย ไอ้เราซิควาย...ชอบถอดทิ้งกัน ถอดทิ้งแล้วปลงไม่ลง ไปลุ่มไปหลงแต่ข้างในนั้น แตะแตะแล้วก็ไม่ปล่อย ต้องรอจนย้อยถึงค่อยเข้าใจกัน สักวันคงเริ่มจากสักวิ ชิมิ...ชิมิ....ใช่ไหมท่าน :D แฮ่ๆ...กลอนพาไป(แต่ใจไม่พา)
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2011 10:08 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
ตอบสนองอัตตา - -" อัดตา อัด...เข้าที่ตายังร้องอู้ฮู อัด...เข้าที่หูจนฟังไม่ถูก อัด...เข้าที่จมูกสูดดมยังไม่วาย อัด...เข้าที่กายเวียนว่ายไม่สิ้น อัด...เข้าที่ลิ้นรับรสหลงไหล อัด...เข้าที่สุดท้าย อัดใจให้อึดอัด โดนอัดก็เพราะมันอึด โดนยึดก็เพราะมันยื้อ อยากจะปล่อยก็กลัวลอยหลุดมือ อยากจะถือก็โดนทุบถองไป :8)
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2011 9:09 am
0
0
Re: คำถามสุดท้าย ที่ลืมถาม เหล่าเซียน ในงาน Money Talk ครับ
money is extremely important in the areas in which it works, and extremely unimportant in the areas in which it doesn't. secret of the millionair mind t. harv eker
โดย
สถาปนิกต่างดาว
พุธ มี.ค. 30, 2011 5:13 pm
0
0
Re: พี่ๆที่เล่นหุ้นอย่างเดียวมีพอร์ทเท่าไหร่ ถึงเล่นหุุ้นเป็
ผมว่ามีกี่บาทก็เล่นเป็นอาร์ตได้นะ ขอ "อาร์ต" ด้วยคนนะครับ :) ป๋านันนี่คมความคิดมั่กๆ "เผ้าดูไป ด้วยใจที่เป็นกลาง" ฮ่าๆ.... ป๋าเปลี่ยน line zen
โดย
สถาปนิกต่างดาว
อังคาร มี.ค. 29, 2011 5:23 pm
0
0
393 โพสต์
of 8
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
สถาปนิกต่างดาว
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
arts
ความถนัด:
artkitect
ที่อยู่:
saturn star
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
เสาร์ ม.ค. 31, 2009 5:42 pm
ใช้งานล่าสุด:
เสาร์ พ.ค. 29, 2021 8:46 pm
โพสต์ทั้งหมด:
463 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.08 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว