หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
picatos
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
Joined: เสาร์ มี.ค. 27, 2004 12:20 pm
3227
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
4
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - picatos
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
... ตอนนี้ผมเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในการลงทุนในหุ้น tech/growth ตปท. สักเท่าไหร่ พวกนี้เป็นหุ้นแห่งอนาคตที่มีพฐดีเยี่ยม แต่ผมไม่รู้ว่าพวกนี้มัน hype แค่ไหน มัน hype ไปมากกว่าพฐเปล่า ... อยากแนะนำให้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ น่าจะช่วยให้เรามีแนวทางในการหาคำตอบได้ว่า ราคาที่ซื้อขายอยู่ในตลาด ณ ขณะนี้ มันใส่ความคาดหวังมากน้อยขนาดไหน มี hype อยู่หรือเปล่า มีแค่ไหน และมากกว่าพื้นฐานหรือเปล่า 51wvsNsXeUL.jpg https://www.amazon.com/Expectations-Investing-Reading-Prices-Returns-ebook/dp/B01J0FP7JE
โดย
picatos
พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2021 8:36 pm
0
10
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
สวัสดีครับ พอจะมีท่านใดให้คำแนะนำการทำ DCF หุ้นไทยไหมครับ ผมลองเริ่มทำตัวแรก เจอกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ + บ้าง - บ้างครับ แบบนี้เราต้องทำยังไงหรอครับ https://i.imgur.com/YK1n4OP.png ขอบคุณครับ ต้องไปทำความเข้าใจของที่มาของกระแสเงินสดครับ ตามปกติแล้ว กระแสเงินสดที่อาจารย์ Damodaran มักจะใช้จะคิดจาก revenue * (1 + growth) * operating margin * (1 - tax) * (1 - reinvestment rate) สิ่งที่คุณต้องรู้ คือ operating margin ควรจะเป็นเท่าไร และ reinvestment ที่ทำให้เกิด growth คือเท่าไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาทำความเข้าใจ
โดย
picatos
อังคาร มิ.ย. 08, 2021 5:50 am
1
3
Re: ที่พึ่งทางใจของการลงทุนหุ้นเทคที่ขาดทุน
เสียใจอะครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ ที่แชร์นะครับ ทุกประโยคดีงามจริง ๆ ครับ ผมแนะนำว่าทุกคนควรอ่านอย่างตั้งใจ ผมว่า portfolio management สำคัญมาก ๆ ผมเลยยึดแนวคิด VC ในการบริหารพอร์ต ที่มองว่าเราจะได้ตัวนึงมาก ๆ เพื่อว่าเราอาจจะชดเชยขาดทุนตัวใดตัวนึงหนัก ๆ ผมไม่แน่ใจความแม่นตัวเองเลย เพราะคาดการณ์ยากกว่าหุ้น traditional ของไทย ๆ มาก แต่ก็นับถืออ.นะครับถ้า 10 ตัวเป็น tech หมด ผมขนาดแบ่งไป 20-30% ยังคิดว่าเหนื่อยเลยครับ คิดว่า link นี้เป็น course นี้ตัวล่าสุดของอจ. Damodaran ถูกมั๊ยครับอ.ตี่ เผื่อน้อง ๆ เค้าจะไปเรียนตามอจ.ครับ http://pages.stern.nyu.edu/~adamodar/New_Home_Page/webcasteqspr21.htm http://people.stern.nyu.edu/adamodar/New_Home_Page/webcasteqUGspr21.htm เรียนของ เด็ก ป.ตรี ดีกว่าครับ มี session มากกว่า MBA อยู่ 2 session อาจารย์สอนยาวกว่า อธิบายละเอียดกว่า แถมเด็กๆ ที่เข้าเรียนก็มีพลังงาน ความกล้าที่มากกว่าคลาส MBA พอสมควรครับ ส่วนเรื่องในความแม่นในการคาดการณ์ อาจารย์สอนผมว่า เพราะ มันไม่แม่นนี่แหละ มันเลยเป็นโอกาส เป็นโอกาสเพราะ คนกลัว คนไม่กล้าที่จะทำ valuation อย่างถูกต้อง และเมื่อไรที่เกิดโอกาสแบบนี้ขึ้นแล้วเราลงมือทำ มันก็จะเป็นข้อได้เปรียบที่อาจจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดีได้ เพราะ เราจะเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่ทำ valuation อย่างถูกต้องจริงๆ จังๆ pay off เลยอาจจะสูงกว่าไปทำ valuation อะไรง่ายๆ ที่ใครๆ เค้าก็ทำเป็น ยกตัวอย่าง อย่างเช่น roblox ที่การรับรู้รายได้และต้นทุนมันไม่สอดคล้องกับกระแสเงินสด อาการมันจะคล้ายๆ กับ AOT สมัยก่อน เมื่อเวลาผ่านไป ความจริงจะค่อยๆ ปรากฏออกมา อย่างเคสนี้ อาจารย์บอกว่า ตลาดน่าจะ misprice สุดท้ายแล้ว deferred revenue พวกนี้ก็จะถูกรับรู้ ตลาดก็จะ pricing ถูกต้องมากขึ้น แต่คนที่จะเห็นได้ คือ คนที่เจาะเข้าไปดู cashflow จริงๆ จังๆ และใช้เวลาในการคิดพิจารณาอย่างแยบคาย ในเคสเดียวกัน roblox เป็นบริษัทที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม home entertainment ที่ถูก pricing โดยเปรียบเทียบกับ บริษัท game ที่อยู่ใน entertainment sector ถ้าพฤติกรรม หรือ use case ถูก prove ว่ามันเป็นธุรกิจ platform จริงๆ มันก็ควรจะถูก re price เทียบกับ interactive media แทน มันเลยเหมือนเป็นหุ้นที่มี 2 effect ที่รายได้และกำไรปัจจุบันถูกรับรู้ต่ำเกินจริง ในขณะที่ถูก pricing เทียบกับ sector ที่ multiple ต่ำเกินจริง เราเลยจะรู้สึกว่ามันแพงมากๆ และไม่เข้าใจว่ามันน่าสนใจยังไง แต่ถ้าลองทำ base year fixation ดีๆ คำนวณกระแสเงินสดมาคิดลด ทำ projection ออกไปสักหน่อย บางทีราคาที่ดูเหมือนแพงอาจจะไม่แพงก็ได้ การที่จะลงแรงมาทำ intrinsic valuation ในเคสนี้อาจจะให้ผลตอบแทนที่คุณค่ากว่าการมองอย่างผิวเผินด้วย relative valuation ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันเป็นเรื่องที่ต้องทำการบ้าน เลือกหุ้นที่เจ๋งจริงๆ มาไม่กี่ตัว แล้วใช้เวลากับมัน จริงๆ จังๆ ผมไม่เชื่อในเรื่องปริมาณ ที่จะรู้จักหุ้นเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ไม่รู้ลึกในหุ้นสักตัว แต่ผมเชื่อเรื่องคุณภาพที่จะเลือกหุ้นที่เจ๋งจริงๆ มาศึกษาอย่างลึกๆ มากกว่ารู้กว้างๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย เพราะ เครื่องมือในการ access data ในปัจจุบัน ที่ผมใช้อยู่อย่าง refinitiv eikon ทำให้ผมเห็น fund flow วิเคราะห์ตัวเลขได้ง่ายเหลือเกิน ซึ่งผมเชื่อว่าผมสู้คนอื่นเค้าไม่ได้ ถ้าจะไปเล่นเกมส์เดียวกันกับเค้า แต่ผมจะใช้ข้อมูลที่มีเนี่ยแหละ หามุมในการวิเคราะห์ที่คนมักไม่ทำกัน ทั้งๆ ที่เป็นวิธีการที่ควรทำ ในพื้นที่ๆ คนไม่กล้าเข้าไป อย่างหุ้น เทค 10 ตัวที่ผมถือ มันก็จะมีหุ้นบางตัวที่ต้องใช้เวลากับมันมาก 2-3 ตัว หุ้นที่เข้าใจมันดีแล้ว ไม่ต้องใช้เวลาเยอะสัก 3-4 ตัว แล้วก็หุ้นที่เราไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ที่ถือ แต่เห็นโอกาสอะไรบางอย่าง ที่รอการพิสูจน์ ถือในปริมาณไม่มาก อีก 3-4 ตัว ที่เหลือในพอร์ตก็จะเป็นกองทุนและหุ้นไทย ที่ดูง่ายๆ ใช้เวลาน้อยๆ มันเป็นเรื่องสนุกที่จะได้ขุด เจาะ ลึก ลงไปแล้วเห็นกลไกของตลาด ที่เกิดขึ้นกับมูลค่า ราคา การปิด gap ระหว่างราคาและมูลค่า การบริหารความเสี่ยง สัดส่วน และจิตใจ แต่ก็อย่างว่าครับ วิธีการนี้อาจจะได้ผลตอบแทนไม่เยอะ ใช้เวลามาก ใช้ความอดทนมาก ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่ แต่อาจจะเหมาะกับคนบางประเภท ที่สนุกกันอะไรพรรค์นี้
โดย
picatos
ศุกร์ พ.ค. 14, 2021 10:14 am
0
11
Re: ที่พึ่งทางใจของการลงทุนหุ้นเทคที่ขาดทุน
สนใจกลับมาสอน special course on valuation มั๊ยครับอจ.ตี่ ผมว่าหุ้นเทค โดยเฉพาะ mid and small size cap นี่มันมี momentum investor ผสมเข้ามาในสัดส่วนที่เยอะมาก ๆ การเป็น VI หรือลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานในกลุ่มนั้น ก็จะต้องมี skill ในการมองธุรกิจ และมองมูลค่าให้ขาดมาก ๆ เพราะราคามันมีโอกาสที่จะถูกเกินไป และแพงเกินไปมาก ๆ และนอกจากนั้นอนาคตก็ไม่แน่นอนมาก ๆ สรุปคือ ต้องอึดมาก ๆ มากๆ ครับ มาก ๆ 5555555 ไม่สนใจสอนครับ พอได้ไปเรียนจริงๆ กับอาจารย์ Damodaran แล้ว รู้สึกว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย และคิดว่าจะไม่มีทางที่จะรู้อะไรได้อย่างลึกซึ้งได้สักเสี้ยวหนึ่งของอาจารย์ ดังนั้น ทางที่ดีที่สุด คือ ไปเรียนฟรีกับอาจารย์ ดีกว่าครับ โดยเฉพาะ เนื้อหาใน YouTube ปีนี้ที่อาจารย์สอนเด็ก ป.ตรี หรือ MBA ถูกสร้างมาเพื่อเรียนออนไลน์โดยเฉพาะเป็นอะไรที่น่าเรียนที่สุดแล้ว ถ้าติดปัญหาเรื่องภาษา ผมก็บอกได้เลยครับว่า นี่อาจจะไม่ใช่พื้นที่ของคุณ เพราะ ภาษานี้เป็นบันไดแค่ขั้นแรกเท่านั้น รายละเอียดเรื่องอื่นๆ ยากกว่ามาก ต้องใช้ความทุ่มเทพอสมควร อย่าง paper ที่อาจารย์ assign มาให้อ่านนี่ต้องอาศัย พื้นฐานและยาวพอสมควร ดังนั้นถ้าจะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ ผมว่าเล่นแบบนักเก็งกำไรดีกว่าครับ การจะเป็น intrinsic value investor ในหุ้นกลุ่มนี้ น่าจะยาก และเหนื่อยเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ถ้าชอบที่จะนั่งคิดพิจารณาถึงกิจการพวกนี้ทั้งวันทั้งคืน อินไปกับมัน จมไปกับมัน รู้สึกท้าทาย และสนุกกับกิจการพวกนี้จริงๆ ผมเชียร์เต็มที่เลยครับ เรียนแล้วรู้สึกว่า สุดยอดมากๆ จากจินตนาการที่เรามองเห็น เราจะรู้เลยว่าจะเปลี่ยนมันมาเป็นตัวเลขยังไง ได้จะรู้ว่า ตัวเลขแต่ละอย่างมันมายังไง มีหลักคิดยังไง และหาตัวเลขมาใส่อย่างไร
โดย
picatos
พฤหัสฯ. พ.ค. 13, 2021 3:35 pm
0
15
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
สวัสดีครับ ผมอยากรบกวนถามคุณ picatos เกี่ยวกับการ access Virtual libraryต้องเข้าไปที่ไหนอย่างไรบ้างครับ ผมกำลังพยายามหา paper,Research ดีๆอ่านแต่หาไม่ได้เลยครับตอนนี้ ได้อ่านคุณ picatos เขียนถึงแล้วอยากเข้าถึงมากๆครับ https://guides.nyu.edu/vbl/analyst-reports ลองดูใน Thomson ONE ครับ แต่คงต้องลงเรียนอะไรสักอย่างกับ NYU ก่อนมั้งครับ ถึงจะ Access ได้
โดย
picatos
พุธ พ.ค. 12, 2021 12:40 pm
0
1
Re: ThaiVI Go - EP.2 หุ้นอเมริกา 26 Feb.((2 ทุ่มตรง!! @Clubhouse))
ผมเข้าใจว่า market size มันจะเป็นตลาดใหญ่โดยรวม แต่พอเป็น total addressable market คือ เราต้องประเมินอีกว่า potential ของตลาดที่ product/service ของเราจริงๆ มันเป็นไปได้เท่าไร ยกตัวอย่างเช่น Fiverr สมมติว่า งานวิจัย วิเคราะห์ออกมาว่าตลาด freelance ในสหรัฐ โดยรวมเท่ากับ 1 trillion แต่ธุรกิจ Fiverr อาจจะครอบคลุมตลาดแต่ส่วนที่เป็น digital อะไรบางอย่างที่สามารถส่งมอบได้ผ่านทาง platform ของ Fiverr แค่ 100 billion ในขณะที่ Upwork ซึ่งจับตลาด freelance เหมือนกัน แต่ความเป็น standardize มันน้อยกว่า Fiverr และสามารถ customize ได้มากกว่า อาจจะมอง TAM ของเค้าใหญ่กว่าไปที่ 0.5 trillion ทีนี้ TAM ใหญ่ หรือเล็กบางทีมันก็ไม่ได้หมายความว่า Upwork ดีกว่า Fiverr เพราะ ถ้าไปดู unit economic แล้ว TAM ที่เล็กกว่าของ Fiverr แลกเปลี่ยนมากับ friction ที่น้อยกว่า transaction volume ที่สูงกว่า ในอนาคต Fiverr อาจจะขยาย product ที่ซับซ้อนขึ้น แล้วก็ขยาย reach และ TAM ให้กว่าขึ้น อันนี้ story ก็จะ shift ขึ้นไป คล้ายๆ กับ amazon ตอนแรกที่ทำร้านหนังสือ แล้วขยายไปที่ everything store แล้วก็ไป media จากนั้นก็ไป cloud ดังนั้นมันเลยไม่ใช่ market size ทั้งหมด มัน specific กว่าโดยคิดเรื่อง product market fit เข้าไปด้วยมั้งครับ ถูกผิดอย่างไร อาจจะต้องเชิญเซียน VC อย่างพี่เชาว์ หรือ น้องแดม มาช่วยชี้แนะเพิ่มเติมแล้วครับ พี่อินทรีย์ พอดีผมไม่ได้เชี่ยวชาญวิธีคิดแบบ VC สักเท่าไรครับพี่
โดย
picatos
ศุกร์ มี.ค. 19, 2021 7:11 am
0
5
Re: ThaiVI Go - EP.2 หุ้นอเมริกา 26 Feb.((2 ทุ่มตรง!! @Clubhouse))
TAM ย่อมาจาก total addressable market ครับ
โดย
picatos
พฤหัสฯ. มี.ค. 18, 2021 2:41 pm
0
1
Re: ThaiVI Go - EP.2 หุ้นอเมริกา 26 Feb.((2 ทุ่มตรง!! @Clubhouse))
ไม่ post แล้วครับ พิมพ์อยู่ 2 ชั่วโมง เหนื่อยอยู่ สรุปสั้นๆ คือ ผมพยายามตอบคุณ Tod ที่พยายามถามผมใน club house ว่าทำไมต้องใช้ Dcf ในการทำ valuation บริษัทเทคที่ขาดทุน ผมเลยแชร์รูปที่ว่า ที่เราคิด tam , market share , target margin แล้ว discount ด้วย target return สุดท้ายแล้ว ผลตอบแทนที่ได้จริง มันต่ำกว่าผลตอบแทนคาดหวังไปมาก ตามรูปนี้ 810A21D6-9294-4DE1-AC0C-D597B601A1E4.jpeg ส่วนคำอธิบาย ลอง อ่านใน paper นี้เองแล้วกันครับ http://people.stern.nyu.edu/adamodar/pdfiles/papers/younggrowth.pdf
โดย
picatos
พุธ มี.ค. 17, 2021 10:08 am
1
5
Re: Value investing และการ disruption
ขอเสริมนิดหน่อยนะครับผมมองว่า ตลาดหุ้นมีความแปลกประหลาดอยู่อย่างหนึ่งนะครับ คือผู้คนสามารถบอกได้ทันทีอย่างรวดเร็วว่า หุ้นตัวนี้แพงไป เหมือนชำเลืองด้วยหางตาก็ตัดสินใจได้แล้ว แต่หากเราไล่ถามคำถามเค้าต่อไปว่า แล้วราคาที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไหร่ วิธีการประเมิณมูลค่าใช้วิธีอะไร เหตุใดใช้วิธีนั้น สมมติฐานต่างๆที่เป็นที่มาของตัวเลขต่างๆ เช่น growth rate เท่าไหร่ มีปัจจัยอะไรที่เป็นแปร ต่อ ยอดขายและต้นทุนบ้าง ผมเชื่อว่าจะมีน้อยที่คนจะตอบคำถามได้ ดังนั้นหากมีคนมาพูดว่า ตัวนี้ตัวนั้นไม่น่าสนใจหรอกมัน มันแพงเกินไปแล้ว สิ่งแรกที่เราควรสงสัยไว้ก่อนคือ คนๆนั้นเค้าได้ศึกษา ติดตาม เข้าใจธุรกิจ การแข่งขัน แล้วทำประเมิณมูลค่าออกมาจริงๆหรือไม่ หรือเป็นเพียงสิ่งที่เค้าคิดขึ้นมาลอยๆ ซึ่งเราไม่ควรให้ความสำคัญอะไรต่อความเห็นเหล่านี้จริงในหลายๆครั้งเราก็อาจจะเป็นคนๆนั้นเองก็ได้ มีกี่ครั้งที่เราใช้ความรู้สึก หรือ ดูตัวเลขเพียงไม่กี่ตัว แล้วรีบตัดสินใจ ออกไปว่าถูกหรือแพงแล้ววันนี้ เรามีหุ้นกี่ตัว ที่เรา สามารถบอกได้จริงๆ ว่า มันถูกหรือแพงฝากคำถามนี้ไว้ด้วยนะครับ สมัยก่อนผมไม่ค่อยเชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพ ยิ่งตอนแรกๆ ที่ลงทุนแรกๆ ในไทย ในช่วงปี 2003 เพราะ เรารู้สึกว่าเราเข้าใจพื้นฐานคนไทย ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดไทย ในการลงทุนช่วงนั้น ผมคิดว่าการลงแรง เข้าไปแกะ ไปศึกษา จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการลงทุน และถูกเปลี่ยนมาเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าปกติเหนือตลาดได้ เวลาผ่านไป พอได้ไปลงทุนต่างประเทศ แรกๆ ในช่วงปี 2012-2013 เราก็ไปด้วยความคิดเห็นแบบนี้ คิดว่าถ้าเราลงทุนในกิจการที่เราอิน และ เข้าใจจริงๆ เราจะมีข้อได้เปรียบแบบนี้อยู่ ผลลัพธ์กลับไม่เหมือนกัน ตลาดที่ US เป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าตลาดไทยมาก เท่าที่ผมสัมผัสมา ถ้าเป็นหุ้น big cap ที่คนลงทุนกันเยอะๆ ถ้ามันไม่ใช่จุดเปลี่ยนของกิจการ ที่มี uncertainty สูงๆ จริงๆ มันเป็นเรื่องยากพอสมควร ที่คุณจะชนะตลาดได้มากๆ แบบในไทย บางปีคุณอาจจะชนะบ้าง บางปีคุณอาจจะแพ้บ้าง แต่โดยรวมๆ การที่จะชนะได้อย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ผมชอบที่อ. Aswath สอนว่า ถ้าคุณจะทำ valuation คุณควรที่จะกระโดดลงไปทำในพื้นที่ๆ มี uncertainty สูงๆ เพราะ payoff ที่เกิดขึ้นตรงนั้น เป็นที่ๆ มีโอกาสเกิดได้มากที่สุด มันเป็นพื้นที่ๆ อาจารย์ถึงกับเขียนหนังสือที่เรียกว่า dark side of valuation เพื่อมาให้คำแนะนำว่า เราจะหาโอกาสจากพื้นที่ตรงนี้อย่างไร โดยส่วนตัวผมไม่ได้ใช้วิธีแบบที่นักลงทุนโดยส่วนใหญ่ที่เห็นในช่วงนี้ใช้ ที่เลือกที่จะกระจายเงินเดิมพันของตัวเองออกเป็นก้อนเล็กๆ รู้กว้างๆ มีส่วนร่วมหมด แต่ไม่มีความรู้มากเพียงพอว่าจริงๆ แล้ว มูลค่าของกิจการนี้ ที่ตัวเองเชื่อจริงๆ มันอยู่ที่เท่าไร ผมยังคงเชื่อ และคิดว่ากิจการที่เราควรลงทุน ควรเป็นกิจการที่เราอินกับมัน อยากที่จะศึกษามัน รู้จักมัน จนสามารถประเมินมูลค่าออกมา แบบที่เราไม่หวั่นไหว เวลาตลาดหุ้นถูกเทขายหนักๆ ผมเชื่อว่าที่ตรงนั้นจะเป็นพื้นที่ๆ เรามีความได้เปรียบ และอาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีได้ ผมเน้นเลือกกิจการที่เรามี passion และจมดิ่งลึกลงไปในสิ่งนั้นมากกว่าที่จะรู้อะไรกว้างๆ ผมอยากที่จะรู้ว่า ภายใต้ความไม่แน่นอน story ของหุ้นใน scenario ต่างๆ จะมีมูลค่าเท่าไรบ้าง แล้วเลือกจัดสัดส่วนการลงทุนตามหน้าไพ่ ตามความน่าจะเป็นของ risk/reward ที่ออกมาตามนั้น พอร์ตของผม ผมเลือกที่จะมีหุ้นแข็งแรง ผสมกับกองทุน ผสมกับหุ้นตีแตก เพื่อที่ว่าเราจะได้ balance ความเสี่ยง การแบ่งงานและหน้าที่ในการติดตาม ไม่ให้มีภาระในชีวิตมากเกินไป ไม่ใช่มีแต่หุ้นยากๆ ไซส์เล็กๆ ที่มี correlation สูงๆ ทั้งพอร์ต ซึ่งยากในการบริหารจัดการ ผมคิดว่านอกจากผมควรที่จะรู้ลึกจนรู้ว่าหุ้นถูกหรือแพง การบริหารหน้าตัก บริการความเสี่ยง ตลอดจนบริหารอารมณ์ ก็เป็นเรื่องที่ผมอยากศึกษาเพิ่มเติมมากๆ ผมคิดว่าหลังจากศึกษาเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นจบ ผมคงจะไปศึกษาเรื่องการบริหารความน่าจะเป็น และการตัดสินใจในการจัดสรรหน้าตักเพิ่ม ซึ่งถ้าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ พอจะแนะนำได้ว่าผมควรที่จะอ่านอะไร ไปเรียนกับใคร ผมก็รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ
โดย
picatos
เสาร์ ก.พ. 13, 2021 10:35 am
0
16
Re: Value investing และการ disruption
เท่าที่อ่านๆ ดู เหมือนยังงงๆ กับหลักปรัชญาการลงทุนอยู่ value investing ถึงสามารถถูก disrupt ได้ ทั้งๆ ที่มันไม่มีตัวมีตนให้ถูก disrupt ลองเรียน class นี้ดูครับ น่าจะช่วยให้สามารถค้นหาหลักการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองได้ https://youtube.com/playlist?list=PLUkh9m2BorqlDJlnBXUaJaMRNE7UDckn6 http://pages.stern.nyu.edu/~adamodar/New_Home_Page/webcastinvphil.htm แต่ถ้าให้ตอบอย่างย่อ คือ ถ้าคุณเข้าใจกิจการจริงๆ คุณมีความรู้ที่เหมาะสม คุณจะสามารถทำการประเมินมูลค่าหุ้นที่คุณเชื่อมั่นได้ มูลค่าที่ประเมินได้ ถ้ามีส่วนลดจากราคาตลาดในระดับที่มี MOS คุณก็สามารถลงทุนได้ โดยเรียกมันว่า value investing เพียงแต่ว่า กิจการในยุคนี้ที่เป็น start up ที่ขาดทุนอยู่ คุณต้องลงแรงหา intrinsic value ด้วย DCF และถ้ามันมีความไม่แน่นอนสูง คุณอาจต้องทำ Monte Carlo simulation และถ้ามีโอกาสเจ๊ง คุณต้องใส่ truncate risk probability เข้าไปด้วย
โดย
picatos
พุธ ก.พ. 10, 2021 7:33 pm
3
24
เชิญชวนเพื่อนๆ มาเรียน Valuation ด้วยกันครับ
ตอนนี้ผมพึ่งเริ่มเรียน คลาส Valuation แบบ "ออนไลน์" กับอาจารย์ Aswath Damodaran ได้ 1 สัปดาห์ แล้วก็ทดลองเข้าไปเรียน Valuation แบบ "ปกติ" ได้เห็นโครงสร้าง วิธีการสอน การติดต่อสื่อสารทั้งหมดแล้ว เลยอยากเข้ามาบอกเพื่อนๆ ว่าเหตุการณ์ COVID-19 ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ทำให้เกิดโอกาสในการเรียน Valuation หลักสูตรปกติกับอาจารย์ Aswath ฟรีๆ แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ และอยากเชิญชวนเพื่อนๆ มาเรียน หลักสูตร Valuation แบบ "ปกติ" ที่ปรับปรุงใหม่ ของ NYU ด้วยกันครับ ตามปกติอาจารย์เค้าจะสอน Valuation แบบจัดเต็มสำหรับนักศึกษา ป.ตรี และ MBA ที่มหาวิทยาลัย NYU Stern แบบเจอตัวเจอหน้าเจอตากันในห้องเรียนปีละแค่ 1 เทอม 1 รอบ เริ่มเรียนกันประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์นี่แหละ แล้วระหว่างเรียนก็อัดวีดีโอในห้องเรียนจริง แล้วก็เอามาเผื่อแพร่ให้เราดูกันผ่าน YouTube เหตุการณ์ COVID-19 ทำให้เมื่อกลางเทอมของปีที่ผ่านมา อาจารย์จำเป็นต้องเอานักเรียนทั้งหมดย้ายขึ้นมาเรียนบน Zoom แทน ซึ่งตอนย้ายมาเรียนแรกๆ ก็มีปัญหาคลุกคลักอะไรอยู่หลายอย่าง จำเป็นต้องปรับการเรียนการสอน พอจบเทอม อาจารย์เค้าก็ คิดว่า เทอมหน้า Spring 2021 (ซึ่งก็คือตอนนี้) อาจารย์คงต้องสอนใน Zoom อีกแน่ๆ และคิดว่าหลักสูตรการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยทั่วโลกจะถูก Disrupt จาก COVID-19 อาจารย์เลยทำให้การปรับปรุง เพิ่มเติมเนื้อหาครั้งใหญ่ จากเดิมที่มีสอนเนื้อหาหลักๆ คือ 1) Investment Philosophies 2) Corporate Finance 3) Valuation อาจารย์เค้าก็เลยเพิ่มหลักสูตรสั้นๆ สำหรับปรับพื้นฐานคนที่จะมาเรียนกับอาจารย์ ในส่วน Accounting และ การเงินขั้นพื้นฐาน มาให้สำหรับคนที่อาจจะไม่ได้เรียนบัญชีหรือการเงินมาก่อนเลย เรียกได้ว่า ตอนนี้ถ้าคุณเป็นมือใหม่แบบว่าเริ่มต้นเข้ามาลงทุน มาตรงนี้ทีเดียวจบ ครบทั้งหลักสูตร ไม่ต้องไปเสียเวลาที่อื่นอีก มาลองฟังอาจารย์เค้าเล่าโครงสร้างหลักสูตรที่ปรับปรุงทำขึ้นมาใหม่กันครับ https://youtu.be/9L8ScAI24l4 ในคลิปที่อาจารย์อธิบายหลักสูตร ตอนนั้นเดือนสิงหาคม 2020 อาจารย์คงจะคิดได้ว่า ช่องโหว่ของระบบการศึกษาของอาจารย์ยังขาดเรื่องบัญชีอยู่ ซึ่งอาจารย์ก็แนะนำให้ไปเรียน แล้วก็มีหลักสูตรบัญชีของอาจารย์ท่านอื่นให้เรียนฟรี หากลงเรียนกับ online กับทางมหาวิทยาลัย แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำหลักสูตรบัญชีขั้นพื้นฐานแจกอีกหลักสูตรไปเลยดีกว่า เลยเกิดหลักสูตร บัญชีขั้นพื้นฐานสำหรับนักลงทุน ขึ้นในเดือนกันยายน 2020 โลกในยุคก่อน COVID อาจารย์เค้าจะแบ่งการเรียนการสอนออกเป็น "ออนไลน์" ที่เรียนผ่านระบบออนไลน์ของ NYU กับหลักสูตร "ปกติ" ที่เจอตัวกันเป็นๆ หลักสูตรออนไลน์อาจารย์เค้าจะย่อ ตัดเนื้อหาลงสั้นๆ ซอยให้เรียนตามสะดวกสำหรับคนที่อาจจะมีเวลาน้อย ในขณะที่หลักสูตรปกติจะเข้าไปรับแสงเฮ้ากวงจากอาจารย์ในคลาสกันแบบจริงๆ เรียนกันคลาสละ 80 นาที สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ระหว่างสัปดาห์อาจารย์ก็จะมี Assignment ให้ทำ ทั้งไปอ่านบทความ ไปฟังคลิป ทดลองทำ Valuation กับหุ้นจริงๆ ในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ รวมไปถึงมี Test มี Quiz มี อัปเดตข่าวสาร กันตลอดทั้งสัปดาห์ แต่โลกระหว่าง COVID ทำให้อาจารย์ตั้งใจปรับหลักสูตร "ปกติ" ให้กลายเป็นออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการเรียนการสอนและเผื่ออนาคต ซึ่งเป็นโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่หลักสูตร "ปกติ" ที่ตามปกติแล้วคนต้องแย่งกันสอบเข้า NYU กันเข้าไปเรียน ถูกตั้งใจทำให้เป็นออนไลน์ตั้งแต่ต้นไปจนจบ แถมเนื้อหา ข้อมูล การสื่อสารของอาจารย์กับนักเรียนในคลาสเกือบทั้งหมด เป็นการสื่อสารแบบเปิด เราคนข้างนอกสามารถเห็นได้เกือบทั้งหมด เหมือนได้เข้าไปเรียนจริงๆ โดยไม่เสียเงินเลยสักบาท เพื่อนๆ อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่า "มันมีด้วยเหรอ มาให้เรียนกันฟรีขนาดนี้?" ไทยวีไอยังเก็บเงินค่าเรียน คนในไทยคนบางคนพึ่งจะเริ่มต้นลงทุนมาปีหรือสองปีมาเปิดคลาสลงทุนหุ้นเทคฯ เค้ายังมาเก็บเงินเลยอยู่เลย อาจารย์ที่สอนมา 37 ปี มีคนยอมจ่ายเงินแพงๆ ไปลงเรียน มาสอนให้ฟรีๆ แบบนี้ มันมีอยู่จริงเหรอ? มันมีอยู่จริงครับ ถ้าฟังคลิปที่อาจารย์เล่าเกี่ยวกับ โครงสร้างหลักสูตรนี้ ในช่วงต้นของคลิป อาจารย์มีพูดถึง Magic ที่เกิดขึ้นระหว่างการสอน มันเป็นความสุขที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกแบบไหนเทียบเคียงได้ เลยทำให้ไม่ว่าอาชีพอื่นจะรายได้ดีขนาดไหน อาจารย์เค้าไม่สนใจ เค้ารักและมีความสุขกับอาชีพครูจริงๆ และ ตอนท้ายสุดของคลิป อาจารย์บอกว่า เค้าหวังว่าหลักสูตรของเค้าคงจะมีประโยชน์กับเรา แล้วถ้าเรารู้สึกว่าได้ประโยชน์ ก็ไม่ต้องขอบคุณอะไรเค้า แต่ช่วยส่งต่อแชร์ความรู้นี้ออกไป เพราะ อาจารย์เค้าเชื่อว่า ความรู้จะเติบโตได้ด้วยการแบ่งปัน นี่คือ จิตวิญญาณของอาจารย์คนนี้ครับ ดังนั้นเนื้อหาที่เรียน การติดต่อสื่อสารที่เกิดขึ้นกับนักเรียนจริงๆ ถูกเปิดเผยออกมาให้เราเข้าถึงได้ ผมว่าน่าจะ 95% ของหลักสูตร เท่าที่ลองไปเรียนทั้งหลักสูตร "ปกติ" ของอาจารย์ จะมีส่วนที่แตกต่างดังต่อไปนี้ 1) Project ที่ได้รับมา จะไม่มีคนมาตรวจมาให้คะแนน มา Feed Back (แต่ผมเชื่อลึกๆ นะครับ ว่าถ้าเราเป็นคนที่ทุ่มเทจริงจังจริงๆ ลองส่ง Project ที่ได้ Assign มาไปให้อาจารย์โดยตรงทางอีเมล์ อาจารย์คงจะให้ Feed Back แหละ) 2) เราจะเข้าถึงข้อมูลบางอย่างไม่ได้ เช่น Capital IQ แต่อาจารย์เค้ามีทำ ข้อมูลสรุปตัวเลข อะไรหลายๆ อย่างให้เราใช้อยู่แล้วใน Website หรือ Excel File ที่อาจารย์แจกจะมีข้อมูลอุตสาหกรรม ตัวเลขหลายๆ อย่าง ที่เอามาใช้ในการทำ Valuation 3) เราจะไม่มีโอกาสได้ถามตอบใน Session Zoom ในขณะเรียนจริง หรือในช่วง Office Hour (แต่สำหรับคนไทยอย่างเราแล้ว คงจะไม่ค่อยกล้าถามภาษาอังกฤษโชว์หน้าผ่านทาง Zoom อยู่แล้วเนอะ) แต่อย่างพวก Quiz หรือ Test อะไรพวกนี้ อาจารย์เค้าทำระบบให้เราทำเองตรวจข้อสอบเองอยู่แล้ว ความแตกต่างคงจะไม่มี --------------------------------------------------- ถาม จำเป็นไหมที่ต้องเรียนตอนนี้ ในเมื่อมันเป็นออนไลน์อยู่แล้ว เดี๋ยวว่างๆ ค่อยเรียน ค่อยดูได้ไหม? ตอบ เท่าที่ศึกษาแนวคิด วิธีการสอนของอาจารย์ อาจารย์เค้าเป็นคนที่จะเอาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันมาสอน ณ ปัจจุบัน อาจารย์เค้าจะไม่เอาเคสหรือตัวเลขในอดีตมาสอน เพราะ การทำ Valuation สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมันจะมีอคติตัวหนึ่งที่เรียกว่า Hindsight Bias ทำให้คุณค่าความหมายของการประเมินมูลค่ามันหมดไป ดังนั้นทุกๆ สัปดาห์ เราจะมาทำ Valuation กันบนโลกและสถานการณ์จริง มาดูกันสิว่าในมุมมองของเรา Story ของเรา มันแปลงออกมาเป็นมูลค่าได้เท่าไหร่ อย่างเคสล่าสุดของสัปดาห์นี้ ที่อาจารย์ให้ การบ้านมาในวันที่ 2 กพ คือ Game Stop ครับ นักเรียนทุกคนจะได้รับแจ้งให้ไปลองปรับค่า Valuation ใน Excel ไฟล์นี้ โดยให้ทดลองจินตนาการเรื่องราวของ GME ในมุมมองของเรา แล้วเข้าไปปรับค่า 4 อย่างนี้ a. Revenue growth rate b. Target operating margin c. Sales to Invested capital d. Failure probability ค่าที่ได้ออกมาเค้าก็ให้ไปส่งคำตอบกันใน Google Spreadsheet อันนี้ สมมติว่าเวลาผ่านไป 1 ปี เรากลับมาดูเคส GME มันจะไม่สนุกเหมือนที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ เรากำลังเรียนรู้และทดลอง Valuation สิ่งที่เกิดขึ้นจริง กับคนที่สอนเรื่อง Valuation ที่เก่งที่สุดในโลก เราได้ทดลองคิดตาม ทดลองทำ แล้วก็ได้เห็นเพื่อนๆ ร่วมเรียนกับเราแสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ไปด้วยกัน ความสนุก และความจำเป็นที่ต้องรีบเรียนตามให้ทันกับปัจจุบัน และเรียนให้เป็นปัจจุบัน ก็คือ เรื่องนี้แหละครับ และนั่นทำให้ผมจำเป็นต้องรีบเขียน Reply อันนี้เพื่อเชิญชวนเพื่อนๆ ให้รีบมาเรียนตามให้ทันกับเนื้อหาอาจารย์ ------------------------------------------------------------------ ถาม Valuation หลักสูตร "ปกติ" มันมีของ ป.ตรี (UG) กับ ป.โท (MBA) เราควรเรียนอันไหนดี? ตอบ เท่าที่ทดลองฟังดูทั้งสองอัน ผมคิดว่า อาจารย์สอน ป.ตรี ดีกว่าสอน ป.โท ครับ ส่วนสาเหตุนี่ อาจจะเป็นเพราะว่า คนเรียน MBA เค้าจะได้เรียน Corporate Finance กับอาจารย์มาตอนปี 1 แล้ว พอมาปี 2 ค่อยมาเรียน Valuation ในขณะที่ ป.ตรี นี่ น่าจะเจออาจารย์แค่คอร์สเดียว เลยทำให้ผมรู้สึกว่าอาจารย์สอน ป.ตรี ละเอียดกว่า แน่นกว่า อีกทั้งคนที่มาเรียน MBA ส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์การทำงานมาต่างๆ กัน อายุจะมากกว่า อาจารย์เค้าน่าจะจัดเต็มกับ ป.ตรี ให้มากกว่า เพราะ ไม้อ่อนย่อมดัดง่ายกว่าไม้แก่ ในการสอน อาจารย์เค้าเลยจะสอน MBA ก่อน เพื่อเป็นการวอร์มเครื่อง ตอน 14.00-15.20 แล้วค่อยไปจัดเต็มกับ UG ตอน 15.30 เวลาสอน ป.ตรี เลยรู้สึกได้ถึงความไหลลื่น และพลังงานที่มากกว่า อย่างไรก็ตามในส่วนของการสื่อสาร e-mail หรือ Assignment นี่มันมีอะไรแตกต่างกันอยู่เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้เป็นนัยยะสำคัญมาก ถ้าดูหรือเก็บตกได้หมดก็ดีครับ e-mail ของ ป.ตรี e-mail ของ ป.โท เนื้อหาของ ป.ตรี เนื้อหาของ ป.โท ------------------------------------------------------------------ ถาม เรียนหนักไหม? ตอบ หนักครับ อาจารย์เค้าจัดเต็มมาก Assignment เยอะ เนื้อหาเยอะอยู่ เตรียมใจไว้เลยครับว่าต้องจัดสรรเวลาให้กับอาจารย์สัปดาห์หนึ่งอย่างต่ำสัก 10 ชั่วโมง ----------------------------------------------------------------- ถาม ถ้าหนัก เรียนไปแล้วจะได้อะไร? เล่นหุ้นง่ายๆ ไม่ต้องทำงานหนักๆ ก็รวยได้เหมือนกันนี่นา? ตอบ ผมคิดว่า ถ้าเราคิดจะลงทุนในหุ้นเทคที่ขาดทุน การเรียนและมีความรู้ในการ Valuation กับอาจารย์เป็นทักษะและองค์ความรู้ที่สำคัญมาก ผมอาจจะเปรียบเทียบเหมือนกับนิทานเรื่อง ลูกหมู 3 ตัว ในช่วง COVID ที่ผ่านมา ผมเชื่อว่ามีนักลงทุนหลายๆ คนถูกบีบให้ผันตัวไปลงทุนหุ้นเทคที่ขาดทุน จำเป็นต้องรีบศึกษา รีบทำความเข้าใจ Story ของหุ้น แล้วก็ลงทุนเกาะกระแสไปอย่างเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะตกรถด่วน Speed ความเร็วแสง เหมือนเห็นพื้นดินที่เรายืนอยู่กำลังถล่มจำเป็นต้องกระโดดขึ้นรถก่อน ค่อยไปถามละเอียดการเดินทางกับเด็กตั๋ว หรือเพื่อนร่วมขบวนอีกทีว่า รถขบวนนี้ไปไหนกันแน่ เราทำความเข้าใจ Story แบบเร็วๆ จะทำ Valuation แบบเร็วๆ อย่างที่ลงทุนง่ายๆ แบบในอดีตก็ไม่ได้ เพราะ ธุรกิจเกิดใหม่ Business Model ใหม่ ธุรกิจขาดทุน MOS ไม่มีเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยอาการหนีตาย เราเลยจำเป็นต้องประกอบเครื่องบินขึ้นมาระหว่างที่กระโดดลงมาจากหน้าผา (ยืมสำนวนของ Reid Hoffman มาหน่อยนะครับ) เราเลยเอาแค่ Story ก่อน โดยไม่ทำ Valuation เพราะ ทำไม่เป็น และคิดว่าทำไม่ได้ แถมใครๆ เค้าก็ไม่ทำกัน TAM ใหญ่ Quality ได้ Relative Value ดูแล้วไม่น่าเกลียด Key Metric ใช้ได้ กราฟสวย แล้วก็ลุยเลยแล้วกัน ผมคิดว่า Story ที่ไม่มี Valuation ก็เหมือนกับลูกหมูตัวที่ 1 ที่สร้างบ้านขึ้นมาจากฟาง... โอเคแหละ เราได้บ้านที่มีที่คุ้มหัวนอน พอบังแดด บังละอองฝน ให้หลับนอนชั่วคราวในยามจำเป็นได้ แต่บ้านฟางก็เป็นได้แค่เพิง เป็นบ้านพักชั่วคราว ถ้าเจอหมาป่าเป่าทีเดียว มีเฮ... ถ้าเจอความผันผวนไม่แน่นอนในระดับ Micro เช่น กิจการทำได้ไม่ดี ไม่เข้าเป้า เจอคู่แข่งใหม่ๆ ที่ใหญ่กว่า ที่แข็งกว่า กระโดดเข้ามาซัด มาเล่นด้วย บ้านเราอาจจะพังได้ การลงทุนหุ้นเทคที่ขาดทุน ที่เราหวังว่าธุรกิจของเราจะ Scale ขึ้นไปแล้วเกิด Network Effect กลายเป็น Winner Take Most/All เป็นอะไรที่อันตรายมาก เพราะ คนอื่นๆ เค้าก็มองเห็นเหมือนกันและพร้อมที่จะกระโดดเข้ามาแย่งชิงเค้กก้อนโต ทั้งระหว่าง Start-Up ด้วยกันเอง หรือ Big Tech ที่อาจจะลงมาเล่นด้วย กิจการพวกนี้ถ้าดูไม่ดี เลือกผิด โอกาสตายจะสูงมาก เพราะ ในเมือตลาดเป็น Winner Take All แสดงว่าผู้ชนะจะมีน้อยมากในขณะที่คู่แข่งคนอื่นตายหมด การที่เราคิดว่าหุ้นเทคที่ขาดทุนในวันนี้จะกำไรในอนาคตได้ ผมคิดว่าโอกาสผิดมีมากกว่าถูก กิจการที่เราคิดว่าเป็นเพียงแค่ 1 เดียวในตองอู เป็นผู้นำ มีแค่ตัวนี้เท่านั้นที่มีการซื้อขายในตลาด จริงๆ แล้วเราอาจจะแค่มีองค์ความรู้ มีข้อมูล ที่สามารถเห็นได้แค่นั้น แต่จริงๆ แล้วคู่แข่งมีมากกว่านี้อีกเยอะ อาจจะอยู่นอกตลาด อาจจะเป็นบริษัทลูกอยู่ในบริษัทใหญ่ หรืออาจจะอยู่ในต่างประเทศ หรืออาจจะเป็นคนที่มาทีหลังที่ทำได้ดีกว่า ในช่วงที่ตลาดดีๆ เงินท่วม เงินล้น การลงทุนในกิจการที่ขาดทุนก็คงจะยังไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่า กิจการที่คุณลงทุน คือ Amazon.com ไม่ใช่ Pet.com หรือถ้าคุณมั่นใจว่ากิจการที่คุณลงทุนคุณภาพดี แข็งแรง สามารถรอดพ้นผ่านวิกฤตไปได้ ราคาที่คุณซื้อมันสมเหตุสมผลไหม ตัวอย่างเช่น กิจการอย่าง EMC ที่เค้าฮิตๆ เล่นกันช่วง dot com แม้ว่าจะผ่านฟองสบู่แตกไปได้ แต่ก็ไม่เคยกลับไปที่ High เก่าแถวๆ 100 USD สุดท้าย EMC ถูก Dell ซื้อออกไปที่ประมาณ 30 USD ในปี 2016 แม้ว่าจะกิจการจะรอด แต่ถ้าคุณซื้อ EMC ที่ High ทนถือไป 16 ปี คุณก็ยังขาดทุนอยู่ 70% อยู่ดี การเรียน Valuation เหมือนกับการ Upgrade บ้านของเราให้กลายเป็นบ้านไม้ การลงทุนของเรา เราจะรู้ชัดมากขึ้นว่า ราคาที่เราซื้อมันสะท้อนอนาคตอะไรอยู่ข้างในบ้าง ถ้าเกิดคู่แข่งเข้ามา ทำให้ Growth Projection ของเราแย่ลง และทำให้ Valuation ของเราเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไปขนาดไหน เรายังถือต่อได้ไหม หรือจำเป็นต้องรีบขาย เปลี่ยนตัว หรือถ้าราคาขึ้นหรือลงหนักๆ จริงๆ แล้วเราควรที่จะ Take Action อะไรกับมันกันแน่ การถือหุ้นลงทุนจะได้รับอะไรตอบแทนกลับมาในระยะยาว ดังนั้นการที่เรามี Valuation ประกอบกับ Story จะช่วยให้เราเผชิญกับหมาป่าได้ดีขึ้น หมาป่าไม่น่าจะเป่าบ้านเราพังได้ แต่ถ้าเกิดว่าเราเจอกับแผ่นดินไหว หรือ พายุไต้ฝุ่นล่ะ บ้านไม้ของเราจะเอาอยู่ ไหวหรือไม่ ผมเชื่อว่าการลงทุนที่แข็งแรงต้องประกอบด้วย ขา 3 ข้าง เก้าอี้ที่มีขาน้อยที่สุดต้องมี 3 ขา รถที่มีจำนวนล้อน้อยที่สุดที่สามารถทรงตัวได้ ต้องมี 3 ล้อ องค์ประกอบอันสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะ Upgrade บ้านอีกครั้งให้กลายเป็นบ้านอิฐ คือ Portfolio/Money Management กับ Risk Management ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ Diversify การจัดสัดส่วนของ Port กลยุทธ์ในการปรับพอร์ต การมองความน่าจะเป็น Risk/Reward ของกิจการในพอร์ตแต่ละตัว แล้วปรับหน้าตักในการลงทุนให้เหมาะสม อาจจะใช้ Kelly Criterion ตลอดจนการบริหารความเสี่ยง อาจจะทำ Monte Carlo Simulation การใช้ Derivatives ในการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต ฯลฯ ขาที่ 3 นี้เป็นอะไรที่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและประสบการณ์มากๆ ปรัชญา หลักการ แนวทางในการลงทุน ตลอดจนความเข้มแข็งของสภาพจิตใจ การจัดการอารมณ์ มีผลต่อการเลือกกลยุทธ์ Portfolio/Risk Management ที่เหมาะสม เลยทำให้แนวคิดนี้ ถ้าถูก Standardize ออกมาก็จะมีแค่เรื่อง Portfolio Optimization ภายใต้สมมติ Efficient Market สำหรับคนที่ปรัชญาการลงทุนไม่เชื่อเรื่อง Efficient Market แบบนักลงทุนแนว VI จำเป็นต้องปรับแต่งเครื่องมือส่วนนี้กันเอง ถึงขนาดที่ส่วนนี้แหละเป็นส่วนที่ชี้เป็นชี้ตายถึงความสำเร็จและความล้มเหลวของนักลงทุน แม้ว่าจะลงทุนในหุ้นตัวเดียวกัน ลักษณะพอร์ตคล้ายๆ กัน ก็ตาม ขาที่ 3 นี้อาจจะไม่ได้เรียนภายใต้เนื้อหาของหลักสูตรนี้ แต่ถ้ายังไม่มีขาที่ 2 หรือ ขาที่ 2 ยังไม่แข็งแรง ผมว่าอย่าพึ่งไปหาขาที่ 3 เลยครับสำหรับ VI แต่ถ้าไม่ใช่ VI หรืออาจจะไม่อยากเอาดีกับขาที่ 2 จะข้ามไปขาที่ 3 เลย ก็โอเคครับ มี 2 ขา ยังไงก็ดีกว่ามี 1 ขา บ้านไม้ยังไงก็ดีกว่าบ้านฟาง แต่ไม่ว่าจะเป็นบ้านฟาง บ้านไม้ หรือบ้านอิฐ เราต้องเป็นคนลงแรงสร้างเองครับ ไม่มีเทวดาที่ไหนมาเสกให้คุณ คุณอาจจะซื้อหุ้นตามเซียนได้ แต่เวลาพายุเข้า แผ่นดินไหว เซียนเค้าก็ยุ่งกับการหนีตาย เอาตัวรอดเหมือนกันครับ ------------------------------------------------------------------ ถาม ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ฟังไม่ค่อยได้ อ่านก็ไม่ค่อยเป็น ตอบ โชคดีของยุคนี้มากๆ ครับ ที่อาจารย์เค้าเผยแพร่การสอนผ่าน YouTube ใน YouTube สำหรับคนที่ฟังภาษาอังกฤษไม่เก่ง เราสามารถชะลอความเร็วในการพูดของอาจารย์ลง แล้วอ่าน Subtitle ตามไปช้าๆ สำหรับคนที่ภาษาอังกฤษอ่อนแอมากๆ ใน YouTube บน Computer เราสามารถกดให้ YouTube แปล Subtitle ภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาไทยได้ ถึงการแปลจะงงๆ ไปบ้างในบางครั้ง แต่ก็คงช่วยได้มาก --------------------------------------------------- ผมคิดว่าไม่มีโอกาสในการเรียน Valuation ที่ไทยตอนไหน ดีขนาดนี้อีกแล้ว... ผมก็หวังว่าเพื่อนๆ นักลงทุนเน้นคุณค่า คงจะมองเห็นคุณค่าในโอกาสพิเศษแบบนี้เหมือนกับผม และร่วมเรียนไปด้วยกันครับ มาเป็นนักเรียน Valuation ของอาจารย์ Aswath Damodaran รุ่น Spring 2021 ไปด้วยกันครับ
โดย
picatos
อาทิตย์ ก.พ. 07, 2021 5:51 am
2
50
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
อาจารย์แชร์มาให้ดู จาก course ที่เรียนออนไลน์ ดีงาม ควรแค่แก่การดู https://youtu.be/6iZIhoRTxDc
โดย
picatos
เสาร์ ก.พ. 06, 2021 5:45 am
1
10
Re: ลงทุน10ปี กำไรหุ้น 700 เท่า ใครก็ทำได้!
ผมทำไม่ได้ครับ 10 ปี 700 เท่า ผมคิดว่าคนทำได้ในโลกนี้น่าจะมีน้อยมากระดับนับคนได้เลยครับ ชื่อเรื่อง หัวข้อที่ Money Chat ตั้งนี่ ผมคิดว่าทำให้เนื้อหาดีๆ เสียของมากๆ เลยนะครับ มันทำให้คนเริ่มกดเข้ามาฟัง เริ่มต้นด้วยทัศนคติที่ไม่เป็นกลาง ไม่สามารถเปิดรับเนื้อหาได้อย่างเต็มที่ ในเนื้อหาที่สัมภาษณ์ มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือ คุณ VuudD พูดถึงเรื่องที่ว่า รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไป อยากจะจมลงไปในสิ่งนั้น ตั้งแต่ตื่นไปจนถึงหลับ เป็นไปกับการลงทุน เราฟังแค่นี้ เราก็จะรู้สึกว่า เฮ้ย... บ้าไปแล้ว มันจะจริงจังไปหน่อยล่ะมั้ง อยู่กับหุ้นทั้งวันทั้งคืน ไม่เหนื่อย ไม่ทรมานเหรอ? ถ้าเป็นเรา เราต้องทรมานมากแน่ๆ แต่ถ้าคุณไปถามประสบการณ์ตรงกับคุณ VuudD และสามารถรู้สึกเหมือนกับที่คุณ VuudD รู้สึกได้ คุณจะรู้สึกไม่เหนื่อยเลยครับ คุณจะรู้สึกเหมือนกับกายเบา ใจเบา จะคิดจะทำอะไรก็คล่องแคล่ว ว่องไวไปหมด มีความสุขอ่อนๆ อยู่ตลอดทั้งวัน และรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาผ่านไปเร็วมากในแต่ละวัน ลักษณะดังกล่าวเป็นสภาพพิเศษแตกต่างจากสภาพปกติ สภาพแบบนี้ทางในทางพุทธ ก็จะเรียกว่า สภาพที่จิตเป็นสมาธิ ควรค่าแก่การงาน จนเกิดสภาพที่เรียกว่า กายกัมมัญญตาและจิตกัมมัญญตา เป็นผลจากการที่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการงานจนจมดิ่งลงไปกับสิ่งนั้น ซึ่งทางฝรั่งเค้าก็พึ่งจะค้นพบ ศึกษา และก็พัฒนาวิธีการในการเข้าถึงสภาพนี้ โดยเรียกสภาพนี้ว่า "Flow State" ภายใต้ Flow State นักวิจัยได้ศึกษาออกมาว่าประสิทธิภาพต่างๆ ระหว่างที่อยู่ใน Flow State จะเพิ่มขึ้นประมาณ 500% ขึ้น มาลองฟังคลิปนี้ดูครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับน้อง VuudD เค้าถึงทำ Performance จากการลงทุนได้เหนือมนุษย์ปกติ How To Get Into The Flow State | Steven Kotler คนที่มี Mentality ระดับนี้ มันไม่ใช่ "ใครก็ทำได้" "ใครก็เป็นได้" โดยไม่มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม หรือมีการฝึกฝน อย่างในคลิปที่ยกมาก็บอกว่าการเรียนแบบ Montessori เป็นรูปแบบการเรียนที่เพิ่มความสามารถในการเข้าถึง Flow State เราถึงได้ผลผลิตเป็น Larry Page กับ Sergey Brin ที่มาก่อตั้ง Google และได้ Jeff Bezos มาก่อตั้ง Amazon อย่างน้อง VuudD เท่าที่เคยศึกษา ทำความรู้จัก เหตุปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างของในชีวิตเค้า ทำให้เค้าเป็นคนที่มี Passion และ แรงผลักดันอย่างแรงกล้า ที่เป็นตัว Trigger ให้เข้าสู่ Flow State ได้บ่อยๆ จนมันกลายเป็นสภาพปกติของเค้า และนั่นจึงทำให้เข้าถึง Peak Performance ในการลงทุน ในระดับที่น้อยคนจะทำได้ สำหรับตัวเราเอง เราอาจจะรู้สึกว่า เราไม่ได้อยากจะขยันขนาดนั้น ไม่ได้อยากที่จะได้ผลตอบแทนสูงขนาดนั้น เราแค่อยากมีความสุขกับชีวิตธรรมดาๆ ไม่ได้อยากจะเป็นคนที่สุดยอดอะไร ผมอยากบอกว่า ถ้าแม้ว่าเราจะไม่ได้อยากได้ชื่อเสียง เงินทอง อะไรมากมายกับชีวิต แต่สภาพ Flow State มันจะเป็นสภาพที่มีความสุขละเอียดปราณีต ที่เป็นประโยชน์ และน่าที่จะฝึกเอาไว้ใช้ติดตัว ใน Flow State สภาพการรับรู้ตัวตนและเวลาจะหายไป เสียงความฟุ้งซ่าน ความกังวลจะดับลง ร่ายกายจะอิ่มเอิบเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขจากฮอร์โมน จิตจะสงบราบเรียบปราศจากคลื่นรบกวน สิ่งที่ปรากฎขึ้นจะมีปัจจุบันที่กำลังรับรู้สิ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ แค่นั่งหายใจอยู่เฉยๆ ก็มีความสุขอย่างเปี่ยมล้นแล้ว แต่ถ้าคิดจะทำอะไรสักอย่างขึ้นมา ก็จะทำได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพ ลองฟัง TED Talk ของคุณ Mihaly Csikszentmihalyi นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้าน Flow ผู้เขียนหนังสือ Flow: The Psychology of Optimal Experience กันดูครับ Flow, the secret to happiness ถ้าคุณสามารถเข้าถึงสภาพ Flow State ได้อย่างเป็นธรรมชาติ คุณจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น จะกิน จะเดิน จะนอน ก็จะมีความสุขมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามสภาพการเข้าถึง Flow State นี้ แม้แต่บางคนที่เข้าถึงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ก็มีแค่บางจังหวะ หรือมีวิธีการเข้าถึงในบางรูปแบบเท่านั้น Losing yourself in flow state | Diane Allen | TEDxNaperville Fear or Flow: how to create an optimal experience | Cameron Norsworthy | TEDxUWA คำถาม คือ มันเป็นไปได้ไหม ถ้าเราอยากจะฝึก มันเป็นไปได้ไหม ที่เราจะเชี่ยวชาญในการเข้าถึงสภาพนี้ แบบสามารถเรียกใช้ได้ทุกเมื่ออย่างเชี่ยวชาญ คำตอบ คือ เป็นได้ได้ครับ ในทางตะวันตกเค้าอาจจะกำลังศึกษาอยู่ แต่ในทางตะวันออก พระพุทธเจ้าของเราได้ศึกษาจนบรรลุระดับ Master แล้ว ได้สอน และได้เผยแพร่ ถึงความสามารถในการเข้าถึง Flow โดยเรียกความเชี่ยวชาญนี้ว่า "วสี" โดยแบบเป็น 5 อย่าง 1. อาวัชชนวสี ความชำนาญในการนึกถึงสภาพ flow หนึ่งๆ ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา 2. สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าถึงสภาพ flow หนึ่งๆ ให้เกิดขึ้นได้ ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา 3. อธิษฐานวสี ความชำนาญในการให้ทรงอยู่ในสภาพ flow หนึ่งๆ มากน้อย ณ สถานที่และขณะตามที่ปรารถนา 4. วุฎฐานวสี ความชำนาญในการออกจากสภาพ flow หนึ่งๆ ณ สถานที่ และขณะตามที่ปรารถนา 5. ปัจจเวกขณวสี ความชำนาญในการนึกถึงส่วนประกอบ องค์ประกอบของสภาพ flow หนึ่งๆ ณ สถานที่และขณะ ตามที่ปรารถนา แต่ขั้นแรกก่อนที่จะฝึกให้เชี่ยวชาญ เราต้องทดลองมีประสบการณ์ดูก่อนครับ ว่าสภาพ Flow State ที่ดีๆ หน่อยมันเป็นยังไง จะได้รู้จัก และรับรู้ถึงผลลัพธ์ของมันดู เรียกว่า ลองดูหนังตัวอย่างนิดนึง ซึ่งถ้าหากมันน่าสนใจจะได้ลงแรงฝึกต่อ ผมบอกได้เลยว่าการทดลองฝึกตามวิถีพุทธตรงๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว อาจจะยากเกินไปสำหรับคนในยุคนี้ แต่ล่าสุดใน Netflix ได้ร่วมกับ HeadSpace ได้ปล่อยของออกมาให้ลองกันครับ Headspace Guide to Meditation เป็นการฝึกดูลมหายใจแบบมีคนนำทาง ทำแล้วสบายตั้งแต่ตอนเริ่มต้นไปจนถึงตอนจบ ผมคิดว่าน่าลองครับ ทดลองทำดูแค่ตอนเดียว 21 นาที น่าจะรู้เรื่อง แล้วถ้าสนใจค่อยหาทางไปต่อ ไม่ว่าจะเป็นการไปเป็นสมาชิกกับทาง HeadSpace หรือจะไปลองกับของจริง เล่นจริง เจ็บจริง ตามแนวทางพุทธเถรวาท
โดย
picatos
พุธ ก.พ. 03, 2021 4:18 am
0
44
Re: เป็นนักลงุทนปัจจัยพื้นฐานคนเดียวท่ามกลางคนรอบตัวที่เป็นสายอื่น มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจกันอย่างไรบ้างครับ
Start with why
โดย
picatos
จันทร์ ก.พ. 01, 2021 9:28 am
0
5
Re: เป็นนักลงุทนปัจจัยพื้นฐานคนเดียวท่ามกลางคนรอบตัวที่เป็นสายอื่น มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจกันอย่างไรบ้างครับ
ส่วนสำคัญของ VI คือ ส่วนที่เรียกว่า valuation หรือการประเมินมูลค่า ถ้าคุณเป็น VI จริงๆ สิ่งที่คุณควรยึดเหนี่ยว คือ การ valuation ครับ มาดูมุมมองของคนที่ได้ชื่อว่าเก่งเรื่อง valuation ที่สุดในโลกตอนนี้กันครับ Valuation is a craft: “Unlike physics and mathematics, indisputably sciences with immutable laws, valuation has principles but none that meet the precision threshold of a science,” he writes in his blog. “At the other extreme, valuation is not an art, where your creative instincts can guide you to wherever you want to go and geniuses can make up their own rules. I believe that valuation is a craft, akin to cooking and carpentry.” Aswath Damodaran contends that you learn what works in valuation—and what does not work—by doing it. ถ้าการทำ valuation เป็นงานฝีมือมาลองมาดูชีวิตของช่างฝีมือที่น่าจะได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในโลกคนนึงกันครับ “Jiro Dreams of Sushi” on Netflix เมื่อคุณเป็นช่างฝีมือที่เก่งจริงๆ วัตถุดิบที่ดีที่สุด คนที่ดีที่สุด พลังงานจะดึงดูดเข้าหากันเองครับ แต่การจะเก่งในสิ่งนั้นจริงๆ คุณต้องมีความสุขกับการทำสิ่งนั้นจริงๆ คุณต้องรู้สึกแบบ น้อง VuudD ที่รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไป และอยากจะจมเข้าไปในสิ่งนั้น หลับฝันไปกับสิ่งนั้น การที่จะมีแรงบันดาลใจระดับนั้นได้ ต้องเกิดจากศรัทธาที่พิสูจน์แล้วด้วยการกระทำ ว่าสิ่งที่ทำนี้ นำที่ซึ่งความสุขจริงๆ มีความสุขตั้งแต่ก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ เป็นสุขจากภายในที่จะล่องไปอยู่กับ flow
โดย
picatos
จันทร์ ก.พ. 01, 2021 8:52 am
0
23
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
อยากรบกวนสอบถามนิดนึงครับพี่ๆ เวลาใช้ DCF มูลค่าส่วนใหญ่มักไปกองอยู่ที่ Terminal value ในขณะที่ Free cash flow ที่เราพยายามหากันในช่วง 10 ปีแรก มีผลกับมูลค่าน้อยมาก และ Terminal value ส่วนใหญ่ก็หามาจากการจินตนาการซะเยอะ ยิ่ง Life cycle ของบริษัทสั้นลงเรื่อยๆ ก็ยิ่งจินตนาการยากเข้าไปใหญ่ ไม่ทราบบว่าพี่ๆมองจุดนี้ยังไงบ้างครับ ขอบคุณครับ เราก็ต้องเข้าใจกิจการนั้นๆ อย่างลึกซึ้งครับ ต้องทำการบ้านหนักๆ เปลี่ยนจินตนาการของเรา ออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงว่ามันเป็นไปได้ขนาดไหน ศึกษาเคสในอดีตเปรียบเทียบ คุยกับผู้เชี่ยวชาญ ดูเคสการ blitzscaling ของบริษัทเทคในอดีตที่อาจจะใกล้เคียงกับกิจการที่ศึกษา เอาตัวเลข growth บ้าง performance บ้าง market share มา adjust แล้วก็ compressed มันหนักขึ้นไปอีก เพราะ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และ การแข่งขันที่สูงขึ้น เวลา project ให้ดึงยาวไป 10 ปี 5 ปีนี่ไม่พอครับ run way ไม่พอที่จะ turn operating margin ให้เป็นบวก นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกว่าหนังสือเรื่อง narrative and number นี่ดีมากสำหรับยุคนี้ และคลิปทั้งหมดที่ผมแชร์ไป มันน่าจะพอตอบอะไรได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญที่สุด คือ ให้บอกตัวเองเลยว่า มูลค่าที่ได้มาจะเป็นค่าที่ผิด บอกตัวเองเลยว่า มันจะยาก มันจะเหนื่อย และมันจะได้ค่าที่ผิด แต่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนในทิศทางที่ถูก ดีกว่าคิดว่าถูกแต่จริงๆ แล้วโดยอิทธิพลของตลาดยัดมูลค่าที่ควรจะเป็นใส่หัวเราทั้งๆ ที่ผิดไปคนละเรื่องคงละราว โดยที่ไม่มีจุดยึด หรือหลักการจริงๆ ในช่วงฟองสบู่ dot com บริษัทเกินกว่าครึ่งไม่รอด เจ๊ง ล้มละลายไปครับ รอบนี้เป็นฟองสบู่ที่เกิดจาก social media และ tech ที่ก้าวหน้า ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงไปอีก ผมเชื่อว่าอัตราการเจ๊ง และล้มน่าจะสูงกว่ารอบที่แล้ว โดยส่วนตัวผมแค่พยายามหาทางลงทุนที่ปลอดภัยเท่าที่ผมจะยอมรับได้ในสถานการณ์แบบนี้ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับ ว่าทางสายนี้เหนื่อยกว่า ใช้เวลามากกว่าแน่ๆ แถมผลตอบแทนอาจจะต่ำกว่า การที่ดู story คร่าวๆ แล้วเล่นตาม momentum แถมการลงทุนวิธีการนี้จะไปคุยโอ้อวดอะไรใครก็ไม่ได้ จะรู้สึกว่าคนอื่นรู้หุ้น รู้จักกิจการเยอะกว่าเราไปหมด เพราะ สำหรับคนอื่นเค้ามีแค่ story 8-10 บรรทัดก็พร้อมกระโดดใส่กันแล้ว แต่กว่าเราจะรู้จะซื้ออะไรได้สักตัวนี่ใช้เวลาศึกษานานมาก แต่ข้อดี คือ เวลาหุ้นเทคลงนี่มันไม่มี floor นะครับ วันดีคืนดี ลงทีเดียวได้ 70-80% เลย ณ จุดนั้น ถ้าคุณไม่มี valuation ที่คุณเชื่อจริงๆ คุณจะกลัวจับจิตเลยทีเดียว ซึ่งผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่ผมเขียนไป แชร์ไป จะมีคนเอาไปทำเยอะหรอกครับ แค่มีคนสักคนหรือสองคนนำไปใช้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ สำหรับผม เป้าหมายของผม อยากแชร์ให้รู้จักอาจารย์ Aswath มากกว่า การที่มีหลักคิดแนวคิดที่ถูก อย่างน้อยก็ช่วยลดความ over confident ลงไปได้บ้าง และเมื่อมีสติรู้ว่าสิ่งที่ลงทุนมันอาจตายได้ ยิ่งที่ลงทุนมันไม่ใช่ value investing ไม่มี margin of safety มูลค่าทั้งหมดอยู่ในอนาคตที่ปัจจุบันจับต้องไม่ได้ อย่างน้อยจะได้หาเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอันอื่นเข้ามาใช้บ้าง คนที่เป็น VC ก็มีวิธีการบริหารความเสี่ยงแบบ VC คนที่เป็น VC เค้าไม่ได้ใช้ MOS ในการบริหารความเสี่ยงแน่นอน ย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าผมไม่ได้เป็น value investor แม้ว่าผมกำลัง post อยู่ใน board value investor และทุกๆ การลงทุนที่ผมลงทุนอยู่ เป็นการลงทุนที่ไม่ได้ปลอดภัย แบบที่ควรจะเป็นในแนวทางของ VI
โดย
picatos
อาทิตย์ ม.ค. 24, 2021 1:52 pm
0
34
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
เอาจริงๆ นะครับ Linzhi คือ ผมเลิกมองผลตอบแทนเป็นรายปีไปนานแล้วครับ ผมเลิก Benchmark ตัวเองเทียบกับตลาดและคนอื่นมาน่าจะมากกว่า 5 ปีแล้วครับ คือ ถ้าน้องแดมเค้าปีที่แล้วเค้าจะได้ 5 เด้ง 10 เด้ง น้อง VuudD จะเล่นหุ้น 10 ปีได้ 700 เด้ง ผมก็ยินดีกับความสำเร็จของเค้า ยินดีกับความพยายามที่ออกดอกออกผลด้วยอย่างจริงใจ แล้วก็หวังว่าความสำเร็จของเค้าจะทำในสิ่งดีๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็แค่นั้น ส่วนตัวผมได้ปีละ 5% ผมก็พอใจ มีความสุขมากพอแล้ว ถึงแพ้ตลาดก็ไม่เป็นไร ดังนั้นคำถามว่าปีนี้เล็งอะไรคงจะไม่ใช่คำถามของผมในปีที่แล้ว ในปีนี้ และในปีถัดๆ ไป ทุกๆ ครั้งที่หาหุ้น ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากถือตลอดชีวิต เพียงแต่ว่ามันหาได้ยาก เลยได้แค่หุ้นถือแค่ 5 ปี 10 ปี ก็เท่านั้น อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเหตุการณ์ COVID-19 ทำให้ผมเปลี่ยนหลักคิด และปรัชญาในการลงทุนไปเยอะมาก เพราะ ผมคิดว่าถ้าลงทุนสบายๆ ปลอดภัยๆ ไม่ได้หวังอะไรมาก ผมทำได้อยู่แล้ว แต่ผมเห็นมุมมองในการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นไปที่ผลกระทบในเชิงบวกกับสังคมมากกว่า ในช่วงต้นอาจจะลงทุนใน Public Market จนฟอร์มความคิดระดับหนึ่ง ในอนาคตผมก็หวังว่าจะได้มีโอกาสไปลงทุนใน Private Market ใน Start-Up ที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับโลกใบนี้ กิจการที่ผมมองหา คือ กิจการที่เรียกว่า Impact Unicorn กล่าวคือ เป็นกิจการที่ส่งผลกระทบในเชิงบวกให้กับคนระดับ 1 พันล้านคน ทำยังไงให้คนยากจน คนที่ขาดไร้โอกาสมีโอกาสที่มากขึ้น ผมคิดว่า COVID ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีมากขึ้น คำถามคือ เทคโนโลยีในปัจจุบันมีอะไรบ้างที่จะช่วยให้คนจนในประเทศที่กำลังพัฒนามีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งก็จะจินตนาการประมาณว่า คนที่ปากีสถาน บังกลาเทศ หรือแถบแอฟริกาจะมีชีวิตที่กินดีอยู่ดียังไง ผมก็มองว่าความลำบากที่เกิดขึ้นมันต้องเริ่มจาก 1) มีไฟฟ้าที่ถูกเพียงพอ 2) มี Connectivity ที่ถูกเพียงพอ 3) มีงานที่ทำทางออนไลน์ได้ 4) มีการศึกษาทางออนไลน์ที่ฟรี 5) มีการแพทย์ที่ถูกและทั่วถึง เรื่องไฟฟ้า นี่ผมคิดว่าเทคโนโลยีเราอยู่ในจุด Inflection Point แล้ว เพราะ ราคาค่าไฟพลังงานแสงอาทิตย์ต่อกิโลวัตต์ ณ ตอนนี้ถูกกว่าไฟฟ้าจากไฟฟ้าจากถ่านหินหรือแก๊ส ผมได้ฟังสัมมนามาว่า ขนาดที่ตะวันออกกลาง (ซาอุมั้ง) ที่ค่าน้ำมันถูกสุดๆ ต้นทุนยังถูกสู้ค่าไฟฟ้าจาก Solar ไม่ได้เลย ยิ่งกระแสโลกมาทางนี้ Biden ขึ้นมาแบบนี้ สภาพการแข่งขันแบบนี้ ผมคิดว่าโลกมันหมุนไปในทางนี้โดยที่ผมไม่ได้ต้องทำอะไรอยู่แล้ว ประเด็นของคนที่แอฟริกา จะไปอยู่ที่ว่า ถ้ามีไฟฟ้าแล้ว จะทำอย่างไรให้มีรายได้เพิ่มเสียมากกว่า ถ้ามีไฟแล้วรายได้ไม่เพิ่ม สุดท้ายก็ไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่ดี แต่ถ้ามีไฟฟ้าใช้แล้ว Investment Payoff มันชัดเจน สุดท้ายคนก็มีไฟใช้ไปเอง ดังนั้นพลังงานทางเลือก ผมก็จะลงทุนใน ETF ในสัดส่วนของพอร์ตไม่เยอะ Connectivity ที่ถูกเพียงพอนี่ เราก็เห็นเค้าร่างๆ ของ Project Starlink ของ SpaceX แล้วว่า น่าจะช่วยให้คนแทบแอฟริกาได้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตราคาถูก ผมเชื่อว่า Starlink มันเป็น Fixed Cost จ่ายแล้วจ่ายเลย ผมเชื่อว่า Elon Musk น่าจะให้คนในประเทศยากจนใช้งานถูก หรือ ฟรีได้ ซึ่ง Musk เค้าตั้งใจที่จะเอา Starlink เข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาด ดังนั้นถ้าเค้า IPO ผมคงซื้อติดพอร์ต ส่วนจะมากจะน้อยคงขึ้นอยู่กับ Valuation ที่ผมประเมินได้ กับราคาที่ซื้อขายจริงๆ ในอนาคต เทคโนโลยีการทำงาน ผมเห็นความพยายามเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปให้คนใช้ทำงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในช่วง COVID ผมคิดว่าตรงนี้เป็น Universe ที่น่าสนใจมากที่ควรเจาะลึกเป็นรายตัว ลองจินตนาการ Platform ของการทำงานที่ทำให้การประชุมกลายเป็น AR/VR มีการถ่ายบันทึกการประชุม มี AI คอยจดบันทึกและแปลภาษา Track Project นำเสนอข้อมูล ผมว่าประสิทธิภาพของการทำงานในโลกถูก COVID ทำให้ก้าวกระโดดอย่างเหลือเชื่อ รูปแบบการทำงานร่วมกันของคนในอนาคตจะแตกต่างไปจากเดิมอีกเยอะมาก ซึ่งเป็น Space ที่ผมใช้เวลาศึกษาค่อนข้างเยอะ และเห็นโอกาสที่จะทำให้ชีวิตของคนในประเทศด้อยพัฒนาหลุดจากความยากลำบากได้ เพราะ การที่ขีดจำกัดของพื้นที่ ภาษา สีผิว และหน้าตาถูกทำลายไป ความเท่าเทียมกันมันจะวัดกันที่ความสามารถล้วนๆ คนที่เก่งๆ ในบ้านเราจะมีโอกาสในการทำงานแบบ Remote Work กับบริษัทใน US มากขึ้น บริษัท US หรือยุโรปจะได้คนที่มีความสามารถสูงขึ้นในราคาที่ถูกลง ส่งผลให้คนทั่วโลกมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น โดยส่วนตัวแล้วผมให้น้ำหนักกับกิจการที่มี Impact ในส่วนนี้มากที่สุด การศึกษา ผมคิดว่า Space ในส่วนนี้ ถ้าเป็นระดับ MOOC หรือ Youtube ผมคิดว่ามันถูก ฟรี และดีมากอยู่แล้ว ผมมองไปที่ Virtual Classroom แบบ Immersive Experience มากกว่า ผมคิดว่าเด็กที่เรียนผ่านทางหน้าจอ iPad หรือ Note Book นี่ Experience มันยังไม่ดีพอ ผมเชื่อว่ามันจะมีกิจการที่ทำ Platform พวก AR/VR ที่จะทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุก เป็น Adaptive Learning หรือเป็น Learning by Playing ที่จะทำให้ชีวิตของเด็กยุค Gen Alpha ดีกว่านี้รอให้ผมลงทุนอยู่ จริงๆ แล้ว COVID-19 เป็นการปลดล็อคทางองค์ความรู้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยนะ ในความรู้สึกของผม งานสัมมนาระดับโลกหลายๆ งาน ที่ถูกทำให้กลายเป็น Virtual แล้ว Scale Up ในระดับหนึ่ง ปีที่ผ่านมาผมได้ฟังอะไรเทพๆ จากคนเทพๆ ที่ผมคงจะไม่มีโอกาสได้ฟังหากไม่เกิด COVID เพิ่มขึ้นเยอะมาก อย่าง Janet Yellen รมต. กระทรวงการคลัง หรือนายกรัฐมนตรีหลายๆ คน ผมมีโอกาสได้เข้าไปร่วมฟัง และสามารถส่งคำถามที่อยากถามไปถามได้ ถามจริงๆ เถอะว่าถ้าไม่มี COVID เกิดขึ้น ผมจะได้มีโอกาสขนาดนี้ไหม ดังนั้นผมเชื่อว่า COVID-19 ทำให้คนเก่งขึ้นมาก เวลาคนต้องพยายามต่อสู้ เจอกับวิกฤต มันจะเป็นช่วงเวลาในการพัฒนาศักยภาพสุดๆ ดังนั้นผมเชื่อว่าคนในโลกวันนี้เก่งกว่าเมื่อหนึ่งปีที่แล้วไปมาก ในเรื่องการแพทย์ ผมเชื่อว่า COVID-19 ได้ปลดล็อค Telehealth จะมีการนำ AI และ Technology หลายๆ อย่างมาทำให้การแพทย์มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ราคาถูกลง และเข้าถึงได้หลากหลาย แต่ในธุรกิจ Telehealth ผมคิดว่ามันเป็น Local Network Effect เพราะ เรื่องกฎหมายและ Ecosystem ของแต่ละประเทศ อง Impact มันไม่ถึงระดับพันล้านคน ดังนั้นน้ำหนักในการลงทุนสำหรับผมจึงไม่ได้เยอะมาก อันนี้เขียนแนวทางคร่าวๆ ที่ผมอยากจะใช้ในการลงทุนในระดับ 10-20 ปีนี้นะครับ ปล. จริงๆ ที่อยากลงทุนที่สุด คือ กิจการที่ทำคนสามารถช่วยเหลือกันได้ โดยไม่ต้องใช้เงิน ทำมากกว่าสามารถแบ่งปันให้กับคนที่มีน้อยกว่าได้อย่างสบายใจ โปร่งใส มีผลลัพธ์ที่ดี และเหมาะสมทันท่วงที หวังว่าจะมีบริษัทที่ทำ Philanthropy Platform บางอย่างเกิดขึ้นให้ลงทุนในอนาคต
โดย
picatos
เสาร์ ม.ค. 23, 2021 5:59 pm
2
87
Re: การประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่ขาดทุน
ถ้าอ้างอิงจากหลักสูตร Investment Philosophies ของอาจารย์ Aswath แล้ว Value Investing กับ Venture Capital นี่มันเป็นหลักปรัชญาที่ใช้กับคนที่มี Mentality กับความเชื่อต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย VC นี่ถือว่าเป็น Active Investor ที่เข้าไปล้วงลูกยุ่งเกี่ยวกับ Start-Up เยอะมากๆ ถ้า Linzhi ชอบเรื่อง VC จริงๆ ถ้าได้ Access PitchBook นี่ขอบอกได้เลยว่า Mind-Blowing มากๆ แต่สาย VC ในไทยคงจะไปทำจริงๆ จังๆ คงจะไม่ได้ เพราะ มันเป็นเรื่องของ Social Capital ที่เป็น Local Network Effect ที่ไม่มีในไทย ถ้าอยู่ที่ SF หรือ จีน คงจะมีโอกาสมากกว่านี้ อย่างพวก VC เท่าที่ฟังอาจารย์เค้าอธิบายใน YouTube ก็อย่างที่หลินว่า พวก VC เค้าคิด Exit Value แล้ว Discount กลับมาที่ 50-60% โดยส่วนตัวแล้ว เราคงจะไม่สามารถเจาะลึกได้ระดับ VC แต่โอกาสของเราจะไปอยู่จังหวะที่ IPO มากกว่า เพราะ เดี๋ยวนี้ตลาดยอมให้บริษัทเข้าตลาดในจังหวะที่เป็น Early Stage มากขึ้น การได้ข้อมูลในเชิงลึกจาก PitchBook หรือ CrunchBase ก่อนที่พวกนี้จะเข้า IPO จริงๆ อาจจะทำให้เราประเมินมูลค่าได้ หรือ ทำความเข้าใจพฤติกรรมของคนที่กำลังจะขายหุ้นให้กับเราได้มากขึ้น ส่วนการใช้ DCF ยังไงผมก็คิดว่าต้องใช้อยู่ดีนะครับ อย่างในเคสของ TSLA ถ้าดูใน คลิปอันนี้ อาจารย์เค้าทำ Valuation ให้เราดู เค้าให้ Template Excel เราไปลองเล่นดูเลยครับ ว่าเราคิดว่า Story ของ TSLA ของเราจะให้ Story มันโตได้ขนาดไหน เป็นแค่บริษัทรถยนต์ หรือเป็น Tech Auto เป็น Auto FANNG หรือว่า สุดยอดบริษัทที่ตัวเลขทางการเงินดีมากๆ แบบที่ไม่เคยมีบริษัทไหนในโลกดีได้ขนาดนี้มากก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้ Discount ด้วย WACC ตามปกตินะครับ อาจารย์ใช้ Cost of Capital ที่ 7% ประเด็นอยู่ที่ว่า พอบริษัท Young Growth พวกนี้ที่ผ่านช่วงในการหา Product Market Fit แล้ว มาอยู่ในช่วง Scale ธุรกิจ มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องอ่านให้ขาดว่า Story ที่เราคิด TAM ใหญ่พอไหม Dynamic ของการแข่งขันเป็นอย่างไร Growth Assumption ของเรามันจะไปได้กิน Market Share ได้เท่าไหร่จาก TAM โครงสร้างธุรกิจสุดท้ายแล้ว เราคิดว่าที่จังหวะที่เริ่ม Mature แล้ว Operating Margin จะเป็นเท่าไหร่ และ Reinvestment Efficiency เป็นอย่างไร (ทั้งหมดที่เขียนมา จำขี้ปากอาจารย์เค้ามาเขียนนะครับ อย่างไรรบกวนกลับไปอ่านที่ต้นทางเองจะดีกว่า) ปัญหาของ Relative Valuation ที่เราใช้กันทุกวันนี้ คือ ไม่ว่าลักษณะเชิงคุณภาพของแต่ละกิจการมีความแตกต่างกันมาก แต่เรากลับใช้มูลค่าเชิงเปรียบเทียบกับ Peer Comparison คือ มันง่ายในการใช้งานก็จริง แต่มันอาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริงก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจ Platform อย่าง AirBnB โดยส่วนตัวผมคิดว่าธุรกิจ Platform จุดสำคัญ คือ ตอนออกแบบ Platform และกำหนดราคาตั้งแต่แรก ในมุมมองของผม โครงสร้างต้นทุนของ AirBnB สูงกว่าธุรกิจ OTA อย่าง Booking.com อย่างมาก ทั้งความยากในการ Match ลูกค้า ต้นทุนทางกฎหมาย ตลอดจนการที่ต้องทำประกันให้กับ Host แต่ด้วยความที่ Founder ตอนสร้าง AirBnB ขึ้นมาตอนแรกกลัวคนไม่ใช้ เลยกำหนด Transaction Cut ให้เท่าๆ กับ Booking.com เลยทำให้ทุกวันนี้ แม้ว่ารายได้จะโตในระดับเดียวกับ Booking.com เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว แต่อัตราการทำกำไรก็ต่ำกว่ามาก อีกทั้ง 60-70% ของยอดจอง AirBnB ไป Overlap กับสิ่งที่ Booking และ Expedia จะเข้ามาได้ ซึ่งมองไปในอนาคตการจะไปหวังว่า NPM ของ AirBnB จะขึ้นไปเท่ากับ Booking.com คงจะเป็นเรื่องยาก เรื่องนี้ ถ้าไม่ทดลองทำ DCF จะไม่มีทางเห็นมันออกมาผ่านทาง Relative Valuation อย่างแน่นอน หรืออย่างในเรื่องกิจการ 2 กิจการ ที่ TAM และ Target Market Share มีขนาดไม่เท่ากัน และลักษณะของธุรกิจเป็น Local Network Effect หรือเป็น Global Network Effect เรื่องพวกนี้ก็มองไม่ออกผ่านทาง Relative Value หรือในประเด็นที่ว่าหากธุรกิจที่เราลงทุน เป็นธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งๆ ที่ปกติ Peer Comp จะใช้ได้ก็ต่อเป็นมันเป็นธุรกิจดั้งเดิม ที่เราเชื่อใน Mean Reversion และคิดว่า บริษัทที่เราวิเคราะห์แข่งขันได้เก่งกว่าชาวบ้านเค้าในบางประเด็น เรารู้ตลาดโดยรวมอยู่แล้ว เราจึงพอจะใช้ Peer Comp ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในธุรกิจเกิดใหม่ ที่กำลังสร้างตลาดใหม่ๆ ขึ้นมา Peer Comp ที่เราใช้ กลับเป็น Peer Comp ข้ามอุตสาหกรรม เช่น เราเทียบ SaaS ของ Cyber Security ไปเทียบกับ SaaS ของ Human Capital หรือ Data Storage เป็นต้น แต่เห็นด้วยครับว่าการลงทุนใน Young-Growth Company ปัจจัยเชิงคุณภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าปัจจัยเชิงปริมาณ แต่การที่เราไม่ได้เป็น VC ที่จะสามารถเข้าไปคุยกับ Founder ได้ตรงๆ นี่ ทำให้การแปลงปัจจัยเชิงคุณภาพให้เป็นปัจจัยเชิงปริมาณได้ เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายสำหรับการลงทุนที่สมเหตุสมผลและปลอดภัย และโอกาสก็เกิดขึ้นตรงนี้แหละครับ ในมุมของคนที่เคยสอน Valuation มา คือ ถ้าคนส่วนใหญ่ใช้วิธีการ Valuation ยังไง เราจำเป็นต้องเหนือกว่า เพื่อขยายมุมมองที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็น อย่างตอน AOT หรือ THCOM สมัยก่อน จังหวะที่ซื้อ มันคือจังหวะที่คนส่วนใหญ่มองที่ P/E ในขณะที่นักลงทุนขั้นเทพมองไปที่ EV/EBITDA ในจังหวะที่ค่าเสื่อมกำลังจะหมดลง แล้วก็สามารถทำกำไรได้มหาศาล ดังนั้น ในจังหวะที่คนส่วนใหญ่มองไปที่ P/S ใช้ Rule of 40 คุยกันแต่เรื่องจะโตอย่างนั้น โตอย่างนี้ การที่จะเหนือขึ้นไปอีกขั้นได้ ก็เหลือแต่ DCF แล้วล่ะครับ มันจะมีกิจการบางอย่างที่เราเชื่อว่า TAM มันใหญ่พอ ในขณะที่กิจการนั้นยัง Gain Market Share ได้อีกเยอะ แล้วทำให้ P/S ที่ 50 เท่าก็อาจจะเป็นหุ้นราคาถูกได้ ถ้าใช้ DCF อย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริง แต่ถ้าเหนือว่า DCF ก็คงจะต้องไหว้พระ ทำบุญ สวดมนต์ เยอะๆ แล้วครับ
โดย
picatos
เสาร์ ม.ค. 23, 2021 3:45 pm
0
75
Re: อยากขอสอบถามนักลงทุน full time เรื่องการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
อยากสอบถามพี่ picatos ครับพอดีเพิ่งอ่านเรื่อง Sapiens มาที่เค้าพูดประมาณว่า สุดท้ายแล้ว ศาสนาก็คือการหลอมคนหมู่มากให้มาศรัทธาหลักการอะไรบางอย่าง เพื่อจะได้ชักจูงมวลชนได้ง่าย ด้วยความเคารพ อย่างเช่น มีคนพูดว่า พุทธศาสนาสอนให้เรารู้จักพอ สงบ แต่บางท่านก็มองว่า การรักสงบทำให้ประชาชนกลายเป็นเครื่องมือในการก้มหน้าก้มตาหาเงินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีสิทธิ์มีเสียงอะไรมาก ไม่ต้องทะเยอทะยาน จนมีคำพูดที่ว่า ถ้าเรารวยพออยู่เมืองไทยจะสบาย แต่ถ้าเราไม่ได้มีเยอะถึงขั้นนึงอยู่เมืองไทยจะเหมือนโดนกดขี่โดยระบบโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยส่วนตัวคิดว่าพุทธศาสนา ไม่เหมือนศาสนาอื่น เพราะเป็นศาสนาที่สอนให้เชื่อแบบมีหลักการครับ ไม่แน่ใจว่าถามอะไร แต่คิดว่าน่าจะถามความคิดเห็นใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นความคิดเห็น ผมคิดว่าคนแต่ละคนพูดสิ่งหนึ่งออกมาด้วยเจตนา วัตถุประสงค์ ที่แตกต่างกัน ในวงการศึกษา เวลามีคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของหลักการ ยกหลักการ หรืองานวิจัยชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแหล่งอ้างอิงให้ผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านที่มาได้ เพราะ ผู้พูด ผู้เขียน ก็อาจจะเข้าใจสิ่งที่อ้างอิงไม่ถูกต้องก็ได้ ดังนั้นใครกรณีก็เช่นกัน คนที่ยกเรื่องพุทธศาสนา ขึ้นมาใช้ประโยชน์ดังกล่าว อาจจะมองเรื่องผลประโยชน์ในการใช้คำสอนทางพุทธบางประโยคมาเข้าข้างผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งหน้าที่ของผู้ศึกษาที่มีปัญญาก็ควรจะยกสิ่งที่อ้างอิงกลับไปที่ต้นกำเนิด ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ ทีนี้ที่คนบอกว่า พุทธสอน ให้พอ ให้มักน้อย ยินดีในของๆ ตน ก็ต้องไปดูบริบทว่าประโยคนั้นท่านกำลังสอนใคร ท่านกำลังสอนพระ หรือสอนฆราวาสกันแน่ เพราะ สอนพระผู้แสวงความสงบก็แบบหนึ่ง สอนฆราวาสที่แสวงหาความสำเร็จก็แบบหนึ่ง สอนโจรให้เป็นโจรที่ดีที่อยู่รอดในระยะยาวได้ก็อีกแบบหนึ่ง หากไปดูคำสอนที่ท่านสอนฆราวาส ท่านก็สอนให้ทำอะไรทำเต็มกำลัง เต็มความสามารถ สอนให้รู้จักการบริหารเงินที่จะได้ว่าจะจัดสรรอย่างไร สอนให้รู้จักมีความสุขกับทรัพย์ที่หามาได้อย่างไร ทำประโยชน์ให้กับความรอบตัวอย่างไร ท่านถึงกับตำหนิคนที่หาเงินมาได้แล้วรู้จักแต่ทำประโยชน์ให้คนอื่น แต่หาความสุขกับตัวเองไม่ได้ สอนให้รู้จักการหาแบบไม่เบียดเบียนคนอื่น เพราะ จะได้ไม่มีภัยในภายหลัง ตลอดจนสอนไปถึงขั้นว่าชาตินี้อยู่ดีมีสุขแล้ว จะทำอย่างไรชาติหน้าถึงจะมีความสุขยิ่งกว่านี้ ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง รูปร่างหน้าตาสวยงามเลย จะได้ไม่ต้องมีเสียเวลาหาแบบชาตินี้อีก หรือจะได้ไปเกิดถูกที่ถูกทาง ได้ขึ้นไปเล่นในลีคระดับโลกเลย ไม่ต้องเสียเวลาในไทย ทีนี้ผมเข้าใจว่าประโยคตัวอย่างที่ยกมา เป็นการเอาคำสอนที่ใช้สอนพระที่แสวงหาความสงบ มาใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนสังคม ที่เป็นฆราวาส คนฟังที่ไม่ไปศึกษาว่าหลักการนั้นๆ จริงๆ แล้ว คือ อะไรกันแน่ ก็เชื่อกันไปง่ายๆ โดยไม่ใช้หลักกาลามสูตรที่ท่านก็มีสอนอีกเหมือนกัน เข้าไปตรวจสอบสิ่งที่ถูกยกมา เอาจริงๆ คือ โลกยุคนี้ บางทีเราเชื่ออะไรกันง่ายเกินไปหรือเปล่า เราซื้อหุ้นโดยศึกษามากขนาดไหนก่อนซื้อ เราถูกภาพ เสียง และประโยคไม่กี่ประโยคมามีอิทธิพลกับชีวิตมากขนาดไหน
โดย
picatos
พุธ ธ.ค. 30, 2020 8:04 am
0
7
Re: อยากขอสอบถามนักลงทุน full time เรื่องการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
... สำหรับผมความหมายของการมีชีวิตคือ มีอิสระจากความคิด ขออนุญาตสอบถามหน่อยนะครับ ว่า อิสระจากความคิด ของคุณ Tibular มีความหมายว่าอย่างไร แบ่งแยกอย่างไร มีระดับขั้นไหม มีวิธีฝึกอย่างไร รักษาความสามารถและวัดผลอย่างไรได้บ้างครับ
โดย
picatos
อังคาร ธ.ค. 29, 2020 4:05 pm
0
0
Re: อยากขอสอบถามนักลงทุน full time เรื่องการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
ขอบคุณมากครับ ได้มุมมองที่ดีในการหาความต้องการในชีวิต แต่ขอสอบถามเพิ่มว่า คุณ picatos มีมุมมองยังไง กับ การแบ่งปัน ให้กับ คนที่ด้อยโอกาส หรือยังมองไม่เห็นทาง เพื่อ ทำให้คุณภาพของคนเหล่านี้ ดีขึ้น พอดีผมเป็นลูกเกษตรกร เจอปัญหาความไม่สามารถเข้าโอกาสมาตั้งแต่เด็ก แต่เปลี่ยนชีวิตได้เพราะมีพ่อแม่ที่ขยันและครูที่ดี ,การศึกษา, โชค, ความพยายาม และการทำตามตามอาจารย์ที่คิดว่าถูกคนอ่ะครับ จากการศึกษา ทดลอง พยายามเข้าไปช่วยเหลือเปลี่ยนแปลงชีวิตคนหลายๆ คน แบบที่พร้อมที่จะเข้าไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวป้อนข้าวเลี้ยงดู พร้อมที่จะบริจาคทุ่มเงินให้เป็นล้านๆ ก็พบความจริงตามพระพุทธพจน์นี้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ เป็นเรื่องจริงที่แปลกประหลาดมากๆ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องของกรรม ว่าแม้ว่าตัวผมและภรรยาจะพร้อมที่จะยินดีทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ แต่ก็จะมีเหตุบางอย่างที่ทำให้คนเหล่านั้นอยู่ๆ ก็หูตาฝ้าฟาง ปฏิเสธไม่เอา ไม่รับ หรือมีเหตุให้พลัดพรากจากโชคลาภ หรือทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ซึ่งหากได้มีโอกาสศึกษาพุทธประวัติ จะพบว่า พระพุทธองค์ก่อนที่จะไปโปรดใคร ท่านจะพิจารณาถึงกรรม ถึงอดีตเหตุของคนๆ นั้น เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ก่อนว่าคนๆ นั้นมีความเหมาะสมพร้อมที่จะรับ ก่อนที่จะไปโปรด ดังนั้นในมุมของเราเองที่ไม่มีญาณหยั่งรู้อดีตเหตุ ตลอดจนเข้าไปเห็นผลลัพธ์ ผลกระทบ ของสิ่งที่เราจะไปช่วยเหลือคนอื่น ก็อาจจะต้องหยั่ง ทดลอง และติดตามผลของความช่วยเหลือแต่ละอย่างดู แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไปว่าการให้แบบไหน ระดับไหน เหมาะกับเรา เหมาะกับเค้ากันแน่ โดยส่วนตัว ในเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิต ผมคิดว่าเทคโนโลยีในยุคนี้ ตลอดไปจนถึงอนาคต ทำให้โอกาสของคนมีความแตกต่างน้อยลงไปเรื่อยๆ อย่างตัวเราเองในยุคนี้จะเห็นได้เลยว่า โอกาสในการเรียนรู้ ศึกษา ผ่าน YouTube หรือการเรียนทางออนไลน์มันมากมายมหาศาล การเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อเริ่มทำธุรกิจก็มีมากขึ้น ต้นทุนการทำธุรกิจการต่ำลง และแนวโน้มก็ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ให้คนในโลกมีโอกาสเท่าเทียมกันมากขึ้นเรื่อยๆ (แม้ว่าจะมีความแตกต่างของรายได้ที่มากขึ้น) สุดท้ายในมุมของคนที่อาจจะเคยด้อยโอกาส ผมเชื่อว่าปัจจุบันมีโอกาสมากขึ้นกว่าเดิมมาก ขึ้นอยู่กับว่าจะมีมุมมองอย่างไร จะกล้าไหมที่จะลงมือทำเพิ่มยกระดับชีวิตตัวเอง โดยส่วนตัว ผมพยายามลงทุนในกิจการที่ช่วยยกระดับความเท่าเทียมกันของมนุษย์ อย่าง YouTube หรือ Google หรือไม่ก็กิจการ freelance ที่ช่วยให้คนในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราๆ หรืออินเดีย บังกลาเทศ ได้มีโอกาสที่จะทำงานหารายได้ผ่านทางออนไลน์ เป็นต้น ผมอยากลงทุนในกิจการที่เพิ่มโอกาสให้กันคน แล้วก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรม เรื่องของทัศนคติของคนแต่ละคนแล้วล่ะ ว่าอยากจะใช้โอกาสเหล่านั้นหรือไม่ ในแง่ของการบริจาค ผมมักจะบริจาคให้คนที่ถูกภัยสงคราม ภัยธรรมชาติ ไร้ที่อยู่ หรือคนที่ถูกโรคภัยไข้เจ็บแต่ไม่มีเงิน เพราะ ผมคิดว่าการยกระดับคุณภาพชีวิตมันเป็น mindset ที่เราต้องทำทุกวัน ถ้ามี mindset ที่ผิด ให้เป็นไปเท่าไรก็หมด แต่ภัยชั่วคราวที่มีความรุนแรง อาจจะจรมาเจอ มันอาจจะทำให้ทุกอย่างที่พยายามทำมามันพังทลายลง ผมเลยเน้นใช้เงินไปช่วยพวกนั้นมากกว่า ช่วยคนที่เดินสะดุดล้มลง ได้ยืนขึ้น และมีกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อ ส่วนในแง่ความรู้ ผมรู้สึกว่า ถ้าเราจะแชร์อะไรสักอย่างกับสังคม มันต้องเป็นอะไรบางที่เราอินกับมัน อยากจะพัฒนามันให้ยิ่งขึ้น และผู้รับได้ประโยชน์ โดยส่วนตัวความรู้เรื่องการลงทุน ตัวผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไร คนอื่นๆ ที่เก่งกว่าผมมีเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว แถมผมก็ไม่ได้อินกับการลงทุน ผมลงทุนก็แค่เป็นการหาเงินเอาไว้ใช้ดำรงชีวิต ไม่ได้ชอบอะไรกับการหาเงิน เพราะ สุดท้ายตายไปก็เอาไปไม่ได้สักบาท ไม่รู้จะพยายามหามากๆ ไปทำไม หลังๆ เลยไม่เข้าสังคมนักลงทุน ไม่เขียนอะไรเกี่ยวกับการลงทุน เพราะ มุมของการลงทุนของเราไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อหาเงินให้ได้มากๆ แบบคนอื่นเค้าแล้ว แต่ผมคิดว่า ความพิเศษ ความอิน ของผมน่าจะเป็นการที่ผมทุ่มเทชีวิตกับการศึกษาธรรมะ และมีพื้นฐานเป็นนักลงทุนอยู่บ้าง ดังนั้นการได้มาตอบกระทู้นี้ ก็เหมือนจะเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่หวังว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง เผื่อเป็นทางเลือกของแนวคิดอีกแบบหนึ่ง ที่สามารถเอาไปเลือกใช้ได้
โดย
picatos
อังคาร ธ.ค. 29, 2020 8:33 am
2
30
Re: อยากขอสอบถามนักลงทุน full time เรื่องการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
ขอเขียนอธิบายเพิ่มนิดนึงนะครับ พอดีภาษาในพระไตรปิฎกอาจจะต้องแปลเป็นภาษาชาวบ้านนิดนึง คำว่า บรรลุธรรมที่ถูกต้อง จริงๆ แปลว่า การค้นพบความจริง และรู้แจ้งในความจริง เรื่องสุขทุกข์ ตลอดจนเหตุแห่งสุขและทุกข์ ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน แปลว่า การเข้าถึงความสุขที่จริงแท้ถาวร เป็นบรมสุข ที่ไม่เสื่อมไป คลายไป สลายไป แบบสุขในรูปแบบอื่นๆ ในทางโลก หรือ สุขจากความสงบในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว
โดย
picatos
จันทร์ ธ.ค. 28, 2020 7:35 pm
3
11
Re: อยากขอสอบถามนักลงทุน full time เรื่องการหาความหมายของการมีชีวิตอยู่หลังจากมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว
โดยส่วนตัวเป็นคนที่ถามตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า เราเกิดมาทำไม เราต้องการอะไรจากชีวิต แล้วก็พยายามเรียนรู้หาคำตอบไปเรื่อยๆ คำตอบแรกๆ คือ รู้ว่ามนุษย์มีหน้าที่แสวงหาความสุขและหลีกหนีความทุกข์ หลังจากนั้นก็พยายามเรียนรู้ความสุขและความทุกข์ของตัวเองมาเรื่อยๆ เพื่อเรียนรู้ค้นหาว่าความสุขแต่ละอย่างคืออะไร เป็นแบบไหน มีลักษณะอย่างไร แบบไหนซาบซ่านมากกว่า แบบไหนคงทนมากกว่า แบบไหนนำมาซึ่งความความสงบ แบบไหนนำมาซึ่งความวุ่นวาย ระหว่างการเรียนรู้ ก็พบว่า ในการที่จะมีอิสรภาพในการที่จะไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างอิสระ มันมีอาชีพแบบหนึ่งที่เรียกว่า นักลงทุน เป็นอาชีพที่เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ต้องใช้เวลาเยอะๆ ไปกับการหาเงิน เราสามารถที่จะใช้เวลาแค่ 1-2% ของชีวิตในการหาเงิน แล้วเราสามารถเอาเวลา 98-99% ของชีวิตไปทำอะไรอย่างอื่น ซึ่งตอนที่เรียนจบจะออกมาทำงานแรก ก็ตั้งเป้าเอาไว้เลยว่า งานสุดท้ายของเรา คือ การเป็นนักลงทุน เวลาผ่านไป 10 ปี จากการเก็บเงินจากเงินเดือนที่แบ่งในลงทุน ก็พบกับอิสรภาพทางการเงิน แต่ช่วงก่อนที่จะพบกับอิสรภาพทางการเงิน ในปีที่ 7 ในการลงทุนก็พบกับวิชาที่ว่าด้วยการศึกษา สุข และ ทุกข์ ที่เรียกว่า พุทธศานา โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า สติปัฏฐาน เป็นเครื่องมือในการเข้าไปสำรวจ สุขทุกข์ ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจ สุขทุกข์ ในรูปแบบต่างๆ ด้วยเหตุนี้ พอเกษียณ ได้รับอิสรภาพทางการเงินจึงแบ่งเวลาที่ได้มาอิสรภาพทางการเงินในการเข้าไปฝึกวิชานี้ เพื่อที่จะได้เอาไปใช้ในการศึกษา เข้าใจ และเข้าถึง ความสุขที่ละเอียดปราณีตที่ยิ่งขึ้นไป ผ่านมาจากวันที่เริ่มรู้จักวิชานี้มา 10 ปีแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ยังสนุกกับการได้เรียนรู้ และฝึกฝนวิชานี้อยู่ โดยส่วนตัวคิดว่าวิชานี้เป็นสุดยอดวิชา เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นเครื่องอยู่ (วิหารธรรม) ที่เอาไว้ใช้ในการดำรงชีวิต ที่ทำให้อยู่ในโลกใบนี้ได้ด้วยจิตใจที่ร่มเย็น เบาสบาย ทำให้ทุกๆ ขณะที่มีสติ ที่มีความรู้สึกตัว เป็นทุกขณะที่มีคุณค่าความหมาย และสามารถมั่นใจได้ว่า แม้ขณะที่กำลังจะตาย ก็สามารถที่จะตายได้อย่างสงบสุข ปราศจากความกังวล สรุป ผมเชื่อว่า วิชาที่ชื่อ สติปัฏฐาน เป็นวิชาที่คุณ XO สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการหาความหมายของชีวิต ตลอดจนสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตที่มีประโยชน์ที่น่าลองศึกษาดูครับ หากศึกษาอยากถูกวิธี พระพุทธเจ้า ท่านรับประกันเอาไว้ว่า ผลของวิชานี้ ดับทุกข์ โศก ทั้งหมดที่มี และทำให้เข้าถึงความสุขที่บริสุทธิ์ เข้าถึงองค์ความรู้อันยิ่งใหญ่ตามพุทธพจน์นี้ หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ
โดย
picatos
จันทร์ ธ.ค. 28, 2020 3:04 pm
1
26
Re: ใครที่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดปีนี้บ้างครับ หรือรุ่นพี่viอยากจะแนะนำหน้าใหม่บ้างครับ
... สุดท้ายนี้ขอต้อนรับสู่โลกอันโหดร้ายของตลาดหุ้น มีแต่มนุษย์หุ้นพันธุ์แท้เท่านั้นที่จะเอาสมบัติลํ้าค่าออกจากที่แห่งนี้ได้ อ่านที่พี่ drsp แล้วรู้สึกอยากต้อนรับมือใหม่ในอีกแบบครับ ขออนุญาตนะครับ... ขอต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งการลงทุน ที่คุณจะได้สนุกสุดๆ ไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มีความสุขกับความสว่างที่ได้รู้อะไรมากขึ้น ได้เห็นความเพียรพยายามของเหล่าผู้ประกอบการที่พยายามทำให้โลกนี้ดีขึ้น ได้เห็นความทุ่มเทมุ่งมั่นของบริษัทต่างๆ ที่พยายามทำให้ลูกค้ามีความสุข และระหว่างที่คุณมีความสุข สนุกไปกับเรื่องเหล่านั้น คุณสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ด้วย โดยที่คุณจะมีอิสรภาพในชีวิตและเวลาอย่างที่หาไม่ได้ในอาชีพรูปแบบอื่น โลกแห่งการลงทุนที่มีความสุข ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องแข่งไปกับใคร เราสามารถมีความสุขในสิ่งที่เรามีได้ง่ายๆ แค่เลือกมุมมอง
โดย
picatos
พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2020 2:49 pm
0
13
Re: ใครที่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่พึ่งเข้าตลาดปีนี้บ้างครับ หรือรุ่นพี่viอยากจะแนะนำหน้าใหม่บ้างครับ
แม้ว่าปีนี้ผมจะลงทุนมา 17 ปีแล้ว แต่สำหรับผมปีนี้ก็เหมือนกับเป็นปีแรกของการลงทุน เพราะ การลงทุน สภาพแวดล้อม ตัวเราเองเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การที่เรายังคงทัศนคติว่า เราเป็นมือใหม่ เรามีสิ่งที่เรารู้บางอย่างก่อนที่เราจะเริ่มลงทุน หรือก่อนที่จะมาถึงวันนี้ และ ยังมีสิ่งเราไม่รู้อีกเยอะแยะมากมาย ที่น่าสนใจและสมควรที่จะเรียนรู้ และไม่มีวันที่เราจะรู้หมดทุกอย่าง ความสำเร็จบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เป็นแค่ผลลัพธ์อันหนึ่งในความน่าจะเป็นที่หลากหลาย และไม่สามารถยึดถือได้ว่าจะสำเร็จอีกอย่างแน่นอนในอนาคต ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ อาจจะเพิ่มความน่าจะเป็นที่จะประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน ผมว่าผมคิดแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกไม่ประมาท ไม่หยิ่งผยองในความสำเร็จ เปิดกว้างพร้อมที่จะเรียนรู้ และสามารถที่จะสนุกกับการเรียนรู้และการลงทุนได้มากกว่า ปีนี้สำหรับผมเป็นปีแรกที่ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้อ่านเรื่องใหม่ๆ หลายๆ อย่าง ที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนความคิด และการลงทุนไปเลย ผมเลิกเปลี่ยน value investor กลายเป็นนักลงทุนอีกแบบที่ต้องค้นหาวิธีการแบบใหม่ๆ ในการลงทุน ได้กลับเข้าไปเรียนหนังสือกับอาจารย์แบบจริงๆ จังๆ และได้พินิจพิจารณา วางรากฐาน แนวทางในการลงทุนใหม่ที่จะใช้ในอนาคต ปีหน้าผมก็มีลงเรียนหนังสือ และมีเนื้อหา องค์ความรู้ที่ผมต้องศึกษาเพิ่มอีกพอสมควร ซึ่งก็คงทำให้ปีหน้าผมก็คงจะรู้สึกเป็นมือใหม่ เป็นปีแรกของการลงทุนอีก ถ้าทุกๆ ปีที่ผ่านไป ผมสามารถที่จะเปิดกว้างและเรียนรู้ได้เหมือนมือใหม่ ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดี ผมไม่อยากแก่ และเฉาตายไปกับความสำเร็จในอดีตที่เป็นเหมือนความฝันแค่ตื่นหนึ่ง ที่ไม่สามารถยึดถืออะไรจริงจังกับมันได้ ก็หวังว่าเพื่อนๆ ที่รู้สึกเป็นมือใหม่ รักษาความรู้สึกดีๆ และใช้ข้อได้เปรียบจากการเป็นมือใหม่ สนุกกับการเรียนรู้นะครับ อย่าพึ่งรีบกลายเป็นมือเก่า มือเก๋า ที่ทำถูกไปซะทุกอย่างเลยครับ เป็นมือใหม่ กล้าที่จะทำ กล้าที่จะเรียนรู้ กล้าที่จะทดลอง สนุกกว่าการเป็นมือเก่า มือเก๋าเยอะครับ ผมว่า เป็นกำลังใจให้กับทุกๆ ความพยายามของทุกคนครับ
โดย
picatos
พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2020 12:22 pm
3
16
Re: ส่งท้ายปีเก่า ลงทุนหุ้นปี 2021 จดหมายน้อยๆจากใจไทยวีไอ
บทเตือนใจส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่สำหรับสหายชาวยุทธนักลงทุนทุกท่าน เวลาในแต่ละวันของคนเราทุกคนนั้นมี24ชั่วโมงเท่ากันทุกๆคน ไม่มีใครมีเวลามากการใคร อยู่ที่ใครจะเลือกที่จะให้เวลา24ชั่วโมงนั้นทำประโยชน์ให้กับตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน เวลาเป็นสิ่งมีค่า เราต้องใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด ทุกคนมีเวลาในแต่ละวัน24ชั่วโมงเท่าๆกัน ไม่มีใครมีเวลามากกว่าใคร อยู่ที่ใครจะเลือกให้เวลากับตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน และอยู่ที่ใครจะเลือกที่ใช้เวลานอนพักผ่อนในตอนกลางคืนนั้นมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราเลือกที่จะนอนเพื่อพักผ่อนวันละ6ชั่วโมง ซึ่งก็เพียงพอตามคำแนะนำของบุคลากรทางด้านสาธารณสุขส่วนใหญ่แล้ว(แนะนำ 6-8ชั่วโมง) หากเราเลือกที่จะนอนแค่6ชั่วโมง แล้วลองคิดเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยของคนส่วนใหญ่ที่75ปี นั่นเท่ากับว่าเราได้ใช้เวลาสำหรับการนอนของเรานั้นไปถึง 19ปีแล้ว และหากเราเลือกที่จะนอนวันละ8ชั่วโมง เราก็จะเสียเวลาในชีวิตของเราไปกับการนอนถึง25ปี หรือถ้าเรายังคิดที่จะใช้เวลาสำหรับการนอนมากถึง10ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้เราเสียเวลาในชีวิตของเราไปกับการนอนถึง 31ปี จากเวลาทั้งหมด75ปีเลยทีเดียว #เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เรายังจะเลือกที่จะใช้เวลาในการนอนถึง 8-10ชั่วโมงต่อวันกันอยู่อีกหรือ จงรีบลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ดีๆสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับชีวิตของเรากันจะดีกว่า เพราะเวลาในชีวิตของเรานั้นได้ถูกนับถอยหลังมาตั้งแต่วันแรกที่เราเกิดมาแล้วและจะเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆตามอายุของเราที่เพิ่มขึ้นในทุกๆปีของท่านนั่นเอง Mr.China ถ้าสนใจเรื่องฝึกนอนน้อย เพื่อเพิ่มเวลาทำงาน ลองศึกษาวิธีการนอนแบบ uberman ไหมครับ เป็นวิธีการนอนแบบ polyphasic sleep จะลดเวลานอนลงได้เหลือนอนวันละ 2 ชั่วโมง สามารถเอาเวลาวันนึงไปทำงานได้ตั้ง 22 ชั่วโมง แต่ถ้าจะเอาแบบดีจริงๆ ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าบอกว่าการนอนที่ดีที่สุด คือ การนอนในสมาธิระดับฌาณ 4 ซึ่งเท่าที่เคยศึกษาพุทธประวัติ พระองค์นอนวันนึงน่าจะประมาณ 3 ชั่วโมง ได้ (ประมาณ 2 sleep cycle) หรือ ในพระที่ถือธุดงค์แบบขั้นอุกฤต ท่านจะถือศีลไม่ล้มกายลงนอน ไม่มีอริยาบทนอนเลย โดยเวลาพัก ก็เข้าสมาธิระดับฌาณ 4 ด้วยท่านั่งเป็นการพัก
โดย
picatos
พุธ ธ.ค. 23, 2020 6:33 am
0
11
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
เป็นกระทู้ที่อ่านสนุกและได้ความรู้มาก 1.ผมเล่นหุ้นไทยมาสิบกว่าปี ผมเชื่อว่าที่ผมอยู่รอด มีอิสรภาพทางการเงินระดับหนึ่ง ไม่ต้องทํางานประจํา มีเงินปันผลพอเลี้ยงครอบครัว เป็นเพราะผมเล่นเกมส์ที่ผมมีแต้มต่อ เวลาใครรู้ว่าผมเล่นหุ้นมักจะมาชวนคุย 90%เป็นนักเก็งกําไร มีน้อยมากที่ศึกษาปัจจัยพื้นฐานหุ้นอย่างจริงจัง 2.หุ้นต่างประเทศดังๆที่ผมรู้จักเช่นamazon facebook netflix ฯลฯ ผมจะมีแต้มต่ออะไรในเมื่อมีนักวิเคราะห์อาชีพติดตามตลอดเวลาเป็นร้อยเป็นพันคน 3.หุ้นไทยประมาณ600ตัว ผมใช้วิธีตัดทิ้งเป็นกลุ่มเช่นผมไม่เล่นอสังหา ผมไม่เล่นcommodities เหลือหุ้นในโฟกัสไม่ถึง100ตัว ผมยังใช้เวลาเป็นสิบปีศึกษาติดตาม หุ้นอเมริกา6พันกว่าตัว ผมจะไปเอาเวลาและความพยายามศึกษาค้นคว้ามาจากไหน ตัวผมเองก็อยู่ในปัจฉิมวัยแล้ว ผมคงขอใช้คันเบ็ดเล็กๆ เรือลําน้อย จับปลาแค่พอกินในตลาดหุ้นไทยต่อไป ถึงแม้มันจะจับยากขึ้นและได้ปลาน้อยลงเรื่อยๆ แต่เมื่อพิจารณาศักยภาพตัวเองแล้ว ถึงแม้มหาสมุทรจะมีปลาใหญ่ๆราคาแพงเยอะกว่า แต่มันคงเกินเอื้อมสําหรับผม โดยส่วนตัว ผมไปลงทุนต่างประเทศไม่ได้คิดว่าจะไปแข่งขันอะไรกับใคร ก็เลยไม่เคยคิดเรื่องแต้มต่อ หรือไปเปรียบเทียบความสามารถอะไรกับนักลงทุนคนอื่น ผมมองการถือหุ้นในมุมของเจ้าของกิจการ ว่าเราไปเป็นพาร์ทเนอร์กับเค้ามากกว่า ดังนั้นเวลาผมเห็นกิจการดีๆ เจ๋งๆ ที่ทีมงานมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย ผมรู้สึกว่าอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นแนวคิดตลอดจนการลงมือกระทำในกิจการเจ๋งๆ ที่เราคิดไม่ถึง สนุกที่ได้เรียนรู้ และเลิกคิดเรื่องแพ้ชนะมานานแล้ว ผมไม่คิดแม้กระทั่งผมแพ้หรือชนะตลาดอะไร ผมเชื่อแบบเดียวกับ Simon Sinek ว่าเกมส์การลงทุนมันเป็น infinite game ซึ่งการจะไปคิดเรื่องแพ้ชนะสุดท้ายแล้ว มันเหนื่อยและจะทำให้ตัวเราเองเมื่อพลาดจะกลายเป็นคนที่ drop out ออกไปจากเกมส์ ในการเล่น infinite game เราจะมองไปยาวๆ มี just cause ของเรา ที่จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะเรียนเกมส์ไปได้ยาวๆ อย่างมีความสุข ภายใต้ขอบเขตของเวลาที่ไม่จำกัด ผมก็แค่อยากจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจการดีๆ เดินทางร่วมไปกับทีมงาน ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เหตุปัจจัยจะเอื้ออำนวย มีความสุขได้ทุกครั้งเมื่อได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่กิจการทำ เมื่อคิดแบบนี้แล้ว การที่มีหุ้นจำนวนมากมายมหาศาลให้เลือก จะเหมือนเรามีหนังสือจำนวนมากให้เลือกหนังสือสนุกๆ ที่เราสนใจเปิดขึ้นมาอ่าน มีหนังสือให้เลือกอ่านเยอะๆ ย่อมดีกว่ามีน้อยๆ ว่างเมื่อไร ก็เลือกหนังสือดีๆ สนุกๆ มาอ่าน ถ้าไม่ว่าง ไม่สะดวกก็ไม่ต้องอ่าน ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าผมหลงทางอยู่เหมือนกันในการลงทุนต่างประเทศ ผมไม่ได้บอกนะครับว่าผมไม่มีความสุข ผมตั้งใจกระโจนลงไปในน้ำ เอาตัวเข้าไปอยู่กลางป่า ก็เพราะว่า ผมชอบ ผมมีความสุขกับการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าการลงทุน เอาเข้าจริงๆ ผมลัพธ์จากการลงทุนที่เกิดขึ้น เวลาเราไม่คิดที่จะไปแข่งอะไรกับใคร ก็ถือว่าโอเค ไม่ได้ขี้เหร่อะไร พอมีพอกิน พอใช้ชีวิตอยู่ได้ หากเราลงทุนในกิจการดีๆ ในราคาที่เหมาะสม ส่วนก่อนหน้าที่เขียนเรื่องการแข่งขันและคู่แข่งในระดับโลก คือ โลกแห่งความเป็นจริง คนโดยส่วนใหญ่เค้าก็แข่งกันแหละ คนระดับโลกเค้าก็เจ๋งจริงๆ แหละ ถ้าคิดจะไปแข่งอะไรกับเค้า และสิ่งที่น่ากลัวกับนักลงทุนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ ในตลาดฟองสบู่ คือ Dunning-Kruger effect ซึ่งมันจะทำให้คนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ อาจจะประมาทเกินจริง คิดว่าตัวเองเก่งเกินจริง ผมเลยต้องเขียนเสือให้วัวกลัว บรรยายขีดความสามารถของระดับโลกให้เพื่อนๆ ระมัดระวัง ไม่ประมาทสักนิดหนึ่ง แต่ถ้าเราออกไปต่างประเทศด้วยมุมมองว่าไม่ได้จะไปแข่งขัน ไม่ได้จะไปเอาชนะอะไรกับใคร แค่สนุกกับการได้เรียนรู้ สนุกกับการลงทุน สนุกกว่าการได้เห็นอะไรใหม่ๆ อะไรเจ๋งๆ สนุกกับการที่ได้เรียนรู้ว่าตัวเราช่างเล็กขนาดไหนกัน ทุกๆ วันของการได้เรียนรู้ที่จะหลงอยู่กลางป่า จะเป็นวันที่มีความหมายกับคุณ เพราะ สิ่งที่คุณคิดจะไม่ได้เรื่องที่จะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่จะออกจากป่า แต่จะเป็นเรียนการกิน การอยู่ ที่จะเอาตัวรอด ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในป่า ท่ามกลางธรรมชาติแห่งการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเรา มันเป็นการผจญภัยที่สนุกแน่ๆ สำหรับนักผจญภัย และ มันก็เป็นสงครามที่เลือดสาดและเหนื่อยแน่ๆ แม้แต่กับนักรบที่ชนะสงครามครั้งนี้ เพราะ ยังมีสงครามไม่รู้จบรออยู่ในอนาคต
โดย
picatos
พุธ ต.ค. 14, 2020 2:27 am
0
18
Re: สิ่งที่ นักลงทุนระยะยาว ควรทำมีอะไรบ้างครับ
อยากเพิ่มรายละเอียด ข้อ 7 นิดนึงว่า... หลังจากที่เขียนแผนออกมาเสร็จ ควรเอาแผนอันนี้ไปให้นักลงทุนระยะยาวที่เราเคารพดู ว่า แผนอันนี้เป็นการลงทุนระยะยาว หรือ เป็นการเทรดหุ้นระยะสั้นกันแน่ ถ้าแผนของคุณยังเป็นแผน Trade หุ้น คุณควรกลับไปศึกษาใหม่ วิเคราะห์ใหม่ วางแผนใหม่ จนกว่าจะได้แผนที่รู้สึกและยืนยันได้ว่า เป็นแผนการลงทุนระยะยาว และในการให้ดู ให้สนใจแค่ว่า มันคือแผนการลงทุนระยะยาวจริงๆ หรือเปล่า เอาแค่นั้น ไม่ต้องไปสนใจเนื้อหา ว่าแผนดีหรือไม่มี เค้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เพราะ บางทีคุณอาจจะถูกเค้าอาจจะผิดก็ได้ หมายเหตุ ถ้าไม่มีนักลงทุนระยะยาวที่คุณเคารพ และเค้าให้ความอนุเคราะห์กับคุณ การอาจจะเอาไปให้ คนที่เป็นนักธุรกิจที่คุณเคารพที่ไม่ได้เป็นนักลงทุนดูก็ได้ แค่ต้องการฟันธงว่า นี่คือมุมมองระยะยาวในเชิงธุรกิจ ไม่ใช่ว่ามันคือการหวังจะทำกำไรระยะสั้นจากราคา
โดย
picatos
พุธ ก.ย. 30, 2020 4:45 am
0
11
Re: สิ่งที่ นักลงทุนระยะยาว ควรทำมีอะไรบ้างครับ
1) คิดให้ยาวๆ 2) ดูราคาให้น้อยๆ 3) เลือกเสพข้อมูลที่มีคุณภาพ 4) ฟัง/อ่าน ข้อ 3 ให้มากๆ 5) พูด/คุย กับ เพื่อนนักลงทุน ให้น้อยๆ 6) ถาม/ถก กับ ผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาของกิจการ ให้มากๆ 7) คิด วิเคราะห์ วางแผน และเขียนมันออกมา 8) ปฏิบัติการตามแผน อย่างมีสติ และมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม 9) review ตัวเอง กระบวนการ และผลลัพธ์ เป็นระยะๆ 10) กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์ ความผิดพลาด ความล้มเหลว คือ สิ่งที่น่าเฉลิมฉลอง เพราะ เรายังมีสิ่งที่พัฒนาได้อีก ให้รู้จักกลัวบ้างเวลาทำถูก ให้รู้จักดีใจให้เป็นบ้างเวลาทำผิด 11) รู้จักที่จะยินดี และมีความสุข กับนักลงทุนคนอื่นโดยเฉพาะคนที่เราไม่ชอบ เวลาเค้าประสบความสำเร็จบ้าง 12) มีความสุขให้ได้กับการลงทุน เพราะ ถ้าเราลองลงทุนมาหลายปีแล้ว ไม่มีความสุข ไม่ได้ได้นำมาซึ่งความสุข หรือมีความสุขในชีวิตน้อยลงๆ บางทีแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ทางของเรา บางทีแล้ว เราอาจจะเหมาะกับอะไรอย่างอื่นมากกว่า 13) อย่ากลัวที่จะเลิกลงทุน เพราะ การลงทุนไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต มันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งในการหาเงิน บางทีชีวิตของคุณอาจจะดีขึ้นกว่านี้อีกมาก หากเลิกลงทุน
โดย
picatos
พุธ ก.ย. 30, 2020 4:13 am
0
19
Re: จิตวิทยา Biasที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ thaiviรุ่น17 อ.พี่เวป
:bow: :bow: :bow: กราบ 3 ครั้ง แด่พี่เว็บและคุณ A61289 ขอบคุณมากๆ ครับ
โดย
picatos
พุธ ก.ย. 30, 2020 3:47 am
0
2
Re: มาแนะนำหนังสือการลงทุนในต่างประเทศ กันคนละเล่มครับ
ปีนี้สิ่งที่อ่านแล้วรู้สึกว่ามีค่ามากที่สุดมี 3 อย่างนี้ครับ 1) Citi GPS technology at work 5.0 2) Globotics and Development: When Manufacturing is Jobless and Services are Tradable 3) Impact: Reshaping capitalism to drive real change
โดย
picatos
อังคาร ก.ย. 29, 2020 5:17 am
0
17
Re: เคยโกรธตัวเองเพราะการตัดสินใจชั่ววูบไหมครับ
ชีวิตคนเราก็ผิดพลาดซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้แหละครับ บางทีเราทำดีที่สุด เต็มความสามารถแล้ว ผลลัพธ์ก็ออกมาเลวร้ายสุดคาดคิดได้เลย สมัยแรกๆ ก็โกรธ หงุดหงิด รำคาญใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามทำครั้งใหม่ให้ดีขึ้น ทำให้ Prefect ขึ้น ทำไปเรื่อยๆ จนติดนิสัยกลายเป็นพวก Perfectionist ผิดเล็กผิดน้อยเป็นไม่ได้ เครียดกับชีวิตเกินไป กลายเป็นว่าชีวิตก็มีความสุขน้อยลงเพราะผิดไม่ได้ คนข้างๆ ตัวกลายเป็นไม่มีความสุขไปด้วย กลายเป็นว่า ยิ่งพัฒนา ยิ่งผิดทาง การเป็น Perfectionist จึงเป็นทางสุดโต่งที่ไม่ควรเสพ ได้ปฏิบัติธรรมจึงเห็นว่า เราทำได้แค่สร้างเหตุให้ดีที่สุด ทำทุกอย่างเต็มความสามารถ ทำเสร็จแล้วก็ต้องวางอุเบกขา รับสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง คาดหวังเอาไว้เลยว่าสิ่งที่ไม่ได้ดังใจจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เลวร้ายอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะ เหตุปัจจัยในสิ่งๆ หนึ่งมีมากมายหลายอย่างเหลือเกิน การกระทำของเราเป็นแค่เหตุเล็กๆ อันหนึ่ง แต่การได้ทุ่มเททำสิ่งที่เราทำ ณ ปัจจุบันอย่างเต็มความสามารถ เป็นสิ่งเดียว เป็นสุขอย่างเดียวที่เราสามารถหวังได้ สุขจากการได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ สุขจากการมีสติและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน พอใจกับการได้ใช้ชีวิตทุกขณะให้คุ้มค่า สมกับที่ได้มีชีวิตเกิดมาเป็นมนุษย์ สติ จะเป็นเครื่องรักษาจิต ไม่ให้โดนความโลภ โกรธ หลง ครอบงำ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการปฎิบัติ ทำให้เมื่อทำสิ่งใดก็ทุ่มเททำสุดความสามารถ เมื่อทำเสร็จก็พร้อมที่จะทิ้ง พร้อมที่จะวางไปพัก ไปทำสิ่งใหม่ เพราะ สิ่งที่ทำเสร็จไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว เอาเวลามาสร้างปัจจุบันอันใหม่ที่ไม่ใช่งานอันเก่าจะดีเสียกว่า เมื่อทำเหตุใหม่ๆ ได้ดีมากขึ้นๆ คาดหวังในผลลัพธ์ให้น้อยลงๆ หวังแค่ว่า วันนี้เราจะศึกษาอะไรได้มากขึ้น เราจะคิดอย่างไรให้ดีขึ้น เราจะพูดอย่างไรให้ดีขึ้น เราจะกระทำอย่างไรให้ดีขึ้น เอาแค่เป็นขณะๆ ไป มันกลายเป็นว่า สิ่งดีๆ มันเกิดขึ้นกับตัวเราเองมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีความคาดหวังน้อยลง ผมพบว่าหลังจากเปลี่ยนความคาดหวังให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เป็นความคาดหวังที่จะทุ่มเทความสามารถในการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย และก็ไม่ค่อยต้องโกรธตัวเองอะไรมากๆ อีกต่อไป ได้อ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนในอดีตพบว่า มีบางอย่างที่ตัวเองเปลี่ยนไป จากที่พยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ตอนนี้ผมก็ไม่เหลือแล้วครับ เพราะ มันก็ยังเป็นการเปรียบเทียบกับตัวเองในอดีต และการเปรียบเทียบ ยึดถือตัวตนแบบไหนไว้ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ทุกวันนี้ผมแค่พยายามทำปัจจุบันให้ดีที่สุดตามกำลัง ตามความสามารถ ตามเหตุปัจจัย ตามสภาวะและสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้นๆ รู้สึกว่าทำแบบนี้แล้วทุกข์น้อยกว่า เบาสบายมากกว่าครับ
โดย
picatos
อาทิตย์ ก.ย. 27, 2020 8:03 am
0
14
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
รบกวนขยายความตรงนี้หน่อยได้ไหมครับพี่ picatos ผมอยากทราบว่าพี่เห็น trend ตรงนี้จากอะไรบ้างครับ พอเวลาผ่านมาแล้วมองย้อนกลับไป ทุกอย่างมันเหมือนว่าจะเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ ณ เวลาในอดีต จังหวะนั้นเวลาข้อมูลที่เข้ามามากมายมหาศาลมักจะทำให้เราเมากับข้อมูล ซึ่งการที่เราจะตัดสินใจทำอะไรอย่างหนึ่ง เราจะเป็นต้องมีโมเดลของอนาคตอยู่ในหัว สำหรับผม ผมจะสร้างโมเดลของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในหัวอยู่ตลอดเวลา ในหัวผมจะมีโมเดลเศรษฐกิจ โมเดลความสุข โมเดลการใช้ชีวิตของคน โมเดลธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งเวลาผมอ่านอะไร ศึกษาอะไรแล้ว ผมจะมีเวลาให้กับการประมวลสิ่งต่างๆ สร้างเป็นโมเดลของโลกที่จะเกิดขึ้นใน 5 ปี 10 ปี 50 ปี ไปจนถึงระดับ 100 ปี ณ ช่วงต้นปี 2018 มันเป็นการบรรจบกันของสิ่งที่เกิดขึ้นของความขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างประเทศ ทฤษฎีทางเศรษฐศาตร์ระหว่างประเทศ ภาพเศรษฐกิจของไทย และ Valuation หุ้นไทย เมื่อเทียบกับต่างประเทศ พอดิบพอดีกับจุดเปลี่ยนทางความสัมพันธ์ของผมกับผู้จัดการการลงทุนในไทยที่ผมใช้บริการ ทุกอย่างเมื่อประมวลออกมา จึงได้ข้อสรุปว่า ถึงเวลาที่จะล้างพอร์ตหุ้นไทยที่เหลือทั้งหมด และไปต่างประเทศจริงๆ โดยใช้บริการกับ Bank ต่างประเทศแบบแท้ๆ ที่เข้าถึงข้อมูลแบบฝรั่งจริงๆ โลกในอดีตในช่วงปี 2003 ในสมัยที่ผมเริ่มลงทุน หุ้นมีราคาถูก คนสนใจลงทุนน้อย โลกในยุคนั้น เราเอาชนะกันแค่ว่าใครมีข้อมูลหรือไม่มีข้อมูล แค่คุณได้ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไป Company Visit หรือได้ฟัง Oppday คุณนำมาวิเคราะห์นิดหน่อยคุณก็ได้ผลตอบแทนที่ดี โลกในยุคหลังวิกฤต 2008 ทุกคนเข้าถึงข้อมูลหมด ราคาหุ้นมีราคาแพงขึ้น ใครมีความสามารถในวิเคราะห์ที่มากกว่า สามารถเปรียบเทียบกับเคสที่เกิดขึ้นในต่างประเทศได้ เห็นแนวโน้มก่อน คุณถึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี โลกในยุคปัจจุบันโลกหลังยุค Smart Phone Revolution สิ่งที่เกิดขึ้นที่หนึ่งในโลก ถูกแปรและวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว รู้พร้อมๆ กันทั่วโลกในภาษาท้องถิ่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ความจำเป็นที่คุณต้องมีโมเดลในหัว คิดสิ่งที่เกิดขึ้นล่วงหน้าคนอื่นไปอีกหลายๆ Step มีความเชื่อและศรัทธาในอะไรบางอย่าง มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงและหน้าตักที่ดี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณได้ผลตอบแทนที่ปลอดภัย ผมเชื่อว่าโลกในยุคนี้ Impact Investing เป็น Trend ในการลงทุนที่สำคัญมากๆ ที่คุณอยากจะนำหน้าเหนือคนอื่น คุณควรที่จะศึกษา และผมขอแนะนำหนังสือเริ่มนี้ให้อ่านกันครับ Impact: Reshaping Capitalism to Drive Real Change image-asset.jpeg
โดย
picatos
พุธ ก.ย. 23, 2020 5:06 pm
0
24
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ผมไปลงทุนต่างประเทศ เพราะ หุ้นไทยช่วงหลังปี 2012 มันเริ่มแพงครับ พอไปดูหุ้น Tech ที่สหรัฐฯ ดู Forward P/E Google หรือ FB อยู่ที่ 10 เท่า ทั้งๆ ที่หุ้นไทย P/E เกือบ 20 ผมก็เลยเริ่มไป ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนที่ผมไป Present หุ้น Google ชวนนักลงทุนไทยด้วยกันไปต่างประเทศ ถึงไม่มีใครสนใจไปด้วยแม้แต่คนเดียว คิดย้อนกลับไปก็คงจะเป็นอย่างที่ LinZhi ว่า คือ Status Quo Bias คนที่ฟัง Present คงจะรู้สึกว่าจะเหนื่อยไปทำไม ทั้งๆ ที่ไอ้ที่ทำอยู่ในไทยกำลังออกดอกออกผล วิธีการเดิมๆ ก็รวยดีอยู่แล้ว ในขณะที่โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้แคร์เรื่องความรวยอะไรมากมาย ผมแคร์เรื่องวิธีการมากกว่าผลลัพธ์ ผมรู้สึกชอบและปรารถนาความไม่มีตัวตน การที่พอร์ตเริ่มใหญ่ในไทย ทำให้ความมีตัวมีตนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นภาระที่รู้สึกอยากสลัดมันทิ้ง การไปต่างประเทศ ไปเป็น nobody น่าจะมีความสุขมากกว่า แถมธุรกิจที่ต่างประเทศก็ศึกษาสนุกกว่า ว้าวกว่าเยอะ แถมไม่มีเรื่องที่น่าตะขิดตะขวงใจอย่างเรื่อง Governace และ Coruption แบบเมืองไทย ตอนปี 2014 ผมลองศึกษาและลงทุนหุ้นจีนดู แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าไปไม่รอด เพราะ รู้สึกว่าติดตามยาก แถมช่วงนั้นอยากใช้เวลากับการปฏิบัติธรรมมากกว่า เลยขายหมูหุ้นตกรถกันไปหลายเด้ง ปี 2020 รอบนี้ผมกลับมาลงทุนจีนใหม่ ด้วยมุมมองใหม่ๆ ว่ากิจการอะไรที่จะสร้าง Positive Impact ได้แรงๆ ให้กับคนจีนสังคมจีน และมีแนวโน้มที่จะแพร่ขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ ช่วงปี 2018 พอผมเห็นปัญหาเรื่อง Deglobalization ช่วงต้นปี Valuation หุ้นไทยก็แพง ผมเลยล้างพอร์ตไทยที่เหลือไปต่างประเทศทั้งหมด ผมสังเหตุว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนไทยเริ่มที่จะสนใจหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงปีนี้รู้สึกว่ากระแสจะแรงมาก ซึ่งเท่าที่เห็นกระแสมันก็เป็นแบบนี้กันทั้งโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทย และผมเชื่อว่ากระแสแบบนี้แหละที่มันจะก่อให้เกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ตอนที่ผมเริ่มเอาเงินออกไปต่างประเทศตอนปี 2012-2013 ผมก็คิดมาตลอดว่า วันหนึ่งผมคงต้องเอาเงินกลับเข้ามาในไทยเพื่อเอามาใช้จ่าย โดยตั้งใจจะหามาหุ้นที่ปลอดภัยเน้นถือกินปันผลในระยะยาว ผมรอเวลาที่ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ใน Valuation ที่พอที่จะเหมาะสมกับการลงทุน ก็มอง SET เอาไว้ที่ประมาณ 1,000 จุด พอมันลงมาแตะ ช่วง COVID ผมเลยลองปรึกษาพี่ที่นับถือคนหนึ่งว่าถ้าอยากจะเอาเงินกลับไทยบางส่วน ควรจะเอาไปลงทุนอะไร แต่คำตอบกลับเป็นเรื่องที่ผมแปลกใจมาก พี่เค้าบอกผมว่า ผมควรที่จะเอาเงินเอาไว้ที่ต่างประเทศ แทนที่จะเอากลับไทย ไม่รู้สิ ผมคิดว่าถ้าผมได้รับคำแนะนำแบบนี้ สมมติฐานที่คิดเอาไว้ว่า จะเกิดฟองสบู่ลูกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คงจะจริง เพราะ ถ้าการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะ หุ้น Tech เป็นทางเลือกเดียวที่เหลือในการลงทุน (There Is No Alternative - TINA) ก็ไม่แปลกที่ราคาหุ้น Tech จะแพงขนาดนี้ ตอนนี้ผมหาไม่เจอแล้วว่ามีหุ้น Tech อะไรถูกๆ หุ้นต่างประเทศที่ผมถืออยู่ทุกวันนี้ คือ หุ้นที่ถือโดยอาศัยความเชื่อล้วนๆ เชื่อในตัวสินค้า เชื่อในตัวบริการ เชื่อว่านี่คือกิจการที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น เชื่อว่าในตัวผู้ก่อตั้ง เชื่อในทีมบริหาร แต่ไม่มีความเชื่อเลยแม้แต่น้อยว่า Valuation ณ ขณะนี้จะเป็น Valuation ที่เรามั่นใจว่าจะได้กำไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่เหมือนกันลงทุนในช่วงก่อนๆ หน้าที่ทุกครั้งที่ซื้อ ผมซื้อด้วยความมั่นใจพอสมควรว่าน่าจะกำไร หากกิจการพัฒนาการไปตามทิศทางที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในช่วงนี้ ผมเลยทำใจเอาไว้เลยว่า ผมจะขาดทุนแน่ๆ ในระยะสั้น ผมจึงต้องอาศัยความเชื่ออีกชุดหนึ่งที่เข้ามาประกอบการลงทุน เพื่อที่จะสามารถถือลงทุนในระยะยาวได้ โดยพยายามที่จะเชื่อให้ได้ว่า ถึงแม้ว่าผมจะขาดทุน อย่างน้อยกิจการนี้ก็ทำให้ชีวิตของคน ชีวิตของผู้บริโภคดีขึ้น เป็นธุรกิจมีผู้บริหารมี Passion เป็นองค์กรที่ถูกผลักดันด้วยเจตนาที่ดีที่พยายามจะสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้กับสังคม เป็นเงินส่วนที่ผมตั้งใจว่าจะบริจาคให้กับการกุศลทั้งหมดตอนตาย แต่ตอนนี้อยากจะเอามาลงทุนสนับสนุนคนที่ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และนี่ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงความจำเป็นในการเอาเงินบางส่วนกลับประเทศไทย เอามาลงทุนอะไรบางอย่างที่ปลอดภัย เพราะถ้าฟองสบู่แตกสักวัน อย่างน้อยเราก็ยังมีเงินเหลือเอาไว้ใช้จ่ายบ้าง เงินที่อยู่ต่างประเทศก็เป็นเงินที่ตั้งใจที่เอาไว้ใช้บริจาคอยู่แล้ว คิดแบบนี้อาจจะพอทำให้ลงทุนได้โดยสงบ และไม่รบกวนกับการศึกษาธรรม และปฏิบัติธรรมของผม ดังนั้นสำหรับคนที่จะคิดไปต่างประเทศช่วงนี้ ผมขอเตือนไว้เลยนะครับ ว่าไม่ง่าย แถมหุ้นราคาแพง แต่หุ้นแพงไม่ได้หมายความว่าจะไม่แพงขึ้นไปอีก ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสได้กำไร จริงๆ แล้วช่วงฟองสบู่นี่ คนเล่นหุ้นจะรวยกันเร็วมาก กำไรง่ายกันซะจนคิดว่าเราเป็นเซียนหุ้นอัจฉริยะ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วคนเล่นทุกคนก็ได้กันหมด ฝีมือจะวัดกันจริงๆ ต้องไปวัดกันตอนฟองสบู่แตก ว่าจะเอาตัวรอดกันยังไง แต่การที่หุ้นในช่วงนี้แพง ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีพื้นฐาน ไม่มีทฤษฎีรองรับนะครับ เพราะ ถ้าเราลองใช้หลักการ First Principle ดู ย้อนกลับไปที่รากฐานหลักที่สุดของระบบเศรษฐศาสตร์ ระบบเศรษฐศาสตร์ในอดีตที่ใช้มาถึงปัจจุบัน เป็นหลักที่พยายามทำความเข้าใจ และพยายามหาแนวทางที่ทำให้ Economic Agent (มนุษย์โดยรวม) มีความสุข (Maximize Utility) แต่ปัญหา คือ ข้อจำกัดของระบบเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเงื่อนไขที่ว่าทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่อย่างจำกัด (Scarcity) เลยทำให้ได้ข้อสรุปว่าตัวเลขการบริโภคหรือการผลิต จะเป็นตัวแทนของความสุขของมนุษยชาติ จึงทำให้เกิดตัวเลข GDP การจ้างงาน และ Inflation ตามมา ทั้งๆ ที่ข้อสมติฐานเรื่อง Scarcity กำลังถูกทำลายลงด้วย Technology Innovation Technology Breakthru ที่เกิดขึ้นในระดับ Exponential ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในช่วงนี้และกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ทำให้ระบบเศรษฐกิจของเราที่เดินทางจากยุค Scarcity ในอดีต มาสู่ยุค Post-Scarcity อย่างในปัจจุบัน และกำลังเดินหน้าไปสู่ยุค Abundance Economy ซึ่งสุดท้ายแล้วหากเทคโนโลยีของเราสามารถเปลี่ยนแปลงพลังงานจากดวงอาทิตย์ที่มีมากมายมหาศาลมาเป็นทรัพยากร (มวล) และ พลังงานได้ ยุคยูโธเปียที่จะมาถึงในอนาคต จะทำให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง อย่างล่าสุดเทคโนโลยีพลังงาน Solar ก็ได้เดินทางมาถึงจุด Inflection Point เมื่อกลางปี 2019 ที่ผ่านมา เมื่อค่าใช้จ่ายในการผลิตไฟฟ้าจาก Solar ถูกกว่าต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าจากโรงงานถ่านหินแล้ว ถูกในระดับที่ว่า ถ้าเราปิดโรงงานไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมด แล้วสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงาน Solar ก็คุ้มกว่าที่จะทำแล้ว เลยทำให้หุ้น Solar วิ่งอย่างรุนแรงตลอดช่วงที่ผ่านมา ลองจินตนาการดูว่าชีวิตของคุณที่ทุกอย่างเป็นของฟรี กับ มีเทียบกับชีวิตที่ต้องเสียเงินซื้อของ ชีวิตแบบไหนดีกว่ากัน ในมุมของผู้บริโภคแล้ว ของฟรีย่อมดีกว่าของที่เสียเงิน แต่ถ้าดูตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์แล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นของฟรี GDP จะเท่ากับศูนย์ ในขณะที่ถ้าทุกอย่างเสียเงิน GDP จะมีค่ามากกว่าศูนย์ จะเห็นได้ว่าตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ในยุค Scarcity มันเอามาใช้ในยุค Abundance ไม่ได้อีกต่อไป (จริงๆ แล้ว ในทางเศรษฐศาตร์ เราต้องไปดูที่ Consumer Surplus มากกว่า แต่ Consumer Surplus เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ยากมาก) ในยุค Abundance หมายความว่า คนจะไม่มีปัญหาเรื่องอาหารการกิน ไม่มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคอีกต่อไป หากเราจะ Maximize Utility หรือ Maximize Happiness แล้ว ความสุขของคนในบันได Maslow จะไปอยู่ที่ 3 ขั้นสุดท้าย และการจะ Maximize Utility ของคน ก็คือการเล่นกับเคมีในสมองของคน COVID-19 ทำให้เกิด Digital Transformation ในระดับก้าวกระโดด และนั่นทำให้ต้นทุนที่ทำให้เกิดเคมีในสมองหลายๆ อย่างหายไป เมื่อข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายสิ่งที่เป็น Physical เกิดขึ้น การเดินทาง ขนบธรรมเนียม เดิมๆ ก็หายไป หากพิจารณาในแง่มุมนี้แล้ว Digital Transformation ที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 ทำให้เกิด Quantum Leap ของปฏิกิริยาทางเคมีในสมองของคน ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตการจะเข้าไปฟัง เข้าไปพูดคุยกับคนเก่งๆ คุณต้องได้รับเชิญ จอง เดินทางไปฟังสัมมนา แต่ COVID-19 ได้เปิดโอกาสใหม่ๆ อย่างที่ไม่เห็นเป็นมาก่อน อย่างในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนกระเหรี่ยงๆ จากประเทศด้อยพัฒนาอย่างผม ได้รับโอกาสฟังคนเก่งๆ ระดับโลก ออกมาพูดนู้นพูดนี่ แชร์นู้น แชร์นี่เยอะแยะเต็มไปหมด ผ่านทาง Webinar ทาง Zoom ทาง YouTube อย่างที่ไม่มีโอกาสตอนก่อนเกิด COVID-19 ความพยายามในการติดต่อ สื่อสาร แชร์ข้อมูลในช่วงที่ผ่านมามากเป็นประวัติการณ์ และทำให้เคมีในสมองของผมเกิดขึ้นมากมายมหาศาล ซึ่งผมเชื่อว่าคนหลายๆ คนในโลกอาจจะได้มีโอกาสเปลี่ยนชีวิตตัวเองจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา และถ้าหากเรานับกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามจำนวน Connection และ Activity ทางข้อมูลที่เกิดขึ้นผ่านทาง Connection แล้ว จะพบว่าการสื่อสารทางข้อมูลที่มีคุณภาพในช่วงที่ผ่านมาก้าวกระโดดอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งผมเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ตัวเลขจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่พัฒนามาจากทฤษฎีทางเศรษฐศาตร์แบบดั้งเดิม มันไม่สะท้อนต่อพัฒนาการของมวลมนุษยชาติ ณ ขณะนี้ ตอนนี้เราอยู่ในขอบเขต พื้นที่ ที่ทฤษฎีดั้งเดิมต่างๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่อาจจะเข้ามารองรับว่า ทำไมกิจการหลายๆ ตัว Valuation ถึงแพงหูฉี่ เพราะ จริงๆ แล้วปริมาณและคุณภาพของ Connection ที่เกิด Activity ทาง Digital ไม่สะท้อนมาที่ตัวเลขทางการเงินอะไรเลย เป็นผลที่ทำให้ Valuation ดูอะไรไม่ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามตลาดที่คึกคักแบบนี้ ของปลอมมันจะปนเข้ามาเยอะมาก และถือแม้จะเป็นของจริง แต่ความรุนแรงจากการแข่งขันในอนาคตก็ทำให้อนาคตมีความไม่แน่นอนสูงมาก และเมื่อคนยอมรับใน Valuation แบบ P/S ได้ Focus ไปที่ TAM ที่ผู้บริหารและนักวิเคราะห์มโนขึ้น ซึ่งมันอาจจะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ได้ การที่เข้ามาลงทุนในช่วงนี้ โดยไม่รู้และไม่เข้าใจกิจการนั้นจริงๆ มีวิธีการในการติดตามกิจการนั้นๆ อย่างถูกต้อง มันอาจจะเป็นหนทางแห่งความตายของคุณได้เลย คำถามที่คุณควรถาม คือ ทำไมคุณถึงได้เปรียบที่เหนือกว่าคนอื่น และถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ได้มีข้อได้เปรียบที่มากกว่าคนอื่นเค้า คุณต้องถามตัวเองต่อว่าคุณมี Money Management และ Risk Management อย่างไร แต่ถ้าคุณมั่นใจว่ามีข้อได้เปรียบคนอื่น คุณเก่งกว่าคนอื่น ก็เล่นไปเถอะครับ อัดไปเถอะครับ ถือตัวเดียวสัดส่วนเยอะๆ แบบสมัยที่คุณเล่นหุ้นไทยเถอะครับ ถ้าคุณเก่งจริง ถ้าคุณเหนือว่าจริง คุณรวยแน่นอนกับตลาดแบบนี้ ------------------------------------------------------------------------------------ จากประสบการณ์ที่ไปลงทุนต่างประเทศมาประมาณ 8 ปี แม้ว่าผมจะรู้สึกว่าผมไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไร ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองรู้น้อยขนาดไหน แต่ผมก็ขออนุญาตแชร์ข้อมูลอะไรสักเล็กน้อยเผื่อจะเป็นประโยชน์นะครับ (ขออภัยหากสิ่งที่แชร์ไม่เป็นประโยชน์ และทำให้เสียเวลาในการอ่าน) 1) ในการเอาเงินออกไปลงทุนต่างประเทศ ถ้าคุณมีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านบาท ผมแนะนำว่าเปิดพอร์ตกับ Interactive Broker (IBKR) แล้วเอาเงินออกทางช่อง QI (Qualified Investor) ที่ ธปท เปิดเอาไว้ดีกว่าครับ เพราะ ที่ IBKR เป็น Broker เดียวที่ผมศึกษามาว่านักลงทุนไทยสามารถเปิดพอร์ตได้โดยตรง และ เปิดง่าย สัปดาห์เดียวก็เรียบร้อย ค่าธรรมเนียมถูก Access Product ได้เยอะมาก จะเล่น Futures Option จะกู้ Margin ดอกก็ถูกเหลือเกิน จะ Short หุ้นก็ทำได้สบายมาก หรือจะเขียนโปรแกรมให้ Trade อัตโนมัติก็ทำได้ 2) นักวิเคราะห์ที่ต่างประเทศเค้าเก่งกันมากครับ ที่มีให้อ่านฟรี หรือเสียเงินเล็กน้อยให้อ่านจากเน็ต ผมคิดว่าคุณภาพยังสู้บทวิเคราะห์จาก House ใหญ่ๆ อย่าง BOAS, GS, MS, CITI ไกลอยู่ครับ (ผมว่า Broke ฝั่ง US ดีกว่าทางฝั่งยุโรปเยอะครับ) เวลาพวกนี้เค้าวิเคราะห์กัน นักวิเคราะห์ที่ตามอุตสาหกรรมหนึ่งๆ คือ เค้าทุ่มเทชีวิตและเวลาในการติดตาม Sector นั้นๆ ทำ Paper ที่ดีที่สุด เพื่อให้กองทุนระดับโลกอ่าน ดังนั้นเวลาผมจะศึกษาอุตสาหกรรมอะไรใหม่ๆ อย่างล่าสุด ผมศึกษาพวก Health Tech ผมจะเริ่มจาก Paper ของ House พวกนี้ เวลาเค้าเล่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ มันเป็นภาพที่ทั้งกว้างและลึก Paper บทวิเคราะห์อันหนึ่งความยาวเป็นร้อยหน้าครับ หนังสือที่เราคิดว่าอ่านกันเยอะแล้ว มาเจอบทวิเคราะห์ของ House ใหญ่ๆ เค้าทำนี่มันสุดๆ จริงๆ มันจะช่วยให้เราประหยัดเวลาทำการบ้านของเราไปเยอะมาก 3) ดังนั้นถ้าไม่ได้เน้นเรื่องซื้อขายค่าธรรมเนียมถูกๆ ผมแนะนำว่าให้เอาเงินออกทาง QI ไปเปิดพอร์ตกับ Broker ใหญ่ๆ ที่สิงคโปร์เลยครับ Access ที่เข้าถึง Paper พวกนี้นี่ คุ้มค่า คุ้มความพยายามมากๆ ถ้าคุณเน้นเรื่องการวิเคราะห์ในเชิงลึก ที่แนะนำว่าควรเปิดพอร์ต Access System ของเค้าเลย เพราะว่า มันจะมี Paper Thematic หรือ Paper Industry แปลกๆ ที่คุณควรเข้าไปขุดขึ้นมาอ่านเอง ถ้าคุณไปขอ Paper เป็นหุ้นรายตัว สุดท้ายสิ่งที่คุณได้มันจบแค่นั้น แต่ถ้าคุณได้ไปอย่าง Paper ที่เขียนในเชิงวิเคราะห์ Theme วิเคราะห์ Industry มันจะขยายความเข้าใจ และ Investment Universe ของคุณ ที่คุ้มค่าความพยายามในการเปิดพอร์ต และค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นมากๆ 4) เมื่อคุณได้ Access ไปที่ Paper ดีๆ และถ้ามีโอกาสได้ Conference Call ดู Presentation ของนักวิเคราะห์ ได้ฟังคนเก่งๆ มากเข้าๆ คุณจะยิ่งรู้สึกว่าตัวว่าเราเล็กลงยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกของผมทุกวันนี้ คือ ยิ่งได้รู้ ยิ่งได้อ่าน ยิ่งได้ฟัง ตัวตนของผมทุกวันนี้ แทบจะกลายเป็นผุยผงไปแล้วครับ ความมั่นใจที่มีมากถูกทำลายหมดจนสิ้นซาก ได้กลายเป็นคนที่ไร้ตัวตน เป็น Nobody สมความตั้งใจ พยายามเอาชิ้นส่วน ผุยผงที่กองอยู่ตามพื้นมาเขี่ยๆ ดู ว่ายังพอเหลืออะไรที่จะเอามาใช้ในการลงทุนได้บ้าง ดังนั้น นี่คือ คำเตือนนะครับ ว่าถ้าอยากที่จะรักษาอัตตาอันยิ่งใหญ่คับฟ้าของตัวเองเอาไว้ อย่าอ่านมากหรือศึกษามากจนเกินไป ยิ่งรู้ว่าคนระดับโลกเค้าเก่งกันขนาดไหน ยิ่งเสีย Self ครับ ถ้าอยากรักษาอัตตาตัวเองเอาไว้ รู้ไม่ต้องมาก แต่ให้รู้มากกว่าคนไทยอื่น แล้วพูดให้มากๆ เผยแพร่ให้มากๆ โดยหลักทางพุทธแล้ว การพูดมากๆ จะเป็นการพอกพูนอัตตา (อัตตวาทุปาทาน) การอ่าน การฟังมากๆ จะเป็นการทำลายอัตตา พยายาม Balance การพูดกับฟังเพื่อรักษาอัตตา รักษาความมั่นใจ เพื่อการอยู่รอดของตัวเองในระยะยาว 5) กำไรและความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเก่งกว่าคนอื่น คุณต้องรู้มากกว่าคนอื่น คุณรู้ไม่ต้องมาก คุณแค่รู้ในสิ่งที่สมควรรู้ และโชคดีบ้าง แค่นี้ก็พอแล้วครับ อย่างที่พี่ WEB เคยพูดๆ ติดขำๆ ให้ผมฟังว่า เราต้องรู้จักทำบุญ ไหว้พระ สวดมนต์เอาไว้บ้าง เพราะ เรื่องที่เราไม่รู้มันยังมีอยู่อีกเยอะจริงๆ 6) เครื่องมือ เครื่องไม้ แนวคิดที่มืออาชีพต่างประเทศเค้าใช้กันมันสุดๆ จริงๆ ครับ เค้าใส่ Assumption เอาไว้เลยว่างบแต่บรรทัด ตัวเลขไหน เค้าให้ความสำคัญ พองบออก Feed เข้าระบบอัตโนมัติ ระบบทำการโยนซื้อขายอัตโนมัติตอนงบออก ดังนั้น เกมส์ๆ นี้ คำถาม คือ คุณจะเอาตัวรอดให้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณแพ้เรื่องความเร็วและความสามารถในการวิเคราะห์งบแน่ๆ แถม Valuation ไม่ใช่เพื่อนของเราอีกไปแล้ว 7) เพื่อนของเราบางทีเค้าก็อาจจะหลงทางเหมือนเรา หรือหลงทางยิ่งกว่าเรา เวลาคนหลงทางเจอกัน คุยกันก็นึกว่าอีกคนรู้ทาง คุยกันไปคุยกันมาก็ยิ่งคิดกันไปเองว่าเราพึ่งอีกคนได้ เพราะ มันดูเก่งดีนะ งั้นลอกหุ้นมันละกัน ลอกกันไปลอกกันมา สุดท้ายเรากำลังลอกข้อสอบคนที่ไม่รู้เหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งจริงๆ ผมว่าไม่มีใครรู้อะไรจริงๆ หรอกว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง การลงทุนมันถึงยาก และทำไมเราถึงต้องมี Margin Of Safety ถึงแม้ว่าผมจะลงทุนมาก่อน 8 ปี ผมบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยครับ ว่า ทุกวันนี้ผมก็หลงทางอยู่เหมือนกัน อย่ามาถามทางผมว่าเดินไปทางไหนจะประสบความสำเร็จ เอาแค่ว่าเดินผ่านไปทางไหนมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้วยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ แค่นั้นพอ 8) เมื่อเริ่มลงทุนในต่างประเทศ คุณกำลังเดินเข้าไปในเขาวงกตที่ดูดดื่ม กลืนกินเวลาคุณเป็นอย่างมาก บอกได้เลยครับว่าศึกษาเท่าไรก็ไม่จบ อ่านเท่าไรก็ไม่พอ ดังนั้นแบ่งเวลาให้ดี ทำเท่าที่ทำได้ ได้แค่ไหนก็พอแค่นั้น สุดท้ายตอนตายเราก็เอาเงินไปไม่ได้สักบาท สุขภาพทางกายและใจของเรา ครอบครัว และคนรอบๆ ตัวสำคัญกว่าครับ ที่สำคัญทรัพย์ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาไปได้หลังความตาย มี 7 อย่างครับ สั่งสม ก็สั่งสมสิ่งที่เอาไปได้หลังความตายนิดนึง เพราะ เงิน ความสำเร็จในชาตินี้ ยังไงก็เอาข้ามไปไม่ได้ สุดท้ายถ้าคุณลงทุนต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ความสุขและความสนุกในการได้เห็นและศึกษากิจการดีๆ ทำสิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์ให้กับโลก ใส่เงินเข้าไปตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับความเข้าใจและ Valuation มีความเชื่อ และทัศนคติที่ถูกต้อง มีเครื่องมือหน้าตักอย่างเหมาะสม คุณจะสนุกกับมันครับ แม้ว่าในระยะสั้นอาจจะผิดพลาด ผิดหวัง แต่ความสนุกจากการศึกษา และความเพียรพยายามที่ใส่มันเข้าไปเรื่อยๆ ในระยะยาวแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะออกดอกออกผลอย่างแน่นอนครับ
โดย
picatos
จันทร์ ส.ค. 17, 2020 1:19 pm
1
75
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
" ยิ่งเข้าถึงสภาพที่สงบลุ่มลึกลงไปได้มากเท่าไร สภาพความพร้อมของจิตที่ออกจากสมาธิ แล้วเอาจิตนั้นๆ ไปใช้งาน ยิ่งมีกำลังที่แตกต่างกันตามลำดับขั้น ระดับขั้นที่จิตพอที่จะเป็นอิสระจากอคติ คือ สมาธิในระดับขั้นที่เรารับรู้ถึงตัวจิตได้อย่างชัดเจน โดยเป็นอิสระจากทางกายโดยสมบูรณ์แล้ว กล่าวคือ สภาพของสมาธิที่ไม่สนใจกายแล้ว ทิ้งกาย เหลือแต่จิต " . ขออนุญาตถามคุณตี่ และ พี่ๆ เพื่อนๆทางธรรมที่มีประสบการณ์ ดังนี้ครับ 1. "สงบลุ่มลึก" ในที่นี้น่าจะหมายถึง "อัปปนาสมาธิ" หรือ "ฌาน 4" ใช่หรือไม่ครับ ถ้าเข้าใจไม่ผิด ตอนที่เขียนน่าจะหมายถึง ฌาน 4 ขึ้นไปจนถึงอรูปฌานทั้งหมด แต่อรูปฌานใดๆ จริงๆ แล้วในหลายๆ ตำราก็รวมไว้เป็นส่วนหนึ่งของฌาน 4 เพราะมีองค์เท่ากัน 2. รบกวนช่วยเล่าประสบการณ์ แนวทางปฏิบัติ ขวากหนามที่พบเจอ และกำลังใจที่ทำให้ก้าวผ่านจนเข้าใกล้ หรือสำเร็จ สมาธิระดับลุ่มลึกนี้ครับ สภาพใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาก็มีความดับไป เสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปสรรคใหญ่ที่สุด คือ เรายังเป็นฆราวาสอยู่ อุปสรรคของความเป็นฆราวาส คือ ความวุ่นวายในชีวิต ที่ยังมีขยะ ของเสียอยู่เยอะ และยังรับเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น ทำให้แม้ว่าในช่วงที่วิเวกออกมาฝึกอย่าจริงจัง จนสามารถเข้าสมาธิที่ลึก ทรงได้นาน แต่เมื่อกลับมาใช้ชีวิตที่วุ่นวายมากๆ ตามประสาฆราวาส สิ่งที่ได้มาก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา ถ้าจะเข้าถึงเพื่อให้รู้ในความเกิดขึ้นและความดับไปของจิตแต่ละประเภท เพื่อจะได้เบื่อหน่าย คลายกำหนัด เป้าหมายนี้ก็โอเคที่จะลองออกไปวิเวกปฏิบัติหลายๆ เดือนดู ถ้าเราไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่วิเวก สงบ มีเครื่องอยู่มาเหมาะสมจริงๆ ในระยะเวลาที่นานพอ ผลลัพธ์มันก็เกิดเองตามธรรมชาติ อุปสรรคที่มีทั้งหมดโดยส่วนใหญ่ คือ เราอยากที่จะได้มากกว่าที่เราทำ เราฝืนธรรมชาติความเป็นจริงที่ว่า ทำน้อยได้น้อย ทำมากได้มาก ความอยากที่ทำน้อยได้มาก นี่แหละอุปสรรค เอาไว้ทำมากแล้วได้น้อยค่อยถามถึงเทคนิค วิธีการ แต่ตราบใดที่ยังทำน้อยอยู่ อยากจะได้ super productive หรือทางลัด หนทางสายนี้ไม่มีอยู่ในโลกของการปฏิบัติครับ ทาง วิธีการทุกอย่างมีอยู่แล้ว อุปสรรคมีแค่อย่างเดียว คือ ไม่มีศรัทธาหรือแรงบันดาลใจ ที่จะสละโลก ออกจากโลกไปทำจริงๆ ให้สำเร็จ 3. ช่วยชี้แนะแนวทาง เทคนิคการปฏิบัติ และการวางใจ สำหรับผู้สนใจปฏิบัติให้ได้ผล 4. ช่วยชี้แนะสื่อ คลิป คำสอน ครูบาอาจารย์ หรือ มีสถานปฏิบัติธรรมที่มุ่งเน้นสอนด้านนี้แนะนำมั้ยครับ คนแต่ละคนสร้างเหตุ มาต่างกัน มีจริต มีความเหมาะสมกับครูบาอาจารย์ หรือ เครื่องมือแตกต่างกันไป สิ่งที่เหมาะกับผม อาจไม่เหมาะกับคุณ สิ่งที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้อาจจะยังไม่เหมาะกับผมที่สุด และจะมีสิ่งที่เหมาะสมกับผมมากกว่านี้ในอนาคต ในฐานะผู้ปฏิบัติ ผู้ศึกษา ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าที่จะแนะนำเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุด ประกอบกับพระที่ประพฤติดีประพฤติชอบในยุคนี้มีน้อยลงๆ ตามพัฒนาการของโลก โยนิโสมนสิการจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าได้ให้เอาไว้ โอกาสในยุคนี้ต่างจากยุคก่อน คือ เราสามารถเข้าถึงความรู้ที่มีคนถ่ายทอด ตลอดจนมีพระไตรปิฎก มีความสามารถในการ search ที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต โยนิโสมนสิการ จึงมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก ทดลองศึกษา ทดลองทำ อย่าพึ่งปักใจเชื่อด้วยหลักกาลามสูตร และใช้โยนิโสมนสิการดูว่า วิธีการที่เราทำอยู่นี้ ทำให้กุศลเกิดขึ้นในจิตของเรามากขึ้นไหม อกุศลในจิตของเราลดน้อยลงไหม เรามีเครื่องมือในการเจริญกุศล และในการละและระวังป้องกันอกุศลไหม ถ้าศึกษา ทดลองทำแล้วดีก็ทำต่อ ถ้ายังไม่ใช่ก็อาจจะต้องลองเปลี่ยนวิธี ลองศึกษาวิธีอื่นดู เราต้องมีความเชื่อในกรรม ว่าเหตุที่เราทำมา จะนำไปสู่แนวทางที่ให้เราไปทำต่อ ให้สังเกตความรู้สึกทางใจตัวเองดีๆ ว่าความรู้สึกจากภายในว่าทางที่ทำมันใช่ไหม ถ้าเราสั่งสมเหตุมา ยังไงมันก็จะมีหนทางที่จะทำให้เราได้เจอกับทาง และทำให้เราพ้นจากสิ่งที่ไม่ใช่ทาง ทุกครั้งที่ไหว้พระพุทธ กราบพระพุทธ สวดอิติปิโส มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็กำหนดทิศทางของใจตัวเอง ที่จะมุ่งชีวิตไปสู่คุณงามความดี ถ้าจะอธิษฐานก็ให้ขอแค่ให้ได้พบกับทางที่เหมาะกับเรา ที่เราจะมีศรัทธา และมีความเพียร ที่เราจะเอาเป็นที่พึ่งในชีวิต ทำไปเรื่อยๆ วันใดวันหนึ่ง หากยังไม่พบทางก็จะได้เจอกับทาง หากยังไม่มีศรัทธาก็จะเกิดศรัทธา ที่สำคัญที่สุด ระวังหลงไปกับสมถะสมาธิ สมถะเป็นสิ่งที่ดีหากมีทัศนคติที่ถูก แต่ถ้ามีทัศนคติที่ผิด เห็นว่าผลของสมถะเป็นสุขอันปราณีต ที่น่าหลงไหล น่ายึดน่าถือ อันตรายก็จะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติ เพราะ เวลาหลงไปกับสมาธิแบบปราศจากสติ ปราศจากความเข้าใจที่ถูก มันจะไปแบบกู่ไม่กลับ และยิ่งจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง เป้าหมายของการเจริญสมถะ ควรเป็นไปเพื่อให้เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เห็นว่าสิ่งต่างๆ ไม่เที่ยงมีความดับไปมีธรรมดา เห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นทุกข์มีความบีบคั้น ทนอยู่ได้ยาก และเมื่อเห็นว่าสภาพสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงเช่นนี้อยู่เนืองๆ ว่าสภาพใดๆ ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น หาตัวหาตนที่แท้จริงไม่ได้ สมควรแล้วหรือที่จะสำคัญว่าสิ่งนั้นเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา สุขสุดยอดที่สุดของเราที่เคยเจอ ก็เป็นของชั่วคราว ที่เกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็ดับไป จะให้มันเกิดขึ้นอีกเหมือนเดิม เท่าเดิม แบบเดิม ก็ไม่ได้ และความพยายามที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีก ก็นำมาซึ่งทุกข์อีกเป็นกระบวน สภาพความมั่งคั่ง ที่เรามีอยู่ก็เป็นของชั่วคราว มีขึ้นก็มีลง ไม่ถูกพรากจากเราในวันนี้ ก็ต้องถูกพรากจากเราไปแน่ๆ ในวันที่เราตายจากโลกนี้ไป แต่เราใช้เวลาของชีวิตหมดไปกับการดูแล รักษา สิ่งที่เรามีเอาไว้ให้นานที่สุด มากที่สุด ทั้งๆ ที่วันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งมันไปอยู่ดี แม้แต่สภาพจิตที่เป็นสมาธิที่เป็นสุขปราณีต ตั้งมั่น กว้างขวาง ผุดผ่อง ก็เป็นสภาพชั่วคราว เมื่อมีเหตุให้เกิดมันก็เกิด เมื่อเหตุดับมันก็ดับ และหากไม่มีเครื่องมือและความเพียรระวังป้องกันที่ดี มันก็พร้อมที่จะไหลลงสู่ที่ต่ำ จากจิตสะอาด เบา ผุดผ่อง ก็สามารถกลับกลายไปเป็นจิตดำมืด สกปรก มืดมน ตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป เมื่อเห็นทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ก็ควรแล้วไหมที่จะเบื่อหน่ายกับทุกข์ เมื่อเบื่อหน่ายกับความทุกข์มากๆ เข้า ก็คลายความทะยานอยากที่จะได้สุข เมื่ออยากที่จะหายทุกข์จึงมีเพียรที่จะดับกิเลส เมื่อพยายามดับกิเลส ตัดกิเลสทุกครั้งที่เกิดขึ้น ก็สามารถสละคืนกิเลสตัวนั้นๆ ให้หลุดจากใจ
โดย
picatos
อังคาร มิ.ย. 30, 2020 7:18 am
0
12
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
... ณ เวลานี้ คนลำบากกว่าคนในตลาดหุ้นมีเยอะแยะครับ ผมถึงยังไม่ค่อยห่วงพอร์ตตัวเอง และไม่เป็นห่วงสมาชิก THAIVI เลยครับ นี่มันเป็นแค่จุด ๆ เดียวในชีวิตการลงทุนของเราแน่นอนครับ ก่อนหน้านี้ พอพอร์ตใหญ่ถึงจุดหนึ่ง ผมไม่มีแรงบันดาลใจในการที่จะพยายามที่จะหาเงินเพิ่มเลยครับ พอเข้าวิกฤติช่วงแรกๆ จำเป็นต้องขยัน แต่ข้อสอบใหม่ที่เข้ามาก็ดูเหมือนจะทำได้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็ถามตัวเองว่า จะพยายามทำไปทำไม จะพยายามหาเพิ่มไปทำไม ในเมื่อชีวิตก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แต่พอมองไปรอบๆ ตัว วิกฤติครั้งนี้หนักหนานัก โดยเฉพาะกับคนรากหญ้าที่กำลังโดน หรือจะโดนผลกระทบอยู่ แม้ว่าหลายๆ คนจะไม่ตายเพราะโรค แต่ก็อาจจะอดตายเพราะความกลัวโรค บางทีที่คนอดตายเพราะความกลัวโรค อาจจะมากกว่าความตายจากโรคด้วยซ้ำ เคยคิดเหมือนกันว่าอาชีพนักลงทุน เป็นอาชีพที่ไม่ค่อยได้สร้าง Productivity อะไรกับโลกใบนี้ ยิ่งผมเรียนจบตรีทางวิศวะมา เหมือนช่วงหนึ่งจะมีกระแสที่ตำหนิคนแบบผม ที่ทิ้งความรู้ความสามารถในการพัฒนาโลกให้ดีขึ้นแบบเป็นชิ้นเป็นอัน มาหาเงินแบบนี้โดยไม่ได้ทำอะไรให้โลกนี้ดีขึ้น มาถึงตอนนี้ เหมือนจะพอมองเห็นประโยชน์ของอาชีพตัวเอง พอที่จะรู้สึกได้ว่า เราจะทำประโยชน์อะไรให้กับโลกใบนี้ได้ ในเวลาที่โลกนี้กำลังต้องการความช่วยเหลือ แล้วเรามีกำลัง มีความสามารถที่เกิดจากการมองปัญหาได้ล่วงหน้า ทำให้สามารถจัดสรรให้มีเงินและทรัพยากรในการที่จะเอามาช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากในช่วงนี้ ผมเลยตั้งงบในการบริจาค ในการเอาไปช่วยเหลือคนอื่นทุกๆ เดือน ค่อยทำให้รู้สึกว่าเงินที่หามาได้ มีค่า มีประโยชน์ขึ้นมาหน่อย ค่อยรู้สึกว่า ความพยายามในการหาเงินของเรา มีคุณค่ามีความหมายหน่อย ขอเป็นส่วนหนึ่ง และอยากเชิญชวนเพื่อนๆ นักลงทุน ที่พอจะมีกำลัง มีเงินเหลือมากกว่าที่ต้องใช้ หากพอแบ่งมาได้ อยากให้ช่วยๆ กันแบ่งมันกลับไปสู่สังคม ช่วยคนที่จำเป็น ช่วยคนที่กำลังขาดแคลนอยู่บ้าง สักเล็กน้อย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ผมรู้ว่าในมุมของนักลงทุน ในยามนี้เราก็อยากจะเก็บเงินเอาไว้ให้มากที่สุดในการเอาไว้ใช้รับมือกับวิกฤติ และใช้ซื้อของถูกให้มากที่สุด แต่ถ้าเป็นไปได้ หากมองไปรอบๆ ตัว แล้วเห็นความลำบากที่กำลังเกิดขึ้น ต้นทุนค่าเสียโอกาสของเราในการทำให้กับตัวเองให้รวยขึ้นอีกเล็กน้อย ให้ตัวเรามีความสุขขึ้นอีกเล็กน้อยในอนาคต อาจจะช่วยต่อลมหายใจที่กำลังรวยริน ของคนบางคนที่กำลังจะตายอยู่ในขณะนี้ หากคุณกำลังแข็งแรงดี มั่นใจว่าเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้ได้แน่ๆ สามารถพูดได้อย่างเชื่อมั่นว่า "แล้วมันก็จะผ่านไป" อยากให้ลองคิดถึงคนอื่นที่กำลังไม่รอด กำลังลำบากอยู่บ้าง อยากให้ช่วยกันเปลี่ยนวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาส ในการทำบุญใหญ่ ที่ร้อยปีอาจจะมีสักครั้ง ที่เราจะได้ช่วยคนในเวลาแบบนี้ สำหรับคนที่ยังไม่รอด และพยายามที่จะเอาตัวรอด อยากได้ไอเดียในการเอาตัวรอด ถามคำถามมาครับ ผมจะพยายามช่วยเท่าที่ผมจะช่วยได้ครับ จะตอบหากคิดว่าเป็นประโยชน์ ตอนแรกที่ผมตั้งใจจะไม่โพสต์อะไรที่ไหนอีกแล้ว แต่วิกฤติครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก หากไม่รังเกียจผมขอเป็นเทียน หรือ หิ่งห้อยตัวเล็กๆ ให้กับสังคมวีไอ ให้กับโลกใบนี้ ในยามที่ดูเหมือนว่าโลกนี้ช่างมืดมิดเสียเหลือเกิน เป็นแสงสว่างให้แก่กันและกัน และช่วยกันส่งต่อความสว่างและความอบอุ่นอันให้กับคนอื่นได้เท่าที่เราจะช่วยกันได้
โดย
picatos
อาทิตย์ มี.ค. 22, 2020 3:41 am
0
76
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
ทำยังไงถึงจะรู้ตัวเร็วว่าวิกฤตครับ ผมเจอปัญหาว่ากว่าจะรู้ตัวมันก็ลงมาลึกมากแล้ว พอคิดว่าลึก จะมาเฮจจิ้งตอนนี้ก็กลัวกินหญ้า แต่กลับกลายเป็นว่าที่ลงมาลึก เพิ่งจะแค่ครึ่งทาง ลงต่ออีกพรวด ตายละรู้งี้เฮจจิ้งไปดีกว่า คือขาขึ้นที่ยาวนานมันทำไห้เราไม่กล้าชอตอะครับเพราะกลัวว่าตลาดจะบ้าๆบอๆ ขึ้นสวนแบบแพงแล้วแพงอีก แต่ยังดีที่รู้สึกว่าราคาหุ้นมันแพงแบบไร้เหตผล เลยไม่ได้สวน ตลอดทางลง สรุปว่า 1 ปีที่ผ่านมาทั้งตกรถและไม่ติดดอยเลยงงๆ ว่า นี่ทำถูกรึเปล่า ช่วยชี้แนะด้วยครับ พี่ตี๋ ไม่มันมีสูตรตายตัวหรอกครับ ถ้ามันมีสูตรตายตัว มันก็ไม่เป็นวิกฤตอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ สิ่งๆ นั้นก็จะไม่เกิดอยู่แล้ว วิธีการ คือ ศึกษาครับ ศึกษาว่าวิกฤตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ศึกษาเกี่ยวกับฟองสบู่ กับการแตกของฟองสบู่ ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาของนักลงทุน กับ Economic และ Market Cycle ศึกษาเยอะๆ ถ้าอ่านไปสัก 10-20 เล่ม ผมเชื่อว่าเราน่าจะพัฒนาเซนส์ในการรับรู้ได้ว่า ความน่าจะเป็นในการเกิดวิกฤต ณ ขณะหนึ่งๆ มีมากน้อยขนาดไหน ที่สำคัญ เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นแล้ว อย่างในเคสนี้ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร จนกระทั่งเกิดเคสคุณป้ามหาภัยที่เกาหลี ตลอดจนตลาดขายหนักมากในสัปดาห์ถัดมา สุดสัปดาห์ตอนตลาดปิด ลองตบหน้าตัวเอง เอาน้ำราดหัว แล้วถอยออกมามอง มาวิเคราะห์สถานการณ์ดีๆ ด้วยความสงบที่ตัวเองได้ฝึกมาก่อนหน้านั้นแล้ว ถามตัวเองง่ายๆ ว่า Upside / Downside ตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าถือต่อมีโอกาสจะขึ้นได้มากขนาดไหน? ถ้าเราไม่มีหุ้นอยู่เราอยากจะมีหุ้นไหม? แล้วถ้าลง มันจะลงได้ขนาดไหน? พอผมพิจารณาโอกาส และความเสี่ยงจบ ผมได้ข้อสรุปว่าผมมีเวลาไม่นานในการ Take Action ผมก็กำหนดแผนในการขาย ในการเข้า Position ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ พอต้นสัปดาห์มา ก็เดินหน้า ลุยตามแผน กัดฟันตัดแขน ตัดขา เท่าที่จำเป็น... อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวเสียอวัยวะ กับเรื่องที่จะทำให้เราเสียชีวิต... มันจะเสียวๆ เจ็บๆ จี๊ดๆ ตอน ทำตามแผน ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องมือในการจัดการกับใจตัวเอง สุดท้ายก็จบ เพราะ มนุษย์เรา ถูกออกแบบมาใน DNA ให้เวลากลัวมากๆ ตัวจะแข็ง Freeze หรือไม่ก็หนีตายโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาวิกฤต จำเป็นต้องมีเหตุผล มีจังหวะหยุด จังหวะกระทำ จังหวะถอย จังหวะลุก ซึ่งถ้าไม่เขียนออกมาเป็นแผนตอนที่ใจสงบๆ สุดท้าย พอกลับเข้าไปในตลาด ก็มืออ่อน เท้าอ่อน กดขายไม่ลง มีข้ออ้างให้กับตัวเองตลอดเวลา ปล ผมไม่ได้ชื่อ ตี๋ ครับ
โดย
picatos
เสาร์ มี.ค. 21, 2020 9:33 am
0
32
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
ขอไอเดียในการเลือกหุ้นตีแตกหน่อยครับ หลังจากวิกฤตครั้งนั้น พี่picatosทำไมถึงเลือกหุ้นตัวนั้น มีวิธีวิเคราะห์ยังไงคับ มาหาหุ้นตีแตกอะไรช่วงนี้ครับ หาทางรอดวิกฤตดีกว่าไหมครับ? รอดให้ได้ก่อน ค่อยทำกำไรครับ ถ้ายังไม่รอด อย่าคิดทำกำไร
โดย
picatos
ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 9:59 pm
0
14
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
รบกวนสอบถามครับ Bottom Out ของตลาดมีจุดสังเกตุหรือวิธีดูอย่างไรบ้างครับ จริงๆ มันยากนะ ของผมก็มั่วๆ เอา ไม่ได้กะจะซื้อที่ต่ำสุด แต่จะยอมซื้อแพงกว่าจุดต่ำสุดขึ้นมาหน่อย โดยมีจุดสังเกต คือ 1. Valuation ต่ำกว่าในขอบเขตด้านล่างเมื่อเทียบกับในอดีต 2. ราคาหุ้นไม่ทำ lower low มีข่าวร้ายที่หนักกว่าเดิม แต่ราคาหุ้นไม่ลงไปมากกว่าเดิม (คนที่ถอดใจสุดๆ เลิกเล่นหุ้นขายแล้ว แต่ก็ไม่ลงไปต่ำกว่าเดิม) 3. ถ้ามอง scenario เป็น V-Shape ราคาอาจจะเป็น double bottom แล้วเด้ง แต่ผมว่า เคสนี้น่าจะซึมๆ volume บางๆ เป็น U shape มากกว่า ช่วงเก็บหุ้นน่าจะยาวๆ คนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องหุ้น หันไปสนใจเรื่องอื่นกัน ยกตัวอย่าง สำหรับช่วงนี้ที่หุ้นเด้ง ยังไม่สามารถตอบได้ว่าผ่าน bottom ไปหรือยัง ต้องรอดูว่าถ้าเด้งขึ้นไปแล้ว จะลงไปทำจุดต่ำสุดกว่าเดิมไหม
โดย
picatos
ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 9:57 pm
0
26
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
1. แบ่งพอร์ตออกเป็น 3 ส่วน Long-Term (ตั้งใจถือเกิน 10 ปี) , Medium-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่ยังมี MOS) และ Short-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่แนวโน้มกิจการระยะสั้นยังดีอยู่) 2. ส่วนที่เป็น Long-Term หากเกิด Crisis ยังไงก็จะไม่ขาย ส่วนนี้ผมมีอยู่ 30% ของพอร์ต 3. เมื่อ Identify ได้ว่ากำลังเกิด Crisis ขึ้น ขาย Short-Term กับ Medium-Term ทิ้งให้หมด 4. ส่วนที่เป็น Long-Term เรา Hedge การลดลงของตลาดด้วย Index Futures และ Options 5. หากหุ้นที่เราถือดีกว่าตลาดจริงๆ จะลงน้อยกว่าตลาด กำไรที่ได้จากการ Short Futures จะมากกว่าขาดทุนที่เสียไปจากหุ้นที่เราถือ (ที่จุดนี้จะทำให้พอร์ตกลับขึ้นไปจุดก่อน Crisis) 6. Identify Indicator ที่จะ Unhedged Index Derivatives ของเรา รอจังหวะที่จะ Unhedged Port จนเป็นกลายเป็น Neutral Position (สำหรับในเคส Crisis ผมจะไม่รีบซื้อ ตั้งใจจะไม่ซื้อ จนกว่าตลาดจะ Bottom Out ยอมซื้อแพงกว่าจุดต่ำสุด แต่ขอให้ชัวร์หน่อยว่า ตลาดลงมาสุดก่อนที่จะเริ่มซื้อหุ้นจริงๆ จังๆ แต่ก็อาจจะมีมือบอนเข้าไปซื้อหุ้นบางตัวได้ถ้าหุ้นตัวนั้น P/E ต่ำกว่า 2 เท่า) 7. ระหว่างรอให้หุ้นลง เพื่อเก็บหุ้น ตั้งใจศึกษากิจการที่เราอยากจะลงทุน โอกาสช่วงนี้จะเยอะมาก ต้องศึกษาต้องอ่านเยอะมาก
โดย
picatos
ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 10:07 am
0
38
Re: อยากรบกวนพี่ๆ ที่มีประสบการณ์การผ่านวิกฤติ มาช่วยแชร์แนวคิดฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ?
ขั้นแรก ต้องรักษาใจตัวเองให้ได้ก่อนครับ ถ้าสามารถรักษาใจไม่ให้ตกไปตามราคาหุ้นที่ตกได้ วิกฤตนี้ก็ถือเป็นโอกาสทองเป็นอย่างยิ่ง ผมผ่านวิกฤตปี 2008 มา ผมสามารถบอกและยืนยันจากประสบการณ์ได้เลยว่า ความสำเร็จ ความมั่งมี ที่ผมมีอยู่ที่วันนี้ ก็ได้มาจากการผ่านวิกฤตครั้งที่แล้ว ดังนั้นเมื่อผมได้มาเจอกับวิกฤตครั้งนี้อีก ผมไม่กลัวนะ ผมดีใจมาก ดีใจที่ได้เจอมันอีก สถานการณ์ที่เราจะได้ทดสอบ เรียนรู้ และ สนุกกับการงาน การศึกษาการลงทุน เลยทำให้ชีวิตผมในช่วงนี้ ร่าเริง และมีพลังงานมากๆ ในบรรดาโอกาสทองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โอกาสที่สำคัญที่สุด คือ โอกาสในการฝึก พัฒนา เครื่องมือ ในการที่จะรักษาใจตัวเอง ให้มีความกล้าหาญ เข็มแข็ง ในการเผชิญกับปัญหา วิกฤต อุปสรรค ที่จะสามารถนำไปใช้ได้อีกเยอะมากในอนาคต เครื่องมือ ตลอดจน องค์ความรู้ที่ใช้ในการพัฒนาตัวเองในช่วงนี้ มีหลายอย่างมาก แต่สำหรับผม ถ้าให้เลือกเครื่องมือที่ดีที่สุด ที่สำคัญที่สุด ก็คือ เครื่องมือในการเข้าใจความทุกข์ของเรา และเรียนรู้ที่อยู่กับความไม่ได้ดังใจ ความที่ไม่เป็นไปตามสิ่งที่เราหวัง โดยที่เราไม่ไปทุกข์ใจกับมัน ถ้าฝึกจนเก่ง จนแก่กล้า จะมีความสามารถในการอยู่กับสภาพนี้ด้วยทัศนคติเชิงบวก มีความสุขได้ในทุกๆ สถานการณ์ เครื่องมือในการเข้าถือความสามารถนี้ได้ สำหรับผม คือ สติปัฎฐาน 4 หรือ ที่ตั้งของการเอาสติเข้าไปวาง 4 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงบัญญัติเอาไว้ในสมัยพุทธกาล หากถามว่า จะไปศึกษาเรื่องนี้อย่างไร ผมศรัทธา และขอ แนะนำ คุณดังตฤณ อาจารย์ร่วมสมัย ที่เผยแพร่ธรรมะนี้ ผ่านทางโลก ออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ ผ่านจากบ้าน ในยามที่เราต้อง Work From Home ขั้นที่ 2 เมื่อรักษาใจตัวเองได้ สภาพของใจของเราจะมีความสามารถอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้น คือ อยู่ในสถานการณ์ แต่ไม่จมลงไปกับสถานการณ์ เราจะมีความสามารถในการถอยใจของเรา มาอยู่กับฐานของสติที่เราได้ฝึกขึ้น เมื่อเรามีความสามารถในการถอยออกมาจากสถานการณ์ ออกมามองปัญหาต่างๆ ในมุมของคนนอก ในหลายๆ มุม หลายๆ มิติ ทั้งภาพกว้าง และภาพลึก ทั้งมิติในเชิงโครงสร้าง และเชิงเวลา ทั้งความสัมพันธ์ และแรงส่งแรงกระทบกันของปัญหาที่ซ้อนกันเป็นทอดๆ เราก็จะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น เมื่อมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง ไม่ได้ยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สภาพใดสภาพหนึ่ง ว่าเป็นตัวตน เป็นอัตตาที่เราควรยึดมั่นถือมั่น หุ้นที่เคยเป็นหุ้นของเรา ก็จะกลายเป็นหุ้นที่ควรลงทุน ที่น่าลงทุน ที่มีโอกาสเท่าไร มีความเสี่ยงเท่าไร มี Upside เท่าไร มี Downside เท่าไร มีแนวโน้มอย่างไร มีตัวเร่งอย่างไร มีจังหวะเวลาอย่างไร เมื่อสามารถเห็นการลงทุนต่างๆ ได้ตามความเป็นจริงมากขึ้น การลงทุน ก็เหลือเป็นเพียงการจัดสรรสัดส่วนของเครื่องมือทางการเงินแต่ละชิ้น ที่มีประโยชน์และโทษ มีคุณลักษณะของโอกาสความเสี่ยง เข้ามาอยู่ในพอร์ต ผสมสัดส่วนตามความรู้ความเข้าใจของเรา เพื่อทำให้โอกาสและความเสี่ยงของพอร์ตของเราพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ วิกฤตก็สักแต่ว่าเป็นสภาพปัจจัยแวดล้อมอันหนึ่ง ที่ทำให้ โอกาสและความเสี่ยงของพอร์ตเราเปลี่ยนไป เราก็แต่ Optimize สัดส่วนการลงทุนของเราให้อยู่สภาพที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่อันเกิดจากวิกฤต ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดวิกฤต Covid ผลกระทบนี้มีผลกระทบในเชิงลบกับหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน มีผลในเชิงบวกต่อกิจการอะไรบ้าง upside/downside ของสินทรัพย์แต่ละประเภทเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผลกระทบนี้ในเชิงเวลามีอย่างไร ในเชิงจิตวิทยามีอย่างไร เครื่องมือเครื่องไม้ที่เรามีอยู่พร้อมแล้วหรือยังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราควรจะในกลยุทธ์ไหนอย่างไร ทั้งหมดนี้ ศึกษา แล้วเขียนมันออกมา เมื่อศึกษาแล้วเขียนออกมาแล้วก็ศึกษาเพิ่มขึ้นไป ลึกลงไป จนได้เป็น Action Plan ออกมาว่า เราจะทำอะไรอย่างไร ต่อไป เมื่อเกิดเหตุการณ์แต่ละอย่าง ถ้าหุ้นตัวนี้ ราคานี้เราจะซื้อเท่าไร ขายเท่าไร ถ้าสถานการณ์ความรุนแรงหนักขึ้น หรือเบาลง เราจะดำเนินการอะไรอย่างไร ทั้งหมดนี้ เขียนมาออกมา ในยามที่ใจสงบ พ้นจากสภาพความวุ่ยวายทางใจ จากการวางสติอย่างถูกต้อง เขียนให้เราสามารถเข้าใจมันได้ง่ายๆ สามารถที่จะหยิบขึ้นมาพร้อมกับการใช้งาน และเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ใจของเราถูกตลาดทุบ ทำร้าย ให้ตกกระหน่ำลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ให้หายใจออกยาวๆ แล้วค่อยๆ ดึงใจกลับมาอยู่ที่ฐานของสติที่ได้ฝึกเอาไว้ จนรู้สึกว่าใจสงบลง ค่อยๆ หยิบสมุด หรือ กระดาษที่เราจด เอาไว้ ว่าเราวางแผนว่าเราจะทำอะไรในสถานการณ์นี้นะ แล้วก็ตัดสินใจทำตามแผนซะ แรงต้านที่จะไม่ทำจะมีอยู่ ความไม่แน่ใจที่จะไม่ทำยังมีอยู่ แต่ว่าแต่... ก็สิ่งที่เราเขียนเอาไว้ เราคิด เราวางแผนตอนที่ใจของเราสงบและเป็นปกติที่สุด มันน่าจะดีกว่าใจของเราที่กำลังวุ่นวายอยู่ตอนนี้นี่นา ดังนั้น ตัดใจทำมันซะ ถึงทำไม่ได้ 100% ก็ลงทำ 50% ของที่วางแผนดูแล้วกัน แต่ถ้าทำ 50% ไม่ได้ ผมว่า 25% ยังไงก็ต้องทำตามแผนนะครับ นี่แหละครับ คำแนะนำของผม... สรุป 1. รักษาใจตัวเองให้ได้ 2. มีเครื่องมือในการรักษาใจ 3. ศึกษาความเสี่ยง/โอกาส หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่จำเป็นในการบริหารจัดการกับพอร์ต 4. วิเคราะห์ และกำหนดแผนในการดำเนินการ ในยามที่ใจสงบ ปราศจากความวุ่นวาย 5. ทำตามแผนที่เขียนเอาไว้ ในยามที่เกิดเหตุต่างๆ โดยเฉพาะ ในยามที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ที่ทำให้ใจของเราสั่นไหว ปล. 1) ที่ว่าโอกาสทอง โอกาสทองนี้เป็นโอกาสทองระดับไหน ผมบอกได้เลยว่าจากวิกฤตปี 2008 ผ่านมา 10 ปี พอร์ตของผมโตขึ้น 300 เท่า 2) ด้วยสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ วิกฤตครั้งนี้ พอร์ตของผมไม่เสียหายครับ Drawdown ลงไปเล็กน้อยในช่วงต้น หลังจากทำไปตามแผน พอร์ตก็กลับมาที่เดิมตอนก่อนเกิดวิกฤต
โดย
picatos
ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 5:20 am
0
65
Re: การมีกลุ่มหรือก๊วนนักลงทุน จำเป็นสำหรับการลงทุนมั้ยครับ?
จริงๆ ผมตั้งใจว่าจะไม่ Post อะไรในเว็บ Thai VI มาหลายปีแล้ว แต่เนื่องด้วยหัวข้ออันนี้มันตรงกับชีวิตตัวเองมากๆ เลยคิดว่าจำเป็นต้องออกมายืนยันกับคนที่ตั้งใจที่จะลงทุนคนเดียว แล้วเกิดความไม่มั่นใจว่าควรไหมที่จะก้าวเดินคนเดียว แบบที่ไม่มีใครเลยจริงๆ ว่ามันสามารถทำได้ไหม? ผมขอยืนยันครับว่า มันทำได้จริง ถึงแม้ว่าอาจจะยากในช่วงแรก แต่ถ้าทำได้แล้ว มันสงบสุข ปลอดภัย มีชีวิตที่ดีได้อีกแบบหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องไปรวมกลุ่มแบบคนอื่นๆ เค้า ตามธรรมชาติของมนุษย์ที่พัฒนามาจากสัตว์สังคม การที่จะลงทุนอย่างมีเพื่อน มีกลุ่ม มีก๊วน มันคือ สามัญสำนึกปกติ ที่ถูกฝังอยู่ใน DNA ของสัตว์สังคม การเข้ากลุ่ม เลียนแบบ เรียนรู้ พฤติกรรมของฝูง และทำตัวให้เข้ากับฝูง เป็นลักษณะขั้นพื้นฐานของสัตว์สังคม ข้อแตกต่างของมนุษย์ กับ สัตว์ประเภทอื่นๆ คือ ความสามารถในการสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่จากองค์ความรู้เดิม และเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ให้กับมนุษย์คนอื่นๆ ถ้าเราเลือกฝูงได้ดี คนในฝูงโดยส่วนมาก ขยัน มีความรู้ มีความสามารถในการสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ๆ และดูดซับองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องจากฝูงอื่นๆ ได้ องค์ความรู้ของฝูงที่เราอยู่จะพัฒนาไปได้เร็วมากอย่างเหลือเชื่อ นั่นเป็นข้อดีของฝูง ของกลุ่ม ถ้าหากเราอยู่ในฝูงหรือกลุ่มที่ดีนะ แต่ถ้าเราอยู่ฝูงที่ไม่ดี ที่มีแต่คนรู้น้อย ขี้เกียจมาก ก็คงไม่ต้องพูดถึงความสำเร็จอะไรกัน เราก็คงจะเป็นฝูงแมงเม่า ฝูง Lemming ที่เคลื่อนไหวตามฝูง ตื่นเต้นคึกคัก หรือหดหู่ไปตามสภาวะตลาด ถูกพวก Smart Money จูงจมูกเราไปซ้ายที ขวาที และสุดท้ายก็พบแต่ความวิบัติในการลงทุน ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในฝูงที่ดีมาก ขยันมาก จากที่เคยเห็นมา บางฝูงนี่ขยันสุดๆ จัดกลุ่มไปศึกษาหุ้นที่ต่างจังหวัด คุยหุ้นโต้รุ่ง กัน 3 วัน 2 คืน ศึกษาหุ้นกันวันละเกือบ 10-20 ชั่วโมง ระดับความเข้มข้นของความขยันนี่โหดมาก ซึ่งสุดท้ายแล้วความขยันก็ออกดอกออกผลเป็นความสำเร็จในการลงทุน แต่ถ้าระดับความขยันดังกล่าวนั้นมากเกินไปที่จะทำได้จริงในระยะยาว เมื่อประสบความสำเร็จในการลงทุนแล้ว ส่วนใหญ่จะเกิดปฏิกิริยาตีกลับ เพราะ เหนื่อยมากๆ เป็นทุกข์มากๆ จากความขยัน เลยไม่อยากกลับไปทรมานแบบนั้นแล้ว ก็เลยลดระดับความขยันลง คนเราจะขยันได้ ในความเห็นผม มี 3 เหตุ 1. อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรมากๆ 2. กลัวภัย 3. มีสันดาน นิสัย ที่ขยัน เมื่อคนขยันเป็นอย่างมาก ได้รับความสำเร็จ ชื่อเสียง การยอมรับในสังคม - เขามีเงิน มีพอร์ตใหญ่มากเสียจนมีคนเอาข้อมูลต่างๆ มาให้แทนที่จะต้องไปหาเองอย่างในอดีต - มีคนวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ให้ เพื่อชวนให้เขาไปซื้อหุ้นตาม โดยที่เค้าไม่ต้องลงแรงเหนื่อยวิเคราะห์หุ้นเองอย่างในอดีต - เค้าได้ข้อมูลเร็วกว่าคนอื่นๆ จากผู้บริหาร และนักลงทุนคนอื่นๆ ทำให้ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ให้เฉียบคม ห้ามพลาด อย่างในอดีต เพราะ ทุกครั้งที่เค้าซื้อขาย เค้าจะเคลื่อนไหวได้ก่อนคนอื่น - ขนาดพอร์ตที่ใหญ่โต ทำให้ถึงพลาดไป ก็ไม่อดตาย จึงทำให้ประมาท ผลของความสำเร็จได้กัดกร่อนความขยัน ทำให้คนที่เคยขยันสุดๆ กลายเป็นคนขยันธรรมดา และเมื่อลองทดลองขยันแบบธรรมดาก็ยังรวยเพิ่มขึ้นได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ก็เลยลองเป็นคนขี้เกียจดู และพบว่าถึงแม้จะขี้เกียจ ถึงแม้ว่าจะประมาท ก็ยังประสบความสำเร็จในการลงทุนอยู่ได้ จึงเลือกที่จะเป็นคนขี้เกียจ เพราะ โดยธรรมชาติแล้วจิตมนุษย์นั้นไหลลงสู่ที่ต่ำ ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างให้ใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น จะลงแรงไปทำไม ถ้าหากแม้จะไม่ลงแรงก็ได้ผลตอบแทนในการลงทุนไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าลงทุนผิดพลาด แต่ก็ยังออกได้ก่อนคนอื่น สามารถพูด ทำให้คนอื่นเชื่อ แล้วมารับของที่ตัวเองอยากออกได้ ความกลัวภัยก็น้อยลง แต่สุดท้ายแล้ว ธรรมดา ธรรมชาติของโลกใบนี้ คือ ความประมาทเป็นหนทางไปสู่ความตาย เพราะ ขี้เกียจจึงประมาท เพราะ มีเงินมากจึงเป็นเหยื่ออันโอชะ ที่ทุกคนมุ่ง พุ่ง เข้ามารุมกัดกิน ราวเป็นชิ้นเนื้อที่ฝูงเหยี่ยว นก ตะกลุม รุมกันแย่งกิน เงิน พอร์ต อันใหญ่โตมโหฬาร ของเรา จะเป็นเหยื่ออันโอชะของเหล่าโจรร้ายที่มุ่งหมายจะเข้ามาตักตวงเท่าที่ตักตวงได้ ถึงแม้ว่าเราจะขยันเป็นอย่างมาก ไม่ลดละความขยันลงเลยแม้แต่น้อย ระดับความยากของเกมส์ก็เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ เมื่อขนาดพอร์ตของเราใหญ่เกินกว่าที่จะลงทุนในกิจการเล็กๆ ได้ เราจำเป็นต้องลดความคาดหวังของผลตอบแทนลง หรือเราจำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการที่คุณภาพต่ำลง ที่บางทีแล้วกิจการเหล่านั้นก็เป็นแหล่งที่อยู่ของโจรในคราบนักธุรกิจ และเมื่อเป้าหมายของเรา คือ ผลตอบแทนในการลงทุนกับโจร แต่เป้าหมายของโจร คือ เงินของเรา สุดท้ายแล้วใครแพ้ใครชนะเป็นเรื่องที่พอจะเดากันได้ ระดับความยากของการลงทุนจึงเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ จากที่ลงทุนยากขึ้นอยู่แล้ว ก็จะยากขึ้นไปอีก เพราะ เราจำเป็นต้องเพิ่มทักษะในการดูโจรให้ออก ซึ่งก็ทำให้หลายๆ คนถอดใจ ไม่เล่นกับโจร แต่เลือกที่จะลดความคาดหวังผลตอบแทนตัวเองลง เลือกที่จะลงทุนปลอดภัยมากขึ้น ขยันน้อยลง และกลายเป็นนักลงทุนที่ได้ผลตอบแทนธรรมดาๆ (ถึงแม้ว่าจะยังดังอยู่ก็ตาม) โดยส่วนตัวแล้ว ผมเลือกที่จะออกจากสังคม มาลงทุนคนเดียว ออกจากการลงทุนในไทย ไปลงทุนต่างประเทศ ในจุดที่ยังไม่เป็นที่สนใจของคนอื่นๆ ยังไม่ไปถึงจุดที่จะเป็นเป้าของโจร แต่ก็เป็นจุดที่มีพอร์ตและองค์ความรู้มากเพียงพอระดับหนึ่งที่จะออกจากสังคม ก้าวเดินไปคนเดียว การเปลี่ยน Universe ของการลงทุนไปเป็นต่างประเทศ เป็นโลกทั้งใบ ทำให้มีตัวเลือกในคุณภาพของกิจการระดับสุดยอด ที่มีคนดีๆ ขยันๆ มีความคิดสร้างสรรค์ ในการทำผลิตภัณฑ์เจ๋งๆ เยอะแยะมากมาย การเดินคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ต้องระวังภัย ขยัน อยู่ตลอดเวลา จนมีโอกาสที่จะพัฒนาความขยันในการลงทุนให้กลายเป็นนิสัย เป็นสันดาน เป็นเนื้อแท้ของเราได้ เพราะ ในต่างประเทศ ถึงพอร์ตคุณจะใหญ่เป็น หมื่นล้าน ก็เป็นแค่เศษเงินขี้ประติ๋ว ของคนอื่นเค้า เงินพันล้านหมื่นล้านจะไม่ทำให้คุณรู้สึกผยอง เพราะ จะไม่มีใครมาซูฮกคุณกับเงินแค่นี้ คุณจะไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า ทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าขี้เกียจ ประมาท และพลาด คุณจะได้เห็นผลกรรมของความมักง่ายของคุณในเวลาไม่นาน จนทำให้คุณไม่กล้าขี้เกียจ และเมื่อคุณจำเป็นต้องพัฒนาความขยันในแบบใหม่ของคุณขึ้นมาให้เป็นเนื้อแท้ แบบที่ Sustainable อยู่ได้ในระยะยาวจริงๆ คุณจำเป็นต้องมีสติในการพัฒนาวิถีชีวิตให้ขยันอย่างพอดี ที่อยู่ได้ในระยะยาวอย่างแท้จริง ในช่วงที่คุณจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางในการลงทุนคนเดียว มันจะมีความไม่มั่นคงหลายๆ อย่างเข้ามา ทำให้รู้สึกเสียวๆ กลัวๆ ไม่มั่นใจ ถ้าเราไม่ล้มเลิก สุดท้ายแล้ว เราจะรู้สึกสนุกกับความเสียวๆ กลัวๆ เราจะอยู่กับมันอย่างรู้ชัดว่าอันนี้เป็นอาการทางจิต หรือว่านี่เป็นความจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่ม ถ้ารู้ชัดว่านี่เป็นอาการทางจิต ก็แค่ดูมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แต่ถ้ามันจำเป็นต้องศึกษาเพิ่ม ก็แค่ศึกษาเพิ่ม เมื่อคุณเจอความสมดุลที่ลงตัว กับความขยันในการลงทุน มุมมอง แนวคิด ตลอดจนการจัดการกับสภาวะจิตใจในการลงทุนด้วยตัวคนเดียวแล้ว ผมสามารถสรุป แล้วฟันธงได้เลยความ ว่าชีวิตที่ลงทุนของผมเองที่ลงทุนคนเดียว เป็นชีวิตที่ผมชอบมากกว่า ชีวิตที่ต้องไปเสียเวลาไปกับกลุ่มก๊วนมากๆ สงบกว่า มีเวลามากกว่า ใช้เวลามีประสิทธิภาพมากกว่า มีความสุขมากกว่า ทำอกุศลน้อยกว่า สุดท้ายนี้ ผมอยากให้กำลังใจกับคนที่กำลังเดินคนเดียว หรือปรารถนาที่จะเดินคนเดียว อยากให้มั่นใจว่าหนทางแบบนี้มีอยู่จริง และทำได้จริง เหมาะกับคนที่เป้าหมายหลักในชีวิต เป็นผู้ปรารถนาความสงบ หลุดพ้นไปจากความวุ่นวายของโลก ไม่เหมาะกับคน 99.99% ในโลกนี้ครับ
โดย
picatos
จันทร์ พ.ย. 11, 2019 5:43 pm
0
46
Re: [Podcast] รีวิว + สิ่งที่ได้จากหนังสือ Mastering The Market Cycle
ถ้าต้องการที่จะ different และ better ในมุมของ macro economy ผมขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ครับ https://www.amazon.com/Sustainable-Growth-Post-Scarcity-World-Consumption-ebook/dp/B01DPZVM6C อ่านแล้วอาจจะช่วยให้เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก แม้แต่ในเรื่องที่ Howard Mark ก็บอกว่าเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น :B :B :B
โดย
picatos
อาทิตย์ พ.ย. 10, 2019 5:07 pm
0
7
Re: การมีกลุ่มหรือก๊วนนักลงทุน จำเป็นสำหรับการลงทุนมั้ยครับ?
ไม่จำเป็นครับ ช่วงประมาณ 5-6 ปีหลังนี่ ผมลงทุนคนเดียว คุยกับนักลงทุนคนอื่นน้อยลงๆ จนช่วง 2-3 ปีมานี้ แทบจะไม่ได้คุยกับนักลงทุนคนอื่นเลย ลงทุนคนเดียวจริงๆ ก็พบว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ได้ความสงบ สุข จากการไม่ต้องมารับข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุน ปัญหาของโลกยุคนี้ คือ ข้อมูลมันมากเกินไปซะมากกว่า ไม่เหมือนโลกยุคก่อนที่ข้อมูลไม่พอจำเป็นต้องมีกลุ่มก๊วนที่ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูล โลกยุคนี้อยากได้ข้อมูลอะไร เราสามารถค้นหาได้ โดยไม่ต้องมีกลุ่มหรือก๊วนนักลงทุนครับ เพียงแต่ว่าเราต้องมีเข็มทิศ มุมมอง ที่รู้ว่าต้องการค้นหาอะไรมากกว่า
โดย
picatos
พฤหัสฯ. พ.ย. 07, 2019 2:46 pm
0
28
Re: อคติ vs การเรียนรู้ / โดย Dome Perth
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10155190379929071&id=20446254070 เมื่อจิตสงบ ก็จะเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง
โดย
picatos
ศุกร์ พ.ย. 03, 2017 5:38 am
0
3
Re: อคติ vs การเรียนรู้ / โดย Dome Perth
พี่โดมเขียนได้ดีมากเลยครับ ผมขออนุญาตแจมหน่อยนะครับ จริงๆ แล้วเมื่อเราลงทุนถึงจุดหนึ่ง เราก็มักจะเริ่มเห็นปัญหาของอคติ คำถามที่ตามมา คือ เราจะทำอย่างไรให้ไม่มีอคติในการลงทุน? จากที่ผมได้ศึกษามา เครื่องมือในการกำจัดอคติที่ดีที่สุด ก็คือ การฝึกสมาธิในทางพุทธ เพราะ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิดีแล้ว จนถึงระดับที่เข้าถึงสภาพจิตที่เป็นอิสระ หลุดพ้น ปลดเปลื้องจิต จากการเกาะกุม ปรุงแต่ง สภาพนั้นจะเป็นสภาพจิตที่ใส สะอาด ปราศจากอคติ ควรแค่แก่การงาน สามารถที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง เหมาะสมแก่การเอาไปใช้เรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นฐานที่มั่นให้เกิดปัญญาต่างๆ ได้ โดยธรรมชาติแล้ว จิต มีสภาพ หน้าที่ในการ "รับรู้" หากจิตอยู่ในสภาพที่สับสนวุ่นวาย สกปรก ขุ่นมัว เหมือนน้ำที่ขุ่นคลัก การจะมองเห็น หรือรับรู้สิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนก็ทำได้ยาก จึงเป็นผลทำให้เห็นผิด คิดผิด พูดผิด และทำผิด ทั้งหมดนี้เป็นผลอันเนื่องมาจากการรับรู้ของเราที่มีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่ แต่ถ้าหากน้ำถูกทำให้ใส ฝุ่น ละอองต่างๆ ถูกทำให้ตกตระกอน การจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ศึกษาสิ่งต่างๆ ก็ทำได้ง่าย ชัดเจน เมื่อเห็น เมื่อสังเกตุสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ตามความเป็นจริง เราก็สามารถที่จะวิเคราะห์การลงทุน ทั้งข้อดี ข้อเสีย ปัจจัยที่สำคัญต่อความสำเร็จในการลงทุนได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น มีอคติน้อยลง ซึ่งเครื่องมือในการทำน้ำให้ใส ก็คือ สมาธินั่นเอง วิธีในการเข้าถึงสภาพจิตที่เป็นสมาธิ เราจะมีเครื่องมือที่เรียกว่า "กรรมฐาน" ซึ่งแปลว่า ฐานที่มั่นที่โน้มจิตเข้าไปทำงานเพื่อให้เกิดสมาธิ ซึ่งคนแต่ละคนก็มีเครื่องมือในการเข้าถึงสมาธิที่เหมาะสมแตกต่างกัน บางคนอาจจะเหมาะกับโน้มจิตเข้าไปดูลมหายใจ บางคนเหมาะกับการดูสี ดูดิน น้ำ ไฟ ลม บางคนอาจจะเหมาะกับการระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของทาน ศีล เป็นต้น แต่ละคนจะใช้เครื่องมืออะไรก็แล้วแต่ แต่เป้าหมายก็เพื่อให้จิตเข้าถึงสภาพที่ควรค่าแก่การงาน เป็นจิตที่สงบ เป็นอิสระจากความวุ่นวาย โดยวิธีการที่ใช้ คือ เราจะโน้มจิตไปที่อารมณ์เป้าหมาย หรืออารมณ์กรรมฐานนั้นบ่อยๆ เนื่องๆ โดยไม่ให้ความสนใจกับอารมณ์ที่เข้ามาขัดขวางสิ่งที่เรากำลังใช้เป็นเป้าหมายมากนัก ไม่ใช่ปฏิเสธไม่ให้มันเกิดนะครับ เพียงแต่เมื่อเกิดก็ไม่ต้องให้ความสนใจสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายมากนัก เมื่อจิตโน้มเข้าไปสนใจเป้าหมายจนจิตเกาะติดได้ ก็จะเกิดสภาพจิตที่เป็นสมาธิขึ้นเอง ทั้งนี้สภาพจิตที่เป็นสมาธินี้มีระดับที่หลากหลาย หยาบ ละเอียด ลุ่มลึกแบ่งได้เป็นขั้นๆ ยิ่งเข้าถึงสภาพที่สงบลุ่มลึกลงไปได้มากเท่าไร สภาพความพร้อมของจิตที่ออกจากสมาธิ แล้วเอาจิตนั้นๆ ไปใช้งาน ยิ่งมีกำลังที่แตกต่างกันตามลำดับขั้น ระดับขั้นที่จิตพอที่จะเป็นอิสระจากอคติ คือ สมาธิในระดับขั้นที่เรารับรู้ถึงตัวจิตได้อย่างชัดเจน โดยเป็นอิสระจากทางกายโดยสมบูรณ์แล้ว กล่าวคือ สภาพของสมาธิที่ไม่สนใจกายแล้ว ทิ้งกาย เหลือแต่จิต ระดับของสมาธิในขั้นนี้ถ้าเข้าถึงได้ จะทำให้การลงทุนง่ายขึ้นมาก เพราะ สภาพจิตจะมีความพร้อมที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแค่กระบวนการปรุงแต่งของเหตุปัจจัย และจะทำให้เราเห็นข้อดี ข้อเสีย ปัจจัยที่สำคัญของการลงทุนได้ชัดเจนมายิ่งขึ้น ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น มีอคติน้อยลง
โดย
picatos
อาทิตย์ ต.ค. 29, 2017 9:59 am
0
33
Re: หุ้นยักษ์แห่งวอลสตรีท/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมไม่ชอบแนวความคิดที่ว่าการลงทุนคือการแข่งขันเลยครับ ผมไม่ชอบการแข่งขัน เพราะ ผมไม่ชอบเป็นผู้แพ้ สำหรับผม ผมคิดว่า ถ้าคุณอยากจะแข่งก็แข่งกันไป ผมไม่ไปแข่งกับคุณด้วย ผมไม่แข่งแม้กระทั่งตลาด ว่าจะชนะหรือแพ้ตลาด ผมรู้สึกว่าแค่การมีทัศนคติที่จะแข่งก็เป็นเหตุแห่งทุกข์แล้ว ทุกข์เพราะมุมมองที่เราสร้างให้กับตัวเอง บีบตัวเองให้เป็นทุกข์เมื่อไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เมื่อไม่แข่ง มันก็จะเหลือแค่ว่ากิจการนี้ดีหรือไม่ดี เราเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ราคาน่าซื้อหรือไม่น่าซื้อ ผลตอบแทนที่ได้รับจากราคานี้เป็นเท่าไร ความเสี่ยงเป็นอย่างไร เรารับได้ไหม สุดท้ายแล้วถ้ามันเป็นการลงทุนที่ดี ที่ลงแล้วนอนหลับสบาย มีความสุขที่ได้ติดตามกิจการ ถึงจะแพ้คนอื่นบ้างในเชิงผลตอบแทน แต่ถ้ามันทำให้เรามีสุขมากกว่าทุกข์ ผมว่าผมชนะแล้วนะ ผมชนะตัวเอง ถึงแม้จะแพ้คนอื่น เพราะ สุดท้าย เมื่อวันที่เราจะตายจากโลกนี้ไป เราจะไม่เหลืออะไรให้คาใจในประเด็นที่ว่า เราเคยแพ้ เราเคยชนะอะไร และเรามีอะไรที่ยังคาใจกับการแพ้การชนะอันนั้นอยู่ที่จะต้องเก็บเอาไปแข่งต่อในชาติหน้า
โดย
picatos
พุธ ต.ค. 11, 2017 8:59 pm
0
13
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
ฝากให้น้อง Fin ลองฟังดูนะครับ เรื่องสมาธิในฌาน ของหลวงพ่อพุธ https://youtu.be/ubsOiDyq99w
โดย
picatos
อังคาร ก.ย. 19, 2017 8:27 am
0
3
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
... ขอบคุณมากๆครับพี่ ถ้าเราจะเจริญสติ เช่นดูจิต หรือทำอานาปนสติ เพื่อไม่ให้เป็นผู้เพ่ง ทำแบบธรรมชาติ เราควรจะวางจิตหรือรู้สึกอย่างไรครับ ผมเคยชินแต่การกำหนดลมหายใจแบบชัด นิ่งอยู่จุดเดี่ยว ทำไปๆ จิตจะเริ่มตัดผัสสะภายนอก แล้วก็จะเริ่มหมดความรับรู้ทางกาย แล้วก็จะเกิดสว่างจ้าภายในครับผม สงสัยครับ ว่าทำไมต้องเจริญสติแบบไม่เป็นผู้เพ่งด้วยเหรอครับ? ผมเข้าใจว่าคนแต่ละคน มีธรรมชาติที่เหมาะสมในการปฏิบัติต่างกัน การเป็นผู้เพ่ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด น่าจะเป็นการปักจิตลงสู่สมถะ โน้มจิตเข้าสู่ความสงบ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะ การปฏิบัติถ้าตามที่พระอานนท์อธิบายเอาไว้ใน ยุคนัทธกถา ได้แสดงวิธีเอาไว้ 4 วิธี โดยวิธีหลักๆ มี 2 วิธี คือ วิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้น กับ สมถะอันมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ประเด็น คือ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบแล้ว ตั้งมั่นดีแล้ว ก็ควรโน้มจิตเข้าไปเพื่อเจริญปัญญาต่อ อย่างเช่น เมื่อจิตถอยออกมาจากความสงบแล้ว เริ่มรับรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ก็ตามดูตามรู้สภาพที่เป็นปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง อย่างเช่น สังเกตว่าสภาวะหนึ่งๆ ที่เด่นชัดความเกิดขึ้น แล้วก็แปรเปลี่ยน ดับไปด้วยความจดจ่อต่อเนื่อง ถึงขนาดที่ว่าเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาพธรรมอันนั้นที่ดับไป ดับลงไปอีกที (เห็นสภาวะหนึ่งๆ ดับลงไป และเห็นจิตที่เข้าไปเห็นสภาวะอันนั้นๆ ดับลงไปอีกทอดหนึ่ง) เป็นต้น และถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มมีนิวรณ์รบกวนมากๆ เข้า ก็โน้มจิตเข้าสู่ความสงบอีกครั้งด้วยการเพ่งลมหายใจ แล้วเมื่อจิตถอยออกมาก็กำหนดรู้สภาวะต่างๆ ตามความเป็นจริงอีกครั้ง
โดย
picatos
จันทร์ ก.ย. 18, 2017 9:21 pm
0
4
Re: งานสัมมนาVI 2/60 Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI?
... อยากให้พี่ picatos ช่วยอธิบายวิธีเจริญสติให้เห็นภาพหน่อยครับว่ามีวิธีทำอย่างไร หรือเป็น case study ตอนพี่เริ่มฝึกก็ได้ครับจะได้เห็นภาพชัดเพิ่อเป็นประโยชรณ์กับคนที่เริ่มอยากฝึกเจริญสติครับ จริงๆ แล้วมันมีหนังสือ หลักสูตร ตลอดจนผู้สอนจำนวนมากมายท่ี่ให้คำแนะนำในการฝึกเจริญสติอยู่ครับ สำหรับผมเองแล้ว เนื่องจากเป็นผู้ศึกษาอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เป็นผู้สอน และไม่มีความสามารถในการสอน แถมในศาสตร์ทางด้านนี้ ผู้ฝึกควรที่จะมีควรศรัทธา เคารพ ในวิธีการและตัวผู้สอนเป็นอย่างมาก จึงจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและก้าวหน้า ต้องมีการสอนแบบเจอตัวกันจริงๆ โดยเฉพาะในการเริ่มต้นฝึกใหม่ๆ เพราะ ผู้สอนจะมีการให้โจทย์ไปทดลองทำ และตรวจสอบผล ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุม (เหมือนห้องทดลองที่ต้องคุมตัวแปรต่างๆ) จึงไม่ใช่วิสัยที่ผมจะให้คำแนะนำอะไรไปได้มากไปกว่านี้ สำหรับการฝึกของผมเอง ผมจึงเริ่มต้นจากการไปปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน ที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ หลังจากนั้นก็ได้บวชต่อที่วัดร่ำเปิงอีก 10 วัน เพื่อทดลองฝึกในขั้นต้น โดยผมเริ่มต้นปฏิบัติในแนวทางของคุณแม่สิริ กรินชัย และต่อยอดไปในแนวทางพองหนอ ยุบหนอ ของทางพม่าครับ ในการปฏิบัติในแนวทางนี้ของพม่า มีข้อดีสำหรับผู้เริ่มต้น เนื่องจากสมาธิจะไม่ดิ่งลึกจนเกินไป มีแนวทางปฏิบัติ วิธีการตรวจสอบผลการปฏิบัติ ตลอดจนมีวิธีการแก้ไขปัญหาระหว่างปฏิบัติชัดเจนในระดับหนึ่ง จึงทำให้เริ่มต้นเรียนรู้การปฏิบัติได้อย่างไม่หลงทางเท่าไรนัก สำหรับผมเอง หลังจากที่ได้ทดลองฝึกในขั้นต้น ก็กลับมาฝึกเองที่บ้าน ตื่นทุกเช้ามาทำ เดินจงกรม 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง วันไหนว่างๆ ก็ทำ 4 ชั่วโมงบ้าง 6 ชั่วโมงบ้าง จัดสรรเวลา กลับเข้าไปปฏิบัติตามหลักสูตรอีกหลายต่อหลายครั้ง ศึกษาพระธรรม อ่านพระไตรปิฎก อ่านคัมภีร์ อรรถกถาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ปีได้ จึงพอจะรู้ว่าการปฏิบัติธรรมจริงๆ คือ อะไร ต้องทำอะไร ดูแลตัวเองอย่างไร จึงพอเริ่มที่จะทำเองได้ สำหรับคนอื่นๆ อาจจะปฏิบัติโดยวิธีการ shortcut บ้าง ทำเป็นงานอดิเรกบ้าง แต่ผมเป็นพวกทำอะไรจริงจัง ชอบทำอะไรตรงๆ เถือกๆ ไป และการปฏิบัติธรรมสำหรับผมถือเป็นสาระสำคัญของชีวิตเป็นเหมือนการทำงานอย่างหนึ่ง ผมจึงให้เวลากับตรงนี้มากๆ ซึ่งอาจจะไม่ค่อยตรงกับคนอื่นๆ นัก อย่างช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมให้เวลาที่ผมเก็บตัวปฏิบัติธรรม ก็จะปฏิบัติเหมือนทำงาน วันละ 8 ชั่วโมงบ้าง 10 ชั่วโมงบ้าง 12 ชั่วโมงบ้าง แล้วแต่เวลาที่เอื้ออำนวย
โดย
picatos
จันทร์ ก.ย. 18, 2017 12:45 pm
0
7
1598 โพสต์
of 32
ต่อไป
ต่อไป
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
ชื่อล็อกอิน:
picatos
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
เสาร์ มี.ค. 27, 2004 12:20 pm
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
3227 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.17% จากโพสทั้งหมด / 0.43 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว