หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
leechong
Joined: ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 1:10 pm
52
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - leechong
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: EPS16YEAR งบดุล Q3 2011 ที่ประกาศ อับเดท
สวัสดีครับ ผมขอด้วยครับ
[email protected]
โดย
leechong
อาทิตย์ ธ.ค. 25, 2011 12:39 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
จันทร์ ก.ย. 27, 2010 6:51 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ย. 26, 2010 5:35 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ย. 19, 2010 7:19 pm
0
0
Re: การลงทุนกับธรรมะประยุกค์
[quote="leechong"]หัวข้อ 4 คิดพิจารณา การทำบุญก็ดี การรักษาศีลก็ดี การเจริญภาวนาก็ดี ทั้ง 3 อย่างนี้พึงมี ทำให้มาก ทำให้แจ้ง ส่วนหัวข้อหลักที่ผมได้แสดงมาแล้วข้างต้นนั้น เป็นเสมือนจดหมายบอกเหตุ เมื่อเราได้ทำเหตุที่ดีแล้ว ทำเหตุที่ตรงแล้ว ทำเหตุที่ดีที่ตรงให้มากแล้ว บุญก็จะเริ่มสะสมให้มี สะสมให้บริสุทธิ์ สะสมให้มาก เมื่อถึงเวลาผลในบุญนั้นย่อมแสดงผลให้ แต่เราก็มีเหตุน่าคิดอยู่เหมือนกัน เช่น คำว่า "เนื้อนาบุญ" หรือ "บุญเขต" เป็นต้น ซึงการสร้างบุญนั้นก็มีเหตุปัจจัยเข้ามากระทบอยู่เนืองๆ เพราะคำข้างต้น จนมีส่วนทำให้เราเป็นผู้ทำบุญแบบมุ่งเน้น หรือทำบุญแบบเฉพาะเจาะจง ขอยกตัวอย่าง เมื่อเราไปทำบุญใส่บาตรพระที่วัดในวันอาทิตย์เช้า โดยมากก็จะเลือกใส่กับพระผู้ใหญ่ พระดังๆ พระที่คิดว่าสำเร็จหรือมีบารมีมาก ๆ ส่วนพระรูปที่อยู่หางแถวก็ ... ถ้าเราพิจารณาตามเจตนาของการทำบุญทำทานนั้น เงื่อนไขตัวผู้รับก็น่าจะสมกับคำว่า "เนื้อนาบุญ" หรือ "บุญเขต" แต่ในแง่ของจิตที่คิดจะให้ท่านกับมีความหมายในวงแคบ เพราะเป็นการให้แบบเจาะจงเฉพาะรูป ไม่ใช่การให้แบบใจเปิดกว้าง คือการให้ได้ทุกรูป การให้แบบไม่เลือกหน้า หรือ ถ้าพระที่เราจะใส่บาตรมีหลายรูป แต่เรามี 1 ชุด หรือ 2 ชุด ไม่พอใส่ทุกรูป จะสังเกตุได้ว่า พระบางรุปได้อาหารหรือปัจจัย 4 มาก แต่บางรูปได้น้อยหรือขาดแคลน ถ้าเรามองในแง่ของความจำเป็นแล้ว อาหารหรือปัจจัย 4 ที่เราใส่บาตรให้พระรูปที่ขาดแคลนแล้วย่อมสามารถนำไปใช้ก่อเกิดประโยชน์ได้ทันที ส่วนพระอีกรูปย่อมเหลือใช้ ฉะนั้น การทำบุญทำทานใส่บาตร ถวายปัจจัย 4 ก็มีเรื่องมาให้ใช้สมอง (พิจารณาไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน) ในการพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป แต่ถ้าทำบุญแบบง่าย ๆ ผลของเราก็จะง่าย ๆ ผลของทานที่จะได้คือ เป็นผู้มีทรัพย์ ถ้าเราทำบุญทานที่ประกอบด้วยปัญญา ผลที่ได้คือ เจ้าทรัพย์มีปัญญาบริหารโภคทรัพย์ แต่เราชอบทำบุญทานแบบง่าย ๆ ก็เป็นเจ้าทรัพย์อับปัญญา ต้องจ้างคนอื่นมาช่วยดูแล ช่วยบริหารทรัพย์ให้ อันนี้แล้วแต่จะท่านคิด ผมขอให้ผลบุญนี้จงเกิดแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปอง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงอยู่ดีมีสุขแล
โดย
leechong
เสาร์ ก.ย. 18, 2010 8:47 am
0
0
Re: มีใครออกกำลังกายด้วยการรำมวยไท้เก๊กบ้าง
ช่วงนี้ฝนตก อากาศเปลี่ยนแปลง ขอให้คนรักสุขภาพดูแลสุขภาพด้วยครับ ไม่ว่าจะก่อนออกเดินทาง หรืออยู่ระหว่างเดินทาง ถ้าเจอฝน ต้องหลบฝน อย่าให้ถูกฝน หาที่หลบ ถ้าถูกฝน ต้องระวังไข้หวัด ไม่ว่าจะก่อนออกกำลังกาย หรืออยู่ระหว่างออกกำลังกาย ถ้าเจอฝน ต้องหลบฝน อย่าให้ถูกฝนหาที่หลบ ถ้าถูกฝน ต้องระวังไข้หวัด ตากฝนไม่ต้องลงทุน ป่วยมาต้องลงทุนซื้อยา พักงาน พักผ่อน จนกว่าหาย เสียทั้งเงินทอง เสียทั้งเวลา ผมขอเวลาทำการบ้านก่อน แล้วจะหาข้อมูลมวยไท้เก๊ก สุขภาพ ปรมาจารย์ อย่าพิ่งเบื่อนะครับ (เพราะปรมาจารย์ จางซานฟง มีอายุถึงกว่า 140 ปี เป็นบุคคล 3 ยุค การปกครองจีน)
โดย
leechong
เสาร์ ก.ย. 18, 2010 8:18 am
0
0
Re: การลงทุนกับธรรมะประยุกค์
หัวข้อ 3 กรรมด้านอื่นๆที่เกียวข้อง ผมมีความคิดว่า ผมต้องการรวยที่เป็นผลของความบริสุทธิ์ถูกต้อง และมีจิตใจที่ดีงามโดยการเผื่อแผ่ไปให้ผู้อื่นด้วย ความเห็นส่วนตัว รวยวันนี้ก็ยังไม่พอ รวมวันหน้าก็ยังไม่สม รวมถึงชาติหน้าก็ยังประมาท ต้องยังอยู่ในกระแสทาน โดยการผูกจิตไว้กับการให้ท่าน แล้วเราจะผูกจิตกับการให้ท่านได้อย่างไร ก็การทำบุญทาน ทำให้มีขึ้น ทำบ่อยๆ ทำเป็นนิสัย ทำเป็นสันดาน เมื่อจิตของเรามีส่วนรู้เห็นกับการทำทานอย่างนี้ อย่างนี้เป็นลำดับ ตามกำลัง ตามฐานะ ตามอัตตภาพของตนเองแล้ว จิตย่อมถูกผูกไว้กับการให้ทานมากขึ้นโดยลำดับ คัดจากหนังสือ กรรมด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ความร่ำรวยเกิดจากความมีน้ำใจกว้าง มีใจเผื่อแผ่ กรรมใดที่เป็นไปเพื่อความกรุณาต่อผู้อื่น ช่วยให้ทุเลาทุกข์ ช่วยให้ความสุข ช่วยให้ความสบาย ช่วยให้ความปลอดภัยกับมหาชน กรรมนั้นย่อมขยายขอบเขตอาณาจักรเงินทองได้ทั้งสิ้น คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตตามสถานการณ์ บางชาติรวามแล้วให้ทานมากแต่รักษาศีลน้อย บางชาติรวมแล้วให้ทานน้อยแต่รักษาศีลมาก บางชาติรวมแล้วให้ทานและรักษาศีลพอประมาณ แต่ไม่ขวนขวายทำงาน ไม่มีหัวริเริ่มสร้างเครือข่ายธุรกิจของตนเอง ฉะนั้น การได้ทรัพย์มา และความเสื่อมาสูญไปของทรัพย์ จึงแบ่งแยกออกได้เป็นประเภทตามกรรมอันหลากหลาย แต่โดยย่นย่อแล้วสภาพความร่ำรวยแบ่งได้เป็น 4 ชนิด ดังนี้ 1. รวยด้วยลาภลอย บางคนเกิดมายากจน แต่อยู่ๆ ถูกหวยใต้ดิน หรือเล่นลอตเตอรี่ได้รางวัลที่ 1 หรืออยู่ๆ ได้รับการตกรางวัลก้อนโตเพราะทำเรื่องถูกอกถูกใจผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ อย่างนี้คือความหมายของ "รวยด้วยลาภลอย" ความรวยชนิดนี้มาจากการให้ทานแบบที่ส่งลาภลอยให้คนอื่น อยากให้เขาพ้นทุกข์โดยไม่คาดฝัน เช่น เดินทางกลางป่าพบพระธุดงค์ที่กำลังอดอยาก ถึงกับนำอาหารที่เตรียมมาเพื่อตนเองถวายท่านหมดแบบไม่เสียดาย หากผู้ให้มีกำลังใจยิ่งใหญ่ ส่วนผู้รับก็มีความบริสุทธิ์มาก ผลย่อมมหาศาลประมาณไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้รับเป็นพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากณานขั้งสูดสุด ก็ไม่ต้องรอลาภลอยในชาติต่อไป แต่จะบังเกิดผลทันทีภายใน 7 วันทีเดียว พวกที่ชอบตั้งสมาคมสังคมสงเคราะห์ หรือเศรษฐีที่อย่ากเปลี่ยนแปลงชีวิตหมู่คนแบบฉับพลันทันที ช่วยให้คนยากจนมีงานทำ มีรายได้เป็นของตัวเอง ก็เข้าข่ายจะได้รับลาภลอยก้อนใหญ่เช่นกัน แม้กระทั่งอยากให้ใครประหลาดใจ ยินดีปรีดาเป็นล้นพ้นด้วยการให้ของขวัญหรือของสมนาคุณที่เกินความคาดฝัน ก็จะมีผลให้เกิดลาภลอยด้วย แต่ความยิ่งใหญ่ของผลอาจลดหลั่นลงไปตามกำลังใจที่คิดให้ ตลอดจนระดับศีลของผู้รับ และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผู้รับนั้นๆ 2. รวยด้วยมรดก "กองมรดก" มีนิยามตามตัวบทกฎหมาย คือ บรรดาทรัพย์สินของผู้ตาย ส่วนใครมีสิทธิ์ครอบครองมรดกของผู้ตายก็ว่ากันไปตามพินัยกรรมหรือการสั่งเสีย มรดกยังมีประเภทของมันเอง เช่น ... - มรดกคู่ชีพ คือ เกิดมายังไม่ทันไรก็ได้เลย เช่น อายุยังไม่ถึง 20 แต่เจ้าคุณปู่แบ่งสมบัติให้แล้ว 100 ล้าน เห็นได้ชัดว่าเพียงรายได้อันเกิดจากดอกเบี้ยรายปี ก็มากกว่าคนทำงานกินเงินเดือนเกือบทั้งโลกแล้ว รากของกรรมที่ทำให้มีสิทธิ์ได้มรดกคู่ชีพ คือ บริจาคเงินเป็นประจำเพื่อเลี้ยงอาหารเด็ก คนชรา หรือผู้อนาถาด้อยโอกาสต่างๆ หรือไม่ก็ใส่บาตรพระทุกวัน ทุกอาทิตย์หรือทุกเดือน ซึ่งก็คือการหยิบยื่นแบบไม่มีเงือ่นไขให้ใครหลายๆ คนได้อยู่กินสบายตลอดเท่าที่ผู้บริจาคยังไม่สิ้นอายุ - มรดกเย็น คือ ได้แน่ๆ ตามกาล แบ่งกับญาติพี่น้องตามสัดส่วนที่ยุติธรรม หรือผู้ตายจัดสรรไว้ให้แน่นอนไม่เป็นอื่นแล้ว รากของกรรมที่ทำให้มีสิทธิ์ได้มรดกเย็น คือ เคยมีความโน้มเอียงให้ทานแบบปราศจากเงื่อนไข และจัดสรรให้อย่างยุติธรรม เช่น เมื่อมาที่สถานที่เลี้ยงเด็ก ก็เตรียมมาด้วยความตั้งใจจะเลี้ยงให้ครบทุกคน หรือให้ได้มากที่สุดโดยไม่เลือกหน้า พวกที่ให้ทานเย็นกับคนอื่นไว้ ก็มารวมเครือญาติรับมรดกเย็นร่วมกัน ทั้งนี้ แม้ของเก่าเป็นกรรมเย็น ก็ไม่แน่ว่าปัจจุบันใจจะเย็นไปด้วย - มรดกร้อน คือ ไม่รู้แน่ว่าจะได้หรือไม่ได้ ยังความร้อนใจกระวนกระวาย หรือกระทั่งการแตกคอกันในระหว่างหมู่ญาติ บางรายสู้รบกันในศาลเป็นสิบปียังไม่ตัดสิน รากของกรรมที่ทำให้มีสิทธิ์ได้มรดกร้อน คือ การให้ที่ไม่ตรงไปตรงมา ประเภทแจกของล่อใจชิ้นโต ยั่วกิเลสคนอย่างมีเงื่อนไข ต้องให้คนเขาสู้กัน หรือต้องให้แข่งขันชิงชัยเสียก่อน คนชนะจึงจะมีสิทธิ์ได้รับรางวัล พวกที่ให้ทานร้อนกับคนอื่นไว้ ก็มารวมเครือญาติรับมรดกร้อนร่วมกัน ทั้งนี้ แม้ของเก่าเป็นกรรมร้อน ก็ไม่แน่ว่าปัจจุบันใจจะต้องร้อนไปด้วย - มรดกเลือด คือ สมบัติเป็นเหตุแห่งศึกสายเลือด แย่งกันถึงขั้นคอขาดบาดตาบ หลายตระกูลทั่วโลกมีสมบัติมาก แต่ไม่ใช่เหตุแห่งความสุข จะเป็นเหตุแห่งความทุกข์เจียนคลั่งเสียมากกว่า เพราะแม้แต่พี่น้องของตัวเองก็ไว้ใจไม่ได้มากไปกว่าโจรที่จ้องฆ่ากัน รากของกรรมที่กำให้มีสิทธิ์ในมรดกเลือด คือ เคยตั้งรางวัลใหญ่ยั่วให้คนหรือสัตว์ฆ่าแกงกัน หรือทำร้ายตบตีชกต่อยกัน โดยผู้รอดหรือผู้ชนะค่อยเอารางวัลไป พวกที่ให้ทานบนน้ำมจโหดเหี้ยมก็มารวมเครือญาติรับมรดกเลือดร่วมกัน 3. รวยด้วยน้ำพักน้ำแรง น้อยคนมากๆ ในโลกนี้ ที่ได้ลาภลอยหนเดียวแล้วรวยเลยตลอดไป ส่วนใหญ่ถ้าไม่รู้ว่าได้เงินก้อนโตมาอย่างไร ก็เท่ากับไม่รู้วิธีหาและรักษาไว้ ส่วนพวกที่รวยมรดกไปจนตาย ก็มักสบายแบบเคยตัว ประมาทในชีวิต คิดว่าไม่ต้องทำอะไรก็ได้ และจากข้อก่อนคงเห็นแล้วว่าความพัวพันกับมรดกร้อนและมรดกเลือดนั้น จะก่อให้เกิดภัยเวรผูกกันไปอีก แสดงให้เห็นว่าทรัพย์อันเกิดจากศพของคนอื่น มักไม่นำมาซึ่งความสงบใจ สู้ทรัพย์อันเกิดจากกรรมของเราเองในอดีตและปัจจุบันไม่ได้ ให้ความรู้สึกว่าเป็นของเราจริง ไม่ต้องแย่งกับใคร และใครมาแย่งไม่ได้ สรุปคือรวยลาภกับรวยมรดกนั้น ยังไม่แน่ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ต่างจากรวยด้วยตัวเอง อันนั้นมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นลาภ สนุกกับการสร้างลาภให้ตน และมีตนเป็นผู้รักษาเป็นไหนๆ การรวยด้วยน้ำพักน้ำแรงมีสองประเภทใหญ่ หนึ่งคือค้าขายเอาผลกำไร สองคืออาศัยความรู้ ความสามารถ ความเก่งกาจ หรือความฉลาดประดิษฐ์ในการทำให้มหาชนพอใจ แล้วแปรความพอใจอันใหญ่หลวงของมหาชนเป็นรายได้ในภายหลัง รากของกรรมอันบันดาลให้เป็นพ่อค้าแม่ขายที่ได้กำไร คือ เข้าไปไถ่ถามผุ้ทรงคุณว่าอยากได้อะไร แล้วหามาให้ตามที่ท่านขอหรือมากกว่านั้น จะเป็นเหตุสนับสนุนสำคัญให้ได้เป็นพ่อค้าแม่ขายที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จรุ่งเรือง ตรงจุดนี้ขอให้สังเกตด้วยว่า ภาพของกิริยาที่ทำกรรม ย่อมสะท้อนกลับมาเป็นภาพของปฎิกิริยาที่สอดคล้องเมื่อรับผลกรรม ส่วนรากของกรรมที่บันดาลให้เป็นคนรู้มาก สามารถมาก เก่งมาก ฉลาดมาก อีกทั้งมีผลให้มหาชนพอใจนั้น ให้ทานและรักษาศีลยังไม่พอ ต้องเป็นผู้เคยทำประโยชน์เฉพาะทางไว้่ก่อนด้วย ขอยกตัวอย่างสักสองสามอาชีพเพื่อให้เห็นภาพชัดดังนี้ - ถ้าเคยทำขนมถวายพระ ใช้ใจ ใช้ความคิด ใช้ความสามารถทั้งหมดทุ่นเทให้กับการทำขนมอร่อยถวายพระอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน อย่างนี้เกิดใหม่จะมีทั้งไอเดียและฝีมือทำขนมตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นถ้าขยัยพอจะทำขนมขาย ก็จะมีทั้งรสขนมที่ถูกปากเป็นที่ติดใจแก่ลูกค้า กับทั้งมีรัศมีบุญดึงดูดคนเข้าร้านและอยากช่วยบอกต่อ - ถ้าเคยยอมเอากำลังแรงหรือชีวิตเข้าแลกในการปกป้องพระสงฆ์องค์เจ้า ลูกเด็กเล็กแดง หรือคนบริสุทธฺ์ ที่กำลังถูกศัตรูรุกราน อย่างนี้เกิดใหม่จะมีกำลังใหญ่ มีความฮึกเหิมห้าวหาญ หากไม่มีอาชีพอื่นให้เลือกและใจถึงพอ ก็เป็นนักมวย หรือเป็นนักสู้ระดับพระกาฬ ที่มหาชนชมการต่อสู้แล้วระทึก ช่วยกันเชียร์จนค่าตัวสูงลิบ ต่อให้ไม่ชนะทุกไฟต์ก็ตาม - ถ้าเคยใส่ใจไถ่ถามพระ หรือผู้ทรงศีล หรือพ่อแม่ ว่ามีโรคทางกายอย่างไร ลำบากเรื่องสุขภาพประการดใด แล้วขวนขวายหาหยูกยาหรือหนทางรักษาท่าน ด้วยความรู้จักเลือกยา เลือกหมอกับทั้งรักษาได้สำเร็จหรือช่วยให้พวกท่านทุเลาอาการลง อย่างนี้เกิดใหม่จะมีสัญชาตญาณและความสนใจรักษาคนป่วย อยากเห็นคนหายจากโรคภัยไขเจ็บ กับทั้งมีกำลังสมองเพียงพอจะรองรับศาสตร์หรือสาขาแพทย์แผนใดแผนหนึ่ง หรือกระทั่งมีสิทธิ์ค้นพบสูตรยาหรือวิธีรักษาอันลือลั่นได้ ยิ่งถ้าชาติไหนเป็นหมอมีฝีมืออยู่แล้ว และได้โอกาสรักษาพระอาพาธกลุ่มใหญ่ด้วยน้ำใจกรุณาก็ยิ่งเป็นเหตุให้ชาติถัดไปมีพรสวรรค์เหนือกว่าแพทย์อื่นเข้าไปอีก อาจถึงขั้นระดับประเทศหรือระดับโลกได้ สรุปคือเคยทำบุญไว้เหมาะกับอาชีพแบบไหนมาก ก็จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ ผลักดันให้เกิดความเพียรในสาขาวิชาชีพนั้นๆ เต็มใจทุ่มเทเวลาให้ กับทั้งรีดกำลังสมองทั้งหมดให้กับสิ่งที่ตนถนัด จนกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลในสาขาอาชีพ แล้วเงินทองกับการยกระดับชีวิตย่อมตามมาเอง 4. รวยด้วยเส้นทางคนบาป เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนไม่เชื่อเรื่องผลของกรรม ก็เพราะผลกรรมมาช้า ถ้าผลกรรมมาเร็วทันตาทันใจ โลกนี้คงต่างไปจากที่เห็น เช่น เตะใครแล้วถูกเตะกลับแบบหมดสิทธิ์ป้องกันตัว ยกเค้าบ้านใครกลับมาเจอบ้านตัวเองว่างเปล่าบ้าง อย่างนี้ทุกคนจะกลัวบาปและอยากทำบุญกันหมด แต่นี่บางคนทำบ่อนอบายมุขแล้วรวย ขายเหล้าแล้วเป็นเศรษฐี โกงบ้านโกงเมืองแล้วยังมีหน้ามีตาอยู่ได้ คนทั่วไปเลยถอดใจ ไม่อยากเชื่อว่าผลของการทำบาปมีจริง ต่อเมื่อศึกษาจนเข้าใจแล้วว่าการเข้าท้องมนุษย์ มาเกิดกับพ่อแม่คู่หนึ่่งๆ มีรูปร่างหน้าตาและสติปัญญาแบบหนึ่งๆ ก็ด้วยผลรวมของกรรมเก่า กรรมเก่าวางแผนไว้ให้หมดแล้วว่าจะได้ดี หรือตกยากประมาณไหน ในช่วงต้น ช่วงกลาง หรือช่วงปลายชีวิต จึงค่อยเกิดศรัทธาขึ้นมาได้ นอกจากรับกรรมเก่าแล้ว เราทุกคนก็กำลังสร้างกรรมใหม่จะส่งเสริมหรือขัดขวางกรรมเก่า เป็นสิทธิ์ที่จะเลือกได้ใหม่ไม่จำกัด เช่น บุญจากการให้ทานส่งให้คุณรวยตั้งแต่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้ว่ารวยได้อย่างไร นึกว่าบังเอิญโชคดีแบบไม่มีเหตุผล ก็อาศัยความโชคดีนั้นไปสร้างธุรกิจปอกลอกเงินประชาชน แบบจะเอาเงินต่อเงินให้รวยยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ไม่รู้ตัวเลยว่านั่นเป็นการสร้างความหายนะให้กับตนเองเพียงใด ในชาติที่ทำธุรกิจโกงเงินประชาชน ถ้าบุญเก่าเลี้ยงไว้แบบจะให้สบายตลอดชีวิต อย่างไรก็ไม่ต้องติดคุก คุณอาจลอยหน้าลอยตา ยิ่งใหญ่คับฟ้าไม่เลิก แต่หากบุญเก่าไม่ได้สั่งให้ต้องสบายแน่ๆ ไปทั้งชาติ น้ำลดเมื่อไรตอก็ผุดเมื่อนั้น คุณอาจต้องเข้าคุกในบั้นปลายชีวิต แล้วถ้ามีสิทธิ์กลับมาเกิดใหม่ในแดนมนุษย์ ก็อาจมาอยู่กับครอบครัวที่สิ้นไร้ไม้ตอก โดนเขาโกงตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ตกทอดเรื่อยมาจนถึงรุ่นคุณ เรียกว่าได้หน้าดำคร่ำเครียดกับความยากจนตั้งแต่เกิดจนตาย พยายามหาเงินมาแค่ไหนก็โดนโกงไปแค่นั้น สรุปว่าจะร่ำรวยได้นั้น ไม่ว่าจะบนเส้นทางนักบุญหรือคนบาป อย่างไรก็ต้องมีบุญเก่าหนุนหลังอยู่ ส่วนคำถามที่มักเกิดขึ้นว่าทำไม่บางคนทำบาปขึ้น ทำไมบางคนพยายามหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ อันนี้ก็ต้องมาดูกัน มูลเหตุให้ทำบาปขึ้นนั้น เกิดจากการที่เคยใช้เงินเปื้อนบาปไปทำบุญ หรือเคยหลงผิดเข้าไปอยู่ในลัทธิความเชื่อประเภทบูชาเทพด้วยชีวิตสัตว์ หรือฆ่าคนด้วยเมตตาเป็นประจำ ด้วยเจตนาอยากช่วยให้เขาพ้นทุกข์พ้นทรมาน บุญเปื้อนบาป หรือบาปฉาบบุญนี่เองคือชนวนของการทำบาปขึ้นในชาติถัดมา ในอดีตคฤหบดีบางคนทำธุรกิจเหล้ายา แล้วเอาเงินไปสร้างวัด สร้างหอสมุดธรรมะ ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ช่วยให้รอดจากผลของการขายเหล้าไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผล ในอดีตบางคนเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง มีอำนาจราชศักดิ์แล้วใช้อำนาจราชศักดิ์นั้นในการทำนุบำรุงศาสนาต่างๆ จิตใจกว้างขวาง คิดเอื้อประโยชน์สุขแก่สมณะและปวงชน เมื่อเกิดใหม่ก็ไม่น่าแปลกใจหากจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองอีก ส่วนจะคิดปกครองหรือเล่นการเมืองแนวใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าในปัจจุบันต้องเข้ากับกลุ่มพวกที่มีความเชื่อทางการเมืองแบบไหน อาศัยอยู่ในประเทศใด อย่ามองแบบเหมาเข่งว่าเป็นนักการเมืองต้องโกงกินและไร้คุณงามความดีกันสักนิดเดียว คนมักคิดว่าความยากจนคือต้นเหตุของภยันตรายและความชั่วร้ายทั้งปวง แต่ข้อเท็จจริงคือ โจรหิวโซเป็นภัยได้แคบจำกัดกว่าเศรษฐีที่ยังอิ่มไม่พอ เพราะโจรกระจอกนั้น พอทำร้ายใครแค่คนเดียว ก็อาจโดนตำรวจจับเข้าคุกยาวกว่าจะออกมาก่อคดีอีก แม้เศรษฐีที่มีอิทธิพลใหญ่อาจใช้อำนาจเงินซื้อตำรวจไว้ทั้งเมือง แม้เข้าฆ่าคนตายหรือทำให้หลายครอบครัวเดือดร้อยแสนสาหัส ใครเล่าจะแตะต้องเขาได้ นอกจากวิบากกรรมที่จะตามมาเล่นงานซึ่งก็อาจเป็นเวลาเนิ่นนานต่อมา ใครทนรอเห็นผลที่จะเกิดกับมาเฟียใหญ่ไม่ไหว ก็อาจต้องเสื่อมศรัทธาในบาปบุญกันไป
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ย. 12, 2010 2:23 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ย. 12, 2010 11:11 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ย. 12, 2010 11:07 am
0
0
Re: เฉลี่ยแต่ละปี มีหุ้นที่ชนะตลาดกี่ตัว
กระทู้บน การบ้านมีข้อผิดพลาด ช่วยลบด้วยครับ กระทู้นี้ การบ้านแก้ไขจุดผิดพลาดแล้วครับ ขออภัยอย่างแรง (คอทองแดง) ขอเวลาผมทำการบ้านก่อนนะครับ เพราะฐานข้อมูลผมมีแค่3-5ปีย้อนหลัง ผมจะไปดูข้อมูลมากก่อนค่อยสรุป (ผิด/ถูก บอกผมด้วย ไม่ยากลำบากจะรีบแก้ไข) วันนี้ผมเอาการบ้านตอนที่ 1 มาส่งครับ ผิดพลาดประการใด เรียนผู้รู้แนะข้อผิดพลาดเพื่อทำความเข้าใจเสียใหม่และแก้ไขให้ถุกต้องครับ คำเตือน! 1. ฐานข้อมูลที่ผมมีอยู่อาจจะไม่ครบถ้วนทุกทุกหลักทรัพย์ 2. ผลได้ตัดข้อมูลในส่วนที่เป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ออกไป 3. วิชาความรู้ประกอบการพิจารณาเป็นวิชาที่มีอยู่จริง ได้แก่ วิชาความน่าจะเป็น คณิตศาสตร์ ม.ปลาย, วิชาการจัดหมู่ คณิตศาสตร์ ม.ปลาย, วิชาสถิติพื้นฐาน มหาวิทยาลัย กรุงเทพ เป็นต้น ประกอบการพิจารณา 4. ปีที่ผมใช้ในการทดสอบคือ ปี 2550-2551และ ปี 2551-2552 5. สิ่งที่ได้เป็นข้อเท็จจริงในแง่มุมหนึ่ง ใช้ตอบสมมุติฐานเท่านั้น ข้อมูลปี 2550 โดยสรุป กำหนดให้ T แทนข้อความที่เป็นจริง กำหนดให้ F แทนข้อความที่เป็นเท็จ กำหนดให้ N แทนจำนวนหลักทรัพย์ทั้งตลาดมี กำหนดให้ r แทนจำนวนหลักทรัพย์ที่ถูกสุ่มเลือก กำหนกให้ EPS แทนกำไรต่อหุ้น กำหนดให้ PE แทนตัวชีวัดราคาต่อกำไร (ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) กำหนดให้ P แทนการเป็นแปลงของราคาปลายปีหารด้วยราคาต้นปี ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) จากหลักทรัพย์ทั้งหมด N= 426 หลักทรัพย์, เป็นหลักทรัพย์ P(T) = 249 หลักทรัพย์, เป็นหลักทรัพย์ P(F) = 177 หลักทรัพย, เพราะฉะนั้น ในการเลือกสุ่มหลักทรัพย์ใดๆ จำนวน r หลักทรัพย์ จากหลักทรัพย์ทั้งหมดของตลาด โอกาสที่หลักทรัพย์ที่ถูกสุ่มเลือกทั้งหมดจะสามารถชนะตลาดโดยรวมได้เป็นดังนี้ N P(T) P(F) r Pr(P(T)) 426 249 177 1 58.5% 426 249 177 2 34.1% 426 249 177 3 19.9% 426 249 177 4 11.6% 426 249 177 5 6.7% 426 249 177 6 3.9% 426 249 177 7 2.2% 426 249 177 8 1.3% 426 249 177 9 0.7% 426 249 177 10 0.4% เช่น ถ้าเราสุ่มหลักทรัพย์ 1 ทรัพย์ตอนต้นปี พอสิ้นปีมีโอกาสชนะตลาด 58.5%หรือ สุ่มหลักทรัพย์ 4 หลักทรัพย์ตอนต้นปี พอสิ้นปีมีโอกาสชนะตลาดทุกหลักทรัพย์ 11.6% เป็นต้น (เป็นสมมุติฐานที่1) ถ้าเราเลือกลงทุนแบบสุ่มเฉพาะในหลักทรัพย์ที่มีกำไร EPS โอกาสที่จะชนะตลาดได้น่าจะเพิ่มขึ้น ดังนี้ EPS(T) P(T) P(F) r Pr(P(T)) 339 202 137 1 59.6% 339 202 137 2 35.4% 339 202 137 3 21.0% 339 202 137 4 12.5% 339 202 137 5 7.4% 339 202 137 6 4.3% 339 202 137 7 2.6% 339 202 137 8 1.5% 339 202 137 9 0.9% 339 202 137 10 0.5% เช่น เดิมเรา สุ่มหลักทรัพย์ 1 ทรัพย์ตอนต้นปี พอสิ้นปีมีโอกาสชนะตลาด 58.5% แต่ตอนนี้เราเลือกเฉพาะหลักทรัพย์ที่มีกำไรโอกาศจึงเพิ่มขึ้นมากกว่า เป็น 59.6% ดังนั้นสมมุติฐานที่1เป็นจริง (เป็นสมมุติฐานที่2) ถ้าเราเลือกลงทุนแบบสุ่มเฉพาะในหลักทรัพย์ที่มีราคาต่อกำไร (ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) โอกาสที่จะชนะตลาดได้น่าจะเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนี้ PE(T) P(T) P(F) r Pr(P(T)) 339 115 62 1 65.0% 339 115 62 2 42.1% 339 115 62 3 27.2% 339 115 62 4 17.5% 339 115 62 5 11.2% 339 115 62 6 7.2% 339 115 62 7 4.6% 339 115 62 8 2.9% 339 115 62 9 1.8% 339 115 62 10 1.2% เช่น เดิมเรา สุ่มหลักทรัพย์ 1 ทรัพย์ตอนต้นปี พอสิ้นปีมีโอกาสชนะตลาด 58.5% และต่อมาเราเลือกเฉพาะหลักทรัพย์ที่มีกำไร ทำให้โอกาศชนะตลาดจึงเพิ่มขึ้นมากกว่า เป็น 59.6% แต่พอเราเลือกลงทุนแบบสุ่มเฉพาะในหลักทรัพย์ที่มีราคาต่อกำไร (ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) เพิ่มเงื่อนไขอีก ผลทำให้โอกาสชนะตลาดเพิ่มขึ้นอีกเป็น 65.0% ปรากฎว่าดังนั้นสมมุติฐานที่2เป็นจริง ส่งการบ้านตอนที่ 1
โดย
leechong
เสาร์ ก.ย. 11, 2010 3:41 pm
0
0
Re: เฉลี่ยแต่ละปี มีหุ้นที่ชนะตลาดกี่ตัว
ขอเวลาผมทำการบ้านก่อนนะครับ เพราะฐานข้อมูลผมมีแค่3-5ปีย้อนหลัง ผมจะไปดูข้อมูลมากก่อนค่อยสรุป (ผิด/ถูก บอกผมด้วย ไม่ยากลำบากจะรีบแก้ไข) วันนี้ผมเอาการบ้านตอนที่ 1 มาส่งครับ ผิดพลาดประการใด เรียนผู้รู้แนะข้อผิดพลาดเพื่อทำความเข้าใจเสียใหม่และแก้ไขให้ถุกต้องครับ คำเตือน! 1. ฐานข้อมูลที่ผมมีอยู่อาจจะไม่ครบถ้วนทุกทุกหลักทรัพย์ 2. ผลได้ตัดข้อมูลในส่วนที่เป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ออกไป 3. วิชาความรู้ประกอบการพิจารณาเป็นวิชาที่มีอยู่จริง ได้แก่ วิชาความน่าจะเป็น คณิตศาสตร์ ม.ปลาย, วิชาการจัดหมู่ คณิตศาสตร์ ม.ปลาย, วิชาสถิติพื้นฐาน มหาวิทยาลัย กรุงเทพ เป็นต้น ประกอบการพิจารณา 4. ปีที่ผมใช้ในการทดสอบคือ ปี 2550-2551และ ปี 2551-2552 5. สิ่งที่ได้เป็นข้อเท็จจริงในแง่มุมหนึ่ง ใช้ตอบสมมุติฐานเท่านั้น ข้อมูลปี 2550 โดยสรุป กำหนดให้ T แทนข้อความที่เป็นจริง กำหนดให้ F แทนข้อความที่เป็นเท็จ กำหนดให้ N แทนจำนวนหลักทรัพย์ทั้งตลาดมี กำหนดให้ r แทนจำนวนหลักทรัพย์ที่ถูกสุ่มเลือก กำหนกให้ EPS แทนกำไรต่อหุ้น กำหนดให้ PE แทนตัวชีวัดราคาต่อกำไร (ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) กำหนดให้ P แทนการเป็นแปลงของราคาปลายปีหารด้วยราคาต้นปี ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) จากหลักทรัพย์ทั้งหมด N= 426 หลักทรัพย์, เป็นหลักทรัพย์ P(T) = 249 หลักทรัพย์, เป็นหลักทรัพย์ P(F) = 177 หลักทรัพย, เพราะฉะนั้น ในการเลือกสุ่มหลักทรัพย์ใดๆ จำนวน r หลักทรัพย์ จากหลักทรัพย์ทั้งหมดของตลาด โอกาสที่หลักทรัพย์ที่ถูกสุ่มเลือกทั้งหมดจะสามารถชนะตลาดโดยรวมได้เป็นดังนี้ N P(T) P(F) r Pr(P(T)) 426 249 177 1 58.5% 426 249 177 2 34.1% 426 249 177 3 19.9% 426 249 177 4 11.6% 426 249 177 5 6.7% 426 249 177 6 3.9% 426 249 177 7 2.2% 426 249 177 8 1.3% 426 249 177 9 0.7% 426 249 177 10 0.4% เช่น หรือ สุ่มหลักทรัพย์ 4 หลักทรัพย์ตอนต้นปี พอสิ้นปีมีโอกาสชนะตลาดทุกหลักทรัพย์ 11.6% เป็นต้น (เป็นสมมุติฐานที่1) ถ้าเราเลือกลงทุนแบบสุ่มเฉพาะในหลักทรัพย์ที่มีกำไร EPS โอกาสที่จะชนะตลาดได้น่าจะเพิ่มขึ้น ดังนี้ EPS(T) P(T) P(F) r Pr(P(T)) 339 202 137 1 59.6% 339 202 137 2 35.4% 339 202 137 3 21.0% 339 202 137 4 12.5% 339 202 137 5 7.4% 339 202 137 6 4.3% 339 202 137 7 2.6% 339 202 137 8 1.5% 339 202 137 9 0.9% 339 202 137 10 0.5% เช่น เดิมเรา สุ่มหลักทรัพย์ 1 ทรัพย์ตอนต้นปี พอสิ้นปีมีโอกาสชนะตลาด 58.5% แต่ตอนนี้เราเลือกเฉพาะหลักทรัพย์ที่มีกำไรโอกาศจึงเพิ่มขึ้นมากกว่า เป็น 59.6% ดังนั้นสมมุติฐานที่1เป็นจริง (เป็นสมมุติฐานที่2) ถ้าเราเลือกลงทุนแบบสุ่มเฉพาะในหลักทรัพย์ที่มีราคาต่อกำไร (ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) โอกาสที่จะชนะตลาดได้น่าจะเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนี้ PE(T) P(T) P(F) r Pr(P(T)) 339 115 62 1 65.0% 339 115 62 2 42.1% 339 115 62 3 27.2% 339 115 62 4 17.5% 339 115 62 5 11.2% 339 115 62 6 7.2% 339 115 62 7 4.6% 339 115 62 8 2.9% 339 115 62 9 1.8% 339 202 137 10 1.2% เช่น เดิมเรา สุ่มหลักทรัพย์ 1 ทรัพย์ตอนต้นปี พอสิ้นปีมีโอกาสชนะตลาด 58.5% และต่อมาเราเลือกเฉพาะหลักทรัพย์ที่มีกำไร ทำให้โอกาศชนะตลาดจึงเพิ่มขึ้นมากกว่า เป็น 59.6% แต่พอเราเลือกลงทุนแบบสุ่มเฉพาะในหลักทรัพย์ที่มีราคาต่อกำไร (ของหลักทรัพย์ชนะของตลาด) เพิ่มเงื่อนไขอีก ผลทำให้โอกาสชนะตลาดเพิ่มขึ้นอีกเป็น 65.0% ปรากฎว่าดังนั้นสมมุติฐานที่2เป็นจริง ส่งการบ้านตอนที่ 1
โดย
leechong
เสาร์ ก.ย. 11, 2010 3:18 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
พุธ ก.ย. 08, 2010 9:56 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
พุธ ก.ย. 08, 2010 9:55 pm
0
0
Re: การลงทุนกับธรรมะประยุกค์
วันนี้ผมมีพุทธพจน์มาฝาก 1. เรากล่าวว่าแม้ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันไปที่บ่อน้ำครำหรือในบ่อโสโครกข้างประตูบ้านซึ่งมีสัตว์อาศัยอยู่ ด้วยความตั้งใจว่าสัตว์ที่อาศัยแหล่งน้ำนั้น จะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเศษอาหารในภาชนะ ก็เป็นเหตุ เป็นที่มาแห่งบุญแล้ว (ชัปปสูตร) 2. 1) ให้ทานแก่สัตว์เดรัจฉาน พึงหวังผลร้อยเท่า 2) ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลพันเท่า 3) ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลแสนเท่า 4) ให้ทานในบุคคลนอกศาสนาพุทธผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลหลายล้านเท่า 5) ให้ทานในผู้เพียรเจริญสติเพื่อบรรลุมรรคผลขั้นแรก พึงหวังผลอันนับประมาณไม่ได้ (ทักขิณาวิภังคสูตร) 3. ทาน 5 ประการต่อไปนี้ เป็นมหาทาน เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ ไม่มีบัณฑิตใดรังเกียจ คือ เป็นผู้เว้นขาดจากการฆ่า เป็นผู้เว้นขาดจากการยักยอกทรัพย์ เป็นผู้เว้นขาดจากการผิดลูกเขาเมียใคร เป็นผู้เว้นขาดจากการโกหก และเป็นผู้เว้นขาดจากการดื่มน้ำเมา เมื่อเว้นขาดโดยประการทั้ง 5 นี้ ย่อมได้ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์หาประมาณมิได้ (ปุญญาภิสันทสูตร) 4. ใครมีศีล รักษาศีลได้บริบูรณ์ กองสมบัติเป็นอันมากย่อมบังเกิดขึ้นแก่คนนั้น เพราะความไม่เป็นผู้ประมาท (มหาปรินิพพานสูตร) 5. 1) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์แต่กลับไม่ถวายสิ่งใดเลย เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆ จะขาดทุน 2) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์แต่กลับไม่ถวายเท่าที่ท่านประสงค์ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆ จะไม่ได้กำไรตามที่คาดหวัง 3) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์แล้วถวายท่านครบตามประสงค์ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆ จะได้กำไรตามที่คาด 4) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์แต่กลับถวายท่านเกินความประสงค์ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆ จะได้กำไรเกินความคาดหมาย (วณิชชสูตร) 6. สำหรับชาวบ้านที่ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช่เครื่องหอม และยังยินดีในเงินทองอยู่ ธรรม 4 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน คือ ขยันทำงานหาทรัพย์ รักษาทรัพย์ที่ได้มาให้ดี รู้จักเลือกคบคนดีมีธรรมะ และใช้ชีวิตให้เหมาะกับระดับทรัพย์สินที่มี (ทีฆชาณุสูตร) ขอธรรมะจงสถิตอยู่ในดวงใจทุกๆท่าน ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่ พ่อแม่ ญาติ ครูอาจารย์ เทวดา เจ้าของเว็บ เจ้าหน้าที่เว็บ ผู้พิมพ์ ผู้อ่าน เจ้ากรรม นายเวร เปตร ญาติทิพย์ กายทิพย์ สัพสัตว์ทั้งหลาย ทุกรูป ทุกนาม รอบครอบจักรวาล ให้ทุกท่านอยู่ดีมีสุขเทอญ
โดย
leechong
พุธ ก.ย. 08, 2010 9:33 pm
0
0
Re: เฉลี่ยแต่ละปี มีหุ้นที่ชนะตลาดกี่ตัว
[quote="kin"]ผมสงสัยว่าถ้าเราสุ่มเลือกหุ้นมา 1 ตัว แล้วถือไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งปี ความน่าจะเป็นที่จะชนะตลาดจะเป็นเท่าไหร่ เพราะไม่คิดว่าจะเป็น 50:50 แน่ๆ คงมีหุ้นเพียงแค่กลุ่มเดียว ที่ทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในแต่ละปีน่ะครับ อยากตั้งข้อสังเกตขึ้นมา ว่าคนที่ถือหุ้นแบบสุ่ม โอกาสชนะตลาดมีกี่ % และถ้าเพิ่มความสามารถตัวเองอีกเล็กน้อย กรองหุ้นเน่าที่คิดว่าแพ้ตลาดชัวร์ๆ ออกไป จาก 500 ตัว อาจตัดได้ส่วนนึง ความน่าจะเป็นจะเพิ่มเป็นเท่าไหร่ คิดเล่นๆ ไว้ให้รู้ว่า จริงๆ แล้ว มันไม่ง่าย ที่จะชนะตลาด แม้จะถือระยะยาวก็ตาม
โดย
leechong
พุธ ก.ย. 08, 2010 1:41 pm
0
0
Re: ถ้าเกิดเหตุการณ์ปี 40 อีกครั้ง ชาว VI จะรอดมั๊ย
หากเกิดเหตุการณ์ปี 40 อีกครั้ง ชาววีไอจะขาดทุนมั๊ยครับ แบบประเภท set จาก 1700 เหลือ 200+ แล้วสิ่งที่เราควรจะทำคืออะไร และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลานั้นแล้ว ผมคิดว่าเราควรจะ expect for the best but prepare for the worst คือหวังผลเลิศ แต่เตรียมพร้อมสำหรับหายนะ พอดีผมมือใหม่ครับ เลยอยากจะเตรียมตัวไว้ก่อน ไม่อยากลงทุนเพลินจนกระทั่งกว่าจะรู้ตัวก็ขาดทุนมหาศาล เพราะปรับตัวไม่ทัน และไม่มีกลยุทธ์ในการถอย รบกวนผู้รู้ช่วยแบ่งปันด้วยนะครับ เพื่อมือใหม่อย่างผมและหลายๆท่านจะได้ปลอดภัยในการลงทุน [/quote] เสนอ 2 มุมมอง ถ้าเป็นแบบนี้ ปัญหาเดิมๆ รูปแบบเดิม รู้แน่ชัด ผมว่ารอดเกิน 50% ถ้าเป็นแบบใหม่ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นปัญหาใหม่ๆ กรณีศึกษาใหม่ๆ ผมว่าชาววีไอพันธ์แทนจะมีโอกาสรอดมากกว่า ส่วนชาววีไอเก็งกำไรกับชาวสวนจนน้ำตายครับ เหตุผลประกอบ วันหนึ่่งผมดูรายการที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้นและเศรษฐกิจของจีน (ดาวเที่ยมใน ร.พ.) ผมจำใจความได้ว่า การผลิต การค้า การบริการ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมี (ฐานตัวเลขดัชนี) ที่สมดุลของมันในด้านอุปสงค์และอุปทาน และในแต่ละปี ตัวเลขเหล่านี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น/ขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้น แต่ก็จะหนีไม่พ้นจุดสมดุลของมัน ในกรณ๊ที่มีสินค้าหรือบริการใดตายไปจากวงจรก็มักจะมีสินค้าและบริการใหม่เข้ามาแทนที่ในวงจร แต่สิ่งที่ผิดปกติที่เกิดขึ้น เช่น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย การไม่ประหยัด การผลิตเกินความต้องการของตลาด การขาดวินัยทางการเงิน การไม่เข้มงวดในการรักษากฎระเบียบ กฎหมาย และอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันจะค่อยสะสม ในขณะเดียวกันการบริโภคก็ไม่รู้จักคำว่าหยุดกับคำว่าพอ (เศรษฐกิจพอเพียง) มินานเกินรอค่อย มันก็จะระเบิดขึ้น คาวนี้ก็หนี้ตายกันทั่วหน้า ส่วนชาวสวนที่พื้นฐานไม่ดีก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปกับเขาด้วย เพราะทุกสิ่งที่เราทำมันอยู่บนพื้นฐานกระดานเช็ดก้น กระทบจริงๆก็ไปไม่รอด ยกตัวอย่างของนักวิเคราะห์ชาวจีน 1. ยอดขายของบริษัทหรืออุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นตลอดทุกปี (ดีไม่ถูกดี) เพราะมันเพิ่มแบบเกือบทวีคูณ จาก 1ล. เป็น 2ล. เป็น 4ล. มันผลปกติของการประกอบธุรกิจ นักลงทุนต้องเขาไปตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ/ขาย 2. ยอดการสร้างบ้าน (อเมริกา) ก่อนเกิดวิกฤติ 1-2ปี ตัวเลขเกี่ยวกับการสร้างบ้านโตเอาโตเอา โตแบบทวีคณู 2 ถ้าเรามองตามความเป็นจริง เราต้องเขาไปตรอจสอบ ไม่มีการค้าใด้ที่โตเอาโตเอาแบบนี้ได้ตลอดไปหลอก 3. ลามมาจากข้อ 2 ยอดการให้/ขอ สินเชือ (บางกลุ่มเป้าหมาย) โตขึ้นอย่างผิดปกติ โตเอาโเอาแบทวีคณู 2 ถ้าเรามอง ต้องตรวจสอบอีกครับ สรุป อะไรก็ตามที่โตแบบทวีคูณ 2 (มากกว่านั้น) เราต้องเข้าไปตรวจสอบก่อน เป็นการปลอดภัย เพราะบริษัทเล็กๆ ทำรายได้ จาก 1ล. เป็น 2ล. เป็น 4ล. เป็น 8ล. มีความเป็นไปได้ครับ แต่บริษัทใหญ่ๆ จะทำรายได้ จาก 1000ล. เป็น 2000ล. เป็น 4000ล. เป็น 8000ล. เป็น 16000ล. ผมไม่เชื่อแต่แรก ไม่ไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่งหลอก อย่างหุ้นไทยในปัจจุบัน ผมว่าความผิดปกติของการซื้อขายค่อยๆปรากฏเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ยิ่งสถานการณ์ผิดปกติมีความชัดเจนมากเท่าไรผมก็จะถือเงินสดมากขึ้น ส่วนตัวที่มีพื้นฐานดีพื้นฐานเพชร ผมก็จะถือเอาไว้ (ขอโทษที่คิดไม่ดีกับท่าน) วิกฤติร้ายร้ายของคนอื่น คือโอกาสดีดีของเรา ฝันหอมหวานของคนอื่น คือแผงตลาดนัดของเรา วิ่งหนีตายของคนอื่น คือเราประมูลของทอดตลาด
โดย
leechong
พุธ ก.ย. 08, 2010 1:33 pm
0
0
Re: ผมเรียนด้วยครับ
มีความสนใจเรียนด้วยครับ เอา 1 ที่ (เคาะสนิมออกหน่อย ไม่ได้จับมา 8-9 ปี) วันดี เวลาโดน สถานที่แหล่ม คะแนนเต็ม 10 คุณครูให้ 100
โดย
leechong
พุธ ก.ย. 08, 2010 12:54 pm
0
0
Re: การลงทุนกับธรรมะประยุกค์
วันนี้ผมเจ้าของกระทู้ขอประเดิมก่อนเลยครับ ผมเป็นชาวพุทธคนหนึ่ง นับถือและน้อมนำมาปฎิบัติด้วย ตามระดับกำลังของผู้ปฎิบัติของผมเอง และผมขอบอกก่อนเลยว่าผมก็ยังมีความอยากได้ อยากมี อยากเป็นไม่น้อยไปกว่าผู้อื่น ผมจึงใช้เวลาว่างๆ นานๆที ในการค้นหาหลักธรรมสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะรวย (ผมด้วย) ควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตในแต้ละวัน ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานหาเช้ามาก็กิน หาค่ำมากิน รับจ้างมาก็กิน ค้าขายมาก็กิน ลงทุนมาก็กิน รับโชคมรดกมาก็กิน อื่นๆอีกมากที่หามาก็กิน พึงสังเกตุได้ว่า วันหนึ่งวันหนึ่งในชีวิตเรา เวลาส่วนมากหมดไปกับการหาทรัพย์มาบำรุงเลี้ยงร่างกายเพื่อให้เกิดความสุขและความสบาย สุดท้ายแล้วตัวเราเองก็ได้รับความสุขบ้าง ได้รับความทุกข์บ้าง (ส่วนใหญ๋) คละเคล้ากันไป ดังนั้นผมจึงอยากให้ทุกๆท่าน (ผมด้วย) พึงเข้าใจแต่แรกก่อนว่าการจะเป็นผู้มีทรัพย์มากนั้นต้องมีเหตุที่มาสนับสนุนส่งเสริมเสียก่อน จึงจะได้รับผลที่ดีตามมาในภายหลัง (กฎแห่งกรรม) ซึ่งผมขอจำแนกเป็น 2 แบบ คือ 1. กรรมเก่า เป็นเหตุส่งเสริมเราในปัจจุบันนี้จากการที่เราได้ทำไว้ในอดีต 2. กรรมใหม่ (ปัจจุบัน) เป็นเหตุส่งเสริมเราในวันหน้าจากการที่เราได้ทำไว้ในวันนี้ กรรมคืออะไร กรรมคือการกระทำและค่อยให้ผลทุกขณะเวลา ถ้าทำดีเราจัดว่าเป็นกรรมดี ผลดีจะให้ผลดี จะพลักดันเรามาในทางที่ดี (สูงขึ้น) ทำชั่วเราจัดว่าเป็นกรรมชั่ว ผลชั่วจะให้ผลร้าย จะพลักดันเรามาในทางไม่ดี (ตกต่ำ) ผลของกรรมจะให้ผลในตอนไหน กล่าวคือกรรมจะให้ผลได้นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในขณะทำกรรม เช่น ความหนักเบาของเจตนาความตั้งใจขณะทำ ความเป็นประโยชน์ของมหาชนขณะทำ ความบริสุทธิ์ของจิตขณะทำ ความสม่ำเสมอขณะทำ ความสำคัญความจำเป็นขณะทำ ระดับของบุคคลหรือสถานที่ขณะทำ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นเหตุประกอบกับการทำกรรม ส่งผลถึงผลกรรมที่ตามส่งเราด้วย ดังนี้ - ให้ผลภายใน 7 วัน หรือไม่ภายใน 7 เดือน หรือไม่ภายใน 7 ปี หรือไม่ภายใน 7 ชาติ ...ส่งผลต่อไป เช่น ทำกรรมดีกับพ่อกับแม่ จะเห็นผลเร็วก่อนตายประมาณ 80% , ทำบาปกรรมกับพ่อกับแม่ จะเห็นผลเร็วก่อนตายประมาณ 80% , ทำกรรมดีกับพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ พระกัมมักฐาน จะเห็นผลเร็วตามระดับภูมิธรรมแน่นอน 7 วัน, 7 เดือน, 7 ปี เป็นต้น แต่โดยมากกรรมจะให้ผลภายหลังจากทำกรรมไปแล้วนานหลายปี จนผู้ทำลืมไปแล้วก็ปี ตายไปก่อนก็มี จึงเป็นเหตุให้คนเรา (บางคน) ไม่กลัวบาปกรรม ส่งผลร้ายสู่เยาวชนคนรุ่นหลังทำตามอย่างไม่ดีได้ - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างตั้งใจ เช่น ลงทุน ทำการค้าได้ผลสมตามที่ตั้งใจ - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างไม่ตั้งใจ เช่น ลงทุน ทำการค้าได้ผลไม่สมตามที่ตั้งใจ - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างบริสุทธิ์ใจ เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลงานจากงานที่บริสุทธิ์ สะอาดหมดจน - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างไม่บริสุทธิ์ใจ เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลงานจากงานที่ไม่บริสุทธิ์ ด่างๆ - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างสม่ำเสมอ เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลงานสม่ำเสมอ - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างไม่สม่ำเสมอตั้งใจ เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลงานบ้าง ไม่ได้ผลงานบ้าง - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างใจกว้าง เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลกว้างขวาง คนช่วยแนะ คนช่วยอุดหนุน ทำ 1 ได้ 2 หรือ ทำ 1 ได้ 10 - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างใจแคบ เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลแบบแคบๆ ทำ1 ได้ 1 หรือ ทำ 10 ได้ 1 - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างสุขใจ ผล เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลคือยิ่งได้ ยิ่งรวย ยิ่งความสุข - ถ้าเราทำกรรมดีอย่างทุกข์ใจ ผล เช่น ลงทุน ทำการค้า ได้ผลคือยิ่งได้ ยิ่งรวย ยิ่งมีความทุกข์ อย่างไรก็ตาม แม้กรรมเก่าที่ทำไว้จะตามให้ผลอยู่ตลอดระยะเวลาหนึ่ง ก็ควรทำกรรมใหม่มาช่วยหนุนส่งเสริมด้วย หากว่ากรรมเก่าที่ให้ผลหมดแล้วจะได้ไม่เป็นทุกข์ เช่น กรรมเก่าส่งเสริม ถูกหวย ได้มรดก ลงทุนครั้งแรกกำไรงาม ชนิดเรียกว่ารวยข้ามคืน หากไม่ขยันเก็บ ขยันบริหาร เป็นกรรมใหม่มาหนุนส่งเสริมแล้ว เงินมากใช้มาก ใช้อย่างเดียวก็หมดได้ ดังนั้น ขอให้ทุกๆท่าน (ผมด้วย) 1. ต้องขยันหาทรัพย์ 2. ต้องขยันเก็บทรัพย์ 3. ใช้ทรัพย์ที่หามาได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว และผู้อื่น 4. หมั่นคบหาสมคมกับกัลยามิตร (มีเพื่อนดี) เท่านี้ก็จะไม่ได้หมายความว่าจะได้เป็นเศรษฐี แต่หมายความว่าผู้มีทรัพย์น้อยก็มีความสุข ผู้มีทรัพย์มากก็มีความสุข เกิดความสุขแก่ตนเอง (สุขกาย สุขใจ) ครอบครัว ญาติ สังคมสืบไป ขอผลบุญนี้ส่งสำเร็จแก่เจ้าของเว็บ คณะทำงานเว็บ ผู้ทำ ผู้อ่าน เพื่อนร่วมโลก สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทุกรูปทุกนามเทอญ.
โดย
leechong
ศุกร์ ก.ย. 03, 2010 1:31 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อังคาร ส.ค. 31, 2010 4:57 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อังคาร ส.ค. 31, 2010 4:33 pm
0
0
Re: หุ้น ร.พ.
การลงทุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลคิดได้หลายแบบ เช่น แบบนักลงทุน แบบเจ้าของกิจการ แบบนักเก็งกำไร แบบชาวบ้าน แบบศีลธรรม แบบอื่นๆ เป็นต้น ในความคิดของผม นอกจากผมจะมองในแง่ของนักลงทุนแล้ว ผมยังมองในแง่ของศีลธรรมด้วย เพราะรายได้หลักของโรงพยาบาลน่าจะมาจากผู้ป่วย ผู้ป่วยคือคนที่มีความทุกข์น้อย-มาก มีเวทนาน้อย-มาก มีความหวังที่จะได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีตามอัตภาพ ตามกำลังทรัพย์ มีความหวังจะหายจากการป่วย ในเมื่อรายได้ของโรงบายบาลคือรายได้ที่มาจากการเปลี่ยนความทุกข์ของผู้ป่วยให้เป็นความสูขอย่างนี้แล้ว การคาดหวังจะได้ผลกำไรงามๆจากอาชีพนี้มากๆ ย่อมไม่เป็นการสมควรเลย (ความคิดส่วนตัว) เพราะ 1. ถ้าค่ารักษาไม่แพง ไม่เป็นภาระของผู้มารับการรักษา เป็นชัยชนะ2ฝ่าย 2. ถ้าค่ารักษาแพง เป็นภาระของผู้มารับการรักษา เป็นชัย1จำใจแพ้1 ผลพวงที่ตามมากในข้อหนึ่ง โรงพยาบาลงานเข้า คนมาก บริการไม่ไหวแต่เป็นการทำเพื่อมนุษยธรรมมากกว่า ในทางกลับกัน ถ้าเป็นข้อสอง ก็จะเกิดปัญหาตามมา ผู้รับการรักษาจะหายป่วย แต่จะป่วยเงินแทน และอาจลามต่อถึงครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน กู้ยืม เป็นต้น แล้วคุณอยากมีส่วนร่วมกับโรงพยาบาลแบบไหน ยืดออกคุยได้แค่ไหนระหว่างโรงพยาบาลพ่อพระแม่พระ, โรงพยาบาลเลือดโหด, โรง(พยาบาล)ขโมยอวัยวะ โรง(พยาบาล)ฆ่าสัตว์ ขอให้ทุกท่านลองพิจารณาในแง่นี้ด้วย ด้วยความปรารถณาดี ไม่อยากให้ความโลภยังผลให้เป็นผู้คนที่ไม่มีหัวใจ
โดย
leechong
อังคาร ส.ค. 31, 2010 11:03 am
0
0
Re: หุ้นเกี่ยวกับโรงพยาบาลจะสนไหม
ผมก็มีความสนใจหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเหมือนกัน แต่ผมก็พึ่งจะลงทุนในกลุ่มโรงพยาลาลไม่นานนี้เอง โดยใช้ข้อสังเกตุดังนี้ 1. ตอนพาเมียไปฝากครรภ์ ตรวจครรภ์ คลอดลูก (คนแรก) มี 1 อาคาร 2. ตอนลูกฉีดวัคซีน ตอนลูกป่วย และตอนลูกป่วย มี 2 อาคาร 3. ตอนสังสรรค์กับเพื่อนเก่า ม. ปลาย เขาว่า ทำงานแผนกการเงินอยู่ที่นั่น 4. ตอนเราตรวจสุขภาพ พาเมียไปฝากครรภ์ ตรวจครรภ์ คลอดลูกอีก มีขยาย 5. ตอนลูกฉีดวัคซีน ตอนลูกป่วย และตอนลูกป่วย มีการขยายอีก 6. ล้าสุด 5-8 ปีแล้ว หมอ พนักงาน พยาบาลเก่าๆก็ยังเหมือนเดิม ใหม่ๆก็มี บริการก็ดี ไปกี่ที่คนแยอะตลอด ต่างชาติก็เห็นบ่อย (ชาวจีนมากกว่า) 7. ช่วงไข้หวัดระบาด บางที่ป่วยไม่มากหมอให้กลับบ้านก่อน เพราะเตียงกับ ห้องไม่พอให้บริการ สรุป1 พอมีการพัฒนา ขยับขยาย จนผิดสังเกตุผมก็ศึกษา และซื้อหุ้นในเวลาต่อมาเรียบร้อยแล้ว สรุป2 คิดว่าจะซื้อเพิ่มอีก เพราะอยู่ใกล้บ้าน ไปใช้บริการบ่อย ถ้าซื้อจนได้ส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ถือหุ้นก็จะลองดู ลองทายดู ร.พ. อะไร อยู่ระหว่างกรุงเทพ - สมุทรปราการ ตอบถูกมารับร่างวัล
โดย
leechong
จันทร์ ส.ค. 30, 2010 6:13 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
ศุกร์ ส.ค. 27, 2010 3:11 pm
0
0
บอกเล่าสู่กันฟัง
ผมหายหน้าไปสักพัก เพราะต้องตามงาน 1. งานในครอบครัว (ธุรกิจฟอกหนังหมูไม่หมู) ไม่มีวัตถุดิบ (ของนำเข้ามีประกาศต้องควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ) ส่งผมให้ไม่มีวัตถุดิบในการแปรรูปอยู่ 3 เดือน ทั้งๆที่มีออเดอร์เข้ามาต่อเนื่อง ไม่รู้ทำยังไงดี พอมีปัญญาเล็กน้อย เลยเอาสมบัติเก่าของพ่อของแม่ขุดเอามาขายกิจ พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไร ยังบอกอีกว่าขายออกไปมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี เพราะมันคือสินค้าเก่าเก็บค้างสต็อกมาหลาย (10) ปี ตอนนี้ขายออกไปหลายแล้ว ประมาณได้(50%-75%) โรงงานโล่งขึ้นมากครับ 2. พอมีเวลาว่างหน่อย ผมก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่มากบ้างและน้อยบางในการอับเด็ดข้อมูลหุ้น 3. ตอนนี้งานผมเข้าอีกแล้ว พอทางผู้ขายแจ้งว่าสามารถขายและส่งออกได้แล้ว (ผ่านการตรวจโรคแล้ว) เฒ่าแก่ก็สั่สินค้ากับเข้า1,กับเข้า2,กับเข้า3,แล้วสั่งเข้าว่าอย่ามาที่เดียวพร้อมกันนะ มันจะทำไม่ทัน เข้าก็รับปาก พอเอาเข้าจริง มันมาพร้อมกันหมดเลย พอสอบถามกับทางชิปปิ้ง เข้าแจ้งมาว่า ผู้ขายได้ทะยอยออกเอกสาร ทะยอยส่งสินค้า แต่สินค้าทั้งหมดเกิดความรักสามัคคีกันมาก จึงลงเรือลำเดียวกัน มากันพร้อมหน้าพร้อมตาม เต็มโรงงานผมเลยครับ จัดตารางงานล่วงหน้าไว้ 3 เดือน ของยังทำไม่หมดเลยครับ 4. หุ้นของผมก็งานเข้าครับ (ปิดบัญชีสิ้นเดือน 7) ปีที่แล้วพรอต์ของผมกำไรประมาณ 25% (เฉพาะหุ้นประมาณ 40%) ปีนี้ พรอต์ของผมกำไรประมาณ 40% (เฉพาะหุ้นประมาณ 50%) งานที่เข้าก็คือขายได้เป็น เด่งๆ แต่ไม่รู้จะลงทุนซื้อหุ้นอะไรต่อดี กระดานร่อนหุ้นของผมก็เหลือหุ้นยิ่งน้อยลงทุกวันๆ (เหมือนในพรอต์ ที่โดนขายเป็นระยะๆจนเหลือไม่เกิน 10 ตัว) เวลาจะซื้อมันมีให้เลือกน้อยจนเลือกไม่ถูก มีความรู้สึกว่าหุ้นเริ่มแพงแล้ว มีความรู้สึกว่าตลาดมันแปลกๆ มีความรู้สึกว่า ฌ สถานการนี้ ผมอยากถือเงินสดเสียมากกว่า มีความรู้สึกว่าราคาหุ้นขยับแรงกว่าเมื่อเทียบกับผลประกอบการบริษัทขยับเสียอีก 5. กระผมใคร่ขอความเห็นดีๆกับเจตนาดีๆเพิ่มเติ่มด้วยครับ ให้ผู้อ่านทุกท่านจงโชคดี ขอให้มีสติประกอบกิจ คิดดี ทำดี คิดรวย ทำรวย กระดานสวยๆ ให้เขียวยกแผง
โดย
leechong
ศุกร์ ส.ค. 27, 2010 3:08 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อังคาร ก.ค. 06, 2010 5:04 pm
0
0
งบออกแล้ว เจอหุ้นตีแตกไหมครับ
[quote="worapot_ta"]หมวดยานยนต์ พี่หมอคงชอบ
โดย
leechong
อังคาร ก.ค. 06, 2010 4:43 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ค. 04, 2010 5:20 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ค. 04, 2010 4:44 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ค. 04, 2010 4:43 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ค. 04, 2010 4:39 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อาทิตย์ ก.ค. 04, 2010 4:37 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
leechong
อังคาร มิ.ย. 29, 2010 10:05 pm
0
0
การคัดหุ้นของคนคิดไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่ออก ตีไม่แตก
[quote="vivitawin"] และถ้าไม่รู้ลึกก็ต้องอาศัยพอร์ตหุ้นมากตัวหน่อย ถ้าน้อยตัวอาจพลาดได้ง่าย ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านเกณฑ์ลงให้ด้วยจะเยี่ยมเลยครับ ขอบคุณครับ อิอิ
โดย
leechong
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2010 5:04 pm
0
0
Re: การคัดหุ้นของคนคิดไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่ออก ตีไม่แตก (ต่อ)
สวัสดีดีครับ.
โดย
leechong
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2010 12:45 pm
0
0
Re: การคัดหุ้นของคนคิดไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่ออก ตีไม่แตก (ต่อ)
[quote="leechong"]สวัสดีดีครับ.
โดย
leechong
อาทิตย์ มิ.ย. 20, 2010 11:50 am
0
0
Re: การคัดหุ้นของคนคิดไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่ออก ตีไม่แตก (ต่อ)
[quote="leechong"]สวัสดีดีครับ.
โดย
leechong
ศุกร์ มิ.ย. 18, 2010 7:47 am
0
0
การคัดหุ้นของคนคิดไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่ออก ตีไม่แตก
แล้วตัว ROE ไม่ดูหรอครับ เมื่อก่อนตอนเรียนจบใหม่ๆผมก็ดู ROE เหมือนกับครับ เพราะเราเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น แต่ผมมองที่ต้วกิจการทั้งบริษัทครับ (ไม่รู้เข้าใจถูกไหม) เช่น เมื่อกิจการ/บริษัทจะลงทุน ก็ต้องดูว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนคุ้มค่าไหม และมองเปรียบเทียบกับต้นทุนทางการเงินด้วย จึงตัดสินใจเลือกลงทุนในโครงการลงทุนที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม พอปฎิบัติจริงผมมองว่าเงินลงทุนเหล่านั้นคือสินทรัพย์ (I > A) ดังนั้นผลตอบแทนตัวชีวัดของผมก็มีพวกดอกเบี้ยเป็นคู่แข่งแรก และ 6% ของผมเป็นคู่แข่งสุดท้าย ส่วนบางกิจการที่ให้ ROA น้อย ROE สูง เช่น ธนาคารทั้งหลาย, เงินทุนหลักทรัพย์ , อื่นๆ เพราะเป็นกลุ่มธุระกิจที่ผมไม่สนใจอยู้แล้ว
โดย
leechong
พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2010 7:09 am
0
0
การคัดหุ้นของคนคิดไม่เก่ง วิเคราะห์ไม่ออก ตีไม่แตก
ผมว่าปัญหาคือPBนี่แหละครับ ที่ดูๆแล้วมันไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร จริงๆแล้วเจ้าตัว PB ก็เป็นปัญหาของผมเหมือนกันครับ ที่ผมกำหนดไว้ไม่เกิน 2 เท่า เพราะมันเป็นจริตนิสัยไม่งามของผมเอง คือไม่อยากซื้อของแพงเกิน BV (ผมมอง ณ ขณะปัจจุบันนะครับ) พอผมคัดสรรเส็จแล้ว สุดท้ายตอนลงมือทำ (ซื้อ) มันทำ (ซื้อ) ไม่ลง เลยไม่มีในพอตร์ครับ รู้สึกกว่าเมือซื้อไปแล้วเหมือนซื้อของในห้าง โดนบวกพรีเมี่ยม ผมจึงกำหนดเงื่อนไขว่า PB ต้องไม่เกิน 2 เท่า ถึงแม้ว่าจะมีหุ้นของกิจการดีดีหลุดลอดออกไปเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ผมถือกว่าเป็นความศูนย์เสียที่ผมยอมรับได้ครับ ข้อสำคัญพวกธุรกิจที่มี PB เกิน 2 เท่าขึ้นไป ส่วนใหญ่เป็นธุระกิจที่อยู่เหนือวิสัยทัย (น้อนนิด) ของผมและมักจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผมไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยรู้จักด้วยครับ จึงเข้าข่ายว่าไม่เสียดายของดีที่หลุดมือไป เพราะใจมันไม่รับครับ
โดย
leechong
พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2010 6:57 am
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
ผมขอใหม่ครับ ขอโทษด้วยครับ พิมพ์เมล์ตกไปตัวครับ คุณพี่ครรชิตครับ ขอโปรแกรม version 2007 ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆนะครับ email :
[email protected]
โดย
leechong
เสาร์ เม.ย. 25, 2009 8:06 am
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
คุณพี่ครรชิตครับ ขอโปรแกรม version 2007 ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆนะครับ email :
[email protected]
โดย
leechong
ศุกร์ เม.ย. 24, 2009 8:53 am
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
leechong
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
BUD
ความถนัด:
MANAGER
ที่อยู่:
SAMUTPAKAN
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
Yahoo Messenger:
Send YIM message
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 1:10 pm
ใช้งานล่าสุด:
พุธ มี.ค. 23, 2016 5:31 am
โพสต์ทั้งหมด:
52 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว