หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
srikamneard
Joined: พุธ ก.พ. 20, 2008 9:27 pm
58
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - srikamneard
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: แจก EPS16YEAR (งบดุล,ราคา,19ปี,Ratio ต่างๆ,แบบเครดิตภาษี
รบกวนด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้ามากๆ ค่ะ
[email protected]
โดย
srikamneard
อาทิตย์ เม.ย. 01, 2012 3:40 am
0
0
Re: แจ้งข่าว มารดา ของ ดร.นิเวศน์ เสียชีวิต ครับ
ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ และขอให้คุณแม่ไปสู่สุขคตินะคะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ มี.ค. 25, 2012 11:44 am
0
0
Re: แจก work sheet excel สำหรับ คำนวณเครดิตภาษีปันผล
รบกวนสอบถามนะคะ (2)เงินปันผลที่ไม่ได้รับเครดิตภาษี เนื่องจาก (2.1) ได้บีโอไอ (2.2) ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ข้อ (2.1) (2.2) นี่ ใส่ในช่อง 0% หรือว่า ไม่ต้องนำมาคำนวณเลยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ ก.พ. 19, 2012 3:06 pm
0
0
Re: อยาก หา VI ใกล้บ้านครับ เผื่อจะได้แลกเปลี่ยนความรู้แล้วค
FB คือ Facebook ค่ะ มีกระดานให้โพสต์ข้อความรวมทั้งรูป และแชทสดคุยก็ได้ค่ะ ส่งข้อความส่วนตัวระหว่างกันก็ได้ แชร์ลิงค์ก็ได้ด้วยค่ะ สนใจก็สมัครนะคะ
โดย
srikamneard
พุธ มิ.ย. 29, 2011 10:23 pm
0
0
Re: รบกวนพี่ๆแชร์ประสบการณ์จากพอร์ต 1 แสน เป็น 1 ล้านนิดนึงค
เอาบทสัมภาษณ์มาฝากค่ะ http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20110608/394435/เซียนหุ้นอัจฉริยะ-สถาพร-งามเรืองพงศ์.html
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2011 5:55 pm
0
0
Re: โรงเรียนการลงทุนฟรีๆ khanacademy
ขอบคุณที่มาแบ่งปันนะคะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ พ.ค. 08, 2011 3:49 pm
0
0
Re: ช่องทางใหม่การเพิ่มผลตอบแทนกับธุรกรรมการให้ยืมหลักทรั
เท่าที่ทราบ เราในฐานะเจ้าของหุ้นยังมีหุ้นอยู่เหมือนเดิม (แต่มีคนยืมไป) และยังได้เงินปันผลตามปกติ โดยได้ค่าตอบแทนเพิ่มจากคนที่ยืม (ตามเอกสารบอกว่า 3.5%) ความเสี่ยงน่าจะอยู่ที่คนยืม เนื่องจากเค้ายืมไปหา Capital gian นะคะ ถ้าราคาไม่เป็นไปตามที่เค้าคาด เค้าก็ต้องรับภาระไป เพราะต้องเอาหุ้นมาคืนเราให้ครบจำนวนที่ยืมไป เข้าใจว่าคนที่จะให้ยืมได้นี่ ต้องเป็นนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการรับปันผลนะคะ อ้อ ไม่แน่ใจเรื่องระยะเวลาในการยืมค่ะ ข้อความซ้ำซ้อน -- NoiSNC
โดย
srikamneard
อาทิตย์ มี.ค. 27, 2011 4:32 pm
0
0
Re: ช่องทางใหม่การเพิ่มผลตอบแทนกับธุรกรรมการให้ยืมหลักทรั
เท่าที่ทราบ เราในฐานะเจ้าของหุ้นยังมีหุ้นอยู่เหมือนเดิม (แต่มีคนยืมไป) และยังได้เงินปันผลตามปกติ โดยได้ค่าตอบแทนเพิ่มจากคนที่ยืม (ตามเอกสารบอกว่า 3.5%) ความเสี่ยงน่าจะอยู่ที่คนยืม เนื่องจากเค้ายืมไปหา Capital gian นะคะ ถ้าราคาไม่เป็นไปตามที่เค้าคาด เค้าก็ต้องรับภาระไป เพราะต้องเอาหุ้นมาคืนเราให้ครบจำนวนที่ยืมไป เข้าใจว่าคนที่จะให้ยืมได้นี่ ต้องเป็นนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการรับปันผลนะคะ อ้อ ไม่แน่ใจเรื่องระยะเวลาในการยืมค่ะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ มี.ค. 27, 2011 4:32 pm
0
0
Re: เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
ขอจองหนึ่งที่ด้วยค่ะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ ธ.ค. 05, 2010 12:33 am
0
0
Re: หุ้น NINE นี่ทำบริษัทอะไรเหรอ น่าลงทุนไหม
หลังไมค์ค่ะ
โดย
srikamneard
พุธ พ.ย. 24, 2010 3:08 am
0
0
มีใครเล่น facebook มั่งครับ ผมขอ add เป็นเพื่อนหน่อยครับ
เข้าไปที่นี่สิคะ เพื่อนเยอะมาก "มั่นใจนักลงทุนไทย ต้องการ Save MoneyTalk" มีสมาชิกอยู่ 1200 คนค่ะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ พ.ย. 14, 2010 1:14 pm
0
0
แจก work sheet excel สำหรับ คำนวณเครดิตภาษีปันผล
รบกวนด้วยคนค่ะ
[email protected]
โดย
srikamneard
อาทิตย์ พ.ย. 14, 2010 12:22 pm
0
0
Margin กับบัตรเครดิต
คุณ teeruk อย่าเพิ่งรู้สึกไม่ดีนะคะ ที่จริง สิ่งที่คุณคิดและทำก็คือ มาแนะนำทางเลือกให้เพื่อนๆ ในเว็บ หรือว่ามาแชร์ข้อมูล เพื่อนก็ทำในสิ่งเดียวกัน คือ แชร์ข้อมูลให้ทราบว่า ทางเลือกนี้มีรายละเอียดอย่างไร ไม่ได้แปลว่า การแนะนำ หรือคำแนะนำไม่ดีนะคะ เพียงแต่ทางเลือกทุกทางเลือกย่อมมีข้อจำกัด ซึ่งควรต้องรู้ไว้ก่อนจะใช้ เท่านั้นเอง ดอกเบี้ยยี่สิบสองเปอร์เซ็นต์ก็ใช้ได้ค่ะ ถ้าเราคิดว่าเราเจอหุ้นหนึ่งเด้ง หรือคิดว่า กำไรแน่ๆ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ข้อจำกัด คือ เวลา ค่ะ หุ้นที่ดีของเรา อาจต้องรอเวลาให้ตลาดมารับรู้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แค่นั้นเองค่ะ ที่ทำให้มันมีข้อจำกัดซึ่งกลายเป็นความเสี่ยง คำแนะนำและการแชร์ข้อมูลเป็นสิ่งที่ดีเสมอค่ะ และเมื่อแบ่งปันกันไปมา ทุกคนก็จะได้ข้อมูลและความรู้เพิ่มขึ้น จริงไหมคะ ขอบคุณที่มาแชร์ข้อมูลนะคะ
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. ต.ค. 21, 2010 1:20 am
0
0
เปิดเรียน วิธีอ่านและวิเคราะห์งบการเงินสำหรับนักลงทุน
จองหนี่งที่ด้วยคนนะคะ
[email protected]
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. ต.ค. 21, 2010 1:03 am
0
0
ในห้อง "มือใหม่หัดลงทุน" ไม่มีใครตอบผมสักคนเลย
คุณ yyo_oyy ใช่แล่มนี่้คะ มีแปลภาษาไทยด้วยนะคะ ชื่อ บุรุษผู้มั่งคั่งแห่งบาบิโลน แต่จำชื่อคนแปลไม่ได้ หนังสือดีมากๆๆๆ เลยค่ะ (แต่ไม่เกี่ยวกับงบการเงินนะคะ) ที่จริงเป็นหนังสือที่เขียนในยุคปัจจุบันนี่แหละค่ะ แต่เขียนเป็นนิยายสั้นแนวพีเรียด คือ ย้อนเวลาไปในสมัยที่บาบิโลนเป็นนครที่มั่งคั่ง ตัวเดินเรื่องเป็นคนจน อยากมีเงิน ก็เลยไปถามเศรษฐีที่รวยที่สุดในบาบิโลน ก็ได้คำตอบมาหนึ่งประโยคที่เซอร์ไพรซ์มากๆ ว่า มีแค่นี้เองเหรอ ภาคสุดท้าย เล่าเรื่องประมาณว่า คนยุคปัจจุบันที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวไปเจอแผ่นศิลาจารึกของยุคบาบิโลนที่แนะนำวิธีการวางแผนทางการเงิน และลองนำมาใช้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า แนวคิดในอดีตกาลนานโพ้นน้้นสามารถนำมาใช้ได้ในปัจจุบันด้วย เป็นหนังสือที่ powerful มากค่ะ เล่มเล็ก บางๆ แนะนำให้ทุกคนอ่านค่ะ
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. ต.ค. 21, 2010 12:58 am
0
0
Margin กับบัตรเครดิต
มาแชร์ข้อมูลค่ะ อ้ตราดอกเบี้ยเป็น Flat rate ค่ะ หมายความว่า ไม่ว่าจะผ่อนไปเท่าไหร่ ต้นลดลงไปเท่าไหร่ เค้าจะคิดดอกเบี้ยที่เงินต้นที่กู้ยอดแรกตลอดเวลา เหมือนไฟแนนซ์รถยนต์ตามเต้นท์ค่ะ ไม่เหมือนบัตรเครดิตนะคะที่ลดต้นลดดอก สินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนใหญ่ก็ flat rate นะคะ pay lite ก็เหมือนกันค่ะ แต่เวลาโทรมาขายเราจะหรอกว่า ดอกเบี้ยถูกกว่าบัตรเครดิตอีกนะ บัตรเครดิต 1.67% ตัวนี้ไม่ถึงบาท แต่ที่จริงแล้ว ดอกเบี้ย flat rate เอามาเทียบกับดอกเบี้ยลดต้นลดดอกไม่ได้ค่ะ ถ้าเอาแบบคิดง่าย Flat rate เท่าไหร่ คูณ 1.8 จะเท่ากับอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก ถ้าเอาคร่าวๆ คูณสองก็ได้ค่ะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ ต.ค. 17, 2010 1:34 am
0
0
จองหนังสือค่ะ
ขอจอง "กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า" และ "กุญแจ 5 ดอกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า" อย่างละหนึ่งเล่มค่ะ
[email protected]
โดย
srikamneard
อาทิตย์ ต.ค. 03, 2010 9:09 pm
0
0
เอาลิงค์งบการเงินมากฝากสำหรับมือใหม่ค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------- http://www.tsi-thailand.org/ProfessionalEdu_2/1_Marketing/Fund_Preview.pdf หมายถึงอันนี้เปล่าคับ มันลิงค์ขาดอ่ะครับ เอ๋ ขาดเหรอคะ วันก่อน ยังเข้าได้อยู่เลยค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ อันนี้เป็นสารบัญค่ะ ว่ามีกี่บท บทที่ว่าด้วยงบการเงินคือบทที่สาม เป็นลิงค์ที่สองน่ะค่ะ เป็นไฟล์PDF ให้ดาวน์๋โหลด เห็นว่าอ่านเข้าใจง่าย ก็เลยเอามาฝากค่ะ[/quote]
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. ก.ย. 23, 2010 12:10 am
0
0
MONEY TALK - สอนลูกเรื่องเงิน
เอ๋ งั้นคงทำเองไม่ได้แล้วค่ะ ตอนแรกนึกว่าอัดจากเว็บที่ดูทางออนไลน์น่ะค่ะ ( เพราะเคยเจอเว็บดูรายการย้อนหลัง มี่ชื่อช่อง money channel แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอ ) ขอบคุณมากนะค สำหรับการแบ่งปัน
โดย
srikamneard
จันทร์ ก.ย. 20, 2010 11:54 pm
0
0
MONEY TALK - สอนลูกเรื่องเงิน
อยากทราบว่า คุณ SORAYUT อัดคลิปด้วยวิธีไหนเหรอคะ เผื่อจะได้ช่วยทำบ้าง ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
โดย
srikamneard
จันทร์ ก.ย. 20, 2010 11:22 pm
0
0
หนังสือหรือวีซีดีการวิเคราะห์งบการเงิน อ.วรศักดิ์ อ.มนตรี
เอาคลิปเก่า ของ อ.วรศักดิ์ไปดูก่อนแล้วกันนะคะ คุณ .way. เคยโพสต์ไว้ในเว็บนี้ค่ะ ลิงค์ข้างล่างนะคะ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=43979&highlight=%C7%C3%C8%D1%A1%B4%D4%EC
โดย
srikamneard
เสาร์ ก.ย. 18, 2010 9:43 pm
0
0
ข้อมูล KH
เข้าใจว่า KH ไม่รับลูกค้า 30 บาทแล้วนะคะ ทยอยยกเลิกไปหลายสาขาแล้วค่ะ ผู้บริหารคงมองว่ามาร์จิ้่นน้อย และตั้งเป้าว่า ลูกค้ากลุ่มนี้จะย้ายมาเป็นลูกค้าเงินสด (เพราะไม่อยากเปลี่ยนโรงพยาบาล - แต่จะจริงหรือเปล่ายังน่าสงสัยอยู่?)
โดย
srikamneard
พุธ ก.ย. 15, 2010 12:31 pm
0
0
จองหนี่งชุดค่ะ
จองหนี่งชุดค่ะ ขอบคุณค่ะ
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2010 3:45 pm
0
0
ลองเข้าไปดู www.thaipvd.com ค่ะ
เข้าใจว่า กำลังมีการพิจารณายกเว้นภาษีให้นะคะ รอออกกฎกระทรวง ถ้าคงเงินไว้ก่อน อาจจะทันก็ได้นะคะ รายละเอียด ตามลิงค์ไปนะคะ http://www.thaipvd.com/thaipvd_v4/th/whats_new/PvdContentTh_0420.php http://www.thaipvd.com/thaipvd_v4/th/FAQ/PvdContentTh_0152.php
โดย
srikamneard
เสาร์ ก.พ. 27, 2010 2:48 pm
0
0
รบกวนของบด้วยค่ะ
รบกวนของบด้วยค่ะ
[email protected]
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ
โดย
srikamneard
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2010 11:11 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
srikamneard
ศุกร์ มิ.ย. 05, 2009 9:41 pm
0
0
บัญชีพื้นฐานฯ รอบ 2 วันที่ 11-12 ก.ค. เปิดแล้ว
ขอจอง 1 ที่ค่ะ อีเมล์ไปแล้วค่ะ
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. มิ.ย. 04, 2009 9:23 pm
0
0
Biz Model วิเคราะห์ธุรกิจเพื่อการลงทุน (เปลี่ยนชื่อเท่าน้น)
จองหนึ่งที่ ไม่ทราบว่ายังทันไหมคะ
โดย
srikamneard
เสาร์ พ.ค. 30, 2009 4:18 pm
0
0
ถ้าสนใจหุ้นกู้จะหาข้อมูลได้จากไหนครับ
ขอบคุณครับ คุณ srikamneard รวยจังครับ จองตั้ง 10 ล้าน จริงๆผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหุ้นกู้เลยครับ เราจะรู้อัตราผลตอบแทนได้จากที่ไหนครั บแล้วมีแบบเปรียบเทียบไหมครับ ว่าหุ้นกู้ไหนให้ผลตอบแทนสูงกว่ากัน ความเสี่ยงฯลฯ เพื่อใช้ตัดสินใจในการลงทุนน่ะครับ ไม่ได้รวยค่ะ เงินของคนอื่น ขององค์กรค่ะ เราก็ไม่รู้มากนะคะ เพิ่งศึกษา ลงเข้าไปอ่านเว็บที่ให้ไว้ค่ะ จะค่อยๆ รู้มากขึ้นเอง หุ้นกู้นี่ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า coperate bond นะคะ ใช้คำเดียวกับพันธบัตรของรัฐบาลนะคะ ดังนั้น ลักษณะก็เหมือนกัน คือ เอกชนที่ออกหุ้นกู้ ก็คือ มายืมเงินเราแทนที่จะไปกู้แบงก์ (เหมือนรัฐบาลกำลังจะมายืมเงินพวกเราในอนาคตอันใกล้นี้) ทำไมเค้ามายืมเงินเรา แทนกู้แบงก์ ? เพราะถ้ากู้แบงก์ แบงก์กำหนดเงื่อนไข แต่แหม มายืมเงินเรา กลับเป็นคนกำหนดเงื่อนไขซะนี่ ! อัตราผลตอบแทน เราต้องเปรียบเทียบเองค่ะ ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับ 1) ระยะเวลา ห้าปี เจ็ดปี ว่ากันไป 2) ความเสี่ยง ซึ่งตีออกมาเป็นเรตติ้ง อย่างถ้าเราซื้อพันธบัตรนี่ เสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำ ถ้าหุ้นกู้ บริษัทใหญ่ มั่นคงมาก เรทติ้งเอ อะไรงี้ ดอกเบี้ยดีกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่ก็ไม่มาก ที่นี้ ถ้าเป็นบริษัทที่ใหญ่รองลงมา เรทติ้งต่ำกว่า ดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้น ขึ้นอยู่กับว่า เรารับได้หรือเปล่า อ้อ ที่พูดมานี้เฉพาะตลาดแรกนะคะ คือ ออกขายครั้งแรก ถ้าตลาดรอง คือ คนที่ซื้อคนแรกมาขายต่อ ก็จะคำนวณซับซ้อนขึ้นไป ยังไม่เหมาะกับมือใหม่ (รวมทั้งตัวดิฉันเองด้วยค่ะ) ลองไปอ่านในเว็บดูสักพักนะคะ แล้วมาถามใหม่ได้ค่ะ
โดย
srikamneard
อังคาร เม.ย. 28, 2009 9:54 pm
0
0
ถ้าสนใจหุ้นกู้จะหาข้อมูลได้จากไหนครับ
อย่างเช่น PTTAR ประกาศวันจอง จะเป็น 27-29 เม.ย. แต่จะเริ่มมีพิธีกรรมกันตั้งแต่ 21 เม.ย.แล้วค่ะ หมายถึงนักลงทุนจะแจ้งจองกันไปไว้ก่อน แล้วสรุปว่า ใครได้หรือไม่ได้ ได้เท่าไหร่ ก็อีกที ตัวนี้ องค์กรเราจองไปสิบล้าน ก็ได้มาครึ่งเดียวค่ะ
โดย
srikamneard
พุธ เม.ย. 22, 2009 9:33 pm
0
0
ถ้าสนใจหุ้นกู้จะหาข้อมูลได้จากไหนครับ
http://www.thaibma.or.th http://www.bex.or.th http://www.tsi-thailand.org/ ไม่ทราบว่าข้อมูลที่ต้องการเป็นไหนคะ ข้อมูลพื้นฐาน หรือข้อมูลรายตัว อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูในเว็บก็ได้ค่ะ แต่แนะนำว่า อย่าเข้าใจผิดเรื่องวันจองที่ระบุนะคะ ปกติมีพิธีกรรมก่อนหน้านั้นพอสมควร ต้องจองล่วงหน้าค่ะ ข้อมูลถ้าอยากได้ละเอียด ต้องคุยกับตัวแทนขาย หรือโบรกเกอร์ที่เป็นแบงก์ทั้งหลายค่ะ หุ้นกู้บางรายการ มีเงื่อนไขข้อจำกัดเฉพาะด้วยนะคะ
โดย
srikamneard
พุธ เม.ย. 22, 2009 9:30 pm
0
0
คิดว่าผลตอบแทนกบข.น่ะ ดีกว่ากองทุนประกันสังคมซะอีก
คิดว่าผลตอบแทนกบข.น่ะ ดีกว่ากองทุนประกันสังคมนะคะ เพราะเคยดูตัวเลขเมื่อปีก่อนๆ โน้น อีกอย่าง กบข.มีมืออาชีพบริหาร แต่ประกันสังคมให้ข้าราชการบริหาร เพียงแต่เงินกองทุนประกันสังคม เหมือนเป็นของกลาง ไม่มีเจ้าของที่แน่นอนเหมือนเงินกบข. กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เลยไม่มีคนโวยวายเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เน้นไปโวยวายเรื่องหมอ/ รพ.รักษาไม่ดี ที่จริง เรื่องการลงทุนก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องจ่ายบำเหน็จบำนาญในปี 57 ที่จะถึงนี้ ยังไม่นับว่า บางทีฝ่ายการเมืองเข้ามายุ่มย่ามด้วยค่ะ
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. มี.ค. 19, 2009 7:45 pm
0
0
เงินกู้ร้อยละ 2
เงินกู้ร้อยละ 2 ที่ว่านั้น ภาษาชาวบ้านเค้าเรียกว่า "ดอกลอย" ค่ะ แม่ค้าชอบกู้เพราะคิดว่าจ่ายถูก เพราะกู้ 5 พันบาท จ่ายแค่ร้อยเดียว แต่เค้าไม่ได้เอามาบวกกันทั้งเดือนค่ะ การกู้เงินแบบนี้ต้องมีคนค้ำประกัน แต่ส่วนใหญ่ก็ไขว้กันเองในหมู่แม่ค้า ถ้าจะหนีต้องหนีไปด้วยกันค่ะ ไม่งั้นคนค้ำก็จะเดือดร้อน ดอกเบี้ยนอกระบบแพงแบบนี้แหละค่ะ แต่ธรรมชาติของธุรกิจ จะมีการหนีหรือเบี้ยวกันอยู่ตลอดเวลา ดอกเบี้ยก็สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยง น่าสงสารก็คือ ลูกหนี้ที่ดีที่ไม่หนีจะเป็นคนที่ต้องมารับภาระแทนค่ะ ดอกเบี้ยตามกฎหมาย ถ้าจำไม่ผิด ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี นะคะ (ถ้าจำไม่ผิดอีกที คุณสุมาอี้เคยเขียนไว้ประมาณว่า ดอกเบี้ยตามกฎหมายต่ำเกินกว่าความเสี่ยงของผู้ให้กู้ กรณีที่ผู้กู้หนีไป หรืออะไรประมาณนี้แหละค่ะ)
โดย
srikamneard
จันทร์ ก.พ. 23, 2009 8:19 pm
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
srikamneard
อังคาร ม.ค. 06, 2009 2:36 pm
0
0
เอาข้อมูลมาแบ่งปันค่ะ
รู้จักตราสารหนี้ เพื่อการบริหารสหกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ พ.ต.ท. ดนุกฤต กลัมพากร* บธม. (การจัดการการเงิน) * กรรมการชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจแห่งชาติจำกัด, กรรมการทำหน้าที่ผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลตำรวจ จำกัด หลายคนคงจะยังไม่คุ้นเคยกับตราสารหนี้ ว่ามันคืออะไร ทั้งๆ ที่ตราสารหนี้เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่คณะกรรมการพัฒนาสหกรณ์แห่งชาติ ได้มีประกาศให้สหกรณ์สามารถลงทุนได้ ลองมาทำความเข้าใจกับตราสารหนี้ไว้บ้างดีไหมครับ ตราสารหนี้คืออะไร ตราสารหนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องย้อนกลับไปที่พื้นฐานว่า ไม่ว่าธุรกิจใด ๆ (รวมถึงสหกรณ์) การดำเนินธุรกิจนั้น ส่วนหนึ่ง ใช้เงินตัวเองคือเงินทุนเรือนหุ้น อีกส่วนหนึ่งก็ต้องใช้แหล่งเงินภายนอก เช่น การกู้ยืมเงิน (การรับฝากเงินก็ถือว่าเป็นการกู้ยืมเงินประเภทหนึ่ง ) สมมุติว่า ถ้าเรามีบริษัทที่ต้องบริหาร เมื่อต้องการเงินทุนเพื่อดำเนินกิจการ สิ่งที่ง่ายที่สุดคือ ไปกู้ธนาคาร แต่ง่ายที่สุด ไม่ได้แปลว่าต้นทุนต่ำที่สุด เพราะธนาคาร ก็จะตั้งดอกเบี้ยที่เขาได้กำไรพอสมควร และเราก็ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของเขา เช่น ต้องชำระคืนในกี่งวด ต้องมีหลักประกัน ต้องมีงบการเงินที่ดี หากทำไม่ได้ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ธนาคารก็จะไม่ปล่อยกู้เรา ถ้าเราเป็นบริษัทเล็ก ๆ ก็คงไม่มีทางเลือก ที่จะต้องไปกู้ธนาคาร แต่ถ้าเราเป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีชื่อเสียง ตัวอย่างเช่น บริษัทปูนซีเมนต์ไทย บริษัทการบินไทย เป็นต้น เราก็สามารถที่จะนำความน่าเชื่อถือนั้นมาช่วยลดต้นทุนโดยการ ที่จะกู้ยืมบุคคลทั่วไปแทนที่จะไปกู้ยืมธนาคาร โดยการออกตราสารหนี้ ตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนออกขาย ก็เหมือนกับตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือการกู้เงินธนาคาร เพียงแต่ผู้ขาย (หรือผู้ที่จะเป็นลูกหนี้) สามารถกำหนดเงื่อนไขเอง เช่น จะจ่ายดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี แบ่งจ่ายดอกเบี้ยกี่ครั้งต่อปี ระยะเวลาที่เป็นหนี้กี่ปี ถึงจะคืนเงินต้นให้ โดยใช้กลไกตลาดเป็นตัวตัดสินว่า ตราสารหนี้ที่เราเสนอขาย เช่น บริษัทA ต้องการหาเงินทุนในการบริหารงาน 100 ล้านบาท หากเขาไปขอกู้เงินกับธนาคาร ก็อาจต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ธนาคาร เช่น ต้องเสียดอกเบี้ย MOR หรือ 7.5% ต่อปี(อัตราสมมุติ) ต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ต้องจ่ายคืนเงินต้นภายใน 1 ปี ต้องเอาที่ดินค้ำประกัน แต่ถ้าบริษัทA มีชื่อเสียงความน่าเชื่อถือสูง คนทั่วไปรู้จักดี บริษัทA ก็จะออกตราสารหนี้ โดยกำหนดเงื่อนไขเองว่า จะให้ดอกเบี้ย 5% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง คืนเงินต้นให้เมื่อครบ 2 ปี คนทั่วไปที่ทราบข่าว ก็จะประเมินว่า ดอกเบี้ยของตราสารหนี้ที่บริษัท A ออก คุ้มไหม กับระยะเวลาที่ต้องเอาเงินไปจม 2 ปี ความเสี่ยงที่บริษัท A จะล้มละลาย ซึ่งโดยทั่วไป ตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนออก จะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากธนาคารอยู่แล้ว หากยอมรับความเสี่ยงได้ ผู้ซื้อก็จะขอซื้อตราสารหนี้ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การออกตราสารหนี้เป็นประโยชน์ต่อทั้งคนซื้อและคนขาย คนขายหรือลูกหนี้ สามารถที่จะกำหนดเงื่อนไขที่ตนเองต้องการได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดต้นทุนด้านดอกเบี้ย (แต่ต้องเป็นไปตามกลไกตลาด และความเสี่ยงนะครับ ไม่ใช่ออกตราสารหนี้ 20 ปี ให้ดอกเบี้ย 3% ถ้าออกอย่างนี้ก็คงไม่มีใครซื้อแน่นอน) ในขณะที่คนซื้อ (เจ้าหนี้) ก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินสถาบันการเงิน (และควรจะดีกว่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่อายุเท่ากันด้วย) ประเด็นที่สำคัญที่จะทำให้ตราสารหนี้ที่ออกจำหน่ายนั้น ขายได้คือ ต้องมีความพึงพอใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในเงื่อนไข ตราสารหนี้นั้น ถ้าอยากอ่านฉบับเต็มไปที่นี่นะคะ http://www.policehospital-coop.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538721914&Ntype=5
โดย
srikamneard
พุธ ธ.ค. 17, 2008 9:06 pm
0
0
มีใครลงทุนหุ้นกู้บ้างไหมครับ
- บริษัทยอมเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมาออกหุ้นกู้ เพราะว่าบริษัทได้ระดมทุนโดยมีดอกเบี้ยต่ำกว่า เมื่อเทียบกับกู้ธนาคารค่ะ - การออกหุ้นกู้มีมากขึ้น อาจเป็นเพราะมีการส่งเสริมมากขึ้นค่ะ เดี๋ยวนี้มีตลาด BEX ไงคะ แถมมีการโฆษณาทางทีวีด้วย - การออกหุ้นกู้มีมากขึ้น อีกเหตุผลหนึ่ง คนออมเงินยุคนี้ต้องแสวงหาดอกผลที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารด้วยค่ะ ขณะที่บริษัทต่างๆ ก็มีความสามารถในการออกหุ้นกู้ได้มากขึ้น (เพราะต้องยื่นเอกสารต่างๆ ให้ทางการตรวจ ต้องมีหลักเกณฑ์ 1 2 3 4 5 ซึ่งเข้มงวดพอสมควร - สนใจลงทุนในหุ้นกู้เหมือนกันค่ะ กำลังศึกษาอยู่ - แนะนำหนังสือนะคะ ชื่อตรงๆ ว่า "หุ้นกู้" เข้าใจว่าจัดพิมพ์โดยตลาดหลักทรัพย์
โดย
srikamneard
พุธ ธ.ค. 17, 2008 8:25 pm
0
0
การเล่นหุ้นเก็งกำไรเป็นการทำบาป?
คุณ sorawut ค่ะ ดิฉันไม่ได้เป็นคนเขียนบทความนะคะ คุณ "สุมาอี้" เป็นคนเขียนไว้ค่ะ พอดีเคยอ่านเจอ และเห็นว่าอธิบายได้ชัดเจนดี ก็เลยนำมาโพสต์ไว้น่ะค่ะ คุณสุมาอี้ เขียนบทความที่เว็บบล็อกใน settrade.com ค่ะ ถ้าสนใจเข้าไปอ่านได้นะคะ ชื่อจริงของคุณสุมาอี้ คือ นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ ค่ะ
โดย
srikamneard
อังคาร ก.ค. 01, 2008 6:51 pm
0
0
ทำไมต้องมีตลาดหุ้น โดย คุณสุมาอี้
"ตลาดหุ้น" ที่ชาวบ้านซื้อขายหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้จัดอยู่ในประเภท ตลาดรอง (Secondary Market) ของตลาดทุน ส่วน ตลาดหลัก (Primary Market) จริงๆ ของตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดที่กิจการทั้งหลายใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการ คือ "ตลาด IPO" หรือที่เรานิยมเรียกกันติดปากว่า "หุ้นจอง" เมื่อกิจการขายหุ้นจอง เงินที่ได้จะเข้าบริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการ หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะนำหุ้นของบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อให้หุ้นของบริษัทกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นได้ หลังจากนี้แล้ว การซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือไปมาระหว่างนักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการอีกต่อไป นั่นคือ สิ่งที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างตลาดหลักกับตลาดรองก็คือ เมื่อมีการขายหุ้นแล้ว เงินไปไหน ถ้าเป็นตลาดหลัก เงินจะเข้าสู่บริษัท แต่ถ้าเป็นตลาดรอง เงินจะเข้ากระเป๋าผู้ที่ขายหุ้น ประเด็นนี้ทำให้มีบางคนกล่าวหาตลาดหุ้นว่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเงินไม่ได้เข้าบริษัทเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจจริงๆ เงินเพียงแต่ไหลจากกระเป๋าของนักลงทุนคนหนึ่งไปยังกระเป๋าของนักลงทุนอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้นและนักลงทุนในตลาดหุ้นก็หากินด้วยการซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่งแล้วขายออกไปในราคาที่สูงกว่าแล้วเก็บกำไรเข้ากระเป๋า บางคนถึงกับบอกว่าน่าจะยกเลิกตลาดหุ้นไปเลยเหลือไว้แต่ตลาด IPO ก็พอ นั้นเป็นความคิดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากไม่มีตลาดรอง ตลาดหลักจะอยู่ได้หรือไม่ คงแทบไม่เหลือนักลงทุนคนไหนที่จะกล้าซื้อหุ้นจองจากบริษัทอีกต่อไป เพราะนักลงทุนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเมื่อซื้อมาแล้วจะไม่สามารถขายหุ้นนั้นต่อให้ใครได้หรือถ้าขายได้ก็ต้องขายขาดทุนมากๆ เพื่อให้มีใครสักคนยอมซื้อ ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องมีตลาดหุ้นก็เพื่อให้ตลาดหลักสามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง บางคนคิดว่าการที่รถยนต์มีตลาดมือสองนั้นทำให้ตลาดมือหนึ่งแย่ลง เพราะตลาดมือสองจะแย่งลูกค้าส่วนหนึ่งของตลาดมือหนึ่งไป แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าผู้บริโภคซื้อรถยนต์มาแล้ว ห้ามขายต่อโดยเด็ดขาด จะมีผู้บริโภคที่กล้าซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยลง ทุกวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่กล้าซื้อรถใหม่บ่อยๆ ก็เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถขายต่อในตลาดมือสองเมื่อไรก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อยแสนสองแสนถือว่ากำไรใช้ เลยทำให้ตลาดรถใหม่ขายดี ฉันใดก็ฉันนั้น ตลาดรองช่วยส่งเสริมตลาดหลักด้วยการทำให้สินค้าของตลาดหลักกลายเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง คนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วหากวันดีคืนดีเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายต่อให้ใครไม่ได้ มีบางคนอยากเห็นตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวไม่มีนักเก็งกำไรระยะสั้นเพราะพวกเขามีทัศนคติในแง่ลบการคำว่า "เก็งกำไร" แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูให้ดี ถ้าในตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นนักเก็งกำไรเลย สภาพคล่องในตลาดหุ้นคงหายไปมากกว่า 95% ถ้าการขายหุ้นออกในตลาดหุ้นกับการไปเร่ขายหุ้นด้วยตนเองนอกตลาดหุ้นมีความยากลำบากเท่ากันเพราะหาคนซื้อได้ยากก็ไม่รู้ว่าจะมีตลาดหุ้นเอาไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ตลาดหุ้นที่มีคุณค่าต้องเป็นตลาดที่มีคนจำนวนหนึ่งในตลาดยินดีที่จะซื้อหรือขายหุ้นบ่อยๆ โดยแลกกับโอกาสทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับคนที่เป็นนักลงทุน กล่าวคือทำให้คนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถขายหุ้นออกได้เสมอ (โดยไม่ต้องขายขาดทุนมากๆ) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อๆ ขายๆ ของนักเก็งกำไรช่วยลด liquidity risk ให้กับคนที่เป็นนักลงทุนนั่นเอง โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของการพัฒนานักลงทุนรายย่อยคือการทำให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนระยะยาวกันให้หมด สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือทำอย่างไรนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นนักลงทุนที่มีภูมิต้านทาน กล่าวคือ ตัดสินใจจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้เป็นหลัก ไม่ถูกชักจูงไปได้ง่าย ไม่เชื่อข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ ไม่แห่ตามกันโดยขาดวิจารณาณของตนเอง ส่วนจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น นักเทคนิค หรือนักลงทุนระยะยาวนั้น ผมกลับคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักลงทุนทุกแบบล้วนแต่มีคุณค่าต่อตลาดทุนทั้งสิ้น หากตั้งใจจะเป็นนักเทคนิคก็ควรศึกษาเทคนิคให้จริงจัง คนที่เล่นสั้นหลายคนที่ผมรู้จักเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเลย เพราะผมมั่นใจว่าคนนิสัยแบบนี้จะสามารถเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน
โดย
srikamneard
จันทร์ มิ.ย. 30, 2008 9:07 pm
0
0
ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยลงกึ่งหนึ่ง
เอ๋ คุณ Ryuga รู้ว่าเป็นบริษัทไหน งั้นขอถามนะคะว่า ถ้าไม่เพิ่มทุน จะมีความเสี่ยงมากมั้ยคะ คือ คิดว่าเพิ่มทุนคงจะยากน่ะค่ะ
โดย
srikamneard
ศุกร์ พ.ค. 09, 2008 9:36 pm
0
0
ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยลงกึ่งหนึ่ง
คิดว่าไม่ได้เขียนผิดนะคะ เพราะได้ข้อมูลมาจาก แบบ 56-1 ดังนี้ค่ะ ส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 922 ล้านบาท โดยลดลง 753 ล้านบาท จากปีก่อนที่เท่ากับ 1,675 ล้านบาท โดยรายการที่ลดลงเกิดจาก ขาดทุนสุทธิในปี 2550 จำนวน 797 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ผลขาดทุนสุทธิที่จะกระทบกับส่วนของผู้ถือหุ้นไม่รวมการด้อยค่าของเงินลงทุน จำนวน 40 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับรู้การด้อยค่าของเงินลงทุนดังกล่าวมาโดยตลอด สำหรับโครงสร้างส่วนของผู้ถือหุ้น 922 ล้านบาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญที่เรียกชำระแล้ว 1,648 ล้านบาท สำรองจากการตีมูลค่าหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด 2 ล้านบาท ขาดทุนสะสม 837 ล้านบาท และ ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 113 ล้านบาท คือไม่ได้กลัวราคาหุ้นลดลงหรอกค่ะ แต่กลัวว่าบริษัทจะอยู่ในภาวะเสี่ยงมากเกินไป เพราะหนี้สินมากกว่าทุน ขอบคุณทุกท่านนะคะ
โดย
srikamneard
อังคาร พ.ค. 06, 2008 7:14 pm
0
0
ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยลงกึ่งหนึ่ง
ไม่ใช่ tmb หรอกค่ะ แต่ไม่กล้าบอกว่าเป็นบริษัทไหน ส่วนกำไรงวดถัดไปคงไม่ยังไม่เกิดหรอกค่ะ เพราะว่าหนี้สินค่อนข้างมาก ขอบคุณนะคะที่ให้ข้อมูล อ้อ อีกนิดนึงนะคะ ราคาพาร์ลดลง แล้วราคาหุ้นก็จะต้องลดลงไปด้วยหรือเปล่าคะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
โดย
srikamneard
ศุกร์ พ.ค. 02, 2008 7:33 pm
0
0
การเป็นนักลงทุนให้ประโยชน์อะไรกับประเทศชาติ และประชาชน
ถ้าสนใจบทความดีๆ ของคุณนรินทร์ แนะนำให้เข้าไปอ่านที่เซ็ทเทรดดอทคอม ในเมนูเว็บบล็อคค่ะ มีบทความเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเยอะเชียว เพราะคุณนรินทร์เขียนสัปดาห์ละ 1 ชิ้นค่ะ
โดย
srikamneard
พฤหัสฯ. เม.ย. 24, 2008 7:56 pm
0
0
ประโยชน์ของตลาดหุ้นในอีกบทความหนึ่งของคุณสุมาอี้ค่ะ
"เคล็ดลับที่ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกใน 3 อุตสาหกรรมนี้ได้ก็เพียงแค่เพราะ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีตลาดทุนที่ดีที่สุดที่สุดในโลก" เมกา / นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ ถ้าไม่นับเครื่องบินรบแล้ว สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำอย่างแท้จริงใน 3 อุตสาหกรรม คือ ซอฟต์แวร์ ไบโอเทค และภาพยนตร์ คุณว่าอะไรทำให้สหรัฐฯ ยิ่งใหญ่ใน 3 อุตสาหกรรมนี้? ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะโปรแกรมเมอร์ของสหรัฐฯ เขียนโปรแกรมได้เก่ง ก็คงจะไม่ใช่ ทุกวันนี้โปรแกรมเมอร์ในบริษัทซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ เต็มไปด้วยคนอินเดีย ในอุตสาหกรรมไบโอเทคก็เช่นเดียวกัน บริษัทไบโอเทคของสหรัฐฯ นำเข้านักวิทยาศาสตร์จากเอเชียเป็นจำนวนมาก อุตสาหกรรมทั้ง 3 อุตสาหกรรมนี้ไม่ค่อยจะเหมือนกันเท่าไร แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันมากก็คือ ทั้ง 3 อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงทางธุรกิจสูงมาก ธุรกิจไบโอเทคต้องใช้เงิน 500 ล้านเหรียญฯ ในการพิสูจน์ให้รัฐบาลเห็นว่ายาตัวหนึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภคจริง ซึ่งยาแต่ละตัวมีโอกาสที่จะผ่านด่านอรหันต์ของ FDA ได้น้อยมากๆ กว่าจะรู้ว่ายาไม่ผ่านก็ต้องใช้เวลาประมาณ 7 ปี เมื่อไม่ผ่านก็จะไม่สามารถขายได้ ทำให้บริษัทผู้วิจัยยานั้นขาดทุนทันที 500 ล้านเหรียญฯ โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย การผลิตซอฟต์แวร์ก็เช่นเดียวกัน ต้องเริ่มต้นด้วยการจ้างโปรแกรมเมอร์ชั้นดีมาทำ R&D เป็นเวลานานกว่าจะคลอดซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นแรกออกมาได้ แต่ซอฟต์แวร์ที่จะประสบความสำเร็จทางการตลาดนั้นมีน้อยมาก เพราะอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์มีลักษณะ winner take all กล่าวคือ สุดท้ายแล้วจะมีแค่ซอฟต์แวร์ยี่ห้อที่มีคนใช้มากที่สุดยี่ห้อเดียวเท่านั้นที่อยู่รอด ธุรกิจภาพยนตร์ก็เช่นเดียวกัน โอกาสที่หนังเรื่องหนึ่งจะประสบความสำเร็จนั้นไม่แน่นอน และหนังส่วนใหญ่ก็มักจะขาดทุน ธุรกิจทั้ง 3 ประเภทนี้ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ได้เลย เพราะความเสี่ยงของธุรกิจอยู่ในระดับที่สูงมากเกินกว่าที่ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยแค่ MLR+ ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์จะไม่ได้รับชำระเงินต้นคืนได้เลย มิหน่ำซ้ำ ธุรกิจเหล่านี้ยังใช้เงินไปกับเงินเดือนบุคลากรเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไม่มีสินทรัพย์ในการประกอบการเช่น ที่ดิน หรือ โรงงาน เมื่อไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน การที่จะอนุมัติวงเงินกู้ก็เป็นไปได้ยาก ธุรกิจทั้ง 3 อย่างนี้จึงต้องพึ่งพาแหล่งเงินในรูปของทุนหรือ Equity เท่านั้น เคล็ดลับที่ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกใน 3 อุตสาหกรรมนี้ได้ก็เพียงแค่เพราะ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีตลาดทุนที่ดีที่สุดที่สุดในโลก ธุรกิจทั้งหลายจึงสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทุกรูปแบบและทุกระดับความเสี่ยงทั้ง ตลาดหุ้น, Venture Capital, Private Equity, Business Angel, Briding finance, LBO, REIT, Derivatives, commodity futures, Asset-Backed Securities, CDO, Securitization, SPV, Hedge Funds, Mutual Funds etc. ศักยภาพของคนไทยกับคนอเมริกันที่จริงแล้วก็ไม่ได้ต่างกัน คนแบบสตีเวน สปิลเบิร์ก ที่เมืองไทยเราก็มี เพียงแต่ สปิลเบิร์กที่อเมริกา 100 คนที่มีไอเดียดีๆ อาจสามารถระดมทุนได้สำเร็จ 10-20 คน ในขณะที่ สปิลเบิร์กที่เมืองไทย 100 คน ไม่มีใครสามารถระดมทุนได้สำเร็จเลยสักคนเดียว ในกรณีของสตีป จอปส์ บิลเกตต์ ก็เช่นเดียวกัน ซิลิคอนแวลเล่ย์ก็สร้างได้ด้วยอาศัยทุนของพวกนักลงทุนที่เรียกว่า Venture Capital หรือผลงานวิจัยเกี่ยวกับไบโอเทคก็เช่นเดียวกัน ข้อได้เปรียบนี้ถ้าเป็นแค่ 1-2 กรณีก็คงจะไม่มีผลอะไร แต่ความได้เปรียบเรื่องทุนติดต่อกัน 50 ปีทำให้ธุรกิจเหล่านี้ในสหรัฐฯ สามารถผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้ในที่สุด ส่วนประเทศไทยนั้น ตลอด50 ปีที่ผ่านมา เราพึ่งพาธนาคารพาณิชย์เป็นแหล่งเงินทุนหลักแหล่งเดียว ดังนั้น โอกาสที่ไทยจะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงๆ เหล่านี้จึงแทบไม่มีเลย ประเทศที่อาศัยธนาคารเป็นแหล่งระดมทุนหลักจะแข่งขันได้แต่ธุรกิจเปิดโรงงานผลิตสินค้าเท่านั้น มาช่วยกันพัฒนาตลาดทุนของเราเถิดครับ เลิกคิดกันได้แล้วว่าตลาดทุนไม่สำคัญเพราะไม่ใช่ Real Sector ความคิดเช่นนี้ทำให้หลายอุตสาหกรรมพัฒนาไม่ได้ครับ
โดย
srikamneard
พุธ เม.ย. 23, 2008 10:05 pm
0
0
ประโยชน์ของตลาดหุ้น คุณสุมาอี้เคยเขียนบทความไว้กระจ่างดีค่ะ
http://api.settrade.com/blog/1001ii/1001ii/2007/09/27/159 ทำไมต้องมีตลาดหุ้น /นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ "ตลาดหุ้น" ที่ชาวบ้านซื้อขายหุ้นกันอยู่ทุกวันนี้จัดอยู่ในประเภท ตลาดรอง (Secondary Market) ของตลาดทุน ส่วน ตลาดหลัก (Primary Market) จริงๆ ของตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดที่กิจการทั้งหลายใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการ คือ "ตลาด IPO" หรือที่เรานิยมเรียกกันติดปากว่า "หุ้นจอง" เมื่อกิจการขายหุ้นจอง เงินที่ได้จะเข้าบริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการ หลังจากนั้นบริษัทก็มักจะนำหุ้นของบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพื่อให้หุ้นของบริษัทกลายเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นได้ หลังจากนี้แล้ว การซื้อขายหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นจะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือไปมาระหว่างนักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเม็ดเงินเข้าสู่บริษัทเพื่อนำไปใช้ในกิจการอีกต่อไป นั่นคือ สิ่งที่ใช้แยกความแตกต่างระหว่างตลาดหลักกับตลาดรองก็คือ เมื่อมีการขายหุ้นแล้ว เงินไปไหน ถ้าเป็นตลาดหลัก เงินจะเข้าสู่บริษัท แต่ถ้าเป็นตลาดรอง เงินจะเข้ากระเป๋าผู้ที่ขายหุ้น ประเด็นนี้ทำให้มีบางคนกล่าวหาตลาดหุ้นว่า ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคม เพราะเงินไม่ได้เข้าบริษัทเพื่อก่อให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจจริงๆ เงินเพียงแต่ไหลจากกระเป๋าของนักลงทุนคนหนึ่งไปยังกระเป๋าของนักลงทุนอีกคนหนึ่งไปเรื่อยๆ เท่านั้นและนักลงทุนในตลาดหุ้นก็หากินด้วยการซื้อหุ้นมาในราคาหนึ่งแล้วขายออกไปในราคาที่สูงกว่าแล้วเก็บกำไรเข้ากระเป๋า บางคนถึงกับบอกว่าน่าจะยกเลิกตลาดหุ้นไปเลยเหลือไว้แต่ตลาด IPO ก็พอ นั้นเป็นความคิดของคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากไม่มีตลาดรอง ตลาดหลักจะอยู่ได้หรือไม่ คงแทบไม่เหลือนักลงทุนคนไหนที่จะกล้าซื้อหุ้นจองจากบริษัทอีกต่อไป เพราะนักลงทุนเหล่านั้นย่อมรู้ว่าเมื่อซื้อมาแล้วจะไม่สามารถขายหุ้นนั้นต่อให้ใครได้หรือถ้าขายได้ก็ต้องขายขาดทุนมากๆ เพื่อให้มีใครสักคนยอมซื้อ ดังนั้นเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องมีตลาดหุ้นก็เพื่อให้ตลาดหลักสามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง บางคนคิดว่าการที่รถยนต์มีตลาดมือสองนั้นทำให้ตลาดมือหนึ่งแย่ลง เพราะตลาดมือสองจะแย่งลูกค้าส่วนหนึ่งของตลาดมือหนึ่งไป แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าผู้บริโภคซื้อรถยนต์มาแล้ว ห้ามขายต่อโดยเด็ดขาด จะมีผู้บริโภคที่กล้าซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยลง ทุกวันนี้มีคนส่วนหนึ่งที่กล้าซื้อรถใหม่บ่อยๆ ก็เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถขายต่อในตลาดมือสองเมื่อไรก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อยแสนสองแสนถือว่ากำไรใช้ เลยทำให้ตลาดรถใหม่ขายดี ฉันใดก็ฉันนั้น ตลาดรองช่วยส่งเสริมตลาดหลักด้วยการทำให้สินค้าของตลาดหลักกลายเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง คนที่ซื้อหุ้นจองไปแล้วหากวันดีคืนดีเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินด่วนขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายต่อให้ใครไม่ได้ มีบางคนอยากเห็นตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนระยะยาวอย่างเดียวไม่มีนักเก็งกำไรระยะสั้นเพราะพวกเขามีทัศนคติในแง่ลบการคำว่า "เก็งกำไร" แต่ที่จริงแล้ว ลองคิดดูให้ดี ถ้าในตลาดหุ้นมีแต่นักลงทุนทั้งหมด ไม่มีใครเป็นนักเก็งกำไรเลย สภาพคล่องในตลาดหุ้นคงหายไปมากกว่า 95% ถ้าการขายหุ้นออกในตลาดหุ้นกับการไปเร่ขายหุ้นด้วยตนเองนอกตลาดหุ้นมีความยากลำบากเท่ากันเพราะหาคนซื้อได้ยากก็ไม่รู้ว่าจะมีตลาดหุ้นเอาไว้เพื่ออะไร ดังนั้น ตลาดหุ้นที่มีคุณค่าต้องเป็นตลาดที่มีคนจำนวนหนึ่งในตลาดยินดีที่จะซื้อหรือขายหุ้นบ่อยๆ โดยแลกกับโอกาสทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับคนที่เป็นนักลงทุน กล่าวคือทำให้คนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวสามารถขายหุ้นออกได้เสมอ (โดยไม่ต้องขายขาดทุนมากๆ) เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน พูดง่ายๆ ก็คือการซื้อๆ ขายๆ ของนักเก็งกำไรช่วยลด liquidity risk ให้กับคนที่เป็นนักลงทุนนั่นเอง โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเป้าหมายของการพัฒนานักลงทุนรายย่อยคือการทำให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนระยะยาวกันให้หมด สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือทำอย่างไรนักลงทุนรายย่อยจึงจะเป็นนักลงทุนที่มีภูมิต้านทาน กล่าวคือ ตัดสินใจจากข้อมูลที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้เป็นหลัก ไม่ถูกชักจูงไปได้ง่าย ไม่เชื่อข่าวลือข่าวปล่อยต่างๆ ไม่แห่ตามกันโดยขาดวิจารณาณของตนเอง ส่วนจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น นักเทคนิค หรือนักลงทุนระยะยาวนั้น ผมกลับคิดว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญ นักลงทุนทุกแบบล้วนแต่มีคุณค่าต่อตลาดทุนทั้งสิ้น หากตั้งใจจะเป็นนักเทคนิคก็ควรศึกษาเทคนิคให้จริงจัง คนที่เล่นสั้นหลายคนที่ผมรู้จักเป็นคนที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ผมก็ไม่เคยรู้สึกเป็นห่วงพวกเขาเลย เพราะผมมั่นใจว่าคนนิสัยแบบนี้จะสามารถเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างแน่นอน
โดย
srikamneard
พุธ เม.ย. 23, 2008 9:55 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
srikamneard
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
พุธ ก.พ. 20, 2008 9:27 pm
ใช้งานล่าสุด:
พฤหัสฯ. ก.ค. 09, 2020 3:36 pm
โพสต์ทั้งหมด:
58 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว