ค่าใช้จ่ายในบ้าน ควรจะแบ่งกันออกอย่างไรดีครับ ? <--จากพัน เรื่องรายจ่ายถ้าเอามารวมกันแล้วหารเหมือนอเมริกันแชร์ก็คงน่าเกลียด คนที่รู้จักเค้าจะใช้วิธีแบ่งกันรับผิดชอบน่ะครับ เช่น ฝ่ายชายรับผิดชอบผ่อนบ้านเป็นหลัก (เป็นชื่อทั้งคู่) ฝ่ายหญิงรับผิดชอบเงินเดือนและค่าใช้จ่ายของลูก เป็นต้น เรื่องอื่นคงพอประยุกต์ได้ เช่น ถ้ามีรายจ่ายอื่นอีกก็จัดแบ่งกัน ถ้าจะลงทุนเพื่อทั้ง 2 คนก็ตกลงกัน เช่น ทุกเดือนแต่ละคนเอามาเท่านั้นเท่านี้บาทไปลงทุนในสิ่งที่ตกลงกันไว้ เป็นต้น ร่วมหอกันแล้ว ถ้าเลือกมาดี เข้ากันได้ดีจริง ก็น่าจะตกลงกันง่ายนะครับ โดย Magneto อาทิตย์ ก.ค. 11, 2010 11:58 pm

มือใหม่ขอคำแนะนำวิธี"ออมไว้ในหุ้น" ไม่ง่ายอย่างที่ อย่าเอาแต่ซื้อตามมาร์เกตติ้งนะ ระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ยิ่งเราซื้อๆ ขายๆ เค้าก็จะยิ่งมีความสุข (ก็แน่ะล่ะ) ศึกษาดีๆ หาวิธีประเมินมูลค่าให้ได้ก่อน หลังจากนั้นเราจะบอกตัวเองได้ว่าถูก น่าซื้อ หรือแพง ไม่น่าซื้อ อะไรไม่เข้าใจก็ห่างๆ ไว้น่าจะดีนะครับ ผมเคยลองเอาเงินบางส่วนซื้อตามมาร์เกตติ้งที่โทรมาเชียร์แล้ว (ปกติไม่เคยโทรหามาร์เกตติ้งเพื่อคุยเรื่องหุ้นเลย) ตอนเค้าโทรมาบอกผมว่า ซื้อเถอะค่ะ หุ้นดาวๆ เนี่ย เดี๋ยวเค้าจะมีโร๊ดโชว์ที่ต่างประเทศ แล้วฝรั่งจะมาซื้อกันมาก ราคาอาจจะขึ้นไปถึง... เลยนะคะ โทรมาไม่บ่อย แต่โทรมาทีไรก็บอกให้ไปซื้อตัวนี้ทุกที (ไม่เข้าใจว่าอะไรกับตัวนี้นักหนา) หลังๆ คุยกับน้องอีกคนว่าสงสัยแกไปรับออร์เดอร์ใครมาว่าจะปล่อยของ เลยหาดูว่าใครพอมีเงินสดในพอร์ต หรือใครมีกำไรในพอร์ตพอจะขายมาซื้อของแกได้ แล้วโทรมาแน่ๆ เลย ส่วนตัวไม่อยากให้มีอาชีพนี้เลย หรือถ้ามีก็ให้ลูกค้าเลือกได้ ใครไม่ต้องการพวกนี้ดูแล ก็ให้ระบบจัดการไป ห้ามมาร์เกตติ้งมาดูพอร์ต แต่บ้านเรามันลำบาก จะเปลี่ยนแปลงอะไรทีก็มีคนออกมาคัดค้านเพราะเสียประโยชน์...พอดีกว่าพูดไปแล้วจะไปกันใหญ่ สรุปว่าเชื่อตัวเองดีกว่า คิดดูว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน อยู่ดีๆ เค้าจะโทรมาเพื่อเอาเงินมาให้เรารึเปล่า ถ้ามันดี ทำไมไม่ซื้อซะเอง หรือให้ที่บ้านเค้าซื้อ จริงไหมครับ สู้ๆ นะ :wink: โดย Magneto พุธ ก.ค. 07, 2010 1:40 pm

ทำอย่างนี้ก็ได้นะ ไม่ยากครับ เอาง่ายๆ อ่านงบปีเก่าก่อน ทำความเข้าใจมัน แล้วบุกไปสัมภาษณ์ผู้บริหารสูงสุดเลย ถามว่าเค้าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรในงบการเงินสิ้นปีถัดไปบ้าง บอกเค้าว่าเอาแบบ Realistic หน่อยนะ อย่าเพ้อฝัน ถ้าเค้า Blank มาก ตาแป๋ว ก็แนะนำว่าให้เปลี่ยนบริษัท เพราะวิสัยทัศน์ของผู้บริหารระดับสูงสำคัญมาก สมมุติเค้าบอกมาว่า อยากให้ได้กำไรสุทธิต่อยอดขายสัก 15% จากเดิม 10% ก็จดไว้ เค้าอาจพูดถึงตัวเลขในงบดุลด้วยก็ได้ ไม่เฉพาะว่าต้องเป็นตัวเลขในงบกำไรขาดทุนเท่านั้น เช่น เค้าอาจบอกว่าอยากให้ Stock มันลดลง จากเดิม 3 เดือน (month of sales) เหลือสัก 1.5 เดือน เป็นต้น ก็จดมา แล้วไปไล่ถามผู้บริหารระดับรองลงมา ไปทิ้งโจทย์ไว้ก้ได้ ให้เค้าคิดอย่างน้อยสัก 2-3 วันหรือมากกว่านั้น ว่าผู้บริหารระดับสูงต้องการอย่างนี้ You จะว่ายังไง ทำได้ไหม ทำยังไง เสนอมาซิ พอหมดเวลาที่กำหนดก็รวบรวมไอเดียมา สรุปเป็น Action Plan ออกมา เตรียมไว้นำเสนอต่อไป สิ่งที่ควรระวังคือ สิ่งที่แต่ละหน่วยงานเสนออาจจะขัดแย้งกันเองได้ บางอย่างทำแล้วดีสำหรับแผนก แต่ไม่ดีต่อบริษัทโดยรวม ต้องระวัง สมมุติ ฝ่ายผลิตบอกว่าจะลดการผลิตจากระดับ 90% ของ Capacity ให้เหลือ 80% เพื่อให้สต๊อกลดลง ก็ต้องไปดูว่าจะลดตัวไหน ลดแล้วกระทบยอดขายหรือเปล่า แบบนี้ทำแล้วได้แต่ตัวเลขสต๊อกที่ลดลง แต่กระทบโอกาสในการขาย ทำให้ยอดขายลดลง เป้าหมายที่จะเพิ่มกำไรก็อาจจะพลาดไป เพราะต้นทุนหลายตัวมันคงที่อยู่ เช่น เงินเดือน ค่าเสื่อมราคา ฯลฯ การที่รายได้ส่วนที่มี Margin ลดลง อาจจะทำให้ไม่พอไปชดเชยรายจ่ายเหล่านั้น หรือทำให้กำไรสุทธิลดลงกว่าที่ต้องการ ถกกันเสร็จสะเด็ดน้ำ แล้วนำมาปรับตัวเลขจากงบปีเก่า ประมวลผลออกมา ซึ่งแน่นอนว่าคนทำต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของแต่ละรายการในงบต่างๆ พอสมควร ก็จะเห็นตัวเลขออกมา สิ่งที่ได้ก็จะประกอบด้วย 1. เป้าหมายที่ผู้บริหารต้องการ 2. แผนปฏิบัติการ (Action Plan) เพื่อให้ไปถึงแผนนั้น 3. ประมาณการงบการเงิน ที่แสดงให้เห็นว่าจากแผนในข้อ 2 จะไปถึงเป้าข้อ 1 ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ ไปได้แค่ไหน ถ้าเค้าจะปรับก็ปรับข้อ 1 หรือข้ 2 ก็ Run ข้อ 3 ออกมาดูได้ใหม่ 4. ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่ค่อยได้ถามตัวเองก็จะไม่ลืมวิสัยทัศน์ 5. ประสบการณ์ของเรา รวมทั้งความก้าวหน้าในอาชีพการงานของเราเอง ถ้าจบใหม่อย่ากลัวที่จะถาม ควาใสๆ ซื่อๆ ของเราจะเป็นเกราะคุ้มครองเราอย่างดี ขอให้โชคดี เอาใจช่วยครับ  :o โดย Magneto อังคาร มิ.ย. 29, 2010 8:22 pm

หาข้อมูลตลาด mai ได้จากไหนครับ ใน www.set.or.th ก็มีนะครับ อย่างในหัวข้อ ข้อมูลบริษัท/หลักทรัพย์ > ตราสารทุน > ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์ ก็มีรายชื่อทั้งหมด หลังรายชื่อจะบอกว่าอยู่ใน SET หรือ mai นะครับ พอจิ้มเข้าไปในแต่ละตัวก็จะหาข้อมูลทั่วไป รวมทั้งงบการเงินได้ จะอยู่ในตลาดไหนก็ตามก็ดูดีๆ เน้อ นะครับ พวกไม่ลงตอนเพื่อนลง แต่พอตัวเองลงก็ลงฉิวนำหน้าไปเลยก็มีไม่น้อยนะครับ ดูดีๆ สู้ๆ  :wink: โดย Magneto พุธ มิ.ย. 09, 2010 4:06 pm

สัญญาณVI ช่วยอธิบายหน่อยครับ เข้าใจว่าเป็นกิจการที่ไม่ต้องนำเงินก้อนใหญ่ไปจมลงในสินทรัพย์ใหม่ๆ อยู่เสมอน่ะครับ สินทรัพย์ใหม่ๆ ที่ว่าก็ได้แก่ ค่าวิจัยและพัฒนา ค่าซื้อเครื่องจักรใหม่ๆ ตามรุ่นสินค้าที่เปลี่ยนไป เป็นต้น ส่วนที่ว่าแล้วจะขยายได้ยังไง ก็อาจเป็นได้ว่าขยายแค่ด้วยการเช่าที่เปิดร้านใหม่ๆ ที่ไม่ได้ต้องลงทุนตกแต่งอะไรมากนัก หรือขยายด้วยการขายสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ลูกค้าใหม่ๆ ที่เข้ามาซื้อ หรือลูกค้าเดิมๆ ที่ซื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งสินค้าก็ผลิตมาจากการใช้แรงงานที่เพิ่มขึ้น หรือวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เหมือนว่ามีต้นทุนผันแปรมาก แต่มีต้นทุนคงที่น้อยน่ะครับ ทำให้ผลิตมากก็จ่ายมาก ผลิตน้อยก็จ่ายน้อย ไม่ใช่ว่าผลิตมากผลิตน้อยก็จ่ายมากอยู่ดี ถ้าดูในงบกระแสเงินสดย้อนหลังไป ก็คิดว่าคงไม่ค่อยมีเงินสดออกในประเภทกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุนมากนัก แต่การขยายที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นต้นทุนที่หักจากรายได้ก่อนได้เป็นกำไรสุทธิ ที่อยู่ในประเภทกระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงานอย่างที่ว่า พูดง่ายๆ คือการขยายงานนั้นอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายตามปกติเพื่อให้ได้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ไปลงทุนเท่าใดนัก พอใช้เงินลงทุน (เงินจม) น้อย ก็แทบไม่ต้องหาเงินกู้ก้อนใหญ่ หรือต้องระดมทุนก้อนใหม่นั่นเอง โดย Magneto พุธ มิ.ย. 09, 2010 3:34 pm

ปรึกษาครับว่าจะซื้อบ้านดีมั้ย และบ้านเป็นหนี้สินหรือเป็นทรัพ คุณ sukum เป็นข้าราชการเดี๋ยวนี้ยังมีบำนาญอยู่หรือเปล่าครับ หรือว่ารอรับบำเหน็จก้อนโตทีเดียว ตั้งใจรับน้อยกว่าในตอนนี้เพื่อไปรับส่วนที่เหลือตอนเกษียณใช่ไหมครับเนี่ย ถ้าเป็นบำนาญ อยู่ยาวๆ ก็ไม่เลวนะครับ เห็นบางคนทำงานตอน 23 ปี ทำถึง 60 ปี รวม 38 ปี แต่ได้บำนาญตั้งแต่ปีที่ 61 ถึง 100 ก็อีกครึ่งชีวิต รวมค่ารักษาพยาบาลทั้งหลายด้วย และถ้าทำงานดีมีผลงาน ได้เติบโตไป บำนาญก็ได้หลายตังก์อยู่ โดย Magneto จันทร์ มิ.ย. 07, 2010 11:53 am

ปรึกษาครับว่าจะซื้อบ้านดีมั้ย และบ้านเป็นหนี้สินหรือเป็นทรัพ ผมเห็นหมู่บ้านใหม่ๆ เดี๋ยวนี้จัดสวนกันสวยๆ มีพนักงานกันหลายคน ค่าส่วนกลางก็มากตามมา จะซื้อบ้านก็ต้องดูเรื่องนี้ด้วยนะครับ อย่าคิดว่าไม่กี่บาท บางทีรวมๆ กันก็หลายตังก์อยู่เหมือนกัน ซื้อบ้านถ้าผ่อนนาน ดอกก็จะมากตามมา อย่าดูแค่ว่าผ่อนเดือนละแค่นี้เอง ไม่กี่พันเอง แต่การผ่อนนานนี้ถ้ามาคำนวณดูก็กลายเป็นว่า ผ่อนดอกอยู่นั่นแหละ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ผมซื้อบ้านมือ 2 มาหลังหนึ่ง ชอบเพราะอยู่ในทำเลที่ต้องการ ทิศทาง องค์ประกอบเป็นไปอย่างที่ต้องการ ซื้อมาแล้วคนนั้นว่าให้เปลี่ยนพื้น คนนี้ว่าให้ทำห้องน้ำใหม่... คนนั้นว่าทำไฟใหม่เหอะ คนนี้ว่าฝ้าเพดานทำใหม่ก็ดี คนนั้นอยากได้ประตูไม้สัก คนนี้ว่าไม้สักก็ต้องสักแก่... สารพัดความอยาก จริงๆ แล้วตอนแรกผมไม่กะทำอะไรเลย ถ้าจะอยู่ก็อยู่ไปตามสภาพนั่นแหละ ไปๆ มาๆ เสียตังก์จนได้ ไอ้เราก็ยอม บอกตัวเองว่าแลกความสุขๆ เพราะบางทีเราก็ไม่ได้ทำเพื่อให้ตัวเองพอใจคนเดียว ใช่ไหม ทำไปทำมาก็หลายแสนแล้ว ยังทำไม่หมดเลยเนี่ย ถ้าใครนึกไม่ออกว่าค่าบำรุงรักษานี่มันมากมายแค่ไหน เหมือนเวลาใครว่า Stock เยอะมี Carrying Costs แล้วนึกไม่ออก ก็นึกถึงบ้านที่เสื่อมสภาพแล้วต้องใช้เงินซ่อมนี่ก็ได้ครับ ไม่วันใดก็วันหนึ่งเราต้องใช้ช่าง ช่างมีหลายแขนง แต่แขนงนึงไม่ต้องสอนแต่เป็นกันเกือบทุกคน คือ ช่างเบิก เบิกโน่นเบิกนี่ เงินไม่พอขอเบิกก่อน ถึงซื้อบ้านใหม่วันหนึ่งก็ต้องมีอะไรเสีย อะไรให้ซ่อม เตรียมใจไว้เลย ช่างที่เคยดีๆ พอว่ากันว่าดี คนก็มาแย่งกันจ้าง สุดท้ายทำอะไรก็ไม่เสร็จ แยกแยะเงินแต่ละงานไม่ค่อยออก บ้านโน้นเบิกยากจะมาขอเบิกบ้านเราก่อน ดีแตก ซื้อบ้านมาแล้ว วันหนึ่งจะไม่อยู่ บอกตัวเองว่าไม่รีบขาย รอได้ รอเจอลูกค้าที่ใช่ ในราคาที่ชอบ รอได้ ระวังจะมีใครมาอยู่ในบ้าน เช่น ปลวกมา กินปาร์เก้ กินขอบประตู ขอบหน้าต่าง วัสดุที่ทนพวกนี้ก็ช่วยได้มากนะครับ หลังคารั่ว ให้ระวัง ซื้อหน้าแล้ง พอหน้าฝน หลังคารั่ว ไม่แตก หารูไม่เจอ แต่รั่ว ก็พายุมันเริ่มแรงขึ้น พัดทะแยงมากขึ้น น้ำไหลไม่ทัน รั่วเข้ามาให้ได้ซ่อมฝ้า ถ้าไม่อยู่มันทำพื้นพังก็มี ต้องระวัง ท่อแตก ก็ท่อที่ฝังพื้น ผนัง พอมันร้าวก็มีแตก เสียตังก์ค่าน้ำ ทำความเสียหายอื่นๆ อีก พอดีกว่า ยกมาให้ดูว่าค่า Maintenance มันไม่ใช่น้อย ค่าติดตั้งอะไรใหม่ เช่น แทงก์น้ำสมัยนี้ กับปั๊มน้ำ ราคาก็ไม่ใช่น้อย ต้องหาช่างจุ๊กจิ๊กอีก ค่าพวกนี้ต้องเผื่อเยอะๆๆๆ เลย ซื้อบ้านใหม่ ใครงการใหม่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องเสีย ต้องดูว่ามีอะไรให้แล้วบ้าง ประกันอะไรบ้างนานแค่ไหน บ้านตัวอย่างมักดูดีเสมอ แต่ชีวิตจริงอาจไม่ใช่ แต่ชีวิต คุณภาพของชีวิตก็สำคัญ อยู่ที่ว่าเราชอบแบบไหน พอใจแบบไหน ซื้อบ้านไม่ใช่ไม่ดี แต่ต้องวางแผนเยอะๆ เลยครับ เรื่องเงินที่จะผ่อน อย่าวางให้ฟิตมาก มันจะมีค่าใช้จ่ายทีไม่ได้คาดไว้เข้ามาเสมอ ถึงตอนนั้นจะหมุนกันหัวขวิด บางคนกู้โน่นยืมนี่ อิออนยิ้ม สุดท้ายผ่อนไม่ไหว โดนยึดก็มีเยอะ ซื้อบ้านดูทำเลดีๆ เผื่อค่าเดินทางด้วยนะครับ ตอนแรกเช่าอยู่ใกล้ พอซื้อบ้านอาจไม่ใช่ บางคนไปซื้อรถเพิ่ม ค่าใช้จ่ายของรถนี่มันมากจริงๆ เช็คระยะที บางระยะมันช่างมีค่าบำรุงรักษาสุดยอดจริงๆ ค่าประกันอีกปีก็หลายตังก์ เดี๋ยวค่าพรบ. ภาษีรถก็มาอีก ไม่นานต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ไม่นานก็ยาง (อันนี้ประหยัดแล้วตายไม่รู้ด้วย) ยังไม่รวมค่าซ่อม ค่าน้ำมัน เผื่อค่าเดินทางด้วยนะครับ คิดให้ดี เลือกให้ดี เผื่อเงินดีๆ จะช่วยให้ตัดสินใจแล้วไม่เสียใจนะครับ เอาใจช่วยครับ ชั่งใจๆ ไม่มีใครรู้ดีเท่าเรา ถามได้ รวบรวมข้อมูลได้ สุดท้ายคนตัดสินใจได้ดีที่สุดคือตัวเราจริงๆ ครับ สู้ๆ :wink: โดย Magneto ศุกร์ มิ.ย. 04, 2010 8:14 pm

ปรึกษาครับว่าจะซื้อบ้านดีมั้ย และบ้านเป็นหนี้สินหรือเป็นทรัพ การที่มีคนอยู่น้อย จะเกี่ยวพันถึงค่าส่วนกลางยังไงครับผม ก็ถ้าไม่ค่อยมีคน ก็เก็บค่าส่วนกลางไม่ค่อยได้ หรือได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย การดูแลรักษา พัฒนา ก็จะไม่ค่อยดีไงครับ เช่น ลดจ้าง รปภ. 2 คน เหลือคนเดียว ไฟดับ ไม่มีตังก์ซ่อม ลิฟต์เสีย ต้องเรี่ยไรเงินเพิ่ม เป็นต้น  :o โดย Magneto ศุกร์ มิ.ย. 04, 2010 7:30 pm

ปรึกษาครับว่าจะซื้อบ้านดีมั้ย และบ้านเป็นหนี้สินหรือเป็นทรัพ บ้านน่ะเป็นสินทรัพย์อยู่แล้วครับ จับต้องได้ เปลี่ยนมือ ซื้อขายได้ และเสื่อมค่าได้ แต่ที่มาของเงินที่จะมาซื้อสินทรัพย์นี้น่ะสิ อาจจะเป็นหนี้สิน เช่น ถ้าไปกู้เงินมาซื้อ ผมว่าถ้าเจอบ้านที่ถูกใจจริงๆ ก็น่าซื้อ เพราะบ้านไม่เหมือนหุ้น ไม่เหมือนทอง ที่จะเหมือนกันทุกชิ้น บ้านหมู่บ้านเดียวกัน แต่คนละหลัง หันคนละทิศ หรือเพื่อนบ้านต่างกัน ก็ไม่เหมือนกันแล้ว บ้านไม่ใช่ว่าจะซื้อได้เมื่ออยากซื้อ และแน่นอนก็อาจจะไม่ใช่ว่าอยากขายก็ขายได้ทันทีในราคาที่วางไว้ โอกาสที่จะซื้อบ้านทำเลนั้นๆ ในราคานั้นๆ อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต ไม่งั้นอาจต้องไปซื้อที่อื่น หรือซื้อราคาสูงกว่านั้น ผมจึงคิดว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า บ้านหลังที่จะซื้อดีจริงแค่ไหน เช่น ถ้าคิดจะขาย มันดีในสายตาเราคนเดียวหรือเปล่า หรือว่าคนทั่วไปก็คิดว่าดีเหมือนกัน ทำให้ขายได้ง่ายเมื่อจะย้าย แล้วเมื่อจะขาย จะขายได้กี่บาทล่ะ ประเมินตลาดให้ดีจะได้รู้ว่าถ้าซื้อราคานี้ จะขายได้สูงหรือต่ำกว่าเท่าไหร่ ที่สำคัญ ถ้าไม่ได้ซื้อเพราะชอบในบ้านนั้นมาก แต่ซื้อเพระแค่จะอยู่สักพัก คิดว่าดีกว่าเช่า อย่างนี้ต้องระวัง เพราะอาจต้องรับภาระผ่อน พอถึงวันหนึ่งก็ต้องผ่อนเพราะติดภาระ แต่ไม่ต้องการบ้านแล้ว ก็รีบร้อนจะขายอีก ก็ไม่ได้ราคาดี ถ้าคิดว่าจะซื้อเพราะแค่เห็นว่าคุ้มกว่าเช่า ผมว่าไปหาเช่าถูกกว่านั้นดีไหม ว่างๆ จะมาแชร์เรื่องซื้อบ้านให้ฟัง ตอนนี้ยุ่งมาก ขอตัวก่อนนะครับ  :wink: โดย Magneto ศุกร์ มิ.ย. 04, 2010 1:10 pm

เมื่อผมไม่มีที่ทำงาน ฟังแล้วเศร้าใจจริงๆ    สู้ต่อไปนะครับ ..ในชีวิต คงไม่ใช่  ได้ทุกสิ่ง เพราะความจริง มีทุกข์ สุขสมหวัง บ้างความเศร้า ปัญหา มาประดัง แต่ความหวัง ต้องมีไว้ ให้ก้าวเดิน... :o โดย Magneto ศุกร์ พ.ค. 21, 2010 8:42 pm

ไม่มีหัวข้อ โดย Magneto ศุกร์ พ.ค. 21, 2010 5:06 pm

งบขาดทุน ต้องเสียภาษีหรือป่าวครับ? นอกจากประเด็นที่พี่เชิดบอกมาแล้วว มันยังมีที่มาได้อีกอย่าง คือ... งบการเงิน กับภาษี บางทีก็เป็นคนละเรื่องกัน เช่น งบกำไรขาดทุนแสดงผลขาดทุน แต่ในจำนวนนั้นได้รวมเอาค่าใช้จ่าย หรือผลขาดทุนบางอย่างที่ไม่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อคำนวณภาษีได้ ดังนั้น ในการคำนวณภาษีก็ต้องบวกกลับรายการเหล่านี้เข้าไป จนบางครั้งกลับเป็นมีกำไร ทำให้กิจการต้องเสียภาษี ทั้งๆ ที่งบแสดงผลขาดทุนเอาไว้ เป็นต้น สรุปว่า บรรทัดภาษีน่ะ อาจต้องคำนวณมาต่างหาก เอามาใส่ ไม่ใช่คำนวณลงมาตรงๆ ตามในงบกำไรขาดทุนที่เห็นก็ได้น่ะครับ  :x โดย Magneto พฤหัสฯ. พ.ค. 13, 2010 7:15 pm

อยากรู้เรื่องวิกฤติการเงิน "กรีซ" ครับ เป็นมาอย่าง เคยไปกรีกครั้งนึง มีโอกาสไปหลายเมือง ได้เห็นวิวทิวทัศน์ระหว่างนั่งรถทัวร์ ดูบ้านเมืองเค้าเต็มไปด้วยเนินเขาที่ไม่เห็นค่อยปลูกอะไรได้ แต่ปลูกมะกอกได้ (นึกภาพเขาหัวโล้นบ้านเราสิ มีต้นไม้หร็อมแหร็มมาก) ยังกะจะอยู่กันได้ด้วยการท่องเที่ยวน่ะ (พูดจากความรู้สึกนะ ไม่มีข้อมูลวิจัย) แต่จะว่าเรื่องท่องเที่ยว หลายๆ คนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องศิลปยุคต้นๆ ที่ไม่ค่อยจะเหลือความงามเท่าไหร่คงไม่ชอบเท่าไปออสเตรีย ฝรั่งเศส ฯลฯ ดูอย่างทัวร์ที่ไปด้วยกันกะผม คุณป้าก็พากันบ่นว่า อะไรเนี่ย พามาดูก้อนหิน (จริงๆ เป็นพวก Stadium ต่างๆ สมัยโน้น) แล้วก็บ่นว่ากินกันได้ยังไงเนี่ย ผักกะน้ำมันมะกอก (ก็เค้ากินกันอย่างนั้นจริงๆ เค้าปลูกมะกอกกัน) ผมได้ไปดูหัวเมดูซ่าด้วย ป้าๆ ก็ผิดหวังกันตามเคย แกไม่คึกคักเท่าไปประเทศอื่น ก็เลยคิดเอาเองว่า โห...ถ้าการท่องเที่ยวกระทบแรง ถ้าคนเลือกไปที่สวยๆ ได้ ถ้าที่อื่นมันไม่เต็ม เค้าจะไปกรีกกันมั๊ยเนี่ย แล้วพอมาได้ยินตัวเลขหนี้ของกรีกอีก ก็คิดไปด้วยประสบการณ์ที่ได้ไปพบเห็น ว่า โหย..จะเอาเงินที่ไหนมาใช้คืนกันนะเนี่ย ปวดหัว  :( โดย Magneto พฤหัสฯ. พ.ค. 13, 2010 1:31 pm

ปัญหาซองเงิน 2 ซอง เปิดซองได้ 1000 อยู่แล้ว ถ้าผมเปลี่ยนแล้วได้ 500 ก็เท่ากับผมขาดทุน 50% (500/1000) ถ้าผมเปลี่ยนแล้วได้ 2,000 ก็เท่ากับผมกำไร 100% (1000/1000) เมื่อดูจากจำนวนเงิน จาก 1000 กลายเป็น 500 นั้นห่างกัน 500 แต่จาก 1000 กลายเป็น 2000 นั้นห่างกัน 1000 จำนวนที่อาจจะได้เพิ่มมันมากกว่าจำนวนที่อาจจะเสียไป (1000 VS 500) เมื่อผมถือซอง 1000 อยู่ในมือแล้ว ถ้าความโลภเข้าครอบงำ (อยากจะได้เพิ่ม) ผมจะเปลี่ยน ถ้าความกลัวเข้าครอบงำ (กลัวว่าจะเสีย) ผมก็จะไม่เปลี่ยน สมองมนุษย์ (อย่างผม) อาจไม่สมบูรณ์นัก ไม่แน่ใจว่าผมจะได้ไตร่ตรองด้วยเหตุผลสักเท่าไหร่ ผมอาจต้องตัดสินใจภายใต้ภาวะความกดดัน เช่น จากความเร่งรีบ เวลาที่มีจำกัด ดีไม่ดี ความกลัวกับความโลภนี่แหละที่เป็นตัวตัดสิน แต่บางครั้งผมอาจตัดสินใจโดยใช้จุดตัดของความพอใจ ถ้าพอใจ 1000 แล้วก็ไม่เปลี่ยน แต่ถ้าไม่พอใจ ก็เปลี่ยน โดยอาจจะยังไม่ได้คำนวณผลได้ผลเสียเท่าใดเลยก็ได้ อาจจะไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเปลี่ยนแล้วอาจจะได้น้อยลง ไม่พอใจหนักขึ้น แต่เราอาจต้องการเพียงออกจากภาวะความไม่พอใจขณะนั้น จึงตัดสินใจเปลี่ยนก็ได้ นี่ผมเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย  :oops: โดย Magneto อังคาร พ.ค. 11, 2010 2:50 pm

บริษัทกำไรดี แต่ไม่เคยจ่ายปันผล ทำไมราคายังขึ้นอยู่ และที่คิดแบบนี้ก็อาจเป็นเพราะผมอยากถือหุ้นยาวๆ ถ้าผมไม่อยากถือยาว ก็เป็นไปได้ที่ผมจะไปร่วมวงซื้อหุ้นที่ไม่เคยปันผล ด้วยความคิดที่ว่า นั่นไง เขาขยายงานอยู่ ผู้บริหารเค้ารักษาความหวังได้ดีออก เห็นไหมมีคนสนใจหุ้นตัวนี้มาก มันจึงซื้อง่ายขายคล่องซะขนาดนั้น เดี๋ยวมูลค่าหุ้นมันก็จะมากขึ้น ราคามันก็ขยับขึ้น เราก็ขายทำกำไร ให้คนอื่นมารับช่วงต่อ คนที่มาซื้อต่อจากเราก็อาจจะคิดแบบนี้เหมือนกัน อย่าลืมว่าคนที่อยู่ในตลาดมีคนที่ต่างจากเราด้วย เช่น อาจจะมีฝรั่งเอาเงินมาพัก ได้กำไรจากทั้งค่าเงิน แถมอาจจะขายหุ้นได้กำไรด้วย ก็บริหารเก่งซะขนาดนั้น เป็นต้น  :? โดย Magneto อังคาร พ.ค. 11, 2010 2:28 pm

บริษัทกำไรดี แต่ไม่เคยจ่ายปันผล ทำไมราคายังขึ้นอยู่ แต่เราก็รับแต่เงินปันผลอย่างเดียวไม่ได้ เงินปันผลมากน้อยมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับผลประกอบการณ์และแนวโน้มอนาคตเสมอไป เราก็ยังต้องคอยติดตามดูผลการดำเนินงานและทิศทางของธุรกิจอยู่ดี สำหรับผมเอง ถ้าแรกๆ ธุรกิจยังไม่ปันผลก็พอจะเข้าใจได้ และถ้าผมเข้าไปซื้อหุ้นในช่วงนี้นั่นก็เป็นเพราะผมหวังในใจว่าเมื่อขยายงานถึงระดับหนึ่งแล้วเค้าจะเริ่มปันผลออกมาบ้าง และจะปันมากขึ้นเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนเพื่อนมาชวนเรา มาเอาเงินเราไปลงทุนเปิดร้าน เพื่อนก็บริหารสนุกไป แล้วเราก็ยืนดูอยู่ห่างๆ เพื่อนก็คอยมาบอกเราเสมอว่า นี่ไงดูสิ ร้านเราใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นะ มีสาขาเปิดใหม่ด้วย แต่ปีแล้วปีเล่า หลายปีผ่านไปก็ไม่เห็นเคยปันผลให้เรา เราจะรู้สึกยังไง ตรงกันข้ามธุรกิจที่ว่า ถ้าทำไปสักพัก เช่น 3 ปี 5 ปี เพื่อนเริ่มเอาปันผลมาให้เราบ้าง แต่ก็ขอกันบางส่วนไว้ขยายงานต่อ ปีหลังจากนั้นมาเมื่อขยายงานได้ก็เริ่มมีปันผลออกมาให้เรามากขึ้น แบบนี้ผมก็จะรู้สึกดี ผมคิดแบบนี้นะ  :x โดย Magneto อังคาร พ.ค. 11, 2010 2:13 pm

บริษัทกำไรดี แต่ไม่เคยจ่ายปันผล ทำไมราคายังขึ้นอยู่ ลางเนื้อชอบลางยา สำหรับผม หุ้นปันผลนั้นมีเสน่ห์ ถ้าปันผลแล้วมี Growth ด้วยก็งามล่ะ บางปีปันน้อยหน่อยเอาไปลงทุนขยายงานก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทั้งปีทั้งชาติไม่เคยปันนี่...อันนี้ผมไม่สนใจ มันเหมือนเงินเราในมือเขา กับเงินเราในมือเรา และมันเป็นเรื่องของความไว้ใจ โชคลาภ ฯลฯ เงินเราไม่มาอยู่กับเรา อยู่แต่กับเขามันก็อดห่วงไม่ได้ ถ้าเค้าปันผลมา ผมก็เอาไปขยายต่อได้เหมือนกัน อาจจะซื้อหุ้นตัวอื่น ทำโน่นทำนี่ นานาจิตตัง  :wink: โดย Magneto อังคาร พ.ค. 11, 2010 1:52 pm

ขอสอบถามเกี่ยวกับค่า Fixed Asset Turnover ครับ ค่านี้มาจาก ยอดขาย หารด้วย Fixed Assets ต้องระวังด้วยว่า Fixed Assets ของแต่ละบริษัทน่ะ อาจจะไม่เหมาะสมที่จะนำมาเข้าสูตรเทียบกัน บางบริษัทเลือกบันทึกบัญชีตามราคาทุนของสินทรัพย์ ซึ่งดูเหมือนจะใช้วิธีนี้กันเยอะ ลองคิดดูว่าถ้ากิจการซื้อสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน มาตั้งนานแล้ว ราคาทุนมันก็จะดูน้อย ตัวหารใน Ratio นี้มันก็จะต่ำ ทำให้ Fixed Assets Turnover ดูสูงในขณะที่บริษัทใหม่ๆ อาจจะเพิ่งซื้อที่ดินขนาดและทำเลคล้ายคลึงกันมา แต่เพิ่งซื้อ ราคาทุนเค้าก็จะสูง ตัวหารมันก็จะสูง ทำให้ Fixed Assets Turnover ดูต่ำ แบบนี้จะเทียบกันมันก็ลำบากหน่อย มันมีทางเลือกให้บริษัทใช้วิธีบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ถาวรตาม Replacement Cost เหมือนกัน ซึ่งถ้าบริษัทที่นำมาเปรียบเทียบทั้งคู่ใช้วิธีนี้ หรือใช้วิธีราคาทุน แต่มูลค่าที่บันทึกมันใกล้เคียงกับวิธีนี้ มันก็จะเหมาะสมที่จะเทียบกันขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่วาย มีเรื่องต้องระวังอีก คือบางบริษัทก็ใช้วิธีเช่าใช้สินทรัพย์เพื่อการดำเนินงาน เช่าโดยไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของ แบบนี้สินทรัพย์ถาวรเค้าก็น้อย Fixed Assets Turnover มันก็ดูต่ำน่ะสิ ในขณะที่อีกบริษัทซื้อสินทรัพย์เป็นของตนเอง Fixed Assets Turnover เค้าก็จะดูสูง ทั้งๆ ที่เค้าไม่ต้องเช่าสินทรัพย์ในราคาแพง (คนให้เช่าเค้าก็หวังกำไรอยู่แล้วใช่ป่ะ ราคามันก็มักจะไม่ถูกกว่าเป็นเจ้าของเองหรอก) สรุปก็คือถ้าจะเทียบก็ต้องดูที่มาที่ไปของตัวเลขด้วย และถ้าให้ดีก็ต้องดูหลายๆ ค่า หลายๆ เรื่องประกอบกันด้วยนะครับ  :wink: โดย Magneto ศุกร์ พ.ค. 07, 2010 8:57 pm

ขอรบกวนถามวิธีการลงทุน ดั้ยซี๊... เลือกดีๆ ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนอีกนะครับ ดูยอดวันที่ 4 ที่ผ่านมาสิ ชาวบ้านขายกันควั่ก พี่กองซื้อไปเยอะมากคนเดียวเลย วันนี้จนถึงเที่ยงครึ่งขาดทุนไปแระ (แต่เค้าก็อาจจะบอกว่ารอขึ้นก่อนสิ เดี๋ยวก็กำไรเอง) มันก็จริงที่ต้องดูกันยาวๆ แต่ก็มีบ่อยที่ชาวบ้านจะบอกว่ากองทุนน่าจะทำได้ดีกว่านั้น และก็มีคนทำได้ดีกว่ากองทุนจริงๆ ด้วย ในแต่ละเดือนน่ะ มันต้องมีน่าซื้อสักวันแหละ (แต่อาจจะไม่ใช่ตัวเดิม) ก็เท่านั้นเองเน้อครับ บ้างบอกว่า ซื้อดีๆ ปีละครั้งอาจผลตอบแทนดีกว่าซื้อบ่อยๆ แต่บ้างก็ค้านว่า เมื่อไหร่ล่ะ ตลาดมันก็บ่แน่ สู้ใช้ความสม่ำเสมอ (บวกกับความฉลาดเฉลียว) ในการลงทุนดีฝ่า นานาจิตตัง แต่ส่วนตัวก็หนับหนุนการลงทุนสม่ำเสมอครับ  :o โดย Magneto พฤหัสฯ. พ.ค. 06, 2010 1:50 pm

ไม่มีหัวข้อ โดย Magneto พฤหัสฯ. พ.ค. 06, 2010 9:54 am

เที่ยวแบบ อาร์ตๆ.....ตอน บาร์เซโลนา ๘๐/๒๐ เคยมีโอกาสไปบาร์เซโลน่ามาด้วย ไปดูวิหารนี้ จ่ายตังก์ร่วมสร้าง แล้วได้ขึ้นไปตามทางเดินแคบๆ แคบจริงๆ นะครับ เคยเห็นในโดเรมอนมีคนกลัวที่แคบด้วย เพิ่งเข้าใจว่าเป็นยังไง คือมันรู้สึกกลัวสูญเสียอิสรภาพ กลัวว่าต้องติดอยู่ตรงนั้นตลอดไป ออกมาแล้วโล่งอก แต่แหม วิหารมันช่างมีเอกลักษณ์ของมันซะจริงๆ แล้วได้ไปดูมาร์ธาร์ดอร์ล่อวัวด้วย พอดีที่ไปกันมีแต่คนไทย ดูเค้าเอาดาบแทงวัวแล้วทนดูกันไม่ค่อยได้ ดูสักพักก็ส่ายหัวเดินออกกันหมด ฝรั่ง สเปน ก็งงกันว่าพวกนี้มันเป็นอะไรกัน ถ้าคนเคยมาเมืองไทย เข้าใจว่าเป็นเมืองพุธ กีฬาแบบนี้เราไม่ค่อยชินมากนักก็คงพอเข้าใจ :wink: โดย Magneto ศุกร์ เม.ย. 09, 2010 1:20 pm

ผู้หญิงคนนี้......สุดยอด ช่างเป็นศิลปะที่มีชีวิตจริงๆ ขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้เราได้ดูสิ่งที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ขอบคุณที่เอาลิงก์มาฝากนะครับ :shock: โดย Magneto เสาร์ เม.ย. 03, 2010 7:53 pm

อยากทราบว่าเพื่อนๆพี่ๆชาว VI เริ่มลงทุนตอนอายุเท่าไหร่ครับ? กระทู้นี้หลอกถามอายุเรา เมินซะเถอะ ไม่ตอบซะให้ยากหรอกว่าลงทุนตอนอายุ 33 น่ะ :x โดย Magneto พฤหัสฯ. เม.ย. 01, 2010 9:31 pm

Rock Songs ในความทรงจำของแต่ละคน สำหรับผมนะ เพลงร๊อคที่คนนี้ร้อง เช่น ในบันทึกการแสดงนี้ ผมว่ามันส์มากเลย :D http://www.youtube.com/watch?v=B14SO6WYvy8 โดย Magneto ศุกร์ มี.ค. 26, 2010 8:30 pm

ถ้ามีหุ้นแค่ 1 หุ้นแล้วเราไปประชุมผู้ถือหุ้นนี่ น่าเกลียดไหม บางทีการที่เรามีหุ้นบริษัทนี้น้อยก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป บางคนถือหุ้นน้อยก่อน เพื่อเข้าประชุม ถ้าดูหน้าผู้บริหารแล้วโอเค ก็อาจจะซื้อเพิ่มมากมาย ถ้าเจอคนรู้จัก แต่ไม่มีมารยาท มาแซวก็บอกเค้าไปว่ากำลังศึกษาหุ้นตัวนี้ว่าจะลงทุนเพิ่มดีไหม อ้อ... ถ้าใครอยากให้คนในห้องประชุมรู้ว่าเรามีหุ้นเท่าไหร่ (โดยประมาณ) ก็ต้องเข้าประชุมสายๆ เช่นพอเค้าโหวดกันไปวาระนึง โปรเจคเตอร์ขึ้นว่ามีผู้ใช้สิทธิ์ 1,000,000 สิทธิ์ พอเราเข้ามาแล้วเค้าโหวดวาระถัดไป ก็จะขึ้น อาจจะมีคนพูดบอกด้วย ว่ามีผู้ถือหุ้นเข้าประชุมเพิ่มเติม ขอใช้สิทธิ์เพิ่มเป็น 1,000, 100 หุ้น เป็นต้น   :D โดย Magneto ศุกร์ มี.ค. 26, 2010 9:21 am

คุยกันประสาคนบ้าเกม อย่า อย่าให้พูดว่าเกมส์ไหนดี ขอพูดเป็นชื่อค่ายดีกว่า ค่าย Blizzard เจ๋งทุกเกมส์ หลับตาซื้อของแท้ได้เลย ซื้อแล้วเล่นได้ชั่วลูกชั่วหลาน หยิบมาเล่นใหม่ได้อีกเป็นระยะๆ เกมส์เค้าละเอียด User Friendly มีเนื้อหาน่าสนใจดีจริงๆ หลังว่างจากการพยุงตลาด เราก็ไปปกป้องโลก :o โดย Magneto อังคาร มี.ค. 23, 2010 8:17 pm

การมอบฉันทะในการประชุมผู้ถือหุ้นทำอย่างไรครับ มีตั้ง 3000 - 4000 หุ้น ไปประชุมไม่น่าเขินนะครับ ผมเคยดูวีดีโอบันทึกการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นบริษัทหนึ่งเร็วๆ นี้ มีผู้ถือหุ้นท่านหนึ่งลุกขึ้นมาแสดงความเห็นเป็นการใหญ่ แนะนำตัวด้วยว่าถือ 100 หุ้น และถือแบบนี้อยู่หลายบริษัท ไปแทบทุกการประชุม ท่านก็ไม่มีท่าทีเขินอายอะไร และผมก็ไม่เห็นว่าคนที่นั่งฟังอยู่หรือกรรมการท่านไหนแสดงท่าทีดูถูกดูแคลนเลยด้วยล่ะ  :wink: โดย Magneto อังคาร มี.ค. 23, 2010 9:03 am

ขอคำแนะนำเรื่องภาษี หน่อยอะครับ เข้าใจว่าไม่น่าจะมีนะครับ เพราะปกติภาษีเค้าเก็บจากรายได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ดังนั้นค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนก็เหมือนกัน และดูเหมือนเค้าจะใช้เกณฑ์เงินสดด้วย ก็คือดูว่ามีการรับจ่ายเงินในปีนั้นๆ จริงๆ น่าเสียดาย แต่ทำไงได้ ลองวางแผนปีนี้ดีๆ แทนดีไหมครับ สู้ๆ  :wink: โดย Magneto เสาร์ มี.ค. 13, 2010 8:04 am

อยากทราบวิธีคิดเงินปันผลครับ ผมเข้าใจว่ากำลังคุยเรื่องเดียวกันแต่ว่าคนละมุมอยู่น่ะครับ อย่างที่คุณ Chatchai ทั่วไปก็เอา เงินปันผล/ราคาตลาดของหุ้น ณ ปัจจุบัน อัตราส่วนนี้ก็จะบอกว่าถ้าซื้อตอนนั้น ราคานั้น ก็คาดว่าจะได้เป็นเงินสดออกมากี่ % ยิ่งถ้าปันผลแล้วราคาตลาดกลับมาเท่ากับก่อนปัน ก็เหมือนได้ปันผลไปฟรีๆ (ถ้าตรงข้าม ลงต่ำไปกว่ามูลค่าที่ปันผลก็เท่ากับว่าได้ปันผล แต่ไปขาดทุนราคาหุ้นซะมากกว่านั้น) โดยทั่วไปใช้ตัวนี้คุยกันก็เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าคนอื่นตั้งมากมายจะซื้อมาตอนทุนเท่าไหร่ ถ้าต่างคนต่างคำนวณก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง อย่างไรก็ตามถ้าวัดผลตอบแทนจากการลงทุนในรอบหนึ่งๆ ก็ต้องคำนึงถึง Capital Gain (or Loss) ด้วย ทั้งสองส่วนรวมกันถึงจะเป็นผลตอบแทนจริงๆ เทียบกับราคาทุนก็ได้ นั่นก็เป็นผลตอบแทนสำหรับช่วงที่ลงทุนไปตั้งแต่แรกไปจนถึงวันที่วัดผล เช่น ถ้าซื้อหุ้นตอน 24 บาท พอวันหนึ่งบริษัทประกาศปันผลแล้ว 0.8 บาท ราคาหุ้นตอนนั้นเป็น 16 บาท Current Dividend Yield ก็เท่ากับ 0.8/16 ก็คือ 5% แต่ว่าในขณะเดียวกันก็มี Capital Gain (Loss) เท่ากับ (24-16)/24 ก็คือ -33.33% ผลตอบแทนรวมก็เท่ากับ 5%+(-33.33%) เท่ากับ -28.33% อันนี้คำนวณคร่าวๆ นะครับ ถ้าให้ละเอียด หรือโดยเฉพาะถ้าถือยาว ก็อาจจะต้องคำนวณเป็นมูลค่าปัจจุบัน-อนาคตกันด้วย หรือสำหรับบางคนอาจคิดถึงเครดิตเงินปันผล (ซึ่งแต่ละคนอาจได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับฐานภาษี) ด้วยอีก ตอบตามความเข้าใจของผมนะครับ ถ้าไม่ถูกก็ให้คนอื่นมาแก้ให้อีกที  :wink: โดย Magneto พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2010 3:56 pm

น้ำมันมะพร้าวกับไขมันในเส้นเลือด ในน้ำมะพร้าวกับเนื้อมะพร้าวสดล่ะครับ มีน้ำมันมะพร้าวเยอะแค่ไหนครับ พอดีอ่านกระทู้แล้วเดือดร้อน เพราะผมชอบดื่มน้ำมะพร้าวแล้วก็เอาช้อนขูดกินเนื้อมะพร้าวมากเลย กินเกือบทุกวัน เที่ยงบ้างเย็นบ้าง เฉลี่ยวันละ 1 ลูก มีบางช่วงหากินยาก ไม่ได้กินเป็นปีๆ แต่คลอเลสเตอรอลผมก็ยังเกิน 200 อยู่ดี มันเกี่ยวกันแค่ไหนครับเนี่ย ระดับที่ผมกินทุกวันนี่จะเป็นอันตรายไหมครับ ถ้าต้องเลิกดื่มน้ำมะพร้าวนี่คงเศร้าเลยผม  :( ใครทราบบอกด้วยเน้อ ขอบคุณครับ โดย Magneto อังคาร มี.ค. 09, 2010 3:53 pm

SEVEN HABITS FOR FINANCIAL STATEMENT ANALYSIS มีประโยชน์ครับ  :o โดย Magneto พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 5:03 pm

ใช้อาหารแมวอะไรกัน หนึ่งใน 3 ตัวนั้นมันท้องอยู่ พี่ข้างบ้านบอกว่ามันคงใกล้คลอดแล้วล่ะ สงสัยต้องประหยัดเพิ่มขึ้นอีกแล้วเรา  :? โดย Magneto พฤหัสฯ. ก.พ. 04, 2010 1:32 pm

ใช้อาหารแมวอะไรกัน ขอบคุณ คุณ khongafter สำหรับข้อมูลนะครับ ตอนนี้ก็ซื้ออาหารสำเร็จรูปให้กินไปก่อน พี่ข้างบ้านเค้าตักให้วันละมื้อ เพราะเค้ามีเวลาแค่นั้น ให้ก่อนออกไปทำงาน มันก็กินกันเกลี้ยง เค้าเลยบอกว่า พอดีเลย ให้วันละมื้อ ที่เหลือมันไปกินอย่างอื่น บางทีก็จะมีบางบ้านให้ข้าวเค้าบ้างเหมือนกันนะ จะได้ไม่ต้องกลัวไตวายมาก เดี๋ยวผมจะหาอ่างน้ำสูงๆ พอแมวขึ้นไปยืนได้ไว้หน้าบ้านด้วย มันจะได้กินน้ำกันสะดวกๆ หน่อย ตอนนี้ผมเลยมีค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละ 500 บาทเป็นค่าอาหารสำเร็จรูปแมวข้างถนน 3 ตัวนี้ แต่ก็รับไหวครับ ถ้าตอนไหนอยากประหยัดตังก์ก็จะงดขึ้นทางด่วนไปบ้าง (บางวันขึ้นรอบเดียวก็เกือบ 200 แล้ว) เอาตังก์มาซื้ออาหารให้แมวกินแทน อิ อิ  :wink: โดย Magneto พุธ ก.พ. 03, 2010 2:41 pm

อยากแลกหนัังสือ the intelligent investor ผมว่าการแลกเปลี่ยนก็เป็นสิ่งที่ดีนะ ตัดต้นไม้มาทำหนังสือน้อยลง บ้านกว้างขึ้น เพราะไม่มีแต่หนังสือเต็มไปหมด สร้างมิตรภาพใหม่ ... :o โดย Magneto อังคาร ก.พ. 02, 2010 9:56 pm

ใช้อาหารแมวอะไรกัน แง...เลือกไม่ถูก ยังไงก็ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังครับคุณ romee ถ้าเจอเพื่อนอีกทีฝากถามยี่ห้อมาให้หน่อยสิครับ อันไหนค่อนข้างโอเค :roll: เอ..หรือว่าต้องลงทุนชิมเองซะล่ะมั๊งเนี่ย..ตู  :shock: โดย Magneto อังคาร ก.พ. 02, 2010 3:02 pm

ใช้อาหารแมวอะไรกัน ...มีแนวโน้มสูงที่จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตวาย ถ้าให้อาหารที่มีความเค็ม และมีปริมาณโปรตีนที่สูงเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานๆ (ซึ่งส่วนใหญ่จะพบในอาหารสำเร็จรูปเกรดธรรมดาตามท้องตลาด)... T.T ขอบคุณคุณ khongafter มากครับ สำหรับคำแนะนำ ว่าแต่ Prescription diet หรือ Science diet เนี่ยมันอะไรเหรอครับ แบบอาหารสูตรกำจัดก้อนขน...อะไรเนี่ย ใช่ด้วยหรือเปล่าครับ ?? แล้วหาได้จากที่ไหน พอจะแนะนำยี่ห้อ หรือชื่อสูตร ได้หรือเปล่าครับ จะได้ไปหาได้ ปลาทูน่ะก็อยากจะคลุกอยู่หรอกครับ แต่ขืนทำให้พวกมันคลั่งไคล้กลิ่นปลาทู อีกหน่อยพอบ้านไหนทอดปลาทู เจ้าพวกนี้มันจะบุกเข้าไปน่ะสิครับ กลัวเค้าตีเอา เลยอยากให้อะไรที่จะไม่ทำให้มันไปวุ่นวายเข้าบ้านคนอื่น (เมื่อก่อนอยู่ต่างจังหวัด มีแมว 13 ตัวในบ้าน กินกันตามมีตามเกิด พอมาอยู่กรุงเทพฯ คนเฝ้าบ้านให้อาหารก็ไม่มี ส่วนอาหารก็ไม่มีเวลาทำเอง ต้องไปหาซื้อ พอจะซื้อ ก็ทำซะเค็มอีก..ปวดหัวกับชีวิตกรุงเทพฯ จริงๆ เฮ้อ...) โดย Magneto อังคาร ก.พ. 02, 2010 11:28 am

ถามเรื่อง Starbucks หน่อยครับ โห.. เพิ่งรู้สึกตัวว่าเชยมาก ผมยังไม่เคยกินกาแฟแก้วละเกินร้อย (ยกเว้นตอนไปสิงคโปร์ เดินเป็นชั่วโมงๆ จนขาลาก หิวน้ำมาก ตอนนั้นอะไรก็ยอม) แค่ทุกวันนี้ถ้าสั่งกาแฟแก้วนึงเกิน 50 บาท เพื่อนก็จะบอกว่า "กินอย่างเนี้ย มึงมีตังก์อย่างเดียวไม่ได้นะ....ต้องโง่ด้วย"  :cry:   บางทีผมก็อยากจะชิมดูบ้างเท่านั้นเอง คงเหมือนท่านเจ้าของกระทู้ แต่มีคนขัดคอประจำเลย.... จนล่าสุดมันพลาด แวะกินแมคดูนั่นกัน ผมก็สั่งพวกกาแฟคาราเมล (เพราะชอบหวาน) มันก็สั่งเอสเปรสโซ่ แล้วมันก็ได้กาแฟดำมา เรื่องของเรื่องมันไม่รู้ว่าที่นั่นเค้าขายเอสเปรสโซ่จริงๆ แบบไม่ใส่นม มันบ่นใหญ่เลย "...แก้วนึงเจ็ดแปดสิบ กูอุตส่าห์กิน เจือกได้กาแฟดำ อยู่บ้านเอาน้ำร้อนมาแก้ว ใส่กาแฟช้อนนึงก็กินได้แล้ว..." หลังจากนั้นถ้ามันขัดคอผมนัก ผมก็จะถามมันว่า "..วันนี้มึงอยากกินเอสเปรสโซ่ที่แมคป่ะ มึงติดใจไม่ใช่เหรอ...ก๊ากกก"   :lol: โดย Magneto จันทร์ ก.พ. 01, 2010 11:18 pm

..แดงเดือดแบบนี้ มือใหม่หัดลงทุนหวั่นไหวกันไหมคะ? เวลาทำงานผมใช้ MOS หมายถึง Month of Sales เป็นหน่วยของสต๊อกน่ะครับ ว่าเหลืออยู่พอขายได้อีกกี่เดือน แต่ว่าตอนนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าผมมี MOS อีกอันหนึ่ง นั่นก็คือ Marketing of Sad คือชอบโทรมาบอกให้ผมซื้อหุ้นตัวนึงอยู่เรื่อยเลย หนก่อนก็ลองเล่นๆ พอเป็นพิธีถือว่าทำความรู้จักกับมาร์หลังจากเล่นเองมาเป็นปีๆ ปรากฏว่าซื้อตามปุ๊บก็มีข่าวไม่ดีทุบตลาดเลย ตัวนี้มันก็ลงซะ เธอหายไปเป็นเดือนเลย นี่ล่าสุดโทรมาอีกแระ เธอบอกว่าคราวนี้มาจริงแล้วนะ Volume มาเพียบเลย เป็นโอกาสแก้มือตัวนี้แล้ว ผมก็แค่ครับๆ ไป ไม่ได้ซื้อตามหรอก โหย..โชคยังดี หลังเธอโทรมาชวน 3-4 วันนี่ ราคาจาก 7.6 มันลงทุกวัน ลงนำหน้าตลาดฉิวเชียว จนล่าสุดเหลือแค่ 6.6 - 6.7 แอบสงสัยอยู่ในใจว่าใครสั่งเธอขอปล่อยของป่ะเนี่ย ก็เลยให้ฉายาเธอเป็น MOS ในใจผม  เหอะๆๆ เล่ากันฟังขำๆ นะครับ บ่มีหยัง ชิวๆ โดย Magneto ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 9:55 pm

signature ในการเล่นหุ้นของคน thaivi :la:   โอ้วว..แถวนี้มีหมอดูวิเคราะห์ลายเซ็นเยอะแยะเลย... โดย Magneto ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 9:16 pm

โหรดังทำนายปี 2553 อ่านโดยใช้วิจารณญาณครับ ทำนายสิ่งเลวร้ายเป็นสิบอย่าง ถ้าถูกสักอย่างคงดังพิลึก เปรียบเสมือนซื้อหุ้นสิบตัว แดงซะเก้า เขียวตัวเดียวก็คุยฟุ้งได้ :bow: โดย Magneto อังคาร ม.ค. 05, 2010 6:15 pm

คนในยุคบูมเมอร์เริ่มเกษียณจริงจังแล้วปี 2010 จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องอื่นไกล แถวใกล้ๆ กรุงเทพฯ นี่ก็มีญี่ปุ่นมาอยู่ ล่าสุดเจอคนนึง ซื้อบ้านจัดสรรหลังนึง ซื้อที่ยังไม่ปลูกบ้านในโครงการเท่ากับที่อีก 2-3 หลัง เอาไว้ปลูกมะพร้าว มะละกอ ฯลฯ ทำสวนของแกไป คงให้ภรรยาคนไทยถือมั๊ง  :) โดย Magneto พุธ ธ.ค. 30, 2009 9:12 pm

กำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรสูงแต่บริษัทขาดสภาพคล่องได้ไหมครับ งบดุลเดี๋ยวนี้ชอบทำแบบเรียงแต่ละ Item ลงมา แต่ถ้าเราลองจินตนาการว่ารายการเหล่านั้นแบ่งเป็น 2 ฝั่ง สินทรัพย์อยู่มือซ้าย หนี้สินและส่วนของเจ้าของอยู่มือขวา ความหมายของมันก็คือ เรามีสินทรัพย์อะไรอยู่บ้างในมือซ้าย เช่น เงินสด 1 หมื่น เงินฝาก 9 หมื่น ลูกหนี้ 3 แสน สินค้า 3 แสน เครื่องใช้ 2 แสน ค่าชื่อเสียงที่ตีเป็นเงินอีก 1 แสน รวมมีมูลค่า 1 ล้านบาท เจ้า 1 ล้านบาทนี้เป็นของใครบ้างล่ะ อยู่กับเรามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นของเรานี่ ใช่ป่ะ อันนี้เราก็มีบัญชีรายชื่อเจ้าของอยู่ในมือขวา เช่น แบงก์ 4 แสน ลงหุ้นเองมา 4 แสน เป็นกำไรที่สั่งสมไว้อีก 2 แสน รวมเป็น 1 ล้านเท่ากัน อย่างนี้หมายความว่าของทุกอย่างในมือซ้าย แบงก์เป็นเจ้าของอยู่ 4 ใน 10 ส่วน เราบรรดาเจ้าของเป็นเจ้าของอีก 6 ส่วนที่เหลือ (ทุน + กำไรสะสม) ของสินทรัพย์เหล่านั้น เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่า กำไรสะสมที่อยู่ในบัญชีรายชื่อเจ้าของทางขวามือน่ะ มันก็อยู่ในรูปสินทรัพย์ต่างๆ ทางซ้ายมือนั่นเอง ดังนั้น กำไร 2 แสนนี้บางส่วนก็อาจเป็นเงินสด เงินฝากฯ แล้ว บางส่วนก็ยังอยู่ที่ลูกหนี้อยู่เลย บางส่วนก็เอาไปซื้อสินค้าซะแล้ว บางส่วนก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ไว้ หรือบางส่วนเป็นกำไรที่คิดเอาเองกับผู้เชี่ยวชาญว่าเราได้มา เช่น เรามีชื่อเสียงแล้ว แต่มันก็ยังไม่ใช่เป็นเงินหรอก เป็นต้น ดังนั้น แม้จะมีกำไรสะสมมาก บริษัทก็ขาดสภาพคล่องได้ มีถมเถไป โดยเฉพาะบริษัทที่ชอบทำตัวเป็นแบงก์ ให้ลูกหนี้ค้างนานๆ จนหมุนเงินไม่ทัน หรือจับคู่การเป็นหนี้กับให้คนอื่นเป็นหนี้ไม่ดีพอ เช่น Supplier ให้ค้างได้ 30 วัน แต่ดันไปให้ลูกหนี้ค้างเราได้ 60 วัน เป็นต้น จนหมุนเงินไม่ทันไง  :wall:  ด้วยเหตุนี้เค้าจึงให้ทำงบอีกตัวมาดูนอกเหนือจากงบดุลและงบกำไรขาดทุน นั่นก็คืองบกระแสเงินสด ซึ่งจะบอกว่าเงินสดได้มาจากการทำอะไรบ้าง ใช้อะไรไปบ้าง ก่อนที่จะเหลือเท่ากับที่แสดงปลายงวดแน่ะเด้อ   :drink: โดย Magneto พุธ ธ.ค. 30, 2009 8:28 pm

ช่วยวิเคราะห์ วิจารณ์ พอร์ตของผมหน่อยครับ ผมว่าไม่เลวนะครับ ตั้งกองทุนของตัวเอง เล่นเองเลย ไม่ต้องอาศัยผู้จัดการกองทุน เคสนี้ผมว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเค้าเข้าซื้อถูกเวลา ดังนั้นต่อให้ซื้อแบบหว่าน แต่ถ้าซื้อช่วงต้นของเศรษฐกิจที่เชื่อกันว่าจะเป็นขาขึ้นใหม่ หุ้นทั้งหลายก็จะกำไรเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่เลวนะครับ จับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก นอกจากนี้คุณยังมีความอดทน ถือจริงจัง เพราะในช่วงปีมานี้ก็มีการขยักขย่อน ขึ้นแล้วลงๆ อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ขาย ทำให้ได้กำไรมาจนวันนี้ หรือไม่ก็คือไม่ได้อดทนหรอก อยากขายเหมือนกันแต่ยังขายไม่ค่อยคล่อง ตัวขาดทุนก็ยังตัดใจตัดขายไม่ได้ทั้งๆ ที่ตัวเองบอกว่าสมควรขาย อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ว่าถ้าจะใช้กลยุทธ์นี้ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัวเต็มที่ แล้วมีความเสี่ยงที่จะเป็นขาลงใหม่ ผลลัพธ์อาจจะตรงกันข้าม กรณีนั้นเลือกเป็นรายตัวอาจจะให้ผลดีกว่าก็ได้ สำหรับ VI ขนานแท้ และมือดี เค้าอาจจะมีกำไรมากกว่านี้ก็ได้ เพราะเค้าอาจจะถือเฉพาะตัวบนๆ ของคุณ ที่มีกำไรสูง ด้วยความตั้งใจ ขณะเดียวกันก็อาจจะมี VI อีกหลายๆ คนที่ขาดทุน หรือไม่ได้กำไรขนาดนี้ก็ได้ ส่วนตัวผมถือว่า รอบนี้ คุณใช้กลยุทธ์ได้เหมาะสมกับช่วงเวลาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือบังเอิญก็ตาม ยินดีด้วยเป็นการส่วนตัวด้วยความจริงใจครับ  :wink: โดย Magneto พุธ ธ.ค. 23, 2009 9:58 am

ลดทุนจดทะเบียนบริษัท ตามความรู้สึกของผม การลดทุนก็เหมือนต้องการจะ Reset เพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ผลเสียใดๆ ที่เคยทำมา ผู้ถือหุ้นเดิมจะรับไว้เอง คือขาดทุนสะสมให้ไปหักกับส่วนที่ตัวเองลงทุนไว้ เหมือนแสดงความรับผิดชอบ ทีนี้มันก็จะดูน่าคบขึ้น เวลาจะเพิ่มทุน คนที่จะมาซื้อหุ้นใหม่เค้าก็ไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ เพราะขาดทุนสะสมเดิมน่ะ ผู้ถือหุ้นเดิมยอมรับไปก่อน ก่อนที่จะไปเอาเงินคนใหม่เข้ามา ไม่ใช่มีขาดทุนสะสมรออยู่นะ มาสิๆ มาลงทุนสิ อะไรทำนองนี้ โดย Magneto ศุกร์ ธ.ค. 18, 2009 8:49 pm

debt กับ liability ต่างกันอย่างไรค่ะ อืมม์ เข้าใจว่า Liability น่าจะมีความหมายกว้างกว่า Debt นะครับ Debt ก็เหมือนเวลายืมตังก์มา แล้วก็ต้องใช้คืน แต่ Liability มีอย่างอื่นนอกเหนือจาก Debt ด้วย เช่น เอาสินค้าเค้ามา แล้วก็ต้องจ่ายคืนเมื่อครบเทอม หรือค่าน้ำค่าไฟที่ใช้แล้วก็ต้องจ่าย หรือแม้แต่รับค่ามัดจำ ฯลฯ จากคนอื่นเค้ามาน่ะ โดย Magneto ศุกร์ ธ.ค. 18, 2009 8:27 pm

รบกวนสอบถามเรื่องการวิเคราะห์งบกระแสเงินสดหน่อยครับ (งงมากคร ผมไม่ได้อ่านทั้งหมดในกระทู้นะครับ แต่ขออนุญาตกล่าวสั้นๆ อีกทีว่า เวลาจ่ายเงินซื้อสินทรัพย์ถาวร เงินก้อนใหญ่ก็จะเป็นขาออกจากกิจการ แสดงอยู่ในกระแสเงินสดส่วนของการลงทุน เมื่อสินทรัพย์นั้นเริ่มใช้ประโยชน์ มีการตัดค่าเสื่อมราคา มันก็หักไว้แล้วในกำไรสุทธิของงวด จึงแสดงบวกกลับเข้ามา ในกระแสเงินสดส่วนของการดำเนินงาน (มันอาจจะเป็นของสินทรัพย์ตัวเดียว หรือคนละตัวกับที่แสดงในส่วนของการลงทุนในงวดนั้นก็ได้) แต่ถ้าเป็นเงินจ่ายล่วงหน้า... แบบนี้แสดงว่าจ่ายแล้วเราเป็นเจ้าหนี้คนอื่น เงินที่จ่ายยังไม่ได้ประโยชน์กลับคืนมา มันถึงยังไม่ใช่ค่าใช้จ่าย รายการพวกเงินจ่ายล่วงหน้านี้จึงถูกแสดงในส่วนของกระแสเงินสดส่วนของการลงทุน (เพราะจ่ายไปล่วงหน้าเพื่อหวังประโยชน์แม้จะยังไม่ได้ก็ตาม เป็นการลงทุน) เมื่อไหร่ที่มันเกิดประโยชน์กับเรา เงินล่วงหน้านี้ก็ถูกตัดไปเป็นค่าใช้จ่าย (อาจจะบางส่วนหรือทั้งหมด) ซึ่งจะไปหักอยู่ในกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ส่วนของกระแสเงินสดในการดำเนินงานนั่นเอง สั้นๆ แบบนี้ไม่รู้จะช่วยอะไรได้นิดหน่อยหรือเปล่านะครับ  :wink: โดย Magneto เสาร์ พ.ย. 21, 2009 8:58 pm

เก็บความสงสัยไว้ ปกติผมมีบัญชีกับโบรกหนึ่งอยู่ 2 บัญชี นานๆ มาร์จะโทรมาหาผมสักที แต่วันก่อนหน้าที่จะมีเรื่องข่าวเนี่ย มาร์ก็โทรหาผมว่าทำไมไม่ค่อยซื้อค่อยขาย ผมก็บอกว่ายุ่งๆ ไม่ค่อยว่าง ก็เลยยังไม่รู้จะซื้ออะไร เค้าก็เลยแนะนำผมว่าให้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งสิ เกี่ยวกับดาวเทียม กำลังจะมีโร๊ดโชว์วันศุกร์ ผมก็โอเค ซื้อไปนิดหน่อยด้วยบัญชีเล็ก เพราะเกรงใจว่าเงินก็อยู่กะเค้านาน เค้าไม่ค่อยได้ค่าธรรมเนียมจากผมเท่าไหร่ พอหลังจากซื้อ มาร์ก็โทรมาอีก พูดเหมือนทำนองตัดพ้อนิดๆ คงไม่คิดว่าผมจะซื้อไม่เยอะ ทั้งๆ ที่ซื้อได้เยอะกว่านั้น วันรุ่งขึ้นมีข่าว หุ้นตัวนี้ก็ร่วงไปตามตลาด มาร์ก็โทรมาว่าถือไว้ก่อนนะค่อยขายวันศุกร์ แต่หลังจากนั้นมา ราคามันก็ลงมาตลอด ไม่มีวี่แววว่าจะคืนทุนหรือได้กำไร ประกอบกับพอร์ตใหญ่มีกำไรพอ cover ขาดทุนหุ้นดาวเทียมตัวนี้ ทำให้ตัดได้โดยไม่ต้องทำใจเท่าไหร่ ผมก็เลยตัดขายขาดทุนไปเลยในสัปดาห์หลัง ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่ได้ต่อว่ามาร์ เพราะเราอยากโง่เองที่ไปซื้อตามเค้า แต่สิ่งที่อดสงสัยไม่ได้ก็คือ ทำไมต้องเป็นหุ้นตัวนั้น ทำไมต้องเป็นวันก่อนหน้าที่จะมีเรื่องข่าว การที่ผมเข้าไปซื้อเนี่ย ถ้าคนที่ถือเดิม (ตระกูลพวกที่อยู่เมืองนอกน่ะ) เค้าขายออกมาในวันก่อนที่จะมีเรื่อง เค้าก็ได้กำไร ปลอดภัยจากข่าวไป ผมก็ไม่รู้ว่ามีคนที่ได้รับเชิญอย่างผมกี่คนหรอกนะ และเรื่องนี้ผมก็ไม่มีปัญญาจะไปทราบว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือใครจงใจ ได้แต่สมน้ำหน้าตัวเอง และเก็บความสงสัยไว้ในใจว่าคนพวกนี้ทำเพื่อใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ก็คือ ต่อไปถ้ามาร์โทรมาชวนอีก ผมก็จะปฏิเสธได้โดยไม่ต้องเกรงใจอีก เพราะผมเคยได้รับความเสียหายมาบ้างแล้วจากคำแนะนำที่เค้าให้ ดีที่หุ้นอื่นๆ พยุงไว้ อาจจะไม่โชคร้ายเท่ากับคนอื่น ดีใจเล็กๆ ที่เราใช้เงินแค่นี้ตัดความเกรงใจ (และความสัมพันธ์กับคนที่เราไม่ต้องการ) ได้โดยไม่น่าเกลียด โดย Magneto เสาร์ พ.ย. 21, 2009 8:45 pm

ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพไหม ระวังตลาดมีประสิทธิภาพ แต่เราขาดสมรรถภาพนะครับเน้อ  :lol: โดย Magneto ศุกร์ ต.ค. 30, 2009 10:42 am

ใกล้ได้เวลาชอปปิ้งอีกครั้งหรือยังครับ ชอปไปพอสมควรแหล๋วครั่บ  :drink: โดย Magneto ศุกร์ ต.ค. 30, 2009 9:35 am

Windows 7 คล้าย Vista มากครับผม บางคนบอกว่าเร็วกว่า Vista หน่อย แต่ผมยังไม่รู้สึก คงเป็นเพราะเครื่องที่ใช้นี้ยังใหม่ ยังแรงอยู่พอตัว แต่ว่าผมเปิดพวกกราฟของ Biznews ไม่ได้ บังเอิญพวกโปรแกรมที่ Brokers ที่ผมใช้ๆ ให้ลงน่ะ มันยังเป็นสำหรับ Xp อยู่ละมังครับ แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ดูกราฟเท่าไหร่หรอก พอ License มันมากับเครื่องก็ใช้ๆ ไป แต่ความพอใจสูงสุดของผมอยู่ที่ Xp SP3 + Office 2003 น่ะครับ เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนมาใช้ตัวใดตัวหนึ่ง หรือทั้ง Windows และ Office ปรากฏหลังจากนั้นเวลาผมจะ Print เอกสารจาก Office โดยเฉพาะ Excel มันจะแปลกๆ คือมันจะยืดหน้าให้ใหญ่กว่าที่เราเห็นใน worksheet ไปอีกประมาณ 50% เช่น เรากะจาก Worksheet ว่าพิมพ์อยู่ในหน้านึงพอดี แต่พอ Preview กับ Print จริง จะได้หน้าครึ่ง เป็นต้น ตอนแรกคิดว่าเป็นเพราะ Driver ของ Printer แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นกับตั้ง 3-4 ยี่ห้อ ผมยังหาวิธีแก้ไม่ได้เลยน่ะครับ สงสัยเพราะลุงบิลแกไม่อยู่ Test Products ให้แล้วกระมัง ตอนแกยังอยู่ผมเชื่อว่าแก Test บ้างแหละ เพราะของมันเคยทำ เคยสร้างมา  :kq: โดย Magneto ศุกร์ ต.ค. 30, 2009 9:33 am