Re: วิธีการบันทึกข้อมูลปัจจัยพื้นฐานหุ้น ตอนนี้ ผมหันมาใช้ ONENOTE ข้อดี app คือ มันใช้ได้ทุก platform ทั้ง PC IPHONE IPAD Android เขียนที่ไหนก็ได้ ทุกที มันแยกหน้าเป็น TAB ทำให้แยกหมวดหมู่ง่าย และ Search ข้อมูลที่เขียนไว้ก็ค่อนข้างง่าย หน้าตาใช้ง่ายคุ้นเคย เพราะเป็นของ Microsoft ผมใช้มา 2 ปีแล้ว การจัดการข้อมูลดีขึ้นมากครับ โดย PrasertsakK จันทร์ ก.ย. 28, 2020 3:40 pm

Re: รถยนต์ไฟฟ้ากับประเทศไทย ผมว่ารัฐบาลน่าจะคิดหนักมาก ๆ นะครับ เนื่องจากต้องหา solution ของภาษีสรรพสามิตที่หายไปเป็นแสนล้านต่อปี จะหาอะไรทดแทน รวมถึง ภาษีเงินได้จากอุตสหกรรมเกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ในประเทศไทยที่หายไป และยังแรงงานอีกว่าจะเอาพวกเขาเข้าไปทำงานในส่วนไหน เอาเค้าจริง ๆ ผมว่าประเทศไทยเราก็น่าจะรอให้ประเทศอื่นขยับไปก่อน แล้ว เราน่าจะค่อย ๆ ขยับตามมากกว่า โดย PrasertsakK พฤหัสฯ. มิ.ย. 18, 2020 4:18 pm

Re: """งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2"""">>>จองได้เล PRASERTSAKK / สมาชิกสมาคม / 1 ที่นั่ง / 1,350.8 / Kbank / 16-08-2560 / 11.07 โดย PrasertsakK พุธ ส.ค. 16, 2017 5:36 pm

Re: “มองหาไอเดียการลงทุน"งานสังสรรค์ VI-59 ครั้งที่2 (ห้ามพล Prasertsakk / สมาชิกสมาคม / 1ที่นั่ง / 1,350.11 บาท / Kbank / 22-08-2559 /10.01 โดย PrasertsakK จันทร์ ส.ค. 22, 2016 10:02 am

Re: สอบถามเรื่อง IRR กับ VI ปล.คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ให้คิดว่าเราไม่มีพอร์ตหุ้นครับ อย่าไปสนใจมัน รบกวนพออธิบายเพิ่มเติมกับประโยคนี้ได้ไหมครับ ในส่วนตัวผม ผมมองว่าการบริหารพอร์ตหุ้นสำคัญมากสำหรับคนธรรมดา VI พันธ์แท้ มักจะมุ่งเน้นลงทุนเป็นตัว ศึกษาอย่างหนักอย่างหนัก มองหุ้นเหมือนเจ้าของธุรกิจ เข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี และการถือหุ้นมันจะไม่กระจายความเสี่ยงเกินไป(อาจจะถือแค่ 3-5 ตัว ซึ่งในส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากเกินไป สำหรับคนธรรมดา) คนธรรมดา ถึงเราจะศึกษาธุรกิจมาก แต่ก็ที่เราจะเข้าใจอย่างลึกซึงนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ผมจึงคิดว่า การถือหุ้นในธุรกิจที่ดี โดยกระจายความเสี่ยงถือหุ้นหลายตัวในระดับที่ติดตามได้ (สัก 8-15 ตัว แล้วแต่ความสามารถและความขยัน) แล้วอาศัยบริหารพอร์ตหุ้นโดยรวม โดยให้มีหุ้นหลาย ๆ ประเภท รวมถึง การลงทุนอื่น ๆ ด้วย ผมว่าน่าจะได้ผลตอบแทนในระดับไม่น่าเกลียดครับ สุดท้ายฝากพี่ pupejang แนะนำหน่อยครับ ขอบคุณครับ เข้าใจว่าเกรแฮมแกไม่ได้ลงทุนแบบมุ่งเน้นถือน้อยตัวนะครับ แกเน้นหุ้นถูกเข้าว่า ขอแค่คิดแล้วมัน under value แล้วก็ถือหลายๆตัว อ่านตกเล็กน้อยครับ ขออภัย :oops: :oops: :oops: เลยสรุปย่อ ๆ ของวิธี VI THAILAND แบบยอดนิยมแทน แต่อาจารย์เกรแฮมจะไม่บริหารพอร์ตเลยเหรอครับ ? (แอบสนใจว่าทำไมพี่ pupejang ไม่สนใจเรื่องนี้เลย) ถามเพิ่มเติมเลยว่า ในสภาวะตลาดเมืองไทยเป็นแบบนี้ การลงทุนแนวอาจารย์เกรแฮมนี้ ยังสามารถลงทุนได้ไหมครับ แล้วพี่ pupejang มีการปรับแนวทางการลงทุนหรือเปล่าครับ? โดย PrasertsakK ศุกร์ พ.ย. 20, 2015 11:53 am

Re: สอบถามเรื่อง IRR กับ VI ปล.คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ให้คิดว่าเราไม่มีพอร์ตหุ้นครับ อย่าไปสนใจมัน รบกวนพออธิบายเพิ่มเติมกับประโยคนี้ได้ไหมครับ ในส่วนตัวผม ผมมองว่าการบริหารพอร์ตหุ้นสำคัญมากสำหรับคนธรรมดา VI พันธ์แท้ มักจะมุ่งเน้นลงทุนเป็นตัว ศึกษาอย่างหนักอย่างหนัก มองหุ้นเหมือนเจ้าของธุรกิจ เข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี และการถือหุ้นมันจะไม่กระจายความเสี่ยงเกินไป(อาจจะถือแค่ 3-5 ตัว ซึ่งในส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากเกินไป สำหรับคนธรรมดา) คนธรรมดา ถึงเราจะศึกษาธุรกิจมาก แต่ก็ที่เราจะเข้าใจอย่างลึกซึงนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ผมจึงคิดว่า การถือหุ้นในธุรกิจที่ดี โดยกระจายความเสี่ยงถือหุ้นหลายตัวในระดับที่ติดตามได้ (สัก 8-15 ตัว แล้วแต่ความสามารถและความขยัน) แล้วอาศัยบริหารพอร์ตหุ้นโดยรวม โดยให้มีหุ้นหลาย ๆ ประเภท รวมถึง การลงทุนอื่น ๆ ด้วย ผมว่าน่าจะได้ผลตอบแทนในระดับไม่น่าเกลียดครับ สุดท้ายฝากพี่ pupejang แนะนำหน่อยครับ ขอบคุณครับ โดย PrasertsakK พุธ พ.ย. 18, 2015 4:10 pm

Re: สอบถามเรื่อง IRR กับ VI เห็นเวลาเริ่มลงทุนแล้วยาวนานกว่าพวกผมเยอะ ไม่กล้าเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองเลยครับ แต่ผมคิดว่า พี่pupejang น่าจะอยู่ใน level ที่ให้คำแนะนำน้อง ๆ ได้แล้วครับ อยากรบกวนถ้าพี่ว่า IRR 14.92% นี้ ระดับความแปรปั่นของ IRR ในแต่ละปีนี้สูงมากไหมครับ อย่าง 2007-2012 นี้ ผลตอบแทนเป็นอย่างไรครับ สุดท้าย อยากให้พี่เล่าประสพการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังได้ไหมครับ อย่างเจอวิกฤต พี่ทำอย่างไร บริหารพอร์ทอย่างไร เป็นต้น จะได้เป็นวิทยาทานกับน้อง ๆ รุ่นหลัง ๆ ครับ ขอบคุณครับ โดย PrasertsakK พุธ พ.ย. 18, 2015 9:38 am

Re: มีใครในไทยทำแบบร้าน มัทสึคิโยะ บ้างครับ มันไม่ใช่booth หรือ วัตสัน ในรูปแบบstand alone เหรอครับ โดย PrasertsakK อังคาร ต.ค. 27, 2015 1:18 pm

Re: พอร์ตเล็ก กับ หุ้นปันผล ในส่วนตัว ผมว่าเมื่อหุ้นยังพอร์ทเล็กอยู่ เป็นช่วงที่สำหรับการหาวิธีการลงทุนที่เหมาะกับตัวเองและที่สำคัญคือเราควรจะทบทวนแล้ววิเคระห์ด้วยว่าวิธีการลงทุนที่สมเหตุสมผลด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่หาวิธีที่ได้ผลตอบแทนสูง ๆ ครับ เนื่องด้วย การลงทุนในระยะแรก ๆ ที่ไม่มีประสพการณ์ เรามักจะลงทุนค่อนข้างเสี่ยง (เราไม่รู้ว่าที่เราคิดว่ามันไม่เสี่ยงทั้งที่จริง ๆ มันเสี่ยงมาก) และผลตอบแทนก็มักจะได้มากผิดปกติหรือขาดทุนมาก ซึ่งหลายคนพอเห็นว่าวิธีนี้ได้กำไรเยอะ ก็มักจะจำวิธีการที่เสี่ยงไปใช้ แล้วเมื่อเราเติมเงินเข้าไปมาก ๆ หรือพอร์ทใหญ่แล้ว แต่เรายังใช้วิธีเดิม ๆ ในที่สุดเราก็จะขาดทุนหนัก ผมจึงคิดว่า เมื่อพอร์ทยังเล็ก เราควรจะลงทุนในหลากหลายแบบ หุ้นเติบโต หุ้นปั่นผล หุ้นแข็งแกรง และไม่ควรลงทุนหุ้นที่เสี่ยงมากนัก เพื่อสร้างนิสัยการลงทุนที่ดีก่อน เมื่อเรามีวิชาอันแข็งกล้าแล้ว จะเริ่มขยับไปลองวิชาอื่น ๆ ที่ได้ผลตอบแทนสูง ก็แล้วแต่จะเลือกละครับ เข้ามาที่คำถามละครับ นอกเรื่องไปเยอะ พอร์ตเล็กๆแต่เลือกเน้นแต่เป็นหุ้นปันผลคิดว่าดีไหม? คิดว่าไม่ได้แย่อะไรนะครับแต่สำคัญคือเราต้องห้ามซื้อแพง เช่น ผลตอบแทน 4-5% ต่อปี ผมว่ามันไม่คุ้มค่าครับ (เราต้องรู้ความเสี่ยงอย่างหนึ่งของหุ้นปั่นผลก่อน คือ เวลาได้ผลตอบแทนมักจะได้ไม่สูง แต่ปัญหาคือ ถ้าเกิดวิกฤตแล้วหุ้นตกแรง ๆ ราคาก็จะสามารถลงได้แรงเหมือนกันครับ) ส่วนการซื้อแบบ DCA ผมไม่คิดว่าเหมาะกับหุ้นปั่นผลนะครับ เพราะว่า ราคาหุ้นของกลุ่มนี้มักจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไปไหน ก็เราซื้อแบบ DCA กับไม่ค่อยได้รับประโยชน์อะไรมากนัก (ผมคิดว่า DCA มักจะเหมาะกับหุ้นแข็งแกร่ง หรือ ซื้อ index ไปเลยมากกว่าครับ) ควรจะมีสัดส่วนหุ้นในพอร์ตระหว่าง หุ้นเติบโต(เสี่ยงมากกว่า):หุ้นปันผล(เสี่ยงน้อย)ประมาณเท่าไหร่ดีครับ ? ผมคิดว่าเราไม่ควรกะเกรณ์อะไรพวกนี้ครับ เพราะว่า ปกติแล้วหุ้นที่เติบโต ถ้าเราซื้อถูกตัว ราคาจะมีการปรับขึ้นมากกว่า หุ้นปันผล(ที่เราก็ซื้อถูกตัวเหมือนกัน) นั้นคือ ส่วนส่วนในพอร์ตมักจะเปลี่ยนไป ลองคิดดูว่า ถ้าตอนนี้เราซื้อหุ้นปันผล 80% และ หุ้นเติบโต 20% แล้วเราซื้อถูกตัว เมื่อเวลาผ่านไป สัดส่วนหุ้นกลายเป็นปั่นผล 70% หุ้นเติบโต 30% แล้วจะเราจะขายดอกไม้สวย ๆ ไปซื้อต้นหญ้าเขียว ๆ คิดว่าเป็นกลยุทธที่ดีหรือเปล่าครับ ผมคิดว่า การหาความรู้ ศึกษาหุ้นอย่างลึกซึ้ง ศึกษาหุ้นหลาย ๆ ประเภท แล้วกระจายซื้อในทุกประเภทพอประมาณ น่าจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างพอสมน้ำสมเนื้อครับ (มันอาจจะทำให้เราไม่ร่ำรวย แต่ผมคิดว่ามันทำให้เราไม่เจ๊งหุ้นแน่นอนครับ) โดย PrasertsakK จันทร์ ต.ค. 26, 2015 1:29 pm

Re: การมาของการดูหนังผ่าน Online ผมมองว่าธุรกิจพื้นฐานอย่าง board band internet น่าจะได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ก็อาจจะเหนือยขึ้นเพราะว่าแม้ว่าจะมีลูกค้ามากขึ้น แต่ลูกค้าที่เก่าจะใช้ช่องสัญญาณมากขึ้นมาก แล้วลูกค้าใหม่ก็น่าจะมีแนวโน้มที่ใช้สัญญาณค่อนข้างเยอะ ดังนั้นบริษัทจะต้องขยายช่องสัญญาณมากขึ้นมาก นั้นคือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายอุปกรณ์เพื่อเพิ่มสัญญาณอินเตอร์เน็ทน่าจะดีขึ้นมาก เช่น บริษัทขายอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณ สายสัญญาณ บริษัทรับจ้างวางระบบ ธุรกิจฝากข้อมูล(data center) ส่วนธุรกิจที่น่าจะกระทบนอกจากโรงหนังผมคิดว่า น่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทที่ทับซ่อน เช่น เครื่องเล่น dvd เป็นต้น และธุรกิจ Digital TV ก็น่าจะได้รับผลกระทบในทางลบด้วย เพราะว่า การดูหนังผ่าน online นั้นสะดวกกว่าและตามใจเรากว่าการช่อง TV ปกติ ซึ่งบังคับให้เราดูตามใจเจ้าของสถานี โดย PrasertsakK ศุกร์ ต.ค. 23, 2015 10:56 am

Re: การเติบโตในอนาคต โดยปกติบริษัทที่กำไรเติบโตได้ดีนั้น มักจะเป็นที่น่าจับตาของบริษัทคู่แข่ง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ไม่นานนักกำไรที่เคยดีนั้นมันจะค่อย ๆ ลดลงจงเฉลี่ย ๆ จนเท่ากับบริษัทในอุตสหกรรมเดียวกัน แต่บริษัทที่เติบโตได้ดีในอนาตตเป็นระยะยาว จะมีกำแพงป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาได้ ซึ่งผมเห็นว่า บริษัทที่สามารถเติบโตในอนาคตอีกต่อเนื่องหลาย ๆ ปี อย่างน้อยจะต้องมีกำแพงป้องกันนี้ ซึ่งทั่ว ๆ ไป ก็จะสงเกตุได้ เช่น บริษัทมีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนแฝงอยู่และทำให้เกิดความได้เปรียบ อย่างแบรนด์ หรือ สิทธิบัตรต่าง ๆ หรือ บริษัทอาจจะบริหารจัดการต้นทุนได้เก่ง ทำให้มีต้นทุนถูกกว่าคู่แข่งเสมอ หรือ บริษัทเป็นโมเดลธุรกิจที่ลูกค้าคิดจะเปลี่ยนบริการจากเค้า ต้องใช้ต้นทุนการเปลี่ยนสูง ทำให้ลูกค้าไม่หนีไปไหน หรือ บริษัทเป็นบริษัทที่มีเครือข่ายที่แข่งแกร่ง สามารถขยายบริษัทได้มีประสิทธิภาพ เป็นต้น (พวกนี้สามารถอ่านหนังสือแนว VI ได้นะครับ) ** แต่สำหรับการลงทุน ผมคิดว่า การดูบริษัทที่มีกำแพงป้องกันที่แข่งแกร่งเพียงอย่างเดียว ก็ใช่จะเป็นการเลือกหุ้นที่ดี เพราะว่า เพราะมันที่ดินสีลมราคาไร่ละ 100ล้าน ซึ่งเราเห็นแน่ ๆ ว่ามันเป็นที่ดินที่ดี และราคามันต้องถึง 100 ล้านแน่ ๆ ก็ไม่ได้แปลว่ามันเป็นการลงทุนที่ดี เราไม่ได้ต้องการหาหุ้น CPALL แต่เราต้องพยายาม the next CPALL ครับ ผมแนะนำลองอ่าน บทความพี่ชายดูครับ ได้เห็นแนวคิดดี ๆ ครับ หุ้นโตไว ในประเทศโตช้า / คนขายของ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=59213 หุ้นธรรมดา กำไรไม่ธรรมดา / โดย คนขายของ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=59183 โดย PrasertsakK พฤหัสฯ. ต.ค. 15, 2015 1:14 pm

Re: นักลงทุนแนว vi เปิดดูพอร์ทบ่อยแค่ไหน? ถ้าดูหุ้นเฉย ๆ ก็ดูทุกวันนะครับ ถ้าไม่ยุ่งอะไรหรือมีอารมณ์เบื่อจะดูหลายครั้ง แต่พยายมเปิด ๆ ดูไม่เกิน 2-3 นาที เพราะกลัวเสียเวลา แต่ถ้าคำนวนพอร์ทรวมว่าเรากำไรหรือขาดทุนแค่ไหน ผมจะทำทุกครั้งที่มีการซื้อขายหุ้น และ สิ้นเดือนครับ ผมมองว่า ส่วนมากเรามักจะถือยาว ถ้าเราคำนวนบ่อย ๆ จะทำให้เราซื้อหรือขายเร็วเกินไปครับ ถ้าเป็นไปได้อยากดูแค่ตอนเย็นครับ แต่ไปกินข้าวกลางวัน แอบอู้งานที่ไร ก็แอบที่จะดูหุ้นนิดหน่อย เพื่อควรบันเทิงทุกที 55+ โดย PrasertsakK จันทร์ ต.ค. 05, 2015 6:21 pm

Re: ขอถามการลงทุนของคนที่จบสายการเงินกับคนทั่วไปครับ ผมคิดว่าประโยค "คนที่ไม่ได้จบการเงินหรือเรียนสูงๆทางด้านนี้สามารถลงทุนได้ไม่แพ้คนที่จบมาด้านนี้เลย" มันก็เป็นจริงครับ แต่ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวของประโยคนี้คือ คนมักจะตีความหมายต่อไปว่า "การเรียนการเงินในมหาลัยไม่มีประโยชน์" ซึ่งผมคิดว่า มันก็เหมือนประโยคที่ว่า "คนเรียนหนังสือไม่เก่งสามารถหาเงินไม่แพ้คนเรียนหนังสือเก่งเลย" ซึ่งเราก็เห็นว่ามันจริงครับ และหลาย ๆ คนก็ไปตีความว่า "เราไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ" หรือ ให้ความสำคัญของการเรียนลดลง ผมคิดว่าคนที่เรียนจบทางการเงินนั้น ในช่วงเริ่มต้นของการลงทุน จะได้เปรียบกว่า คนที่ไม่ได้เรียนเลยมากครับ ลองจินตนาการพวกเราในการลงทุนแรก ๆ ซิครับว่ามวยวัดนี้มันแย่ขนาดไหน แต่พอเราเริ่มลงทุนนานขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้น ผ่านประสพการณ์ เล่นเอง เจ็บเอง กันพอสมควรแล้ว ความต่างชั้นในเรื่องนี้มันจะลดลง จนกระทั่ง มันไม่มีความได้เปรียบอะไรเลย ผมคิดว่า เราอายุเกินกว่าที่จะตัดสินใจแล้วว่าเราควรจะเอ็นคณะด้านการเงินหรือเปล่า นั้นทำให้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะไปบอกว่าทำไมเราไม่เรียนโน้นเรียนนี้ หรือคิดว่า คนที่เรียนการเงินได้เปรียบหรือเสียเปรียบเรา ผมคิดว่านักลงทุนที่ดี ควรจะต้องเรียนรู้ตลอดเวลา อ่านหนังสือ เพิ่มขอบข่ายความสามารถของเราให้กว้างขึ้น มันอาจจะไม่ได้ทำให้เราประสพความสำเร็จ รวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ผมเชื่อว่าการเรียนรู้นั้นจะทำให้เราไม่ล้มเหลวในการลงทุนแน่นอนครับ โดย PrasertsakK จันทร์ ต.ค. 05, 2015 1:58 pm

Re: กบง.มีมติลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน แต่เอกชนแอบเซ็ง กว่าจะได้เงินก็ปาไปเกือบ 6 เดือนครับ > < ไม่รู้ว่าจะมีผลกับงบหรือเปล่านะ โดย PrasertsakK เสาร์ ส.ค. 30, 2014 10:27 am

Re: งานสังสรรค์ VI Q2/57 "แก่นวีไอ ลงทุนได้ทั่วโลก" PRASERTSAKK / สมาชิกสมาคม / BELLE / ไม่มีสมาชิก / 2 ที่นั่ง / 2,470.00 บาท / kbank / 22-07-2557 / 10:03 โดย PrasertsakK อังคาร ก.ค. 22, 2014 10:12 am

Re: ...ของฝากจาก Berkshire Hathaway annual meeting 2014... อ่านแล้วสนุกมากเลยครับ ขอบคุณที่ share สิ่งดี ๆ มาให้พวกเราครับ โดย PrasertsakK พฤหัสฯ. มิ.ย. 12, 2014 12:08 pm

Re: Esan investors Meeting ครั้งที่ 4 โอนแล้ว 2 ทีครับ เช้า 2 เย็น 1 โดย PrasertsakK พุธ ม.ค. 22, 2014 9:18 pm

Re: สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคอีสานครั้งที่ 3 ขอนแก่น( นับถือน้อง Earthcu มาก ๆ นั่งอยู่ติดกัน แต่ทำไมบางประเด็นกับจำไม่ได้ T T ขอบคุณมากที่เอาความรู้มาแบ่งปั่น โดย PrasertsakK พฤหัสฯ. ก.ย. 26, 2013 8:50 am

Re: Fund Flow/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มุมมองของอาจารย์ยังคมเสมอ ^ ^ โดย PrasertsakK อังคาร ก.ย. 24, 2013 9:00 am

Re: ตอนนี้เราดูหุ้นไทยใน finance.google.com ได้แล้วนะครับ ขอบคุณมากครับ ขอลองเข้าไปใช้บริการ โดย PrasertsakK จันทร์ ก.ย. 23, 2013 10:07 am

Re: รีวิว Meeting Thai VI ภาคอิสาน ครั้งที่ 3 ขอนแก่น เป็นงานที่สนุกมาก ๆ ครับ อยากให้มีจัดเรื่อย ๆ นะครับ > < โดย PrasertsakK อาทิตย์ ก.ย. 22, 2013 11:52 pm

Re: อายุ 35 ปี ฉันจะมีเงิน'หกพันล้าน'ฝันสูง 'วีไอรุ่นเด็ก' น ก็ยังคิดไม่ออกเลยว่ามันจะไปถึง 6พันล้านอย่างไง แต่เป็นกำลังให้น้อง ๆ รุ่นใหม่ ไฟแรงครับ ผมเชื่อว่าแรงของจินตนาการทำให้เราขับเคลื่อนตัวเราไปได้ไกล ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงฝัน แต่ก็เรียกว่าคงขยับได้ไกลกว่าคนอื่น ส่วนพี่ขอเป็นเต่าน้อยต่อไปดีกว่า โดย PrasertsakK จันทร์ ก.ย. 16, 2013 9:32 am

Re: มหากาพย์ KK-Phatra อยากให้มี ภาคสองต่อเร็ว ๆ โดย PrasertsakK ศุกร์ ส.ค. 02, 2013 6:08 pm

Re: เงินมันไปไหน ใครรู้ตอบหน่อย เงินมันอยู่นิ่งไม่ได้ ตำเป็นต้องหาผลตอบแทน นอกจากอยู่ในรูปเงินสดเท่านั้นละ ขอแอบถามคุณ miracle หน่อยครับว่า ทำไมเงินมันอยู่นิ่งไม่ได้ละครับ สมมุติคิดง่าย ๆ ว่าต่างชาติเป็นคนสักคนหนึ่ง นายนี้เห็นว่าได้กำไรมากแล้ว เข้า ๆ ออก ๆ หุ้นไทยมาสามสี่ปี ได้กำไรหลายสิบเปอร์เซนต์รวมถึงได้ประโยชน์จากค่าเงินด้วย จากนั้น ก็ถอนเงินออกไปเฉย ๆ ถือไว้ ผมว่าก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ แต่จริง ๆ ผมว่าการเคลื่อนตัวของเงิน มันก็คล้าย ๆ นิสัยของคน เหมือนจะมีรูปแบบ เหมือนจะมีเหตุผล แต่จริง ๆ มันก็ไม่มีได้เหตุผลอะไร สนใจมากปวดหัว แต่จริง ๆ ผมก็อยากเห็นมุมอื่น ๆ นะเงินมาวิ่งไปไหน แอบถามคุณ Miracle ดีกว่าครับคิดอย่างไง (ผมว่าคุณ Miracle มี IDEA ดี ๆ อยู่แล้ว ก่อนจะตั้งกระทู้นี้) โดย PrasertsakK เสาร์ มี.ค. 23, 2013 7:00 pm

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??) สำหรับผมตัว PE เกิดจากแบบนี้ครับ ถ้าผมใช้ PE 15 หมายความว่า ผมจะลงทุนโดย ได้เงินลงทุนคืนมาภายใน 15 ปี หรือผลตอบแทนปีละ 6.67% ซึ่งผมจะใช้เทียบกับว่า ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารไว้เฉยๆจะได้ 3% ต่อปี (ฝากประจำ 1 ปี) โดยไม่เสี่ยงอะไรเลย (จริงๆต้องบอกว่าเสี่ยงต่ำกว่าลงทุนในหุ้น) ได้ 3% แต่ถ้าลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงก็ต้องขอ เพิ่มขึ้น ตามโจทย์คือ PE 15 แปลว่าขอเพิ่มขึ้นตอบแทนความเสี่ยงจากการลงทุนอีก 3% จึงได้ผลตอบแทนที่ต้องการ 6% หรือ PE 15 ครับ...^^) แล้วผมก็จะใช้ PE 15 เป็นเกณฑ์ในการลงทุนในแต่ละหุ้น ว่า ถ้าใช้ PE 15 กับราคาปัจจุบัน เข้าสูตร PE = ราคา/กำไร ย้ายข้างแปลงสมการเป็น กำไร=ราคา/PE ก็จะได้ว่าบริษัท นั้นต้องทำกำไรได้เท่าไรเป็นจำนวนเท่าๆกันตลอด 15 ปี ถึงจะคุ้มกับราคาที่เราจะจ่ายไป ณ ตอนนี้ครับ ถ้าสูงเกินไปก็ไม่ซื้อ ถ้าน้อยก็ซื้อครับ(ไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนผมหรือเปล่านะครับ...-_-)......^^) ผมอยากให้ระวังการประเมินแบบนี้นิดหน่อยครับ เพราะว่า การประเมินแบบนี้อยู่ในสมมุติฐานที่ว่ากำไรไม่ได้แย่ลงเลยในอีก15 ปีข้างหน้า(หรือว่ากำไรดีขึ้น) แต่ถ้าเกิดปีใดปีหนึ่งเกิดพลิกกำไรลดลง อาจจะทำให้การลงทุนเสียหายได้ ยังไงก็อย่าลืมหาปัจจัยเชิงคุณภาพมาสนับสนุนสมมุติฐานด้วยนะครับ อีกอย่าง ในช่วงตลาดหมีช่วง 2008-2009 หุ้นเติบโต 15-20% PE 10 เท่า ปั่นผล 5% ยังมีหลาย ๆ คน บอกว่าหุ้นตัวนี้แพงเลยครับ การตั้งว่า PE 15 เป็นเหตุผลของการลงทุนที่คุ้มค่านั้น อย่าลืมกลับมาถามตัวเองด้วยนะครับว่า 15 นี้มันมาจากไหน ทำไมต้องเป็น 15 ด้วยละครับ ^ ^ โดย PrasertsakK อาทิตย์ ก.พ. 03, 2013 2:46 pm

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??) ผมคิดว่าทั้งสองวิธีมีปัญหาในบางส่วนครับ อย่างข้อ 1 ปัญหาก็คือเราไม่มีทางรู้ว่าอารมณ์ของตลาดจะดีต่อเนื่องนานแค่ไหน อาจจะ 1 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือหลายปี ถ้าเราขายไปเลย เราก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรที่ควรจะได้ไปพอสมควรเลย แถมเราก็ไม่รู้ว่าที่เราประเมินว่า 10 บาทในตอนแรก คือราคาที่ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั้นคือ พอราคาขึ้นมา 20 บาท เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเกินมูลค่าไปมากขนาดไหน ถ้าเราขาย ราคาอาจจะขึ้นต่อไปอีกยาวนาน หรือว่า อาจจะลงมาเหมือนที่เราคิดก็ได้ ซึ่งมันยากที่จะบอก แต่การขายเลยก็มีข้อดีอย่างหนึ่งครับคือ เราได้กำไรแน่ ๆ (ประมาณว่าสบายใจดี) ตรงจุดนี้ผมใช้วิธีคำนวนย้อนกลับครับ คือเวลาผมประเมินราคาหุ้นผมจะใช้ PE ที่ต้องการ เช่น ใช้ PE 15 แล้วได้ราคามา 10 บาท ก็ขื้อให้ถูกกว่า 10 บาท แต่ถ้ามันขึ้นไปถึง 20 บาท ผมจะคำนวนย้อนกลับว่า ณ ราคานี้ ถ้ากำไรเท่าเดิม PE จะได้เท่าไร แล้วเรามองว่ามันสูงไปหรือเปล่า?? กับอีกแบบนึงคือ ยึด PE 15 เท่าเดิมแล้วคำนวนหากำไร/หุ้น ว่าบริษัทจะสามารถทำได้แบบที่คำนวนหรือเปล่าในอนาคตหนะครับ...^^) การประเมินโดยใช้ PE นี้ผมว่ามันดูเหมือนง่าย จริง ๆ ไม่ง่ายเลยครับ เช่น เราบอกว่าหุ้นตัวนี้ PE เหมาะสมควรจะ 15 แต่ปัญหาคือ PE 15 นี้มันมาได้อย่างไง บางคนดูภาพรวมอุตสหกรรมบาง บางคนเปรียบเทียบกับการเติบโตบาง เช่น บริษัทเติบโต 15% PE 15 ถือว่าไม่แพง แล้วการที่มันไม่แพง เรามีเกรณ์อย่างไงในการตัดสิน แล้วเกรณ์ที่เราตัดสินมันถูกต้องมากแค่ไหน อันนี้มันบอกยากจริง ๆ สำหรับอาจารย์หลาย ๆ ท่าน จะเห็นว่าเขาจะใช้ PE ในการประเมิน แต่ผมคิดว่ามันมีขบวนการที่ซับซ้อนกว่านั้น จะเห็นว่าแม้จะมีหุ้น PE ไม่แพงมาก มีคนบอกว่าอัตตราเติบโตค่อนข้างสูง แต่อาจารย์หลายท่าน ก็ไม่เห็นจะซื้อหุ้นตัวนั้นเลย ซึ่งผมคิดว่า การประเมินโดยใช้ PE ยังเป็นศิลปะขั้นสูงที่ผมยังไม่ถึงครับ จากประสพการณ์จริง ผมซื้อ MCS ทุนประมาณ 3 บาท ราคาขึ้นมา 10 บาท เพื่อนแนะนำว่าขายเพราะว่าดูมันเกินมูลค่ามากไปแล้ว(ซื้อมาด้วยกัน) แต่ผมคิดว่ากิจการไม่ได้เปลี่ยนอะไร แถมยังคิดว่ากิจการน่าจะมีอัตตรากำไรเพิ่มขึ้นจากมาตราฐานใหม่ที่จะได้รับ แถมทุนเราก็ถูกมาก ถือไปเรื่อยก็ไม่เสียหายอะไร วันดีคืนดี ราคาขยับลงมา เราก็รู้สึกว่าดีจัง ถ้าลงมาเยอะ ๆ จะซื้อเพิ่มไปอีก แต่พองบออก พื้นฐานที่เคยคิดว่าดี ก็มีคนมาบอกเรามากมายว่ามันห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ราคาก็ไหลลงมา แล้วผมก็เริ่มทำตัวไร้สติ T T ซื้อเพิ่มบาง ขายบาง งง ๆ กับตัวเองไปหมด ปัจจุบันพยายามใช้วิธีการดูแบบองค์รวม คือ ดูว่าตัวที่เราถืออยู่กับตัวที่เราจะซื้อ(watching list)ตัวไหนดีกว่ากัน โดยให้คะแนนในมุมต่าง ๆ ทั้งเชิงคุณภาพแล้วปริมาณ ออกมาเป็นตัวเลข โดยตัวwatching list ต้องมีคะแนนสูงกว่าอย่างน้อย 10 % ถึงทำการสลับตัว แต่ปัญหาของวิธีนี้ก็มีตรงที่ ในสภาวะแบบนี้ watching list ของผมมันมีคะแนนต่ำเตี้ย แถม หุ้นที่ถือคะแนนก็เริ่มต่ำลงต่ำลง แม้บางตัวจะเข้ากฎของตัวเอง ก็ทำใจซื้อไม่ได้ แถมผมเลยต้องตั้งกฎเพิ่มว่า ถ้าจะซื้อ จะมีคะแนนขั้นต่ำไปด้วย เลยทำให้ผมเริ่มไปใช้ข้อ 1 บาง เพื่อเพิ่มความสบายใจ ผมก็เริ่มงงๆกับความเห็นของคุณ "Prasertsakk" แล้วเหมือนกันครับ(ป่อย!!) 555+ แต่พอจับประเด็นได้ว่าการที่เราจะซื้อเพิ่มเพราะราคามันลงต่ำกว่าที่ประเมิน ต้องมั่นใจก่อนว่าสิ่งที่เราคิดว่าดีมันดีต่อธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่เรามองว่าดีอยู่คนเดียวแต่คนอื่น เขามองว่าไม่ดีและมีผลต่อธุรกิจในทางที่ไม่ดีด้วย ตัว MCS ผมไม่เคยวิเคราะห์ครับเลยไม่รู้เป็นยังไง...^^) ปกติเวลาผมลงทุน ผมจะใช้แนวทางของ ปีเตอร์ลินซ์ครับ โดยแบ่งหุ้นที่เราจะลงทุนออกมาว่าอยากลงทุนในหุ้นเติบโต หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตช้า หุ้นวัฐจักร หุ้นทรัพย์สินมาก หุ้น Turnaround อย่างละกี่%ของเงินลงทุนทั้งหมดหนะครับ ดังนั้นมันจึงมี Limit ในการซื้อหุ้นแต่ละตัวแต่ละกลุ่มตาม จำนวนเงินทุนครับ และเวลาจะเปลี่ยนการถือหุ้นก็จะมีหลักของมันที่เราตั้งไว้แล้วครับ ขอแชร์ไอเดียการลงทุนบ้างนะครับ ขอบคุณครับ...^^) ปล. แต่ผมก็ลงทุนอยู่แค่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเติบโต กับกลุ่มแข็งแกร่งเท่านั้นแหละครับ กลุ่มอื่นๆผมไม่สันทัด...^^) ขอโทษจริง ๆ ครับที่ผมเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร (พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่องครับ 55+ (และกำลังหัดให้ดีขึ้นอยู่ครับ)) ประเด็นที่คุณ Plant จับได้ถูกต้องแล้วครับ ถ้าเราลงทุนนานขนาดหนึ่ง เราจะพบเห็นเหตุการณ์หนึ่งคือ ราคาหุ้นที่เราซื้อ(เพราะคิดว่ามันถูก มันดี) มันวิ่งสวนทางกับอารมณ์ตลาด ปัญหาก็คือ เราจะทำอย่างไงดี ซึ่งทางเลือกก็คงมีไม่มาก คือ 1.ถือไว้เพราะเห็นว่าเราคิดถูกอยู่แล้ว แต่ก็เสียว ๆ เลยไม่ทำอะไร 2.ซื้อเพิ่ม เพราะว่า ไม่ว่ามองอย่างไงเหตุผลที่เราซื้อก็ถูก ขนาด 10 บาทยังซื้อ แล้ว ราคาลงมา 7 บาท มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ซื้อ 3.ขายสะ เพราะว่า พื้นฐานอาจจะเปลี่ยนแล้ว และตลาดรู้ก่อนเรา สำหรับ MCS ในตอนนั้น ผมมีความรู้สึกแบบที่ 1 ผสมกับแบบที่ 2 (คือง่าย ๆ ว่าคิดว่าตัวเองคิดถูก PE ก็ 10กว่าเอง อัตตาการเติบโตก็ 10 กว่า ปั่นผลก็เยอะ ทุนเราก็ถูก ตลาดมันคิดผิดแน่ ๆ ) แต่พอผลประกอบการออกมาไม่ดีเหมือนที่คาด เหตุผลที่ดีทั้งหลายมันก็หายไป อะไรประมาณนี้ละครับ บทเรียนนี้ทำให้ผมคิืดว่า เราจะประมาทฝีมือนายตลาดไม่ได้เลย และต้องทบทวนเหตุผลของเรามากขึ้น เมื่อนายตลาดคิดต่างกับเราครับ โดย PrasertsakK เสาร์ ก.พ. 02, 2013 2:09 pm

Re: สอบถามเรื่องเหตุผลที่ขายหุ้นครับ...-_-??) คือผมสงสัยในตำราที่ได้เรียน ได้อ่านมาครับ ว่า vi จะประเมินราคาที่เหมาะสม แล้วซื้อที่ราคาต่ำ กว่าที่ประเมินได้(มีmos) แต่เวลาขายผมกลับเจอ 2 แบบครับ คือ 1.ขายเมื่อราคาเต็มหรือเกินมูลค่าของหุ้นไปแล้ว ก็คือมากกว่าที่เราประเมินไว้ กับ 2.ขายเมื่อปัจจัยต่างๆในตัวธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ต้องสนใจราคาที่วิ่งขึ้นมา ผมเลยสงสัยว่า 2 ทฤษฎีนี้มันขัดแย้งกันหนะครับ แล้วช่วงนี้หุ้นก็ขึ้นเกินมูลค่าดีจริงๆ และมีหลายคนเริ่มลังเลว่าจะขายไม่ขายดี(รวมผมด้วย...^^) เลยอยากจะให้พี่ที่ผ่านร้อน ผ่านหนาวในหนทางของvi มาแล้วได้พูดถึง 2 ทฤษฎีนี้ให้เด็กใหม่อย่างผมและอีกหลายๆ ได้เข้าใจและนำไปศึกษาหาแนวทางของตนเองต่อๆไปครับ ขอความกรุณาด้วยครับ ขอบคุณครับ...^^) ผมคิดว่าทั้งสองวิธีมีปัญหาในบางส่วนครับ อย่างข้อ 1 ปัญหาก็คือเราไม่มีทางรู้ว่าอารมณ์ของตลาดจะดีต่อเนื่องนานแค่ไหน อาจจะ 1 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือหลายปี ถ้าเราขายไปเลย เราก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรที่ควรจะได้ไปพอสมควรเลย แถมเราก็ไม่รู้ว่าที่เราประเมินว่า 10 บาทในตอนแรก คือราคาที่ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั้นคือ พอราคาขึ้นมา 20 บาท เราก็ไม่แน่ใจว่ามันเกินมูลค่าไปมากขนาดไหน ถ้าเราขาย ราคาอาจจะขึ้นต่อไปอีกยาวนาน หรือว่า อาจจะลงมาเหมือนที่เราคิดก็ได้ ซึ่งมันยากที่จะบอก แต่การขายเลยก็มีข้อดีอย่างหนึ่งครับคือ เราได้กำไรแน่ ๆ (ประมาณว่าสบายใจดี) ส่วนของ 2 : ก็มีปัญหาว่า เมื่อเราขายเมื่อตัวธุรกิจเปลี่ยน เราขายไม่ทันเมื่อกิจการเปลี่ยนจริง ๆ นั้นคือ ถ้าเราจะใช้วิธีนี้ เราต้องมีความสามารถประเมินคุณภาพของกิจการให้เร็วกว่าคนอื่นได้สองสามก้าว (นั้นคือปัญหาครับ เพราะ เราอาจจะไม่มีความสามารถนี้) จากประสพการณ์จริง ผมซื้อ MCS ทุนประมาณ 3 บาท ราคาขึ้นมา 10 บาท เพื่อนแนะนำว่าขายเพราะว่าดูมันเกินมูลค่ามากไปแล้ว(ซื้อมาด้วยกัน) แต่ผมคิดว่ากิจการไม่ได้เปลี่ยนอะไร แถมยังคิดว่ากิจการน่าจะมีอัตตรากำไรเพิ่มขึ้นจากมาตราฐานใหม่ที่จะได้รับ แถมทุนเราก็ถูกมาก ถือไปเรื่อยก็ไม่เสียหายอะไร วันดีคืนดี ราคาขยับลงมา เราก็รู้สึกว่าดีจัง ถ้าลงมาเยอะ ๆ จะซื้อเพิ่มไปอีก แต่พองบออก พื้นฐานที่เคยคิดว่าดี ก็มีคนมาบอกเรามากมายว่ามันห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ราคาก็ไหลลงมา แล้วผมก็เริ่มทำตัวไร้สติ T T ซื้อเพิ่มบาง ขายบาง งง ๆ กับตัวเองไปหมด ปัจจุบันพยายามใช้วิธีการดูแบบองค์รวม คือ ดูว่าตัวที่เราถืออยู่กับตัวที่เราจะซื้อ(watching list)ตัวไหนดีกว่ากัน โดยให้คะแนนในมุมต่าง ๆ ทั้งเชิงคุณภาพแล้วปริมาณ ออกมาเป็นตัวเลข โดยตัวwatching list ต้องมีคะแนนสูงกว่าอย่างน้อย 10 % ถึงทำการสลับตัว แต่ปัญหาของวิธีนี้ก็มีตรงที่ ในสภาวะแบบนี้ watching list ของผมมันมีคะแนนต่ำเตี้ย แถม หุ้นที่ถือคะแนนก็เริ่มต่ำลงต่ำลง แม้บางตัวจะเข้ากฎของตัวเอง ก็ทำใจซื้อไม่ได้ แถมผมเลยต้องตั้งกฎเพิ่มว่า ถ้าจะซื้อ จะมีคะแนนขั้นต่ำไปด้วย เลยทำให้ผมเริ่มไปใช้ข้อ 1 บาง เพื่อเพิ่มความสบายใจ โดย PrasertsakK ศุกร์ ก.พ. 01, 2013 11:17 am

Re: วิธีการวัดผลพอร์ตหุ้น สงสัยในส่วนของ XIRR ครับ ในกรณีที่เราได้เงินปันผลมา แล้วเราเอาเงินปันผลนั้นไป reinvest ทั้งก้อนทันที แบบนี้เราต้องใส่ข้อมูลแบบไหนเหรอครับ ไม่ต้องใส่ขข้อมูลในตารางเลยครับ เพราะส่วนของปันผลที่ทำการreinvest จะไปอยู่ในบรรทัดสุดท้ายในส่วนมูลค่าพอร์ทครับ โดย PrasertsakK อังคาร ม.ค. 01, 2013 9:24 pm

Re: วิธีการวัดผลพอร์ตหุ้น ใช้ excel คิด XIRR แบบเอา cash flow มาคิด ถ้าเราเติมเงินเข้าพอร์ตเป็น (-) ถ้าเราเอาเงินออก (เช่นรับปันผล) ก็มาร์กเป็น (+) และเอาวันที่ปลายปีเป็นมูลค่าพอร์ตเป็นบรรทัดล่างสุดเป็นบวก โดยบรรทัดบนสุดเป็นมูลค่าเมื่อปลายปีที่แล้วเป็น (-) นี่น่าจะง่ายที่สุดและถูกต้องที่สุดแล้ว DDM ก็คิดแบบนี้เลย เป็น valuation แบบง่ายที่สุดแบบนึง น่าจะลองทำดูก่อนที่จะซื้อหุ้นซะอีกครับ ** ขออนุญาติคุณ simplelife อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ XIRR ครับ การใช้ XIRR เป็นฟังก์ชั่นหาอัตราผลตอบแทนโดยเฉลี่ยตามคาบเวลาที่ไม่มีความสม่ำเสมอซึ่งจะเป็นการหาผลตอบแทนเฉลี่ยตามช่วงเวลาที่เราสนใจ 2 จุด วิธีนี้ก็มีข้อดีตรงที่วิธีนี้สามารถคำนวนผลตอบโดยหักส่วนที่เป็นปั่นผลออกมาได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เห็นภาพของการเติบโตของพอร์ทหุ้นที่เราถือได้ชัดเจนมาก แต่ในความเห็นของผม วิธีนี้น่าจะเหมาะกับนักลงทุนหุ้น 100% หรือ วัดแค่ผลงานการลงทุนเฉพาะหุ้น โดยไม่จำเป็นที่จะดูภาพรวมๆ วิธีการนี้อาจจะได้ผลลัพย์ที่แตกต่างจากการใช้NAVบางเพราะว่าเป็นการหาค่าเฉลี่ยครับ อย่างตัวอย่างที่คุณ sutthipat ยกขึ้นมาเมื่อใช้ XIRR จะได้ค่า 73.92% ซึ่งแตกต่างกับการใช้ NAV ที่ผมเสนอไปอยู่เล็กน้อยครับ ส่วนวิธีการไหนจะถูกต้องกว่ากันผมว่าคงไม่ได้สำคัญอะไร เพราะว่า ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนนั้นไม่ใช่ผลตอบแทน แต่เป็นวิถีที่เราเดินครับ ส่วนผลตอบแทนที่ได้เป็นแค่รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเดินทางครับ สุดท้ายปีใหม่นี้ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติครับ PS: สำหรับคนที่สนใจวิธีการคำนวนโดยใช้ XIRR ผมลองทำวิธีไว้ ยังไงก็ลองมาอ่านนะครับ http://www.thorfun.com/story/view/UOEgd67rWYdjABsG โดย PrasertsakK จันทร์ ธ.ค. 31, 2012 12:29 pm

Re: 2012 Investment Diary ปีนี้เป็นปีที่ผมได้ผลตอบแทนเกินคาดกว่าที่ผมคาดไว้มาก แม้แนวคิดการลงทุนอาจจะมีความผิดพลาดไปบาง แต่จากความโชคดีและสภาวะตลาดที่ดีก็เป็นไปได้ครับ ผมเขียนทบทวนสรุปการลงทุนของผมขึ้นมา พร้อมกำหนดเป้าหมายการลงทุนปีหน้าไว้ ซึ่งได้แนวคิดจากน้อง sun tse เลยเอามา share ให้เพื่อน ๆ อ่านครับ http://www.thorfun.com/story/view/UN_nU67rWZJEAAWh (อยากจะแนะนำเพื่อน ๆ นักลงทุนลองทำดูนะครับ) โดย PrasertsakK อาทิตย์ ธ.ค. 30, 2012 4:15 pm

Re: วิธีการวัดผลพอร์ตหุ้น ผมคิดว่าการนำกำไรทั้งปี หารด้วยต้นทุนทั้งปีนั้น ดูจะเป็นการวัดที่ไม่ค่อย fair เท่าไร เช่น ถ้าเราเติมเงินเดือนที่ 11 ไปสัก 100% ของเงินเก่า มันจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่น้อยเกินจริง อย่างตัวอย่าง กำไรทั้งปี เท่ากับ 900 และทุนทั้งปี เท่ากับ 1500 พอหารกันมันจะได้แค่ 60% แต่จริง ๆ แล้วควรจะมากกว่านั้น ผมคิืดว่าการคำนวนโดยทำให้เป็น NAV น่าจะวัดได้ถูกต้องกว่า ซึ่งน่าจะได้ประมาณ 71.43% ครับ ส่วนวิธีคำนวนดูได้จาก blog ผมครับ http://prasertsakk.blogspot.com/2011/09/how-to.html โดย PrasertsakK จันทร์ ธ.ค. 24, 2012 5:56 pm

Re: บริษัทเพื่อการลงทน ที่เคยได้ยินจะมีเป็นลักษณะของบริษัทประจำตระกลูนะครับ โดยทำเป็นลักษณะ holding company แต่ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องการทำงบและการแบ่งส่วนให้ผู้ถือหุ้นครับ เพราะว่า โดยปกติแล้วในเมืองไทย ถ้าเป็นส่วนบุคคลเราจะเสียภาษีแค่ภาษีปั่นผล แต่ถ้าเป็นรูปของบริษัทแล้วมีกำไร จะต้องเสียภาษีตัวกำไรด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ การทำเป็นบริษัทก็จะเสียเปรียบครับ (ใน US เสียภาษีกำไรจากการถือหุ้นอยู่แล้ว การเปิดเป็นบริษัทจะทำให้ได้เปรียบเรื่องภาษี รวมถึง สามารถหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้ด้วย) รบกวนผู้รู้เรื่องกฏหมายชี้แจ้งด้วยครับ ^ ^ โดย PrasertsakK จันทร์ ธ.ค. 24, 2012 5:28 pm

Re: พอร์ทเริ่มต้นหลักแสนแล้วได้ผลตอบแทนปีละ20เปอร์เซนต์แล้วไ อันนี้น่าจะพออธิบายได้ครับ http://prasertsakk.blogspot.com/2011/09/blog-post.html โพสมานานแล้วละ หวังว่าคงช่วยได้ครับ โดย PrasertsakK ศุกร์ ธ.ค. 07, 2012 5:12 pm

Re: VI กับ Property Fund แล้วอย่าลืมตรวจสอบข้อมูลเชิงคุณภาพของที่อยู่นั้นด้วยครับ เช่น Property Fund นั้นมีลูกค้าเ็ป็นใคร (ลูกค้าอาจจะเช่าสำหรับพักอาศัย หรือว่า ทำธุรกิจ หรือ เขาเช่าไปทำอะไรกันแน่) เพื่อศึกษาความเสี่ยงของธุรกิจและจะได้รู้ว่าสาเหตุอะไรที่จะทำให้ลูกค้าของ property Fund นั้นไม่เช่า ต้องดูว่า โอกาสที่จะเกิดใหม่คู่แข่งขันของ property fund นั้นมีมากแค่ไหน ดูความสามารถในการปรับราคาเช่าว่าสามารถปรับขึ้นได้เรื่อย ๆ หรือเปล่า ดูว่า brand แข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อเปรียบเทียบการคู่แข่งอื่นในพื้นที่นั้นในบริเวณข้างเคียง ถ้าเป็น freehold ราคาที่ดินบริเวณนั้นมีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต เป็นต้นครับ ผมว่าพอตัวสอบคุณภาพแล้วเราพอใจแล้ว ก็พยายามซื้อให้ได้ราคาต่ำ พอที่จะได้ปั่นผลสัก 6-7% ขึ้นไปก็น่าจะ happy แล้วนะ ลงทุนอย่างมีสติครับ โดย PrasertsakK พุธ ธ.ค. 05, 2012 2:52 pm

Re: พักเรื่องหนัก ๆ ทางการเมือง มาดูคณิตศาสตร์ที่อาจจะเกี่ยว ยอดเยี่ยมครับ อ่านย่อหน้าแรก ๆ แล้วกำลังจะเข้ามาแย้งอยู่พอดีเลยว่าตรรกะมันผิด อ่าน ๆ ไปจนจบเลยพึ่งรู้ถึงวัตถุประสงค์ของบทความครับ :) เรื่อง โอกาสและความน่าจะเป็น นี่เป็นหัวข้อทางคณิตศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญตกม้าตายกันมากที่สุดครับ ท่านใดสงสัยว่าทำไม ขอเชิญลองคิดคำนวนปัญหานี้ดูครับ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=14&t=41032 ... ขอบคุณครับให้กำลังใจบทความที่เขียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรครับ ผมชอบตัวอย่างคุณ peacedev ให้มามากครับ ยิ่งทำให้เห็นปัญหาเรื่องตรรกะของเรามากขึ้นเลยครับ ขอบคุณมากครับ PS: จริง ๆ แนวคิดการเขียนนี้เกิดเพื่อบอกว่า พวกเราอ่อนแค่ไหน ขนาดกับวิชาคณิตศาสตร์ฺที่มีความเที่ยงตรง วัดได้ เรายังสามารถตีความผิดไปได้ไกล ไม่ต้องพูดถึงวิชาหุ้นเลยครับ มันตีความผิดกันได้ง่าย ๆ เลย คิดถึงประโยคที่กล่าวกันถึงบ่อย ๆ เลยครับว่า "It's simply but not simple" โดย PrasertsakK เสาร์ ธ.ค. 01, 2012 2:47 pm

Re: Insider Trading ผมว่าเกี่ยวกับ Insider Trading เป็นเรื่องเฉพาะตัวครับ เช่น ความสัมพันธ์ของนักลงทุนกับตัวผู้บริหาร หรือ อะไรประมาณนี้ ซึ่งผมเห็นว่านักลงทุนควรจะตระหนักว่ามันมี Insider จริง และควรระมัดระวังกับผู้บริหารที่ให้ข่าวลักษณะนี้ และควรหลีกเลี่ยงกับการลงทุนกับหุ้นแบบนี้ เพราะว่า เราไม่มีทางรู้ว่าจริง ๆ แล้วผู้บริหารคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงให้ข่าวกับเรา (หวังดีจริง ๆ หรือว่าแค่หาผลประโยชน์) ผมว่ายิ่งมีใหม่ ๆ แล้ว การเข้าไปศึกษาธุรกิจ งบการเงิน โอกาสการเติบโตของอุตสหกรรม และเรื่องที่เราไม่รู้อีกตั้งเยอะ น่าจะมีความสำคัญกว่ามาก แล้วถ้าเก่งพอสมควรแล้ว จะนำข้อมูลผู้บริหาร(Insider)มาเป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่หลักใหญ่ เราก็อาจจะหากำไรได้เพิ่มขึ้น แต่ความเห็นส่วนตัว ผมว่าไม่ยุ่งด้วยก็น่าจะดีกว่านะ > < โดย PrasertsakK ศุกร์ พ.ย. 02, 2012 11:57 am

Re: ระยะยาวดัชนีโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไม คนส่วนใหญ่ถึง"ขาดทุน" คุณ พิชัย จาวารา ได้สร้างทฤษฏี เศรษฐศาสตร์แห่งความเป็นจริง อธิบายว่าคนส่วนมากขาดทุน คนส่วนน้อยกำไร ดังนั้นคนเล่นหุ้นส่วนมากจะขาดทุน แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเป็นคนส่วนน้อย ถ้ามีข่าวที่ตามเหตุผลแล้วหุ้นจะขึ้นให้ขายซะ ถ้ามีข่าวที่เรามั่นใจว่าหุ้นจะลงให้ซื้อซะ ทำแบบนี้ เราก็จะทำเหมือนคนส่วนน้อย เราก็จะได้กำไร ตามทฤษฎีของแก แกออกตัวอีกนิดถ้าเล่นแบบบัฟเฟ็ตถือยาวก็จะไม่ขาดทุน ผมฟังทฤษฎีแกแล้วผมอึ้ง และผมอึ้งหนักกว่านั้นที่มีคนเชื่อแกมากพอสมควร สำหรับผม ผมเชื่อว่ามีคนกลุ่มหนึ่งควบคุมหุ้นทุกตัวได้โดยอาศัย soft ware คนกลุ่มนี้เล่นหุ้นโดยใช้ soft ware ทั้งลากและทุบ การจะลากหรือทุบขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ ณ.เวลานั้นๆ คนที่ควบคุมนั้นจะกำไรเสมอ เพราะซื้อขายโดย soft ware ซึ่ง ได้เปรียบมนุษย์มาก เพราะ soft ware มีข้อมูลทุกอย่างๆ เพื่อที่จะได้กำไรเสมอ เมื่อตลาดเริ่มมีอาการณ์ soft ware เห็น และเริ่มเปิดฉากการขาย (ใครขายไม้แรกๆได้เปรียบ) ด้วยความฉลาดของ soft ware ไม่ว่าจะทุบหรือลาก คนควบคุมได้กำไรเสมอ บางครั้งก็ทุบลึกมาก บางครั้งก็ทุบลงไม่กี่ช่อง จะเห็นว่าคนทั่วไปจะไม่รู้เลยว่า ตอนหุ้นลงจะลงสุดเมื่อไหร บางทีอยู่ดีๆก็ขึ้นมาเฉยๆ เมื่อคนคุบคุมได้กำไรโดยเฉลี่ย คนที่เล่นเกมนี้ กับ Soft ware ก็ต้องขาดทุนโดยเฉลี่ยเหมือนกัน ผมขออนุญาติแนะนำให้ดูหนังเรื่อง Margin call ครับ อาจจะได้มุมดี ๆ ครับ โดย PrasertsakK เสาร์ ต.ค. 20, 2012 1:15 pm

Re: แนะนำหนังสือ "บทเรียนจากสุดยอดนักลงทุนผู้กำชะตกกองทุนของ สรุปตอนที่ 2 ผมเขียนเสร็จแล้วครับ http://www.thorfun.com/story/view/UIDwnq7rWewrAHZC โดย PrasertsakK ศุกร์ ต.ค. 19, 2012 2:06 pm

Re: แนะนำหนังสือ "บทเรียนจากสุดยอดนักลงทุนผู้กำชะตกกองทุนของ ของสำนักพิมพ์ไหนครับ ผมหาใน se-ed ไม่เจอ ผมก็ซื้อที่ Se-ed นะคราบ แต่ที่สาขาที่ผมซื้อ(ขอนแก่น)มาแค่ 3 เล่มเอง กว่าจะหาเจอนานเหมือนกัน โดย PrasertsakK พุธ ต.ค. 17, 2012 11:16 pm

Re: Valuation course by Prof Aswath Damodaran ขอบคุณครับ ^ ^ ต้องตามไปฟัง โดย PrasertsakK พฤหัสฯ. ต.ค. 11, 2012 4:32 pm

Re: อบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1 [Part 2/2 ตกผลึกความ - บริษัทที่ซื้อวัตถุดิบเป็น Commo แต่ขายสินค้าเป็น Brand name จะได้เปรียบ ช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมบริษัทอย่างนี้ถึงได้เปรียบ ? ? ? ? ? ? โดย PrasertsakK อังคาร ต.ค. 09, 2012 11:02 am

Re: ยกเลิกขายเบนซิน91 ดีเดย์ 1 ม.ค.56 ผมว่า คงจะไม่ง่ายเท่าไร เพราะเห็นเปลี่ยนวัน ดีเดย์มาหลายครั้งแล้ว ส่วนตัวผมเคยโทรไปถามศูนย์ว่ารถรุ่นผมใช้ Gas91 ได้หรือเปล่า ปรากฎว่าเขาบอกว่าไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่รถก็ไม่ได้เก่ามากนะครับ MAZDA3 ครับ แต่ผมคิดว่า ถ้าอยากยกเลิกจริง ๆ ต้องยกเลิก Gas91 แล้ว ให้น้ำมัน Gas91 ติดป้ายว่า เ้บนซิน91 แล้วไม่้ต้องประกาศออกสื่อ แค่นี้ผมว่าก็เปลี่ยนได้ละ (แต่ทาง PTT ช่วยรับผิดชอบด้วยนะครับ ถ้ารถของพวกเราเสียเพราะว่าการเปลี่ยนนี้) โดย PrasertsakK ศุกร์ ต.ค. 05, 2012 3:03 pm

Re: ความเชื่อผิด ๆ ของ VI คือเชื่อคำแนะนำของกูรูมากไป ยกประเด็นได้โดนทุกครั้งจริงๆครับ อยากจะพบตัวจริงเสียแล้ว ^^ โดย PrasertsakK เสาร์ ก.ย. 29, 2012 12:49 pm

Re: นี้เป็นหนึ่งในความเสี่ยงของบริษัทที่ขยายไปต่างประเทศใช่ไ ที่เอาบทความนี้ขึ้นมาเนื่องจากช่วงนี้มีการพูดถูก AEC กันมาก และดูเหมือนจะมีหลาย ๆ บริษัทจะได้ประโยชน์อย่างมากในการขยายตัวไปต่างประเทศ และประโยชน์นี้ทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้นมาก เลยอยากให้เพื่อน ๆ นักลงทุนระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะขนาดบริษัทที่เก่งมาก ๆ อย่างเซ้นทรัลยังเจอปัญหาที่มองไม่เห็นเมื่อไปสู้รบต่างแดนครับ ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างมีสติครับ โดย PrasertsakK ศุกร์ ก.ย. 07, 2012 11:07 am

Re: ไม่ทราบว่าพี่ๆดูส่วนไหนเป็นสำคัญในงบการเงินของ property สุดท้าย อย่าลืมดูความสามารถในการสร้างรายได้ในอนาคตของ property นั้นและความเสี่ยงในการที่ลูกค้าของพื้นที่นั้นจะไม่ใช้บริการด้วยครับ โดย PrasertsakK พุธ ก.ย. 05, 2012 2:03 pm

Re: หลักสูตรอบรม การลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1 เดือนตุลาคม รอบนี้คงจะไม่ได้ครับ เพราะว่า อยู่ต่างจังหวัดครับ ไป ๆ กลับ ๆ ไม่ไหว ถ้ามีประเภท 5 วันติดกันเลยนี้ไปแน่นอนครับ (อยากรบกวนทางสมาคมพิจารณาปัญหาของเด็กบ้านนอกด้วยครับ ขอบคุณครับ) โดย PrasertsakK อังคาร ก.ย. 04, 2012 2:01 pm

Re: ฟรี ! แบ่งปันสรุปหุ้นรายตัว ย้อนหลัง 15 ปี ง่าย รบกวนด้วยครับ [email protected] โดย PrasertsakK เสาร์ ก.ย. 01, 2012 4:49 pm

Re: หลังงาน สังสรรค์วีไอ ไตรมาส2 ปี 55 เป็นอย่างไรกันบ้างคร ทำบันทึกย่อมาเหมือนกันครับ เลยเอามา share จะได้มีมุมมองหลาย ๆ มุมครับ http://prasertsakk.blogspot.com/2012/08/vi_8053.html โดย PrasertsakK อาทิตย์ ส.ค. 26, 2012 10:20 am

Re: สูตร ปีเตอร์ ลินซ์ อย่าลืมวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพว่าอัตตราการเติบโตในอดีต ยังสามารถเติบโตได้ต่อไปในอนาคตด้วยนะครับ เดียวจะโดนกับดักสูตรสำเร็จครับ > < โดย PrasertsakK ศุกร์ ส.ค. 24, 2012 11:22 am

Re: VI โคราชส่งเสียงหน่อยครับ ขอนแก่นพอได้ไหมครับ :D โดย PrasertsakK พฤหัสฯ. ส.ค. 23, 2012 2:45 pm