-
-
Coin Flipper
"A Penny Flipped is Science Learned"Joined: อาทิตย์ เม.ย. 27, 2008 12:49 am - ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - Coin Flipper
-
- โพสต์ที่ตอบ
- คอมเมนต์
- ไลค์
-
-
Re: แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี ขอไฟล์ด้วยครับ montri.st@gmail.com ขอบคุณครับ :D :D :D โดย Coin Flipper พฤหัสฯ. มิ.ย. 01, 2017 4:59 pm
- 0
- 0
-
-
-
Re: แจก EPS16YEAR (งบดุล,ราคา,19ปี,Ratio ต่างๆ,แบบเครดิตภาษี ขอไฟล์ด้วยครับ ขอบคุณครับ :D :D :bow: :bow: montri.st@gmail.com โดย Coin Flipper จันทร์ มี.ค. 19, 2012 1:29 pm
- 0
- 0
-
-
-
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี) ขอ version 2007 ครับ ขอบคุณครับ montri.st@gmail.com :bow: :bow: :bow: โดย Coin Flipper อาทิตย์ ต.ค. 24, 2010 5:04 pm
- 0
- 0
-
-
-
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี) รอบกวน version 2007 ครับ ขอบคุณครับ montri.st@gmail.com โดย Coin Flipper อังคาร ก.ค. 07, 2009 10:50 pm
- 0
- 0
-
-
-
รบกวนอีกแล้ว ขอ version 2007 ครับ ขอบคุณมากครับ montrisit@gmail.com โดย Coin Flipper อังคาร เม.ย. 21, 2009 3:42 pm
- 0
- 0
-
-
- 0
- 0
-
-
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี) รบกวนด้้วยครับ V 2007 montri.st@gmail.com ขอบพระคุณครับ โดย Coin Flipper จันทร์ ธ.ค. 15, 2008 9:45 am
- 0
- 0
-
-
-
รบกวนพี่อีกแล้ว รบกวนด้วยครับ Version 2007 montri.st@gmail.com ขอบพระคุณอย่างสูง โดย Coin Flipper พฤหัสฯ. ต.ค. 23, 2008 8:11 pm
- 0
- 0
-
-
- 0
- 0
-
-
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี) ขอ file 2007 ครับ montri.st@gmail.com ขอบคุณมากครับ โดย Coin Flipper พฤหัสฯ. ก.ค. 24, 2008 9:18 pm
- 0
- 0
-
-
-
ว่าด้วยเรื่อง Five Force Model คนโหลตตั้ง 20 คน แต่คนให้เหตุผลมี Sattaya คนเดียวเอง :cry: :cry: ว่า แล้วเราสามารถนำ Five Force Model มาประยุคใช้กับ ตัวธุรกิจเองได้หรือไม่ครับ เช่น 7-11 ทำไมถึงน่าสนใจ เพราะ 1. การเข้ามาของคู่แข่ง ทำได้ หรือ ไม่ ??? 2. อำนาจต่อรองของ ผู้ขาย มีมากหรือไม่ ??? 3. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ มีมากหรือไม่ ??? เป็นต้น (ข้ออื่นจำไม่ได้ล่ะ ) ลองเอา Five Forces มาวิเคราะห์กับ 7-11 ดู ( เขียนถูกแล้วนะครับครู อย่าตีผมนะ) 1. Rival competition ขนาดของกิจการคู่แข่งเล็กเกินกว่าจะสู้ 7-11ได้ เช่นพวก Family mart, 108 shop ดังนั้นการแข่งขันจึงไม่รุนแรง ไม่เหมือนกับพวกมือถือ ถึงผู้เล่นน้อยก็จริง แต่ขนาดของบริษัทพอฟัดพอเหวี่ยงกันได้ พวก makro big-c ก็ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง เพราะคนล่ะ position กัน 2. Potential to entry รายใหม่เข้ามาได้ยาก เพราะช่องทางการจัดจำหน่าย 7-11 กระจายไปทั่ว แม้บางที่ 7 จะตั้งห่างกันแค่ไม่กี่เมตร 7 ก็ยังเปิดติดกัน แม้จะทำให้เกิด Cannibalization แต่ขู่แข่งก็ไม่สามารถมาเปิดแข่งได้ 3. Subtitute product สินค้าทดแทนยังไม่เห็นจะมี การซื้อผ่านเน็ต หรือ ซื้อทางโทรศัพท์ ก็ยังมาทดแทนไม่ได้ ด้วยวิถีชีวิตของคนไทย ถึงมาทดแทน 7-11 ก็สามารถทำได้ ซึ่งก็ทำอยู่ 4. Power of buyer ในเมื่อ 7 อาศัยทำเลที่ตั้งเป็นจุดแข็ง ผู้ซื้อก็ต้องยอมจ่ายเงิน ซื้อของที่แพงกว่า whole sale ทั่วไป เพราะสะดวก และในยุคน้ำมันแพง จะนั่งรถไปซื้อไกลๆ ก็ไม่คุ้ม 5. Power of supplier ผู้ผลิตทุกรายย่อมอยากมาฝากขายกับ 7 สินค้าบางประเภทต้องทำสัญญากับ 7 เลยทีเดียว เช่น ไอติม เครื่องใช้ และ CP ก็มีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเองเยอะ เช่นพวกของกิน การจัดร้านจึงมักเอาของ housebrand มาวางไว้ตำแหน่งที่ดีกว่า เช่น หน้า counter เพื่อเพิ่มมาจิน ทำให้การต่อลองของ supplier มีน้อย อ่าววิเคราะห์มามีแต่ข้อดีหมดซะงั้น :shock: ไม่ได้เชียซื้อหุ้น 7-11 นะ แค่วิเคราะห์ตามความคิดส่วนตัว โดย Coin Flipper ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 12:36 am
- 0
- 0
-
-
-
เพื่อนๆ พี่ๆ ใช้โบรกเกอร์อะไรกันอยู่ครับ ตอบ 1. กิมเอ็งครับ เทรดผ่านเน็ต คอมก็ถูก มาร์ก็ไม่โทรมารำคาญใจ ขั้นต่ำก็ไม่มี ข้อมูลก็ให้ครบถ้วน 2. ธนาคารมีที่กล่าวมาจะมี บริษัทย่อยเป็นบริษัทหลักทรัพย์ เช่น บล.กสิกร แต่บล. จะแยกออกจากธนาคาร เวลาซื้อหุ้นก็เหมือนโบรกเกอร์ทั่วไป ผ่านมาร์หรือผ่านเน็ต แต่ไม่ใช่ไปซื้อหุ้นที่ธนาคารนะ 3. เข้าไปที่เวปโบรกเกอร์นั้นๆ ได้เลย ถ้าเทรดน้อย แนะนำ กิมเอ็ง กับ ซิมิโก้ เพราะไม่มีขั้นต่ำ แต่ทั้ง 2 โบรกนี้ไม่ได้ใช้หน้าจอเทรดของ settrade นะ เข้าไปดูเปรียบเทียบแต่ละโบรกได้ตามลิงค์ http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/StaticPage/OpenAccount/compare_member.html ลิงค์ของแต่ละโบรก http://www.settrade.com/brokerpage/IPO/StaticPage/Link/web5.html โดย Coin Flipper พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 11:33 pm
- 0
- 0
-
-
-
นับหนึ่งเมื่อเริ่ม 40 ถึงคุณ coin flipper ครับผม เข้าใจว่าเรียนทางด้านการเงินแน่นอน เพราะมีความรู้จริงๆ ผมกลับมองว่า equity premium puzzle เป็นสิ่งที่มีมานานและ เป็นที่พิสูจน์แล้วนะครับว่า ถ้าลงทุนติดต่อกันนานเกินกว่า 10 ปีขึ้นไป การลงทุนในหุ้น ให้ผลตอบแทนสูงสุด เมื่อเทียบกับเงินสด หรือ bonds แม้แต่ใช้ risk adjusted แล้ว ดังนั้นผมคิดว่าการที่จะลงทุนในหุ้นต่อให้เป็น 100 % ก็ได้ครับ แต่ต้องมั่นใจว่า เป็นการลงทุนแบบทบต้นที่นานพอ ผมไม่ได้เรียนการเงินครับ แต่อาศัยอ่านหนังสือเยอะ ผมรู้ทฤษฏีเยอะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ทำตามเท่าไรหรอก ผมเห็นด้วยกับพี่ sunrise ตัวผมมีเงินเท่าไรก็ลงหุ้นหมด อาจเป็นเพราะความชอบส่วนตัวด้วยครับ แต่ยากขยายความนิดนึงเดี๋ยว จขกท จะเข้าใจผิดแล้วอาจหมดเนื้อหมดตัวได้ ที่บอกว่าผลตอบแทนสูงสุดเมื่อกับแบบอื่น คือผลตอบแทนของดัชนีทั้งตลาดนะ หรือดัชนี SET นั่นแหละ (ทางทฤษฎีกลุ่มหลักทรัพย์ตลาดเป็นกลุ่มที่ดีที่สุด) ถ้าอยากได้ผลตอบแทนเหมือนตลาด ก็ต้องกระจายการลงทุนให้ใกล้เคียงตลาดนะครับ หรือซื้อ TDEX ก็ได้ ถ้าถือแค่สอง-สามตัว แล้วเลือกผิดตัว แม้จะ 10 ปีก็อาจขาดทุนได้ ปล. ทฤษฎีก็คือทฤษฎี อย่าไปเชื่อมาก แต่ก็ควรรู้เป็นพื้นฐาน สุดท้ายแล้วจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่การประยุกต์ของตัวเรา ไม่ใช่ในตำรา โดย Coin Flipper พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 11:16 pm
- 0
- 0
-
-
-
นับหนึ่งเมื่อเริ่ม 40 ขอเกรินก่อนว่าผมก็ไม่ได้เป็น VI เต็มตัว เรื่องแนว VI เดี๋ยวให้เซียนในบอร์ดช่วยล่ะกัน แต่ผมจะขอจัดพอร์ทให้พี่คร่าวๆ จากที่อ่าน profile ของพี่ ผมพอสรุปได้ว่า อายุ 40 ทำงานประจำ (เดาเอา เพราะบอกว่าจะเกษียณ) ถ้าทำงานประจำ ควรลงทุนพวกกองทุน LTF RMF ด้วย เพราะช่วยประหยัดภาษี อายุเท่านี้ มีเงินเก็บเหลือขนาดนี้ คงได้เงินเดือนเยอะ ถ้าภาษีอยู่ขั้น 30% ส่วนที่เอาไปลงกองทุนก็เหมือนกับได้กำไรแล้ว 30% ดังนั้นก็ลงทั้งสองกองให้หมด 1 ล้านต่อปีไปเลย คุ้มสุดๆ กองทุนเดี๋ยวนี้เก่งๆก็เยอะ ชนะตลาดทุกปี เงิน 10 ล้านไม่ควรลงทุนในหุ้นหมด เพราะอายุ 40 โอกาสแก้ตัวมีน้อย ถึงจะเป็นเงินเย็นก็เหอะ แต่ถ้าเงินส่วนนี้หายไปจะมีผลต่อชีวิตหลังเกษียณมาก ตอนนี้อยากให้แบ่งลงทุนในหุ้นแค่ 10 % ก็พออย่าให้เกิน เมื่อสะสมความรู้ในหุ้นแล้ว ค่อยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนไปเรื่อยๆ ตามความมั่นใจ และความรู้ที่เพิ่มขึ้น เป็น 20 30 40 แล้วแต่ แต่ยังไงก็ไม่อยากให้ลงในหุ้น 100% ขนาด VI เก่งๆยังพลาดได้ ถ้าเกิดเหตุการไม่คาดคิด ซึ่งอาจเป็นไปได้น้อย แต่ก็ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง สุดท้ายอยากฝากว่า ผลตอบแทนของ port จะขึ้นกับการเลือก ชนิด ของหลักทรัพย์ มากกว่า การเลือกหลักทรัพย์ว่าจะลงตัวไหน โดย Coin Flipper พุธ มิ.ย. 04, 2008 1:54 am
- 0
- 0
-
-
-
ตลาดหุ้น ปิดที่ xxx จุด หมายถึง ?? ดัชนีไทย คิดโดยใช้ 30 เมษายน 2518 เป็นปีฐาน ซึ่งวันที่เปิดตลาดเปิดวันแรก มีค่าดัชนี 100 จุด ดัชนีตลาด = (มูลค่าตลาด ณ ปัจจุบัน *100)/มูลค่าตลาด ณ วันฐาน แต่ถ้ามีหุ้นเพิ่มเข้ามาใหม่ วันที่หุ้นตัวนั้นเข้าก็จะเป็นวันฐานของตัวนั้นด้วย โดย Coin Flipper พุธ มิ.ย. 04, 2008 1:16 am
- 0
- 0
-
-
- 0
- 0
-
-
การสร้าง port การลงทุน ทำอย่างไรดีครับ ??? การสร้าง port ต้องเริ่มจากการแบ่งสินทรัพย์ว่าจะจัดสรรลงไปในหลักทรัพย์ไหนเท่าไร (Asset Allocation) เช่น หุ้น 60 เงินสด 10 ตราสารหนี้ 30 หรือถ้าถนัดหุ้น ก็ลงหุ้น 100 เลยก็ได้ ขึ้นกับ ผลตอบแทน ,ความเสี่ยง และความชอบส่วนตัวของเรา เมื่อแบ่งแล้วก็เลือกว่าหลักทรัพย์ประเภทนั้นๆ จะลงที่ตัวไหน ( Asset Selection) เช่น หุ้นก็จะลง PTTEP 50% BANPU 50% ส่วนการวัดผลตอบแทน ถ้ามีเงินเพิ่มมาเรื่อยๆ วิธีที่ดีที่สุดคือการวัดผลตอบแทนแบบกองทุน เช่น เงินทุนเริ่มแรก 1แสน แบ่งเป็น par ละ 100 บาท ก็จะได้ 1000 par เมื่อมีเงินมาเพิ่ม ก็จะซื้อที่ราคา NAV ของกองทุนในขณะนั้น (คิดโดยการ mark to market) เช่นถ้า หุ้น PTTEP มูลค่าคงที่ BANPU มูลค่าเพิ่ม 20% เมื่อคิด NAV ก็จะได้ 110 ถ้าเอาเงินมาลงทุนเพิ่ม ก็เหมือนเอาเงินมาซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่ราคา 110 ดังนั้นเงินที่เอามาลงใหม่ จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของ port เปลี่ยนแปลงไป เมื่อสิ้นปีอยากรู้ว่าผลตอบแทนทั้งปีเท่าไร ก็เอาคิดจาก NAV ได้เลย (NAVปลาย - NAV ต้น)/NAVต้น ส่วนตารางลองขอที่ link นี้ล่ะกัน ส่วนตัวไม่ได้ทำ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=2492&highlight=%CB%D2%BC%C5%B5%CD%BA%E1%B7%B9 โดย Coin Flipper อังคาร มิ.ย. 03, 2008 1:17 am
- 0
- 0
-
-
-
วิเคราะห์ Five Forces ของ Porter ถ้าขาดข้อใดไปข้อนึง Model นี้เป็น model ที่ผมชอบมาก มันเหมือนการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ แต่ที่จริงแล้วมันมาเกี่ยวโยงกับการวิเคราะห์เชิงปริมาณ อย่างอัศจรรย์ ลองดูสมการง่ายๆ กำไร = ( ราคาขายต่อหน่วย - ต้นทุนต่อหน่วย) X จำนวนที่ขายได้ แล้วมาเชื่อมโยงกับ Five Force 1. Rival competition ทำให้ราคาขายลดลง ต้นทุนสูงขึ้น 2. Barrier to entry ทำให้ราคาขายลดลง จำนวนขายลดลง 3. Subtitute product จำนวนขายลดลง ราคาขายลดลง 4. Power of buyer ราคาขายลดลง 5. Power of supplier ต้นทุนต่อหน่วยเพิ่มขึ้น จะเห็นว่าถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งก็จะทำให้กำไรลดลงหมด แต่ถ้าจะหาบริษัทที่สมบูรณ์ทั้ง 5 ด้านเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องหาบริษัทที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทำให้ได้กำไรมากที่สุด โดย Coin Flipper จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 2:33 am
- 0
- 0
-
-
-
ปกติเพื่อนๆพี่ๆ นับเงินสดเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตด้วยรึป่าวครับ ถ้าเงิน 1 แสนแยกออกมาเพื่อใช้ลงทุนเลย ก็ต้องเอามาคิดรวมด้วย เพราะถือเป็นพอร์ทการลงทุนของเรา แต่ถ้า 1แสน ไม่ได้แบ่งเงินมาลงทุนแน่นอน เช่น ซื้อหุ้น 70 เหลือ 30 เอาไปจ่ายค่าเช่าหอ พอหาเงินมาได้ใหม่ก็มาซื้อหุ้น (คือพอร์ทหุ้น กับบัญชีส่วนตัวไม่ได้แยกออกจากกัน) ก็ไม่ควรเอาเงินสดมาคิด แต่แบบหลังจะคิดผลตอบแทนลำบากหน่อย อาจคิดเหมือนกองทุนรวมก็ได้ คิดเป็นมูลค่า NAV ตามอ่านต่อได้ใน http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=2492&highlight=%CB%D2%BC%C5%B5%CD%BA%E1%B7%B9 โดย Coin Flipper จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 2:09 am
- 0
- 0
-
-
-
ถ้ามีเงิน1ล้านบาทและคิดจะเข้าลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้ามี glow อีกตัวนา โดย Coin Flipper จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 1:56 am
- 0
- 0
-
-
-
พอร์ตการลงทุนคืออะไรครับ อ่านคำถามแล้วก็ยังงงงง แต่ที่คุณ Pallas ตอบก็น่าจะเคลียร์นะ ผมมาตอบเรื่องหนังสือล่ะกัน แนะนำ "การวิเคราะห์งบการเงิน" เป็นหนังสือที่ใช้ในการสอบ CISA level 1 ของสถาบัน TSI อาจจะวิชาการหน่อย แต่หนังสือเล่มเดียวครอบคลุมทุกอย่าง อ่านได้ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึง ขั้นสูง ราคา 400 บาท โดย Coin Flipper จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 1:51 am
- 0
- 0
-
-
-
ข้อมูลผลตอบแทนเฉลี่ยของ set index ในแต่ละปีหาดูที่ไหนได้ครับ ดัชนี SET, SET50, SET100 ตามนี้ http://www.set.or.th/setresearch/files/frs/Table_Index.xls?date=1975 ดัชนี SET TRI ตามนี้ http://www.set.or.th/set/fetchfile.do?filename=roi/market.xls วิธีหาผลตอบแทนใช้สูตร (ดัชนีใหม่ - ดัชนีเก่า)/ดัชนีเก่า สามารถผูกสูตรใน excel ได้เลย ปล. SET TRI คือไร ไปตามอ่านได้ใน http://www.set.or.th/th/products/index/tri_p1.html โดย Coin Flipper จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 1:42 am
- 0
- 0
-
-
-
การหา PE ของหุ้น ในช่วงกลางปี... อย่างที่คุณ Pallas บอกถูกต้องแล้วครับ การเอา PE เพื่อไปหา มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ต้องใช้ Leading PE เท่านั้น ย้ำต้องใช้ PE ในอนาคตเท่านั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะทำกันแบบนี้ สมมติอยู่ Q3 จะใช้ PE ของปีหน้าเลย ในการหาราคาที่เหมาะสม ห้ามใช้ EPS คูณ 4 เด็ดขาด โดย Coin Flipper จันทร์ มิ.ย. 02, 2008 1:30 am
- 0
- 0
-
-
-
คุณลูกอีสาน พูดถึงการข้ามชนชั้น โดนใจ แต่ไปไม่ถูก การลงทุนเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วครับ แต่การลงทุนไม่จำเป็นต้องในหุ้นเท่านั้น ผมอยากให้ลองมองอีกมุมนึง ถ้าคุณหาความรู้ในวิชาชีพตัวเอง พยายามทำผลงานจนเลื่อนขั้น หรือเปลี่ยนงานเพื่อเงินเดือนมากขึ้น ก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนมากทีเดียว จากที่คุณบอกเงินเดือน 5000 ถ้าคุณสามารถทำให้เงินเดือนเป็น 6000 ก็จะได้ปีล่ะ 12000 บาท สมมติถ้าพอร์ทขนาด 20000 การที่เพิ่มเงินเดือน 12000 เปรียบเสมือนได้ผลตอบแทน 60% เลยน่ะ แค่อยากให้พัฒนาตัวเองในงานที่ทำ อย่าทุ่มเวลาทั้งหมดกับการเล่นหุ้น ที่คุณเห็นเป็นส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน แต่ยังไงก็เริ่มศึกษาหาความรู้ในหุ้นไว้ เพราะผมเชื่อว่า เล่นหุ้นแบบเน้นคุณค่า ระยะยาวยังไงก็ได้กำไร ยังไงก็ขอให้ประสบความสำเร็จครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีความฝันเหมือนคุณ ฝันให้ไกลถึงดวงจันทร์ ถ้าพลาดพลั้งก็ยังอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ป.ล. อ่าวไม่ได้ตอบคำถามเลยนี่หว่า ออกทะเลซะงั้น โดย Coin Flipper พฤหัสฯ. พ.ค. 29, 2008 4:13 am
- 0
- 0
-
-
- 0
- 0
-
- 0
- 0
-
-
ซื้อกองทุน FIF 2เด้ง เห็นๆ? ค่า management เก็บต่อเดียวครับ ที่เห็นก็ประมาณ 1.5-2% (จะแพงได้ไงเล่นไปซื้อกองทุนอีกต่อทั้งดุ้น ไม่เห็นต้องทำไร) แต่ค่าธรรมเนียมการขายหน่วยลงทุน (Front-end Free) แพงกว่าทั่วไปเยอะ ประมาณ 1.5-2% จะซื้อต้องดูความเสี่ยงเรื่องค่าเงินด้วยน่ะ กองทุนพวกนี้ซื้อขายเป็นเงิน USD โดย Coin Flipper อังคาร พ.ค. 13, 2008 3:39 am
- 0
- 0
-
-
- 0
- 0
-
-
ช่วยแนะวิธีการ ให้ ค่า P/E กับหุ้นหน่อยครับ เอาแบบง่ายๆ P/E ที่ใช้มาเปรียบเทียบ (Benchmark) ส่วนใหญ่ที่นิยมกันก็มี P/E ตลาด, P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรม, P/E ของหมวด แต่ค่าที่ใช้จริงจะปรับลด ปรับเพิ่มเท่าไหร่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ล่ะคนละครับ ขนาด research paper ของนักวิเคราะห์ ยังไม่บอกเหตุผลที่มาของค่า P/E เลย (เดี๋ยวจะรู้ว่ามั่ว 555) โดย Coin Flipper ศุกร์ พ.ค. 09, 2008 1:47 am
- 0
- 0
-
-
- 0
- 0
-
- 0
- 0
-
-
อายุ 18 ครับ รบกวนขอคำแนะนำพี่ๆนิดนึงครับ โอ้ว อายุยังน้อย แต่หาความรู้ใส่ตัวมากมาย ดีจัง ตอนพี่อายุเท่าน้องอย่าว่าแต่ลงทุน เก็บเงินยังไม่เป็นเลย พี่ยังไม่อยากให้รีบ ถึงเงินจะแค่ไม่กี่พัน แต่ก็เป็นเงินเก็บทั้งหมดของเรา แนะนำให้เล่นหุ้นจำลองก่อน ตอนนี้มีแข่ง click 2 Win ลองไปฝีกฝีมือก่อน ตอนนี้เปิดรับสมัครอยู่ ชนะมีเงินรางวัลด้วย ไว้เอามาต่อยอดที่สนามจริง http://click2win.settrade.com/SETClick2WIN/index.jsp พยายามหาความรู้ใส่ตัวไว้ให้มากที่สุด โดย Coin Flipper อังคาร เม.ย. 29, 2008 11:19 pm
- 0
- 0
-
-
-
operation lease กับ finnanal lease ทั้งคู่เป็นสัญญาเช่าระยะยาว มีภาระผูกผันทั้งคู่ จะยกตัวอย่างให้เข้าใจ สมมติบริษัทจะซื้อรถ กรณี Financial Lease - ซื้อรถยนต์เงินผ่อน รถจะเป็นของเรา ดังนั้นในงบดุล ข้างซ้ายจะมีรถ ข้างขวาจะมีหนี้ เมื่อมีสินทรัพย์ก็จะมีค่าเสื่อม มีหนี้สินก็จะมีดอกเบี้ย กรณี Operation Lease - เช่ารถ รถไม่ใช่ของเรา ดังนั้นในสินทรัพย์จะไม่บันทึก หนี้สินก็จะไม่มี แต่จะมีค่าเช่าที่บันทึกในงบกำไรขาดทุน เวลาวิเคราะห์ต้องดูดีๆ เช่นในบริษัทนกแอร์ เช่าเครื่องบินมาจากการบินไทย เครื่องบินเป็นพันๆล้าน หนี้สินก็ต้องเพิ่มอีกหลายพันล้าน แต่ในงบดุลกับไม่มีบันทึก จะเกิดปัญหาเวลาคิด financial Ratio เช่น Asset Turnover, ROA, D/E ค่าจะออกมาดูดี ดังนั้นต้องเอาพวกนอกงบดุลมารวมด้วยก่อนคิด โดย Coin Flipper อังคาร เม.ย. 29, 2008 11:10 pm
- 0
- 0
-
-
-
ตลาดหุ้นขาดประสิทธิภาพ มากน้อยแค่ไหน? ปู่บัฟเคยพูดว่า "ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพจริง ป่านี้ผมคงเป็นขอทานไปแล้ว" :lol: :lol: โดย Coin Flipper อาทิตย์ เม.ย. 27, 2008 3:33 pm
- 0
- 0
-
-
- 0
- 0
-
-
ตลาดหุ้นขาดประสิทธิภาพ มากน้อยแค่ไหน? ไม่ต้องห่วงหรอก ขนาดตลาดที่พัฒนาแล้ว อย่างอเมริกา ตลาดยังมีประสิทธิภาพค่อนไปทาง Semi-Strong form เอง ส่วนพี่ไทยไม่ต้องพูดถึง บทวิจัยหลายอันยังเป็น Weak form อยู่เลย ดังนั้นตามทฤษฎี Fundamental Analysis ยังหากำไรเกินปกติได้ โดย Coin Flipper อาทิตย์ เม.ย. 27, 2008 1:00 am
- 0
- 0
-