หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
pakapong_u
Joined: อาทิตย์ ก.ย. 07, 2008 5:10 pm
40089
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
1
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - pakapong_u
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: SNNP
ศรีนานาพร เปิดเกมรุก ส่ง ‘กัญชง’ ตีตลาดไทย-ยุโรป ศรีนานาพรโตสวนกระแสโควิด เตรียมส่ง เจเล่กัญชงและน้ำดื่มผสมวิตามินอควา วิตซ์กัญชง เจาะตลาดไทย-ยุโรป ไตรมาส3 ชิงแชร์ตลาด 8 แสนล้านบาท 19 Jun 2021 14:12 น. ศรีนานาพร เปิดเกมรุก ส่ง ‘กัญชง’ ตีตลาดไทย-ยุโรป นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วงโควิดที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยเฉพาะส่วนของยอดขายจากนักท่องเที่ยวที่หายไป บริษัทจึงปรับตัวหันไปขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้นเพื่อให้รายได้กลับเข้ามา โดยในปี 2563 มีรายได้รวม 4,435 ล้านบาท ลดลง 6.5 % จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,748 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/2564 มีรายได้รวม 1,239 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากการขยายต่างประเทศบริษัทยังให้ความสำคัญในการขยายไลน์สินค้าเพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้นโดยพัฒนาสินค้าตามเทรนด์ตลาดคือ เจเล่กัญชงและน้ำดื่มผสมวิตามิน อควา วิตซ์กัญชง คาดว่าจะสามารถวางจำหน่ายในประเทศได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ พร้อมรุกส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศในไตรมาส 4 ทันที โดยจะโฟกัสไปที่ตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป เนื่องจากมีหลายประเทศให้กัญชาถูกกฎหมายและยังไม่มีผลิตภัณฑ์เจลลี่ผสม CBD และน้ำดื่มวิตามินผสม CBD วางจำหน่าย ในขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของCBD จะสูงกว่าผลิตภัณฑ์ปกติอย่างน้อย 1 เท่าตัว เนื่องจากบริษัทจะใช้สารสกัดCBD ที่ให้ฤทธิ์ผ่อนคลายล้วนไม่มีสาร THC ที่ให้ฤทธิ์กระตุ้นประสาทผสม ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตและสกัด CBD คุณภาพดียังมีน้อยทำให้ต้นทุน CBD สกัดบริสุทธิ์มีราคาสูงมากราคาผลิตภัณฑ์จึงสูงตามไปด้วย ทำให้การทำการตลาดในยุโรปสามารถกระจายได้กว้างกว่าในเอเชียที่คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เฉพาะประเทศจีนที่ กัญชง ถูกกฎหมาย “บริษัทพัฒนาสินค้าเรียบร้อยแล้วและอยู่ในขั้นตอนการสำรวจตลาด ว่าผู้บริโภคชอบแนวไหน แต่เราจะใช้ CBD มาเป็นส่วนประกอบ แน่นอน เราจะไม่ตามกระแส เราจะทำตามความถูกต้องเพราะตอนนี้พรบ.อาหารและยายังไม่คลอด บางคนก็เร่งออกผลิตภัณฑ์ไปก่อนเลยใส่ได้แค่กลิ่นเทอปีน เพราะฉะนั้นภายในไตรมาส 3 นี้สินค้าของเราจะออกออกสู่ตลาดแน่นอน หลังจากนั้นจะเริ่มส่งออกไปประเทศที่ CBD ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น จีน ซึ่งปัจจุบันศรีนานาพร ได้เข้าไปจดทะเบียนบริษัทในประเทศจีนแล้ว เพื่อลดข้อจำกัดต่างๆทั้งเรื่องภาษีนำเข้า และโอกาสในการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นช่องทางการจำหน่ายที่สำคัญมากในตลาดจีนและเน้นไปที่ประเทศยุโรปเพราะมีหลายประเทศที่ CBD ถูกกฎหมาย อีกสาเหตุหนึ่งคือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ CBD เป็นสินค้าที่ราคาแพงกว่าสินค้าพื้นฐานทั่วไป เพราะต้นทุนวัตถุดิบแพงเราจึงต้องขายแพงไม่ใช่เพราะเราอยากขายแพง การตลาดเราจะแคบมันไม่ทั่วถึงและไม่คุ้มค่าที่จะทุ่มการตลาดเข้าไป” นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ บริษัทยังมีแผนรุกตลาดขนมขบเคี้ยวผสมกัญชง โดยใช้ขนมปังขาไก่โลตัส ที่มีความแข็งแรงของแบรนด์มาต่อยอด ซึ่งอาจจะใช้ใบกัญชงหรือเมล็ดมาบดผสมเป็นกิมมิค เจาะกลุ่มแมส เพราะต้นทุนถูกกว่าสารสกัด CBD ทำให้ราคาสินค้าไม่แตกต่างกับสินค้าพื้นฐานมากนัก ศรีนานาพร เปิดเกมรุก ส่ง ‘กัญชง’ ตีตลาดไทย-ยุโรป ทั้งนี้ปัจจุบันตลาดกัญชาและกัญชงทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตกว่า 30% ต่อปีและอีก 4 ปีข้างหน้ามูลค่าตลาดจะเพิ่มเป็นกว่า 3 ล้านล้านบาท จากการที่ประเทศต่างๆทั่วโลกซึ่งขณะนี้มีไม่น้อยกว่า 68 ประเทศที่เปลี่ยนนโยบายจากพืชเสพติดเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยตลาดหลักยังคงเป็นเป็นสหภาพยุโรป มูลค่า 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รองลงมาคือ สหรัฐ 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเอเชีย 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หน้า 14-15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,688 วันที่ 17 - 19 มิถุนายน พ.ศ. 2564
โดย
pakapong_u
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2021 9:40 am
0
2
Re: SECURE
"เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว"เดินหน้าขายไอพีโอ 27.74 ล้านหุ้น จ่อเข้า mai ใน Q3/64 - ตั้งบล.หยวนต้าฯเป็นพี่เลี้ยง โชว์ศักยภาพน้องใหม่ ธุรกิจ Cyber security รายแรก ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 17, 2021 11:34 —ThaiPR.net "บมจ.เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว" หรือ SECURE พร้อมขายไอพีโอ จำนวน 27.74 ล้านหุ้น เตรียมระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในไตรมาส 3/64 และแต่งตั้ง บล.หยวนต้าฯ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ฟาก "นักรบ เนียมนามธรรม " ซีอีโอ เผยนำเงินสร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค ลงทุนเพื่อวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ และใช้เป็นทุนหมุนเวียน ชูจุดเด่นเป็นหุ้นไอพีโอน้องใหม่ในธุรกิจ Cyber security รายแรกที่ระดมทุนในตลาดหุ้น นายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด(มหาชน) หรือ SECURE ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) และให้บริการที่เกี่ยวข้อง เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมในทุกๆ ด้านโดยมีแผนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 27.74 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27.0 ของทุนจดทะเบียน ก่อนการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ และได้แต่งตั้งให้ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้สร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค (Technical Support Center), การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์(Cyber security),การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน "การตัดสินใจระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจมีโอกาสในการขยายการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เมื่อผนึกเข้ากับผลประกอบการที่เติบโต เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากการที่องค์กรต่างๆที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล โดยเฉพาะจากแผนการบังคับใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.2562 และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่คาดว่าจะมีผลบังคับในปี 2565 ส่งผลให้บริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต รวมทั้งจะทำให้มีโอกาสรับงานโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น ขณะเดียวกันได้เพิ่มศักยภาพการพัฒนาองค์กรผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และพันธมิตรต่างๆ รวมถึงการขยายธุรกิจในต่างประเทศอีกด้วย"นายนักรบกล่าว สำหรับการลงทุนในอนาคต บริษัทฯ มีแผนสร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค และขยายทีมบุคลากรในฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้กับลูกค้า และใช้ในการสาธิตการทำงานของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ และสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งมีแผนลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และซอฟต์แวร์ด้าน Cyber security ที่จะช่วยในการเชื่อมต่อโซลูชั่นของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่าย เข้ากับระบบต่างๆ ของลูกค้า และอาจมีการร่วมมือกับบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขายซอฟท์แวร์ ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (White Label) ตลอดจนการซื้อทรัพย์สินทางปัญญาจากบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ ด้านนายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า SECURE เป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจในการลงทุนอย่างมาก เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีผลประกอบการเติบโตในทิศทางที่ดีมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และจุดเด่นที่สำคัญคือ มีความเชี่ยวชาญอย่างสูงในด้าน Cyber security ผสานกับความเข้าใจในความต้องการของตลาด รวมถึงการมีโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าหลายกลุ่ม อาทิ ภาครัฐ สถาบันการศึกษา สาธารณสุข สถาบันการเงิน กลุ่มผู้ให้บริการ และกลุ่มองค์กรธุรกิจ จึงถือเป็นอีกบริษัทที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการลงทุน ขณะที่แนวโน้มในอนาคตที่ยังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกมาก ตามการขยายตัวของโลกยุคดิจิทัล ที่มีการปรับเปลี่ยนและเพิ่มความซับซ้อนทางด้านเทคนิคที่มีผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นได้ภายในไตรมาส 3/2564 สำหรับผลประกอบการย้อนหลังในช่วง 3 ปี (2561-2563) ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 575.70 ล้านบาท 650.78 และ 639.14 ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิจำนวน 69.46 ล้านบาท 58.42 ล้านบาท และ 23.73 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 52.97 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 105.94 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 37.50 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 75 ล้านหุ้น โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 51.37 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 102.74 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2021 1:28 pm
0
1
Re: SECURE
SECURE เล็งเคาะราคาขาย IPO 27.74 ล้านหุ้นในมิ.ย. เข้าเทรดตลาด mai ก.ค. ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 17, 2021 12:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ.เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว (SECURE) เปิดเผยว่า เตรียมเคาะราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ในเดือน มิ.ย. จำนวน 27.74 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27.0 ของทุนจดทะเบียน ก่อนที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในเดือน ก.ค. นี้ สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้สร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค (Technical Support Center), การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์(Cyber security),การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ที่ผ่านมาบริษัทได้รับการตอบรับจากลูกค้าหลายกลุ่ม อาทิ ภาครัฐ สถาบันการศึกษา สาธารณสุข สถาบันการเงิน กลุ่มผู้ให้บริการ และกลุ่มองค์กรธุรกิจ จึงถือเป็นอีกบริษัทที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับการลงทุน ขณะที่แนวโน้มในอนาคตที่ยังสามารถเติบโตต่อไปได้อีกมาก ตามการขยายตัวของโลกยุคดิจิทัล ที่มีการปรับเปลี่ยนและเพิ่มความซับซ้อนทางด้านเทคนิคที่มีผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้น ด้านนายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SECURE เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ครั้งนี้จะช่วยหนุนให้บริษัทมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ค้วยความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ที่จะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีให้ความสนใจที่จะแต่งตั้งให้บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตลาด Cyber security ของประเทศไทยยังมีโอกาสการเติบโตอีกมากเมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ Cyber security ในต่างประเทศ โดยหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปเป็นการทำงานผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น และทิศทางการทำงาน การใช้ชีวิต ระบบการจ่ายเงิน การซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูลต่างๆ และความเป็นส่วนตัว ที่ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาระบบ Cyber security เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย สำหรับแผนการลงทุนสร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิคและขยายทีมบุคลากรในฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้กับลูกค้า และใช้ในการสาธิตการทำงานของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้ ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ และสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งมีแผนลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ด้าน Cyber security ที่จะช่วยในการเชื่อมต่อโซลูชั่นของผลิตภัณฑ์ที่บริษัท เป็นตัวแทนจำหน่าย เข้ากับระบบต่างๆ ของลูกค้า และอาจมีการร่วมมือกับบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขายซอฟท์แวร์ ภายใต้แบรนด์ของบริษัท (White Label) ตลอดจนการซื้อทรัพย์สินทางปัญญาจากบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ "ธุรกิจมีโอกาสในการขยายการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากการที่องค์กรต่างๆที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล โดยเฉพาะจากแผนการบังคับใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่คาดว่าจะมีผลบังคับในปี 65 ส่งผลให้บริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต รวมทั้งจะทำให้มีโอกาสรับงานโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น ขณะเดียวกันได้เพิ่มศักยภาพการพัฒนาองค์กรผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และพันธมิตรต่างๆ รวมถึงการขยายธุรกิจในต่างประเทศอีกด้วย"นายนักรบ กล่าว SECURE ประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) และให้บริการที่เกี่ยวข้อง โดยผลประกอบการย้อนหลังในช่วง 3 ปี (61-63) ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 575.70 ล้านบาท 650.78 และ 639.14 ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิจำนวน 69.46 ล้านบาท 58.42 ล้านบาท และ 23.73 ล้านบาท ตามลำดับ
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2021 1:27 pm
0
1
Re: STECH
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=332305 หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : 26/03/2564 วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : 16/06/2564 วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด / นางสาว จิรยง อนุมานราชธน
โดย
pakapong_u
พุธ มิ.ย. 16, 2021 7:54 pm
0
0
Re: STECH
STECH : บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต จำกัด (มหาชน) ประเภทธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงภายใต้เครื่องหมายการค้า “STEC” ได้แก่ เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงต่างๆ ให้แก่ภาครัฐบาลและเอกชน ตลอดจนให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการตอกเสาเข็ม ให้บริการรับเหมาก่อสร้างเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ หรืองานก่อสร้างที่บริษัทฯ มีผลงานและประสบการณ์ ได้แก่ งานติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และงานออกแบบ จัดหาพร้อมติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรม / หมวดธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง / วัสดุก่อสร้าง สถานะ Filing จำนวนหุ้นที่ IPO 203,500,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 28.07% ของหุ้นทั้งหมดหลัง IPO ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a ราคา IPO n/a ราคา PAR 1.00 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ข้อมูล Filing www.stec.co.th
โดย
pakapong_u
พุธ มิ.ย. 16, 2021 7:53 pm
0
0
Re: STECH
“สยามเทคนิคคอนกรีต” เตรียม IPO จำนวน 203.5 ล้านหุ้นเข้า SET 16/06/2021 16:53 ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH)” เดินหน้าระดมทุนขาย IPO จำนวน 203.5 ล้านหุ้น นำเงินใช้ลงทุนขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง โครงการต่างๆ พร้อมคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ เตรียมพร้อมรับโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ EEC น.ส.จิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง STECH ในวันที่ 16 มิ.ย.2564 โดยบริษัทฯ มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 203.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.07% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 3/2564 ทั้งนี้ STECH เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงภายใต้เครื่องหมายการค้า “STEC” ได้แก่ เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงต่างๆ ให้แก่ภาครัฐบาลและเอกชน ตลอดจนการให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการตอกเสาเข็ม อีกทั้ง บริษัทฯ ยังให้บริการรับเหมาก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ ได้แก่ งานติดตั้งระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 115 kV และงานออกแบบจัดหาพร้อมติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสง ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ทั้งสิ้น 9 แห่ง กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค ได้แก่ สระบุรี ชลบุรี สุโขทัย ลำพูน บุรีรัมย์ ขอนแก่น อุบลราชธานี และนครราชสีมา และมีโรงงานเสาเข็มสปัน ตั้งอยู่ที่สระบุรี อีกทั้ง ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 10 (สาขา 2) ที่ชลบุรี เพื่อรองรับอุปสงค์การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ EEC โดยการกระจายโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงตามพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการในผลิตภัณฑ์ และความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าจากโรงงานแก่ลูกค้าในภูมิภาคต่างๆ เพิ่มความพร้อมในการรองรับแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลและเอกชนอย่างต่อเนื่องในอนาคต ด้านนายวัฒน์ชัย มงคลศรีสวัสดิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามเทคนิคคอนกรีต (STECH) เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้การขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดชลบุรี สาขา 2 โครงการขยายกำลังการผลิตโรงงานดอนพุด โครงการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดมุกดาหาร โครงการซื้อรถขนส่งผลิตภัณฑ์คอนกรีต โครงการซื้อเครื่องกดกันสั่นสะเทือน โครงการพัฒนาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต นอกจากนี้ จะนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วยจุดเด่น STECH เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงรายใหญ่ของอุตสาหกรรม มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ให้บริการที่มีคุณภาพ พร้อมด้วย คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรงเป็นเวลามากกว่า 35 ปี และมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามาโดยตลอด ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนากระบวนการผลิต ตลอดจนประสิทธิภาพของบุคลากรและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,550.33 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากการขายและให้บริการมากกว่าร้อยละ 90% ได้แก่ รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประกอบเสาไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์คานสะพานและพื้นสะพานคอนกรีตอัดแรง เสาเข็มสปัน ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอื่นๆ และการให้บริการเคลื่อนย้ายและตอกเสาเข็ม ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการก่อสร้างโครงการ ได้แก่ งานโครงการสายส่งไฟฟ้า 115 kV และงานโครงการออกแบบ ติดตั้ง เคเบิ้ลใยแก้วนำแสงของภาครัฐ สำหรับกำไรสุทธิในปี 2563 อยู่ที่ 140.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.81% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 9.07% โดยบริษัทฯ มีนโยบายขยายประเภทสินค้าให้หลากหลาย สามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีกำไรจากงานรับเหมาก่อสร้างโครงการที่มากขึ้น รวมถึงมีการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้ดีขึ้นในปี 2563 ทั้งนี้ สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 399.89 ล้านบาท ใกล้เคียงงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 32.89 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 6% และมีอัตรากำไรสุทธิ 9.8% แม้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการการป้องกันการแพร่ระบาดดังกล่าวได้ดี ทำให้การดำเนินธุรกิจยังเป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลต่อภาพรวมผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม และบริษัทฯ พร้อมรับการเติบโต จากทิศทางการเดินหน้างานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชน และปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ต้องการให้เป็นโครงการนำร่องการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับแผนงานภาครัฐดังกล่าว
โดย
pakapong_u
พุธ มิ.ย. 16, 2021 7:44 pm
0
1
Re: SECURE
“SECURE”หุ้นไซเบอร์สุดฮอต โรดโชว์ออนไลน์ผ่านฉลุย เตรียมขึ้นแท่นหุ้นน้องใหม่ตลาด mai Q3/64 “บมจ.เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว” สุดปลื้มโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ประสบความสำเร็จ นักลงทุนเข้าฟังข้อมูล ชูจุดเด่นเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความ ปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) สัญชาติไทยรายเดียวในประเทศ มีทีมงานเต็มเปี่ยมด้วยประสบการณ์ ยาวนาน ฐานะทางการเงินแกร่ง คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในไตรมาส 3/64 นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด(มหาชน) หรือ SECURE เปิดเผย ว่าเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทีมผู้บริหารของ SECURE และที่ปรึกษาทางการเงินได้ร่วมกันนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุน VI โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจและแผนการดำเนินงานในอนาคต รวมทั้งได้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมากภายหลังจากที่ได้ระดมทุนและนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ไตรมาส 3/2564 นี้ “ผลการโรดโชว์ ต่อนักลงทุนผ่านระบบออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมาปรากฎว่า ผลการตอบรับจากนักลงทุนออกมาดีมาก เนื่องจาก SECURE ผู้นำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) และให้บริการที่เกี่ยวข้องที่มีลูกค้าหลายกลุ่ม อาทิ ภาครัฐ สถาบันการศึกษา สาธารณสุข สถาบันการเงิน กลุ่มผู้ให้บริการ และกลุ่มองค์กรธุรกิจที่เป็นบริษัทของคนไทยเพียงรายเดียวในประเทศ ประกอบกับผลประกอบการที่่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเชื่อว่าผลจากการโรดโชว์จะทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลการประกอบธุรกิจและข้อมูลฐานะการเงินของบริษัทฯ อย่างครบถ้วน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่มีต่อ SECURE มากยิ่งขึ้น” ทั้งนี้ผู้บริหารบริษัทฯ ยังได้ประเมินแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานในอนาคต ว่าจะยังคงเติบโตต่อไปได้อีกมาก ตามความก้าวหน้าของโลกดิจิทัลที่องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องมีระบบ Cyber Security เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญขององค์กรนั้นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่ฐานะการเงินยังมีมั่นคง และในอนาคตยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก ภายหลังจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจ บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 52.97 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 105.94 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 37.50 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 75 ล้านหุ้น ซึ่งจะเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทต่อ ประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 27.74 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ นายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด(มหาชน) หรือ SECURE กล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ว่า จะนำไปสร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค (Technical Support Center), การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์(Cybersecurity),การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน "การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพด้านฐานะทางการเงินมากยิ่งขึ้น ซึ่งเงินบางส่วนที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจในอนาคต เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้า คู่ค้า ทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขัน จึงมั่นใจว่าภาพรวมธุรกิจในอนาคต รวมถึงผลการดำเนินของบริษัทฯ จะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยมูลค่าการใช้จ่ายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของภูมิภาคอาเซียนในช่วงปี 2558 - 2568 มีอัตราการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี (ที่มา: A.T. Kearney, Cybersecurity in ASEAN) ซึ่งเมื่อ SECURE เข้าจดทะเบียนในตลาด mai แล้วเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น" นายนักรบกล่าวในที่สุด
โดย
pakapong_u
จันทร์ มิ.ย. 14, 2021 2:27 pm
0
3
Re: SECURE
SECURE หุ้นไซเบอร์สุดฮอต โรดโชว์ออนไลน์ผ่านฉลุย จ่อเข้าตลาด mai Q3/64 “SECURE” สุดปลื้มโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ประสบความสำเร็จ นักลงทุนเข้าฟังข้อมูล ชูจุดเด่นเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความ ปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) สัญชาติไทยรายเดียวในประเทศ มีทีมงานเต็มเปี่ยมด้วยประสบการณ์ ยาวนาน ฐานะทางการเงินแกร่ง คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในไตรมาส 3/64 นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด(มหาชน) หรือ SECURE เปิดเผย ว่าเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทีมผู้บริหารของ SECURE และที่ปรึกษาทางการเงินได้ร่วมกันนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุน VI โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจและแผนการดำเนินงานในอนาคต รวมทั้งได้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมากภายหลังจากที่ได้ระดมทุนและนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะระดมทุน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ไตรมาส 3/2564 นี้ “ผลการโรดโชว์ ต่อนักลงทุนผ่านระบบออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมาปรากฎว่า ผลการตอบรับจากนักลงทุนออกมาดีมาก เนื่องจาก SECURE ผู้นำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cyber security) และให้บริการที่เกี่ยวข้องที่มีลูกค้าหลายกลุ่ม อาทิ ภาครัฐ สถาบันการศึกษา สาธารณสุข สถาบันการเงิน กลุ่มผู้ให้บริการ และกลุ่มองค์กรธุรกิจที่เป็นบริษัทของคนไทยเพียงรายเดียวในประเทศ ประกอบกับผลประกอบการที่่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเชื่อว่าผลจากการโรดโชว์จะทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลการประกอบธุรกิจและข้อมูลฐานะการเงินของบริษัทฯ อย่างครบถ้วน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่มีต่อ SECURE มากยิ่งขึ้น” ทั้งนี้ผู้บริหารบริษัทฯ ยังได้ประเมินแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานในอนาคต ว่าจะยังคงเติบโตต่อไปได้อีกมาก ตามความก้าวหน้าของโลกดิจิทัลที่องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องมีระบบ Cyber Security เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญขององค์กรนั้นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่ฐานะการเงินยังมีมั่นคง และในอนาคตยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก ภายหลังจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจ บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 52.97 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 105.94 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 37.50 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 75 ล้านหุ้น ซึ่งจะเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทต่อ ประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 27.74 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ นายนักรบ เนียมนามธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด(มหาชน) หรือ SECURE กล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ว่า จะนำไปสร้างศูนย์ให้บริการด้านเทคนิค (Technical Support Center), การลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์(Cybersecurity),การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน "การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพด้านฐานะทางการเงินมากยิ่งขึ้น ซึ่งเงินบางส่วนที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ขยายธุรกิจ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจในอนาคต เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ลูกค้า คู่ค้า ทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขัน จึงมั่นใจว่าภาพรวมธุรกิจในอนาคต รวมถึงผลการดำเนินของบริษัทฯ จะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยมูลค่าการใช้จ่ายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของภูมิภาคอาเซียนในช่วงปี 2558 - 2568 มีอัตราการเติบโตประมาณ 15% ต่อปี (ที่มา: A.T. Kearney, Cybersecurity in ASEAN) ซึ่งเมื่อ SECURE เข้าจดทะเบียนในตลาด mai แล้วเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น" นายนักรบกล่าวในที่สุด
โดย
pakapong_u
จันทร์ มิ.ย. 14, 2021 2:26 pm
0
1
Re: TRV
ที.อาร์.วี.รับเบอร์ โปรดักส์ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 54.5 ล้านหุ้น เล็งเข้าตลาด mai เผยแพร่: 9 มิ.ย. 2564 10:57 ปรับปรุง: 9 มิ.ย. 2564 10:57 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ 9 มิ.ย. 2564 10:57 ที.อาร์.วี.รับเบอร์ โปรดักส์ ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 54.5 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนในตลาด mai โดยวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้เพื่อใช้ลงทุนและคืนหนี้ บมจ.ที.อาร์.วี.รับเบอร์ โปรดักส์ (TRV) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนประมาณ 54.56 ล้านหุ้น คิดเป็น 26% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO และจะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยางขึ้นรูป สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในยานยนต์ ชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยางขึ้นรูปอื่นๆ มีกลุ่มลูกค้า 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอื่นๆ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องจักร ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน บริษัทมีแผนซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในอนาคต โดยคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในปี 65-66 ประกอบด้วย เครื่องรีดขึ้นรูป (Injection) เริ่มใช้ผลิตในปี 65 เครื่องอัดขึ้นรูป (Compression) เริ่มใช้ผลิตในปี 66 เครื่องอัดรีดขึ้นรูป (Extrusion) เริ่มใช้ผลิตในปี 66 และเครื่องฉีด TPE เริ่มใช้ผลิตในปี 66 ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 105,000,000 บาท เป็นทุนที่ออกและชำระแล้ว 77,717,500 บาท (ก่อนเสนอขาย IPO) และทุนที่ออกและชำระแล้ว 105,000,000 บาท (หลังเสนอขาย IPO) มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 13 ม.ค.64 คือ บริษัท ที อาร์ ดับเบิ้ลยู โฮลดิ้ง จำกัด และกลุ่มครอบครัวนวมงคลชัยกิจ ถือหุ้นรวมกัน 130,800,000 หุ้น คิดเป็น 84.15% ภายหลังเสอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนเหลือ 62.29% กองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไกลไปด้วยกัน 2 ถือหุ้น 24,635,000 หุ้น คิดเป็น 15.85% จะลดสัดส่วนเหลือ 11.73% ผลประกอบการในปี 61-63 บริษัทมีรายได้เท่ากับ 146.4 ล้านบาท 168.6 ล้านบาท และ 159.6 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 1.8%, 15.1% และลดลง 5.3% ตามลำดับ กำไรสุทธิเท่ากับ 23.6 ล้านบาท 25.3 ล้านบาท และ 21.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 16.2%, 14.0% และ 13.3% ตามลำดับ สาเหตุหลักที่ทำกำไรสุทธิปี 63 ลดลงเนื่องจากบริษัทรับพนักงานขายเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจและแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สำหรับงวดไตรมาส 1/64 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 48.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 45.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 8.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 17.8% เพิ่มขึ้นจาก 6.2 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการลดลงของต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ หลังหักภาษีและเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด เงินสำรองอื่น (ถ้ามี) และภาระผูกพันตามเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้
โดย
pakapong_u
พุธ มิ.ย. 09, 2021 8:50 pm
0
1
Re: TRV
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=344663 หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท ที.อาร์.วี. รับเบอร์ โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท ที.อาร์.วี. รับเบอร์ โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : - วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : - วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด / นางสาว เดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์
โดย
pakapong_u
พุธ มิ.ย. 09, 2021 8:49 pm
0
0
Re: TRV
TRV : บริษัท ที.อาร์.วี. รับเบอร์ โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ประเภทธุรกิจ ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอื่นๆ ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรม สถานะ Filing จำนวนหุ้นที่ IPO 54,565,000 หุ้น ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a ราคา IPO n/a ราคา PAR 0.50 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ข้อมูล Filing www.trvrubber.co.th
โดย
pakapong_u
พุธ มิ.ย. 09, 2021 8:48 pm
0
0
Re: TFM
TU ดัน"ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์"เข้า SET ขาย IPO ไม่เกิน 109.30 ล้านหุ้น บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นย่อยของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ TU จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 109.30 ล้านหุ้น ซึ่งได้แต่งตั้งให้บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่อาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บกได้ยื่่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 109.30 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทจำนวนไม่เกิน 90 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่ TU นำออกมาเสนอขายจำนวนไม่เกิน 19.30 ล้านหุ้น โดยหุ้น IPO ทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 21.86% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้น IPO สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทมีแผนที่จะนำไปขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย และปากีสถาน, นำไปชำระคืนเงินกู้ยืม และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โครงสร้างผู้ถือหุ้น จะมี TU ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 66.9% ภายหลังการขายหุ้น IPO สัดส่วนจะลดเหลือ 51.0% รองลงมาได้แก่กลุ่มนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ถือหุ้น 15.5% ภายหลัง IPO จะถือหุ้น 12.7% ที่เหลือจะเป็นนักลงทุนรายบุคคลอีก 7 ราย
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 08, 2021 1:46 pm
0
0
Re: TFM
TFM ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 109.30 ล้านหุ้น รุกขยายธุรกิจผลิต-ขายอาหารสัตว์น้ำอินโดฯ-ปากีสถาน บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 109,300,000 หุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) 19,300,000 หุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 21.86% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ซึ่งได้แก่ อาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บก มีวัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ เพื่อการขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 08, 2021 11:54 am
0
1
Re: TEKA
"ฑีฆาก่อสร้าง"จะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น ขาย IPO ไม่เกิน 75 ล้านหุ้น บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด(มหาชน) เตรียมจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท ซึ่งมีราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ซึ่งได้แต่งตั้งให้บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง ได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ดังกล่าว โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยเป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการ ซึ่งครอบคลุมงานตั้งแต่งานโครงสร้างงานสถาปัตยกรรม และงานระบบประกอบอาคาร โดยมีบริษัท วานิช โฮลดิ้ง จำกัดเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วน 99.99% ภายหลัง IPO สัดส่วนจะลดลงเหลือ 75% โครงการในอนาคต บริษัทมีวัตถุประสงค์ที่จะกระจายแหล่งที่มาของรายได้ จากปัจจุบันมุ่งเน้นการรับงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมของภาคเอกชน โดยงานในส่วนภาครัฐ บริษัทมีความตั้งใจจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากโครงการภาครัฐให้มากขึ้น โดยการรับงานจากภาครัฐจะช่วยลดความเสี่ยงของบริษัทในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งภาคเอกชนอาจชะลอการลงทุน นอกจากนี้โครงการของภาครัฐมักจะเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงกว่า และมีขอบเขตงานที่มากกว่าโครงการภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสให้แก่บริษัท ในการรับงานที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทได้เริ่มเข้ารับงานจากภาครัฐแล้ว ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญที่จะเปิดโอกาสให้แก่บริษัทในการขยายการรับงานจากภาครัฐเพิ่มขึ้นในอนาคต ส่วนงานภาคเอกชน บริษัทมีความตั้งใจที่จะขยายขอบเขตงานที่รับให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้แก่บริษัท และพนักงานของบริษัท รวมถึงเปิดโอกาสให้แก่บริษัทในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ และลดการพึ่งพิงกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย โดยบริษัทมองเห็นโอกาสในการรับงานประเภทอาคารสำนักงาน โรงแรม และอาคารมิกซ์ยูส เป็นต้น
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 08, 2021 11:16 am
0
1
Re: TEKA
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=344560 หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : - วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : - วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท หลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) / นาย ประเสริฐ ตันตยาวิทย์
โดย
pakapong_u
จันทร์ มิ.ย. 07, 2021 11:55 pm
0
0
Re: SNNP
“ศรีนานาพร” จากยี่ปั้วขายขนมย่านมาหานาค สู่ตลาดหลักทรัพย์ Date: 04/06/2021 Author: Orawan Marketeer ในขณะที่เจ้าของธุรกิจหลายคนต้องการโตอย่างรวดเร็วแบบ ยูนิคอร์นสตาร์ทอัป แต่บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ใช้เวลาในการสะสมประสบการณ์นานถึง 30 ปี ก่อนที่จะเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้กำลังรอก.ล.ต. อนุมัติไฟลิ่งคาดว่าน่าจะได้เทรดวันแรกในเดือน ก.ค. 2564 นี้ เอ่ยชื่อศรีนานาพร หลายคนคงไม่คุ้น แต่ถ้าบอกว่าเป็นเจ้าของขนมขบเคี้ยวสินค้ายี่ห้อ เบนโตะ, ขนมขาไก่ ตราโลตัส ขนมปังปี๊บ ช๊อคกี้เวเฟอร์ และเครื่องดื่มเจเล่ เยลลีพร้อมดื่ม ฯลฯ เชื่อว่าหลายคนร้องอ๋อ เพราะเคยเป็นลูกค้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ ขนมและเครื่องดื่มกินเล่น ยอดขายไม่ได้เล่น ๆ แต่โตเป็นหลักหลายพันล้านมาหลายปี ข้อมูลผลประกอบการของบริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้งระบุว่า ปี 2561 รายได้ 4,827 ล้านบาท กำไร 249.7 ล้านบาท ปี 2562 รายได้ 4,708 ล้านบาท กำไร 83.8 ล้านบาท ปี 2563 รายได้ 4,392 ล้านบาท กำไร 74..2 ล้านบาท จุดเริ่มต้นของบริษัทนี้เกิดขึ้นที่ย่านมหานาคเมื่อปี 2515 เมื่อตระกูล “ไกรพิสิทธิ์กุล” ได้เริ่มทำธุรกิจเป็นยี่ปั๊วส่งขนมภายใต้ชื่อร้านศรีวิวัฒน์ สินค้าตัวแรกของบริษัทเริ่มขึ้นเมื่อปี 2520 คือ เมล็ดแตงโมใส่ซอง หลังจากนั้นก็มีสินค้าตัวอื่นเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี 2534 ได้ขยายกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัดและก่อตั้งบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกิมเฮง จำกัด (“KHF”) บริษัท สยามเดลี่ฟู้ดส์ จำกัด (“SDF”) และ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของบริษัทฯ ในเวลาต่อมา วันนี้ศรีนานาพรมีโปรดักต์แชมเปี้ยนที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ติดต่อมาหลายปีคือ “เบนโตะ ประเภทขนมขบเคี้ยว ปลาหมึกอบ ปลาหมึกเส้น และ “เจเล่” ประเภทเยลลี่พร้อมดื่มและเยลลี่คาราจีแนน (จากรายงานของนีลเส็น) แต่แค่นั้นยังไม่พอ เพราะถ้าย้อนกลับไปดูผลประกอบการ จะเห็นว่ารายได้และกำไรของบริษัทในช่วง 3-4 ปีหลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุผลสำคัญน่าจะมาจากในตลาดขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเยลลี่ มีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้น มีการแข่งขันรุนแรงขึ้น และเป็นสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้ง่าย เบนโตะ มี ทาโร่ ฟิชโช สควิดดี้ เต่าทองเป็นคู่แข่งสำคัญ ส่วนเจเล่ มี “ปีโป้”, กาโตะ ที่เป็นของกลุ่มยักษ์ใหญ่ “บีเจซี” การตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ จึงเป็นการ Speed หนีคู่แข่งไปอีกก้าว โดยหวังว่าเงินที่จะได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะช่วยให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทมีความเข้มแข็งขึ้น รวมทั้งเดินหน้าแผนขยายการลงทุนในประเทศเวียดนาม เพื่อต่อยอดในการรุกตลาด ไปสู่ภูมิภาค CLMV อีกด้วย ช้า ๆแต่มั่นคงแค่ไหน ยังต้องเจอกับความท้าทายอะไรอีกบ้าง ต้องติดตามภาคต่อไปหลังการเข้าตลาดหลักทรัพย์ สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งก่อนและหลัง IPO คือ Concord I. Capital Limited และบริษัท บริษัท แอสเซนด์ ไอ.โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นของตระกูล ไกรพิสิทธิ์กุล ทั้ง 2 บริษัท
โดย
pakapong_u
ศุกร์ มิ.ย. 04, 2021 3:44 pm
0
1
Re: MENA
2 หุ้น IPO "มีนาทรานสปอร์ต -เซนต์เมด"จ่อเข้าระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ หุ้น IPO 2 บริษัท เตรียมที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในเร็วๆ นี้ ประกอบด้วยหุ้นบริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด(มหาชน) และบริษัท เซนต์เมด จำกัด(มหาชน) ภายในเร็วๆ นี้ หลังจากได้ยื่นแบบไฟลิ่งเรียบร้อยแล้ว นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ MENA เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ(SET) หลังได้มีการยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนต่อทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และได้มีการนับหนึ่งไฟลิ่งแล้วในช่วงที่ผ่านมา โดยจะนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์) ภายในปลายเดือนมิ.ย.นี้ และคาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายได้ไม่เกินไตรมาส 4/64 โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)จำนวนไม่เกิน 184.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคต จ่ายคืนหนี้สิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ โดยมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ MENA ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถลากจูงหรือรถเทรลเลอร์ (Trailer) ให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) และการขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง นอกจากนี้ก็มีบริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน)หรือ SMD ที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในกลางปีนี้ นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน SMD เปิดเผยก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ประมาณเดือน มิ.ย.2564 ซึ่งบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 54 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 25.23% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดโดยเงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ดำเนินโครงการศูนย์ตรวจการนอนหลับลงทุนในเครื่องมือแพทย์ให้เช่า ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน ทั้งนี้ SMD จำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยบริษัทนำเข้าเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์จากผู้ผลิตต่างประเทศ เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลทั่วไปและสถานพยาบาลชั้นนำในประเทศ มีกลุ่มสินค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่าย 6 ประเภท ได้แก่ กลุ่มสินค้าด้านเวชบำบัดวิกฤต กลุ่มสินค้าด้านการช่วยหายใจและเวชศาสตร์การนอนหลับ กลุ่มสินค้าด้านหทัยวิทยา กลุ่มเครื่องมือแพทย์ทั่วไป กลุ่มสินค้าสมาร์ทฮอสพิทอล และกลุ่มอื่นๆ
โดย
pakapong_u
ศุกร์ มิ.ย. 04, 2021 2:07 pm
0
2
Re: GLORY
"รุ่งเรืองตลอดไป" จะนำหุ้นเข้า mai ระดมทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม-ซื้อลิขสิทธ์วรรณกรรม บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด(มหาชน) เตรียมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 70 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัดเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป ดำเนินธุรกิจจำหน่ายวรรณกรรมออนไลน์ ซึ่งประกอบด้วยนิยาย การ์ตูน และหนังสือ ได้ยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO ดังกล่าว และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาด mai โดยเงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการอาทิเช่น ค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรม ค่าใช้จ่ายในการแปลภาษา พิสูจน์อักษร และเกลาสำนวน เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะนำเงินอีกส่วนไปใช้เป็นเงินลงทุน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม ทั้งนี้บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อใช้ในการจัดจำหน่ายสื่อบันเทิงออนไลน์โดยมีช่องทางจัดจำหน่ายหลักผ่านเว็บไซต์ “Kawebook.com” และแอปพลิเคชั่น “Kawebook” ซึ่งมีงานวรรณกรรมออนไลน์ที่หลากหลาย ประกอบด้วยนิยาย การ์ตูนและหนังสือออนไลน์ โดยมีทั้งในส่วนที่เป็นวรรณกรรมแปลจากต่างประเทศอาทิเช่น ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น และวรรณกรรมจากผู้เขียนภายในประเทศ และยังสนับสนุนนักเขียน นักแปล และสำนักพิมพ์ให้สามารถมีรายได้อย่างมั่นคง โดยสามารถนำผลงานมาเผยแพร่ลงบนเว็บไซต์ของบริษัท เพื่อรับส่วนแบ่งรายได้และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย โดยบริษัท มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับงบการเงินรวมและหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้ สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท จะมีบริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 51% ภายหลัง IPO สัดส่วนจะลดเหลือ 37.78% รองลงมาได้แก่นายจรัญพัฒน์ บุญยัง ถือหุ้น 45% ภายหลังจะลดเหลือ 33.33% นายหัสฏางค์ บุญยัง ถือหุ้น 3% ภายหลังจะลดเหลือ 2.22% และนางสาวอรุณี พูลมาสินถือหุ้น 1% ภายหลังจะลดเหลือ 0.74% ส่วนโครงการในอนาคต หลังจากนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาด mai แล้วมีแผนการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มจำนวนลิขสิทธิ์ของบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อลิขสิทธิ์ส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ ค่าใช้จ่ายในการแปลภาษา พิสูจน์อักษร และเกาสำนวน ค่าใช้จ่ายในการขยายทีมบรรณาธิการ เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้า ไลน์สินค้า และช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งจะช่วยให้บริษัท สามารถทำรายได้ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยให้การเข้าใช้งาน ประสบการณ์ในการใช้งาน รวมถึงการขยายเว็บไซต์ในอนาคต สามารถทำได้ง่ายขึ้นพร้อมต่อการขยายตัวเพื่อรองรับทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศที่มากขึ้น
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 01, 2021 4:24 pm
0
0
Re: CIVIL
CIVIL เดินหน้าตอกเสาเข็ม รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย รวมมูลค่างาน 8.56 พันล. CIVIL เดินหน้าก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา) ภายใต้สัญญา 4-7 รวมมูลค่างาน 8.56 พันล้านบาท นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการไฟความเร็วสูงไทย-จีน ภายใต้สัญญา 4-7 ช่วงสระบุรี-แก่งคอย รวมมูลค่างาน 8.56 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการมูลค่าสูงที่สุดเท่าที่บริษัทฯ เคยรับงานมา โดย CIVIL จะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้างงานโครงสร้างทางรถไฟเป็นทางยกระดับระยะทาง 12.99 กิโลเมตร งานสถานีสระบุรี งานซ่อมบำรุงทางจำนวน 1 แห่ง งานอาคารและสิ่งปลูกสร้างรองรับงานระบบรถไฟฟ้า โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 1,080 วัน ทั้งนี้ CIVIL ได้นำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโยธา และการบริหารจัดการสมัยใหม่เพื่อเข้ามาบริหารจัดการด้านงานก่อสร้าง ด้วยทีมงานบุคลากรที่มีองค์ความรู้และความสามารถในงานโยธา รวมถึงการนำเทคโนโลยีก่อสร้างที่ทันสมัย และมีโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างที่จังหวัดสระบุรี เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการนี้ให้ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านระยะเวลา ความปลอดภัยและส่งมอบงานที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของไทย และสามารถใช้เส้นทางรถไฟความเร็วสูงดังกล่าว เป็นเส้นทางเชื่อมโยงเครือข่ายระบบรางกับประเทศต่างๆ และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเฟส 1ภายใต้สัญญา 2-1 งานโยธาสำหรับช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งโครงการที่บริษัทฯ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมดำเนินงานก่อสร้างโดยได้เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2562 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีความคืบหน้าด้านงานก่อสร้างไปแล้วมากกว่า 70%และคาดว่าจะสามารถส่งมอบงานให้ได้ตามกำหนดเช่นกัน “เรามีความภาคภูมิใจที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมในระบบรางให้แก่ประเทศไทยในระยะยาว จากการนำศักยภาพของ CIVIL เข้าไปดำเนินงานก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงไทยจีน เฟส 1 จำนวน 2 โครงการ ที่มีมูลค่างานรวมกันมากกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของไทย ที่จะช่วยให้เกิดการขยายตัวของเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจโดยรอบเส้นทาง รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนที่ดีขึ้น” นายปิยะดิษฐ์ กล่าว
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 01, 2021 3:21 pm
0
0
Re: MENA
"มีนาทรานสปอร์ต" เตรียมโรดโชว์ปลายมิ.ย. , คาดหุ้นเข้าเทรดใน SET ปีนี้ "มีนาทรานสปอร์ต"หนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถมิกเซอร์ (Mixer) และรถเทรลเลอร์ (Trailer) รายใหญ่ของประเทศ เดินหน้าระดมทุนตามแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 184 ล้านหุ้น คาดเสนอขายภายในปีนี้ โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ชูจุดเด่นในการบริหารจัดการรถและพนักงานจัดส่ง พร้อมรับโอกาสการเติบโตจากงานโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัว และขยายการให้บริการในทุกภูมิภาคของประเทศ นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ MENA เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนจะนำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทฯ (โรดโชว์) ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนปีนี้ และคาดว่าจะเสนอขายและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ภายในปี 2564 นี้ โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO)จำนวนไม่เกิน 184.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคต จ่ายคืนหนี้สิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ โดยโครงการในอนาคตของบริษัทฯ มีนโยบายกำหนดอัตราผลตอบแทนภายในขั้นต่ำ (IRR) เพื่อประโยชน์แก่บริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ธุรกิจขนส่งของบริษัทฯ มีจุดแข็งในด้านศักยภาพการเติบโตสูง ได้รับประโยชน์จากงานโครงสร้างพื้นฐาน และงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ สอดรับนโยบายการลงทุนของภาครัฐและเอกชน เนื่องจาก รถขนส่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ขับเคลื่อนงานโครงการต่างๆ โดย MENA ถือเป็นผู้ประกอบการขนส่งที่ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่มีรถผสมคอนกรีตรองรับความต้องการของลูกค้าในงานโครงการขนาดใหญ่ได้อันดับต้นๆของประเทศ และยังถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในธุรกิจรถผสมคอนกรีตที่เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการ และความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทฯ ปัจจุบัน MENA มีรถที่บริหารจัดการมากกว่า 500 คัน แบ่งเป็น รถมิกเซอร์ 466 คัน และรถเทรลเลอร์ (หัวลาก) 75 คัน นอกจากนี้ ยังมีรถกึ่งพ่วง หรือหางลากประเภทต่างๆ 105 คัน รวมทั้ง มีพนักงานจัดส่งภายใต้การบริหารกว่า 500 คนด้วยความสามารถในการบริหารจัดการกองยานและพนักงานจัดส่งจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจและรับงานได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะงานโปรเจกต์ขนาดใหญ่ โดยจะทำการขนส่งสินค้าชนิดต่างๆ ให้กับคู่ค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ สำหรับกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ ได้แก่ บริษัทปูนซีเมนต์ชั้นนำของประเทศ อาทิ บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด (INSEE) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง บริษัท เอเซียผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ จำกัด (BUA Concrete) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์เอเซีย และ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย รวมถึง การขยายขอบเขตการให้บริการไปยังบริษัทผู้ผลิตท้องถิ่นอื่นๆ ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการขนส่งสินค้าให้แก่บริษัทปูนซีเมนต์ผงต่างๆ บริษัทวัสดุก่อสร้าง และ สินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้ง การเป็นตัวแทนขายสินค้าให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ และเพื่อความครบวงจร สำหรับภาพรวมผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯ เตรียมพร้อมรับโอกาสการเติบโตจากความพร้อมทั้งกองยานรถมิกเซอร์ และพนักงานจัดส่ง เพื่อสอดรับนโยบายการลงทุนจากภาครัฐ และเอกชน ซึ่งจะทยอยกลับมาเดินหน้าตามแผนการลงทุนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการ EEC เกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน , โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และ โครงการรถไฟทางคู่ รวมทั้ง การปรับกลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับการขยายงานโครงการของกลุ่มลูกค้าหลัก และการขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้น ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยการเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้ จะยิ่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสนับสนุนแผนการเติบโตของ MENA ให้เป็นไปตามที่วางไว้ได้
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 01, 2021 3:20 pm
0
0
Re: MENA
“มีนาทรานสปอร์ต” แย้มแผนเทรด SET คาดเสนอขายภายในปีนี้ 184 ล้านหุ้น พร้อมจัดทัพรถมิกเซอร์ รับโอกาสงานโปรเจ็กต์ทยอยเดินหน้าลงทุนตามแผน มีนาทรานสปอร์ต (MENA) หนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถมิกเซอร์ (Mixer) และรถเทรลเลอร์ (Trailer) รายใหญ่ของประเทศ เดินหน้าระดมทุนตามแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 184 ล้านหุ้น คาดเสนอขายภายในปีนี้ โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ชูจุดเด่นในการบริหารจัดการรถและพนักงานจัดส่ง พร้อมรับโอกาสการเติบโตจากงานโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัว และขยายการให้บริการในทุกภูมิภาคของประเทศ ล่าสุดอัพเดทผลงาน Q1/64 มีรายได้รวมเท่ากับ 152.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 10.1 ล้านบาท มีรถที่บริหารจัดการมากกว่า 500 คัน และพนักงานจัดส่งมากกว่า 500 คน อยู่ในระดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ MENA เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีต หรือรถมิกเซอร์ (Mixer) และเทรลเลอร์ (Trailer) รวมทั้ง การขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ และเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ของ MENA ในครั้งนี้ จำนวนไม่เกิน 184.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของ บริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 367 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 275 ล้านบาท วัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคต จ่ายคืนหนี้สิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ โดยโครงการในอนาคตของบริษัทฯ มีนโยบายกำหนดอัตราผลตอบแทนภายในขั้นต่ำ (IRR) เพื่อประโยชน์แก่บริษัทฯ และผู้ถือหุ้น โดยบริษัทฯ มีแผนจะนำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทฯ (โรดโชว์) ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนปีนี้ และคาดว่าจะเสนอขายและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ภายในปี 2564 นี้ โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี ธุรกิจขนส่งของบริษัทฯ มีจุดแข็งในด้านศักยภาพการเติบโตสูง ได้รับประโยชน์จากงานโครงสร้างพื้นฐาน และงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ สอดรับนโยบายการลงทุนของภาครัฐและเอกชน เนื่องจาก รถขนส่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ขับเคลื่อนงานโครงการต่างๆ โดย MENA ถือเป็นผู้ประกอบการขนส่งที่ไม่ได้เป็นบริษัทในเครือผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่มีรถผสมคอนกรีตรองรับความต้องการของลูกค้าในงานโครงการขนาดใหญ่ได้อันดับต้นๆของประเทศ และยังถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในธุรกิจรถผสมคอนกรีตที่เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการ และความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทฯ ปัจจุบัน MENA มีรถที่บริหารจัดการมากกว่า 500 คัน แบ่งเป็น รถมิกเซอร์ 466 คัน และรถเทรลเลอร์ (หัวลาก) 75 คัน นอกจากนี้ ยังมีรถกึ่งพ่วง หรือหางลากประเภทต่างๆ 105 คัน รวมทั้ง มีพนักงานจัดส่งภายใต้การบริหารกว่า 500 คนด้วยความสามารถในการบริหารจัดการกองยานและพนักงานจัดส่งจำนวนมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจและรับงานได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะงานโปรเจกต์ขนาดใหญ่ โดยจะทำการขนส่งสินค้าชนิดต่างๆ ให้กับคู่ค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ สำหรับกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ ได้แก่ บริษัทปูนซีเมนต์ชั้นนำของประเทศ อาทิ บริษัท นครหลวงคอนกรีต จำกัด (INSEE) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง บริษัท เอเซียผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ จำกัด (BUA Concrete) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์เอเซีย และ บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด (CPAC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย รวมถึง การขยายขอบเขตการให้บริการไปยังบริษัทผู้ผลิตท้องถิ่นอื่นๆ ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการขนส่งสินค้าให้แก่บริษัทปูนซีเมนต์ผงต่างๆ บริษัทวัสดุก่อสร้าง และ สินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้ง การเป็นตัวแทนขายสินค้าให้แก่ลูกค้าของบริษัทฯ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ และเพื่อความครบวงจร สำหรับภาพรวมผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯ เตรียมพร้อมรับโอกาสการเติบโตจากความพร้อมทั้งกองยานรถมิกเซอร์ และพนักงานจัดส่ง เพื่อสอดรับนโยบายการลงทุนจากภาครัฐ และเอกชน ซึ่งจะทยอยกลับมาเดินหน้าตามแผนการลงทุนที่วางไว้ ได้แก่ โครงการ EEC เกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบิน , โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และ โครงการรถไฟทางคู่ รวมทั้ง การปรับกลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับการขยายงานโครงการของกลุ่มลูกค้าหลัก และการขยายพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้น ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ โดยการเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้ จะยิ่งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสนับสนุนแผนการเติบโตของ MENA ให้เป็นไปตามที่วางไว้ได้ ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 1/2564 รายได้รวมของ MENA ประกอบด้วยรายได้ค่าขนส่ง รายได้ค่าบริการ รายได้จากการขาย และ รายได้อื่นๆ รวมอยู่ที่ 152.5 ล้านบาท ปรับลดลงเล็กน้อย ราว 14.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 178.8 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากค่าขนส่งและค่าบริการในสัดส่วนอย่างน้อย 90% ของรายได้รวมทั้งหมด โดยสาเหตุหลักในการปรับลดลง เนื่องจากค่าขนส่งและค่าบริการปรับขึ้นลงตามราคาน้ำมัน ซึ่งในไตรมาส 1/2564 นี้ ราคาน้ำมันลดลงมากกว่าปีที่แล้วราว10% นอกจากนี้ ภาคก่อสร้างยังคงชะลอตัวจากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้จำนวนเที่ยวขนส่งลดลงด้วย ขณะที่ ในงวดไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิ 10.1 ล้านบาท โดย MENA ปรับตัวโดยการลดค่าใช้จ่าย ประกอบกับต้นทุนทางการเงินลดลงจากการชำระคืนหนี้อย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์ COVID-19 ยังคงมีอยู่ แต่อัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปี 2563 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5.7% และในไตรมาส 1 ปีนี้อยู่ที่ 6.6% ขณะที่ผลประกอบการปี 2563 MENA มีรายได้รวม 614.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 34.8 ล้านบาท อย่างไรก็ดี แม้ในปีนี้สถานการณ์ COVID-19 จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่บริษัทฯ เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ และหากในอนาคตจะมีการแพร่ระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ MENA คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับการขนส่งอย่างเป็นสาระสำคัญ และจะยังคงสามารถดำเนินการ เติบโตต่อเนื่องรับปัจจัยบวกในระยะยาว
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 01, 2021 2:45 pm
0
0
Re: MENA
“MENA” จัดประชุมนักวิเคราะห์ตามแผน IPO เดินหน้าเข้าเทรด SET ปีนี้ นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ MENA พร้อมด้วย นางสาวสุดารัตน์ ขจรวุฒิเดช ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ และ นายอธิคม วงศ์ส่องจ้า ผู้อำนวยการสายงานบัญชีการเงิน นำเสนอข้อมูลในงานประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ และกลยุทธ์การเติบโต ตามแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 184 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลัง IPO ย้ำความเชื่อมั่นการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจให้บริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถมิกเซอร์ (Mixer) และรถเทรลเลอร์ (Trailer) รายใหญ่ของประเทศ มีจุดเด่นในการบริหารจัดการรถและพนักงานจัดส่งจำนวนมาก พร้อมรับโอกาสการเติบโตจากงานโครงสร้างพื้นฐานที่ขยายตัว และขยายการให้บริการในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 2564 โดยมี บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ ข้อมูล บริษัท มีนาทรานสปอร์ต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการขนส่งสินค้าทางบกและสินค้าเฉพาะทาง อาทิเช่น คอนกรีตผสมเสร็จ ปูนซีเมนต์ผง ปูนซีเมนต์ถุง สินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ ขี้เถ้าลอย แร่แคลเซียม แบเรียม เป็นต้น วัตถุอันตราย สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าควบคุมอุณหภูมิ ฯลฯ รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายคอนกรีตผสมเสร็จทั่วประเทศ สั่งสมประสบการณ์กว่า 25 ปี สามารถบริหารจัดการการขนส่งสินค้าทางบกได้อย่างมีคุณภาพ ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 , ISO 45001 : 2018 และ Q standard เราพร้อมที่จะก้าวเดิน เคียงข้างธุรกิจของผู้ว่าจ้าง เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 01, 2021 12:38 pm
0
0
Re: GLORY
“รุ่งเรืองตลอดไป” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 70 ล้านหุ้น เข้า mai ใช้พัฒนาแพลตฟอร์ม บมจ. รุ่งเรืองตลอดไป ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งหมดในครั้งนี้ เป็นการเสนอขายผ่านผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และไม่มีการเสนอขายให้กับผู้จองซื้อรายย่อยหรือประชาชนเป็นการทั่วไป เนื่องจากจำนวนหลักทรัพย์ที่เสนอขายในครั้งนี้มีจำนวนจำกัด วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ อาทิ ค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรม ค่าใช้จ่ายในการแปลภาษา พิสูจน์อักษร และเกลาสำนวน เป็นต้น และเป็นเงินลงทุนเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม บริษัทประกอบธุรกิจจำหน่ายวรรณกรรมออนไลน์ ประกอบด้วย นิยาย การ์ตูน และหนังสือ บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์ม E-Commerce เพื่อใช้ในการจัดจำหน่ายสื่อบันเทิงออนไลน์ โดยมีช่องทางจัดจำหน่ายหลักผ่านเว็บไซต์ “Kawebook.com” และแอปพลิเคชั่น “Kawebook” ซึ่งมีงานวรรณกรรมออนไลน์ที่หลากหลาย ประกอบด้วยนิยาย การ์ตูนและหนังสือออนไลน์ โดยมีทั้งในส่วนที่เป็นวรรณกรรมแปลจากต่างประเทศ อาทิ ประเทศจีน ประเทศญี่ปุ่น และวรรณกรรมจากผู้เขียนภายในประเทศ งานวรรณกรรมของบริษัทค่อนข้างมีความหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของรสนิยมในการอ่าน จำแนกลักษณะเนื้อหา ดังนี้ งานวรรณกรรมหมวดรัก, งานวรรณกรรมประเภทหมวดมันส์ ได้แก่ เนื้อหาหลักในเชิงผจญภัย กำลังภายใน แฟนตาซี เกมออนไลน์ แอคชั่น ไซไฟ, งานวรรณกรรมประเภทหมวดลุ้น ได้แก่ เนื้อหาหลักในเชิงสืบสวนสอบสวน ระทึกขวัญ เนื้อหาลึกลับชวนติดตาม การเดินทางย้อนยุคข้ามเวลา เป็นต้น และงานวรรณกรรมประเภทหมวดทั่วไป งานวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น และ ธรรมมะ โครงการในอนาคต บริษัทมีแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มจำนวนลิขสิทธิ์ของบริษัท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อลิขสิทธิ์ ส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ ค่าใช้จ่ายในการแปลภาษา พิสูจน์อักษร และเกลาสำนวน ค่าใช้จ่ายในการขยายทีมบรรณาธิการ เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้า ไลน์สินค้า และช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถทำรายได้มากขึ้น และมีแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยให้การเข้าใช้งาน ประสบการณ์ในการเข้าใช้งาน รวมถึงการขยายเว็บไซต์ในอนาคตสามารถทำได้ง่ายขึ้น พร้อมต่อการขยายตัวเพื่อรองรับทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศที่มากขึ้น ณ วันที่ 10 มี.ค.64 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 135 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 100 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO แล้ว บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเต็มจำนวน แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 270 ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ประกอบด้วย บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 102 ล้านหุ้น คิดเป็น 51% หลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 37.78%, นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ถือหุ้น 90 ล้านหุ้น คิดเป็น 45% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 33.33% ผลประกอบการในช่วงปี 61-63 บริษัทมีรายได้ 42.52 ล้านบาท, 73.49 ล้านบาท และ 78.42 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ปรับเพิ่มขึ้นตามความสำเร็จในการจำหน่ายงานวรรณกรรมในหมวดมันส์ และมีจำนวนฐานของสมาชิกที่ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจำนวนงานวรรณกรรมที่บริษัทซื้อลิขสิทธิ์และวรรณกรรมของนักเขียนภายในประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในปี 63 บริษัทยังเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังเว็บไซต์ประทศเพื่อนบ้าน จึงทำให้สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายได้มากขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุน ด้านกำไรสุทธิในปี 61-63 เท่ากับ 12.44 ล้านบาท, 14.05 ล้านบาท และ 15.11 ล้านบาท ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการจำหน่ายวรรณกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นหลัก อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 54.78%, 54.73% และ 55.44% ตามลำดับ ส่วนอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 28.31%, 17.67% และ 18.37% ตามลำดับ ขณะที่งวด 3 เดือนแรกปี 64 บริษัทมีรายได้จากการบริการเท่ากับ 21.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 17.35 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.65 ล้านบาท ลดลงจาก 3.96 ล้านบาท โดยอัตรากำไรสุทธิลดลงเหลือ 15.94% จาก 21.93% ณ 31 มี.ค.64 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 143.86 ล้านบาท หนี้สินรวม 37.55 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 106.31 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับงบการเงินรวมและหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทได้กำหนดไว้ และการจ่ายเงินปันผลนั้นไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานตามปกติของบริษัท อย่างมีนัยสำคัญ
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 01, 2021 12:36 pm
0
0
Re: GLORY
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=343235 หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : - วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : - วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด / นาย กิตติชัย นาคะประเสริฐกุล
โดย
pakapong_u
อังคาร มิ.ย. 01, 2021 12:36 pm
0
0
Re: AMADO
AMADOเปิดตัวคอลลาเจน รองรับตลาด”ผู้สูงวัย” AMADO เปิดตัวผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสูตรใหม่ “ซิลเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม (Silver Collagen Type II Plus Calcium)” เจาะตลาดผู้สูงวัย คาดยอดคอลลาเจนสูตรใหม่ 500 ล้านบาท เพื่อดันยอดขายเข้าเป้าในครึ่งปีหลัง เดินหน้าปั้นตัวแทนจำหน่ายเพิ่ม 1,000 คน หนุนเป้าดันยอดปี2564 สู่3,000 ล้านบาท นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (amado) กล่าวว่าบริษัทเห็นโอกาสในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพอย่างเคร่งครัด และถือเป็นกลุ่มประชากรที่มีอำนาจต่อรองในการซื้อ ตลอดจนมีกำลังซื้อสูง ถือเป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการด้านวิตามินและอาหารเสริมที่ต้องเร่งสนับสนุนและดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพและเพื่อสอดรับกับประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aging Society) ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (เฮลท์) ซิลเวอร์ คอลลาเจน ไทพ์ทู พลัส แคลเซียม (Silver Collagen Type II Plus Calcium) เป็นคอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide) เสริมด้วยแคลเซียม วิตามินดี 3 และเค 2 ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและกระดูก พร้อมเจาะกลุ่มผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป โดยตั้งเป้ายอดขายผลิตภัณฑ์คอลลาเจนสูตรใหม่ 500 ล้านบาทภายในสิ้นปี2564 และพร้อมวางจำหน่ายทุกช่องทางในวันที่ 6 มิถุนายน 2564 รุกครึ่งปีหลัง นายธนาตรัยฉัตร กล่าวว่าในช่วงครึ่งปีหลัง2564 บริษัทมีเป้ารุกตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อรองรับการขยายของธุรกิจและบรรลุยอดขายปีนี้สู่ 3,000 ล้านบาท โดยปรับกลยุทธ์การเปิดรับตัวแทนจำหน่ายใหม่ทั่วประเทศ ถือเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายหลักที่แข็งแกร่งของบริษัทมาตั้งแต่เปิดบริษัทในปี 2557 ซึ่งบริษัทไม่ได้เปิดรับตัวแทนมานานกว่า 7 ปี และในปีนี้เพื่อเป็นการฉลองที่บริษัทก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 จึงได้จัดแคมเปญยิ่งใหญ่เพื่อเชิญชวนให้คนไทยมาสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายของอมาโด้ บริษัทจัดคลาสเรียนออนไลน์เพื่อถ่ายทอดทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางการขายออนไลน์ของบริษัทมาสอนตัวแทนและยังเปิดโอกาสให้คนไทยได้สร้างอาชีพและรายได้ในช่วงวิกฤตนี้ด้วยภายใต้แคมเปญ 10 วัน 10,000 บาท ซึ่งบริษัทยึดหลักธรรมาภิบาลในการขายของที่ดีในราคาที่จับต้องได้ สินค้าที่ดีคือสินค้าที่มีราคายุติธรรม นอกจากนี้บริษัทยังมีการส่งเสริมการตลาด (โปรโมชัน) เพื่อกระตุ้นยอดขายเพื่อเป็นเครื่องมือและกลยุทธ์สำหรับตัวแทนในการจูงใจให้ลูกค้าซื้อซ้ำ คาดว่าแคมเปญดังกล่าวจะกระตุ้นยอดขายได้ถึง 3-5% และตัวแทนจะเพิ่มขึ้นตามเป้าที่วางไว้ประมาณ 1,000 รายทั่วประเทศ Q3ยอดขายพีค นายพร้อมวุฒิ อัศวโสภณกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมียอดขายทะลุกว่า 1,000 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวมาจาก 1. ตัวแทนจำหน่าย 300 ล้านบาท 2. ช่องทางออนไลน์ของบริษัททั้งโซเชียลคอมเมิร์ซและอี-มาร์เก็ตเพลส จำนวน 150 ล้านบาท 3. เทเลเซลล์ 500 ล้านบาท 4. ร้านค้าอมาโด้หรือคี-ออสบนศูนย์การค้าชั้นนำทั่วประเทศ 30 ล้านบาท 5. โมเดิร์นเทรดและต่างประเทศ 20 ล้านบาท ทั้งนี้คาดว่าในช่วงไตรมาส3/2564 ยอดขายจะสูงสุด บริษัทจึงจำเป็นต้องขยายจำนวนตัวแทนพัฒนาสินค้าเพิ่ม หาพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ ทั้งช่องทางการฝากขายใหม่ๆ (โมเดิร์นเทรด) ลูกค้าจีพีช่องทางขาย Amado Shopping ตลอดจนการขยายร้านค้าอมาโด้หรือคี-ออสบนศูนย์การค้าใหม่ๆ เพื่อบรรลุยอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 31, 2021 12:14 pm
0
0
Re: AMADO
‘อมาโด้’ผนึกพันธมิตร ปักเป้ายอดขาย500ล. “อมาโด้” จับมือ “ไทยยินตัน” ส่ง ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “โปรไบโอติก” เกรดพรีเมียม สินค้าขายดีอันดับ 1 ติดต่อกันนาน 23ปีซ้อนจากญี่ปุ่น บุกตลาดไทย ตั้งเป้ายอดขายปีแรก 500ล้านบาท นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ อมาโด้ (Amado) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำ เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ (JINTAN BIFINA EX) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรไบโอติก ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่าง “อมาโด้” และ “บริษัท ไทยยินตัน จำกัด” ผู้ถือสิทธิ์ในการนำเข้าผลิตภัณฑ์ ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ (JINTAN BIFINA EX) จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง JINTAN BIFINA EX เป็นสินค้ายอดขายอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่น ติดต่อกันนาน 23ปีซ้อน โดยอมาโด้จะเป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงผู้เดียวในประเทศไทยทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ รุกขยายฐานลูกค้า ทั้งนี้ การนำผลิตภัณฑ์ JINTAN BIFINA EX เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย นอกจากเป็นหนึ่งในกลยุทธ์นำอมาโด้ก้าวเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเทียบเท่าแบรนด์ระดับสากลแล้ว ยังเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นระดับบน รวมทั้งมีเป้าหมายนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเข้าไปยังโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศอีกด้วย สำหรับผลิตภัณฑ์ บิฟิน่า ในประเทศญี่ปุ่นมีจำหน่ายทั้งหมด 3 สูตร คือ ได้แก่ สูตรที่ 1อาร์ มีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่เป็นจุลินทรีย์ จำนวน 2,500 ล้านตัว สูตรที่ 2เอส มีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่เป็นจุลินทรีย์ จำนวน 5,000ล้านตัว และสูตรที่ 3 อีเอ็กซ์ มีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่อมาโด้เลือกมาจัดจำหน่ายในประเทศไทยมีความโดดเด่นกว่าอีก 2สูตรแรก เนื่องจากมีบิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ที่เป็นจุลินทรีย์ จำนวนมากถึง 10,000 ล้านตัว เป็นชนิดผง รับประทานง่าย ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่แต่เดิมในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียที่ดีมีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้สุขภาพของลำไส้ดีขึ้น อัพยอดขาย500ล. “เทรนด์การรับประทานโปรไบโอติกในประเทศไทยกำลังเติบโต เนื่องจากคนใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายจากผลิตภัณฑ์ JINTAN BIFINA EX ในปีแรกไว้ที่ 500ล้านบาท ทั้งนี้ JINTAN BIFINA EX จะวางจำหน่ายในทุกช่องทางขายของอมาโด้ในวันที่ 3 มีนาคม 2564นี้เป็นต้นไป ในราคากล่องละ 1,990 บาท” นายธนาตรัยฉัตร กล่าว
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 31, 2021 12:13 pm
0
1
Re: SNNP
SNNP ไตรมาส 1/64 กำไร 172 ล้านบาท โตต่อเนื่อง 3 ไตรมาส 27 พฤษภาคม 2564 "ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง" โชว์ผลงานไตรมาส 1/64 พลิกฟื้น รายได้ 1,239 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เติบโต 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 172 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3/63 ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 ได้อย่างแข็งแกร่ง แม้เผชิญปัจจัยลบจากโควิด-19 โดยมีรายได้รวม 1,239 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ SNNP ที่มีความแข็งแกร่งด้านพอร์ตโฟลิโอสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวที่มีความหลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการ ครอบคลุมทุกช่วงเวลาและโอกาสในการบริโภค ตลอดจนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เยลลี่พร้อมดื่มผสมวิตามิน ภายใต้แบรนด์เจเล่ ซึ่งช่วยเสริมให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มเยลลี่ซองเติบโตได้ต่อเนื่องตลอดตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 จนถึงปัจจุบัน และการปรับกลยุทธ์ทำให้ยอดขายสินค้าแบรนด์เบนโตะ มียอดขายเติบโตกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาซื้อสินค้าแบรนด์เบนโตะในประเทศ เคยเป็นสัดส่วนยอดขายที่สำคัญในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ยังคงไม่กลับมา ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ทำได้ 172 ล้านบาท โดยเป็นการทำกำไรเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 นับจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความแข็งแกร่งการดำเนินงาน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องตลอดตั้งแต่ปี 2563 โดยต้นทุนขายต่อรายได้อยู่ที่ 73.7% ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค่าใช่จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้อยู่ที่ 20% หรือลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้กำไรสุทธิดังกล่าวมีรายการพิเศษจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อยรวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น 128 ล้านบาท นายวิวรรธน์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ วางรากฐานระบบจัดจำหน่ายและการผลิตทั้งในประเทศและภูมิภาค CLMV เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ได้แก่ เจเล่ ไดยาโมโตะ ฮีโร่บอยส์ เมจิกฟาร์มเฟรช อควาวิตซ์ และผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ได้แก่ เบนโตะ ดอกบัว โลตัส ช๊อคกี้และเบเกอรี่เฮาส์ ผ่านกลยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์ มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตและก้าวสู่การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียนได้ในอนาคต
โดย
pakapong_u
ศุกร์ พ.ค. 28, 2021 1:11 pm
0
0
Re: SNNP
'ศรีนานาพร'เล็งขายหุ้นไอพีโอ 7-9 ก.ค. คาดเข้าเทรด 20 ก.ค.64 28 พฤษภาคม 2564 "ศรีนานาพร ”ไตรมาส1/64 กวาดรายได้รวม 1.23 พันล้าน กำไรสุทธิ 172 ล้าน โต 3ไตรมาสติด คาดขายหุ้นไอพีโอ ไม่เกิน240 ล้านหุ้น 7-9 ก.ค. เข้าเทรด 20 ก.ค.64 นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส1ปี 2564 ของบริษัทถือว่ามีการเติบโตที่ดี แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีรายได้รวม 1,239 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้สะท้อนศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ SNNP ที่มีความแข็งแกร่งด้านพอร์ตโฟลิโอสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวที่มีความหลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการ ครอบคลุมทุกช่วงเวลาและโอกาสในการบริโภค ตลอดจนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เยลลี่พร้อมดื่มผสมวิตามิน ภายใต้แบรนด์เจเล่ ซึ่งช่วยเสริมให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มเยลลี่ซองเติบโตได้ต่อเนื่องตลอดตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19 จนถึงปัจจุบัน รวมถึงการปรับกลยุทธ์ทำให้ยอดขายสินค้าแบรนด์เบนโตะ มียอดขายเติบโตกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาซื้อสินค้าแบรนด์เบนโตะในประเทศ เคยเป็นสัดส่วนยอดขายที่สำคัญในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ยังคงไม่กลับมา ขณะที่บริษัทกำไรสุทธิ 172 ล้านบาท โดยเป็นการทำกำไรเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 นับจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องตลอดตั้งแต่ปี 2563 โดยต้นทุนขายต่อรายได้อยู่ที่ 73.7% ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค่าใช่จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้อยู่ที่ 20% หรือ ลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้กำไรสุทธิดังกล่าวมีรายการพิเศษจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อยรวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น 128 ล้านบาท นายวิวรรธน์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้วางรากฐานระบบจัดจำหน่ายและการผลิตทั้งในประเทศและภูมิภาค CLMV เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ได้แก่ เจเล่ ,ไดยาโมโตะ, ฮีโร่บอยส์, เมจิกฟาร์มเฟรช, อควาวิตซ์ และผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ได้แก่ เบนโตะ ดอกบัว โลตัส ช๊อคกี้และเบเกอรี่เฮาส์ ผ่านกลยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์ มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตและก้าวสู่การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียนได้ในอนาคต สำหรับความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ( IPO)ไม่เกิน240 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 0.50บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นชำระแล้วหลังไอพีโอ คาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอได้ 7-9 ก.ค. และคาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)วันที่ 20 ก.ค.2564
โดย
pakapong_u
ศุกร์ พ.ค. 28, 2021 12:50 pm
0
2
Re: SNNP
บมจ.ศรีนานาพร โชว์ผลงาน Q1/2564 เทิร์นอะราวด์ ทำรายได้รวมกว่า 1,239 ล้านบาท เติบโตสวนกระแส Covid-19 ตอกย้ำพื้นฐานธุรกิจสุดแกร่ง ก้าวสู่ผู้นำเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียน ‘บมจ.ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง’ หรือ SNNP โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/64 พลิกฟื้น ทำรายได้รวม 1,239 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เติบโต 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำแบรนด์พอร์ตโฟลิโอที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายพร้อมตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมในทุกช่วงเวลาและโอกาสในการบริโภค ขณะที่กำไรสุทธิทำได้ 172 ล้านบาท จากการสร้างความแข็งแกร่งในตราสินค้า การบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรายการพิเศษทางบัญชี มั่นใจผลงานปีนี้เติบโตเด่น พร้อมก้าวสู่ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียน นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการผลักดันการเติบโตของผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 (มกราคม-มีนาคม) ได้อย่างแข็งแกร่ง แม้เผชิญปัจจัยลบจาก Covid-19 โดยมีรายได้รวม 1,239 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขาย 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ SNNP ที่มีความแข็งแกร่งด้านพอร์ตโฟลิโอสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวที่มีความหลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการ ครอบคลุมทุกช่วงเวลาและโอกาสในการบริโภค ตลอดจนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เยลลี่พร้อมดื่มผสมวิตามิน ภายใต้แบรนด์เจเล่ ซึ่งช่วยเสริมให้ยอดขายสินค้าในกลุ่มเยลลี่ซองเติบโตได้ต่อเนื่องตลอดตั้งแต่ก่อนสถานการณ์ Covid-19 จนถึงปัจจุบัน และการปรับกลยุทธ์ทำให้ยอดขายสินค้าแบรนด์เบนโตะ มียอดขายเติบโตกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์ Covid-19 ทั้งที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาซื้อสินค้าแบรนด์เบนโตะในประเทศ เคยเป็นสัดส่วนยอดขายที่สำคัญในช่วงก่อนสถานการณ์ Covid-19 ยังคงไม่กลับมา ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ทำได้ 172 ล้านบาท โดยเป็นการทำกำไรเติบโตติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 นับจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความแข็งแกร่งการดำเนินงาน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตและการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องตลอดตั้งแต่ปี 2563 โดยต้นทุนขายต่อรายได้อยู่ที่ 73.7% ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนค่าใช่จ่ายในการขายและบริการต่อรายได้อยู่ที่ 20% หรือลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้กำไรสุทธิดังกล่าวมีรายการพิเศษจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนในบริษัทย่อยรวมอยู่ด้วยทั้งสิ้น 128 ล้านบาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SNNP กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ วางรากฐานระบบจัดจำหน่ายและการผลิตทั้งในประเทศและภูมิภาค CLMV เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ได้แก่ เจเล่ ไดยาโมโตะ ฮีโร่บอยส์ เมจิกฟาร์มเฟรช อควาวิตซ์ และผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ได้แก่ เบนโตะ ดอกบัว โลตัส ช๊อคกี้และเบเกอรี่เฮาส์ ผ่านกลยุทธ์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์ มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตและก้าวสู่การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแห่งอาเซียนได้ในอนาคต *************************************
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. พ.ค. 27, 2021 10:05 am
0
2
Re: SNNP
“ศรีนานาพร” เพิ่มดีกรีบุก ตปท. ปูพรมสินค้ากัญชาดันเป้าหมื่นล้าน 5 ปี วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 - 16:25 น. “ศรีนานาพรฯ” ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ สลัดภาพธุรกิจครอบครัว ดึงมืออาชีพเสริมทัพ เข้าตลาดหุ้นระดมทุนบุกธุรกิจในไทย-ต่างประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเป็น 70% ทุ่มลงทุน 600 ล้าน ตั้งโรงงานลุยตลาดเวียดนาม ประกาศเดินหน้ารุกตลาดเครื่องดื่มและสแน็กเต็มสูบ เตรียมเปิดตัวสินค้ากัญชา “เครื่องดื่ม-สแน็ก-เยลลี่” รับกระแสฟีเวอร์ ตั้งเป้ายอดขายทะลุหมื่นล้าน ใน 5 ปี นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยว เช่น เยลลี่พร้อมดื่ม เครื่องดื่ม ปลาหมึก ปลาเส้น ขนมปังขาไก่ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจใหม่ ด้วยการสลัดภาพธุรกิจครอบครัวและดึงมืออาชีพเข้ามาบริหารงาน จากเดิมที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 30 ปี ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเดินหน้ารุกตลาดเครื่องดื่มและสแน็กมากขึ้น รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมในการจะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้ และเงินที่ได้จากการระดมทุนจะช่วยปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทให้มีความเข้มแข็ง เพื่อสร้างความพร้อมในการรุกตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว และขยายการลงทุนในประเทศเวียดนาม “ทั้งนี้ ศรีนานาพรฯแบ่งการทำงานออกเป็น 3 เฟส เพื่อก้าวสู่ตลาดอินเตอร์มากขึ้น ได้แก่ เฟสแรกเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา เป็นการเริ่มปรับโครงสร้างทางธุรกิจครั้งใหญ่ เฟส 2 คือ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯที่กำลังจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3 นี้ และเฟส 3 คือ การกรุยทางการทำงานสู่ระบบอินเตอร์ที่จะเป็นการต่อยอดจากฐานการทำงานในต่างประเทศของบริษัท” เพิ่มดีกรีบุกเวียดนาม นายวิโรจน์กล่าวต่อไปว่า แผนงานดังกล่าวจะถูกดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การสร้างความแข็งแกร่งของสินค้าและผลิตภัณฑ์, การวิจัยและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ, การเพิ่มความแข็งแกร่งของช่องทางการจำหน่าย ที่บริษัทมีศูนย์กระจายสินค้ารวม 11 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค สามารถกระจายสินค้าถึงกลุ่มร้านค้า ทั้งค้าปลีกและค้าส่งมากกว่า 70,000 รายทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งเพื่อต่อยอดขยายตลาดไปสู่ระดับภูมิภาคมากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างการเติบโตจากสถานการณ์โควิด-19 และสร้างการเติบโตในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการมีรายได้ 1 หมื่นล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยจะเพิ่มมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 70% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 30% สำหรับแนวทางการดำเนินในตลาดต่างประเทศ บริษัทมีแผนจะขยายตลาดเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปยัง 35 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ เวียดนาม กัมพูชา เมียนมา ลาว รวมถึงจีน และตามแผนการดำเนินงาน หลังจากที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว บริษัทเตรียมจะเปิดโรงงานแห่งใหม่ในเวียดนาม เบื้องต้นมีที่ดินเตรียมไว้แล้ว คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2565 หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โรงงานนี้เฟสแรกจะลงทุน 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 420 ล้านบาท) และเฟส 2 ลงทุน 6 ด้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 180 ล้านบาท) สำหรับผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์เจเล่ และเบนโตะ เพื่อรุกตลาดเวียดนาม เพื่อเป็นการลดต้นทุนขนส่ง จากปัจจุบันที่ต้องนำเข้าสินค้าจากไทย “การแพร่ระบาดของโควิดที่เกิดขึ้น ทำให้แผนการก่อสร้างชะลอออกไปก่อน หากโรงงานในเวียดนามแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและทำให้มีความได้เปรียบในการทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนการดำเนินงานและต้นทุนค่าขนส่งที่ลดลง” เตรียมบุกสินค้ากัญชา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพรฯกล่าวต่อไปว่า ส่วนตลาดในประเทศบริษัทมีแผนเดินหน้ารุกตลาดเครื่องดื่มและสแน็กอย่างเต็มที่ โดยมีแผนจะทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึงการเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่จากกัญชงกัญชาใน 3 หลุ่มหลัก ทั้งเครื่องดื่ม สแน็ก และเยลลี่ เพื่อให้สอดรับกับกระแสกัญชาที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยจะมีทั้งการเปิดแบรนด์ใหม่และต่อยอดจากแบรนด์เดิมที่มีอยู่ เพื่อรองรับกระแสกัญชาที่ได้รับความนิยม โดยขณะนี้บริษัทมีความพร้อมทั้งตราสินค้า บรรุจภัณฑ์ ไว้แล้วทั้งหมด รอเพียงภาครัฐประกาศและออกใบอนุญาตให้จำหน่ายได้ บริษัทก็จะมีสินค้าลงไปทำตลาดทันที คาดว่าหลังจากโควิดผ่านพ้นไป สินค้าจากกลุ่มกัญชง-กัญชา จะเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ที่มาแรงมากและช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังเตรียมทุ่มงบฯการตลาดอย่างเต็มที่ สำหรับแบรนด์ที่เป็นเรือธง โดยเฉพาะเจเล่-เบนโตะ-ขาไก่โลตัส-น้ำดื่มวิตามิน อควาวิทซ์ บาย เจเล่ โดยในส่วนของเจเล่ และเบนโตะ ได้เตรียมงบประมาณการตลาดราว 5-7% ของยอดขายเพื่อสร้างการเติบโต ทั้งออนไลน์และออฟไลน์มากขึ้น หลังปีที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการบริหารจัดการต้นทุนลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อหาแนวทางในการลดต้นทุน ควบคู่กับการใช้ความแข็งแกร่งของตราสินค้าในการสร้างแคมเปญเพื่อกระตุ้นตลาด ขณะที่น้ำดื่มวิตามิน อควาวิทซ์ บาย เจเล่ หลังมีการเปิดตัวในปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าดาวรุ่งของบริษัท ก็มีการเติบโตติด 1 ใน 5 ของผู้นำตลาดในช่องทางคอนวีเนี่ยนสโตร์ โดยแผนงานในปีนี้ได้เตรียมงบประมาณราว 20-30% ของยอดขายในการเดินหน้าทำตลาด การปรับตัวหนุนสิ้นปีโต 20% นายวิโรจน์ย้ำในตอนท้ายว่า เนื่องจากบริษัทสินค้าที่หลากหลายทั้งกลุ่มขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม อีกด้านหนึ่งก็ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง โดยตลอดปีที่ผ่านมา มีการออกแคมเปญใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง หลังจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์เบนโตะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศลดลง ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์หันมาเจาะฐานลูกค้าในประเทศมากขึ้น ผ่านแคมเปญ work from home นำเบนโตะมาทานคู่กับอาหารอื่น ๆ เช่น ข้าวต้ม, ข้าวเหนียว เอาไปทำเป็นยำ ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าขณะนี้เศรษฐกิจในประเทศยังยังไม่ดี เม็ดเงินต่าง ๆ ในระบบไม่มีมากนัก เนื่องจากประชาชนชะลอการจับจ่าย ทำให้แผนการทำตลาดส่วนใหญ่ยังคงโฟกัสไปที่แบรนด์หลัก เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่ติดตลาดอยู่แล้ว และสามารถสร้างรายได้กลับมาให้บริษัทได้มากกว่า เมื่อเทียบกับการปั้นแบรนด์ใหม่สภาวการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ “ปีที่ผ่านมา แม้ผลประกอบการของบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่ถือว่ายังดีกว่าภาพรวมของตลาดและผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน คือ มีรายได้รวม 4,435 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 6.5% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 4,748 ล้านบาท ส่วนปีนี้แม้สถานการณ์โควิดจะยังไม่คลี่คลาย แต่จากการปรับกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ คาดว่าจะช่วยให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ไม่ต่ำกว่า 20%” นายวิโรจน์กล่าว ปัจจุบันศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง มีทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 960 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 360 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 240 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 24, 2021 8:58 pm
0
2
Re: SNNP
‘ศรีนานาพร’ เร่งปรับตัวฝ่าวิกฤตโควิด https://www.youtube.com/watch?v=41CHRKaoQHs บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP บริษัทเร่งปรับตัวเพื่อปรับมือกับการระบาดของโควิด-19 มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้เทิร์นอะราวด์แน่นอน ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยคึกคัก ที่หลายบริษัทวางแผนเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หนึ่งในนั้น คือ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เป็นเจ้าของแบรนด์ เยลลี่พร้อมดื่ม “เจเล่” , ปลาหมึกอบเบนโตะ คาดเข้าจดทะเบียนได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้ โดยที่ผ่านมา บริษัทเร่งปรับตัวเพื่อปรับมือกับการระบาดของโควิด-19 มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้เทิร์นอะราวด์แน่นอน นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทในปีที่ผ่านได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่โดยรวมแล้ว ถือว่าดีกว่าตลาดและผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน โดยมีรายได้รวม 4,435 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 6.5 % จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 4,748 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในปี 2564 มั่นใจว่าจะดีกว่าปีก่อนแน่นอน แม้จะมีการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 แต่บริษัทก็มีประสบการณ์จากรอบที่ผ่านๆ มาแล้ว โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2563 หลังบริษัทเร่งปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤต
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 24, 2021 1:02 pm
0
1
Re: SNNP
‘ศรีนานาพร’เทิร์นอะราวด์ฝ่าโควิด 21 พฤษภาคม 2564 “ศรีนานาพร” มั่นใจรายได้ปี 2564 ฟื้น หลังปรับกลยุทธ์รับมือโควิด-19 ชู 4 จุดแข็ง “สินค้าหลากหลาย-ช่องทางกระจายสินค้าทั่วประเทศ-การบริหารจัดการต้นทุน-ธรรมาภิบาล” พร้อมเดินหน้าเข้าตลาดหุ้น คาดเทรด ก.ค.-ส.ค.นี้ นำเงินสร้างโรงงานในเวียดนาม นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว เช่น เยลลี่พร้อมดื่ม “เจเล่” ปลาหมึกอบ “เบนโตะ” กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในปี 2564 จะฟื้นตัวดีขึ้นจากปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยมีรายได้รวม 4,435 ล้านบาท ลดลง 6.5% จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 4,748 ล้านบาท ทั้งนี้ แม้ว่ารายได้ลดลง แต่ก็เพียงเล็กน้อย โดยรวมถือว่ายังดีกว่าตลาดและผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกัน หลังบริษัทเร่งปรับตัวปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด ส่งผลให้ผลประกอบการเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา “แม้จะเกิดการระบาดระลอกที่ 3 แต่เรามั่นใจว่าธุรกิจปีนี้จะเทิร์นอะราวด์ รายได้จะดีขึ้นแน่นอน เพราะเรามีประสบการณ์มาแล้วจากการระบาด 2 รอบที่ผ่านมา พอมาเจอรอบนี้รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร การปรับตัวที่ผ่านมาทำให้องค์กรแข็งแกร่งขึ้น ขจัดไขมันส่วนเกินออกไปให้หมด ส่วนไหนที่ไม่มีประสิทธิภาพก็ไขน็อตให้ดีขึ้น” เขา มองว่าจุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถประคองตัวฝ่าวิกฤตโควิดมาได้ มีด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่ 1.มีสินค้าหลากหลาย ทั้งกลุ่มขนมคบเคี้ยวและเครื่องดื่ม จึงช่วยกระจายความเสี่ยงไม่ต้องพึ่งพารายได้จากส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการออกแคมเปญใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย อย่างเช่นช่วงที่มีการล็อกดาวน์ในเดือน เม.ย. 2563 นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มสินค้า “เบนโตะ” เพราะมีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนมากถึง 30% ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์หันมาเจาะตลาดในประเทศมากขึ้น ผ่านแคมเปญ Work From Home ให้ลูกค้านำเบนโตะมาทานคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวต้ม ข้าวเหนียว ทำเมนูยำต่างๆ ปรากฏว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก ส่วนเยลลี่พร้อมดื่ม “เจเล่” ซึ่งมีวิตามินสูง อร่อย อยู่ท้อง ออกสินค้าใหม่ “เจเล่ วิตามิน” ราคา 10 บาท จับตลาดในช่วงที่คนหยุดทำงานที่บ้าน ขณะที่กลุ่มน้ำผสมวิตามินยังเติบโตดี เพราะตั้งแต่เกิดโควิด-19ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น “เรามีสินค้าครอบคลุมหลายเซ็กเมนท์ มีหลายแบรนด์ แต่ละแบรนด์แข็งแกร่งมาก อย่างเจเล่, เบนโตะ มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในกลุ่ม ซึ่งโดยปกติแล้วสินค้าอุปโภคบริโภคจะมี Life Cycle ของตัวเอง มีช่วงที่ขายดี ขายไม่ดี ซึ่งของเราโชคดี ช่วงหน้าร้อน เครื่องดื่มขายดีมาก พอพน้าหนาว กลุ่มสแน็คจะขายดี เลยช่วยบาลานซ์พอร์ตโฟลิโอ” 2.ช่องทางกระจายสินค้า อยู่ภายใต้การดูแลของ บริษัท สิริ โปร จำกัด ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 11 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค สามารถกระจายสินค้าถึงกลุ่มร้านค้า ทั้งร้านค้าปลีกและค้าส่งมากกว่า 70,000 รายทั่วประเทศ โดยในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด ต้องมีการกักตัว แต่การขนส่งสินค้าของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ สามารถส่งได้ตามปกติจากคลังสินค้าทั่วประเทศไม่ต้องเข้ามาที่กรุงเทพฯ ซึ่งแต่ละจุดจะมีทีมขายประจำอยู่ในพื้นที่ “การตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าแม้จะต้องลงทุนเยอะ แต่ทุกวันนี้ถือว่าคุ้มค่า เพราะนอกจากใช้กระจายสินค้าของเราแล้ว ยังรับกระจายสินค้าให้บริษัทอื่นๆ ด้วย ส่วนทีมงานขายก็มีการปรับโครงสร้างฝ่ายขายทั้งหมด แบ่งทีมรับผิดชอบดูแต่ละกลุ่มไปเลย ทั้งโมเดิร์นเทรด ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าส่งทั่วไป หาคนที่มีประสบการณ์ที่ถนัดในแต่ละกลุ่มไปดูแล เพื่อที่จะได้ตอบโจทย์ความต้องการได้ตรงจุด” 3.การบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 บริษัทให้ความสำคัญอย่างมากในการปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยมาไล่ดูเลยว่าสินค้าแต่ละตัว ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ต้นทุนประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เพื่อที่จะหาแนวทางในการลดต้นทุน ทั้งวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ การจัดหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ระยะเวลาในการผลิต ฯลฯ และ 4.ธรรมาภิบาล การดูแลพนักงาน แม้ปีที่ผ่านมายอดขายจะลดลง แต่บริษัทไม่มีการปลดพนักงาน ไม่ได้ลดเงินเดือน ทำให้พนักงานทุกคนมีขวัญและกำลังใจที่จะร่วมมือกันทำงานเพื่อฟันฝ่าภาวะวิกฤติในครั้งนี้ไปให้ได้ ส่วนความคืบหน้าในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ที่ผ่านมาบริษัทได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 240 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ซึ่งล่าสุด ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อย โดยเบื้องต้นคาดว่าหุ้น SNNP จะเข้าซื้อขายในตลท.ได้ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2564 ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นไอพีโอไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ โดยมีแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศเวียดนามซึ่งมีประชากรจำนวนมากและเศรษฐกิจกำลังเติบโต “เรากำลังก้าวกระโดดจากบริษัทในประเทศออกไปยังภูมิภาค และวันหนึ่งเมื่อฐานเราใหญ่ขึ้นก็จะก้าวไปสู่ตลาดโลก ผมมองว่าเมื่อเราเข้าตลาดหุ้น เราจะเป็นบริษัทเดียวที่มีทั้งธุรกิจเครื่องดื่มและสแน็ค ดังนั้นการลงทุนในหุ้น SNNP เหมือนได้ลงทุน 2 ธุรกิจ ในบริษัทเดียว”
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 24, 2021 1:01 pm
0
1
Re: SNNP
https://www.youtube.com/watch?v=qVEhFobd9UU 'ศรีนานาพร' ยื่นไฟลิ่งเสนอขายหุ้น SNNP | EXCLUSIVE IN BRIEF | THAN TALK | 10 พ.ค.64
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 24, 2021 1:00 pm
0
1
Re: SNNP
‘ศรีนานาพร’ ปรับตัวฝ่าวิกฤตโควิด ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยคึกคัก ที่หลายบริษัทวางแผนเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หนึ่งในนั้น คือ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เป็นเจ้าของแบรนด์ เยลลี่พร้อมดื่ม “เจเล่” , ปลาหมึกอบเบนโตะ คาดเข้าจดทะเบียนได้ในช่วงไตรมาส 3 นี้ โดยที่ผ่านมา บริษัทเร่งปรับตัวเพื่อปรับมือกับการระบาดของโควิด-19 มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้เทิร์นอะราวด์แน่นอน นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทในปีที่ผ่านได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่โดยรวมแล้ว ถือว่าดีกว่าตลาดและผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน โดยมีรายได้รวม 4,435 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 6.5 % จากปี 2562 ที่มีรายได้รวม 4,748 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในปี 2564 มั่นใจว่าจะดีกว่าปีก่อนแน่นอน แม้จะมีการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 แต่บริษัทก็มีประสบการณ์จากรอบที่ผ่านๆ มาแล้ว โดยเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2563 หลังบริษัทเร่งปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤต ทั้งนี้ มองว่าจุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทประคองตัวฝ่าวิกฤตโควิดมาได้มีด้วยกัน 4 ประการ ได้แก่ 1.มีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มขนมคบเคี้ยวและเครื่องดื่ม ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจ ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมามีการออกแคมเปญใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง เช่น ปลาหมึกอบเบนโตะที่มียอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะคนจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย คิดป็นสัดส่วนถึง 30% แต่เมื่อมีการล็อกดาวน์เลยได้รับผลกระทบโดยตรง ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์หันมาเจาะฐานลูกค้าในประเทศมากขึ้น ผ่านแคมเปญ work from home นำเบนโตะ มาทานคู่กับอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวต้ม, ข้าวเหนียว เอาไปทำเป็นยำ ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ส่วนเยลลี่พร้อมดื่ม “เจเล่” ซึ่งมีวิตามินสูง อร่อย อยู่ท้อง มีการออกสินค้าใหม่ เจเล่น วิตามิน ในราคา 10 บาท จับตลาดในช่วงที่คนหยุดทำงานที่บ้าน ขณะที่กลุ่มน้ำผสมวิตามินยังเติบโตดี เพราะตั้งแต่เกิดโควิดผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น 2.ช่องทางกระจายสินค้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 11 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค สามารถกระจายสินค้าถึงกลุ่มร้านค้า ทั้งค้าปลีกและค้าส่งมากกว่า 70,000 รายทั่วประเทศ 3.การบริหารจัดการต้นทุน ซึ่งตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด บริษัทให้ความสำคัญอย่างมากในการปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต มาไล่ดูเลยว่าสินค้าแต่ละตัว ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ต้นทุนประกอบๆไปด้วยอะไรบ้าง เพื่อที่จะหาแนวทางในการลดต้นทุน และ 4.ธรรมาภิบาล การดูแลพนักงาน แม้ปีที่ผ่านมายอดขายจะได้รับผลกระทบจากโควิด แต่บริษัทไม่มีการปรับลดพนักงาน ไม่มีการลดเงินเดือน พนักงานทุกคนก็มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน ร่วมมือกันฟันฝ่าภาวะวิกฤต ส่วนความคืบหน้าในการเสนอขายหุ้นไอพีโอเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ก.ล.ต. ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดจะเข้าซื้อขายได้ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. นี้ โดยมีแผนนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ชำระคืนหนี้ และสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนในหุ้นของบริษัทเหมือนได้ลงทุนใน 2 ธุรกิจ ในบริษัทเดียว
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. พ.ค. 20, 2021 11:03 pm
0
2
Re: SNNP
เปิดเบื้องลึกบริษัท ศรีนานาพร ต้องมีดิสทริบิวเตอร์ “สิริ โปร” สร้างแต้มต่อให้ธุรกิจ 20/05/2021 Distribution หรือ ระบบการจัดจำหน่าย เป็นซัพพลายเชนกลางน้ำ ที่เป็นฟันเฟื่องที่สำคัญสำหรับผู้ที่ดำเนินธุรกิจในกลุ่ม FMCG ไม่เว้นกระทั่งธุรกิจเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว อย่าง ศรีนานาพร ที่กำลังเดินตามบริษัทชั้นนำหลายบริษัท โดยการสร้างระบบดิสทริบิวเตอร์ขึ้นมาเอง ภายใต้การเข้าไปถือหุ้น บริษัท สิริ โปร จำกัด สำหรับ ศรีนานาพร ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูผู้บริโภค แต่ถ้าบอกว่า เบนโตะ, โลตัส ขาไก่, เจเล่ บิวตี้, น้ำผสมวิตามิน อควาวิตซ์ และขนมขบเคี้ยวอีกหลายยี่ห้อจะเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น ส่วนเหตุผลที่ ศรีนานาพร ต้องมีดิสบิวเตอร์ของตนเองซึ่งไม่ต่างกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม TCP ที่ต้องมี เดอเบล (Durbell) หรือกระทั่ง ไทยเบฟเวอเรจที่ต้องมีเบอร์ลี่ ยุคเกอร์และเสริมสุข และบุญรอดฯ เองก็ตามที่มีทั้ง บุญรอด ซัพพลายเชน และบริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์ มีด้วยกัน 5 เหตุผล 1.เพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม (Reach) ไม่แปลกที่ศรีนานาพรเข้าไปถือหุ้นในบริษัท สิริโปร ซึ่งจะเป็นหัวหอกสำคัญสำหรับการกระจายสินค้าในช่องทางเทรดิชันเทรดที่ปัจจุบันมีร่วมกว่า 3.4 แสนร้านค้า ขณะที่ความแข็งแกร่งของสิริโปร ที่มีศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 11 แห่งทั่วประเทศ และยังมีหน่วยรถกระจายสินค้า 150 คัน สามารถจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางค้าปลีกได้ประมาณ 70,000 ร้านค้า และร้านค้าส่งประมาณ 3,600 ร้านค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความถี่ในการกระจายสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้าในพื้นที่ที่บริษัทยังไม่สามารถกระจายสินค้าได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น 2. Big Data เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น การมีศูนย์กระจายสินค้าในแต่ละพื้นที่ ทำให้ศรีนานาพร มีฐานข้อมูลผู้บริโภคมากขึ้น และทำให้เข้าใจถึงความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่เป็นอย่างดี นอกจากนี้การบริหารจัดการสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมต่อความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ โดยสิริโปร มีศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมทั้งภาคเหนือใน จ.พิษณุโลก จ.เชียงใหม่ ภาคอีสาน ใน จ.อุดรธานี และภาคใต้ ในจ.สุราษฎร์ธานี เป็นต้น ช่วยสร้างความได้เปรียบการนำสินค้าลงลึกในแต่ละพื้นที่ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 3.เครื่องมือการตลาด ณ จุดขาย ดิสทริบิวเตอร์ไม่ได้หน้าที่เพราะแค่กระจายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นจิ๊กซอว์กลางน้ำที่สำคัญช่วยให้การทำตลาดมีความแข็งแกร่งมากยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น การจัดเรียงสินค้า การดิสเพลย์ร้านค้า การจัดทำสื่อส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ณ จุดขายของผู้บริโภค การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้า หรือกระทั่งการทำเทรดโปรโมชั่น หรือการผลักดันสินค้าให้กับทางร้านค้า ล้วนแล้วแต่เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของดิสทริบิวเตอร์ทั้งสิ้น 4.ขานอำนาจกับโมเดิร์นเทรดสร้างความสมดุลย์ช่องทางอื่นๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ช่องทางโมเดิร์นเทรดหลายเป็นช่องทางหลักสินค้าไปเสียแล้ว และช่องทางเทรดดิชั่นที่หดหายไปจากตลาด แต่การที่ศรีนานาพร ให้ความสำคัญมุ่งสร้างรากฐานช่องทางร้านค้าปลีกดั้งเดิมและร้านค้าส่งให้แข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งมาจากสินค้าส่วนใหญ่เป็นแมสโปรดักส์ จึงต้องขยายฐานสินค้าให้กว้างที่สุด และยังเป็นการลดความเสี่ยงการพึ่งพาช่องทางใดช่องทางหนึ่งจนมากเกินไป 5.รับจัดจำหน่ายสินค้านอกเครือสร้างรายได้เพิ่ม นอกเหนือจากการจัดจำหน่ายสินค้าให้แก่ศรีนานาพรแล้ว สิริโปร ยังมีรายได้จากการจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคให้สินค้าแบรนด์อื่นๆ ซึ่งสิริโปร เป็นผู้ประกอบการที่โซลูชั่นโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถกระจายสินค้าให้กับลูกค้าตั้งแต่ช่องทางโมเดิร์นและช่องทางเทรดิชันนัลเทรดได้อย่างครอบคลุม และในอนาคต สิริ โปร มีโอกาสก้าวสู่ดิสทริบิวเตอร์รายใหญ่และเป็นทางหนึ่งเลือกสำหรับสินค้า FMCG ที่ต้องการขยายฐานลูกค้าลงลึกในช่องทางจำหน่ายเทรดิชันนัล ซึ่งปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนมาซื้อสินค้าใกล้บ้านมากกว่าจะเดินทางไปโมเดิร์นเทรด สรุป ศรีนานาพร เป็นผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวกว่า 30 ปี สินค้าในพอร์ตโฟลิโอส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแมสโปรดักส์ ด้วยขนาดและมีราคาไม่สูง อาทิ เจเล่ น้ำผสมวิตามินอควาวิตซ์ เครื่องดื่มเมจิฟาร์มเฟรช เป็นต้น ดังนั้นช่องทางเทรดิชันนัลเทรดหรือร้านค้าปลีกดั้งเดิมและร้านค้าส่งถือว่าเป็นช่องทางที่สำคัญของศรีนานาพร กลยุทธ์ของศรีนานาพรที่หันมารุกพัฒนาสินค้าสู่ Premiumization ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณมากขึ้น หรือกระทั่งการพัฒนาสินค้าที่สร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น ซึ่งจะเหมาะกับช่องทางโมเดิร์นเทรดมากกว่าผลิตภัณฑ์แมสที่มีช่องทางหลักเป็นเทรดิชันนัลเทรดเป็นหลัก การมีดิสทริบิวเตอร์ของตัวเอง ช่วยในด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทั้งการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็ว แม่นยำ รวมทั้งยังสามารถบริหารต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น การดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว ถือว่าเป็นสินค้าที่ซื้อง่ายขายคล่องและหมุนเวียนได้เร็ว และจำเป็นต้องช่องทางการจำหน่ายหลากหลาย ทั้งโมเดิร์นเทรด เทรดิชั่นเทรด หรือกระทั่งในรูปแบบออนไลน์เองก็ตาม
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. พ.ค. 20, 2021 6:38 pm
0
2
Re: ONEE
CDD755DD-9E16-42E1-9935-0494AE234734.jpeg
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 17, 2021 3:33 pm
0
0
Re: CPANEL
CPANELยื่นไฟลิ่งก.ล.ต. จ่อลงกระดานเทรดmai CPANEL ยื่นไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต. เตรียมเสนอขายไอพีโอ จำนวน 39.50 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ maiหวังเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เสริมแกร่งธุรกิจ นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL เปิดเผยว่า ขณะนี้ CPANEL ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 และยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนแล้ว ขายไอพีโอ39.50ล “ปัจจุบัน CPANEL มีทุนจดทะเบียนจำนวน 150 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 110.50 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และอีกส่วนหนึ่งเป็นการรองรับการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 39.50 ล้านหุ้น จะเข้าซื้อขายในตลาดเอ็มเอไอ” นายสมศักดิ์ฯ กล่าว ด้านนายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มศักยภาพ ขยายโอกาส และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว CPANEL ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นพื้นและผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete Wall and Slap Panel) และส่วนประกอบอาคารที่ผลิตจากคอนกรีตสำเร็จรูป ภายใต้ตราสินค้า “CPANEL” โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปให้กับกลุ่มลูกค้าประเภทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้รับเหมาก่อสร้าง
โดย
pakapong_u
จันทร์ พ.ค. 17, 2021 12:17 pm
0
1
Re: CPANEL
https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=340070 หนังสือชี้ชวนตราสารทุน รายละเอียดตราสาร ผู้ออกหลักทรัพย์ : บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอขายหลักทรัพย์ : บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) วันที่ยื่น Filing version แรก : - วันที่แก้ไข Filing ครั้งล่าสุด (วันที่นับ 1 Filing) : - วันที่ Filing มีผลบังคับใช้ : - วันที่เริ่มต้นการเสนอขาย : - วันที่สิ้นสุดการเสนอขาย : - ประเภทหลักทรัพย์ : หุ้นสามัญ ประเภทการเสนอขาย : การเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งแรกต่อประชาชน ที่ปรึกษาทางการเงิน/ผู้ควบคุม : บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด / นาย สมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร
โดย
pakapong_u
เสาร์ พ.ค. 15, 2021 11:15 pm
0
0
Re: CPANEL
CPANEL : บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) ประเภทธุรกิจ ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นและผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete Slab and Wall Panel) และส่วนประกอบอาคารที่ผลิตจากคอนกรีตสำเร็จรูป อาทิ คาน บันได ผนังรับหลังคา ฟาซาด เป็นต้น ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม อาคารคลังสินค้า และโรงงานอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า “CPANEL” ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง สถานะ Filing จำนวนหุ้นที่ IPO 39,500,000 หุ้น ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a ราคา IPO n/a ราคา PAR 1.00 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ข้อมูล Filing www.cpanel.co.th
โดย
pakapong_u
เสาร์ พ.ค. 15, 2021 11:14 pm
0
1
Re: NFSC
SECURE : บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (มหาชน) ประเภทธุรกิจ ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cybersecurity) และให้บริการที่เกี่ยวข้อง ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. ระบบรักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์ผู้ใช้งานโดยตรง (End Point Security) 2. ระบบรักษาความปลอดภัยบนเครือข่าย (Network Security) 3. ระบบการบริหารจัดการประสิทธิภาพ (Network Performance and Monitoring) 4. ระบบหรือซอฟต์แวร์อื่นๆ ได้แก่ ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption Solution) ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการยืนยันและระบุตัวตน (Authentication) และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูล (Archiving) เป็นต้น ตลาดรอง ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรม เทคโนโลยี สถานะ Approved จำนวนหุ้นที่ IPO 27,741,000 หุ้น ระยะเวลาเสนอขายหุ้น n/a ราคา IPO n/a ราคา PAR 0.50 บาท วันที่เริ่มซื้อขาย n/a ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ข้อมูล Filing www.nforcesecure.com
โดย
pakapong_u
ศุกร์ พ.ค. 14, 2021 2:49 pm
0
1
Re: POMPUI
แบบสรุปผลการดำเนินงาน (F45) บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) (หน่วย : พันบาท) งบการเงิน ไตรมาสที่ 1 สอบทาน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม ปี 2564 2563 กำไร (ขาดทุน) 18,932 12,910 ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นข องบริษัทใหญ่ * กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 0.0378 0.0258 ต่อหุ้น (บาท) ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน ไม่มีเงื่อนไขและมีข้อสังเกต/เรื่องอื่น หมายเหตุ *สำหรับงบการเงินรวม โปรดดูงบการเงินฉบับเต็มประกอบ ก่อนการตัดสินใจลงทุน "ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบการเงิน ฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว" ลงลายมือชื่อ ___________________________ ( นายทวีศักดิ์ นารายณ์ประทาน ) ผู้อำนวยการสำนักเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
โดย
pakapong_u
ศุกร์ พ.ค. 14, 2021 2:13 pm
0
1
Re: CPANEL
“CPANEL” ยื่นไฟลิ่ง เล็งขาย IPO 39.50 ล้านหุ้น เข้าเทรด mai “CPANEL” ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นพื้นและผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete Wall and Slap Panel) และส่วนประกอบอาคารที่ผลิตจากคอนกรีตสำเร็จรูป ยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต. เตรียมเสนอขายไอพีโอ 39.50 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL เปิดเผยว่า ขณะนี้ CPANEL ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 และยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนแล้ว “ปัจจุบัน CPANEL มีทุนจดทะเบียนจำนวน 150 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 110.50 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และอีกส่วนหนึ่งเป็นการรองรับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกต่อประชาชน (IPO) 39.50 ล้านบาท หรือคิดเป็น 39.50 ล้านหุ้น และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)” นายสมศักดิ์ฯ กล่าว ด้านนายสุพล ค้าพลอยดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มศักยภาพ ขยายโอกาส และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงินมากยิ่งขึ้น สร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว CPANEL ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นพื้นและผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete Wall and Slap Panel) และส่วนประกอบอาคารที่ผลิตจากคอนกรีตสำเร็จรูป อาทิ คาน บันได ผนังรับหลังคา ฟาซาด ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม อาคารคลังสินค้า และโรงงานอุตสาหกรรม ภายใต้ตราสินค้า “CPANEL” โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปให้กับกลุ่มลูกค้าประเภทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้รับเหมาก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปของ CPANEL ผลิตด้วยเทคโนโลยีและเครื่องจักรการผลิตระบบ Fully Automated ที่ทันสมัยของ Vollert Anlagenbau Gmbh ประเทศเยอรมันนี และได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยนำ Software ต่างๆที่ทำงานเชื่อมโยงกันและบริหารงานก่อสร้างบนระบบ Building Information Modeling หรือ BIM ตั้งแต่การออกแบบ ควบคุมการผลิต การทำงานหน้างาน และการจัดทำรายงานเอกสารเข้าด้วยกันอย่างบูรณาการ
โดย
pakapong_u
ศุกร์ พ.ค. 14, 2021 11:34 am
0
0
Re: ONEE
“ทีวีไม่มีวันตาย” และนายทุนสื่อใหญ่ “ไม่มีวันจน” Date: 12/05/2021 Author: Orawan Marketeer นอกจาก นพ. ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้งสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เป็นผู้ร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาฯ มูลค่าเกือบ 300,000 ล้านบาทแล้ว ยังเป็นเจ้าของธุรกิจทีวีดิจิทัลอีก 2 ช่อง คือช่อง PPTV 36 ที่ลงทุนผ่านบริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง ตั้งแต่ปี 2556 ส่วนช่องวัน 31 ภายใต้การบริหารของ บริษัท เดอะวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (ONE) นั้น หมอเสริฐได้เข้ามาลงทุนผ่านบริษัท ประนันท์ภรณ์ เมื่อปี 2559 ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่จำนวน 952,500,000 หุ้น สัดส่วน 50.00% บริษัท ประนันท์ภรณ์ มีชื่อลูกสาวคนที่ 4 “หมอปุย” พญ.ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ ประธานกรรมการบริหารบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้น 100% ทั้ง 2 ช่องเนื้อหาหลัก ๆ ต่างกัน เรตติ้งต่างกัน ที่สำคัญรายได้ต่างกันโดยสิ้นเชิง เรียกว่ารายได้ช่องหนึ่งกำลัง “เดินหน้า” อีกช่อง กำลัง “ถอยหลัง” PPTV 36 เป็นช่องที่หมอเสริฐปั้นเองมากับมือ มีกลุ่มคนชั้นกลางขึ้นไปเป็นเป้าหมายหลัก ด้วยการบริหารสไตล์ “ใจใหญ่” “กล้าทุ่ม” ผ่านกลยุทธ์ ปัง ๆ ระดับเวิลด์คลาส ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์กีฬา หรือบันเทิง แต่กลับ “ไม่โดน” ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด ผลประกอบการของพีพีทีวีขาดทุนมาโดยตลอดระยะเวลา 8 ปี นับหมื่นล้านบาท ตัวเลขขาดทุนเฉพาะปี 2562 สูงถึง 2,040 ล้านบาท ส่วนตัวเลขปี 2563 ยังไม่ออก แน่นอน ก็คงขาดทุนต่อเนื่อง ไม่น่าจะมีปาฏิหาริย์ ส่วนช่องวัน 31 มีคนรุ่นใหม่เป็นเป้าหมาย ผ่านละครที่เป็นจุดขายหลักยืนหนึ่งมาหลายปี จากพลอตเรื่องที่ถูกจริตจนหลายเรื่องทำเรตติ้งชนะช่องหลัก โดยมีโลกโซเชียลเป็นตัวปลุกกระแส ล่าสุดที่เพิ่งจบไป คือ “วันทอง” และที่กำลังออนแอร์ “กระเช้าสีดา” ที่ “รำนำ” ทำเอาคนรำคาญนางไปทั้งบาง กลับมามองด้านเรตติ้งช่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 3-9 พ.ค. 64 ช่องวัน 31 มีเรตติ้งรวมเป็นอันดับ 4 ซึ่งเป็นอันดับที่เหนียวแน่นมานาน ในขณะที่พีพีทีวีอยู่ในอันดับ 9 ส่วนรายได้ของ ONE มี 5 ธุรกิจ คือ 1. ผลิตรายการ บริหารลิขสิทธิ์ และให้บริการช่องโทรทัศน์ 2. ผลิตรายการวิทยุ 3. รับจ้างผลิต 4. รับจัดอีเวนต์ และ 5. ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ โดยมีรายได้ของช่องวัน 31 เป็นหลัก) ปี 61 มีรายได้ 4,199 ล้านบาท กำไรสุทธิ 73 ล้านบาท ปี 62 มีรายได้ 4,818 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 228 ล้านบาท และปี 63 มี รายได้ 4,875 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 657 ล้านบาท วันนี้ ONE กำลังเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงินหลัก ๆ คือ ชำระคืนหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน การขยายธุรกิจ และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ หวังเป็นช่องทีวีหนึ่งที่ผงาดฝ่าวิกฤตไปได้อย่างเข้มแข็ง และตอกย้ำว่า “ทีวีไม่มีวันตาย” และนายทุนสื่อใหญ่ “ไม่มีวันจน” แต่ทุกอย่างก็อาจจะไม่ง่าย ดูจากผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจทีวีที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทยักษ์ใหญ่แทบทุกรายยังเจ็บหนัก (รายละเอียดในตาราง) จากปัญหาการแข่งขันกันสูง คนมีหน้าจออื่น ๆ ให้ดูมากขึ้น รวมทั้งเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลง info-tvchannal-2.jpg ย้อนกลับมาที่คำว่า “มรสุม” ของหมอเสริฐ ก็ต้องบอกว่าวิกฤตโควิด- 19 ทำให้ธุรกิจหลักของตระกูล “ปราสาททองโอสถ” กำลังเจอกับปัญหาหนัก นอกจากพีพีทีวีที่ทำมา 8 ปี ขาดทุนสะสมนับหมื่นล้านบาทแล้ว เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ แหล่งเงินที่ใหญ่ที่สุดก็มีรายได้ลดลงจาก 83,893 ล้านบาท เมื่อปี 2562 เหลือเพียง 69,101 ล้านบาท ส่วนกำไร จาก 15,517 ล้าน เหลือเพียง 7,214 ล้าน ส่วนธุรกิจสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส รายได้ดิ่งลงไม่หยุดจาก 26,618 ล้านบาท เมื่อปี 2562 เหลือเพียง 10,022 ล้านบาท เป็นการเจอกับภาวะขาดทุนเป็นปีแรกถึง 5,283 ล้านบาท ในขณะที่โควิด-19 ยังไม่จบ และยังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนช่องวัน 31 จึงเป็นความหวังใหม่ ๆ ที่ทำให้หมอเสริฐได้ยิ้มออกบ้าง แต่จะยิ้มได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับฝีมือของ “บอย” ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้บริหารบริษัท เดอะวัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ก็ต้องติดตามดูกันต่อไป
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. พ.ค. 13, 2021 1:55 pm
0
1
Re: SAV
SAMARTต่างชาติดีลSAV ปลดล็อคธุรกิจสนามบิน จับตา SAMART กลุ่มทุนข้ามชาติหลายราย เริ่มตั้งโต๊ะเจรจาสนใจซื้อธุรกิจการควบคุมจราจรทางอากาศ ประเทศกัมพูชา ในนามบริษัท SAV ในเครือของ SAMART สะพัด หากสำเร็จ มีแววปลดล็อค SAMART ลอยตัวเหนือโควิด-19 รายงานข่าวจากวงการตลาดทุนเปิดเผยว่า มีข่าวแพร่สะพัดถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ที่เริ่มเปิดเกมการเจรจากับนักลงทุนต่างชาติหลายราย ที่สนใจจะเข้าลงทุนใน บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV ที่ประกอบธุรกิจการควบคุมจราจรทางอากาศ ในประเทศกัมพูชา แต่เพียงผู้เดียว จากเดิมถือเป็นหุ้นน้องใหม่ค่ายSAMART ที่เล็งนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ “การตัดสินใจครั้งสำคัญ ของ SAMART รอบนี้ เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ธุรการท่องเที่ยว ต้องหยุดชะงัก ธุรกิจการควบคุมการจราจรทางอากาศได้รับผลกระทบหนัก ดังนั้น การตัดขายออกไปก่อน จะเป็นการปลดล็อค ของกลุ่มSAMART” แหล่งข่าวกล่าว ธุรกิจของ SAV ต้องรอให้การเดินทางและการท่องเที่ยวฟื้นตัว คือ สายธุรกิจ Samart U-Trans โดยบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส จำกัด หรือ (CATS) ที่ทำธุรกิจด้านการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การเดินทางด้วยเครื่องบินลดลง ล่าสุด การให้บริการการควบคุมจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชาของCATS ซึ่งมีจํานวนเที่ยวบินลดลงจาก 27,099 เทียวบิน เป็น 8,096 เที่ยวบินในไตรมาสทีผ่านมา หรือลดลงร้อยละ 70 จากไตรมาส เดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ SAV ยังเป็นธุรกิจที่มีอนาคต หากวิกฤติโควิดผ่านไป เพราะประเทศกัมพูชามีการเตรียมพร้อมด้านการท่องเที่ยว โดยมีการปรับปรุงสนามบินเก่าและสร้างสนามบินใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ Darasakor , New Siem Reap และ New Phompenh Airport ซึ่งมีสนามบินที่ทันสมัยติด 1 ใน 10 ของโลกด้วย คาดว่าแล้วเสร็จภายใน 5 ปี ที่สำคัญ คือ CATS จะเป็นผู้ให้บริการระบบวิทยุการบินในทุกสนามบินอีกด้วย ตามแผนเดิมSAV ต้องการเงินที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนหนี้เงินกู้ ที่มีอยู่ราว 1.2 พันล้านบาท ทำให้มีสถานะปลอดหนี้สิน และบางส่วนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน หากย้อนไปตรวจสอบพบว่า ที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV ช่วงนั้น คาดว่ากระบวนการขายหุ้น IPO จะเสร็จสิ้น และหุ้นสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงไตรมาส 2/63 โดย SAV จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 224 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 64 ล้านหุ้นหรือไม่เกิน 10% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และหุ้นสามัญของผู้ถือหุ้นเดิมอีกไม่เกิน 160 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25% โดยการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจในอนาคต SAV เป็นโฮลดิ้งคอมปานี โดยเน้นการลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจการจราจรทางอากาศ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ปัจจุบันถือหุ้น 100% ในบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส จำกัด หรือ CATS ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติกัมพูชาที่ประกอบธุรกิจให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียว สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นภายหลังจากที่ทาง SAV มีการขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะทำให้ทางกลุ่ม SAMART ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SAV มีสัดส่วนการถือหุ้นปรับตัวลดลงเหลือราว 60-70% จากปัจจุบันที่มีการถือหุ้นผ่านบริษัทลูกคือ บริษัท สามารถ ยู-ทรานส์ จำกัด ในอัตรา 66.67% และ โดย บริษัท สามารถ อินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ในอัตรา 33.33% บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ทาง SAV จะนำไปชำระคืนหนี้กู้ยืมของสถาบันการเงินทั้งหมดที่มีอยู่ราว 1.2 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ธุรกิจกลับมามีสถานะปลอดหนี้สินและยังเป็นการช่วยประหยัดต้นทุนทางการเงินในส่วนของค่าใช้จ่ายทางด้านดอกเบี้ยได้เพิ่มเติม จากเดิมที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยส่วนนี้ราว 70 ล้านบาทต่อปี ส่วนเงินที่เหลือนั้นจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองรับการขยายธุรกิจในอนาคตต่อไป
โดย
pakapong_u
พฤหัสฯ. พ.ค. 13, 2021 8:52 am
0
0
Re: ONEE
GRAMMY ดัน"เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" เข้าตลาดหุ้น, ขาย IPO ไม่เกิน 496.25 ล้านหุ้น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) หรือ GRAMMY แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ได้มีการอนุมัติกรอบการนำบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) หรือ ONEE ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าที่บริษัทถือหุ้น 31.27% แยกออกมาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) และนำหุ้นสามัญของ ONEE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการนี้ ONEE ได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต.และยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ ให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ทั้งนี้ ONEE จะเสนอขายหุ้นไม่เกิน 496,250,000 หุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญที่ออกใหม่ที่เสนอขายโดย ONEE ไม่เกิน 476,250,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ ONEE ที่เอาจเสนอขายโดยบริษัท ซีเนริโอ จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของบริษัท ไม่เกิน 20,002,500 หุ้น หุ้นสามัญของ ONEE มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท สำหรับราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนจะมีการกำหนดต่อไป ทั้งนี้ภายหลังการ IPO สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน ONEE จะลดลงจาก 31.27% เป็นไม่ต่ำกว่า 25.02% ในแบบไฟลิ่งของบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) หรือ ONEE ได้ระบุว่าได้แต่งตั้งให้บล.เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยบริษัทประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น หรือโฮลดิ้งคอมปานี ซึ่งประกอบธุรกิจด้านสื่อและความบันเทิงที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำคือการเป็นผู้สร้างสรรค์และผลิตรายการ จนถึงปลายน้ำคือการเป็นเจ้าของช่องทางเผยแพร่ที่ครอบคลุมทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ซึ่งบริษัทจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทมีแผนนำไปใช้ปรับโครงสร้างเงินทุนโดยการชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน, ใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ส่วนโครงการในอนาคต กลุ่มบริษัทมีแผนในการขยายธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินกิจการของกลุ่ม โดยมีแผนลงทุนผลิตรายการเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ชม และรายได้โฆษณาโทรทัศน์ และเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตรายการเพื่อยกระดับคุณภาพรายการ, การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการช่องทางออนไลน์ของตนเอง, การก่อสร้างและยกระดับการให้บริการสถานที่สำหรับถ่ายทำรายการ ของ ACTS การลงทุนพัฒนากระบวนการคัดเลือกและพัฒนานักแสดงหน้าใหม่ และการลงทุนพัฒนาระบบสารสนเทศ (Information Technology) และเพิ่มศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูล
โดย
pakapong_u
พุธ พ.ค. 12, 2021 1:04 pm
0
0
Re: CV
‘โคลเวอร์ เพาเวอร์’ ยื่นไฟลิ่งเข้า SET เล็งขาย IPO ไม่เกิน 320 ล้านหุ้น ‘โคลเวอร์ เพาเวอร์’ หรือ CV ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร ยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต. เล็งขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 320 ล้านหุ้น และเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เดินหน้าขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมแต่งตั้ง บล. ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน นายเศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ CV เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเป็นผู้ให้บริการทางด้านวิศวกรรมการออกแบบครบวงจร ทั้งก่อสร้างโรงไฟฟ้า บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา บริการจัดหาเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้า ตลอดจนลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ โดยมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมากว่า 15 ปี และมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเมกะเทรนด์ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งสามารถนำจุดแข็งของทีมวิศวกรที่มีความชำนาญในงานด้านวิศวกรรมการออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC Turnkey) มาขับเคลื่อนการขยายธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อนำ CV ก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำ ส่งมอบคุณค่าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อการใช้ชีวิตของมนุษย์และสังคมโลกอย่างสมดุลและยั่งยืนในอนาคต ปัจจุบัน บริษัทฯ ประกอบธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Producer) ที่มุ่งเน้นพัฒนาและกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภท โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 4 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 26.2 เมกะวัตต์ (ปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายตามสัดส่วนการถือหุ้น 16.69 เมกะวัตต์) แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 3 โครงการดำเนินการภายใต้บริษัท CV, CPL และ RTB และโรงไฟฟ้าขยะ จำนวน 1 โครงการ ดำเนินการภายใต้ CPX ได้แก่ 1.1 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) อ.วังชิ้น จ.แพร่ กำลังการผลิตติดตั้ง 9.4 เมกะวัตต์ 1.2 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล โคลเวอร์ พิษณุโลก (CPL) อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กำลังการผลิตติดตั้ง 4.9 เมกะวัตต์ 1.3โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล รุ่งทิวา ไบโอแมส (RTB) อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ 1.4โครงการโรงไฟฟ้าขยะ โคลเวอร์ พิจิตร (CPX) อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร กำลังการผลิตติดตั้ง 2.0 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ในกลุ่มบริษัทฯ ยังมีโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะมูลฝอยเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 120 ตัน/วัน และ 200 ตัน/วัน ตามลำดับ และโครงการโรงไฟฟ้าแบบพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักที่อยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการ จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่อยู่ระหว่างพัฒนาในต่างประเทศ จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 6.0 เมกะวัตต์ 2) ธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (EPC Turnkey) ที่มุ่งเน้นการให้บริการงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเชื้อเพลิง ชีวมวล ขยะและก๊าซชีวภาพ และงานโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน โดยดำเนินงานให้บริการงานด้านการออกแบบ จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์และก่อสร้าง (Engineering Procurement and Construction: EPC) แบบครบวงจร ให้แก่โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทฯ และลูกค้าทั่วไปมากกว่า 14 โครงการ ที่ดำเนินกิจการภายใต้ SBC และ SBE ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 100 โดยงาน EPC ถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพและนำจุดแข็งด้านทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง การเดินเครื่องจักรและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าทำให้มีความเข้าใจในเทคนิคการออกแบบ การเลือกใช้เทคโนโลยี การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมให้คำแนะนำแก่ลูกค้าในการควบคุมต้นทุนอย่างเหมาะสม จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในลักษณะจ้างเหมาแบบครบวงจร (Turnkey) มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบโครงการขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการตามสัญญาตั้งแต่ 50 ล้านบาท จนถึง 2,000 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Power Plant Support) ให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ให้แก่ลูกค้าโรงไฟฟ้าทั่วไป พร้อมมุ่งเน้นให้บริการเดินเครื่องและบำรุงโรงไฟฟ้ากลุ่มพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน ที่ดำเนินกิจการภายใต้ SBE โดยบริษัทฯ มีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการปฎิบัติงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาที่พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CV กล่าวว่า บริษัทฯ พร้อมวางรากฐานเพื่อเสริมความมั่นคงและสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อส่งเสริมการใช้พืชพลังงาน พลังงานธรรมชาติ พลังงานสะอาด และการอนุรักษ์พลังงาน นำมาหล่อหลอมบุคลากรด้วยวัฒนธรรมการพัฒนาปัญญาให้เชื่อมโยงองค์กร และผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าร่วมกัน โดยมีเป้าหมายภายใน 3 ปี ข้างหน้า (2564-2566) จะมุ่งขยายการลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งประเทศไทยและต่างประเทศที่อุตสาหกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโต โดยเน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับงานด้านวิศวกรรม EPC Turnkey แบบครบวงจรในกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ อาทิ ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ รวมถึงพลังงานสะอาด ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงในธุรกิจโรงไฟฟ้า ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน รวมถึงช่วยสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2564 บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบัน CV มีทุนจดทะเบียน 640,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,280,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 480,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 960,000,000 บาท และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 320,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มบริษัทฯ
โดย
pakapong_u
พุธ พ.ค. 12, 2021 11:50 am
0
1
Re: ONEE
นอกจาก “บี้ สุกฤษฏิ์” มีดาราคนไหนถือหุ้น “ช่องวัน” อีกบ้าง? วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 - 12:03 น. หลัง “ช่องวัน” ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ ระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ ผู้คนต่างฮือฮาเมื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นพบว่า นักร้องและนักแสดงชื่อดัง “บี้ สุกฤษฎิ์” ถือหุ้นช่องวันในลำดับที่ 5 ด้วย แต่นอกจาก “บี้” แล้ว มีนักแสดง-นักร้อง-คนดัง คนไหนที่ถือหุ้นในเครือช่องวันอีก? วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยได้บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทั้งนี้ เดอะวัน จะเสนอขายหุ้นจำนวนไม่เกิน 496,252,500 หุ้น ประกอบด้วย 1.หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ ไม่เกิน 476,250,000 หุ้น 2.หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขาย โดยซีเนริโอไม่เกิน 20,002,500 หุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.8% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกนี้ สำหรับโครงสร้างธุรกิจแบ่งเป็น 5 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจผลิตรายการ บริหารลิขสิทธิ์ และให้บริการช่องโทรทัศน์ ธุรกิจผลิตรายการวิทยุ ธุรกิจรับจ้างผลิต ธุรกิจรับจัดอีเวนต์ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในส่วนรายได้ย้อนหลัง 3 ปี โดยปี 2561 มีรายได้รวม 4,199 .37 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้รวม 4,818.27 ล้านบาทและปี 2563 มีรายได้ 4,875.31 ล้านบาท ขณะที่วัตถุประสงค์การใช้เงิน ได้แก่ การปรับโครงสร้างเงินทุนโดยการชำระคืนหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน การขยายธุรกิจ และเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ส่วนโครงการในอนาคต มีแผนจะนำเม็ดเงินการลงทุนผลิตในหลายๆส่วน เช่น การลงทุนผลิตรายการเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ชมและรายได้โฆษณาโทรทัศน์ และเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตรายการ การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการช่องทางออนไลน์ การก่อสร้างและยกระดับการให้บริการสถานที่สำหรับถ่ายทำรายการของ ACTS เป็นต้น หลังจากที่ เดอะวันเอ็นเตอร์ไพรส์ เจ้าของช่อง one เตรียมตัวที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก็ได้มีการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหุ้น ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มนายทุนจากปราสาททองโอสถ แกรมมี่ และครอบครัว รวมถึง บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ แต่ที่สร้างความฮือฮา คือ รายชื่อผู้ถือหุ้นในลำดับที่ 5 นักร้องหนุ่มสายแดนซ์อารมณ์ดี “บี้ สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว” ที่ถือหุ้นทั้งหมด 2,500,000 หุ้น จากการตรวจสอบพบว่า “บี้” เข้าถือหุ้นจำนวน 2,500,000 หุ้น ในบริษัทเดอะวันเอ็นเตอร์ไพรส์ หรือ ONEE ที่เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกเหนือจากกลุ่มปราสาททองโอสถ-แกรมมี่ และครอบครัวของ “บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” รายชื่อผู้ถือหุ้นหลัก 1.บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด ของกลุ่มปราสาททองโอสถ ถือจำนวน 952,500,000 หุ้น สัดส่วน 50.00% 2.บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ถือจำนวน 595,774,850 หุ้น สัดส่วน 31.27% 3.กลุ่มคุณถกลเกียรติ วีรวรรณ ประกอบไปด้วย ซีเนริโอ, ถกลเกียรติ วีรวรรณ, อมรพิมล วีรวรรณ, รสนาภรณ์ วีรวรรณ และ ณิการ์ วีรวรรณ ถือรวมกันจำนวน 341,225,000 หุ้น สัดส่วน 17.91% 4.กลุ่มครอบครัวซอโสตถิกุล ประกอบไปด้วย ไรรมย์ ซอโสตถิกุล และ ปิยะ ซอโสตถิกุล ถือรวมกันจำนวน 7,000,000 หุ้น สัดส่วน 0.37% 5.สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว หรือบี้ นักร้องและนักแสดงชื่อดัง ถือจำนวน 2,500,000 หุ้น สัดส่วน 0.13% 6.นิพนธ์ ผิวเณร ผู้กำกับกับการแสดงชื่อดัง ถือจำนวน 1,500,000 หุ้น สัดส่วน 0.08% 7.สุธาสินี บุศราพันธ์ ถือจำนวน 1,000,000 หุ้น สัดส่วน 0.05% 8.สมศรี พฤทธิพันธุ์ ถือจำนวน 1,000,000 หุ้น สัดส่วน 0.05% 9.ศศวัต บุษยพันธ์ ถือจำนวน 500,000 หุ้น สัดส่วน 0.03% 10.สาธิตา อุทัยศรี ถือจำนวน 500,000 หุ้น สัดส่วน 0.03% 11.สิริชัย ตันติพงศ์อนันต์ ถือจำนวน 500,000 หุ้น ส่วน 0.03% 12.บดินทร์ อุดล ถือจำนวน 500,000 หุ้น ส่วน 0.03% 13.ชยากร สุทินศักดิ์ ถือจำนวน 500,000 หุ้น ส่วน 0.03% 14.บุษบา ดาวเรือง ถือจำนวน 100 หุ้น สัดส่วน 0.00 15.มณฑนา ถาวรานนท์ ถือจำนวน 50 หุ้น สัดส่วน 0.00 ทั้งนี้ ภายหลังการ IPO สัดส่วนการถือหุ้นจะเปลี่ยนไปคือ บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด จะถืออยู่ที่สัดส่วน 40.00%, บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ถืออยู่ที่สัดส่วน 25.02%, กลุ่มถกลเกียรติ วีรวรรณ อยู่ที่สัดส่วน 13.49%, กลุ่มครอบครัวซอโสตถิกุล อยู่ที่สัดส่วน 0.29% และนักร้อง นักแสดงชื่อดัง “บี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว” ถืออยู่ที่สัดส่วน 0.10% โดยประชาชนที่จะเข้ามาจำนวน 496,252,500 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 20.84% จากการตรวจสอบโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มเดอะวัน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 พบว่ามีบริษัทย่อยทั้งหมด จำนวน 9 บริษัท และบริษัทร่วมจำนวน 1 บริษัท โดยมีโครงสร้างการถือหุ้นตามตารางดังนี้ B574D97A-D4B9-40E3-A419-B92A975BFCE4.png สำหรับ “ซีเนริโอ” ซึ่งอยู่ในกลุ่ม “ถกลเกียรติ วีรวรรณ” มีผู้ถือหุ้น 10 รายแรกดังนี้ 1.คุณถกลเกียรติ วีรวรรณ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 67 2.GRAMMY ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 25.00 3.คุณสมศรี พฤทธิพันธุ์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 4.00 4.คุณสุธาสินี บุศราพันธ์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 4.00 5.คุณนิพนธ์ ผิวเณร ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 3.29 6.คุณสุรพล พีรพงศ์พิพัฒน์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 1.71 7.คุณพิยดา อัครเศรณี ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 1.59 8.คุณศศวัต บุษยพันธ์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 0.92 9.คุณชยากร สุทินศักดิ์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 0.83 10.คุณภูธเนศ หงส์มานพ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 0.83 11.คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 0.83 ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า รายชื่อที่ 7, 10 และ 11 เป็นรายชื่อที่ประชาชนรู้จักเป็นอย่างดี ได้แก่ “กัปตัน ภูธเนศ หงส์มานพ” นักแสดงและอดีตนักร้องวง UHT สังกัด จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ รวมถึงนักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง “อ้อม พิยดา อัครเศรณี” และ “ภูริ หิรัญพฤกษ์”
โดย
pakapong_u
อังคาร พ.ค. 11, 2021 9:56 pm
0
0
Re: ONEE
“บอย ถกลเกียรติ” เล่าเบื้องหลังปรากฏการณ์ “วันทอง” กับบทพิสูจน์ ทำไม “ทีวี” จึงไม่ตาย May 3, 2021 Boy Cover สร้างกระแสกระหึ่มหน้าจอทีวีและโลกออนไลน์อีกครั้งกับปรากฏการณ์ “วันทอง” ละครทุบสถิติใหม่ของช่อง ONE31 ด้วยเรตติ้งตอนจบสูงสุดทั่วประเทศ 7.767 ขึ้นแท่นเป็นละครเรตติ้งสูงสุดของช่องวัน การรอลุ้นฉากสุดท้าย ทำให้ “วันทองตอนจบ” ยึดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งไปครองกว่า 7 แสนทวีต พร้อมบทสรุปของเรื่องว่า “วันทองมิใช่หญิงสองใจ” และอีกสิ่งที่คนดูต้องจดจำคือ “อย่าไว้ใจช่องวัน” เบื้องหลังปรากฏการณ์ “วันทอง” เวอร์ชั่นช่องวัน กับการเล่าเรื่องผู้หญิงชาวกรุงศรีอยุธยาที่ไม่มีสิทธิเลือก เชื่อมโยงกับกระแสสังคมใน พ.ศ.นี้ ผ่านการ Speak Out เรื่องความเท่าเทียมของหญิงชาย และการตีความตอนจบใหม่ ในมุมคิดที่ว่า “หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร ทำไมต้องตาย เราอยู่ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงไม่ดีกว่าหรือ” ความสำเร็จครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์สื่อโทรทัศน์อย่างไร … Brand Buffet พาผู้อ่านไปฟังจาก คุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ และผู้อำนวยการผลิตละครวันทอง ละครฟอร์มยักษ์เล่าวรรณคดีมุมใหม่ วรรณคดี “ขุนช้าง ขุนแผน” เป็นเรื่องราวที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักดี เพราะเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาบทร้อยแก้วร้อยกรองของนักเรียนมัธยม จึงมีความน่าสนใจที่จะนำมาทำเป็นละคร โดยมีคุณสันต์ ศรีแก้วหล่อ เป็นผู้กำกับการแสดง ที่เคยโชว์ฝีมือมาแล้วจากละคร “พิษสวาท” เขียนบทโทรทัศน์โดย คุณเกด พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์ และอำนวยการผลิตโดย คุณนิพนธ์ ผิวเณร Wanthong ONE วันทอง ช่องวัน จุดเริ่มต้น “วันทอง” เป็นโปรเจกต์ที่ช่องวันคิดมา 2-3 ปีแล้ว ก่อนลงมือถ่ายทำจริงช่วงกลางปี 2563 วางคอนเซ็ปต์เป็นการเล่าเรื่องในมุมของ “วันทอง” ว่าต้องผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้างในชีวิตและคำตราหน้าว่า “หญิงสองใจ” เป็นเรื่องจริงหรือไม่ โดยวางเป็นละครพีเรียดฟอร์มยักษ์ แต่เล่าใหม่ในมุมใหม่ แม้คนส่วนใหญ่จะรู้เรื่องราวของขุนช้าง ขุนแผนอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ พี่บอย ไม่ได้เรียนมัธยมในเมืองไทย จึงรู้เรื่องราววรรณคดีขุนช้าง ขุนแผน ไม่มากนัก ซึ่งต้องถือเป็นข้อดีในการนำมาตีความใหม่ในมุมของวันทอง พี่บอย เล่าว่าโปรเจกต์นี้ใช้เวลาหารือกันนานพอสมควรกว่าจะลงตัว เพราะในการพูดคุยอัพเดทกับทีมงาน ครีเอทีฟ คนเขียนบท เพื่อฟังไอเดียการเล่าเรื่องว่าจะออกมาในมุมไหน ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นมุมของขุนช้าง ขุนแผน จึงได้คอมเมนต์กลับไปว่า “คุณกำลังเล่าเรื่องขุนช้าง ขุนแผน แต่สิ่งที่อยากฟังคือเรื่องวันทอง” เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 รอบ ทีมงานก็ต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ ความลงตัวของเรื่องวันทอง เกิดขึ้นเมื่อ คุณป้อน นิพนธ์ ผิวเณร ผู้อำนวยการผลิต บอกรายชื่อนักแสดงนำ “ป้อง ณวัฒน์” เป็นขุนแผน “ชาคริต แย้มนาม” เป็นขุนช้าง และ “ใหม่ ดาวิกา” เป็น “วันทอง” นั่นคือความลงตัวทั้งหมดที่ทีมงานทุกคนตอบรับทันที Wanthong ONE วันทอง ช่องวัน แก้โจทย์อายุนักแสดง วางโครงเรื่อง “เล่าย้อนอดีต” แม้รายชื่อนักแสดงนำลงตัวแล้ว แต่ทีมงานก็ยังเล่าไม่ถูกว่าจะวาง Structure ของเรื่องอย่างไร ยังคงอยู่กับกับดักเดิม เป็นการเล่าเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เรื่องราวมาลงตัวได้ก็ตอนเริ่มลงรายละเอียดบทตัวเอก “ขุนแผนกับวันทอง” เนื้อหาดั้งเดิมทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก เริ่มรักกันตั้งแต่เป็นวัยรุ่น เรียกว่าอายุยังไม่ถึง 20 ปี เมื่อเป็นเช่นกันการจะให้ ป้อง ณวัฒน์ หรือ ชาคริต แย้มนาม มาเล่นเป็นตัวละครอายุไม่ถึง 20 ปี ก็ยากที่ผู้ชมจะเชื่อ! เมื่อเลือกตัวละครเอกแล้วว่าต้องเป็น ป้อง ณวัฒน์ และ ชาคริต แย้มนาม สาเหตุที่ต้องเป็นนักแสดงรุ่นนี้ เพราะในเรื่องยังมีนักแสดงรุ่นลูก “พลายงาม” หรือ “จมื่นไวยวรนาถ” มาเป็นอีกตัวเอกเดินเรื่อง และตามวรรณคดีขุนช้าง ขุนแผนเป็นเรื่องราวที่กินเวลาราว 20 ปีกว่าจะจบเรื่องราวของวันทอง พี่บอย จึงให้ไอเดียโครงเรื่องวันทอง ว่าเทียบเคียงได้กับเรื่อง “ล่า” เวอร์ชั่นคุณหมิว ลลิตา วางโครงเรื่องคือการขึ้นศาลว่า “ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องฆ่าผู้ชาย 7 คน” จึงเล่าเรื่องผ่านศาล ส่วนเรื่องของ “วันทอง” ก็เปรียบได้กับลานพิพากษา ที่มีพ่ออยู่หัว พระพันวษา เป็นคนฟังความจากวันทองและเป็นผู้ตัดสิน มาถึงจุดนี้ทุกอย่างจึงลงตัว ทั้งการเดินเรื่องเล่าผ่าน “วันทอง” ตามโครงเรื่องที่วางไว้จากการตีความวรรณคดีใหม่ และใช้วิธีเริ่มเรื่องจากการเล่าย้อนอดีต ของวันทอง ณ ลานพิพากษา ถึงสาเหตุไม่เลือกชายใด เป็นการเริ่มเรื่องในช่วงที่ตัวเอก วันทอง ขุนช้าง ขุนแผน อยู่ในฐานะเป็นพ่อแม่ แก้โจทย์เรื่องอายุของนักแสดงนำที่ต้องมีฉากเล่นวัยไม่ถึง 20 ปีได้ทันที “เหมือนเรายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว หนึ่งเรากำจัดคำถามถึงนักแสดงอายุเกือบ 40 ปี มาเล่นเป็นคนอายุไม่ถึง 20 ปี ด้วยการให้เล่าย้อนอดีต ทำให้ผู้ชมเชื่อได้ สองเมื่อเริ่มเรื่องจากลานพิพากษา บทของวันทองจึงพูดได้เต็มที่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและการไม่เลือกชายใด ลงตัวด้วยละครเล่าผ่านมุมมองของวันทอง” Wanthong ONE ละครวันทอง ช่องวัน โยงเรื่องสมัยกรุงศรีฯ เข้ากับประเด็นสังคมใน พ.ศ.นี้ ละคร “วันทอง” เป็นโปรเจกต์ 2-3 ปีก่อนเริ่มเปิดกล้องในกลางปี 2563 มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในยุคนี้ ทั้งพฤติกรรมผู้ชมและสังคม จึงต้องวาง Plot ละครวันทองเพื่อเชื่อมโยงให้คนใน พ.ศ.นี้ดูติดตามด้วยการกระแสสังคมในยุคนี้ให้ความสนใจและพูดถึงสิทธิความเท่าเทียมของผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งเป็นจุดที่ “ละครตั้งใจ” สื่อถึงอย่างมากอยู่แล้ว เรียกว่า “ลงตัว” แม้เป็นละครพีเรียดทุกตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น “เจ้า” อย่างพระพันวษา ก็ต้องแสดงอารมณ์สื่อความหมายของเรื่องราวต่างๆ ให้กับคนใน พ.ศ.นี้ดูและอินไปกับบทบาทได้ เพราะคนดูยุคนี้ไม่มีใครเกิดทันยุคที่เรื่องราววันทองในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงไม่รู้ความคิดเห็นของผู้คนในอดีต “เมื่อทุกตัวละครต้องสื่อสารกับคนใน พ.ศ.นี้ ก็ต้องคิดว่าทำอย่างไร จึงจะได้ผลดีที่สุด เพื่อให้คนดูเข้าใจ รู้เรื่อง สนุกไปกับเนื้อหา และคิดตามไปละคร เมื่อความตั้งใจเป็นเช่นนั้น จึงเห็นการออกมา Speak Out ของวันทอง ที่สื่อถึงการมีสิทธิมีเสียงของผู้หญิง ทำไมผู้ชายทำได้ ผู้หญิงทำไม่ได้ เป็นเรื่องที่สร้างจุดสนใจให้คนในสังคมมีส่วนร่วมกับละครพีเรียด” Wanthong ONE ละครวันทอง ช่องวัน Perfect Casting ทั้งเบื้องหน้า-เบื้องหลัง อีกหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของละครวันทอง คือการคัดเลือกตัวนักแสดง ที่เรียกได้ว่าเป็น Perfect Casting ของทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ที่มาร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับการแสดง คุณสันต์ พูดได้ว่าคือ “ที่สุด” ในทุกพลังการทำงาน สะท้อนได้จากเสียงชื่นชมละครวันทองและการแสดงของแต่ละตัวละคร คุณเกด พิมพ์มาดา คนเขียนบทที่มีผลงานหลายเรื่องรวมทั้ง “ล่า” ได้ทำงานอย่างเข้มข้นกับการค้นหาข้อมูลต่างๆ เพื่อทำให้บทละครเดินเรื่องไปได้อย่างมีเหตุมีผล เก็บทุกรายละเอียด ที่สำคัญพลังของนักแสดงมีผลอย่างมาก หนึ่งในนักแสดงละครวันทอง ที่ได้รับความชื่นชมอย่างมาก คือ ชาคริต แย้มนาม ที่ถือเป็นตัวจุดประกายให้กับละครวันทอง เพราะในวันที่ ชาคริต รับเล่นเป็น “ขุนช้าง” เขาพูดกับตัวเองว่านี่คือ The role of a lifetime เรียกว่าเป็นบทของชีวิต หลังจากละครออนแอร์ ก็มีเสียงถามเข้ามาเยอะว่า “คิดได้อย่างไร” ในการเลือกให้ ชาคริต แสดงเป็นขุนช้าง เพราะเขาแสดงเป็นพระเอกมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ช่วงการคัดเลือกนักแสดงบทขุนช้าง และมีชื่อของชาคริต เข้ามา ก็ไม่มีคำถามว่าทำไม่ต้องเป็นคนนี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่สุดยอด เพราะทุกคนรู้ว่า ชาคริต เป็นนักแสดงที่มีความสามารถลึกล้ำ เห็นคุณค่าทางการแสดงสูง เต็มใจที่จะเข้าไปทุกบทบาทและอารมณ์ของตัวละคร ดึงเสน่ห์ออกมาให้ผู้ชมเห็น ส่วนใหม่-ดาวิกา ก็เป็นอีกหนึ่ง Perfect Casting ทำให้ทุกคนในทีมเชื่อมั่นในสิ่งนี้ “ชาคริต เองก็บอกว่า ช่วงที่เขารับบทเป็นพระเอกตลอดเวลาหลายปี ก็เริ่มเบื่อกับบทบาท ซ้ำๆ เดิมๆ เมื่อรู้ว่าจะได้เล่นเป็นขุนช้าง จึงเป็นอีกความท้าทายในชีวิตนักแสดง และถือเป็นความลงตัวของละครวันทอง” ในวันที่ Fitting ชาคริต ไม่ได้มาแค่ภาพลักษณ์ภายนอกที่เป็นขุนช้าง แต่มาทั้งจิตวิญญาณของขุนช้าง เป็นสิ่งที่จุดประกายทั้งทีมงานว่าต้องเต็มที่ ทุกคนเปล่งประกายในจุดที่ตัวเองต้องรับผิดชอบทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง แบบไม่มีใครยอมใคร! ทั้ง ป้อง ณวัฒน์, ใหม่ ดาวิกา, ชาคริต ต่างเป็นพลังเสริมในกลุ่มนักแสดงอื่นๆ ทำให้ละครวันทองสมบูรณ์แบบ Wanthong ONE ละครวันทอง ช่องวัน พลิก “บทจบ” คงคาแรกเตอร์ละครช่องวัน สิ่งที่เป็นคาแรกเตอร์ของละครช่องวัน ที่ใครๆ ก็รู้ดี คือ อย่าได้คาดเดา “ตอนจบ” เพราะรถทัวร์อาจยูเทิร์นกลับไม่ทัน ตอนจบ “วันทอง” ก็เป็นอีกเรื่องที่ตอกย้ำสิ่งนี้ เนื้อหาของวรรณคดี “ขุนช้าง ขุนแผน” คือ “วันทอง ต้องตาย” เมื่อมาเป็นละครก็มีการดีเบทกันในทีมงานเช่นกันว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร พี่บอย เองก็ไม่ได้คำตอบ ณ ตอนที่พูดคุยเช่นกันว่าจะจบอย่างไร เพราะถอยออกมาเป็น “ผู้ชม” ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตัดสินใจของทีมงานผู้กำกับและคนเขียนบท หากย้อนไปถึงการพูดคุยบทสรุปวันทองจะจบอย่างไร ผู้กำกับเห็นว่าควรเป็นไปตามเนื้อเรื่องเดิม ส่วนผู้เขียนบทละครยืนยันว่า “อย่างไรวันทองก็ต้องถูกประหารและต้องมีฉากนี้ แต่การตีความใหม่ บทละครจะมีกุมารทองปลอมตัวเป็นวันทองไปถูกประหารแทน พาวันทองตัวจริงไปอยู่ในถ้ำ และมีฉากเฉลยว่าคนที่ถูกประหารไม่ใช่วันทอง” พอได้ฟังซีนจบจากไอเดียคนเขียนบทก็ต้องยอมรับเลยว่า “คิดได้เก่ง” และชอบไอเดียนี้ เพราะยังคงได้เห็นฉากการถูกประหารตามวรรณคดี และความหมายของการตีความใหม่ ที่เลือกให้วันทองยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยเหตุผลที่ว่า “ทุกวันนี้หากเราต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร ทำไมต้องตาย เราอยู่ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงไม่ดีกว่าหรือ” การที่เลือกบทสรุปให้เห็นฉากวันทองถูกประหารและมาพลิกบทกันที่หลังว่ายังมีชีวิตอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ เพราะตามวรรณคดีขุนช้าง ขุนแผน ก็เขียนไว้แค่นางวันทองถูกประหาร แต่ในเวอร์ชั่นช่องวันมาเล่าต่อให้มุมของวันทองว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถือว่า “ลงตัว” แต่ท้ายที่สุด พี่บอย บอกว่าเขาก็ไม่ได้ดูฉากจบก่อนผู้ชม และก็ต้องมาลุ้นเช่นกันว่าฉากจบจะเป็นอย่างที่ได้ฟังมาหรือไม่ บอกตรงๆ ก็อยู่ในฐานะผู้ชม ที่ต้องมาลุ้นที่หน้าจอพร้อมคนดูเหมือนกัน “ยอมรับว่าละครที่ช่องวัน นำมาตีความใหม่ บางทีผมก็ทำตัวยาก ว่าจะเลือกเป็นคนดู หรือเป็นหนึ่งในคนที่ต้องรับรู้ว่าเรื่องจะจบอย่างไร เพื่อจะช่วยปรับเนื้อหา บทบาทในจุดนี้ก็ต้องแล้วแต่ละครแต่ละเรื่อง ส่วนวันทอง ก็รอลุ้นอยู่หน้าจอกับซีนวันทอง อยู่ในถ้ำเหมือนกัน” ก็อย่างที่เห็นกันว่าละครวันทอง แฟนช่องวันต้องรอลุ้นยันจบตอนว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร “วันทองตายหรือไม่ตาย” และกลายเป็น Talk of the town ณ โมเม้นต์ตอนจบ มี Reaction บนโลกออนไลน์ที่ต้องถกเถียงกันว่าจะเป็นอย่างไร หน้าฟีดโซเชียลมีเดียมีแต่เรื่องวันทอง และยังครองเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่ง และต้องบอกว่าไม่ต่างจากการดูตอนจบของบ้านพี่บอย เช่นกัน เพราะก็ไม่มีใครรู้ก่อนว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร นี่คือเสน่ห์ของละครที่ต้องรอลุ้นถึงฉากสุดท้าย แน่นอนว่ามีคนที่ชื่นชอบวรรณคดีขุนช้าง ขุนแผน อาจจะต่อว่าเรื่องการพลิกบทจบ แต่ “วันทอง” เป็นละครที่ช่องวันนำมาตีความใหม่และต้องการสื่อให้เห็นถึงมุมของวันทอง ว่าไม่ได้เป็น “หญิงสองใจ” “วันทองเป็น พล็อตละครเรื่องหนึ่ง ที่ช่องวันตีความและนำเสนอในอีกมุม ผมคิดว่างานศิลปะทุกวันนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อทำออกมาแล้วสามารถยืนได้ด้วยตัวเองหรือไม่ หากไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองก็ไม่น่าจะดี แต่การตีความและวิธีการทำเสนอ วันทอง เวอร์ชั่นใหม่ สามารถยืนอยู่ได้อย่างสง่างาม เป็นงานศิลปะที่น่าชื่นชม และบอกคนดูหรือคนเสพงานศิลปะได้อย่างดี คือ ต้องไม่ยึดติดในรูปธรรม ไม่เช่นนั้นเราคงไม่เห็นการตีความวรรณกรรมเดิมในเวอร์ชั่นต่างๆ ออกมาทำใหม่ทั้งในและต่างประเทศ เพราะวรรณกรรมหนึ่งเรื่องเรามองได้หลากหมายมุม ขึ้นอยู่กับการเสริมเหตุผลเนื้อหาให้ลงตัว” BOY Takonkiet ONE บอย ถกลเกียรติ “วันทอง”บทพิสูจน์ “ทีวีไม่ตาย” กระแสละครวันทองทางทีวี บอกอะไรเราได้บ้าง? พี่บอย ย้ำว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือตอกย้ำความเชื่อว่า “ทีวีไม่ตาย” ประเด็นนี้คงต้องเริ่มจากคอนเซ็ปต์ทำงานตั้งแต่ทำ “ทีวีดิจิทัล” ช่องวัน ที่ไปแข่งขันประมูลใบอนุญาตมาและเริ่มออกอากาศในปี 2557 เป็นจังหวะเดียวกับสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย บูมขึ้นมา จนเริ่มมีเสียงออกมาว่า “ทีวี” ไม่น่าไปรอดตั้งแต่ 1-2 ปีของทีวีดิจิทัล หลายคนว่า “ทีวีกำลังจะตาย เพราะคนไปอยู่กับโซเชียล มีเดียกันหมดแล้ว” ก็เป็นสิ่งที่คนทำทีวีตั้งคำถามเช่นกันว่า จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ส่วนความเห็นของพี่บอยที่พูดมาตลอดคือ “ก่อนที่เราจะทำทีวี เราต้องเชื่อก่อนว่าทีวีไม่ตาย” โดยกลับมาดูว่า ฟังก์ชั่นของทีวีตอบสนองผู้ชมด้านใดบ้าง และออนไลน์มาทดแทนได้ทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ได้หมดทุกอย่าง การเข้ามาของออนไลน์และโซเชียล มีเดีย ทำให้คนใช้เวลาอยู่กับ “จอทีวี” น้อยลงอันนี้เป็นเรื่องจริง เพราะวันนี้คือ สงครามแย่งเวลาผู้ชมของทุกแพลตฟอร์ม หากจะเข้าไปเสพสื่อออนไลน์ ผู้ชมต้องรู้ว่าจะดูอะไร เพื่อคลิกเข้าไปดู อย่างการเปิด Netflix ก็ต้องเลือกว่าจะดูอะไร ที่สำคัญต้องแทงหวยเหมือนกันว่า คอนเทนท์ที่เลือกจะสนุกหรือไม่ หรือไปที่ Youtube ก็ต้องเลือกว่าจะดูอะไร นอกจากการเลื่อนดูไปเรื่อยๆ พฤติกรรมแบบนี้เทียบเท่ากับการพลิกดูแมกกาซีนไปเรื่อยๆ นั่นจึงเห็นว่านิตยสารได้รับผลกระทบอย่างมากจากสื่อออนไลน์ เมื่อกลับมาดูที่ฟังก์ชั่นทีวี ก็ต้องดูว่า ออนไลน์ ทำได้ทุกอย่างเหมือนทีวีจริงหรือเปล่า ซึ่งที่จริงแล้วก็ทำไม่ได้ทุกอย่าง “ทีวี” มีฟังก์ชั่นสำคัญที่ยังไม่มีสื่อไหนทำแทนได้ คือ การเปิดเป็นเพื่อน มีทั้งภาพและเสียง โดยไม่ต้องเลือกว่าจะดูอะไร เพราะโปรแกรมจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และระหว่างนั้นก็สามารถไปทำอย่างอื่นได้ โดยไม่ต้องตั้งใจดูเพราะใช้วิธีฟังแทนก็ได้ “ทีวีจึงทำหน้าที่เป็นเพื่อน” อัพเดทคอนเทนท์ตลอดวัน มีทั้งข่าว สาระ วาไรตี้ ละคร ก่อนหน้านี้ “ทีวี” ก็ทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อนและ Destination คือ เมื่อถึงเวลา 20.30 น. ต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอดูละคร แต่ปัจจุบันสามารถดูย้อนหลังในแพลตฟอร์มออนไลน์ในช่วงเวลาที่สะดวกได้ แต่ก็ต้องถูกสปอยล์ จากคนที่ดูและรู้เรื่องราวไปแล้ว แต่ความเป็น Destination ของละคร ยังคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อสามารถทำคอนเทนท์ที่เป็น Talk of the town กลายเป็น Word of mouth สร้างกระแสดึงให้คนมาติดตามหน้าจอในตอนต่อไป เพื่อให้รู้ก่อน และไม่ให้ตกกระแสที่กำลังถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ นั่นเท่ากับว่าโซเชียลมีเดียและสื่อออนไลน์ก็มาช่วยเสริม “ทีวี” อีกทาง ปรากฏการณ์วันทอง เป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนว่าสื่อทีวีไม่ตาย และออนไลน์ก็มาช่วยเสริม สร้างกระแสติดตามดูคอนเทนท์ทั้งหน้าจอทีวีในตอนต่อไป และกลับไปดูย้อนหลังในกลุ่มที่ไม่ได้ดูทางทีวี Wanthong ONE ละครวันทอง ช่องวัน สะท้อนได้จากหน้าฟีดโซเชียลมีเดียของหลายคนจะพูดถึง “วันทองตอนจบ” ซึ่งจะเกิดสิ่งนี้ไม่ได้เลยหากดูละครออนไลน์ เพราะหน้าฟีดแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ทีวี เข้าถึงได้หลายกลุ่มเป้าหมาย เมื่อเกิดกระแส จึงสามารถดึงให้โซเชียล มีเดีย มาพูดถึงคอนเทนท์ทีวีได้กว้างแบบที่ติดเทรนด์ทวิตเตอร์เบอร์หนึ่ง “สิ่งที่แฮปปี้มากๆ กับปรากฏการณ์ วันทอง เพราะได้บอกอะไรบ้างอย่างกับสื่อทีวีและละครทีวีไทย จากที่รับรู้มาและเห็นฟีดแบคทั้งกระแสสังคม การพูดถึงในสื่อออนไลน์ เรตติ้งผู้ชม ยอดวิวดูย้อนหลัง ทั้งหมดได้บ่งบอกว่า นี่คือสิ่งที่สื่ออื่นทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดว่าทีวีกำลังจะตาย ปรากฎการณ์วันทองทำให้เห็นอย่างแข็งแรงว่าทีวีไม่ตาย และสื่ออื่นที่มีอยู่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิด Emotional Impact ได้เท่านี้” เปรียบเทียบง่ายๆ เชื่อว่าหลายคนก็ติดตามดู ซีรีส์เกาหลีหลายเรื่องอย่าง สหายผู้กอง Crash Landing on You แต่ก็ไม่ได้เกิดกระแสว่าต้องมาเฝ้าหน้าจอรอดูพร้อมกันกับครอบครัว เหมือนละครไทยเรื่องฮิต ที่สร้างกระแส Talk of the town ได้ทั้งออฟไลน์ออนไลน์ เสน่ห์ของละครทีวีไทยที่ดูกันทั้งครอบครัว อย่างวันทองตอนจบ แต่ละเบรกต้องรอลุ้น ได้เห็น react แบบ real time มีทั้งเชียร์ มีทั้งลุ้น มีทั้งกรี๊ด มีทั้งเดา มีทั้งช็อก มีทั้งอึ้ง มีทั้งซึม มีทั้งซึ้ง มีทั้งต่อว่า มีทั้งรอยยิ้ม มีทั้งเสียงเฮ แถมมีโฆษณามาเบรกคั่นก็ต้องเฝ้าจอรอลุ้น เป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากสื่ออื่น “นี่คือเสน่ห์ของโทรทัศน์ และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมผมถึงอยากทำอาชีพนี้ การสร้างความสุขให้กับผู้คนมันมีความสุขจริงๆ การรวมตัวกันของคนในครอบครัวเพื่อมาร่วมสนุกกันไปพร้อมๆ กันมันคือช่วงเวลาที่มีค่า และเราก็จะชื่นใจมากเมื่องานของเราสามารถทำให้เกิดกิจกรรมแบบนี้ได้” ถึงแม้วันนี้เรามีมือถือส่วนตัว แทบเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ที่ต่างคนต่างสามารถเลือกดูในสิ่งที่แต่ละคนชอบ ซึ่งไม่ค่อยเหมือนกัน ใส่หูฟังแบบดูคนเดียวก็ได้ แต่ once in a while พอมันมีละคร หรือรายการ หรือข่าวสารอะไรบางอย่างที่เป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจเหมือนกัน อยากดูพร้อมๆกัน อยากรู้ไปพร้อมๆกันกับคนทั้งประเทศ นั่นแหละครับคือหน้าที่ของโทรทัศน์ โทรทัศน์ไม่ตายแน่นอน ปัจจุบันมันอาจจะเปลี่ยนเครื่องมือในการรับชมไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นศูนย์รวมความบันเทิงของคนในครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหายได้เป็นอย่างดี มือถือ แทบเล็ต กลายเป็นเครื่องมือเสริมสร้างให้แต่ละคนออกมาแสดงความคิดเห็นกับคนที่ไม่ได้นั่งดูอยู่ด้วยกันแบบ real time ละครโทรทัศน์ไทยยังเป็นความบันเทิงที่สามารถ bring all generations together ได้ “มักมีคนถามว่าอะไรคือกุญแจความสำเร็จของช่องวัน ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอก แต่สิ่งบอกได้คือ เมื่อเราทำทีวี เราต้องเชื่อก่อนว่าทีวีไม่ตาย ผมไม่เคยปฏิเสธ New Media เพราะเป็นส่วนที่เข้ามาช่วยเสริมและเติบโตไปด้วยกัน กลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง จากคอนเทนท์ที่แข็งแรง”
โดย
pakapong_u
อังคาร พ.ค. 11, 2021 7:27 pm
0
1
Re: ONEE
GRAMMY ดัน"เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" เข้าตลาดหุ้น, ขาย IPO ไม่เกิน 496.25 ล้านหุ้น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) หรือ GRAMMY แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ได้มีการอนุมัติกรอบการนำบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) หรือ ONEE ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าที่บริษัทถือหุ้น 31.27% แยกออกมาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) และนำหุ้นสามัญของ ONEE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการนี้ ONEE ได้ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต.และยื่นคำขอต่อตลาดหลักทรัพย์ ให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ทั้งนี้ ONEE จะเสนอขายหุ้นไม่เกิน 496,250,000 หุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญที่ออกใหม่ที่เสนอขายโดย ONEE ไม่เกิน 476,250,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ ONEE ที่เอาจเสนอขายโดยบริษัท ซีเนริโอ จำกัด ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของบริษัท ไม่เกิน 20,002,500 หุ้น หุ้นสามัญของ ONEE มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท สำหรับราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนจะมีการกำหนดต่อไป ทั้งนี้ภายหลังการ IPO สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน ONEE จะลดลงจาก 31.27% เป็นไม่ต่ำกว่า 25.02% ในแบบไฟลิ่งของบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด(มหาชน) หรือ ONEE ได้ระบุว่าได้แต่งตั้งให้บล.เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยบริษัทประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น หรือโฮลดิ้งคอมปานี ซึ่งประกอบธุรกิจด้านสื่อและความบันเทิงที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำคือการเป็นผู้สร้างสรรค์และผลิตรายการ จนถึงปลายน้ำคือการเป็นเจ้าของช่องทางเผยแพร่ที่ครอบคลุมทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ซึ่งบริษัทจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทมีแผนนำไปใช้ปรับโครงสร้างเงินทุนโดยการชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน, ใช้เป็นเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ส่วนโครงการในอนาคต กลุ่มบริษัทมีแผนในการขยายธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการดำเนินกิจการของกลุ่ม โดยมีแผนลงทุนผลิตรายการเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ชม และรายได้โฆษณาโทรทัศน์ และเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตรายการเพื่อยกระดับคุณภาพรายการ, การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการช่องทางออนไลน์ของตนเอง, การก่อสร้างและยกระดับการให้บริการสถานที่สำหรับถ่ายทำรายการ ของ ACTS การลงทุนพัฒนากระบวนการคัดเลือกและพัฒนานักแสดงหน้าใหม่ และการลงทุนพัฒนาระบบสารสนเทศ (Information Technology) และเพิ่มศักยภาพด้านการวิเคราะห์ข้อมูล
โดย
pakapong_u
อังคาร พ.ค. 11, 2021 10:54 am
0
0
Re: ONEE
ช่อง one31 ยื่น Filing เตรียม IPO แล้ว พบ ‘บี้ สุกฤษฎิ์’ ถือหุ้นในลำดับที่ 5 กว่า 2.5 ล้านหุ้น ในที่สุดกลุ่มบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จํากัด ที่มี บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ รั้งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ยื่นเอกสาร Filing ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียม IPO แล้ว เอกสารที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ระบุว่า เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งประกอบธุรกิจด้านสื่อและความบันเทิงที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำคือการเป็นผู้สร้างสรรค์และผลิตรายการ จนถึงปลายน้ำคือการเป็นเจ้าของช่องทางเผยแพร่ที่ครอบคลุมทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ จำนวนหุ้นที่จะเสนอขายนั้นจะมีจำนวนไม่เกิน 496,252,500 หุ้น ซึ่งประกอบด้วย 1.หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ ไม่เกิน 476,250,000 หุ้น 2.หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยซีเนริโอไม่เกิน 20,002,500 หุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 20.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกนี้ โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ และมีบริษัท หลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ แยกธุรกิจออกเป็น 5 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจผลิตรายการ บริหารลิขสิทธิ์ และให้บริการช่องโทรทัศน์ ทั้งละคร ซิตคอม วาไรตี้ และข่าว และบริหารลิขสิทธิ์ที่เผยแพร่ในช่อง one31 และ GMM25 ตลอดจนช่องทางออนไลน์อื่นๆ เช่น LINE TV, Netflix, WeTV, Viu, TrueID, AIS Play และ iQIYI 2.ธุรกิจผลิตรายการวิทยุ มี 3 รายการ ได้แก่ EFM บนคลื่นความถี่ FM 94.0 เมกะเฮิรตซ์, GREENWAVE บนคลื่นความถี่ FM 106.5 เมกะเฮิรตซ์ และ Chill Online ที่ออนแอร์ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน 3.ธุรกิจรับจ้างผลิตและบริการ ซึ่งนอกจากช่อง one31 และ GMM25 ยังรับจ้างผลิตให้กับบุคคลภายนอกด้วย 4.ธุรกิจจัดอีเวนต์ เช่น งานพบปะกับศิลปิน (Fan Meeting) งานคอนเสิร์ต และงานสัมมนากิจกรรมตามสถาบันการศึกษาต่างๆ เป็นต้น 5.ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น ได้แก่ ธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน ธุรกิจขายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับรายการหรือศิลปินของกลุ่มบริษัทฯ และธุรกิจให้บริการเช่าสถานที่สำหรับการถ่ายทำงานและจัดอีเวนต์ เป็นต้น ปี 2563 มีรายได้รวม 4,875.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2562 ที่ทำได้ 4,818.27 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ยังมีผลขาดทุนสะสมจำนวน 95.36 ล้านบาทในงบการเงินเฉพาะกิจการ สำหรับรายชื่อผู้ถือหุ้นหลักประกอบไปด้วย •บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด ของกลุ่มปราสาททองโอสถ ถือ 952,500,000 หุ้น สัดส่วน 50.00% •บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ถือ 595,774,850 หุ้น สัดส่วน 31.27% •กลุ่มถกลเกียรติ วีรวรรณ ประกอบไปด้วย ซีเนริโอ, ถกลเกียรติ วีรวรรณ, อมรพิมล วีรวรรณ, รสนาภรณ์ วีรวรรณ และ ณิการ์ วีรวรรณ ถือรวมกัน 341,225,000 หุ้น สัดส่วน 17.91% •กลุ่มครอบครัวซอโสตถิกุล ประกอบไปด้วย ไรรมย์ ซอโสตถิกุล และ ปิยะ ซอโสตถิกุล ถือรวมกัน 7,000,000 หุ้น สัดส่วน 0.37% ที่น่าสนใจคือลำดับที่ 5 ถูกถือครองโดย บี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว นักร้องและนักแสดงชื่อดัง ซึ่งถือหุ้น 2,500,000 หุ้น สัดส่วน 0.13% ภายหลังการ IPO สัดส่วนการถือหุ้นจะเปลี่ยนไปคือ บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด จะถือ 40.00%, บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ถือ 25.02%, กลุ่มถกลเกียรติ วีรวรรณ ถือ 13.49%, กลุ่มครอบครัวซอโสตถิกุล ถือ 0.29% และ บี้-สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว ถือ 0.10% เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ระบุใน Filing ว่า ได้วางโครงการในอนาคตไว้ 3 โครงการ ได้แก่ การลงทุนผลิตรายการเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้ชมและรายได้โฆษณาโทรทัศน์ และเพิ่มศักยภาพด้านการผลิตรายการเพื่อยกระดับคุณภาพรายการ, การเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการช่องทางออนไลน์ของตนเอง และการก่อสร้างและยกระดับการให้บริการสถานที่สำหรับถ่ายทำรายการของ ACTS ซึ่งปัจจุบัน ACTS มีที่ดินอีกกว่า 30 ไร่ที่สามารถพัฒนาได้ในอนาคต
โดย
pakapong_u
อังคาร พ.ค. 11, 2021 9:49 am
0
0
966 โพสต์
of 20
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
pakapong_u
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ ก.ย. 07, 2008 5:10 pm
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
40089 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(2.13% จากโพสทั้งหมด / 6.76 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว