หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
SSL
Joined: ศุกร์ ก.ค. 18, 2008 3:21 pm
54
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - SSL
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
++ นักลงทุน VI ควรระวังฟองสบู่แตกอีกรอบหรือไม่ ++
คุณอะไรดีละ มองว่าการลงของเศรษฐกิจรอบนี้จะหนักกว่าเดิม เหมือนยุค great depression มั๊ยครับ
โดย
SSL
เสาร์ ม.ค. 23, 2010 10:52 am
0
0
พบอีกหนึ่งสุดยอดVI กับ IH..คเชนทร์ moneytalkdaily พฤหัส24ธค
นานๆ จะมีคนเก่งมาแชร์ประสบการ์ณให้เราฟังกัน อยากให้ท่านผู้จัดรายการลดมุขลงนิดนึ่งก็จะดีมากๆ จะได้ถามกันเนื้อๆหน่อย แบบว่า สาระ/มุข สัก 85/15 ก็จะดีมาก ยิ่งปีหน้ายิ่งเวลาเหลือน้อยลงเยอะ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
โดย
SSL
พุธ ธ.ค. 23, 2009 1:49 pm
0
0
อย่าขาดทุน!!!
Warren Buffet likes to say that the first rule of investing is "Don't lose money," and the second rule is, "Never forget the first rule." I too believe that avoiding loss should be the primary goal of every investor. This does not mean that investors should never incur the risk of any loss at all. Rather "don't lose money" means that over several years an investment portfolio should not be exposed to appreciable loss of principal. จากหนังสือ Margin of Safety โดย Seth A. Klarman
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ค. 10, 2009 6:27 pm
0
0
หุ้นรัฐวิสาหกิจ / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เข้าใจว่าราคาประเมินที่ดินแถวบริเวณรอบๆสุวรรณภูมิปรับตัวลงมา 40-50% จำได้ว่าอ่านเจอในข่าวประมาณปลายปีที่แล้ว ลอง verify ข้อมูลกันดูอีกทีนะครับ
โดย
SSL
พุธ ก.พ. 11, 2009 2:04 pm
0
0
cpall
กลุมค้าปลีกอาจไม่ใช่ที่กำบังของนักลงทุนก็ได้หรือไม่? บางสำนักก็ว่ายอดการว่างงานจะเป็น 2 ล้านคนปีหน้า ราคาสินค้าเกษตรก็อยู่ในช่วงขาลง หรือว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ราคาหุ้นกลุมนี้ปรับตัวลงมา? ส.อ.ท.เตือนส่งออกปีหน้า เจอศึกหนักแน่ ชี้ 5 กลุ่มเสี่ยง สิ่งทอ เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า เริ่มลดการผลิต-ลดโอที เตรียมจ่อคิวปิดกิจการเพียบ คาดตกงานอีก 7 แสนอัตรา และอาจทะลุถึง 1 ล้านคนในปีหน้า เผยราคาสินค้าเกษตรแนวโน้มจะปรับลดลงต่อเนื่องอีก ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ยางพารา กระทุ้งก้นรัฐบาลชาย หยุดสร้างภาพการเมือง-เร่งแก้ปัญหาโดยด่วน วันนี้ ( 27 ต.ค.) นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตามที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นชะลอตัวลง ทำให้การส่งออกสินค้าไทยปีหน้าจะต้องเผชิญการแข่งขันสูงและรุนแรง โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายนี้เป็นต้นไป ผลพวงจากกำลังซื้อประเทศใหญ่อย่างสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ลดลงมาก ทำให้ทุกประเทศที่ส่งออกสินค้าพยายามแข่งขันด้านราคา เนื่องจากคุณภาพสินค้าเป็นที่ทราบอยู่แล้ว ดังนั้น ภาครัฐควรเอาใจใส่อย่างจริงจัง และตั้งเป้าหมายไว้ในใจว่าเงินบาทต้องอ่อนค่าลงอาจเป็น 5-10% เพื่อให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก เพราะหากสินค้าส่งออกได้ก็จะส่งผลดีต่อประเทศ การจะหาตลาดใหม่ไม่ใช่ทำได้ง่ายต้องใช้เวลา ส่วนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำเต็มที่แล้ว ขณะที่ภาครัฐควรออกมาประกาศการประกันเงินฝากให้กับประชาชน แม้สถาบันการเงินไทยจะมีความแข็งแกร่งเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น ผู้ฝากเงินสบายใจ นายธนิต โสรัตน์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ในปี 2552 ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงในเรื่องปัญหาแรงงานไทยที่จะมีการตกงานเพิ่มขึ้น จากที่มีการประเมินอย่างคร่าวๆ ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค. 2552 จะมีแรงงานไทยตกงานประมาณ 6-7 แสนคน เบื้องต้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะส่งผลทำให้แรงงานตกงานเพิ่มขึ้นนั้น ประกอบด้วย อุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องประดับ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า การ์เม็ก เป็นต้น โดยจากการตรวจสอบข้อมูลทั่วประเทศพบว่าบางอุตสาหกรรรม เช่น เสื้อผ้า ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เซรามิก ลดกำลังการผลิตลง 20-30% จากปัญหาคำสั่งซื้อที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อการจ้างงานในปีหน้าที่คาดว่าจะลดลง 1 ล้านคน รวมทั้งกระทบแรงงานใหม่ที่จะจบการศึกษาเดือนมีนาคมประมาณ 700,000 คน ทำให้หางานทำยากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเงินตึงตัวในต่างจังหวัด เนื่องจากธนาคารไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจที่ไม่มีคำสั่งซื้อ ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนยาก จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกในปี 2552 จะชะลอตามเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2552 อาจจะอยู่ที่ 3.8-4% ส่วนปีนี้คาดว่าจะอยู่ 4.5% "สาเหตุหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องมีการปิดกิจการ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นนายทุนรายใหญ่ที่จะลงทุนในประเทศไทย หลังจากที่เกิดวิกฤติสถาบันการเงินของประเทศดังกล่าวเกิดไม่มั่นคง รับสถานการณ์ไม่ไหวจำเป็นต้องล้มละลายตัวไป" ดังนั้นภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะส่งผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก แต่จะเห็นภาพที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 เชื่อว่าปีหน้าอัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี จะไม่ปรับเพิ่มขึ้นกว่าปี 2551 มากนัก หรืออาจแย่ลงได้ เพราะนับตั้งแต่ 3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้เจอปัญหาหลายอย่าง และมีการรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีปรับลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ 4.5% ถือว่าอัตราเติบโตไม่ขยับไปมากกว่านี้แล้ว เมื่อเทียบจากภูมิภาคเอเชีย อัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 7% นายธนิต กล่าวต่อว่า ทิศทางปีหน้า จะมี 3 ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาทิ 1.ผลกระทบการเงินของโลกที่ชะลอตัวลง 2.สถานการณ์ปัญหาการเมืองที่มีความแตกแยก และไม่มีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนภายในประเทศ 3.ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นต้น ขณะที่ตนเชื่อว่าปัจจัยภายนอกคงไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่เป็นห่วงปัจจัยภายในประเทศมากกว่าที่ลุกลามก่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้ ทั้งนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีก 1-2 เรื่องในปีหน้า น่าจะเป็นภาคการท่องเที่ยว มาจากการชะลอตัวการบริโภคของประชาชนเอง และวิกฤติเศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่อง และจะลุกลามไปแถบยุโรปต่อไป ล่าสุดปริมาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกปรับลดลงประมาณ 5-10% แต่เมื่อเทียบของประเทศไทยเองปีนี้ปรับลดลงประมาณ 15-20% ถือได้ว่ายอดต่ำสุดในรอบ 20 ปี และคาดว่าปีหน้าน่าจะปรับลดลงอีกแน่ ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรแนวโน้มจะปรับลดลงต่อเนื่องอีก ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ยางพารา เป็นต้น ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว สำหรับข้อมูลล่าสุดของตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ว่างงาน 4.5 แสนคนหรือคิดเป็น 1.2% ของกำลังแรงงานทั่วประเทศ โดยกรุงเทพมหานครมีอัตราการว่างงานสูงสุด 1.9% รองลงมาคือภาคกลาง 1.4% ภาคใต้ 1.2% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1% ภาคเหนือ 0.9% ทั้งนี้ตัวเลขว่างงาน 4.5 แสนคน แบ่งเป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.9 แสนคน และเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน 2.6 แสนคน ประกอบด้วยว่างงานจากภาคการบริการ 1.3 แสนคน ภาคการผลิต 9 หมื่นคน และภาคเกษตรกร 4 หมื่นคน หากแบ่งเป็นระดับการศึกษาพบว่าระดับอุดมศึกษาว่างงานสูงสุด 1.3 แสนคน รองลงมาเป็นผู้มีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1.2 แสนคน มัธยมศึกษาตอนต้น 1.1 แสนคน ประถมศึกษา 6 หมื่นคน และผู้ไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา 3 หมื่นคน ปัจจุบันผู้มีงานทำมีจำนวน 37.89 ล้านคน แบ่งเป็น ภาคเกษตรกรรม 15.49 ล้านคน และนอกภาคเกษตรกรรม 22.40 ล้านคน ซึ่งเป็นห่วงภาคการผลิตมีจำนวน 5.54 ล้านคน ลดลง 2.9 แสนคน นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท. สายงานแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้ทาง ส.อ.ท.กำลังรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกว่าแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินครั้งนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งล่าสุดบางอุตสาหกรรมต้องปรับตัวด้วยการให้พนักงานหยุดเสาร์-อาทิตย์ และไม่มีค่าล่วงเวลา (โอที) เหมือนที่ผ่านมา เพื่อให้สอดรับกับการผลิตที่ลดลงไป 50-60% และจะเริ่มเห็นชัดในปีหน้า โดยคาดว่าปีหน้าอาจจะต้องมีการปรับลดจำนวนพนักงานลงไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน จากจำนวนแรงงานที่เป็นสมาชิกทั้งหมด 6-7 ล้านคน และหากตลาดหดตัวหนักและมีผลกระทบต่อการส่งออกที่ลดลงก็น่าเป็นห่วงแรงงานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด "ขณะนี้มีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่แจ้งการส่งออกขยายตัวลดลงในปี 2552 เช่น กลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม และเซรามิกที่ยอดส่งออกลดลงไปแล้ว 50% กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ลดไปแล้ว 80% เมื่อเทียบกับต้นปี คงต้องรอดูว่ายอดส่งออกที่ลดลงจะไปหยุดอยู่ที่เท่าไหร่ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบหนัก เพราะขณะนี้เริ่มมีการชะลอการผลิตไปบ้างแล้ว" นายทวีกิจกล่าว ทั้งนี้ แรงซื้อในช่วงไตรมาส 4 ปกติจะมีมากเพื่อรับเทศกาลปีใหม่ แต่จากการสอบถามห้างสรรพสินค้าต่างๆ พบว่าแรงซื้อช่วงนี้ยังไม่เพิ่มขึ้น โดยยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงขณะนี้คาดว่าจะช่วยทำให้แรงซื้อของประชาชนไม่ลดต่ำลงไปมากกว่านี้อีก และยังมีส่วนกดดันให้ราคาสินค้าหลายรายการอาจต้องปรับลดราคาลง รวมถึงมีส่วนทำให้เกิดการแข่งขันกันเพื่อแย่งแรงซื้อที่มีอยู่จำกัด ก่อนหน้านี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) หน่วยงานในสังกัดองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า วิกฤติการเงินโลกที่เกิดขึ้นจะทำให้มีคนตกงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นภายในสิ้นปี 2552 เป็นจำนวนทั้งสิ้นราว 210 ล้านคน นับเป็นอัตราการว่างงานทั่วโลกสูงที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้ อัตราการว่างงานทั่วโลกดังกล่าวเป็นการรวมเอาตัวเลขคนตกงานในขณะนี้จนถึงสิ้นปีหน้า ซึ่งจะมีจำนวนอย่างน้อยกว่า 20 ล้านคน เอาไว้ด้วย ทำให้อัตรารวมการว่างงานทั่วโลกมีอัตราพุ่งสูงกว่าระดับ 200 ล้านคน เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ
โดย
SSL
พุธ ต.ค. 29, 2008 2:09 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พุธ ต.ค. 01, 2008 10:26 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ย. 19, 2008 12:31 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ย. 19, 2008 11:23 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2008 7:33 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พฤหัสฯ. ก.ย. 18, 2008 7:30 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 11:53 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 11:04 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 11:03 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พุธ ก.ย. 17, 2008 10:23 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พุธ ส.ค. 20, 2008 4:33 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
พุธ ส.ค. 20, 2008 12:22 pm
0
0
ภาวะของแพง สินค้าใดกำลังเป็นที่นิยม
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 กรกฎาคม 2551 09:18 น. ภาคเอกชน ชี้ ปัจจัยลบรุมเร้า เศรษฐกิจพ่นพิษ น้ำมันแพง กำลังซื้อหด การเมืองไม่นิ่ง กระทบอุตสาหกรรม ช็อกติดลบครั้งแรกในรอบหลายปี ตลาดนมพร้อมดื่ม เสื้อผ้าเด็ก ชุดชั้นใน เดี้ยง ความถี่ในการซื้อลดลงอัตโนมัติ ด้านธุรกิจขายตรงการเติบโตชะลอตัวลง อุปโภคบริโภคของกินของใช้ยังส่อเค้าแย่ โตได้ 5% ทุกค่ายเฮโล สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็เกิดขึ้นได้ในปีนี้ โดยเฉพาะมูลค่าตลาดรวมของหลายตลาดที่ตกลง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในรอบหลายปีที่เคยเกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ของแต่ละตลาด นายชนิต สุวรรณพรินทร์ ผู้จัดการทั่วไปสายงานการตลาด บริษัท กรีนสปอต (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมถั่วเหลืองไวตามิ้ลค์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดนมมูลค่า 35,000 ล้านบาท ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม หรือระหว่าง 5 เดือนที่ผ่านมา ในแง่ปริมาณติดลบ 1-2% ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นสำหรับตลาดนมโดยรวม เนื่องจากได้รับผลพวงจากเศรษฐกิจ และกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้ความถี่ในการดื่มนมของคนไทยลดลง ทั้งนี้ พบว่า ตลาดนมถั่วเหลืองมูลค่า 7,800 ล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานี้ ตลาดมีอัตราการเติบโตที่ลดลงเช่นกัน จากปกติตลาดโตเป็นตัวเลขสองหลักอย่างต่อเนื่องมาหลายปี แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ตลาดมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว นางกาญจนา ตั้งเสรีสุขสันต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์เด็ก บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เด็กอองฟองต์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเสื้อผ้าเด็กในช่วงครึ่งปีแรกมูลค่า 1,100 ล้านบาท ติดลบ 5% ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในตลาดเสื้อผ้าเด็ก หรือตั้งแต่บริษัทดำเนินธุรกิจเสื้อผ้าเด็กอองฟองต์ในรอบเกือบ 20 ปี ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตลาดทรงตัว เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี กำลังการซื้อของผู้บริโภคลดลง พฤติกรรมพ่อแม่มีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย จึงลดปริมาณการซื้อเสื้อผ้าจาก 5 ชิ้น เหลือ 3 ชิ้น ชุดชั้นในไม่โตในรอบ 10 ปี นายอำนวย บำรุงวงศ์ทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในวาโก้ เปิดเผยว่า ผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง กระทบต่อกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้ตลาดชุดชั้นในมูลค่า 12,000-14,000 ล้านบาท ในปีนี้ไม่เติบโตครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยพบว่าอัตราการซื้อต่อชิ้นต่อครั้งลดลง ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาของบริษัทมีอัตราการเติบโตเพียง 2-3% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งเติบโต 10% หรือต่ำกว่าเกือบ 7% ปีนี้ตลาดชุดชั้นในแง่มูลค่าอาจจะลดลง โดยเฉพาะตลาดระดับกลางลงล่าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าจากจีนเข้ามาตีตลาดชุดชั้นในดังกล่าว ส่วนในแง่ของปริมาณก็ไม่มีอัตราการเติบโต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดชุดชั้นในตัวเลขในเชิงปริมาณระดับกลางลงล่างยังมีสัดส่วนมากกว่า 4 เท่า เมื่อเทียบกับชุดในระดับพรีเมียม อุตฯขายตรงโตเป็นตัวเลขหลักเดียว แพทย์หญิง นลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจขายตรงครึ่งปีหลังนี้ ว่า มีปัจจัยลบที่น่ากังวลหลายประการ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และราคาสินค้ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้น มีโอกาสที่กำลังการซื้อของผู้บริโภคจะซึมถึง 2 เท่าตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งนับว่าเป็นวิกฤตในรอบหลายปีที่ผ่านมา และมองว่าภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ถือว่าแย่ และน่ากลัวกว่าการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สำหรับภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทุกอุตฯ ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด โดยในธุรกิจขายตรงก็ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็กสายป่านไม่ยาวจะยิ่งแย่ คาดว่า ทั้งปีธุรกิจขายโดยรวมเติบโต 6-7% จากมูลค่า 45,000 ล้านบาท จากเดิมคาดว่าตลาดจะเติบโต 10% อุปโภคบริโภคก็พลอยย่ำแย่ได้ด้วย ขณะที่ตลาดอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นของกินและของใช้ในชีวิตประจำวัน ยังพลอยได้รับผลกระทบ เพราะผู้บริโภคมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดย นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค ปีนี้ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค คาดว่า จะมีอัตราการเติบโตได้ถึง 5% ก็ถือว่าเก่งแล้ว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตลาดมีอัตราการเติบโต 6-7% โดยพบว่า ตลาดโคโลญจ์หดตัวลง 5% ขณะที่ ตลาดรวมโรลออน มีมูลค่า 1,014 ล้านบาท ก็หดตัวลง 5% เนื่องจากผู้บริโภคลดความถี่ในการใช้ลง ส่วนภาคบันเทิง ที่ว่ากันว่าเติบโตดี ไม่มีผลกระทบ ก็ยังโดนหางเลข โดยเฉพาะตลาดหนังไทย ที่ตกลงกว่า 10% และไม่มีเรื่องใดที่มีรายได้เกิน 100 ล้านบาทเลยในช่วงครึ่งปีแรกนี้
โดย
SSL
จันทร์ ก.ค. 21, 2008 3:01 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
SSL
ศุกร์ ก.ค. 18, 2008 3:27 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
SSL
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ ก.ค. 18, 2008 3:21 pm
ใช้งานล่าสุด:
จันทร์ พ.ค. 07, 2012 10:01 pm
โพสต์ทั้งหมด:
54 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว