หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
วันพีส
ผมรู้น้อย แต่จะค่อยๆ ทำความเข้าใจครับ
Joined: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 4:47 am
77
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - วันพีส
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
ข่าวนี้ มันบอกอะไรได้ หรือ เปล่าครับ ......
คิดให้เป็น แง่ดี อย่างนี้ได้ไหมครับ เมื่อ สุพรรณบุรี คนทั่วไป ยอมรับให้เป็น บรรหารบุรี ได้ แล้วทำไม เชียงใหม่ จะเป็น ทักษิณนคร ไม่ได้ (ท่านคงชอบแนวคิดนี้ของท่านอดีตนายก) ส่วนตัวผมว่า ถ้า ส.ส. ทุกคน คิดเช่นนี้ เรื่องที่จะพัฒนา ให้บ้านเมืองตนเองเจริญ ประเทศไทย คงเจริญทัดเทียม หลายประเทศแล้ว หากมองว่า พรรคพวก ได้รับ เงินค่าก่อสร้าง งานต่างๆ มหาศาล แต่อย่างน้อยที่สุดเมืองเชียงใหม่ ก็เจริญขึ้น ไม่ใช่การกินโดยชาวบ้าน ไม่ได้รับอะไรเลย ผมเคยได้ยินคำนี้ จาก ปากชาวบ้าน เมืองสุพรรณ ครับ เว้นวรรคความไว้บ้างแล้วกันครับ " ท่านบรร... จะกินที่ไหนก็ตาม แต่ก็จะกลับมาถ่ายที่ สุ..."
โดย
วันพีส
อาทิตย์ มี.ค. 06, 2005 1:39 pm
0
0
ขอให้ร่วมกันลงชื่อ เพื่อให้ความร่วมมือกับกลต.
ครับ
โดย
วันพีส
อาทิตย์ มี.ค. 06, 2005 10:24 am
0
0
ทางรอดของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของปี48 คืออะไรคับ
สวัสดีครับ อ่านดูแล้วผมนึกถึง อีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายผู้บริโภคบ้างได้ไหม ซึ่งก็ไม่รู้เข้าใจถูกแค่ไหนครับ ทางรอดของบริษัทอสังหาฯ ส่วนตัวผมว่ามีมากมาย ผู้บริโภคต่างหากแทบไม่มีโอกาสเลย ผิดพลาดบ้างก็คือบริษัทอสังหาฯ อาจมีระยะเวลากำไรยาวขึ้น (แต่หากเศรษฐกิฐพังแบบปี 2540 ใครธุรกิจใดก็อยู่ได้ยาก) ผมว่าใครก็ตามที่เข้ามาผลิตบ้านขายเป็นผู้ที่มีหน้าตักในการ รอคอยผลกำไรได้อยู่แล้ว เครดิตก็ดีไม่งั้นกู้มาลงทุนก็ไม่ได้ ผิดกับผู้บริโภค ผู้ที่ตัดสินใจซื้อบ้าน เวลายิ่งนานวันมูลค่าของ เงินที่คุณมีกลับลดน้อยถอยลง ผู้บริโภคเคยชนะไหมครับ โดยรอให้ราคาลงมาได้ดั่งใจแล้วซื้อ บริษัทฯ ตั้งหน้าตั้งตาขาย ค่าการตลาด ค่าโฆษณา ภาษี ดอกเบี้ย ค่าวัสดุ ฯลฯ ถูกผลักให้ประชาชนผู้ซื้อบ้านทั้งหมด นับวันค่าเหล่านี้จะไปอยู่ในราคา บ้านมากขึ้นก่อนที่ราคาบ้านจะถูกบวกด้วยกำไรจากบริษัทฯผู้ขายอีกอย่าง น้อย 30 % เพื่อเป็นราคาตั้งขาย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้บริโภคต่างหากที่เสียเปรียบ ไหนจะทั้งการไม่แน่ใจว่าบ้านได้คุณภาพไหม ไหนจะกังวลเรื่องราคา ไหนจะไม่มีเงินดาวน์บ้าน ไหนจะกลัวดอกเบี้ยขึ้น สุดท้ายผู้ซื้อบ้านรับกรรม และยิ่งนานวัน ถ้าผู้บริโภค ไม่ตัดสินใจซื้อบ้าน บ้านของคุณก็จะเล็กลง เรื่อยๆ ทั้งๆที่เงินคุณก็ไม่ได้น้อยลงยังถือเงินไว้เท่าเดิม แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า บริษัทฯอสังหาไม่มีทางรอดหรือครับ กำไรช้าเท่านั้นเอง บริษัทฯต่างก็เร่งสร้าง เร่งวันเร่งคืน โอนกรรมสิทธิ์ ให้ผู้ซื้อ ก็เป็นเพียงอีกหนึ่งมุมมอง ที่คิดว่ายังไง ผู้บริโภคก็ต้องการซื้อบ้าน เพราะผมคิดว่าบ้านเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความมั่นคงในชีวิตคุณ และครอบครัว
โดย
วันพีส
จันทร์ ก.พ. 21, 2005 7:31 pm
0
0
เรื่อง ลอยตัว ดีเซล .. ตกลงเค้าจะทำมั้ย และเมื่อไหร่ครับ ??
ข่าวล่าหรือเปล่าไม่ทราบครับเพราะ จำไม่ได้ว่าดูจากที่ไหน เห็นว่า ท่านนาย-ก จะตรึงราคาดีเซล ต่อไปอีก หากราคายังอยู่ในเกณฑ์สูงมากอย่างปัจจุบัน
โดย
วันพีส
พฤหัสฯ. ก.พ. 17, 2005 11:39 am
0
0
ค่าเงินหยวนตอนนี้อ่อนเกินความเป็นจริงป่าวครับ
เข้าไปดู อัตราแลกเปลี่ยน เงินหยวน มา ตกใจเลยครับ :shock: :shock: ขายธนบัตร ให้ที่ 4.92 บาท ต่อ 1 หยวน ซื้อคืนธนบัตร ให้ที่ 3.96 บาท ต่อ 1 หยวน อ้างอิง ธ.กรุงเทพฯ เล่นแร่แปรธาตุ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน นี่ น่ากลัวจริงๆ เลยนะครับ แต่ในแง่กลับกัน ผมว่า คนไทยถ้าได้เรียนรู้ไว้ ไม่ตกเป็นแต่ผู้ตามจะดีจริงๆเลย กระแสของสิ่งเหล่านี้ ไหลจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง น่าคิดจริงๆ
โดย
วันพีส
พุธ ก.พ. 16, 2005 12:36 pm
0
0
พี่ๆเคยมีประสบการณ์อย่างนี้หรือเปล่าครับ
ปล.3 ผมยังเด็กอยู่เลยครับ ยังขอเงินพ่อแม่เรียนหนังสือ ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง เวลาผมพูดอะไรไป พวกเค้าก็จะไม่ฟังครับ เพราะว่ามันไม่มีน้ำหนัก ถ้าอนาคตผมประสบความสำเร็จอย่างพี่ๆ ทั้งหลายในเวบtvi ถึงเวลานั้นผมคิดว่าคงจะพูดง่ายกว่านี้ (แต่อาจจะสายเกินไปสำหรับคนที่เรารัก) :!: ไม่รู้ผมคิดถูกไหมนะครับ แต่ผมคิดว่า คุณ Tao Investor ควรเริ่มพูดตั้งแต่ตอนนี้ที่ พ่อแม่ ท่านยังไม่สนใจ ผมว่าหากคุณไม่เริ่มต้น คุณก็จะได้แต่ถ้า... ตลอดไป และบางทียิ่งทีจะยิ่งลึกไปเรื่อยๆ เริ่มจากเรื่องเล็กๆ จากประสบการณ์ตัวเองก่อนก็ได้ครับ คุณใช้เงินท่าน คุณออมเป็นไหม? คุณเป็นตัวอย่างเป็นไหม? ไม่ใช่ว่าคุณก็ไม่ออม แต่เที่ยวแนะนำคนอื่นให้ออม คุณว่ามีคนเชื่อคุณกี่คน? คุณมีน้อยคุณก็ออมแบบน้อยๆ วันหนึ่งวันนั้นต้องมาถึงครับ แล้วค่อยพิสูจน์ให้ท่านเห็นขึ้นเรื่อยๆ โดยการไปเล่าให้ท่านฟังบ้าง กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง บางทีประสบการณ์จากคนใกล้ตัวจะเป็นตัวช่วยสอนที่ดีครับให้กับทุกคน ที่คุณรักและหวังดี
โดย
วันพีส
พุธ ก.พ. 16, 2005 12:17 pm
0
0
ต้นเหตุแห่งปัญหาจริงๆคืออะไร
ผมเดาว่า ... คงต้องการ ปิดสื่อที่เป็น Static ทั้งหมดที่มีข้อมูลอยู่ สังเกตจากกระทู้ข่าวของ manager.co.th ก็ไม่มีเหลือ เพื่อ กระทำการ..... สักอย่าง ต่อจากนี้ไป หากยกเพียง เช่น เรื่องข่าวลือ ข่าวลือหากลือผ่านหนังสือพิมพ์, โทรทัศน์, ห้องค้า แต่ละท่านก็ทราบได้ไม่กี่ตัว แต่หากเป็นการลือผ่านอินเตอร์เน็ต ลองคิดดูสิครับ ว่าท่านรู้เท่าใด? และท่านรู้เร็วแค่ไหน? ผมว่าบางทีรู้หลัง... ไม่นานด้วย อีกทั้งยังคงเหลือข้อมูลตัวอื่นๆ ไว้ให้อ่าน ได้อีกด้วยในวันหลัง ขณะที่สื่ออื่นทำไม่ได้ แม้ msn ก็ค้างข้อมูลไม่ได้ คุยเดี๋ยวนี้ จบเดี๋ยวนี้ หรือหากต้องการค้นต้นตอหรือเรื่องราวของหุ้นตัวใดๆ เพื่ออ้างอิง webboard ก็ทำได้เพราะข้อมูลมีอยู่มากมาย ทั้งจริงและปลอม ซึ่งผมว่าหากพิจารณาย้อนหลังข้อมูลดีๆ ผมคิดว่าทุกท่านจะไม่ตกหลุมพลางหุ้น ทำให้พวก ... เสียโอกาสมาก ลือในหนังสือพิมพ์ ว่าหุ้น xxx ดี มาหาข้อมูลในบอร์ดเกือบทุกข้อความ ที่อ่านเจอบอกว่าแย่ ท่านซื้อไหม ลือด้วยบทวิเคราะห์ ว่าหุ้น xxx ดี มาหาข้อมูลในบอร์ดเกือบทุกข้อความ ที่อ่านเจอบอกว่าแย่ ท่านซื้อไหม ... การรับรู้ข่าวสารไม่ว่าจริงหรือปลอมในระยะพร้อมกันเวลาเดียวกัน ... ... มีผลทำให้พี่ๆและทุกท่าน ซื้อหรือไม่ซื้อ หุ้นที่เขาสร้างข่าว ... ทุกท่านกำลังเล่นเกมส์ซึ่งมีเงินเป็นเดิมพัน ฝ่ายตรงข้ามอยากได้เงินทุกท่าน ไปใช้ การปิดทางรับรู้ทุกทางเป็นสิ่งที่ควรทำ เงินแต่ละบาทฝ่ายตรงข้ามคงไม่ต้องการให้ท่านไปใช้ซื้อหุ้นดีๆ มีอนาคต เพราะมันหมายถึงการหมดอนาคตของใครอีกหลายคน ปล. หลังจาก webboard ปิดตัวลงหลายเวป ตัวชี้ตลาด กำลัง ทำงาน ผมเดาว่าอย่างนั้นครับ
โดย
วันพีส
พุธ ก.พ. 02, 2005 8:02 pm
0
0
Re: ขอถามท่านผู้รู้เกี่ยวกับทะเบียนพาณิชย์ค่ะ
ถ้าเขามาตรวจเราจะบอกเขายังไงดีคะ ขอคำแนะนำค่ะ ขอบคุณค่ะ ร้านค้าทั่วไปถ้าไม่เคยเสียภาษีเลย แล้วเขามาสำรวจร้านเพื่อประเมิน จัดเก็บภาษี ผมว่า ให้ ประเมินเสียภาษีแบบเหมา เอาดีกว่าครับ เช่น เหมาค่าภาษี 6 เดือน สัก 300 บาท (รายได้ร้านยังน้อยอยู่ เพิ่งตั้งได้ไม่นาน ไว้มีลูกค้าและรายได้เยอะๆ จะได้เสียภาษีได้มากๆ ตอนนี้ขอช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ก่อนแล้วกันค่ะ หรือว่าพี่จะช่วยอุดหนุน เป็นลูกค้าสักหน่อยก็ได้นะค่ะ :lol: เป็นเหตุผลประกอบ พอไหวไหมครับ) แล้วเราเป็นผู้ไปจ่ายเขาเองที่ สรรพากรเลย เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระภาษี ถามเขาด้วยว่าเขาชื่ออะไร จะได้เป็นบุคคลอ้างอิงเวลาไปเสียภาษีได้ถูกต้อง
โดย
วันพีส
จันทร์ ม.ค. 31, 2005 4:14 pm
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
เข้ามาขอบคุณพี่ครรชิตครับ สำหรับ แฟ้มข้อมูลหุ้น eps10year.zip พร้อมทั้งแจ้งเปลี่ยน E-mail ครับ เพื่อขอรับ ผลงานดีๆของพี่ ในโอกาส ต่อไป :D :D E-mail ใหม่
[email protected]
ขอบคุณครับ ... พี่ครรชิต ...
โดย
วันพีส
จันทร์ พ.ย. 08, 2004 6:05 pm
0
0
เล่นหุ้นรับหน้าหนาว
เห็นว่าเกี่ยวข้องครับ และมีประโยชน์แก่คนทั่วไปมาก คนทั่วไปที่มีหุ้น SAICO แต่เข้า ไปดูข้อมูลของอีไฟแนนซ์ ไม่ได้จะได้ทราบโดยทั่วกัน เลยขออนุญาต คุณชวนชม แห่ง อีไฟแนนซ์ COPY รายงานพิเศษเพื่อเผยแพร่ครับ รายงานพิเศษ อนาคต SAICO อยู่ที่ไหน อนาคตผู้ถือหุ้น SAICO อยู่อย่างไร ทันทีที่ Del Monte Fresh Produce (Thailand) Inc. หรือ ประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการของ บมจ.สยามอุตสาหกรรมการเกษตร สัปปะรดและอื่นๆ (มหาชน) (SAICO) ก็ช็อคความรู้สึกของผู้ถือหุ้น SAICO ในทันที ด้วยราคาเสนอซื้อเพียง 50 สตางค์ต่อหุ้น ขณะที่ราคาในกระดานปิดครั้งก่อนหน้านั้นอยู่ที่ 5.60 บาท/หุ้น และวานนี้ ปิดที่ระดับ 4.28 บาท ลดลง 1.62 บาท หรือ -27.46% มีมูลค่าการซื้อขายรวม 0.022 ล้านบาท ไม่รู้ว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยในประเทศไทย จะยินดีที่จะตอบรับกับคำเสนอซื้อหุ้นในราคาแสนถูกครั้งนี้หรือไม่ แต่คำถามที่ติดตามมาคือ 1.ยุติธรรมแล้วหรือกับการตั้งราคาเสนอซื้อที่ 50 สตางค์ เมื่อเทียบกับราคาในกระดานซึ่งสูงกว่ามาก ถึงแม้ว่าฐานะกิจการที่ผ่านมายังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟูกิจการ โดยส้นไตรมาส 2/47 ส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงติดลบ 603.94 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์รวม 554.95 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,158.89 ล้านบาท แต่เมื่อดูจากการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา ซึ่ง SAICO รายงานมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าในอนาคตฐานะกิจการของ SAICO จะดีขึ้นและกลับมาสร้างรายได้และกำไร ได้เป็นปกติอีกครั้ง 2.ผู้ถือหุ้นรายย่อยควรจะทำอย่างไร ควรจะตอบรับหรือไม่ จากข้อมูลผู้ถือหุ้นของ SAICO ณ วันที่ 8 เดือน 4 ปีนี้ มีผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น 1,044 ราย เป็นนักลงทุนรายย่อย 1,019 ราย คิดเป็นสัดส่วน 18.78% โดยมีรายใหญ่ 10 อันดับแรกคือ 1 CIRIO DEL MONTE N.V. 13,322,852 44.41 2 UNION WESTERN LIMITED 1,677,149 5.59 3 ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 1,500,000 5.00 4 น.ส. ศิริเพ็ญ กัลยาณรุจ 1,175,234 3.92 5 น.ส. ศิริพรรณ กัลยาณรุจ 1,132,715 3.78 6 นาง ศิริพร พงษ์สุรพิพัฒน์ 697,677 2.33 7 นาย สมจิตต์ ติวัฒนเจริญผล 560,400 1.87 8 นาง ศศิธร กัลยาณรุจ 463,772 1.55 9 นาย กิตติชัย ไกรก่อกิจ 415,500 1.39 10 นาง อุษา อยู่ถาวร 298,673 1.00 หากรายย่อยที่มีมากกว่า 1,000 คน ตอบรับคำเสนอซื้อ ก็เท่ารับยอมรับในชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น แต่หากรวมตัวกันไม่ยอมขายหุ้นออกมา เพราะเห็นว่าราคาดังกล่าวไม่เป็นธรรม บทสรุปเท่ากับว่าการทำคำเสนอซื้อของ Fresh Del Monte Produce N.V. หรือ FDM (บริษัทใหญ่ของ Del Monte Fresh Produce (Thailand) Inc,) ครั้งนี้ประสบกับความล้มเหลว และไม่สามารถที่ถอน SAICO ออกจากตลาดหลักทรัพย์ได้ด้วย ทั้งนี้ต้องดูเจตนาการทำคำเสนอซื้อของ FDM ครั้งนี้ว่าต้องการที่จะซื้อหุ้น SAICO อย่างจริงจังหรือไม่ หากอยากได้หุ้นจริงก็น่าจะเพิ่มราคาเสนอซื้อขึ้นอีก หรือแท้ที่จริงการทำคำเสนอซื้อครั้งนี้ หวังเพื่อจะใช้กฎของตลาดหลักทรัพย์ ฉวยโอกาสซื้อหุ้นในราคาสุดถูก 3. ที่สำคัญการเข้ามาเสียบของผู้ถือหุ้นรายใหม่ ยังไม่แสดงเจตนาที่ชัดเจนว่าจะเข้ามาเพื่อฟื้นฟูกิจการของ SAICO อย่างแท้จริงหรือไม่ จึงน่าเป็นห่วงว่าในยุคที่มีการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ชุดใหม่ จะมีผลกระทบต่อการบริหารงานของกิจการให้เดินหน้าต่อไปในทิศทางใด และสำคัญที่สุดคือมีความประสงค์ที่จะพลิกฟื้นกิจการขึ้นมาอย่างแท้จริงหรือไม่ โดยสิ่งที่ได้รับรู้จาก FDM มีเพียงว่าจะสนับสนุนให้บริษัทมีความสามารถให้การทำกำไรมากขึ้น และส่งเสริมธุรกิจของบริษัท โดยขณะนี้ FDM คาดว่า บริษัทจะดำเนินธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างน้อย 1 ปี นับจากการซื้อหลักทรัพย์ในบริษัท ดังนั้นต้องวิงวอนหน่วยงานที่มีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองรายย่อย อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ ยื่นมาเข้ามาช่วยเหลือและดูแลในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดด้วย สาเหตุที่ Del Monte Fresh Produce (Thailand) Inc. ให้ราคาต่ำมากเพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ SAICO คือ Cirio Del Monte N.V. ล้มละลาย และสินทรัพย์ถูกขายทอดตลาด ซึ่ง Fresh Del Monte Produce N.V. (FDM), บริษัทใหญ่ของ Del Monte Fresh Produce (Thailand) Inc, ได้ซื้อหลักทรัพย์ที่กิจการมีทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีการลงทุนมีหุ้น SAICO รวมอยู่ด้วย โดยซื้อในราคาเพียง 1 ยูโร ทรัพย์สินที่ FDM ได้มาคือ 1.หุ้น SAICO จำนวน 13,322,852 หุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 44.41 ของทุนจดทะเบียนของบริษัท และใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นจำนวน 26,645,704 หุ้นของบริษัทซึ่งถือโดย Cirio Del Monte N.V. พร้อมให้คำมั่นในการซื้อหุ้นร้อยละ 5.6 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทซึ่งถือโดย Union Western Limited ราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ FDM จะเสนอซื้อหุ้น SAICO ส่วนที่เหลือ คือหุ้นสามัญจำนวน 14,999,999 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน โดยมี บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็น ผู้จัดเตรียมคำเสนอซื้อ และคาดว่าจะสามารถยื่นคำเสนอซื้ออย่างเป็นทางการ ภายในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2547 SAICO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2532 หุ้นสามัญของบริษัทถูกทางตลาดหลักทรัพย์ ฯ ห้ามทำการซื้อขายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2540 และถูกโอนย้ายไปอยู่ในหมวด REHABCO สืบเนื่องจากผลประกอบการของบริษัทขาดทุนสุทธิต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2536 อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ได้เริ่มดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ และได้มีความคืบหน้าในการฟื้นฟูกิจการอย่างมาก ซึ่งทำให้ตลาดหลักทรัพย์ ฯ อนุญาตให้หุ้นสามัญของบริษัททำ การซื้อขายได้ในหมวด REHABCO ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา บริษัท เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป ซึ่งได้แก่ สับปะรดและผลไม้อื่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าหลักของบริษัทได้มาจากการแปรรูปผลสับปะรดสด ประกอบด้วย สับปะรดกระป๋อง และน้ำสับปะรด รายละเอียดความคืบหน้าของบริษัท ตั้งแต่ปี 2540 สรุปได้ ดังนี้ 1. เงินร่วมลงทุน เมื่อเดือนเมษายน 2542 กลุ่ม Del Monte ("Del Monte") ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของ Del Monte Group ที่มีฐานธุรกิจอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารรายใหญ่ของโลก ภายใต้เครื่องหมายการค้า "Del Monte" ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทโดยลงทุนซื้อหุ้นจำนวน 13.32 ล้านหุ้น เป็นเงินจำนวน 133.23 ล้านบาท ปัจจุบันกลุ่ม Del Monte มีการถือหุ้นรวมทั้งหมด 15,000,001 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 50 ของทุนที่เรียกชำระแล้ว 2. การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 2.1 ตามที่ที่ประชุมผู้ถือเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2542 ได้มีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้บริษัททำการปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทจึงได้ลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้รายใหญ่ คือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ("ธนาคาร") เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2542 ซึ่งก่อนการปรับโครงสร้างหนี้มีมูลหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยคงค้างทั้ง สิ้น 1,348.71 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 89.9 ของมูลหนี้ที่มีต่อสถาบันการเงินทั้งหมดในขณะนั้น สำหรับหลักใหญ่ ๆ ของการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร สรุปได้ดังนี้ (ก) ดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมดของบริษัท จำนวน 333.26 ล้านบาท จนถึงวันที่ลงนามในสัญญาปรับโครง สร้างหนี้ ธนาคารได้ยกเว้นให้โดยไม่ต้องชำระให้แก่ธนาคาร (ข) มูลหนี้จำนวน 483.78 ล้านบาท ให้หักหนี้โดยบริษัทได้ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ธนาคาร และธนาคารตกลงให้บริษัทเช่ากลับเป็นเวลา 5 ปี และให้สิทธิบริษัทในการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวคืนตลอดเวลาภายใน 5 ปี ในราคาเท่ามูลค่าที่หักหนี้บวกด้วยอัตราดอกเบี้ย (ไม่ทบต้น) ร้อยละ 6 ต่อปี (ค) มูลหนี้จำนวน 200.00 ล้านบาท แปลงเป็นหุ้นกู้โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และหุ้นกู้ดังกล่าวจะทยอยไถ่ถอนในปีที่ 11 ถึงปีที่ 15 ( ปี 2553 - 2557 ) ปีละ 40.00 ล้านบาท (ง) มูลหนี้ที่เหลืออีกจำนวน 331.67 ล้านบาท ถูกจัดให้เป็นหนี้สินระยะยาวอายุ 10 ปี มีระยะผ่อนผันการชำระคืนเงินต้น (Grace Period) เป็นเวลา 5 ปี โดยดอกเบี้ยจ่ายเป็นรายเดือนในอัตรา ดอกเบี้ย MLR ลบ ร้อยละ 0.5 และบริษัทต้องเริ่มทยอยจ่ายคืนเงินต้นในปีที่ 6 ถึงปีที่ 10 คือปี 2548 - 2552 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของมูลหนี้ และปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ต่อปีจนถึงปี 2552 (จ) ธนาคารได้อนุมัติวงเงินอีก 200 ล้านบาทให้กับบริษัทเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตรา MOR โดย Del Monte เป็นผู้ค้ำประกันวงเงิน 100.00 ล้านบาทจากวงเงินดัง กล่าว (ฉ) ตั้งแต่เดือนเมษายน 2542 เป็นต้นมา บริษัทได้ชำระหนี้ให้กับธนาคารตามกำหนดมาโดยตลอด 2.2 ในช่วงปี 2542 และ 2543 บริษัทได้เจรจาปรับโครงสร้างหนี้ กับ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ทิสโก้จำกัด (มหาชน), ธนาคารแสตนดาร์ด ชาร์เตอร์ นครธน จำกัด (มหาชน), คาเธ่ย์ไฟแนนซ์ (บมจ.เกียรตินาคิน ประมูลจาก ปรส) และวชิรธนทุน (ปัจจุบันรวมอยู่กับธนาคารไทยธนาคาร) คิดเป็นมูลหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยรวมทั้งหมด 124.48 ล้านบาท หนี้ดังกล่าวทั้งหมดยกเว้นของธนาคารไทยธนาคารได้รับการชำระคืนทั้งหมดแล้ว ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 หนี้คงค้างกับธนาคารไทยธนาคาร ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 มียอดคงเหลือ 8.495 ล้านบาท 3. เจ้าหนี้การค้าที่เป็นชาวไร่และสหกรณ์ ในช่วงระหว่างไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2542 บริษัทได้ดำเนินการชำระหนี้จำนวนประมาณ 41.00 ล้านบาทให้แก่ชาวไร่ในท้องถิ่นและสหกรณ์การเกษตรนิคมฯระยอง จำกัด ซึ่งบริษัทเป็นลูกหนี้มาตั้งแต่ปี 2540 4. เจ้าหนี้การค้า บริษัทเป็นลูกหนี้เจ้าหนี้การค้าหลายรายอยู่ ณ เดือนเมษายน 2542 ประมาณ 147.88 ล้านบาท และเจ้าหนี้การค้าบางส่วนในจำนวนนี้ได้มีคดีฟ้องร้องอยู่ จากคำตัดสินของศาลหรือการเจรจาสองฝ่าย ทำให้สามารถตกลงแผนการชำหนี้กันได้ และ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 มียอดหนี้ดังกล่าวคงเหลืออยู่กับเจ้าหนี้การค้าเพียงแค่ 1 ราย จำนวน 26.99 ล้านบาท ส่วนเจ้าหนี้รายอื่นทั้งหมดได้รับการชำระแล้วทั้งสิ้น 5. การพิจารณาอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้น บริษัทได้นำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2542 ซึ่งที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติแผนดังกล่าวแล้ว และบริษัทได้นำเสนอต่อตลาดหลักทรัพย์เพื่อเปิดเผยต่อประชาชนทั่วไปเรียบร้อยแล้ว 6. ฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน จากปี 2540 ถึง ปี 2546 หลังจากที่ Del Monte ได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัทเมื่อเดือนเมษายน 2542 บริษัทเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในการดำเนินธุรกิจโดยเพิ่มการผลิตได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542 ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินงานของบริษัทตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นไป (ดูตารางแนบ) (ก) บริษัทได้เพิ่มจำนวนตันสับปะรดในการผลิตจากประมาณ 21,000 ตัน ในปี 2540 เป็นประมาณ 144,000 ตัน ในปี 2543 แต่ลดลงเป็นประมาณ 113,000 ตัน ในปี 2546 เนื่องจากธรรมชาติของฤดูกาลของปริมาณสับปะรดในประเทศไทย (ข) ในช่วงเวลาดังกล่าว รายได้จากการขายของบริษัทได้เติบโตจาก 262.60 ล้านบาทในปี 2540 เป็น 966.31 ล้านบาท ในปี 2546 หลังจากที่มีจำนวน 1,015.40 ล้านบาทในปี 2543 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของฤดูกาลของอุตสาหกรรมสับปะรด และเพื่อเป็นการลดผลกระทบจากฤดูกาลของสับปะรดดังกล่าว บริษัทจึงได้เพิ่มกลยุทธ์ในการพัฒนาและขยายธุรกิจด้านผลไม้และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งรายได้จากการขายของผลิตภัณฑ์ผลไม้และผลิตภัณฑ์อื่นๆจำนวน 28 ล้านบาท ในปี 2542 เพิ่มขึ้น เป็น 208.76 ล้านบาทในปี 2546 บริษัทได้เริ่มการผลิตและจำหน่ายซอสมะเขือเทศในปี 2546 (ค) กำไรขั้นต้นได้เพิ่มขึ้นจาก 2.34 ล้านบาท ในปี 2540 เป็น 104.67 ล้านบาทในปี 2546 และขณะเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้น ดีขึ้นจาก ร้อยละ 0.89 ในปี 2540 เป็นร้อยละ 10.83 ในปี 2546 ผลกำไรตั้งแต่ปี 2544 ลดลงเนื่องจากต้นทุนสับปะรดสดที่เพิ่มขึ้นเนื่องสับปะรดสดมีปริมาณน้อย ประกอบ กับการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐและต้นทุนวัตถุดิบอื่นๆก็เพิ่มขึ้น (ง) อย่างไรก็ดี บริษัทได้กลับมาสามารถทำกำไรในธุรกิจได้และมีผลกำไรสุทธิ ซึ่งผลกำไรสุทธิในปี 2542 มีจำนวน 29.70 ล้านบาท และ 10.60 ล้านบาทในปี 2546 หลังจากที่มีกำไร 100.51 ล้านบาท, 57.63 ล้านบาท และ 23.73 ล้านบาท ในปี 2543, 2544, และ 2545 ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลกระทบจากฤดูกาลของสับปะรด (จ) นับจากปี 2542 แม้ว่าบริษัทจะมีเงินทุนอยู่อย่างจำกัด แต่บริษัทก็ได้ดำเนินการลงทุนในทรัพย์สินถาวร เพื่อคงไว้และปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และโครงสร้างพื้นฐานของสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อสร้างความพอใจให้กับลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทได้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ ความปลอดภัยและการรักษาสภาพแวดล้อม และให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของนานาประเทศ เงินลงทุนในทรัพย์ สินในปี 2542 ประมาณ 16.36 ล้านบาท และได้เพิ่มขึ้นเป็น 31.49 ล้านบาทในปี 2543 สืบเนื่องจาก การลงทุนในโครงการผลิตสับปะรดสับในถุงปลอดเชื้อและระบบคั้นน้ำสับปะรดด้วยระบบสาย พานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำสับปะรด (ฉ) จากการที่ได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารกสิกรไทย เมื่อเดือนเมษายน 2542 บริษัทได้ลดภาระหนี้เงินกู้ยืมจาก 813.45 ล้านบาท ณ 31 ธันวาคม 2542 เป็น 723.84 ล้านบาท ณ 31 ธันวาคม 2546 โดยที่เงินกู้ยืมทั้งหมดที่มีอยู่กับธนาคารทุกรายและสถาบันการเงินได้รับการชำระตาม กำหนดตลอดช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับความคืบหน้าสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 สถานการณ์การขาดแคลนผลไม้สดตั้งแต่ต้นปี ส่งผลกระทบต่อการผลิตและผลการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งที่เห็นชัดเป็นดังนี้คือ (ก) ตามที่ได้กล่าวข้างต้น วงจรธรรมชาติของสับปะรดยังคงมีผลต่อการผลิตผลิตภัณฑ์หลัก ของบริษัทในทางลบ และยิ่งกว่านั้นการขาดแคลนของผลไม้อื่นส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงกว่าปีที่ผ่านมา (ข) ในขณะที่ความต้องการสินค้าสำเร็จรูปในปัจจุบันยังคงดีอยู่ แต่ด้วยข้อจำกัดที่ผลสับปะรดและผลไม้อื่นมีปริมาณน้อย จึงทำให้บริษัทต้องจัดหาผลไม้ให้มากขึ้นเพื่อที่จะผลิตและให้มีการขายมากขึ้นในช่วงเวลาที่ราคาขายปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลเนื่องจากการขาดแคลนผลไม้ ประกอบกับผลกระทบจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่มีการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐในช่วงต้นปีที่ผ่านมา (ค) อย่างไรก็ตามกำไรขั้นต้นก็ได้รับผลกระทบในทางลบเนื่องจากราคาผลไม้ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการขาดแคลนของผลไม้รวม ทั้งการปรับตัวขึ้นของต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์และด้านพลังงาน (ง) ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา แม้ว่าด้วยเงินทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดก็ตาม บริษัท ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงและเลือกลงทุนในทรัพย์สินถาวรอย่างต่อเนื่อง ในการที่จะปรับปรุงคุณภาพสินค้า รวมทั้งสาธารณูปโภค และพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน และในขณะเดียวกันก็เพื่อให้บริษัทปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎระเบียบต่างๆ ของทางส่วนราชการ ด้านความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และ มาตรฐานสากลทางด้านคุณภาพของหน่วยงานตรวจสอบที่เป็นอิสระ (จ) ในเดือนเมษายน ปี 2542 ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้รายใหญ่คือธนาคารกสิกรไทย ซึ่งหนี้สินเดิมจำนวนเงิน 483.78 ล้านบาท ถูกนำมาหักลดลงกับราคาของที่ดินและอาคารที่ได้ขายให้กับธนาคารเพื่อชำระหนี้บางส่วน ซึ่งทางบริษัทได้ขายทรัพย์สินให้กับทางธนาคารกสิกรไทย ทรัพย์สินดังกล่าวที่ได้ขายให้กับธนาคารกสิกรไทยประกอบด้วย ที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูกผลไม้ โรงงาน ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอื่น และอาคาร ธนาคารกสิกรไทยได้ให้ทางบริษัททำการเช่าสินทรัพย์ทั้งหมดดังกล่าวเป็นระยะเวลา 5 ปี และทางบริษัทมีสิทธิที่จะซื้อคืนทั้งหมดหรือบางส่วนในช่วงเวลาใดก็ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี ระยะเวลาในการเช่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2542 สิ้นสุดวันที่ 29 เมษายน 2547 ณ วันที่ 30 เมษายน 2547 บริษัทได้รับการขยายระยะเวลาของสิทธิในการซื้อคืนอาคารโรงงานและสิ่งปลูกสร้างอื่นเป็นเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2547 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2547 และการเช่าอาคารโรงงานและสิ่งปลูกสร้างอื่นเป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2547 จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2548 ส่วนที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูก และอาคารนั้น บริษัทได้แสดงความประสงค์ที่จะใช้สิทธิในการซื้อคืน ซึ่งขณะนี้บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับบุคคลที่เกี่ยวข้อง (ฉ) จากการที่บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารกสิกรไทย เมื่อเดือนเมษายน 2542 บริษัทได้ดำเนินการควบคุมเงินทุนหมุนเวียนและการกู้ยืมต่างๆ จากทางธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด โดยที่เงินกู้ยืมทั้งหมดที่มีอยู่กับธนาคารทุกราย และ สถาบันการเงินได้รับการชำระตามกำหนดตลอดช่วงเวลาดังกล่าว (ช) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 Fresh Del Monte N.V. ได้เข้าทำสัญญา Preliminary purchase agreement กับ Cirio Del Monte N.V. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ภายใต้การดูแลจัดการทรัพย์สินซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยศาลในอิตาลี โดยสรุป แม้ว่ามีเหตุการณ์ที่ท้าทายเกิดขึ้นในปีนี้ก็ตาม และ ฐานะการเงินไม่ดีนัก จะเห็นได้ว่าบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นฤดูกาลก็ตาม ก็ได้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2542 เป็นต้นมา ในขณะที่บริษัทยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูกิจการและทำให้ธุรกิจมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป *FDM เป็นบริษัทที่ดำเนินการตามกฎหมาย Netherlands Antilles โดยมีสำนักงานจดทะเบียนตั้งอยู่ที่ De Ruyterkade 62, Cura?ao, Netherlands Antilles และไม่มีความสัมพันธ์ไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อมกับกลุ่มบริษัทของ CDM NV FDM ดำเนินธุรกิจทั่วโลกผ่านบริษัทย่อยของตน โดยธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ การผลิต ขนส่งและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผลไม้สด ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ FDM (อาทิ กล้วย สับปะรด แตงโม มะเขือเทศมันฝรั่ง หัวหอมใหญ่ สตรอเบอร์รี่ องุ่น ผลไม้จำพวกส้มและมะนาว แอปเปิ้ล ลูกแพร์ ลูกพีช ลูกพลัม ลูกกีวีลูกวิดาเลีย) ส่วนใหญ่จะมาจากทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ และประเทศฟิลิปปินส์ โดย FDMยังมีแหล่งผลิตภัณฑ์ในทวีปอเมริกาเหนือ บราซิล อัฟริกา และยุโรป ทั้งนี้ FDM จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตน โดยระบบเครือข่ายการจัดจำหน่ายไปยังร้านค้าของชำ ศูนย์อาหาร ศูนย์ค้าส่ง ผู้จัดจำหน่ายและผู้ให้บริการด้านอาหารในประเทศต่างๆ มากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดย..ชวนชม Efinancethai.com
โดย
วันพีส
ศุกร์ พ.ย. 05, 2004 12:26 pm
0
0
อะไรเป็นแม่เหล็กสำหรับคนทำเวปหุ้นคับ
ผมว่าเวปหุ้นมี หุ้นเด็ดและพรายกระซิบหุ้น ที่หลายๆคนควานหา เป็นแม่เหล็ก คนส่วนมากในความเห็นผม ที่เข้ามาเล่นหุ้น เน้นเก็งกำไรระยะสั้น เมื่อเน้นการเก็งกำไรระยะสั้น เขาก็เลยเข้าไปเวปหุ้นต่างๆ เพื่อควานหาหุ้นเด็ด นำไปซื้อขาย -------------------------------------------------------------------------------------- ส่วนข้างล่างนี้ ก็ต้องมีคนคิดเหมือนกัน แต่น่าจะน้อยกว่าข้างบน ให้คนช่วยวิเคราะห์หุ้นที่ตัวเองมีอยู่ว่าดีหรือไม่ น่าขายเมื่อไหร่ แทนที่จะโทรเข้าไปถามตามรายการโทรทัศน์วิเคราะห์หุ้นต่างๆ หรือต้องไปตามข่าวสารทางหนังสือพิมพ์ หรือหาข่าวหุ้นที่ตัวเองมีอยู่ ข่าวที่พูดถึงหุ้นนั้นๆ ลักษณะที่คนส่วนใหญ่คิดกับหุ้นที่มีอยู่ (ข้อนี้ผมใช้นะครับ :oops: )
โดย
วันพีส
พฤหัสฯ. พ.ย. 04, 2004 9:08 pm
0
0
สงสัยครับ
ตอบคำถามนี้ ด้วยสมมุติฐานและเหตุผล ดังนี้นะครับ เป็นไปได้ครับที่ ฝ่ายบริหารหนี้สินของธนาคาร(ผู้มีอำนาจตกลงเงื่อนไข) และลูกหนี้ธนาคาร สามารถตกลงเงื่อนไขกันภายนอก(ใช้คำว่าสินน้ำใจแล้วกันครับ) เงื่อนไขนี้ ทำไม่ได้กับทุกคนที่มีหนี้สิน เพราะคนส่วนใหญ่ รู้จักแต่ ระดับพนักงาน ไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัดสินใจ โดยให้ธนาคาร ตั้งราคาซื้ออาคารพานิชย์หลังนี้ ไปจากธนาคารตั้งแต่ต้น ในราคาที่สูงและเหมาะสม โดยคิดจากราคาประเมินบ้านเป็นเกณฑ์ ในการตั้งราคาซื้อกลับของธนาคาร ซึ่งผมคาดว่าราคาที่ธนาคารให้ไว้เป็น ราคาสูงกว่าราคาประมูลและต่ำกว่าประเมินไม่มาก เพราะผู้ร่วมประมูล ส่วนมากไม่ต้องการซื้อในราคาแพงกว่าราคาประมูลมากๆ เพื่อประโยชน์ดังนี้ 1. ผู้ประมูลทุกคนที่ร่วมการประมูล จะได้ไม่สู้ราคาครับ เพราะเห็นว่ามีราคา สูงเกินไปไม่คุ้มต่อการซื้อ ธนาคารจะได้ซื้อกลับเองสะดวก 2. การที่ธนาคารสามารถ ซื้อเองได้สะดวก ทำให้ลูกหนี้ สามารถตัดหนี้ กับทางธนาคารได้มาก ลูกหนี้อาจไม่ต้องเพิ่มเงินให้กับธนาคารอีก เพราะหนี้สินกับราคาที่ทางธนาคารซื้อไป หักลบกันหมดแล้วหรือเหลือ ก็ชำระหนี้ เพิ่มเติมก็ไม่มาก เอาคร่าวๆ แค่นี้ แล้วกันครับ รายละเอียดปลีกย่อยไม่ขอกล่าวถึง
โดย
วันพีส
เสาร์ ก.ย. 04, 2004 1:56 am
0
0
ไม่มีหัวข้อ
โดย
วันพีส
พุธ ส.ค. 18, 2004 6:53 am
0
0
ขอความเห็นพี่ปรัชญา เกี่ยวกับสถานะการณ์ ครึ่งปีหลังครับ
เนื้อหาข้างบนเยอะขอออกความเห็นข้างล่างนี้แล้วกันครับ - ถ้า คิดถึง น้ำมันเพียงปัจจัยเดียว กลุ่มประกันภัย เข้าท่าดีไหมครับ กลุ่มประกันภัย น่าจะได้รับผลกระทบน้อยและอาจได้ผลบวก จากการเข้าไปรับประกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับโรงกลั่นน้ำมัน เพราะการรับความเสี่ยงระดับนี้โดยส่วนมากแล้วบริษัทประกัน จะกระจายความเสี่ยงต่อไปยังบริษัทอื่นๆ เคมีภัณฑ์ที่เป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องจากน้ำมันก็น่าจะดีขึ้น กลุ่มพาณิชย์ก็น่าจะดี เพราะเมื่อน้ำมันขึ้นก็ผลักภาระให้ผู้บริโภค บริษัทก็ได้รับกำไรเนื้อๆอยู่ดี บันเทิงก็น่าจะดีถ้าคนไม่ออกไปไหนกันดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ เรตติ้งดีๆ โฆษณาก็เข้า สื่อสารผมก็ว่าไม่เกี่ยวกับน้ำมัน น้ำมันยิ่งแพงคนก็หันมาพูดคุย โทรศัพท์กันมากขึ้น โรงพยาบาลแบบที่พี่ปรัชญาพูดผมก็ว่าดี คนป่วยยังไงก็ต้องรักษา คงเกี่ยงค่ารักษาไม่ได้ด้วยเรื่องน้ำมันแพงและโรงพยาบาลที่อยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์ ก็รวมตัวกันเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว และหลายแห่งก็รักษา คนต่างประเทศมากกว่าคนไทย รายได้เข้ามาเยอะๆอย่างนี้ดีแน่ กระทบโดยตรงอสังหาฯ ผมว่าได้รับเยอะ จากค่าน้ำมันแฝงที่อยู่ในระหว่าง การก่อสร้าง ทั้งค่าถมดินที่สูงขึ้นเพราะน้ำมั้น ค่าวัสดุแพงขึ้น ฯลฯ กลุ่มเกษตร ผมว่าก็ไม่ค่อยกำไร ปกติหลายบริษัทก็กำไรไม่ค่อยสม่ำเสมอ น้ำมันแพงราคาสินค้าขึ้นไม่ได้ ยิ่งไปกันใหญ่เลย
โดย
วันพีส
พุธ ส.ค. 18, 2004 6:15 am
0
0
ขอความเห็นพี่ปรัชญา เกี่ยวกับสถานะการณ์ ครึ่งปีหลังครับ
ขออนุญาติท่านเจ้าของ คือ พี่ชอบอ่าน แห่งพันธุ์ทิพย์/สินธร นำการสนทนา มาลงครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I2945371/I2945371.html อีกหนึ่งมุมมองเกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน จากเศรษฐกิจแบบโก่งคันธนู - เกิดอะไรขึ้นกับราคาน้ำมันในปัจจุบัน (ผมได้คาดการณ์ผิดไปว่าไม่น่าจะสูงกว่า High เดิมคราวที่แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆครับ) และเมื่อใดจึงจะกลับสู่สภาวะปกติ ก่อนหน้านี้ไม่กี่อาทิตย์ ผมยังคิดอยู่ว่า น้ำมันน่าจะเริ่มลงได้แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า ประเมิณสถานการณ์นี้ผิดไปจริงๆ ยิ่งได้คุยกับนักธุรกิจหนุ่มนายนี้แล้ว จึงทำให้ผมรู้ว่า ผมตกประเด็นสำคัญสำหรับการประเมินเรื่องราคาน้ำมันไปครับ ตกยังไงลองดูคำตอบของเขานะครับ ในมุมมองของผม ราคาน้ำมันที่สูงอยู่ในขณะนี้ เป็นปัจจัยที่ส่งผลทั้งทางด้านดีและร้ายไปทั่วโลก ในด้านร้าย ทุกๆคนก็รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว ขอพูดถึงด้านดีสักเล็กน้อย ใครจะคิดบ้างว่า ราคาน้ำมันสามารถขึ้นมาสูงที่สุดในรอบ 21 ปี แต่ก็เป็นไปแล้ว แต่คุณรู้ไหม ในช่วงนี้มีอะไรใหม่ๆปรากฏออกมาบ้าง ในเรื่องการปฏิวัติอุสหากรรมรถยนต์ ได้มีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานหลากหลายมากขึ้น ในประเทศไทยของคุณก็มีโครงการพลังงานรูปแบบใหม่มากขึ้น และหลายๆประเทศในโลกก็พยายามทำเช่นนั้นอยู่ และที่สำคัญหลายๆประเทศได้พยายามผลักดัน ให้มีการนำรถยนต์รูปแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานมาใช้ ทั้งๆที่พยายามมาหลายปี แต่ก็ไปไม่ถึงไหน พอราคาน้ำมันแพงขึ้น โครงการเหล่านั้นก็พากันคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด (ผมนึกอยู่ในใจเหมือนกันว่า ในประเทศไทยเราก็กำลังพยายามแก้กฏหมายรองรับ รถประหยัดพลังงาน ประเภทรถไฟฟ้ากันอยู่ ถ้าไม่เช่นนั้นจะนำออกมาวิ่งบนถนนไม่ได้ ทั้งๆที่ตอนนี้ก็มีการผลิตออกมาขายได้แล้ว และไม่นานนี้ก็ยังจะมีโครงการลดภาษีสำหรับรถยนต์ ที่ใช้พลังงานทางเลือกอื่นที่สามารถประหยัดน้ำมันได้ นอกจากนี้ก็มีการรณงค์ให้ใช้ แก็สโซฮอล์บ้าง ไบโอดีเซลบ้าง) ในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก ทำให้ธุรกิจการผลิตพลังงานทางเลือกมากขึ้น และหลายๆโครงการ ก็พยายามพัฒนาระบบพลังงาน ที่มีความสะอาดมากกว่าการใช้น้ำมัน ระบบเซลแสงอาทิตย์ ก็มีการค้นคิดหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ให้มากกว่า 20-25% และมีหลายๆประเทศก็กำลังสร้างโรงกำเนิดไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์กัน นอกจากนี้ บริษัทที่ทำธุรกิจเรื่องเซลแสงอาทิตย์ ก็มองเริ่มมองเห็นอนาคตอันสดใสขึ้น (ในไทยเราก็เพิ่งมีการเปิดโรงไฟฟ้าเซลแสงอาทิตย์ไปไม่นานนี้ ในด้าน สังคม ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนัก และหันมาสนใจข้อมูลอย่างจริงจังว่า เราทั้งโลกจะมีน้ำมันใช้ไปอีกเพียง 30 ปีเท่านั้น จากนั้นจะทำอย่างไร และทำให้หลายๆคน เริ่มหันมาประหยัดพลังงานมากขึ้น (ในไทยเราก็มีโครงการขับรถไม่เกิน 90 กม./ชั่วโมง มีการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานอีกหลายๆโครงการ ซึ่งโครงการเหล่านี้จะไม่ถูกปฏิบัติอย่างเต็มที่ในยุคน้ำมันถูก) เขาพูดอีกหลายๆด้าน ท่านผู้อ่านทั้งหลายลองนำไปคิดดูนะครับ ผมได้เขาถามเข้าประเด็นว่า แล้วสาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำมันขึ้นมาขนาดนี้คืออะไรกันแน่ ผมเคยประเมิณว่า หลังจากโอเปคเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ราคาน้ำมันควรจะเริ่มลดลง และการเก็งกำไรราคาน้ำมันน่าจะเริ่มหยุดกันได้แล้ว เพราะราคาเริ่มสูงมากเกินไปแล้ว มันอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกก็ได้ หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป เขาเลยพูดต่อดังนี้ครับ เรื่องนี้เขาก็เคยปรึกษาท่านผู้เฒ่าอยู่เหมือนกัน พอจะสรุปได้ว่า ตอนนี้หลายๆคน ประเมิณว่า การที่ราคาน้ำมันขึ้นมาสูงขนาดนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม โอเปคคงผลิตน้ำมันไปได้ไม่มากกว่านี้นัก และความกังวลเรื่องการก่อการร้าย ซึ่งก็มีส่วนถูกอยู่มาก แต่หลายๆคนก็ลืมไปว่า ประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากการค้าน้ำมันมากที่สุด ก็คือ อเมริกา สาเหตุที่สำคัญอีกประการที่ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นมาสูงมากขนาดนี้ ก็คือ เรื่องการเมืองภายในอเมริกาเอง คุณรู้ไหมว่า นายบุช ทำธุรกิจอะไร (ผมตอบเขาทันทีว่า น้ำมัน) แล้วเมื่อใดต้องมีการเลือกตั้งที่อเมริกา ก็ประมาณ พฤษศจิกายน คุณพอคิดอะไรออกบ้างไหม (มาถึงคำถามนี้ ผมนึกถึงประเด็นสำคัญที่ขาดหายไป ในการประเมิณราคาน้ำมันทันที และตอบเขาไปทันที) สิ่งนั้นก็คือ ทุนรอนในการเลือกตั้ง เขาหัวเราะแล้วพูดต่อ นั่นแหละที่คุณน่าจะเข้าใจ ในคำถามที่คุณได้ตั้งไว้เองแล้ว คุณคิดว่าใช่ไหม ผมเลยแย้งเขาไปว่า โดยปกติแล้ว ทุนรอนในการเลือกตั้งของนักการเมืองทั้งหลาย มักมาจากตลาดทุนไม่ใช่หรือ เขาตอบว่า ถ้าเป็นนักการเมืองคนอื่นก็ใช่ แต่หากเป็นคนที่มีธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตลาดทุน เพราะสิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือ การทำกำไรจากน้ำมัน (ผมก็ถึงบางอ้อสิครับ เหมือนเส้นผมบังภูเขาจริงๆ) ผมจึงสวนกลับว่า ถ้าอย่างนั้น ราคาน้ำมันก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และหลังเลือกตั้งราคาน้ำมันก็น่าจะกลับสู่ภาวะปกติ เขาตอบว่า มันขึ้นอยู่กับว่า ใครชนะเลือกตั้ง และเรื่องของการทำกำไรจากการค้าน้ำมัน ต้องมีการปล่อยให้ราคาขึ้นลงเหมือนตลาดหุ้นเช่นกัน คุณอาจเห็นราคาขึ้นๆลงๆผันผวนไปจนเลือกตั้งเรียบร้อย และหากนายบุชชนะ ราคาก็จะถูกโมเมนตัมของการก่อการร้ายเป็นตัวกำหนดแทน ซึ่งหากผู้ก่อการร้ายต้องการใช้น้ำมันบ่อนทำลายเศรษฐกิจอเมริกา ตามที่นักวิเคราะห์หลายๆคนออกมาแสดงความเห็น ผมจะคิดว่า กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ไม่มีสมองจริงๆ เพราะมันไม่ได้ทำให้ อเมริกาพินาศเป็นรายแรก แต่จะทำให้อเมริกาพินาศเป็นรายสุดท้ายต่างหาก แต่หากนายเคอรี่ชนะ ราคาอาจยังคงสูงอยู่อีกระยะ ทั้งจากการเข้าสู่หน้าหนาว และจากการถอนทุนที่ใช้ในการเลือกตั้งคืน ซึ่งทำได้ไม่นานนักเพราะอำนาจเริ่มหมดลงแล้ว เพื่อเป็นทุนรอนไปดำเนินการเรื่องอื่นๆต่อ จากนั้นถ้านายเคอรี่ทำได้ตามที่เขาพูด ราคาก็อาจกลับสู่สภาวะปกติได้ แต่หลังจากนั้นอีกสองสามปี ประเด็นเรื่องจีนกับไต้หวัน อาจเป็นตัวแปรใหม่ที่จะกำหนดราคาน้ำมันก็ได้ คำถามในประเด็นนี้ ช่วยเปิดมุมมองของผมอีกมุมหนึ่ง และหากเป็นจริงตามที่เขาคาดคะเน ก็จะยิ่งทำให้ผมเกลียดนายบุชมากขึ้นอีกมาก แต่เรื่องของอนาคตต้องรอดูให้รู้แน่เมื่อเวลามาถึง และถ้าหากเขาคาดคะเนถูก ผมคงต้องหาโอกาสมาพูดคุยกับเขาอีกในอนาคต สิ่งที่สรุปได้ก็คือ ขนาดโอเปคเอง ก็ยังไม่ใช่ผู้มีอำนาจกำหนดราคาน้ำมันอย่างแท้จริงหรือ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เศรษฐกิจโลกจะทนไหวไหม แต่หากราคาน้ำมันเริ่มลดลงหลังเลือกตั้งในอเมริกา แล้วดีเซลเราจะต้องตรึงต่อไปอีกหรือ ถ้าต้องตริงต่อ สิ้นปีจะพอไหม ยิ่งคิดยิ่งต้องติดตามอย่างกระชั้นชิดจริงๆครับ 5555 จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 7 ส.ค. 47 02:24:08 A:203.118.106.111 X: ]
โดย
วันพีส
พุธ ส.ค. 18, 2004 5:50 am
0
0
นอกเรื่องหุ้น - อยากซื้อ printer แบบ all-in-one รุ่นไหนดี
กระทู้เรื่องอื่นตอบไม่ได้ ตอบเรื่องเครื่องพิมพ์แล้วกัน - -" ตอบเฉพาะเรื่องการพิพม์ครับ เรื่องเครื่องรวมยังไง ก็สู้ แบบแยกไม่ได้ครับ EPSON ทุกรุ่นที่มีการใช้ระบบอิงค์เจ็ต หัวตันทั้งนั้นหละครับ และตันง่ายกว่าของยี่ห้ออื่นด้วย หากไม่ใช่อย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ทางยืดอายุของการหัวหมึกตัน คือการใช้หมึกแท้ครับ เพราะในหมึกแท้มี น้ำยาหล่อลื่นอยู่ หากอยากใช้ EPSON ส่วนตัวผมเห็นว่า ตลับแท้เมื่อหมดแล้ว เติมหมึกสัก 2-3 ครั้ง แล้วทิ้งและหมั่นพิมพ์อะไรก็ได้เพื่อให้สีออกครบสัก 1 หน้ากระดาษต่ออาทิตย์ เมื่อไม่ค่อยได้ใช้งานจะดีกว่าครับ Brother หาหมึกเติมยาก เฉดสีไม่เหมือนของยี่ห้ออื่น หากเติมไม่ถูกต้อง อาจได้ผลงานที่ภาพมีสีเพี้ยนได้ครับ และส่วนตัวผมเห็นว่า หมึกขวดเดียวกันสีเดียวกัน ไม่สามารถเติมได้กับทุกยี่ห้อ เพราะการสั่งงานแต่ละยี่ห้อในการพ่นหมึก ไม่เหมือนกัน ภาพอาจเพี้ยนได้ ส่วนการทำ INK TANK (ขวดที่ต่อแล้วปล่อยหมึก) ทำกับ EPSON ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่แนะนำให้ทำกับ HP และ CANON ความทนทานของหัวพิมพ์ ที่ใช้งานจะน้อยกว่า และรับงานพิมพ์มากๆไม่ไหว หากอยู่ในระยะประกัน ก็ไม่แนะนำให้ทำครับ เพราะเมื่อเกิดปัญหาหัวหมึกตันขึ้น การต้องถอดชุด INK TANK ออกเพื่อเตรียมส่งซ่อม เท่ากับการเสียค่าทำ INK TANK ไปเลย เพราะชุด INK TANK เมื่อถอดแล้วประกอบกลับเองไม่ได้(ได้ผลของน้ำหมึกไม่สม่ำเสมอเหมือนทำใหม่) หากติดตั้งใหม่ก็ต้องเสียค่าติดตั้งให้ช่างอีก อีกข้อหากถอดเอง อาจเหลือร่องรอยไว้ ทำให้บริษัทฯ ไม่รับเครื่องนั้นไว้ซ่อม เพราะถือว่า ผิดข้อกำหนดการรับประกัน และการทำ INK TANK ไม่เหมาะกับเครื่องที่ต้องเคลื่อนย้ายบ่อยๆ การเคลื่อนย้ายเครื่องบ่อยๆ อาจทำให้ชุดที่ติดตั้งตรงหัวพิมพ์หลุดได้ หากจำเป็นจะต้องทำแนะนำให้ทำแบบที่มีฐานรองเพื่อยึด เครื่องพิมพ์ไว้แน่นๆ(กันการเคลื่อนครับ) ส่วนตัวผมว่า ถ้าพี่ซื้อเครื่องพิมพ์สีแบบอิงค์เจ็ตเครื่องนึง และมัลติฟังก์ชั่น อีกเครื่องที่มีเฉพาะ โทรศัพท์/แฟกซ์/เครื่องถ่ายเอกสารและสแกนเนอร์ แบบที่คุณ Sailom บอกจะดีกว่าครับ เพราะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า
โดย
วันพีส
ศุกร์ ส.ค. 06, 2004 5:02 pm
0
0
ข่าวร้าย..26 July 2004 ข้อมูลตลาด ควรเปิดเผย หรือ เอาไว้ขาย
ตัดมาจาก จรรยาบรรณตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย http://www.set.or.th/download/ethic_set.doc เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์โดยมีหน้าที่หลักในการดูแลให้เกิดการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ถูกต้องเที่ยงตรงและโปร่งใส เพื่อธำรงไว้ซึ่งความไว้วางใจของสาธารณชน จึงกำหนด ข้อพึงปฏิบัติไว้ให้ กรรมการ อนุกรรมการ ที่ปรึกษา พนักงานตลาดหลักทรัพย์ยึดถือเพื่อเป็นหลักการและคุณธรรมประจำใจในการปฏิบัติงาน ให้กับตลาดหลักทรัพย์ ดังนี้ ข้อพึงปฏิบัติทั่วไป 1. ข้อพึงปฏิบัติต่อตนเอง 1.1 พึงดำรงตนตั้งมั่นอยู่ในความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ ( Honesty and Integrity ) 1.2 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ รอบคอบ ทุ่มเทกำลังกายและกำลังความคิดในการทำงาน โดยถือประโยชน์ของตลาดหลักทรัพย์เป็นสำคัญ 1.3 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันหมั่นเพียร รวมทั้งแสวงหาแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ 1.4 พึงรักษาเกียรติของตนให้เป็นที่ยอมรับในสังคม 2. ข้อพึงปฏิบัติต่อผู้ลงทุน ผู้ใช้บริการ ผู้เกี่ยวข้อง และสาธารณชน 2.1 อำนวยความสะดวกและปฏิบัติต่อผู้มาติดต่อด้วยความสุภาพเรียบร้อยอย่างเต็มใจและเต็มความสามารถ โดยไม่ชักช้า 2.2 ยินดีรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจากบุคคลอื่น และพร้อมที่จะชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องตามสถานะแห่งตน 2.3 พึงเห็นคุณค่าของบุคคลอื่น ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเสมอภาค และให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ 2.4 พึงมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมส่วนรวมให้เจริญก้าวหน้า โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่องานและภาพพจน์ของตลาดหลักทรัพย์ . . . ข้อพึงปฏิบัติเมื่อมีปัญหา ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือการตีความตามจรรยาบรรณนี้ ให้ผู้จัดการเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัย โดยคำวินิจฉัยดังกล่าวให้ถือเป็นที่สุด ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2543 ( ลงนาม ) อมเรศ ศิลาอ่อน (นายอมเรศ ศิลาอ่อน) ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย _____________________________________________________ ตัดมาจาก วิสัยทัศน์ 2547 วิสัยทัศน์และภารกิจของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย http://www.set.or.th/th/about/set/vision_p1.html มุ่งมั่นสู่การเป็นตลาดรองที่มีสภาพคล่องของหลักทรัพย์เพื่อการระดมทุนและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายโดยมุ่งเน้น 1. สนับสนุนการขยายฐานผู้ลงทุน โดยให้ความสำคัญกับผู้ลงทุนทุกประเภท ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมในการลงทุน 2. จัดให้มีหลักทรัพย์เพื่อการระดมทุนที่มีคุณภาพและหลากหลาย 3. มีระบบซื้อขายหลักทรัพย์และระบบสนับสนุนที่มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ตามมาตรฐานสากลโดยใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ 4. ให้บริการด้านการเปิดเผยข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน พร้อมทั้งการให้ความรู้และความเข้าใจในเรื่องการลงทุนอย่างทั่วถึง 5. มีการปฎิบัติงานโดยให้ความสำคัญเชิงประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความรวดเร็ว ความมีคุณภาพ การมีต้นทุนที่ต่ำ และการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุมขององค์กร ของบริษัทย่อย และของผู้เกี่ยวข้อง 6. ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติต่างๆ อย่างยุติธรรมตามเจตนารมณ์ของข้อกำหนดที่ยึดหลักการของความมีจริยธรรม _____________________________________________________ ตามข้อความที่เน้นสีน้ำเงิน ยิ่งทีตลาดหลักทรัพย์ยิ่งมีน้อยลง ในความเห็นผม และน่าเสียใจจริงๆ กับการกระทำหลายอย่างที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องนี้ด้วย
โดย
วันพีส
พฤหัสฯ. ก.ค. 08, 2004 5:02 am
0
0
ถามผู้ที่เคยใช้ประกันรถยนต์กับทิพยประกันภัยครับ
ทิพยประกันภัยบริการต่างๆ จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีที่เดียวครับ รถยนต์มีระดับมียี่ห้อ เลือกทิพยประกันภัย กันเยอะ ทั้งๆที่สาขาน้อย ถ้าจำไม่ผิด ตามข้อมูลการเลือกตามความสมัครใจในการประกันภัย รถยนต์ ทิพยน่าจะอยู่ลำดับ 3 หรือ 4 ลำดับ 1 หรือ 2 เป็นของ วิริยะ ซึ่งมีสาขาอยู่เยอะมาก และจำไม่ได้อีกบริษัทครับ ต้องขอโทษด้วย แต่ราคาเบี้ยประกันภัย ไม่ถูกกว่าที่อื่นนะครับ เพราะที่อื่นบางที่มีส่วนลดให้ จากราคาเบี้ยประกันจริงเยอะ แต่ทิพยประกันภัย ลดให้น้อยกว่า แต่ขณะเดียวกัน ปัญหาการเคลม ทิพยประกันภัย เคลมง่ายกว่า ทิพยประกันภัย มีสาขาน้อย เวลาเกิดอุบัติเหตุ ตามต่างจังหวัด อาจไม่ได้รับความสะดวก ในการติดต่อประสานงาน เพราะต้องรอเจ้าหน้าที่นาน แต่ถ้าหาก ใครเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถ ผมแนะนำให้ติดต่อกับทิพยประกันภัยครับ ถ้าได้เป็นอู่ในของทิพยประกันภัย (การเป็นอู่ในเครือทิพยฯ ยากพอสมควรครับ) อู่นั้นจะมีรายได้คงที่มากขึ้น เพราะทิพยฯ จ่ายเงินค่าซ่อมแต่ละครั้งให้แก่อู่ง่าย กว่าหลายๆ บริษัท (ข้อนี้ได้จากการพูดคุยกับเจ้าของอู่่ครับ) ทั้งหมดนี้ ผมพูดจากการเป็นลูกค้า ประกันรถยนต์กับทิพยประกันภัย ไม่เกี่ยวกับการเชียร์หุ้น นะครับ :D :D :D
โดย
วันพีส
พฤหัสฯ. ก.ค. 08, 2004 4:18 am
0
0
โคลงสี่สุภาพ
...............................เป็นอย่างที่เป็นให้เด่นดี...................................... แม้มิได้เป็นดอกกุหลาบหอม.......................ก็จงยอมเป็นเพียงลดาขาว แม้มิได้เป็นจันทร์อันสกาว..........................จงเป็นดาวดวงแจ่มแอร่มตา แม้มิได้เป็นหงส์ทนงศักดิ์...........................ก็จงรักเป็นโนรีที่หรรษา แม้มิได้เป็นน้ำแม่คงคา..............................ก็จงเป็นธาราใสที่ไหลเย็น แม้มิได้เป็นมหาหิมาลัย..............................ก็จงพอใจจอมปลวกที่แลเห็น แม้มิได้เป็นวันพระจันทร์เพ็ญ......................ก็จงเป็นวันแรมอันแจ่มจาง แม้มิได้เป็นต้นสนระหง..............................จงเป็นพงอ้อสะบัดไม่ขัดขวาง แม้มิได้เป็นนุชสุดสะอาง............................จงเป็นนางที่มิใช่ไร้ความดี อันจะเป็นอะไรนั้นไม่แปลก.........................ย่อมผิดแผกดีงามตามวิถี ................... ประกอบกิจบำเพ็ญให้เด่นดี ...................... ................... สมกับที่ตนเป็นเช่นนั้นเทอญ ..................... ปัณฑิตา : สุดยอดเรื่องน่าอ่าน (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แจ่มใส, 2544 หน้า 96)
โดย
วันพีส
พุธ มิ.ย. 30, 2004 2:00 am
0
0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
ที่ผมได้ยินมา เรื่องทฤษฎี แมลงสาป เป็น ทฤษฎี ที่ ฝรั่ง จะเรียกนักลงทุนไทย โดย เปรียบเทียบนักลงทุนไทย กับลักษณะนิสัยของแมลงสาป คือ ถ้าแมลงสาป เมื่อได้รับการกระตุ้นให้ตกใจ แมลงสาปจะแตกตื่นออกมาโดยไร้ทิศทาง โดยไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่ทำให้ตกใจ อาจเป็นสิ่งดีสำหรับตัวมันเองหรือไม่ เช่น อยู่ดีๆ มีอาหารใหม่มาให้มัน มันก็จะวิ่งหนีกระจายตัวก่อน และในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน แมลงสาปก็แย่งกันวิ่งหนีก่อน เพราะกลัวภัยอันตรายจะมาถึงตัว ก็เช่นเดียวกับ ภาษิตไทย กระต่ายตื่นตูม แต่เมื่อนำมาใช้กับนักลงทุนไทย นั้น จะมีความหมายทางแย่มากกว่าทางดี กล่าวคือ เปรียบ นักลงทุนไทย ที่เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมากระตุ้น นักลงทุนไทย จะตื่นตกใจ แล้วก็ทำลักษณะแบบแมลงสาปคือ ขอแย่งกันขายไว้ก่อน(แมลงสาปแย่งกันหนี) โดยไม่สนใจว่าลักษณะเหตุการณ์นั้น จะส่งผลดีหรือผลเสีย ขอแย่งกันขายไว้ก่อนเป็นดีที่สุด เช่น เหตุการณ์ ไข้หวัดนก ที่ผ่านมา ไม่น่ากระทบ อุตสาหกรรมอย่างอื่นนอกจากอาหาร แต่นักลงทุนไทย ก็ พากันขายหุ้น กันทุกหมวด เพื่อขายหนีก่อนดังลักษณะแมลงสาป ยิ่งแย่งกันขายก็ยิ่งทำให้ราคาตก ยิ่งราคาตก ก็ยิ่งขาย ตกลงสุดท้าย ก็คือ การแย่งกันขาดทุน โดยหากนักลงทุนไทย หยุดไตร่ตรองคิดสักนิด ก็จะรู้ถึงความไม่เกี่ยวข้องกัน ของเหตุการณ์ แล้วนักลงทุนไทยก็จะไม่ขาดทุนกันมาก อย่างที่เกิดขึ้น ในเหตุการณ์ไข้หวัดนก หรือ การที่หุ้นตัวใด เกิดการขายขึ้นมาในจำนวนมากๆ หุ้น นักลงทุนไทยเมื่อเห็นดังนั้น ก็พากันขายตามออกมาเพื่อหนี ก็เข้าลักษณะเดิมคือ แย่งกันหนีโดยไร้ทิศทางแบบแมลงสาป(แย่งกันขายยิ่งแย่งกันขาย ก็ยิ่งขาดทุน) หากหยุดพิจารณา เหตุการณ์ก่อน ว่าส่งผลกระทบอย่างไร ก็จะไม่เกิดการขาดทุนมากมาย บางทีการขายหุ้นมากๆ นั้น อาจเป็นข่าวดีก็ได้ เช่น เป็นการขายหุ้นเปลี่ยนมือ จาก ผู้บริหารที่ไม่ดีไปสู่ผู้บริหารที่ดี แล้วถ้านักลงทุนไทย หยุดคิดไตร่ตรองได้อย่างนี้ แล้วจะแย่งกันขายอย่างเช่นแมลงสาป เพื่ออะไร สุดท้าย ผมว่าพวกเรานักลงทุนไทย ควรหาภูมิคุ้มกันให้ตัวเองมากๆ โดยการเรียนรู้ รับรู้ ข่าวสารต่างๆ แล้วนำมาคิดผลดี ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ก่อนการตัดสินใจ ไม่ใช่การขาดสติ ขายหุ้นทิ้งก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง แล้วการคิดไตร่ตรองอย่างมีสติ จะค่อยๆ ลบภาพการมองของ ฝรั่ง ว่านักลงทุนไทย เป็น แมลงสาป ลงได้ แต่เหนืออื่นใด ผมว่า นักลงทุนไทยผู้มีสติผู้นั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง ------------------------------------------------------------------------------------- ทั้งหมดข้างบน คือเรื่องราวของ ทฤษฎีแมลงสาป ที่ผมได้ยินมา แล้วขอใส่เหตุการณ์ที่ ผมรู้สึกว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ทำนิสัยเช่นแมลงสาป เพื่อประกอบ และช่วงท้ายขอแสดงความเห็นส่วนตัวครับ
โดย
วันพีส
จันทร์ มิ.ย. 28, 2004 5:40 am
0
1
ช่วยแนะนำหนังสือ เกี่ยวกับTechnical ให้หน่อยครับ
ของ ast เข้าที่นี่ http://inv2.ast.co.th/4.html ผมปริ้นท์ แล้วอ่านจบ ไป รอบนึงแล้วครับ ของตลาดหุ้นดอทคอม http://www.taladhoon.com/taladhoon/lib.shtml วิธีใช้กราฟเทคนิคของซิมิโก้ สำหรับ ท่านที่ใช้ซิมิโก้ http://www.seamico.com/technicalchart/help/help.asp ไม่ค่อยละเอียด แต่หากผ่านตาเล่มอื่นมาแล้ว จะใช้ดูเทคนิค ง่ายขึ้นครับ เท่าที่ผมอ่าน หนังสือทางเทคนิค ผมว่า เนื้อหาคล้ายกันหมด ต่างกัน ที่รายละเอียดปลีกย่อย ที่แตกแขนงไม่เท่ากัน ผมจึงว่า เล่มไหน ที่ลองอ่าน ได้เข้าใจ มากที่สุด เล่มนั้น จะเหมาะ กับ บุคคลผู้นั้น (ข้อนี้ผมใช้กับหนังสือทุกแนวเลยครับ) หรือไม่ก็ ท่านใด สนใจใช้โปรแกรม อะไร ดูทางเทคนิค น่าจะอ่านหนังสือ ที่มีเนื้อหา เกี่ยวข้องกับ เทคนิค ที่มีในโปรแกรมนั้นๆ เช่น โปรแกรมมี RSI, MACD, EMA ก็น่าจะหาอ่านเรื่อง เหล่านี้ ของ ast มีบทที่ 17 เป็นตัวอย่างแนะนำด้วย หลังจากได้อ่านหลักการ ในบทก่อนๆ หน้านี้แล้ว
โดย
วันพีส
ศุกร์ มิ.ย. 25, 2004 7:15 pm
0
0
ทำไม ราคาหุ้น กระดานในประเทศ กับ กระดานต่างประเทศ ไม่เท่ากัน
ขอบคุณอีกครั้งครับ พี่ chatchai เรื่อง NVDR เห็นพี่พูดถึง เลยหามาลง เผื่อมี ผู้อ่านท่านใดสนใจ ครับ
โดย
วันพีส
ศุกร์ มิ.ย. 25, 2004 1:02 pm
0
0
ทำไม ราคาหุ้น กระดานในประเทศ กับ กระดานต่างประเทศ ไม่เท่ากัน
ขอบคุณครับ พี่ chatchai ส่วนข้างล่างนี้ เป็นคำถามตอบ ที่ผมคัดเองเพราะคิดว่าน่าสนใจและ มีการตอบคำถามไว้เกี่ยวกับ NVDR โดย Thai NVDR http://www.set.or.th/nvdr/download/answer_nvdr1.pdf คําถามจากการประชุมชี้แจง NVDR 26 กรณี Foreign ถือ Local สามารถเปลี่ยนเป็น NVDR ได้ แต่ในทางตรงกันข้าม กรณีคนไทยถือ Foreign ซึ่งผิด status สามารถเปลี่ยนเป็น NVDR ได้หรือไม่ ตอบ ไม่สามารถทําได้ เนื่องจาก NVDR เป็นหลักทรัพย์ Local แต่เก็บรักษาไว้ในบัญชีฝาก หลักทรัพย์ต่างด้าว และคนไทยที่ถือหุ้น Foreign จะไม่ได้รับสิทธิในวันปิดสมุดทะเบียน ส่วนคนไทยที่ถือ NVDR ก็จะไม่มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท 28 แลก NVDR เป็นหุ้น ได้หุ้น Local / Foreign? ตอบ ได้หุ้น Local 44. มี % limit สําหรับ NVDR ของแต่ละบริษัทหรือไม่ (เช่น แต่ละบริษัทมี Foreign Limit ที่ต่างกัน) ตอบ ไม่มี 49. หากมีการ Short Sale ควรจะถือปฏิบัติเหมือนหลักทรัพย์อ้างอิง ทําไมมาตัดหุ้น L ทันที เสนอว่า ควรปฏิบัติเหมือนหลักทรัพย์อ้างอิง ตอบ ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนว่า หากไม่ส่งมอบ NVDR ถือว่าไม่มีการซื้อคืน NVDR 50. บุคคลสัญชาติไทยตกลงสามารถจํานํา NVDR ได้หรือไม่ ตอบ สามารถจํานํา NVDR ได้ โดยโอน NVDR ไปยังบัญชี local ก่อนทําการจํานํา 55. การ Swap NVDR เป็นหุ้น ลูกค้าต้องเสียค่า Commission 2 ต่อ หรือไม่ ตอบ การคิดค่า Commission เป็นเรื่องระหว่างสมาชิกกับ ลูกค้า 56. การแจ้งการถือครอง 5% เช่น มีหุ้น 3% และ NVDR2% จะต้องแจ้ง Thai NVDR แล้วจะต้องแจ้ง SET ด้วยหรือไม่ หรือแจ้ง SET ต่อเมื่อหุ้นมี 5% ตอบ กรณีมีหุ้น 3% และ NVDR 2% จะต้องแจ้ง Thai NVDR แต่หากมีหุ้น 5% ให้แจ้ง สํานักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. 60. ขาย NVDR ในกระดาน L ได้ไหม ? เหมือนต่างชาติขายหุ้น F ในกระดาร L ได้ ตอบ ขายได้ ทั้งนี้ NVDR ถือเป็นหุ้น Local แต่เก็บรักษาในบัญชีหุ้นต่างประเทศ 64. กรณีต่างชาติถือหุ้น F ในหลักทรัพย์นั้นๆอยู่แล้ว มีการกําหนด limit หรือไม่ว่า จะถือ NVDR ได้เพิ่ม อีกกี่% ถึงต้องรายงาน หากเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นการส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน NVDR เหมือน วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ตอบ ต้องรายงาน บริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ จํากัด เมื่อได้มาหรือจําหน่ายออกไปแล้ว ทําให้ % การถือครอง สูงกว่าหรือต่ำกว่าทุก 5 % โดยนับ หุ้นอ้างอิง และ NVDR รวมกัน 66. ห้าม Short Sell หุ้น NVDR ใช่ไหม / ถ้าห้าม Short Sell จะทําให้เกิด Short ในระบบ SDC และไป หักหุ้น Local ได้อย่างไร ตอบ ใช่ โดยหากเป็นการขาย NVDR โดยไม่มี NVDR มาส่งมอบ ระบบจะไปหักหุ้นอ้างอิง ในจํานวนเดียวกันแทน
โดย
วันพีส
ศุกร์ มิ.ย. 25, 2004 5:53 am
0
0
ดังแล้วครับ
ขอร่วมแสดงความยินดี ด้วยคนครับ พี่ทั้ง 2 ท่าน
โดย
วันพีส
พฤหัสฯ. มิ.ย. 17, 2004 1:52 am
0
0
การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
ข้ามหัวข้อที่ 4 เรื่อง การเปรียบเทียบกฎเกณฑ์การออกหุ้นกู้เพื่อทำ securitization ครับ 5. ประสบการณ์ในการทำ securitization ในประเทศไทย 5.1 การทำ securitization กรณีที่ไม่ผ่าน พ.ร.ก. (1) ช่วงปี 2536-2541มีการทำ securitization สำหรับสินทรัพย์ประเภทลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์และลูกหนี้การค้าของธุรกิจส่งออก (export receivables) ซึ่งเป็นกรณีที่ไปออกหุ้นกู้ในต่างประเทศ โดยการโอนลูกหนี้ไปยัง SPV ในต่างประเทศเพื่อเป็นหลักประกันการกู้ยืม ได้แก่ กรณีของธนาคารเอเซีย ไทยคาร์ ซิทก้าลีสซิ่ง นิธิภัทรลีสซิ่ง และวงศ์ไพฑูรย์ (2) ปี 2542 มีการทำ securitization ในประเทศ โดยการออกหุ้นกู้ที่มีสิทธิเรียกร้องในกระแสรายรับเป็นหลักประกันเสนอขาย บุคคลในวงจำกัดภายในประเทศ (PP) ได้แก่ สิทธิเรียกร้องในสินค้าคงคลังของกลุ่มบริษัทแสงโสม 3 issues มูลค่ารวมหุ้นกู้ 11,070 ล้านบาท โดยมีแอลเอสพีวีเป็นตัวกลางในการออกหุ้นกู้ และ สิทธิเรียกร้องในหน่วยลงทุนและเงินกู้จำนองของกลุ่ม Lehman Brothers โดยมีจีที สตาร์ส เป็นตัวกลางในการออกหุ้นกู้ และในปี 2545 มีจีที สตาร์ส ทู เป็นตัวกลางในการออกหุ้นกู้ในลักษณะเดียวกับจีทีสตาร์ส มูลค่ารวมหุ้นกู้ทั้ง 2 issues คิดเป็น 8,670 ล้านบาท 5.2 การทำ securitization กรณีที่ผ่าน พ.ร.ก. ปี 2545 เริ่มมีการทำ securitization ที่ผ่าน พ.ร.ก. โดยมีสินทรัพย์เป็นลูกหนี้เช่าซื้อบ้านของการเคหะแห่งชาติ 2 โครงการคือ โครงการของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีนิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท.เป็นตัวกลางออกหุ้นกู้ (เสนอขายบุคคลในวงจำกัดภายในประเทศ(PP)) มูลค่ารวม 345.93 ล้านบาท และ โครงการของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งมีเอ็นเอ็ชเอ เอสพีวี และออสเปรย์ ซีรี่ส์ วัน เป็นตัวกลางออกหุ้นกู้ระยะสั้น (เสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (PO)) มูลค่ารวม 607.9 ล้านบาท 5.3 การจัดตั้งกองทุนรวมที่ซื้อสินทรัพย์ที่มีปัญหาของสถาบันการเงิน จากข้อมูล ณ มกราคม 2546 ได้มีการจัดตั้งกองทุนรวมประเภทพิเศษดังกล่าว โดยมีมูลค่าการเสนอขายสำหรับแต่ละประเภทกองทุนดังนี้ 1. กองทุนรวมอสังหาฯ เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง 2) 29 กอง มูลค่ารวม 42,141 ล้านบาท 2. กองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน (กอง 3) 20 กอง มูลค่ารวม 218,918 ล้านบาท 3. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้อง (กอง 4) 33 กอง มูลค่ารวม 31,203 ล้านบาท ข้ามหัวข้อที่ 6 เรื่อง อุปสรรคที่ทำให้การทำ securitization ภายใต้ พ.ร.ก. ไม่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมา ครับ 7. แนวโน้มในอนาคต ปัจจุบันจากการที่ได้เริ่มมีการ แปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์(securitization) ผ่าน พ.ร.ก. โดยโครงการของภาครัฐไปบ้างแล้ว คาดว่าในอนาคตน่าจะมีความนิยมเพิ่มขึ้นในภาคเอกชนที่จะทำ securitization ผ่าน พ.ร.ก. เนื่องจากเป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมทุนที่มีต้นทุนต่ำ และเป็นช่องทางการลงทุนใหม่ของผู้ลงทุนในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดตกต่ำ ---------------------------------------------------------------------------------- จบสรุปความครับ
โดย
วันพีส
จันทร์ มิ.ย. 14, 2004 8:36 pm
0
0
การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
2. ความเป็นมาของกฎหมาย securitization ในประเทศไทย ปี 2536 กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะทำงานที่มีความรับผิดชอบหลักในการพัฒนาตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย การดำเนินการศึกษาการออกตราสารการเงินที่จะรองรับการพัฒนาตลาดรองดังกล่าว รวมทั้งศึกษาปัญหาอุปสรรคในตลาด ปี 2540 ได้มีการตราพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 ขึ้น เพื่อเป็นการให้สิทธิประโยชน์ในขั้นตอนของการโอนสินทรัพย์ระหว่าง เจ้าของสินทรัพย์(originator) และ นิติบุคคล(SPV) 3. รูปแบบของกฎหมายที่ใช้ในการทำ securitization ปัจจุบันการทำ securitization สามารถเลือกทำตามกรอบกฎหมายที่รองรับได้ใน 3 รูปแบบ คือ (1) ออกหุ้นกู้ตาม พ.ร.ก.นิติบุคคลเฉพาะกิจฯ ประกอบ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ (2) ออกหุ้นกู้ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และ (3) ทำตามเกณฑ์กองทุนรวมที่ซื้อสินทรัพย์ที่มีปัญหาของสถาบันการเงิน เลือกทำตามข้อ 1 ผลประโยชน์ที่เหลือทั้งหมดของโครงการ (ภายหลังจากหักชำระหนี้ตามหุ้นกู้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในโครงการ) จะต้องถูกโอนกลับไปยัง เจ้าของสินทรัพย์(originator) เพื่อเป็นการสะท้อนว่า การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ข้างต้นเป็นการระดมทุนของ originator โดยแท้จริง เพียงแต่อาศัยบริษัทตัวกลางในการออกหลักทรัพย์เพื่อวัตถุประสงค์จะแยกทรัพย์สินของ originator ออกมาเพื่อประโยชน์ในการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่เท่านั้น หากไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขข้างต้นได้ ก็จะต้อง แปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ ตามเกณฑ์การออกหุ้นกู้ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ตาม (2) ซึ่งถือเป็นการออกหุ้นกู้รูปแบบหนึ่งที่ทำได้อยู่แล้วตามเกณฑ์ปกติ สำหรับการทำ securitization โดยจัดตั้งกองทุนรวมที่ซื้อสินทรัพย์ที่มีปัญหาของสถาบันการเงินตาม (3) นั้น เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมกันในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ โดยมีเกณฑ์รองรับการจัดตั้งกองทุนรวมประเภทดังกล่าว (กอง 2 กอง 3 และกอง 4) ไว้ตั้งแต่ช่วงปี 2541 ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป (เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล) รวมทั้งยังได้รับ ยกเว้นภาษีการโอนอสังหาริมทรัพย์ด้วย อย่างไรก็ดี ปัจจุบันสำนักงานได้ปิดรับการขออนุญาตจัดตั้งกองทุนรวมในลักษณะดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ สำหรับการทำ securitization โดยจัดตั้งกองทุนรวมภายใต้ พ.ร.ก.นิติบุคคลเฉพาะกิจฯ นั้นยังไม่สามารถทำได้ ( ปัจจุบันมีกฎเกณฑ์รองรับเฉพาะ SPV ที่อยู่ในรูปบริษัทเท่านั้น )
โดย
วันพีส
จันทร์ มิ.ย. 14, 2004 8:21 pm
0
0
การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์
สวัสดีครับ พี่ๆและทุกท่าน พอดีผมว่าง เลยลอง Search เรื่องนี้ดู แล้วเจอเนื้อหาซึ่งมี 11 หน้า ไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่ แต่ผมขอทำหน้าที่สรุปย่อเนื้อหาที่ได้อ่านจาก เวปไซด์ข้างล่างนี้แล้วกันครับ เอาแบบกว้างๆ นะครับ ผมจะพยายามเลี่ยงคำศัพท์และข้อความที่น่าปวดหัวครับ อ่านเอาเฉพาะเน้นข้อความ สีเขียวและสีน้ำเงิน ก็ได้ครับ http://www.sec.or.th/secrgen/pubstat/pub/article/securitization/securitization.doc 1. ลักษณะของธุรกรรม securitization การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ หรือ securitization นิยมทำกับ สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำโดยนำไปหนุนการออกหลักทรัพย์ (asset backed securities หรือ ABS) ผู้ลงทุนสามารถนำไปขายต่อได้โดยมีสภาพคล่องสูงขึ้น ผู้ลงทุนในหลักทรัพย์รับความเสี่ยงเฉพาะในสินทรัพย์ที่นำมาหนุนหลังหลักทรัพย์นั้นเท่านั้น ในทางปฏิบัติ การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ สามารถกระทำได้โดยผู้ที่มีสินทรัพย์ (originator หรือ seller) ขายสินทรัพย์ไปให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจ (special purpose vehicle : SPV) ที่จัดตั้งขึ้น และ SPV นั้นออกหลักทรัพย์เพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระค่าสินทรัพย์ให้แก่ ผู้มีสินทรัพย์(originator) องค์ประกอบมีดังนี้ 1.1 สินทรัพย์ มักเป็นลูกหนี้ประเภทต่าง ๆ เช่น ลูกหนี้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ลูกหนี้บัตรเครดิต ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ลูกหนี้การค้า ฯลฯ หรือ กระแสรายรับในอนาคต (future flow) โดยเฉพาะจากโครงการสาธารณูปโภค เช่น ค่าผ่านทางด่วน รายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า เป็นต้น 1.2 ผู้มีสินทรัพย์ (originator/seller) ผมเรียกว่า เจ้าของสินทรัพย์ ดีกว่าครับ เจ้าของสินทรัพย์ควรจะมีลูกหนี้ใน port เป็นจำนวนมาก เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัทที่ให้เช่าซื้อ/ลีสซิ่ง บริษัทที่ให้บริการบัตรเครดิต นอกจากนี้ ยังอาจรวมถึงผู้ประกอบกิจการสาธารณูปโภคซึ่งมีกระแสรายได้ในอนาคตที่ค่อนข้างแน่นอน เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค/นครหลวง บริษัททางด่วน เป็นต้น บทบาท เจ้าของสินทรัพย์(originator) ในธุรกรรมดังกล่าวนั้น เมื่อ เจ้าของสินทรัพย์(originator) ได้ขายสินทรัพย์ไปแล้ว เจ้าของสินทรัพย์(originator) มักจะยังเป็นผู้ให้บริการเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้ (servicer) ให้แก่ นิติบุคคลเฉาะกิจ (SPV) ต่อไป โดยลูกหนี้ไม่จำเป็นต้องทราบว่าเจ้าหนี้ที่แท้จริงของตนได้เปลี่ยนจาก ผู้มีสินทรัพย์(originator) ไปเป็น นิติบุคคลเฉพาะกิจ(SPV) แล้ว 1.3 SPV เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก เจ้าของสินทรัพย์(originator) เพื่อเข้ามารับโอนสินทรัพย์จาก เจ้าของสินทรัพย์(originator) และทำการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (securitization) แทน SPV ไม่ประกอบธุรกิจอื่นๆ นอกจาก การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ จึงไม่มีความเสี่ยงจากภาระผูกพันอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำ securitization 1.4 ตราสาร ABS รูปแบบของตราสาร ABS ขึ้นอยู่กับรูปแบบของ นิติบุคคล(SPV) เช่น หาก SPV เป็น บริษัท ตราสาร ABS มักจะอยู่ในรูปหุ้นกู้ แต่ถ้า SPV เป็นกองทุนรวม ตราสาร ABS ก็จะอยู่ในรูปหน่วยลงทุน เป็นต้น 1.5. ผู้เรียกเก็บหนี้(servicer) เจ้าของสินทรัพย์(originator) และ ผู้เรียกเก็บหนี้(servicer) มักเป็นบุคคลเดียวกันเพื่อความต่อเนื่องในการเรียกเก็บหนี้ อย่างไรก็ดี หาก servicer มีปัญหาทาง การเงินหรือมีเหตุจำเป็นอื่น อาจมีการเปลี่ยน servicer ได้ โดยต้องแจ้งให้ลูกหนี้ทราบด้วย รายได้ของ servicer (servicing fee) ส่วนมากจะประกอบด้วย ส่วนที่เป็นรายได้คงที่ (เช่น เป็นสัดส่วนต่อมูลหนี้) และส่วนที่เป็นโบนัส สำหรับกรณีที่ servicer สามารถเรียกเก็บหนี้ได้มากกว่าจำนวนที่คาดไว้
โดย
วันพีส
จันทร์ มิ.ย. 14, 2004 8:17 pm
0
0
เวลาเติมน้ำมันคุณชอบ
แบบไหน ไม่แน่ใจครับ แต่เติม ประมาณ ครึ่งถัง สำหรับผม ปริมาตรครึ่งถังขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันตอนนั้น ผมสรุปเองว่า 1. ถ้าผมเป็นเจ้าของรถ แล้วใช้เงินผมจ่าย ผมเติมน้ำมัน ครึ่งถัง ขึ้นไป ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำมันไม่พอวิ่ง ประมาณ 400 บาท 2. ถ้าผมเป็นเจ้าของรถ แล้วบริษัทควบคุมค่าน้ำมัน บริษัทคงให้ผมเติมน้ำมัน เพื่อวิ่งได้ ไปกลับ บริษัทกับสถานที่ปลายทาง ประมาณ 100-150 บาท 3. ถ้าผมเป็นเจ้าของรถ บริษัทไม่จำกัดค่าน้ำมัน ผมว่าส่วนใหญ่เติมเกือบเต็มถังถึงเต็มถัง เหมือนผม ประมาณ 600-800 บาท
โดย
วันพีส
ศุกร์ มิ.ย. 11, 2004 3:08 am
0
0
อยากดูกราฟ set ย้อนหลัง 10 ปี เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
คือบัญชีเรากับโบรกเกอร์งัยครับ ไม่ได้ถอนให้เค้าออกเช็คให้เรามาถือเงินสดจริงๆอ่ะครับ หรือโอนเข้าบัญชีธนาคารให้อ่ะครับ ผมเล่นแบบทางเน็ตต้องโอนเงินไปให้โบรกก่อน แล้วก็จะเพิ่มเงินในบัญชีเราให้ ว่ามีเงินเท่าไหร่ ก็ซื้อได้ตามที่โอนไปครับ ถ้าขายได้เงินในบัญชีก็จะเพิ่มขึ้น แต่เงินยังอยู่ในบัญชีกับโบรกเกอร์(เงินสดในพอร์ท)ครับ โบรกซิมิโก้ ที่ คุณharry เปิดบัญชีอินเตอร์เน็ตอยู่ สามารถ เปิดบัญชีแบบ ที่หักเงินหรือโอนเงินกับบัญชีธนาคารได้ คุณharry ลองเอาบัญชีเงินฝาก ไปติดต่อขอใช้บริการดูสิครับ
โดย
วันพีส
จันทร์ มิ.ย. 07, 2004 1:41 am
0
0
ผมควรถามพนักงานบริษัทอย่างไรดีครับ
ขอบคุณนะครับที่ให้ความสนใจเข้ามาอ่าน ผมจะพยายามต่อไปเองแล้วกัน ตอบคุณ Unix shell command อ่านครับเรื่องวันพีส เรื่องที่ถามว่าวันพีส รวมเล่มล่าสุดออกเมื่อไหร่ ตอบว่า ไม่ทราบครับ คือทุกทีไปเจอที่แผงหนังสือก็ซื้อมาอ่านครับ แต่รวมเล่มวันพีสนี้ไม่ได้ออกมา ประมาณ 2 เดือนแล้วนะครับ
โดย
วันพีส
อาทิตย์ พ.ค. 30, 2004 2:05 am
0
0
บริษัทอังสังหาริมทรัพย์ รายได้
ค่าโอนตึก+ภาษีธุรกิจเฉพาะที่ดิน เรื่องค่าโอนเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเสียครับ มากน้อยขึ้นอยู่กับการประเมิน และการเลี่ยงประเมินให้ถูกกว่าความจริง ภาษีธุรกิจเฉพาะ เกิดขึ้นสมัย ท่านอานันท์ ปัญญารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี เำื่พื่อสกัดกั้นปัญหาการเก็งกำไรบ้านและที่ดิน ภาษีธุรกิจเฉพาะนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเสียครับ บุคคลที่ไม่ต้องเสียธุรกิจเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 3.3% (ของรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆ) คือบุคคลที่ถือครองบ้านหรือที่ดินเกิน 5 ปี ,บุคคลที่ได้ รับมรดกตกทอดมา (มีมากกว่านี้ครับ แต่ตอนตอบจำได้เท่านี้ครับ) การเลี่ยงการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีที่เป็นบ้าน,คอนโด เป็นต้น วิธีหนึ่งที่ ทำกันโดยทั่วไปและน่าจะมากที่สุด คือ การที่ผู้ขายมีชื่อเป็นเจ้าบ้านใน บ้าน,คอนโด เป็นเวลาหนึ่งปีขึ้นไป นับตั้งแต่วันที่ได้มา(วันรับโอนมา) กฎหมายจะยกเว้นค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ให้ ถือว่าเป็นการอยู่อาศัยแล้ว ต้องการขายในภายหลัง
โดย
วันพีส
จันทร์ พ.ค. 24, 2004 1:58 am
0
0
ขอถามเกี่ยวกับสัญญาเช่าหน่อยครับ
บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SF) ครับ ประกอบธุรกิจด้านการพัฒนาและบริหารศูนย์การค้า ประเภทศูนย์การค้าแบบเปิด โดยจัดหาพื้นที่แล้วสร้างเพื่อให้เช่า แต่ไม่ยึดติดว่าต้องสร้างขึ้นมาแล้วเป็นห้างฯ เช่น พัฒนาที่ดินเพื่อสร้างศูนย์อาหาร, พัฒนาที่ดินแล้วให้ บี-ควิก (B-Quik) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการซ่อมและจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ เช่า, สร้างศูนย์การค้าที่มีพื้นที่โรงหนัง ให้ Major เช่า เป็นต้น
โดย
วันพีส
เสาร์ พ.ค. 22, 2004 3:04 am
0
0
งานคอมคับ วันที่20/5/2547 ผมคงงดเล่นหุ้นวันหนึ่งไป
ผมว่าเครื่อง ICT ถ้าซื้อมาเพื่อใช้งานธรรมดาทั่วไป เช่น งานพิมพ์, ฟังเพลง, ดูหนัง บ้างเล็กน้อย ถือว่าเพียงพอ แต่ถ้า มีลูกมีหลาน จะต้องเล่นเกมส์นั้นเกมส์นี้ให้ได้, ทำงานใหญ่ๆ ใช้งานกราฟิกเยอะๆ เครื่อง ICT ผมว่าไม่คุ้มต่อการใช้งาน เพราะ เครื่อง ICT มีแต่ onboard ทั้งนั้นเลย เมื่อ onboard ก็ต้อง ไปแบ่ง ram ซึ่งมีไม่มากอยู่แล้วมาใช้งาน ทำให้ความสามารถใช้งาน ไม่เพียงพอต่องานบางงาน ------------------------------------------------------------------------------- ดีใจจังครับ ที่ในเวปเกี่ยวกับหุ้น แต่ยังมีเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหุ้น ให้ผมแสดงความเห็นได้ เพราะผมยังอ่อนหัดนัก กับเรื่องหุ้น, งบบัญชี, คำศัพท์ต่างๆ, กลยุทธ์การลงทุน ฯลฯ คงต้องขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกพักใหญ่ๆ เผื่อในอนาคตจะสามารถเรียกตัวเองได้บ้าง ว่าเป็น "นักลงทุน"
โดย
วันพีส
อังคาร พ.ค. 18, 2004 3:37 am
0
0
เงิน 10,000 บาท กับ internet trading ????
คำพูดของใครหลายๆ คนพูดว่า "จงลงทุนในธุรกิจ ที่ตนเองเข้าใจ" คำพูดคำนี่ดีนะครับ และก็สนับสนุนให้หาข้อมูลมากๆ ก่อน ตัดสินใจ เพราะเสียใจภายหลังก็สายไปเสียแล้ว หากเงินน้อยๆ ก้อนแรกมาเสียไปง่ายๆ อาจจะหมดกำลังใจและทำอะไรไม่ถูก ได้เลยนะ
โดย
วันพีส
ศุกร์ พ.ค. 14, 2004 4:04 am
0
0
อยากซื้อโน๊ตบุ๊คครับ ขอคำแนะนำจากคนที่รู้ครับ
ขอคุยเรื่อง NoteBook ด้วยคนนะครับ สงสัยผมจะมาแปลกกว่าพี่ๆ และทุกท่าน ไม่กล่าวถึงสเปคนะครับ เห็นว่ามีหลายท่านแนะนำคุณ champ แล้วครับ ขอเอาประสบการณ์ตรงของตนเองมาเล่าแล้วกันครับ ผมใช้ notebook ของ ASUS บางท่านคงเคยได้ยินชื่อนี้ เคยได้ยินชื่อ เมนบอร์ดยี่ห้อ ASUS ไหมหละครับ นั่นแหละเจ้าเดียวกัน แต่มีประกัน 3 ปี ตอนนี้เหลือ 1 ปีกว่าๆ 2 ปีแรก ประกันทั่วโลก เสียที่ไหนส่งซ่อมได้ในประเทศนั้น ปีที่3 เป็นอ๊อปชั่นเพิ่มเติมให้กับคนในประเทศมั้งครับ ยี่ห้อดีบางครั้งก็ไม่ได้ดีทั้งหมดทุกเครื่อง ความเห็นส่วนตัวผมจึงยึดถือเรื่องการประกันเป็นสำคัญ ยิ่งมีการประกันมาก เราทำอะไรเสียหรือเครื่องผิดพลาดเอง จะได้ยังมีประกันรองรับ อย่างเช่นผม เคยจะแบ๊กอัพข้อมูล เพื่อลงโปรแกรมใหม่หมด ทำผิดพลาด เมนบอร์ดโน๊ตบุ๊คพังเลยครับ แต่อยู่ในประกันปีที่ 2 เลยใช้ความซื่อไม่รู้ไม่ชี้ไปส่งซ่อม เขาซ่อมให้ตามปกติ ไม่งั้นคงเสียค่า เมนบอร์ด เป็นหมื่น หากเขารู้ว่า ผมทำพังเอง ศูนย์ซ่อมอยู่ที่พันธุ์ทิพย์ครับ ศุนย์ของเขาที่อื่นก็ส่งซ่อมได้ แต่สุดท้ายเขาก็ส่งเข้าพันธุ์ทิพย์ครับ เรื่องบริการของ ASUS ฮาร์ดแวร์ดี แต่ ซอฟแวร์ แล้วแต่ตนเองเขาไม่รับผิดชอบส่วนนี้ ปัจจุบันยังปกติดีทุกอย่าง ยกเว้น เรื่องน้ำหนักและการอัพเกรดเพิ่มเติมลำบาก แต่รุ่นใหม่ๆ ของ ASUS อัพเกรดง่าย ทำเองก็ได้ถ้ามีความรู้พอ ที่กล่าวมาข้างต้นเผื่อว่าจะมีใครสนใจครับ เพื่อเป็นทางเลือก แบบของดี สเปกเท่ากัน แต่ราคาถูกกว่านะครับ หากนึกถึงความสบายที่ย้ายไปที่ไหนง่ายๆ เป็นหลัก ให้ไปถามราคาเครื่องและสเปคที่เป็น คอมพิวเตอร์พกพาแบบ DeskNote ครับ แต่ไม่มียี่ห้อดังๆ นะครับน่าจะมีแต่ชื่อ ECS ของไต้หวันครับ ไม่ได้สำรวจมาพักนึงอาจมียี่ห้ออื่นๆได้ครับ DeskNote ไม่ใช่ NoteBook นะครับ ความต่างหลักอยู่ที่ DeskNote จะไม่มี แบตเตอรี่ ไปที่ไหนที่นั่น ต้องมีปลั๊กไฟให้เสียบ จึงทำงานได้ แต่ถ้าจำไม่ผิดปัจจุบัน มีขายแบบแบ๊ตแยกออกมาต่างหากอีกชุดเหมือนกัน แต่โดยรวมยังถือว่าเกะกะครับ หากใครย้ายไปย้ายมาบ่อยๆ แต่มีปลั๊กไฟให้เสียบ DeskNote จะเหมาะมากครับ และราคาเมื่อเทียบสเปคเครื่องแบบเดียวกัน DeskNote จะถูกกว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา เหมาะกับผู้ไม่ยึดยี่ห้อแต่คำนึงถึง คุณภาพเป็นหลัก เพราะเมื่อคิดจะซื้อไว้ใช้งานยี่ห้อใดๆ หากแต่คุณภาพดี ประกันดีเป็นที่น่าพอใจ ผมว่าก็ใช้งานได้ครับ หากเลือกยี่ห้อ ผมว่า แรกสุดต้องยกให้ โตชิบาและฟูจิซึ สุดยอดของเรื่องโน๊ตบุค รองลงมาต้องเป็นพวก ไอบีเอ็ม เดล คอมแพ็ค ส่วน Acer ไม่แน่ใจครับว่าจะอยู่ตรงไหนดี ผมว่าดีครับศึกษาข้อมูลเยอะๆ จากหลายๆที่ จะได้ไม่เสียใจในภายหลังว่าซื้อมาไม่คุ้มค่าเลย :D :D :D
โดย
วันพีส
ศุกร์ พ.ค. 14, 2004 3:34 am
0
0
ทำไมเราไม่เอาไบโอเบนซินมาใช้แทนน้ำมันเลยหล่ะครับ
หรือว่า ไบโอเบนซิน นี้อยู่ในช่วงยังไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน จึงเป็นได้เพียง แค่งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ผมลองคิดดูว่าจะมีอะไรเป็นเครื่องรับประกันความสำเร็จ สำหรับผู้ให้เงินกู้มาลงทุน เพียงแค่โดยโจมตีมากๆจากผู้เสียประโยชน์ก็เจ๊ง ไม่เป็นท่าแล้วครับ หากจะให้เกิดจริง ผมว่ารัฐฯ จะต้องช่วยเหลือมากกว่านี้ จึงสำเร็จ ตอนนี้เหมือน ดร.เขาพูดอยู่คนเดียว ส่วนไบโอดีเซล ค่าเปอร์เซนต์การกลั่นยังไม่สูงพอมั้งครับ เพราะส่วนใหญ่ ไบโอดีเซล ถูกนำไปใช้กับ เรือหาปลาหรือเครื่องยนต์การเกษตรเป็น ส่วนใหญ่ ยังไม่มีใครมาใช้กับเครื่องรถยนต์ดีเซลเป็นรูปธรรม สิ่งที่น่าสนใจเป็นพลังงานทดแทนตอนนี้น่าจะเป็นก๊าซ NGV ครับ สำหรับรถยนต์ อย่างตอนนี้กระทรวงพลังงานก็มีนโยบายให้แท๊กซี่หันมาใช้ ก๊าซ NGV โดยราคาค่าแปลงเครื่องประมาณ 60,000 บาท ข่าวว่ากระทรวง พลังงานจะทำให้ก่อนแล้วให้แท๊กซี่ผ่อนคืนได้ในรูปของค่าเช่ารายวันซึ่งรวม ค่าแปลงเครื่อง ตัวอย่างสิ่งที่เจ๊งไม่เป็นท่า แต่ฝีมือไทยเท่านั้นที่เก่งจริง ก็เรื่องพลอยสีส้มไงครับ คิดได้แต่โดนโจมตีหนักจากแลปต่างประเทศ จึงไม่สามารถทำการตลาดได้เต็มที่ ราคาก็เลยไม่ไปไหนสักที่ ผู้ลงทุนก็ขาดทุนแล้วขาดทุนอีก ทั้งๆที่ราคาต่อกะรัตน่าจะเป็น หลักหลายหมื่นแต่พยายามขายเท่าไรราคาก็ได้แค่หลักพัน น่าสงสัยจริงๆครับ คนไทยทำได้แต่ทำไมไม่น่าเชื่อถือ
โดย
วันพีส
พุธ พ.ค. 12, 2004 5:34 am
0
0
เฮียปรัชญา ผมสัญญากับเฮียไว้ว่า
ขอผมสวัสดีด้วยอีกคนนะครับ เอาเป็นว่าเรียก เฮียปรัชญา ตามพี่ๆ และทุกท่านแล้วกันครับ เวปหุ้น ที่มีสาระดี ก็กลับมาครบดังเดิม และมีแต่จะงอกเงยในความดีมากขึ้น แล้วก็อดใจไม่ได้ ที่จะต้อง ขอบคุณ เฮียๆ พี่ๆ และทุกท่านอีกครั้งครับ สำหรับเรื่องดีๆ ที่ เฮียๆ พี่ๆ และทุกท่าน มีให้แก่กัน โดยมีผมเป็นผู้ขอเรียนรู้ที่ดีครับ ขอบคุณครับ
โดย
วันพีส
พุธ พ.ค. 12, 2004 4:35 am
0
0
ใครจงใจ พยายามเอาดัชนีลง
เห็นบ่อยเลยครับ สงสัยโยนหินถามทาง มีใครใจไม่นิ่ง เห็นแต่กระดานราคา ไม่เห็นวอลุ่ม ว่ามีแค่ 100 เดียว ยอมขายเยอะๆ มาบ้าง ก็ลงยาวเลยครับ :cry:
โดย
วันพีส
เสาร์ พ.ค. 08, 2004 5:09 am
0
0
ฌ๕๕๕๕๕๕๕๕
ผมว่า ซีเอ็ด ได้ลูกค้าเยอะขึ้นครับ ประชาชนรักการอ่านมากขึ้น เมื่อเลิกงานหรือเลิกเรียน ยังไม่ต้องการกลับบ้านเพราะสภาพจราจร ซึ่งติดมากๆนานๆ ซึ่งกว่าจะคล่องตัวก็ประมาณ 3 ทุ่มไปแล้ว คงไม่มีที่ใดดีกว่าการเข้าไปหาแอร์ เดินเล่น หรือพักผ่อน ซื้อของกลับบ้าน ในดิสเคาสโตร์ และดิสเคาสโตร์เหล่านี้ ก็เจาะเข้าไปในย่านชุมชนมากๆ ได้อย่างง่ายดาย เพราะที่ๆ ซีเอ็ด ไปเปิด ส่วนใหญ่ตอนนี้ มุ่งไปสู่ ดิสเคาสโตร์ ซึ่งเปิดให้บริการถึง 4-5 ทุ่ม ผมเองก็เคยไปซื้อหนังสือ ตอน 4 - 5 ทุ่มครับ เห็นคนยังอ่านหนังสือ หาหนังสืออยู่ในร้านเลย นิสัยส่งเสริมการอ่านคงได้เมื่อตอน ผม พี่ๆ และทุกท่าน เป็นเด็กๆ โตขึ้นเมื่อเห็นคุณค่าก็ส่งเสริม ให้เด็กรุ่นต่อไปได้อ่านได้เรียนรู้ ทำให้ ร้านหนังสือมีคนเข้าไปหาซื้อ หนังสือมากขึ้น อย่างตอนนี้ ซีเอ็ด มีโปรโมรชั่นสำหรับเด็กนะครับ ถ้าอายุไม่เกิน 15 ปี(ถ้าจำไม่ผิด) เมื่อซื้อหนังสือภายในร้านครบ 200 บาท สามรถทำบัตรฟรี เพื่อเป็นส่วนลด 10% สำหรับหนังสือของ ซีเอ็ด เอง และ 5% สำหรับสำนักพิมพ์ อื่นๆ แล้วยังได้สติ๊กเกอร์มาสะสมเพื่อแลกรับของรางวัลอีกนะครับ หากเป็นเงื่อนไข คนทั่วไป จะต้องซื้อครบ 1,000 บาท จึงสามารถทำบัตรฟรี เพื่อเป็นส่วนลดตามเงื่อนไขข้างต้นได้ ดังนั้นผมว่าวันนี้ ซีเอ็ดกำลังวางรากฐานบริษัทเพื่ออนาคต ด้วยการส่งเสริม การอ่านของเยาวชน เผลอแปบเดียว ทุกท่านก็โตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งต้องกลับ เข้าไปร้าน ซีเอ็ด พาลูกพาหลาน เข้าไปเพื่อหาหนังสืออีกอยู่ดี เป็นอย่างนี้ ยิ่งทีบริษัทน่าจะยิ่งดี นะครับ
โดย
วันพีส
เสาร์ พ.ค. 08, 2004 4:59 am
0
0
ช่วยปู่หาคำตอบหน่อย ทำไมฝรั่งจึงขายหนักจริงๆ
ตั้งข้อสังเกตครับ การขายเยอะๆ เกิดขึ้นในช่วงสวิงขาลงของดัชนี 700 ลงมา 600 จุด โดยประมาณ แนวทางต่างชาติอาจเปลี่ยนจากเมื่อปีที่แล้ว ที่พาวิ่งขึ้นอย่างใหญ่โต เมื่่อคนสนใจหุ้นเยอะทำไงได้ ก็ต้องทำให้คนกลัวสิครับน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง ยิ่งกลัวมากก็ยิ่งควบคุมง่าย หรือว่าการสวิงของดัชนีขึ้นๆลงๆ 600 - 700 แบบนี้ เป็นการขายแบบเพื่อเล่นสั้น ของต่างชาติ ผมดำในเอเซีย เพราะกลยุทธ์ในการทำกำไรของต่างชาติ สามารถ ชอร์ตเซลล์ ให้ราคาลงเยอะๆ เพราะคนไทยรายย่อยส่วนใหญ่ชอบเล่นสั้นๆ เห็นว่าลงเยอะกลัวขาดทุนมากก็เลยขาย ยิ่งขายก็ยิ่งลง เลยเข้าทางต่างชาติ ผมดำเลย ข้อสังเกตผมเกิดจากโบรกเกอร์ในไทย ปัจจุบันนี้มีเจ้าของเป็น ต่างชาติซึ่ง อยู่ในเอเซียเยอะ ส่วนต่างชาติ ผมทอง ความเห็นส่วนตัวตอนนี้คงกำลังซื้อหุ้นราคาถูก อย่างสบายใจ เหมือนอย่างพี่ๆ และทุกๆท่าน กำลังทำอยู่ตอนนี้ ด้วยเหตุว่าต่างชาติผมทอง ผมว่าพื้นเพนิสัยมาจากการลงทุนมากกว่า ไม่ใช่การเสี่ยงโชคจากส่วนต่างของราคา ข่าวในประเทศและต่างประเทศก็เป็นใจเหลือเกิน ยิ่งมีข่าวลบเยอะๆ ยิ่งช่วยกันกระพือลงใหญ่เลย ความเห็นส่วนตัวครับ สภาพเศรษฐกิจไทยเช่นนี้ยังไม่น่าแย่ กลับกัน ผมยังเห็นว่าเพิ่งเริ่มกระเตื้อง สู่ ชาวบ้านทั่วๆไป งานที่ชาวบ้านไม่เคยมีทำก็กลับมามีทำ งายที่หายากก็หาง่ายขึ้น แต่ส่วนตัวสำหรับสภาพเศรษฐกิจเป็นห่วงความเอื้ออาทรต่างๆ ที่ภาครัฐยื่นให้กับประชาชนครับ ความเอื้ออาทรเหล่านี้ ผมว่าจะเป็นตัวเร่ง ให้เกิดหนี้สิน ซึ่งผูกพันต่อเนื่องกันไป หากรัฐ จัดการสิ่งเหล่านี้ไม่ดี ประชาชนชาวไทย ทุกวันนี้รับความเอื้ออาทรมามาก โดยมีธนาคารรัฐตอบสนองนโยบาย ผมว่าน่าเป็นห่วงครับ เรื่องข่าวต่างประเทศ มีแต่ข่าวระเบิดและก่อการร้ายเท่านั้น ที่ใหญ่มากสำหรับคนทั่วโลก ผมว่าถ้าผู้นำประเทศมหาอำนาจเปลี่ยนตัว ไม่ได้กลับมาเป็นอีก ให้อีกพรรคมาเป็นนโยบายต่างประเทศของเขา น่าจะเอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมากกว่านี้
โดย
วันพีส
เสาร์ พ.ค. 08, 2004 4:20 am
0
0
ผลของก่อการร้ายที่กระทบต่อตลาดในมุมมองของ TVI
กรณีก่อความไม่สงบจะกระทบต่อธุรกิจประกันหรือเปล่าครับ ผมว่ากระทบในแง่ดี ธุรกิจประกันภัย จะมีลูกค้ามาทำประกันแบบต่างๆมากขึ้น และเบี้ยประกันภัยก็กำลังจะขึ้นเพื่อรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ผมว่ากระทบแง่ไม่ดี ธุรกิจประกันภัย จะมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากการประกันภัย ที่แต่ละบริษัทรับเข้ามา เช่น ตอนนี้คนเริ่มทำประกันภัยชีวิตมากขึ้น ความเสี่ยง หากมีผู้เสียชีวิต แล้วต้องจ่ายสินไหม ทดแทนจะมากขึ้นไปด้วย แต่เมื่อนำแง่ดีมาลบแง่ไม่ดี ผมว่าแง่ดีมีมากกว่าครับ เพราะการประกันภัย เมื่อมีผู้มาทำประกันภัยมากขึ้นเกินกว่าวงเงิน การประกันของบริษัทหรือบริษัทเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น บริษัทจะกระจายความเสี่ยงโดยไปทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ยอดการชำระสินไหมทดแทนจริง ในการประกันภัยประเภทที่เสี่ยงสูงอย่างนี้ บริษัทประกันภัยนั้นๆ จะเสียน้อยลง ความเสี่ยงก็ต่ำลง อยู่ในภาวะที่บริษัทรับได้
โดย
วันพีส
เสาร์ พ.ค. 01, 2004 4:47 am
0
0
บรรยากาศช่วงนี้คล้ายตอน 1700 จดจังเลย
อยากแสดงความคิดเห็นบ้างครับ ผมไม่ทราบหรอกนะครับว่าบรรยากาศคล้ายตอน 1700 เป็นอย่างไร เมื่อวันนั้นผมยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่ค่อยรู้เรื่องหุ้นหรอกครับ ว่าต้องดูพื้นฐาน ว่าต้องตัดขาดทุนออกไปบ้าง ว่าต้องรู้รอบเรื่องข่าวสารบ้านเมือง ฯลฯ แต่ให้วันนี้ผมคิดย้อนกลับไป ลองนึกดูสมัยนั้นเปรียบเทียบกับสมัยนี้ ผมว่าปัจจุบันนี้ คล้ายๆ สมัยท่านนายกชาติชายตอนกำลังเริ่มๆ บริหาร ประเทศ ประเทศก็กำลังพัฒนาขึ้นเป็นลำดับเพราะผู้นำประเทศ เก่งในการบริหารเรื่องต่างๆ เช่น หมุนเงิน, การจัดการข่าวสารทุกอย่าง, การมีแนวคิดเดินหน้าต่อไปในเรื่องต่างๆ ฯลฯ ทำให้ภาพรวมโดยเฉลี่ย ต้องถือว่าดีมากกว่าเสีย หากอยู่ต่อได้อีกสมัยหรือใครได้เป็นนายกคงเข้าสู่ช่วง รุ่งเรืองขาขึ้น ต่อไปได้ โดยเริ่มได้รับอานิสงฆ์จาก งานที่ทำในวันนี้ คล้ายๆ ที่ นายกชวน ได้รับช่วงต่อมา แต่ผมกำลังคิดถึงว่าผู้สานต่อเป็นนายกคนถัดไปซิครับ หากได้คนที่บริหารไม่เก่ง แล้วนายกปัจจุบันก็เอาเงินอนาคต มาหมุนเวียนในปัจจุบันตั้งเยอะแล้ววันข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร แนวคิดต่างๆ จะเป็นอย่างไร เสียเงินทองไปมากมาย แล้วประเทศเรา คนไทยเรา จะได้อะไรกลับขึ้นมาบ้าง เศรษฐกิจจะกลับสู่ขาลงหรือเปล่า ??? หากได้คนเก่งก็คงประครองประเทศให้รอดฝั่งต่อไปได้ ในกระแสเศรษฐกิจที่แข่งขันกันสูงอย่างโลกปัจจุบัน แล้วจะไม่ให้ผมคิดอย่างข้างต้นได้อย่างไรครับ การเมืองไทยเป็นเรื่องไม่แน่นอน ระยะเวลานากยกแต่ละท่านที่อยู่ในตำแหน่ง สมัยหนึ่งๆ กี่ปีก็ไม่แน่นอน ช่วงรุ่งเรืองทางขาขึ้นของเศรษฐกิจไทย หรือการประครองให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไป ก็จะไม่แน่นอนไปด้วย เพราะขาดความต่อเนื่อง หากนายกท่านนั้นในอนาคต เห็นว่าบ้านเมืองกำลังจะแย่ เกิดทิ้งปัญหา ประชาชนคนไทย ประเทศไทย จะเป็นอย่างไร ??? ไม่รู้ว่าผมแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ จะเกี่ยวกันไหมก็ไม่รู้ครับ และต้องขอโทษครับที่แสดงความเห็นไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องหุ้นเลย
โดย
วันพีส
เสาร์ พ.ค. 01, 2004 4:00 am
0
0
ขอถามเรื่องสุดท้าย เกี่ยวกับ วินโดครับ / เครื่องไม่มีเสียง
พี่ไม่ได้ลง driver ของ Sound ครับ เพราะภาพที่ 2 เครื่องมองไม่เห็น Sound "No Audio Device" สงสัยว่าตอนติดตั้ง WinXp จะหา driver ที่ดีที่สุดให้แต่หาไม่ได้ หากเป็น Sound ที่มากับเครื่องก็หาที่ CD ที่มากับเมนบอร์ด ง่ายที่สุดน่าจะเป็นการ เอา CD ใส่ในช่อง CD พอเครื่อง auto run CD ก็หาที่เป็น driver ของ sound ส่วนมากก็ระบุว่าเป็น Audio อยู่อย่างชัดเจน แล้ว click ค่อยๆ ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ น่าจะง่ายที่สุดครับ และต้องสังเกตว่า driver ตรงกับ WinXp ด้วยนะครับ
โดย
วันพีส
จันทร์ เม.ย. 26, 2004 3:50 am
0
0
รวบรวม ข่าวร้ายน้อย ข่าวร้ายมาก ข่าวร้ายสุดๆ
คิดเอาแบบ สนุกๆ ดีกว่า แบบคนมีหุ้นอยู่ในหัวใจ :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: http://www.manager.co.th/asp-bin/image.asp?ID=200000019530907 พี่ใหญ่(กองทุนไทย วายุภักษ์,กบข. ฯ)ช่วยคุมตลาด เอาความใหญ่ของมาราโดนาเท่านั้นนะครับ :lol: Diego Maradona http://www.manager.co.th/asp-bin/image.asp?ID=200000019530903%20 Really bad news for me! ล่าสุดอดีตดาวเตะผู้นี้ถูกหามส่งโรงพยาบาลแบบฉุกเฉินที่กรุง บัวโนสไอเรส อาร์เจนติน่า และอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ สันนิษฐานอาการของเขาว่าน่าจะเกิดจากผลกระทบการใช้ยาลดความอ้วน หรือการใช้ยาบำบัดอาการติดยาเกินขนาด ซึ่งตัว มาราโดน่า เองนั้น ต้องเข้ารับบำบัดอาการติดยาเสพติดมาเป็นเวลานานแล้ว แต่อาการของเขาเที่ยวนี้หนักหนาไม่เบา จนถึงขณะนี้ยังต้องนอนอยู่ในห้อง ICU ปัจจุบันมาราโดนา เป็นหุ้นรีแฮบโก้ ครับ กำลังโคม่าผลประกอบการไม่กระเตื้อง ติดต่อกันมานาน(เหมือนติดยาติดนานมีแต่แย่ลง) :lol: ภราดรแพ้อีกแล้ว คะแนน 4-6 , 3-6 เชตแรกตีลูกเสียมากกว่าคู่แข่ง 2 เท่า ภราดรเหมือนหุ้นที่ถูกรู้ทางแล้ว มาแรงแซงทางโค้งอยู่ดีๆ พอเริ่มดังเข้าตา ผู้เล่นคนอื่นๆก็เลย วางหมากเอาชนะได้ไม่ยาก :lol:
โดย
วันพีส
พุธ เม.ย. 21, 2004 2:14 am
0
0
จริงหรือไม่ที่คนพูดว่า กิจการที่ดี ไม่เข้าตลาด กิจการที่เข้า
ดังนั้นเวลาหุ้นแต่ละตัวทำ IPO ต้องดูวัตถุประสงค์ที่แท้จริงเหมือนกันครับ หากดูแล้วน่าจะเข้าตลาดมาเพื่อ exit หรือขายหุ้นทำกำไร ก็ควรหลีกเลี่ยงครับ ปัญหาก็คือมันก็เป็นสิ่งที่วิเคราะห์ยากเหมือนกันครับ ผมมองว่าหุ้นที่ IPO หลายตัวในปีนี้ เจ้าของต้องการ exit นะครับ ดังนั้นต้องระวังด้วยนะครับ ขอบังอาจตอบครับพี่ Invisble hand พอดีผมอ่านหนังสือเรื่อง "16 สูตรสำเร็จรวยด้วยหุ้น" แนะนำการสังเกตหุ้น IPO ว่าเจ้าของน่าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อปล่อยหุ้นทำกำไรหรือเปล่า โดยสังเกตจากรายชื่อผู้ถือหุ้นว่ามียาวเป็นหางว่าวหรือเปล่า โดยถือคนละ 1%, 2% หรือ3% ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ตามหนังสือให้ตั้งขอสังเกตว่าต้องการปล่อยหุ้นเพื่อทำกำไร และหนังสือยังแนะนำให้ดูรายงานแบบ 59-2 คือ รายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร ที่ http://www.sec.or.th ด้วยครับ ผมขอบังอาจตอบอย่างนี้ครับ ผมคงไม่สอนหนังสือสังฆราช นะครับ และขอบคุณความเห็นดีๆ ที่พี่มีให้ ซึ่งผมตามอ่านที่กระทิงเขียวคุณค่า แต่ตอนนี้ดีใจที่พี่มาตอบที่นี่ครับ ขอบคุณครับ
โดย
วันพีส
พุธ เม.ย. 14, 2004 2:31 am
0
0
ความรู้สึก กับ ความเป็นจริง
สวัสดีครับ พี่ๆและทุกท่าน ผมขอออกความเห็นบ้างนะครับ ผมว่า ถ้าใครสนใจจะลงทุน TRUE (เรียกตามชื่อใหม่แล้วกันครับ) หรือ CSL คงดูได้เพียงแต่ราคาหุ้นที่ ในอนาคตมีโอกาสเพิ่มขึ้นจากวันนี้เพื่อรองรับกับขนาดบริษัทที่โตขึ้น แต่หวังได้ยากกับการปันผล ของบริษัท เพราะบริษัทได้กำไรมาเท่าไร บริษัท เช่น TRUE, CSL ก็คงต้องเอากำไรทั้งหมด ไปขยายงานต่อ, ไปเพิ่มเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้เสียเปรียบบริษัทอื่นๆ ซึ่งทำธุรกิจ แนวเดียวกัน การต้องลงทุนทางเทคโนโลยี โดยซื้อมาใช้อย่างเดียว ไม่ได้คิดเอง ส่วนตัวผมว่าไม่คุ้มเลยครับ หากเลิกลงทุนเมื่อไรบริษัทนั้นก็มีแต่วันเสื่อมถอยลง ขณะที่บริษัทซึ่งทำการค้าอย่าง Makro การซื้อมาขายไป รูปแบบการโตของบริษัทจะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ มูลค่าทั้งหมดของบริษัทโตขึ้น การค้าขายมากขึ้นแต่ต้องรักษาฐานกลุ่มลูกค้าแนวเดิมของ Makro ไว้ให้ได้ ราคาหุ้นในอนาคตก็ขึ้นไปรองรับ แต่ไม่ต้องไปลงทุนเทคโนโลยีมากมาย กำไรก็จะเกิดและผู้ถือหุ้นก็สามารถได้รับเงินปันผลด้วย ดังนั้นผมว่า Makro น่าลงทุนกว่าในระยะยาว แต่หากระยะสั้นกว่านั้น ก็คงเลือก TRUE หรือ CSL เพราะมีข่าวดีทีหนึ่งราคาก็ขึ้นไปรองรับทีหนึ่ง
โดย
วันพีส
พุธ เม.ย. 14, 2004 2:02 am
0
0
Quality System จุดเริ่มต้นของ Durable Competitive Advantage
ฝากการบ้านให้คุณวันพีสและคุณ Underworld ไปคิดต่อครับ สมมุติว่าบริษัทแห่งหนึ่งอ้างว่าใช้ระบบคุณภาพชนิดหนึ่ง เช่น Kaizen ในฐานะผู้ถือหุ้น คุณจะถามผู้บริหารหรือสังเกตบริษัทได้อย่างไรว่ามีการอบรมและใช้งานจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เคยรู้จักบริษัทนั้นเลย แต่ได้มีโอกาสไปเข้าประชุมในฐานะผู้ถือหุ้น ผมคงต้องสังเกตการเตรียมความพร้อมในการจัดงาน ความกระตือรือร้น ในการทำงาน การประสานงานเพื่อให้เกิด งานประชุมผู้ถือหุ้น เพราะ ฝ่ายจัดงานประชุมนี้ก็คือพนักงานบริษัทเหมือนกัน แต่เป็นส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับประชาสัมพันธ์ ซึ่งส่วนตัวผมถือว่าพนักงานทุกส่วนมีหน้าที่ต้องทำให้ดีที่สุดในงานด้านของตนเอง หากงานประชุมผู้ถือหุ้นเช่นนี้ส่วนประชาสัมพันธ์ยังทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถประสานงานในส่วนต่างๆ ให้งานราบรื่น ก็สามารถบอกได้ว่าหน่วยงานหนึ่งที่สำคัญของบริษัท ซึ่งมีผู้บริหารดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นหน้าตาของบริษัท ขาดการอบรมดูแล ขาดความเข้าใจงาน ส่วนหากจะถามผู้บริหาร ผมคนถามคงต้องทำการบ้านไปบ้าง เช่น ผมถามผู้บริหารว่า ยอดขายโตเพิ่มขึ้นไหมครับ หากได้รับคำตอบว่ายอดขายโตขึ้น เท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ หากการบ้านของผมก็บอกว่ายอดขายโตขึ้น(แสดงว่าผู้บริหารไม่โกหกมีธรรมาภิบาลอยู่ในใจบ้าง) และการบ้านบอกว่าบริษัทนี้ลงทุนประมาณเดิมเหมือนปีก่อนๆ ผมคงอนุมานว่าบริษัทนี้สามารถเพิ่มศักยภาพของพนักงานในบริษัทตนเอง ในงานส่วนต่างๆให้ทำงานได้ดีขึ้นและเต็มความสามารถมากขึ้นครับ
โดย
วันพีส
พุธ เม.ย. 14, 2004 1:34 am
0
0
ปีใหม่ไทย ผมขออวยพรให้ลุงขวด พี่ครรชิต พี่ปรัชญา และท่านดร.
มาร่วมอวยพรด้วยดีกว่าครับ ก่อนอื่น ต้องฝากเนื้อฝากตัวครับ กับพี่ๆและทุกท่าน ที่ให้ผมเข้ามาอยู่ในโลกไร้พรมแดนนี้อีกหนึ่งคน ขอขอบคุณครับสำหรับความเห็นดีๆ ที่พี่ๆและทุกท่าน ทำให้เทียนน้อยๆ อีกเล่มหนึ่ง สว่างมากขึ้น พี่ๆและท่านอื่นๆ อวยพรไปหลายคำแล้วครับ อย่างนั้น ผมขออวยพรด้วยคำว่า "ขอให้พี่ๆและทุกท่าน อย่าเจ็บ อย่าจน" แล้วกันครับ
โดย
วันพีส
จันทร์ เม.ย. 12, 2004 3:26 am
0
0
Unfinished Tale
สวัสดีครับ ผมเห็นเรื่องราวคุณ Wvix แล้วขอ นำเรื่องต่อไปนี้มาลงคิดว่ามีประโยชน์ ครับ หวังแก่ใจว่าเนื้อหาจะทำให้คิดได้แม้ว่าต่อไปจะอยู่ที่ใดบนผืนโลกนี้ก็ตาม ชีวิตเฉกเช่นอนรรฆมณี สิ่งที่มีค่าสูงสุดในชีวิตมนุษย์ก็คือ "ตัวชีวิตเอง" คำกล่าวนี้เป็นความจริงที่ใครไม่อาจปฏิเสธ แต่ทั้งๆที่รู้ มนุษย์ก็ปฏิบัติต่อชีวิตเหมือนกับไม่รู้จักรักชีวิต หากจะเปรียบก็คงเป็นเช่นเสนามาตย์ข้าราชบริพารของพระมหาชนก (พระราชนิพนธ์แปลของในหลวง) ที่ชอบรับประทานมะม่วง แต่ขณะเดียวกันก็กลับโค่นต้นมะม่วงทิ้ง มนุษย์รักชีวิตแต่ปฏิบัติต่อชีวิตไม่ถูกต้อง ชีวิตอันเป็นสิ่งสูงค่ายิ่งกว่าสมบัติใดบรรดามีทั้งหมดของตนก็เลยพลอยมีอันแตกหัก บิ่น ร้าว แหลกสลายลงไปก่อนวัยอันควร น่าเสียดายชีวิตที่ถูกเหวี่ยงไปอย่างไร้จุดหมายวันแล้ววันเล่า ล่ิองลอยไปในกระแสแห่งกิน กาม เกียรติเหมือนขอนไม้แห้งหรือกอสวะที่ไร้อนาคต แทนที่เราจะเป็นฝ่ายกำหนดชีวิต กลับปล่อยให้ชีวิตถูกกิเลส สังคม การงาน วัฒนธรรม ความหลงผิด มาเป็นฝ่ายกำหนด แทนที่จะเป็นนายเหนือชีวิต กลับกลายเป็นทาสของชีวิต แทนที่จะเป็นฝ่ายเลือกใช้ชีวิต กลับถูกชีวิตผลักไสไปตามยถากรรม ทำไมไม่อนุญาตให้ตัวเองได้อยู่เงียบๆ คนเดียวสักระยะหนึ่ง แล้วลองไตรตรองมองตนดูว่า หลายขวบปีที่ผ่านมา เราได้ใช้ชีวิตไปให้คุ้มค่ามากน้อยเพียงไร มีสิ่งใดที่ควรแก่ความภาคภูมิใจ และมีสิ่งใดที่ควรแก่ความสลดสังเวชกับการกระทำของตนเอง พินิจตนด้วยตน สอนตนด้วยตนดีกว่าให้ใครต่อใครมาเสี้ยมสอน ซึ่งแน่นอนว่าเรารับฟัง แต่คงไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆเหมือนกับการสอนตนด้วยตนเอง มนุษย์เกิดมาในโลกอย่่างมีความหมาย ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า หรือเกิดมาเพื่อจะถูกลืม ยกเว้นแต่คนที่พยายามจะทำให้คนอื่นลืมตนเอง ไม้ทุกต้น หญ้าทุกชนิด ก็เช่นเดียวกับน็อตทุกตัวที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเหมาะสมกับภาระกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเสมอ มนุษย์ก็เช่นกัน ต่างก็มาสู่โลกนี้เพื่อบำเพ็ญกรณีย์บางอย่าง บางประการซึ่งล้วนทรงความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มนุษย์ทุกคนล้วนมีศักยภาพแฝงเร้นที่จะบรรลุภารกิจของตนเองได้อย่างงดงามทั้งสิ้น แต่มนุษย์เองตระหนักรู้ถึงศักยภาพพิเศษของตนตรงนี้หรือไม่ น้ำเน่าอาจกลายเป็นน้ำฝนหล่อเลี้ยงผืนโลก กรวดทรายต่ำต้อยอาจถูกหล่อหลอมเป็นศิลป์สถาปัตย์ทรงคุณค่าระดับสากล ข้าวเปลือกในนาอาจกลายเป็นสุธารสของพระมหาจักพรรดิ ลูกกุลีอาจกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ฯลฯ ขอเพียงมนุษย์ไม่ดูถูกตัวเอง ตระหนักรู้ถึงศักยภาพพิเศษที่ซุกซ่อนอยู่ในตน แล้วเพียรเจียรไนชีวิตให้แวววาวพราวพรายด้วยการศึกษาเรียนรู้ ซึมซับเก็บรับบทเรียนจากการงานและการใช้ชีวิตอย่างสุขุม ก็ย่อมจะมีชีวิตที่คุ้มค่า สงบ ร่มเย็น และเป็นสุขได้โดยไม่ยาก จากหนังสือ ปรัชญาหน้ากุฎิ โดย ว.วิชรเมธี ต้องขอโทษนะครับที่พ้องชื่อพ้องเสียงแต่ ผมอยากให้ถือเสมือนอีกหนึ่งว่ามีพี่ ปรัชญา ที่คุณ Wvix นับถือมาสอนบทเรียนบทนี้ก็ได้ครับ เผื่อคุณ Wvix จะสบายใจขึ้น
โดย
วันพีส
จันทร์ เม.ย. 12, 2004 3:08 am
0
0
Quality System จุดเริ่มต้นของ Durable Competitive Advantage
JIT (Just-In-Time Production) เป็นวิธีการที่ใช้จัดการกับสินค้าคงคลัง โดยให้มีการละระดับสินค้าคงคลังลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มีสินค้าคงคลังเพียงพอต่อการผลิตและทันเวลาที่ใช้ผลิต การลดระดับสินค้าคงคลัง ช่วยให้เห็นปัญหาต่างๆ ในการผลิตที่เคยถูกระดับสินค้าคงคลังบดบังไว้ได้อย่างชัดเจน ลองประยุกต์ใช้ JIT กับกรณี พนักงานทำความสะอาดห้องน้ำที่ปั๊มน้ำมัน ครับ(คิดว่าใช้ได้ครับ) หากพนักงานทำความสะอาดทำไม่สะอาดซักที ทั้งๆที่ก็ทำเต็มที่ถูกต้องและเต็มความสามารถ แต่ปั๊มน้ำมันมีพนักงานทำความสะอาดมากมาย ปั๊มน้ำมันอาจหาคนใหม่เข้าไปทดแทนพนักงานคนเดิม โดยลืมมองไปที่ปัญหาว่าทำไม่ห้องน้ำถึงไม่เคยสะอาดสักที หากมีพนักงานน้อยคน(ไม่มีใครสำรอง) ปัญหาน้ำดีไม่เคยไหลเลย ท่อระบายอุดตัน สถานที่สร้างทึบอากาศไม่ถ่ายเท น่าจะถูกแก้ไข ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันก็มีการรณรงค์ ให้ปั๊มน้ำมัน มีบริการที่ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเนื้อหาใช้ได้ไหมนะครับ แต่อย่างน้อย ผมนะได้ทบทวนไปเยอะเลยครับ
โดย
วันพีส
จันทร์ เม.ย. 12, 2004 1:33 am
0
0
69 โพสต์
of 2
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
วันพีส
กลุ่ม:
สมาชิก
ที่อยู่:
กรุงเทพฯ
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 4:47 am
ใช้งานล่าสุด:
-
โพสต์ทั้งหมด:
77 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.00% จากโพสทั้งหมด / 0.01 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ผมรู้น้อย แต่จะค่อยๆ ทำความเข้าใจครับ
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว