หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
J.Livermore
Joined: พุธ ต.ค. 29, 2008 3:08 pm
144
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - J.Livermore
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: วิจารณ์ กลต.
Insider Trading ในต่างประเทศโดนจับเป็นว่าเล่น แต่ในไทยเคยจับได้บ้างรึเปล่า เรื่องปั่นหุ้น ทุกคนก็รู้ว่ามีจริง ทำเป็นขบวนการ มีหลายปาร์ตี้ที่พร้อมเข้าร่วม แต่ไม่เคยจับได้ มันกลายเป็นคาร์แรคเตอร์ของตลาดไทยไปแล้ว ที่ใครเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่า มีเส้นสายดีกว่า ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า
โดย
J.Livermore
พุธ มี.ค. 14, 2012 12:21 pm
0
2
Re: Set Market Cap เทียบกับ GDP
เป็นข้อมูลที่น่าสนใจครับ โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ถ้าจะใช้เป็นดัชนีชี้วัดตัวหนึ่ง คงต้องเปรียบเทียบกับตนเอง หรือ ประเทศใครประเทศมันเท่านั้น เพราะ โครงสร้างนักลงทุนต่างกัน ประเทศที่คนสะสม Wealth ในตลาดตราสารทางการเงินในสัดส่วนมาก ย่อมมี Market Cap / GDP สูงกว่าประเทศอื่นอยู่แล้ว
โดย
J.Livermore
พฤหัสฯ. ก.พ. 02, 2012 10:48 am
0
0
Re: ถกกันครับ อนาคตจะหมดไป หุ้นดีเซียนไม่เจิม ไม่ขึ้น ท่านว
Nicolas Dravas นักเล่นหุ้นรุ่นเก๋าของเมกา บอกหุ้นที่จะไป คือ Fashionable Stock พื้นฐานดีแค่ไหน คนไม่สนใจ หุ้นก็ขึ้นยาก ตรงกันข้าม หุ้นไร้พื้นฐาน แต่ Story น่าสนใจ คนนิยมกัน หุ้นก็ขึ้นกระจาย ดังนั้น หลักการลงทุนของ Dravas ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า Fashionable Stock ของซีซั่นนี้ คือ อะไร ผมคิดว่า นักลงทุนยุคนี้ ก็ใช้หลักการนี้มาลงทุน อย่าง โอนีล ก็ดูที่สถาบัน เพราะ สถาบันอเมริกา คือ นักลงทุนมือใหญ่ มีอำนาจในการผลักดันหุ้น ถ้าตลาดไทย ใช้หลักการเดียวกัน ก็ คือ วิเคราะห์หุ้นใน SET50 ที่ต่างชาติกับกองทุน เป็นเจ้าตลาด แต่ถ้าเป็นหุ้นเล็ก ยังไงก็ต้องเป็นเสี่ยทั้งหลายในตลาด ที่มีพลังอำนาจในการผลักดันราคา หรือถ้าไม่มีเจ้า ก็ต้องมีคนเห็นเหมือนเรา คิดเหมือนเรา เยอะๆ ราคาก็จะวิ่งเป็นรถไฟเหาะ กลับมาที่แนว VI ผมคิดว่า คนที่ลงทุนหุ้นพื้นฐานที่ไม่ใช่ Fashionable Stock ต้องทนถือได้จริง ต่อให้หุ้นเรา underperform คนอื่น 1-2-3 ปี สุดท้ายก็ออกดอกออกผล แต่ปัญหาคือ มีซักกี่คนที่ทนถือลงทุนได้จริง
โดย
J.Livermore
อังคาร ม.ค. 31, 2012 8:39 pm
0
1
Re: หนังสือแปลเล่มใหม่ของพี่พรชัยออกแล้วครับ
น่าสนใจครับ เดี๋ยวจะไปถอยมาซักเล่ม
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 12:32 pm
0
0
Re: บทสรุป กรีซ กับตลาดหุ้น
ผมว่าครั้งนี้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจไม่เลวร้ายเท่าเลห์แมน เพราะตอนนั้น เป็นเศรษฐกิจฟองสบู่ ขนาดหนี้ที่ต้องตัดสูญก็เยอะกว่า แต่ครั้งนี้ ปัญหา คือ EU เป็นการรวมกันของหลายประเทศ การแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แบบที่ US เคยทำ ไม่เกิดขึ้น และยิ่งลากปัญหาไปนาน ผลเสียยิ่งขยายวง เพราะ วิกฤติหนี้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความเชื่อมั่น ยิ่งคนไม่เชื่อมั่น วิกฤติยิ่งรุนแรง ถ้าสร้างความเชื่อมั่นได้ วิกฤติกก็เบาบางลง หรือ อย่างน้อยก็ยื้อต่อไปได้ เหมือนกับที่ผ่านๆมา
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ต.ค. 21, 2011 5:42 pm
0
0
Re: หุ้นเรือ อยากซื้อลงทุน ดีไหมครับ
ผมสนใจนะ คิดว่า BDI กำลังจะขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่มองไกล คิดว่าอย่างน้อยน่าจะอยู่ระดับเดียวกับปี 52 แต่คงไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนปี 50 ส่วนตัวชอบ PSL ผู้บริหารเก่ง
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ต.ค. 21, 2011 4:48 pm
0
0
Re: แนะนำหนังสือ กล้าคิดต่างอย่าง สตีฟ จ๊อบส์
สตีฟ จ๊อบส์ เป็นบุคคลที่น่านับถือจริงๆครับ ไม่ใช่จากความสำเร็จที่ได้รับ แต่จากวิธีการและแนวคิดในการใช้ชีวิต R.I.P Steve Jobs
โดย
J.Livermore
จันทร์ ต.ค. 10, 2011 12:20 pm
0
0
Re: กระทู้ในพันทิพย์ "ไทวิเสื่อม"
เสริมอีกนิด ผมยังเชื่อว่า เวบแห่งนี้มีคุณค่ามากกว่าความเสื่อมเยอะ อยู่ที่เรารู้จักเลือกใช้ กระบวนการพัฒนาของสังคม ก็ต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่าน กระแสหลัก และ กระแสของความขัดแย้ง มีขึ้นตลอดเวลา การมองอะไรต้องมองทั้งสองด้าน เพื่อไปพัฒนาสู่สังคมที่ดีขึ้น ผมเชื่อว่า สถานการณ์ในวันนี้ จะทำให้เวบ ThaiVi เป็นเวบที่ดียิ่งขึ้นไปอีก
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ก.ย. 09, 2011 5:25 pm
0
0
Re: กระทู้ในพันทิพย์ "ไทวิเสื่อม"
หลายวันแล้ว ยังไม่จบ แว๊บแลกที่เห็น คือ ถ้าคิดว่าเสื่อมก็ไม่ต้องเข้ามาอ่าน จบ แต่มองอีกมุม คนในเวบก็ควรจะสร้างระบบที่มีความโปร่งใสมากขึ้น ผมไม่เชื่อในตัวบุคคล เพราะ โลกเราไม่ว่าสังคมไหนก็มีทั้งคนดีคนเลว ที่จริงคนส่วนใหญ่ก็มักจะมีทั้งส่วนดีส่วนเลว ดังนั้น ทางป้องกันให้ สังคมดีขึ้น คือ การมีระบบที่ดี
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ก.ย. 09, 2011 5:20 pm
0
0
Re: คำชี้แจงข่าวลือ SVOA-IT (ยืมที่ในส่วนนี้หน่อยนะครับ)
คนนี้อยู่แก๊งวีไอทมิฬ อ่านสำนวนเชียร์หุ้นจะจับได้ ไม่มีหลักฐานอย่ากล่าวหาลอยๆครับ ถ้ามีหลักฐานเอามาแฉ แล้วส่ง กลต เลยครับ
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ก.ย. 09, 2011 4:44 pm
0
0
Re: คำชี้แจงข่าวลือ SVOA-IT (ยืมที่ในส่วนนี้หน่อยนะครับ)
เห็นด้วยกับ การร่วมมือเพื่อจับคนที่อาศัยเวบไซต์ ไม่ว่าเวบอะไรก็ตาม ในการปั่นหุ้น เมื่อก่อนข่าวลือปล่อยตามห้องค้า เดี๋ยวนี้พัฒนาการไปไกล ปล่อยข่าวลือผ่านเวบบอร์ด กลต. คือ คนที่ผิดมากที่สุด เรื่องปั่นหุ้น ปล่อยข่าวลือ อาศัยโบรกเกอร์ สื่อพิมพ์ ช่วยเชียร์มีมานานแล้ว ถามจริงๆ ในตลาดมีใครไม่รู้บ้าง ว่าเจ้ามือมีจริง อยู่ที่จะสิงหุ้นตัวไหนบ้าง แล้วสงสัยกันบ้างรึเปล่า ที่เสี่ยทั้งหลายตั้งแต่อดีต จนกระทั่งปัจจุบัน มีชื่อพัวพันกับข่าวลือมานับไม่ถ้วน แต่แทบไม่เคยโดนจำ โลกมันก็เป็นซะแบบนี้ :evil:
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ก.ย. 09, 2011 4:43 pm
0
0
Re: vi ต้องถือยาวหรือไม่
อยู่ที่สไตล์ใครสไตล์มันครับ ผมก็เล่นเป็นรอบมากกว่า ที่จริงผมว่าวันหลังเพิ่ม status ที่ username ดีกว่า ว่าใครเป็น long term , medium term . short term Investor เวลาเราโพสไป คนอื่นจะได้รู้ timeline เราด้วย บางครั้ง ประเมินกำไร 5 ปี แต่เราอาจถือไม่ถึงปีก็ได้ คนที่มาอ่านจะได้ประเมินถูก ก็อาจเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหา ที่มีการกล่าวหากันว่าเชียร์หุ้นนะครับ จะไปแก้ที่คนโพสลอยอย่างดีคงไม่ได้ ต้องปรับระบบโดยรวมให้ดีขึ้น การโพสลอยก็จะน้อยลง
โดย
J.Livermore
พุธ ก.ย. 07, 2011 10:11 am
0
0
Re: การโพสเรื่องราคาหุ้น
เห็นด้วยครับ แต่ที่อยากเสริมเพิ่ม คือ เราควรจะถกกันถึงวิธีการประเมินราคาหุ้น และ Story ให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมา เวลาที่เราสนใจหุ้นใดซักตัว ก็จะมองในด้านบวกมากๆ ซึ่งปกติ การประเมินผลประกอบการบริษัท ควรจะแบ่งเป็น Best Case , Base Case , Worst Case แต่หลายๆครั้งมีการประเมินในแบบ Extreme case และไม่ได้เผื่อ Margin of Safety ไว้ จึงมักเป็นที่มาว่าทำไม หุ้นบางตัวขึ้นแรงในเวลา อันรวดเร็ว ซึ่งถึงแม้ กำไรอาจยังปรับขึ้นได้อยู่ (อาจขึ้นแค่ Base Case หรือ Best Case) แต่ราคาหุ้นกลับลงแบบถล่มทลาย จากประสบการณ์ในบอร์ด ความเห็นที่หลากหลาย โดยเฉพาะความเห็นค้าน มีประโยชน์มากในการประเมินหุ้นที่เราลงทุน เพียงแต่อยากให้ค้านด้วยเหตุผล บางคนค้านแบบอมภูมิ ไม่บอกว่าทำไมไม่เห็นด้วย ก็ทำให้เราประเมินยาก บางคนค้านโดยให้ข้อมูลซัพพอร์ตดีมาก เราก็มาประเมินการวิเคราะห์ของตนเองได้ใหม่
โดย
J.Livermore
พุธ ก.ย. 07, 2011 9:51 am
0
0
Re: ข้อเสนอแนะ จัดกฏระเบียบเวปใหม่ เพื่อ Thai Vi คงอยู่ตลอดไ
- สุดท้ายขอระบายนิดนึงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมว่าพวกเราอย่าไปสนใจกับสิ่งรอบข้าง หรือเก็บเอามาคิดให้กังวลเลย อีกเดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป คนก็จะลืม สนใจกับการลงทุนจะดีกว่า เห็นด้วยที่สุดครับ เราบริสุทธิ์ใจ อยู่เฉยๆ ทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง ยิ่งดิ้นรนมาก มันก็เหมือนร้อนตัว แต่อยากฝากไว้นิดนึงครับ ถ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร อยากให้ทำการโหวตเพื่อฟังความเห็นของสมาชิกทกุคน เพราะ ผมคิดว่า พวกเราที่เข้ามาคุยกัน หรือ เข้ามาอ่านในกระทู้นี้ ยังเป็นส่วนน้อยมาก เวบ ThaiVI เป็นของสมาชิกทุกคน ดังนั้นการตัดสินใจของสมาชิกทุกคนจะถือเป็นที่สุด และทุกคนต้องปฏิบัติตาม
โดย
J.Livermore
พุธ ก.ย. 07, 2011 9:09 am
0
0
Re: "เหยี่ยว กวาง และ เสือ "...ควันหลงจากประเด็นสุด Hot ของ
จบเรื่อง JAS...แต่ไม่จบจริง!!! จาก นสพ. ฉบับวันนี้ ( 6 ก.ย. 54 ) ยังคงพาดหัวข่าวต่อเนื่องครับ http://i294.photobucket.com/albums/mm103/kawinkajeab/IMG_1619.jpg ดัง เพราะ สื่อ แต่ก็อาจดับได้ เพราะ สื่อเหมือนกันนะครับ นี่เป็นเหตุผลที่ใครๆก็เกรงใจนักข่าว ว่าแต่นักข่าว ไปรู้ต้นทุนได้ยังไง ผิดกฎนะครับ ของแบบนี้ โบรกเกอร์ต้องเก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ ดราม่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ อยากรู้จริงๆว่าจะจบยังไง ใครเป็นพระเอก ใครเป็นผู้ร้าย ใครเป็นนางเอก ใครเป็นนางอิจฉา แต่สุดท้าย ผมว่าอยู่ที่ผู้กำกับกับคนเขียนบทจะแต่งออกมายังไง โลกก็แบบนี้แหละครับ ไม่มีฝั่งธรรมะกับอธรรมหรอก อยู่ที่คนจะมองและการสร้างภาพให้คนมองยังไงมากกว่า เช่นเดียวกับกำไรในอนาคตของบริษัท ซึ่งเป็นมายาคติ ไม่เหมือน สินทรัพย์กับหนี้สิน ในปัจจุบันที่จับต้องได้ แต่เป็นนิสัยมนุษย์ที่ชอบเพ้อฝัน เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นมากกว่า สิ่งที่เป็นจริงตรงหน้า
โดย
J.Livermore
อังคาร ก.ย. 06, 2011 9:10 am
0
1
Re: We Are in 'Worse Situation' Than in 2008: Roubini
ถ้าปล่อยตามกลไกตลาด ไม่มีธนาคารกลางคอยอุ้มชู(พิมพ์เงิน) ตลาดคงพังไปนานแล้วครับ ไม่ใช่ลงแค่ 1/2 -1 ปี ก็ขึ้นต่อ เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ระบบทุนนิยมทุกวันนี้ เป็น Asset based economy ซึ่งการล่มสลายของราคาสินทรัพย์จะเป็นปัจจัยผลักดันให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ดังนั้น หนึ่งในเป้าหมายของธนาคารกลาง (โดยเฉพาะ FED) คือ การรักษาเสถียรภาพราคาสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับสูงต่อไป ประเด็นนี้ หนังสือของ Greenspan ก็มีการพูดถึงบ่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่ตลาดหุ้นปรับลงมาก FED จะประชุมเร่งด่วนเพื่อหามาตรการรองรับ ซึ่งในความเป็นจริงหน้าที่ของ FED คือการรักษาเสถียรภาพของราคาที่เกี่ยวกับการบริโภค พวก Inflation Target ทั้งหลาย แต่ทุกวันนี้ ทำเกินหน้าที่ โดยการรักษาเสถียรภาพราคาสินทรัพย์ด้วย ซึ่งตามหลัก แล้วควรปล่อยไปตามกลไกตลาดมากกว่า กลับมาที่บทความ โดยส่วนตัว ผมคิดว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เลวร้ายของประเทศพัฒนาแล้ว (มันควรจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะปัญหาไม่เคยได้รับการแก้และพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดปรับตัวเข้าสู่ภาวะหมีในระยะยาว ตราบใดที่ธนาคารกลาง มีอำนาจและไร้ข้อจำกัด ในการพิมพ์เงิน ตลาดก็จะเป็นเหมือนที่เป็นอยู่ คือ Greed is Good & Loser don't pay การลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนมากที่สุดในระยะยาว คือ ถือหุ้น 100% แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ธนาคารกลางหมดอาวุธ มีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายมากขึ้น วันนั้นแหละ ความโหดร้านของระบบทุนนิยมจะประจักษ์ต่อทุกคน แต่คำถามคือ เมื่อไหร่ล่ะครับ คน US ที่คิดว่าหุ้นแพงมาตั้งแต่ปลายปี 90 เสียโอกาสทางการลงทุนมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มีเหตุการณ์มากมายที่อาจจะทำให้เศรษฐกิจถดถอยเป็นเวลานาน ทั้ง ฟองสบู่อินเตอร์เน็ท , 9-11 , Subprime สุดท้าย คนที่ถือหุ้นไว้(ยกเว้นหุ้นขยะ) ก็กลายล่างจาก Loser กลายเป็น Winner ในท้ายที่สุด
โดย
J.Livermore
จันทร์ ก.ย. 05, 2011 5:26 pm
0
2
Re: มีคนเคยเล่าว่า ตลาดหุ้น มีท่านเค้าคอยคุมอยู่เบื้องหลัง .
เค้าทั้งหลายที่ว่ามา... ไม่เห็นมีตำนานนักลงทุนคนไหน ทั้งตำนาน VI + ตำนาน Speculator บอกว่ามีประโยชน์เลย แต่นักลงทุนจำนวนมาก ก็ยังเชื่อเค้าอยู่ เพราะงั้น...ถ้าตัวเองไม่อยากเป็นเหยื่อของเค้า ก็ยึดมั่นในการวิเคราะห์ การตัดสินใจของตัวเองซะนะจ๊ะ รักนะ จึงบอกไว้ จุ๊บๆๆ
โดย
J.Livermore
จันทร์ ก.ย. 05, 2011 4:53 pm
0
2
Re: เว็บโบรกล่ม?
ผมใช้ บล กสิกรไทย ครับ ช่วงก่อนล่มบ่อยมาก ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ตลท บอกว่า วันที่ตลาด volume เยอะ จะค้างเป็นปกติ ตอนนี้พิจารณาอยู่ว่า จะ upgrade server ดีหรือไม่ คนเทรดผ่านอินเตอร์เน็ทต้องทำใจ แต่วันนี้ Volume ไม่เยอะ คิดว่าเป็นที่ตัว โบรกเกอร์ บัวหลวงมากกว่า ให้ข้อมูลเพิ่มครับ มีเพื่อนในเวบบอก และ ผมสอบถามกับเจ้าหน้าที่แล้ว ทำได้จริง ในกรณีที่ โปรแกรมเทรดล่ม และเรามีความต้องการจะซื้อหรือขายหุ้น ให้โทรไปที่ บล จะโทรหา มาร์ หรือ เจ้าหน้าที่อินเตอร์เน็ทก็ได้ ถ้ามีคนรับก็แจ้งออร์เดอร์เลย ส่วนในกรณีที่ไม่มีคนรับ เครื่องโทรศัพท์บันทึกเวลาโทรเข้าไว้อยู่ เราสามารถแจ้งออเดอร์ย้อนหลังได้ บล จะไปเคลีย์กับ ตลท ทีหลัง ยังไงก็ลองสอบถาม บล ที่ใช้บริการอยู่ ก่อนนะครับ ว่าใช้ระบบเดียวกันรึเปล่า
โดย
J.Livermore
จันทร์ ก.ย. 05, 2011 4:31 pm
0
0
Re: ข้อเสนอแนะ จัดกฏระเบียบเวปใหม่ เพื่อ Thai Vi คงอยู่ตลอดไ
เรื่องเก็บค่าสมาชิก เห็นด้วยครับ เพราะเวบมีค่าใช้จ่าย พวกเรามาใช้ร่วมกัน ก็ควรจะร่วมกันรับผิดชอบ ข้อมูลบัตรประชาชน ยอมรับว่า ไม่อยากให้ครับ ไม่ใช่แค่เวบนี้ เวบอื่น ผมก็ไม่เคยให้ ถ้าปัญหาทั้งมวล เริ่มมาจาก ประเด็นการพาดพิง celeb ทั้งหลาย ก็น่าจะมีวิธีการที่ soft กว่านี้ โดยให้ทุกคนหยุดโพสประเด็นนี้ มีการตั้งทัณฑ์บนสำหรับคนที่ทำผิดกฎ ใครฝ่าฝืนเกิน 3 ครั้ง ก็ลบ Id ใครมีประวัติ ก็ทำเป็น status เอาไว้ ว่าเคยโดนทัณฑ์บนมากี่ครั้ง สังคมจะได้รู้ว่าคนนนี้เคยทำผิดกฎ วิธีนี้ ผมเคยเห็นเวบบอลเวบหนึ่งทำ อาจกำจัดปัญหาเรื่องคนก่อกวนไม่ได้ทั้งหมด แต่ลดจำนวนคนสร้างปัญหาลงไปได้มาก ถ้าคิดว่าจำเป็นต้องใช้ข้อมูลบัตรประชาชนจริงๆอย่างที่เสนอไว้ อยากให้คนกลาง เช่น กลต เข้ามามีส่วนรู้เห็นด้วยเลย เพราะ mod ก็มีทั้งกลุ่มที่สนิท ไม่สนิท และมี conflict of interest อยู่ ในกรณี เวบ pantip admin ไม่ได้โพสด้วย และไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ทำให้การให้ข้อมูลตัวตน สามารถทำได้
โดย
J.Livermore
อาทิตย์ ก.ย. 04, 2011 9:08 am
0
0
Re: ข้อเสนอแนะ จัดกฏระเบียบเวปใหม่ เพื่อ Thai Vi คงอยู่ตลอดไ
ไม่เห็นด้วยกับการกำจัดสิทธิครับ การโพสมาก ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนที่นำเสนอข้อมูล หรือ แง่คิดที่ดีกว่าเสมอไป และจะยิ่งเพิ่ม bias ในความคิดเห็นไปในทางเดียว บางครั้ง ข้อความเห็นแย้งมีประโยชน์ ถ้าเป็นการพูดถึงเรื่องบริษัท ส่วนการพาดพิดบุคคลที่สาม ก็ให้ลบให้หมด ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อก็ตาม การเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง มีข้อดี ที่คนจะโพสอะไรลงไป ก็ต้องคิดมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเปิดเผยตัวตน ถ้าต้องการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสจริง ผมเสนอให้ส่งข้อมูลให้ กลต มาตรวจสอบด้วยเลยดีกว่า ว่าคนโพสเชียร์ โพสแช่ง ทำการโพสหลังจากซื้อหรือขายหุ้น นานเพียงใด อาจดูโอเวอร์ไป แต่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลของมืออาชีพในวงการ จะได้ตัดประเด็นที่มีปัญหาที่สุดไปด้วย เรื่องการเข้ากระทู้ร้อยคนร้อยหุ้น เห็นด้วยครับ ที่เอาออก โดยเข้าไปดูผ่านการ search หรือ เรียงลำดับตัวอักษรแทน เสนอเพิ่มครับ ในหุ้นแต่ละห้อง ให้แยกออกเป็น ส่วนของข้อมูลและส่วนของความคิดเห็นครับ เพื่อแยกออกมาให้ชัดเจนระหว่างข้อมูลที่มีแหล่งที่มา และความเห็นของตัวบุคคล บางครั้ง การนำเสนอข้อมูลโดยไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน ก็มีประโยชน์ แต่ก็ทำให้ภาพรวมมันคลุมเครือ จนคนเข้าใจผิดได้เหมือนกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ หุ้น ptl ที่มีการอ้างอิงราคา โดยไม่ระบุแหล่งที่มา จนเพื่อนจำนวนมากต้องสูญเสียเงินไป กรณีมีกลุ่มก้อน แล้วลงทุนหุ้นตัวเดียวกัน อยากให้เปิดเผยความสัมพันธ์ครับ เพราะกลุ่มเดียวกันย่อมมีความเห็นไปทางเดียวกัน ขณะที่คนภายนอกเข้ามาอ่านไม่รู้ ก็คล้อยตามได้ง่าย คิดว่าคนส่วนใหญ่คิดแบบนี้ ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่ ไม่ได้ว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่เพื่อลด bias ทางความคิด และ เพื่อความโปร่งใสในการแสดงความคิดเห็น
โดย
J.Livermore
เสาร์ ก.ย. 03, 2011 11:59 pm
0
2
Re: รีเสิร์จประหลาดที่น่าสนใจ
มันไม่แปลกประหลาดหรอกครับ สำหรับ นักลงทุนกลุ่ม Trader พวก Hedge Fund มีหลักการลงทุนต่างจาก VI คนกลุ่มนี้ มีโมเดลเชิงคณิตศาสตร์ในการคำนวณละเอียดยิบ และมักซื้อเมื่อโมเดลให้สัญญาณซื้อ และขายเมื่อโมเดลให้สัญญาณขาย พูดง่ายๆ ไม่ได้ Buy Low Sell High เหมือนทัศนคติคนทั่วไป แต่ Buy High Sell Higher และ Sell Low Buy Lower ถ้าจะเทียบกับหุ้น ก็คือการลงทุนใน growth stock นั่นแหละครับ ไม่ได้ซื้อเพราะถูก แต่ซื้อเพราะ อนาคตอันสวยหรู และ ไม่ได้ขาย เพราะ มันแพง (ราคายังไม่ถึงเป้าหมาย) แต่ขาย เพราะ พื้นฐานมันเปลี่ยนไป :P
โดย
J.Livermore
จันทร์ ส.ค. 29, 2011 4:35 pm
0
0
Re: Supper Stock of SETในอีก 10 ปีข้างหน้า
ผมไม่เก่งครับ ดูอนาคตไม่ออก แต่ Super Stock ที่ผมซูฮกมากสุดในตลาดไทย คือ SCC ครับ ของจริง ของแท้ ไม่ใช่ดาวรุ่งดาวร่วง หรือ หุ้นกระแส Mega อะไร ก็แค่บริษัทขายปูน ขายหิน ขายกระดาษ ไม่ได้มีโปรเจคเลิศหรูอลังการ แต่โตทั้งผลประกอบการ และ ราคาหุ้น ถ้านับจากปี 84 (ดูจาก eFinance ได้แค่นั้น) ราคาหุ้นขึ้นจาก 3.33 มาสูงสุดปีนี้ที่ 387 ขึ้นเกิน 100 เท่า ไม่รู้มีหุ้นตัวไหนอีกที่ขึ้นได้ขนาดนี้ :B
โดย
J.Livermore
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2011 8:27 pm
0
1
Re: โปรแกรม Streaming Pro ใครใช้แล้วมีปัญหาค้างหรือหลุดบ่อยบ
ขอบคุณครับ คุณ pakhakorn ยืนยันครับ ว่าถ้าส่งคำสั่งซื้อขายไม่ได้ ต้องโทรไปที่ บล. ทันที เพราะ มาร์เก็ตติ้งของฝ่ายอินเตอร์เนทส่งออร์้ดอร์แทนได้ ส่วนในกรณีที่เคลมก็เช่นกัน เราต้องโทรไป เพื่อเป็นการเก็บหลักฐานผ่านเทปเครื่องโทรศัพท์ ทาง บล จึงจะดำเนินการให้ได้ และทีสำคัญ จะต้องมีธุรกรรมเกิดขึ้นทันที ภายในวันนั้น คือ ส่งคำสั่งขายไม่ได้ ต้องขาย ณ ราคาปัจจุบัน แล้ว ไปเคลมส่วนต่างทีหลัง แต่ถ้่าเราโทรไปแจ้ง บล อย่างเดียว ไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้น เราเคลมไม่ได้ครับ เพราะในกรณีนี้ ไม่มีคำสั่งที่ match กัน ทาง บล หรือ ตลท จะไม่สามารถหาคนที่จะมาซื้อหุ้นจากเราได้ ส่วนในกรณีซื้อ ถ้าโปรแกรมส่งคำสั่งไม่ได้ แล้วต้องไปซื้อทีราคาสูงขึ้น ผมไม่แน่ใจว่า จะเคลมส่วนต่างได้รึเปล่า คิดว่าอาจจะยุ่งยากกว่า แต่หลักการเหมือนกัน คือ ต้องมีธุรกรรมเกิดขึ้นก่อน แล้วไปเคลมกันทีหลัง
โดย
J.Livermore
เสาร์ ส.ค. 06, 2011 10:48 pm
0
0
Re: หุ้นเมกา ตกเพราะผลประกอบการณ์ออกมาไม่ดีละเปล่า
ที่นี่เลยครับ :B http://www.dailyfinance.com/quotes/wal-mart-stores-inc/wmt/nys
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 10:23 pm
0
0
Re: โปรแกรม Streaming Pro ใครใช้แล้วมีปัญหาค้างหรือหลุดบ่อยบ
เป็นกันหลายคนเหมือนกัน สงสัยเป็นปัญหาที่โปรแกรม ไม่ก็ server ของ set แล้วมั้งครับ ผมใช้ KSEC ครับ คิดว่าคนอื่นน่าจะใช้ บล อื่น มีเพื่อนท่านหนึ่ง บอกใช้โปรแกรมของโบรก ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็น Kimeng หรือไม่ก็ ใช้โปรแกรม IFIS เสียดายที่ KSEC ไม่มี IFIS ของ KSEC มีอีกโปรแกรม ชื่อ Settrade One Click ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีปัญหาหลุด แต่ดูยาก + ไม่สวยสบายตา :'O
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 10:12 pm
0
0
Re: ทำไมถึงเกิด Panic Sell???
ไม่ใช่ Panic แค่ตลาดหุ้นนะครับ K-Sec Streamming ของผมก็ Panic จน error ไปซะงั้น -_-" สงสัยมีคนสั่งขายเยอะเกิน เข้าไม่ได้บ่อยรึเปล่าครับ ผมก็ใช้ K-SEC วันที่ Volume เยอะ แฮงค์เป็นปกติอยู่แล้ว แต่วันอื่นๆทั่วไป ผมใช้ก็หลุดบ่อยเหมือนกัน สงสัยอยู่ว่า เป็นเฉพาะคอมผม หรือ เป็นทั้งหมด :'O . . ส่วนประเด็น Panic เค้าเล่นกัน 2 เรื่องครับ 1 ตัวเลขเศรษฐกิจ US ไม่ดี 2 ยุโรป Spread ของ พันธบัตรรัฐบาลอิตาลีกับสเปน เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกประเด็นหนึ่งที่น่าตาม คือ ความผันผวนในตลาดเงิน ตอนนี้ ญี่ปุ่น กับ สวิส พยายามทำให้ค่าเงินของตนอ่อนลง ก็ต้องดูว่า ดอลล่าจะแข็งต่อรึเปล่า ถ้าแข็งต่อ อาจเกิดการไหลกลับของ Fund flow รอบนี้ คาดการณ์ผิด นึกว่า เรื่อง ให้ความช่วยเหลือหนี้กรีซ กับ เพดานหนี้ US จบ ตลาดจะขึ้นต่อ แต่กลับทิ้งเหวเฉยเลย ผมว่าผิดปกติ ตั้งแต่ ที่มีข่าวเรื่องเพดานหนี้ กลัว US จะเบี้ยวหนี้ แต่ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร US กลับลดลงเรื่อยๆ (มีคนเข้าซื้อพันธบัตร US เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่มีข่าวว่า US จะเบี้ยวหนี้)
โดย
J.Livermore
ศุกร์ ส.ค. 05, 2011 5:54 pm
0
0
Re: หุ้นพื้นฐาน โดยพี่สุมาอี้
จะว่าไป idea ของการซื้อหุ้นตามเซียนก็พัฒนามาจากการซื้อหุ้นตามผู้บริหารนะครับ หนังสือหลายเล่มบอกว่า ยิ่งผู้บริหารซื้อกันหลายคน แสดงว่ามันต้องมีอะไรดี ในทางกลับกับ ยิ่งเซียนซื้อกันหลายคน หลายๆคนก็อาจจะคิดว่ามันต้องมีอะไรดีเช่นกัน :roll: เคยอ่านเจอเหมือนกันครับ ในหนังสือ The Business of Value Investing ของ Sham M. Gad แต่ข้อแตกต่าง คือ Fund Manager ต่างประเทศ ซื้อหุ้นก็ต้องรายงาน แต่เซียนหุ้นในไทย เราไม่รู้เค้าซื้อตอนไหน นอกจากนี้ นักลงทุน VI ที่มีชื่อเสียงระดับโลก มักจะถือหุ้นนานหลายปี แต่ในไทย เราก็ไม่รู้อีกว่า เซียนมี time frame ในการลงทุนหุ้นแต่ละตัวนานแค่ไหน จริงๆแล้ว ลงทุนตามเซียนน่ะได้ ข้อดี คือ สามารถเกาะกระแสไปกับตลาดได้ ได้กำไรเร็ว ในระยะเวลาไม่นาน แต่เราก็ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะ ถ้าลงทุนตามคนอื่น ก็คือหุ้นตามกระแส ไม่ใช่หุ้นพื้นฐาน ถ้าพลาดต้องโทษตัวเองสถานเดียว
โดย
J.Livermore
พุธ มิ.ย. 15, 2011 12:31 pm
0
0
Re: หุ้นพื้นฐาน โดยพี่สุมาอี้
ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนก็ออกมาเตือน เราก็ต้องฟังไว้ เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า เซียนหุ้นก็คนธรรมดาคนหนึ่ง จะหยั่งรู้อนาคตได้อย่างไร มีหุ้นหลายตัวที่ขึ้นไป เพราะ ภาวะแห่ตามกัน สุดท้าย เวลาผ่านไป ผลประกอบการไม่ได้สวยหรูตามคาด คนที่มาซื้อไม้หลังๆ ก็ต้องติดดอยไป หุ้นส่วนใหญ่ ที่บัฟเฟตซื้อ คือ หุ้นที่เติบโตอย่าง Stable แต่ราคาลงไปต่ำกว่าพื้นฐานต่างหาก ไม่ใช่หุ้นที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตก้าวกระโดด แต่ตลาดไทย มักเป็นอย่างหลัง
โดย
J.Livermore
พุธ มิ.ย. 15, 2011 11:53 am
0
0
Re: จุดแข็ง จุดอ่อน ของ Value Invetment
จุดอ่อนของVi คือ ความเหงา ขอค้านครับ โปรดชี้แจงรายละเอียดให้แน่ชัดด้วย ว่าเหงา เพราะอะไร เหงา แบบไหน แก้เหงายังไง :B สำหรับผม จุดแข็ง จุดอ่อน เป็นดังนี้ครับ จุดแข็งของ VI ดูที่มูลค่าของกิจการเป็นหลัก ไม่หวั่นไหวไปตามความผันผวน (noise) ของตลาด ผมคิดว่า คนส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะ พยายามไปคาดเดาภาวะตลาดมากไป การดูพื้นฐานของบริษัท สามารถคาดการณ์ผลการดำเนินงานได้ดีกว่า ในภาวะตลาดปกติ และถึงแม้ตลาดจะตกต่ำบ้างเป็นบางปี แต่โดยภาพรวมแล้ว จำนวนปีที่ตลาดขึ้น จะมากกว่า จำนวนปีที่ปรับลงเสมอ ดังนั้นในระยะยาว การลงทุนแนว VI จึงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนแนวอื่น จุดอ่อน VI ผมว่าอยู่ที่การเข้าถึงข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ อาจเป็นเพราะ ผมยังไม่เก่งพอ แต่เวลาวิเคราะห์พื้นฐานบริษัท ผมว่ามันมีพื้นที่สีดำหรือสีเทาที่เราเข้าไม่ถึงเสมอ และตรงพื้นที่นั้นเป็นจุดเป็นหรือจุดตายในการลงทุนได้เลย ซึ่งในประเด็นนี้ การมี Opp Day ช่วยทำให้พื้นที่หลายๆส่วนเป็นสีขาวมากขึ้น แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับธรรมาภิบาลของบริษัทด้วย เพราะ บริษัทสามารถ present ในด้านดี และกลบด้านเลวเพื่อรอเวลาระเบิดได้เสมอ
โดย
J.Livermore
จันทร์ มิ.ย. 13, 2011 12:23 pm
0
0
Re: ดีครับ เวลาหามูลค่าหุ้น มีใครชอบใช้DCFบ้างมั้ยครับ
สำหรับผม Forward P/E ใช้พิจารณาเลือกหุ้นลงทุน ส่วน DCF ใช้ในการพิจารณาตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้น แล้วเลือกลงทุน กะเลือกซื้อ ขาย ต่างกันอย่างไรคับ ซื้อขายหมายถึงเกร็งกำไรหรือคับมันจะเหมาะกับ DCF หรือครับ สำหรับผมจากที่สังเกตุมานาน ตลาดไทยต้องเล่น Growth Stock ถึงจะได้ผลตอบแทนจำนวนมาก ในเวลารวดเร็ว ซึ่งผมคิดว่า คนลงทุน Growth Stock ส่วนใหญ่น่าจะใช้ Forward P/E ในการวิเคราะห์ ซึ่งในการเลือกหุ้น นอกจากประเมินจากงบรายไตรมาสและการเคลื่อนไหวของราคา การคาดการณ์ที่นักลงทุนมีต่อบริษัทนั้น (Forward P/E) ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมใช้เลือกหุ้น ยิ่งถ้าเป็นหุ้นยอดนิยมด้วยยิ่งดี ราคายิ่งปรับขึ้นเร็ว การซื้อ-ขาย เนื่องจากลงทุนใน Growth Stock ราคาหุ้นในปัจจุบันก็สูงกว่าหุ้นทั่วไปอยู่แล้ว และ Forward P/E ส่วนใหญ่มักจะประเมินแค่ 1-2 ปีข้างหน้า ด้วยสมมติฐานที่ค่อนข้าง aggressive ดังนั้น ผมจึงนำ DCF เข้ามาช่วยประเมินความเสี่ยงและความน่าสนใจในการลงทุน โดยคิด DCF 5 -10 ปีข้างหน้า ลองคำนวณดูว่า DCF+Equity เทียบกับ Market Cap มันคุ้มรึเปล่า เพราะหุ้นที่เข้าซื้อ บางครั้งก็ขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง ส่วนที่ใช้ CF แทนที่จะใช้ Earning เพราะ CF แกว่งตัวน้อยกว่า Earning ส่วนที่บอกว่าเป็นพวกเก็งกำไรรึเปล่า ผมยอมรับว่าเป็นครับ ผมไม่ใช่คนที่หาหุ้นปันผลดี ราคาถูก ถือลงทุนนาน 2-3 ปี เคยพยายามเหมือนกัน แต่ทนถือไม่ได้ครับ มันจะลงแดงเอา :D
โดย
J.Livermore
ศุกร์ มิ.ย. 10, 2011 4:00 pm
0
0
Re: ดีครับ เวลาหามูลค่าหุ้น มีใครชอบใช้DCFบ้างมั้ยครับ
DCF Model เหมาะกับการเลือกหุ้นลงทุนระยะยาว เพราะด้วยวิธีการแล้วจะพิจารณา Timeframe ที่ยาวกว่า แต่ปัญหา การคาดการณ์อนาคตล่วงหน้ามากกว่า 2-3 ปี เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ทำให้อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ นอกจากนี้ กาคาดการณ์การลงทุนในระยะยาว จะเผชิญกับปัจจัยภายนอกที่สามารถส่งผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นได้มากกว่า ดังนั้น จึงต้องมี Margin of Safety ที่สูง Forward P/E เหมาะกับการเลือกลงทุนระยะสั้น เพราะตลาดมักจะมองกำไร(Earning) ภายใน 1 ปีข้างหน้าเป็นหลัก เป็นการแก้จุดอ่อนของ DCF ตรงที่ยิ่งมองใกล้ โอกาสที่จะคาดการณ์ถูกจะมีมากกว่า แต่ข้อเสีย คือ มองข้ามมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ดังนั้น การเข้าลงทุนในหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว จะทำให้มีโอกาสขาดทุนได้มาก ตลาดหุ้นไทย เหมาะกับ Forward P/E มากกว่า เหตุผลง่ายมาก เพราะ นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ Forward P/E เป็นหลักในการประเมินมูลค่าหุ้น การใช้ Forward P/E ทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนมีโอกาสที่จะขายในราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือ ขายในราคาเป้าหมายของ 5 ปีข้างหน้า ในระยะเวลาไม่กี่เดือน แม้กระทั่งในกรณีที่คาดการณ์ผลประกอบการคาดเคลื่อน ก็มีโอกาสได้กำไรมหาศาล ดังนั้น สำหรับผม Forward P/E ใช้พิจารณาเลือกหุ้นลงทุน ส่วน DCF ใช้ในการพิจารณาตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้น
โดย
J.Livermore
ศุกร์ มิ.ย. 10, 2011 11:36 am
0
0
Re: เลขา ก.ล.ต.เสนอเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น
อ่้านข่าวแล้วของขึ้น ขอหน่อยละกัน ทำไม ต้องหารายรับเข้าคลังมากขึ้น ก็เพราะ นักการเมืองใ้ช้เงินภาษีประชาชนอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยออกนโยบายประชานิยม เพื่อให้ตนได้คะแนนเสียงมากๆ และกลับมาเป็นรัฐบาล พอเป็นรัฐบาลก็ออกสารพัดนโยบาย เพื่อซื้อเสียงประชาชนทางอ้อม และปั้นอภิมหาโปรเจคเพื่อโกงกินเงินภาษีเข้ากระเป๋า จำได้ว่า เคยมีงานวิจัยการคอร์รับชั่นทั้งระบบ มีสัดส่วนไม่่ำต่ำกว่า 20%-30% ของงบประมาณรายจ่าย ทำไมไม่จัดการคอร์รับชั่นให้เด็ดขาด ทำไมขึ้นเงินเดือน สส สว แทบทุกปี ก็เพราะ ไม่ว่าพรรคไหน ก็โกงกินเหมือนกัน บางคนอาจมองว่านักการเมืองต่างพรรคคือคนละกลุ่ม แต่จริงๆแล้ว คือ กลุ่มผลประโยชน์เดียวกัน ผลประโยชน์หลักมีร่วมกัน เค้กก้อนเดียวกัน ทุกพรรคพยายามทำให้ก้อนเค้กใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และแบ่งบทบาท ด้วยการแก่งแย่งกัน เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งเค้กที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ในส่วนนโยบายประชานิยม ถ้าทำให้สังคมไทยมีการกระจายรายได้ดีขึ้น ผมจะสนับสนุนเต็มที่ แต่ในความเป็นจริงนโยบายประชานิยมเหมือนยาเสพติด พอลองก็ติดใจ ระยะสั้นจะรู้สึกดีสดชื่น แต่ระยะยาวชีวิตจะเสื่อมโทรม เพราะ อะไรน่ะเหรอ ก็เพราะ นโยบายประชานิยมเน้นไปที่การบริโภคของประชานรากหญ้า แต่ไม่ได้เน้นไปที่การลงทุนซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับครอบครัวในอนาคตแม้แต่น้อย ที่รัฐบาลเน้นไปที่การบริโภคมากกว่าการลงทุน เพราะได้ผลเร็ว อวดอ้างได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งประเทศจะพัง เพราะหนี้ที่เพิ่มพูนขึ้น ในกรณีที่จะเก็บภาษี Capital Gain ให้ได้จริงๆ อยากถามว่าจะเก็บยังไง คนลงทุนหุ้นบางตัวก็กำไรบางตัวก็ขาดทุน จะหักกลบลบได้ยังไง บล. จะทำหน้าที่บันทึกรายการเงินเข้าเงินออกของลูกค้าทุกคนรึเปล่า ถ้าใช้หลักเดียวกับภาษีนิติบุคคล ขาดทุนจากการลงทุนก็ต้องนำมาหักลบกับรายได้ทั้งหมด แล้ววิธีการจัดเก็บ จะเก็บวิธีใด เก็บอัตรากา้วหน้า หรือ เก็บตามระยะเวลาการลงทุน เก็บตามระยะเวลาลงทุนมีข้อดีในแง่ของสนับสนุนการลงทุนระยะยาว แต่วิธีการนี้ ไม่ได้ทำให้การกระจายรายได้ดีขึ้นเลย สุดท้ายคนได้ประโยชน์มากสุดไม่ใช่นักลงทุนรายย่อย แต่เป็นเจ้าของบริษัท หรือ กองทุนขนาดใหญ่มากกว่า นอกจากนี้ การเก็บภาษีตามระยะเวลาลงทุน ก็ขัดกับกลไกตลาดเสรี เปรียบได้กับการทำ Capital Control แต่เปลี่ยนจากตลาด F/X เป็นตลาดหุ้น แน่นอนว่า ประกาศปุ๊บ หุ้นร่วงหนักแน่นอน เสียภาษีจากการขาดทุนทันทีในวันที่ประกาศ
โดย
J.Livermore
ศุกร์ มิ.ย. 03, 2011 12:56 pm
0
0
Re: VI ควรรู้สึกยังไงกันครับเมื่อหุ้นที่คุณถือตกแบบไม่มีสาเห
อยู่ที่ซื้อราคาเท่าไหร่ ธุรกิจดี เติบโตดี งบดุลสวย มี Margin of Safety เยอะ ก็ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าไปซื้อตอน หุ้นเทรด P/E > 20 , P/B > 3 ไปซื้อหลังหุ้นขึ้นมาแล้ว >30% แต่ฝันว่าจะไปอีก 100% ถ้่าหุ้นลง 5% ไม่เป็นไร แต่ถ้าลง >10%-15% ต้องเริ่มระวัง หาข้อมูลมากขึ้น เพราะ ... จุดที่น่ากลัวสุดสำหรับการลงทุนในไทย คือ นักลงทุนทั่วไป ไม่มีทางรู้ข้อมูลมากกว่า คนภายใน ต่างประเทศ คนภายในห้ามเทรด จับได้เข้าคุก แต่ประเทศไทย คนภายในตัวเทรดเลย แ่ต่ใช้ตัวแทน ใครก็รู้ แต่ไม่มีหลักฐาน เหมือนการคอร์รับชั่น รู้กัน แต่ไม่มีหลักฐา่น ใบสั่ง สรุป คือ เวลาบริษัททำธุรกิจ เค้าไม่ได้แทรคผลงานแค่รายไตรมาสหรือรายเดือน แต่เค้าแทรคกัน รายสัปดาห์เลย เพราะงั้น ยังไง คนภายในก็รู้ข้อมูลก่อน อยู่ที่จะเล่น story แบบใด และ นักลงทุนเข้าลงทุนตอนไหนด้วย
โดย
J.Livermore
เสาร์ พ.ค. 21, 2011 6:43 am
0
0
Re: มีใครสังเกตบ้าง แนวคิด value investment ในบ้าน tvi เรา..
โอ้ ผมอ่านหัวข้อ และเม้นแค่นิดหน่อยแล้วมารีบตอบ สงสัย ผมจะเข้ามาแสดงความเห็นผิดกระทู้ซะแล้ว :D ส่วนประเด็นเรื่องการเตือนเป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้ามีข้อมูลรองรับ ถ้าไม่มี ก็โดนจัดหนักเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องผลประโยชน์ ก็แล้วแต่คิด แต่เดี๋ยวนี้ เซียนหุ้นรุ่นใหญ่และโบรกเกอร์บางราย เข้ามาลงทุนและเชียร์หุ้นฮอตฮิตของ VI มากผิดปกติ มันจะเป็นความบังเอิญ หรือ เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร เราคนนอก ไม่มีืทางรู้ ที่ทำได้ก็คงเป็นการดูแลตัวเอง ข้อมูลที่ได้ จะจริง จะเท็จ จะบริสุทธิ์ใจ จะหวังผลประโยชน์ มันก็อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้นแหละ ที่จะไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์
โดย
J.Livermore
ศุกร์ พ.ค. 20, 2011 3:10 pm
0
0
Re: มีใครสังเกตบ้าง แนวคิด value investment ในบ้าน tvi เรา..
โดยส่วนตัว ผมเริ่มจากการศึกษาแนวคิดการลงทุนเน้นคุณค่าจากหนังสือ ก่อนที่จะเข้ามาอ่านเวบบอร์ด VI ตั้งแต่แรกที่ผมเข้ามาอ่านบอร์ด จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมมีความเห็นว่า นักลงทุนในบอร์ด Thai VI หลายคนชอบอ้าง Warrent Buffet แต่วิธีการลงทุนส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับ Peter Lynch มากกว่า ผมขอแสดงความเห็นส่วนตัว ซึ่งผม imply เองจากที่เคยศึกษาและติดตามมา ผิดถูกประการใด โปรดชี้แนะ ทั้ง Warren Buffet และ Peter Lynch ต่างก็เป็นนักลงทุนที่ลงทุนโดยพิจารณาจากพื้นฐานบริษัทเป็นหลัก แต่ต่างกันตรงที่ Warren Buffet มักจะซื้อบริษัทเพียงไม่กี่บริษัท ซึ่งการจะเข้าลงทุนในกิจการใดจะใช้การศึกษาอย่างยาวนาน และรอจนกระทั่งมูลค่าของกิจการลดลงมาในระดับที่มี Margin of Safety สูง ผมอาจมองต่างจากหลายคน แต่ผมคิดว่า ปู่้ Buffet เป็นนักลงทุนที่เลือกเวลาเข้าลงทุนได้สุดยอดมาก การเข้าลงทุนแต่ละครั้ง มักจะเป็นช่วงเวลาที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรง จนคนทั่วไปไม่ีกล้าที่จะเข้าลงทุน นอกจากนี้ บริษัทที่ ปู่ Buffet เข้าลงทุนมักจะเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่่ปู่เลือกที่จะเข้าลงทุนในช่วงที่กิจการหรือสภาพตลาดอยู่ในภาวะตกต่ำสุดขีด และมักเข้าซื้อกิจการในระดับที่มีอำนาจในการตัดสินใจการบริหารงานของบริษัท Peter Lynch มีเทคนิคการลงทุนที่ต่างจาก Warren Buffet จะเห็นได้ว่าในช่วงที่เป็นผู้จัดการกองทุน Fidelity พอร์ทโฟลิโอของ Lynch มีหุ้นมากว่า 100 บริษัท สิ่งที่ Lynch ทำเป็นประจำคือ การค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพและยังไม่เป็นที่รู้จักหรือยังไม่ได้เป็นที่สนใจของคนทั่วไปมากนัก โดยหุ้่นเหล่านั้นอาจเป็นบริษัทที่อยู่รอบตัวเรา สำหรับผม สิ่งที่ Lynch ต่างจาก Buffet อย่างเห็นได้ชัด คือ Lynch ลงทุนโดยให้ความสำคัญกับศักยภาพการเติบโตของบริษัทเป็นหลัก ถ้าบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตหรือมีแนวโน้มรายงานผลประกอบการที่ดี Lynch ก็จะลงทุน ซึ่ง Lynch ลงทุนบ่อยกว่า Buffet และลงทุนในทุกภาวะตลาด เนื่องจาก Lynch เชื่อว่า ถึงแม้ตลาดจะปรับตัวลงรุนแรงเพียงใด สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน โลกก็ไม่แตก สุดท้ายตลาดก็จะกลับมาสู่มูลค่าพื้นฐานในระยะยาว
โดย
J.Livermore
ศุกร์ พ.ค. 20, 2011 2:51 pm
0
0
Re: EPS16YEAR อับเดทงบดุล ปี 31/12/10 เสร็จแล้ว
รบกวนด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
[email protected]
โดย
J.Livermore
อังคาร มี.ค. 29, 2011 10:57 am
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
ผมดีใจที่ได้พูดคุยกับทุกคนนะครับ ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแนวคิดในหนังสือที่เราเคยอ่านเจอกันมา ซึ่งถ้าในอนาคต ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกคนในหนังสือเล่มอื่นๆอีกก็คงจะดีมากเลย เพราะมันช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆให้ผมเยอะมาก :B คุณ simplelife ผมชอบที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณนะ และเท่าที่คุยกันมา ผมคิดว่าคุณก็เป็นคนเก่งคนหนึ่งเหมือนกัน :cool:
โดย
J.Livermore
พฤหัสฯ. ม.ค. 06, 2011 9:10 am
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ คือ ผมตั้งกระทู้ขึ้นมา ก็เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนๆในบอร์ดอ่านหนังสืออะไรกันบ้าง และมีเล่มไหนดี แนะนำอยากแชร์ แต่ที่เป็นประเด็นก็คงเป็นเล่มที่สาม Fooled by Randomness เห็นที่คุณ Simplelife ส่ง link มาให้ผมก็เข้าใจประเด็นมากขึ้น เข้าใจว่าประเด็นเรื่องพวกนี้ ค่อนข้าง Sensitive ถ้าทำให้บางท่านหมองใจไปบ้างก็ขออภัย โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า คนจะประสบความสำเร็จได้ มันก็ต้องมีอะไรพิเศษมากกว่าโชคหรือดวง ทั้งในด้าน IQ และ EQ สำหรับผม Soros และ Buffet ก็เก่งทั้งคู่ แต่ถามว่าใครเก่งกว่าใคร ใครโชคดีกว่าใครผมไม่รู้จริงๆ ต่อให้รู้ ผมก็คงไม่รวยขึ้น แล้วสมมติ Buffet เก่งกว่า แต่ผมคิดว่าตัวผม เหมาะกับการลงทุนแบบ Soros มากกว่า มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า ผมก็เลือกลงทุนแบบ Soros ครับ ผมคิดว่า เนื้อหาในหนังสือ ไม่ได้เน้นไปที่ ความบังเอิญเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของแต่ละบุคคล แต่เน้นไปที่ความเสี่ยงของเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบกับชีวิตการลงทุน ซึ่งเป็นความเชื่อของ นาซิม ทาเล็บ แต่ถ้าไปอ่านหนังสือของลินซ์ ลินซ์เชื่อว่า เหตุการณ์ไม่ปกติมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่โลกก็ไม่แตก ชีวิตดำเนินต่อไป สุดท้ายราคาหุ้นก็จะกลับมาสู่พื้นฐานเดิมของมัน ก็แล้วแต่แนวคิด แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน สำหรับผม ผมไม่อยากเอาชีวิตของผมไปแขวนบนเส้นด้ายทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ผมจึงโน้มเอียงมาทาง ทาเล็บมากกว่า มันเป็นนิสัย+ความเชื่อส่วนตัวครับ
โดย
J.Livermore
พุธ ม.ค. 05, 2011 6:02 pm
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
the zurich axioms by max gunther ก้องเกียรติ โอภาสวงการ the intelligent investor by graham พรชัย รัตนนนทชัยสุข the new buffettology by mary buffett พรชัย รัตนนนทชัยสุข john neff on investing by john neff. s. l. mintz กุศยา ลีฬหาวงศ์ beating the street by peter lynch,john rothchild พรชัย รัตนนนทชัยสุข value investing made easy by janet lowe พรชัย รัตนนนทชัยสุข the little book of value investing by christopher h. browne เทพ รุ่งธนาภิรมย์ the psychology of investing by john r.nofsinger พรชัย รัตนนนทชัยสุข :D :D :D :D :D ผมเคยอ่าน the zurich axioms ให้แนวคิดดีมากเลยครับ the intelligent investor ก็พยายามอ่านอยู่ แต่ยังไม่จบ เล่มหนามากเลย :lovl:
โดย
J.Livermore
อังคาร ม.ค. 04, 2011 12:18 pm
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
เล่นที่ 3 Fooled by Randomness อ่านยากมากเลยครับ ภาษาอังกิดต้องแข็งหน่อย ผมอ่านไม่ไหว เล่มนี้มีแปลไทยครับ แต่แปลไม่ค่อยดีมากนัก แต่ถ้าเอามาอ่านควบคู่กัน น่าจะช่วยได้เยอะครับ ผมก็ทำแบบนั้นแหละ ที่จริงผมก็อ่านไม่หมดทั้งเล่มหรอกครับ เพียงแต่พยายามนำแนวคิดในหนังสือมาประยุกต์ใช้เท่านั้น :B
โดย
J.Livermore
อังคาร ม.ค. 04, 2011 12:14 pm
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
ขอออกตัวก่อน ว่าอ่านนานแล้ว ขี้เกียจเดินไปรื้อมาดู จำได้แค่ว่าอ่านยาก แต่เท่าที่จำได้ Nassim Taleb พยายามบอกครับว่าเหตุการณ์บางอย่างที่เราเห็น ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำ จริงๆแล้วอาจจะเป็นแค่ randomness ก็ได้ อย่างเรื่องเพื่อนบ้าน (บท 1?) เรื่องมันคือว่าคนที่ 2 ได้ผลตอบแทนดีกว่า เพราะว่าโชคครับ และมันก็โชคดีได้หลายๆครั้งต่อๆกันด้วย จนในที่สุดแล้วโชคดีก็หมดลงและโดนไล่ออกครับ ที่ว่าโชคดีไม่ได้บอกว่าโอกาสการชนะน้อยกว่าแพ้นะครับ มีการยกตัวอย่างว่า ถ้ามีนักลงทุน 10,000 คน ซื้อหุ้นโดยมีโอกาสกำไร/ขาดทุนเท่าๆกัน 50% ทุกปี ถ้าขาดทุนปีไหนก็จบ ถ้ากำไรก็ลงทุนต่อไป ผ่านไป 6 ปี เชื่อหรือไม่ว่ายังมีนักลงทุนเหลือเกิน 150 คน ที่กำไรมาได้ 6 ปีติดต่อกัน ทั้งหมดด้วยความฟลุ๊กล้วนๆ Nassim Taleb บอกว่าบางครั้งเราเชื่อกับการ back testing ข้อมูลในอดีตเกินไป พยายามหาสาเหตุมาอธิบายอดีต พยายามเอาเหตุการณ์ในอดีตมาพยากรณ์อนาคต ทั้งๆที่มันอาจจะเป็นม่านลวงตา มองเห็น pattern จากความ random ครับ กลับมาที่ CANSLIM ผมถึงลองถามดูไงครับ ว่าเราพิสูจน์ได้จริงๆหรือเปล่า ว่าการประสบความสำเร็จ CANSLIM มันเป็นความสำเร็จจริงๆ หรือมันเป็นแค่ความโชคดีหลายๆครั้งติดๆกัน research ที่ออกมาเพื่อจะหาผลสรุปอะไรก็ไม่มี ที่สำคัญมนุษย์เรายังมี bias ที่ทำให้เรามองแต่คนที่สำเร็จจากระบบ มากกว่าคนที่ล้มเหลวจากมัน ถ้าเชื่อ Taleb ไม่ว่าระบบจะเป็นยังไง randomness ก็อาจจะทำให้มี winner เผลอๆ big winner ได้ทั้งนั้นแหละครับ ทั้งหมดจากความ random ที่เราไม่ได้ิคิดถึง ในหนังสือเรียกว่า lucky fool ครับ ผมดีใจที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณนะ และเห็นด้วยกับที่คุณเขียนมาทั้งหมดนะ เพียงแต่ผมมองว่าแนวคิดของ Nasim Taleb เน้นไปเหตุการณ์ในลักษณะ Back Swan นั่นคือ การพิจารณาความเสี่ยง รวมถึงแสวงหาโอกาส จากเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นได้น้อย แต่มีผลกระทบรุนแรง แต่แนวคิดในลักษณะของโชคแต่เพียงอย่างเดียว หรือ การไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ น่าจะตรงกับทฤษฎี Random Walk ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในแวดวงวิชาการมากกว่า ซึ่งผมเชื่อว่า คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยตนเอง คงไม่มีใครเชื่อในทฤษฎี Random Walk ในส่วนของ CANSLIM จะให้ผลดีกว่าวิธีการลงทุนอื่นรึเปล่า ผมว่าไม่มีใครสามารถหาหลักฐานหรือ Research มาตอบได้ บางครั้งการลงทุน มันก็เหมือนการฟังเพลง แต่ละคนก็ชอบฟังเพลงต่างสไตล์กัน ไม่มีถูกผิด ดีกว่าแย่กว่า เพียงแต่ต้องเหมาะกับตนเอง ขนาดแนว VI การลงทุนในลักษณะของเกรแฮม ลินซ์ หรือ บัฟเฟต ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน การนำไปประยุกต์ใช้ก็แตกต่างกัน Margin of Safety ระยะเวลาในการประเมินมูลค่า เครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการประเมินแต่ละคนก็แตกต่างกัน ดังนั้น ผมจึงคิดว่า แต่ละคนก็ต้องหา Format ของตนเองให้เจอ จะนำแนวคิดของใครมาประยุกต์ใช้ก็แล้วแต่ ส่วน Randomness จะทำให้คุณเป็น Big Winner หรือ Mediocre Winner มันไม่สำคัญ ที่สำคัญขอให้เป็น Winner ไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
โดย
J.Livermore
อังคาร ม.ค. 04, 2011 12:11 pm
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
ผมแนะนำให้อ่าน"Trade Like an O'neil Disciple"ของ Gil Morales&Dr. Chris Kacher ลองอ่านดูแล้วมาถกกันครับ หลายคนหลายมุมมองอ่านคนเดียวอาจพลาดมุมมองที่สำคัญไปได้ ผมลองเข้าไปดู Review ในเวบไซต์แล้วครับ น่าสนใจดี ขอบคุณนะครับ แล้วจะลองไปซื้อมาอ่านครับ ในส่วนของกลุ่มทศกัณฑ์ คือ กลุ่มแนวไหนครับ ต้องขอโทษด้วย ผมอาจยังไม่ได้เข้ามาเล่นเวบบอร์ดบ่อยนัก เลยยังไม่รู้จัก รบกวนช่วยแนะนำเพิ่มด้วยนะครับ
โดย
J.Livermore
อังคาร ม.ค. 04, 2011 10:31 am
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
นอกจากหนังสือที่เปรียบเหมือนไบเบิลของชาว VI อย่าง หนังสือของ Warrent Buffet, Benjamin Graham, Peter Lynch, ดร. นิเวศน์ แล้ว เพื่อนๆมีหนังสือด้านการลงทุนเล่มไหนที่ดีๆ อยากแนะนำบ้างครับ ช่วยแชร์ให้ผมและเพื่อนท่านอื่นที่เป็นหนอนหนังสือรักการอ่าน เป็นวิทยาทานด้วยนะครับ :B 1. Reminiscence of the Stock Operator 2. How to Make Money in Stocks แต่งโดย William J. O'Neil 3. Fooled by Randomness แต่งโดย Nassim Taleb ขอถามหน่อย ถ้าเคยอ่านเล่มที่สาม (จนเอามาพูดถึง/แนะนำ) ยังจะแนะนำเล่มที่ 1-2 อีกเหรอครับ ok เล่มที่ 1 มันอาจจะนิยายไปหน่อย แต่รู้ได้ยังไงว่า เล่มที่ 2 มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่าของ a lucky fool ? คือหนังสือเล่มที่ 3 ไม่ได้บอกว่าโชคกำหนดทุกอย่างนะครับ ผมคิดว่าผู้แต่งต้องการชี้ให้เห็นถึง ความไม่แน่นอน (Randomness) ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ส่งผลกระทบแบบพลิกชีวิต โดยเรื่องเล่าสมมติ คือ เพื่อนบ้าน 2 คนอยู่รั้วติดกัน คนหนึ่งเป็นคนที่ฉลาดแต่ออกแนว Conservative เพราะเข้าใจและให้ความสำคัญกับความเสี่ยง ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ เพื่อนบ้านอีกรายฉลาดน้อยกว่า (ตามเนื้อเรื่อง) เป็นแนว Aggressive และเน้นที่ผลตอบแทนสูงสุดเป็นสำคัญ ซึ่งในช่วงเวลาปกติ เพื่อนบ้านที่ Aggressive จะประสบความสำเร็จในชีวิตสูงกว่า และพูดจาดูแคลน เพื่อนบ้านที่ Conservative แต่แล้ว วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันขึ้นในตลาดเงิน ราคาสินทรัพย์ดำดิ่งแบบหยุดไม่อยู่ สุดท้าย ตามคอนเซปนิยายน้ำเน่า คือ พระเอกชนะ ผู้ร้ายก็พ่ายแพ้ โดยคนที่ Aggressive ก็หมดตัว ตกงาน (ในหนังสือไม่ได้ใช้คำว่า Conservative กับ Aggressive นะครับ แต่ผมยกขึ้นมาเพราะน่าจะเข้าใจง่าย และถูกต้องมากกว่าคำว่า ฉลาดกว่ากับโง่กว่า) เรื่องเล่าสมมติ ก็ใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงที่ กองทุน Long Term Capital Management ซึ่งอุดมไปด้วยนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล นักคณิตศาสตร์ขั้นเทพ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงแรก แต่สุดท้ายเจอเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นแค่ 1 ใน 10000 หรือ 1 ใน 1000000 จนต้องปิดกองทุนไป จะเห็นได้ว่า ความไม่แน่นอนในตลาดเงิน สามารถสร้างคุณประโยชน์อนันต์ หรือ โทษมหันต์ ให้กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนฉลาด คนโง่ คนใจถึง คนอนุรักษ์นิยม กลับมาที่คำถามของคุณ โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า การที่เราจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ มันมีปัจจัย 3 ส่วนเป็นตัวกำหนด 1. Format หรือ กลยุทธ์ที่เหมาะสม ซึ่งแต่ละคนก็มีกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า แนวทางการลงทุนแบบ VI เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุดในระยะยาว โดยเฉพาะการคาดหวัง Return 10% - 30% ต่อปี 2. สภาพแวดล้อมการลงทุนในช่วงเวลานั้น ซึ่ง Jesse Livermore ใช้คำว่า General Condition ซึ่ง ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ ก็ย่อมมีกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ในภาวะตลาดหมี ซึ่งกินเวลา 5-10 ปี การลงทุนแนว VI ก็สามารถให้ผลตอบแทนต่ำกว่าแนวทางอื่นเช่นกัน และอาจทำให้บางคนหมดตัวก็ได้ ถ้านักลงทุนมองอนาคตของบริษัทแค่ 1-2 ปี 3. โชควาสนา ถ้ามองในเชิงคณิตศาสตร์ ก็คือ Randomness หรือ Residual ในสมการ Regression ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผมคิดว่าไม่มีนักลงทุนคนไหนหรอกที่บอกสามารถคาดการณ์การลงทุนได้ 100% ทุกคนตัดสินใจจากพื้นฐานข้อมูลที่ตนเองวิเคราะห์มาอย่างดีที่สุด แต่อนาคตเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ มีปัจจัยอีกมากมายที่นักลงทุนไม่สามารถประเมินได้ ดังนั้น คนเราจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด โชควาสนาย่อมมีผลแน่นอน การอ่านหนังสือและการศึกษาความรู้ด้านการลงทุน จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาการทักษะของเราในส่วนของปัจจัยที่ 1 และ 2 ส่วนปัจจัยที่ 3 เป็นเครื่องเตือนใจ ไม่ให้เราประมาทความไม่แน่นอนในตลาดทุน และไม่ยกตนเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมากไป ซึ่งไม่เป็นประโยชน์อันใดเลย ผมไม่ใช่คนเก่ง และก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ก็พยายามจะพัฒนาตนเอง และก็อยากแลกเปลี่ยนความรู้ ความเห็นกับเพื่อนๆนักลงทุนด้วยกัน ทั้งในด้านพื้นฐานบริษัทและความรู้การลงทุนครับ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เราแลกเปลี่ยนกันได้ ส่วนเงินในกระเป๋าไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ ของใครก็ของมันนั่นแหละครับ :lol:
โดย
J.Livermore
จันทร์ ม.ค. 03, 2011 5:58 pm
0
0
Re: เพื่อนๆชาว VI อ่านหนังสืออะไรกันบ้างครับ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่แนะนำหนังสือเข้ามานะครับ แล้วผมจะลองไปหาอ่านดูครับ :B
โดย
J.Livermore
จันทร์ ม.ค. 03, 2011 5:02 pm
0
0
Re: ทำไมถึงแพ้ตลาด !!!
ขาดศรัทธาครับ ไม่นึกกระทิงมันจะเปลี่ยวขนาดนี้ เลยเกาะกระทิงไม่ทัน พอจะกลับมา ก็เจอแต่กระทิงตัวสูงๆทั้งนั้น ผมมันตัวเตี้ยเลยเอื้อมไม่ถึง ได้แต่เอานิ้วไปแตะๆเท่านั้น ตอนนี้พยายามฟังเพลง "เล่นของสูง" บิ้วอารมณ์ เอาไว้ของขึ้นเมื่อไหร่ จะตามไปเกาะครับ :lovl:
โดย
J.Livermore
พุธ ธ.ค. 29, 2010 5:43 pm
0
0
Re: วิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากเว็บ thaivi
เห็นด้วยครับ ThaiVi เป็นเวบที่แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นที่ดีมากๆเลย :B
โดย
J.Livermore
อาทิตย์ ธ.ค. 12, 2010 4:59 pm
0
0
Re: อยากทราบว่าอาการนำของวิกฤตเป็นอย่างไรครับ
ไม่มีใครรู้เวลาที่แน่นอนหรอกครับ วิกฤตบางครั้งรู้ว่าต้องเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ เช่นวิกฤติ ต้มยำกุ้ง และ วิกฤติSubprime คนที่เริ่มเห็นสัญญาณของวิกฤติ เห็นมาตั้งแต่ก่อนวิกฤติจะมาเยือน 2-3 ปีแล้วครับ อย่างตัวผมเอง ก็มองว่า วิกฤติในอเมริกาเกิดแน่ และลดพอร์ทตั้งแต่ปี 2006 แต่ในความเป็นจริงปี 2006-2008 เป็นปีทองของการเล่นหุ้นของหลายๆคน พอวิกฤติมาจริงปลายปี 2008 แทนที่จะเป็นขาลง 3-4 ปี ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ กลับกลายเป็นว่าตลาดหุ้นเด้งขึ้นในเวลาครึ่งปี และไม่มีการลงหนักๆเกินกว่า 10% เป็นเวลาสองปีมาแล้ว จนกระทั่งทำนิวไฮ จากตัวอย่างที่ยกขึ้นมา ผมอยากบอกว่า ตลาดหุ้นมีแต่ความไม่แน่นอนครับ ในบางครั้งคุณอาจคาดการณ์วิกฤติหรือภาวะกระทิงที่กำลังจะมาเยือนได้อย่างถูกต้อง แต่จังหวะเวลาไม่ถูก คุณก็จะไม่ได้อะไรเลย ขณะที่นักลงทุนคนอื่น ไม่เคยระเคะระคายกับภาวะ Boom & Bust ในตลาดหุ้นเลย อาจประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นดังที่ เบนจามิน เกรแฮม เคยกล่าวไว้อย่างเฉียบแหลมครับ นักลงไม่สามารถคาดการณ์ความไม่แน่นอนของราคาหุ้นจากภาวะ Boom& Bust ได้ ดังนั้นจึงต้องเน้นไปที่มูลค่าของกิจการ ขอย้ำว่ามูลค่าของกิจการนะครับ ไม่ใช่เก็งกำไรผลประกอบการ เสียดายที่กว่าผมจะเข้าใจประโยคของเกรแฮม ผมก็เสียเวลาและโอกาสในการลงทุนไปมากทีเดียว
โดย
J.Livermore
พฤหัสฯ. ธ.ค. 09, 2010 5:01 pm
0
0
สิ่งที่ควรระวัง --- >ค่าเสื่อมราคา --> FCF --> DCF
เข้าใจประเด็นแล้วครับ ขอบคุณที่นำเสนอความรู้ใหม่ๆให้นะครับ :lol:
โดย
J.Livermore
จันทร์ ต.ค. 25, 2010 9:46 pm
0
0
ตลาดหุ้นใน'มุมมองใหม่'ของ'เสือเก่า'('เสี่ยยักษ์' วิชัย วชิรพ
อ่านแนวคิดเสี่ยแล้ว นับถือแกครับ ผมคงไม่มีวันประสบความสำเร็จระดับเดียวกับแกแน่ๆ แต่แกพูดถูกที่คนเราต้องมีความฝัน จะไปได้ไกลแค่ไหน ก็แล้วแต่โชควาสนาล่ะนะ และเมื่อวันใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าพอ มันก็ต้องพอ จะโลภมากต่อไป ก็ต้องระวังลาภจะหายด้วย :cool:
โดย
J.Livermore
จันทร์ ต.ค. 25, 2010 5:43 pm
0
0
ชายคนนี้เคยฝันว่าในวัย 70 ปี จะมีเงิน 1,000 ล้านบาท
ดร. สุดยอดครับ ไม่ใช่แค่ในด้านของผลตอบแทนนะ แต่วิธีการคิด การดำเนินชีวิตก็สุดยอดเช่นกัน :D
โดย
J.Livermore
จันทร์ ต.ค. 25, 2010 5:16 pm
0
0
61 โพสต์
of 2
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
J.Livermore
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ต.ค. 29, 2008 3:08 pm
ใช้งานล่าสุด:
อาทิตย์ ก.ย. 30, 2012 11:18 am
โพสต์ทั้งหมด:
144 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.01% จากโพสทั้งหมด / 0.02 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว