การสัมภาษณ์ผู้บริหาร RPC จากอินโฟร์เควสท์ RPC เผยโรงกลั่นเวียดนามคืบ 42% แย้มไตรมาส 3/47 กำไรยังโต ผู้บริหาร RPC ระบุโครงการโรงกลั่นน้ำมันในเวียดนามคืบแล้ว 42% เตรียมรับรู้รายได้พ.ค.48 ชูจุดเปิดตลาดโรงกลั่นในเวียดนาม พร้อมทิศทางก้าวกระโดดในอนาคต ย้ำกลยุทธ์ลงทุนต่ำแต่ผลตอบแทนสูง ลั่นมีแผนสำรองรองรับการเพิ่มกำลังเต็มพิกัด หากโรงงาน SGPC มีเหตุขัดข้อง หยอดผลไตรมาส 3/47 กำไรยังโต มั่นใจปันผลครึ่งปีหลังยังดี นายศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.ระยองเพียวริฟายเออร์ (RPC) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า กรณีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันในเวียดนามที่ RPC ถือหุ้นอยู่ 60% ในบริษัท VTN-P Petrochemical Joint Venture (VTN-P)ของเวียดนามนั้น ล่าสุดมีความคืบหน้าแล้ว 42% โดยคาดว่าจะเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2548 และเริ่มรับรู้รายได้ในทันที โรงงานแห่งใหม่นี้มีกำลังผลิต 2,500 บาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 15 ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งจะสามารถทำกำไรได้ประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวใช้งบลงทุนราว 7 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยกู้ยืมเงินจาก Exim bank จำนวน 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ "โครงการดังกล่าวถือว่าไม่ใหญ่มาก เป็นเพียงการเริ่มต้นเปิดตลาดในเวียดนาม เนื่องจากเราเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในอนาคต เพราะเวียดนามมีความต้องการใช้น้ำมันสัดส่วนค่อนข้างมาก แต่ยังไม่มีโรงงานกลั่นน้ำมันเป็นของตนเอง ทำให้ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเข้ามาใช้ ซึ่งมีการเก็บภาษีในอัตราสูงกว่าการกลั่นภายในประเทศ ดังนั้นเราจึงได้เปรียบที่ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีสูง และจำหน่ายน้ำมันได้ในราคาเดียวกับที่นำเข้า ทั้งนี้ โครงการนี้ถือเป็นกลยุทธ์การลงทุนของเรา ที่เน้นต้นทุนดำเนินงานต่ำแต่ให้กำลังผลิตสูง" นายศุภพงศ์ กล่าว สำหรับผลดำเนินงานในไตรมาส 3/47 จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะยังไม่มีปัจจัยใดมากระทบกับการทำกำไรของบริษัท โดยแบ่งเป็นรายได้จากโรงกลั่นที่มีกำลังผลิต 12,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 60 ล้านลิตรต่อเดือน คิดเป็น 65% ของการผลิตเต็มกำลังที่ 17,000 บาร์เรลต่อวัน หรือ 80 ล้านลิตรต่อเดือน และรายได้จากธุรกิจปั๊มค้าปลีกที่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการค้าส่งราว 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยปัจจุบันมีราว 73 แห่ง และอยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเพิ่มอีกราว 58 แห่ง นายศุภพงศ์ ระบุว่า สาเหตุที่ไม่สามารถกลั่นน้ำมันได้เต็มกำลังผลิต เนื่องจากวัตถุดิบ Condensate Residue (CR) ที่ได้จาก บมจ.อะโรเมติกส์(ประเทศไทย) หรือ ATC มีจำกัด ซึ่งทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในอนาคต คือ การซื้อจาก SGPC ที่เดิมเป็นบริษัทย่อยของ RPC แต่ปัจจุบันได้ขายไปแล้ว แต่ก็มีโอกาสซื้อคืนได้ภายหลัง โดย RPC รอให้โรงงาน SGPC เกิดขึ้นก่อน คาดว่าจะเสร็จสิ้นราวปลายปี 48 "หากเกิดข้อผิดพลาดที่เราไม่คาดคิด และทำให้เราไม่ได้วัตถุดิบจาก SGPC เราก็มีแผนสำรองอยู่ แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ในตอนนี้ ถือเป็นแผนสำรองสำหรับการเพิ่มกำลังผลิต RPC ขณะเดียวกัน หากทุกอย่างดำเนินไปตามที่คาด แผนสำรองนี้ก็อาจกลายเป็นตัวเสริมความก้าวหน้าทางธุรกิจของ RPC ในอนาคตได้" นายศุภพงศ์ กล่าว ส่วนเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลังยังน่าจะจัดสรรได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ หรือไม่น้อยกว่าครึ่งปีแรกที่เพิ่งจ่ายให้ผู้ถือหุ้นจำนวน 1.25 บาทต่อหุ้น โดย Manop พุธ ต.ค. 13, 2004 10:47 am

รายงาน Company Visit: MBK (โดย InfoQuest) CO_VISIT: MBK เผยมีสิทธิ์สูงในการต่อสัญญาเช่า"มาบุญครอง"กับจุฬา Wednesday, May 19, 2004 12:33 บมจ.เอ็ม บี เค (MBK) เผยถึงกรณีสัญญาเช่าศูนย์การค้ามาบุญครองกับทางจุฬาฯว่า บริษัทมีสิทธิ์รับหรือไม่รับผลการประมูลในราคาประมูลสูงสุดก่อนรายแรก ซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2013 แต่จะเปิดประมูลสัญญาเช่าใหม่ปี 2008 จึงมีโอกาสได้ต่อสัญญาสูง แย้มแผนรองรับหากสู้ราคาผู้ชนะประมูลไม่ไหว โดยหันหาศูนย์การค้าเก่าแม้ใกลแต่เจ๋งด้วยฝีมือของผู้บริหาร พร้อมพยายามเพิ่มกำไรสะสมในแต่ละปี เพื่อหาทำเลทำใหม่หากหมดสิทธิ์ต่อสัญญาจุฬาฯ ปัจจุบันมีกำไรสะสมแล้ว 1,700 ล้านบาท นายสมบูรณ์ วงศ์รัศมี ผู้อำนวยการอาวุโสการลงทุน บมจ.เอ็ม บี เค (MBK) กล่าวถึงกรณีสัญญาเช่าตึกศูนย์การค้ามาบุญครอง ว่า MBK ได้ทำสัญญาเช่าตึกห้าง MBK กับจุฬาฯในราคา 45 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยจะหมดสัญญาในปี 2013 แต่จำเป็นต้องมีการต่อสัญญาก่อนปี 2008 ซึ่งทางจุฬาฯจะมีการเปิดประมูลอย่างเป็นทางการ โดยทางจุฬาฯจะมีการส่งผลการประมูลให้กับ MBK ว่าจะสามารถสู้ราคากับผู้ชนะประมูลได้หรือไม่ ซึ่งหาก MBK รับได้ก็จะได้สิทธิ์ก่อนเป็นรายแรก ตามสัญญาผูกพันธ์ที่ได้ระบุไว้ ดังนั้น MBK จึงมีโอกาสที่จะได้ต่อสัญญาสูง "เราได้มีแผนรองรับหาก MBK ไม่สามารถสู้ราคาผู้ชนะประมูลได้ โดยเรายังไม่ทิ้งนโยบายการมองหาศูนย์การค้าเดิมที่มีทำเลดีแต่ไม่ประสบผลสำเร็จในการบริหาร เข้าซื้อเพื่อเข้าดำเนินธุรกิจใหม่ เพราะมั่นใจในความสามารถด้านการบริหารของบริษัท นอกจากนี้ MBK ยังพยายามเพิ่มกำไรสะสมในแต่ละปี เพื่อหาทำเลทำใหม่หากหมดสิทธิ์ต่อสัญญาจุฬาฯ ปัจจุบันมีกำไรสะสมแล้ว 1,700 ล้านบาท นักลงทุนที่ถือหุ้น MBK อยู่ จึงเชื่อมั่นได้ว่า MBK จะสามารถดำเนินธุรกิจเติบโตต่อไปได้ แม้จะหมดสัญญากับทางจุฬาฯ"นายสมบูรณ์ กล่าว บริษัทมีแผนรุกเข้าบริหารตึกบริเวณรอบๆห้าง MBK หลายแห่ง แต่ถูกปฏิเสธหลายโครงการจากทางจุฬาฯ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ทั้งหมดล่าสุดบริษัทจึงใช้งบประมาณ 70 ล้านบาทในการปรับปรุงตึกสำนักงานใหม่ เนื่องจากหินอ่อนด้านนอกตึกชำรุดตามระยะเวลา โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถนำรายได้จากป้ายโฆษณาด้านนอกตึกมาหักลบกับรายจ่ายส่วนนี้ได้ทั้งหมด ใช้ระยะเวลานับถึงวันหมดสัญญากับทางจุฬาฯ สำหรับโครงสร้างถือหุ้น MBK ประกอบด้วย กลุ่มบริษัทธนชาติ กรุ๊ป 19.59% กลุ่มครอบครัวผู้บริหาร 4.80% ธนาคารเอชเอสบีซี 3.05% บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน มอร์แกน สแตนเลย์ 2.19% และที่เหลืออีก 24.96% MBK เป็นผู้ถือเอง --อินโฟเควสท์ (มล/พด)-- โดย Manop พฤหัสฯ. พ.ค. 20, 2004 10:36 am

Company Visit: RATCH ขอจองด้วย 1 ที่ครับ มานพ หลิมขยัน โดย Manop พฤหัสฯ. พ.ค. 20, 2004 10:20 am