หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
manuel
Joined: อังคาร ก.ค. 17, 2007 1:38 am
347
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - manuel
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: EPS16YEAR อับเดทงบดุล Q2 2011 เริ่มแล้ว ครับ
รบกวนขอด้วยครับพี่ ครรชิต
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
manuel
อังคาร ก.ค. 26, 2011 9:37 am
0
0
Re: ข้อมูลซ์อขาย NVDR
นี้ครับ http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do
โดย
manuel
พฤหัสฯ. มี.ค. 10, 2011 8:43 pm
0
0
Re: EPS16YEAR อับเดทงบดุล ปี 31/12/10 เสร็จแล้ว
สงสัยผมตกหล่นรบกวนอีกรอบครับพี่ครรชิต
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
manuel
พฤหัสฯ. มี.ค. 03, 2011 6:57 pm
0
0
Re: EPS16YEAR เริ่มต้นอับเดทงบดุล ปี 31/12/10
รบกวนพี่ด้วยครับ
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
manuel
เสาร์ ก.พ. 26, 2011 7:44 pm
0
0
Re: JAS [เฉพาะวันที่ 24 - 25 FEB 2011] เชิญคุยกันที่นี่ชั่วค
:shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: อึ้ง ทึ่ง เสียว :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: :shock: ขำๆนะครับ :B :B :B :B :B :B :B :B
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ก.พ. 24, 2011 10:06 am
0
0
Re: เจิมเว็ปใหม่
เช่นกันครับเข้ายังไม่ได้เลยครับ รบกวน mod ด้วยครับ
โดย
manuel
อังคาร พ.ย. 23, 2010 11:53 pm
0
0
วิเคราะห์สุขภาพจิตของ Mr.Market - นายป่วยหรือเราป่วย?
สุดยอดครับ มันส์มาก ติดตามตอนต่อไปครับ ปล F5 จะพังแล้ว :lol: :lol:
โดย
manuel
อาทิตย์ พ.ย. 07, 2010 9:45 am
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
รบกวนพี่ครรชิตด้วยครับ ขอบคุณครับ
[email protected]
โดย
manuel
เสาร์ ก.ย. 04, 2010 11:43 pm
0
0
ล่อเเมงเม่าปี 2010
SLC มีครบทุกรถชาติเลยครับที่กล่าวมา :shock: :shock:
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ส.ค. 19, 2010 8:04 am
0
0
ขณะนี้ เวียดนามไม่มีผลผลิตข้าวขายแล้ว..คิดยังไงกันครับ
การค้าข้าวของเวียดนามที่มีผลต่อข้าวไทย การผลิต เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวลดลงจาก 4.47 ล้านเฮคตาร์เมื่อปี 2543 เป็น 4 ล้านเฮคตาร์ในปัจจุบัน เนื่องจากการขยายระบบเมืองและการเติบโตของเขตอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามคาดว่าภายในปี 2563 พื้นที่เพาะปลูกข้าวของเวียดนามจะลดลงเป็น 1.8 ล้านเฮคตาร์ โดยมีผลผลิตข้าวสูงสุดเป็น 21 ล้านตัน การผลิตข้าวฤดูกาลต้นปี 2553 ของเวียดนามมีผลผลิตออกมาประมาณ 19.7 ล้านตัน ส่วนในฤดูกาลที่สองกำลังเก็บเกี่ยว พื้นที่ปลูกข้าวในเขตภาคกลางและภาคเหนือของเวียดนามกำลังประสบปัญหาภัยแล้งหนักคาดว่าจะเสียหายประมาณ 600,000 ไร่หากยังไม่มีฝนตกหรือจัดหาน้ำได้เพียงพอ ส่วนภาคใต้เนื่องจากต้นปีมานี้ฝนตกล่าช้าทำให้ฤดูกาลปลูกข้าวช้ากว่าปกติถึง 1 เดือนครึ่ง ทำให้พื้นที่ที่ทำการเพาะปลูก 3 ครั้งต่อปีอาจจะปลูกได้แค่ 2 ครั้งในปีนี้คือในเขตจังหวัด บัคเลียว กะเมา ซ๊อคจาง เบ็นแจ และเตี่ยนยาง กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนามตั้งเป้าว่าผลผลิตปี 2553 จะเป็น 39 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว และสามารถส่งออกข้าวได้ 5.5 ล้านตัน แต่สมาคมอาหารเวียดนามกลับคาดว่าในปี 2553 นี้ เวียดนามจะสามารถส่งออกข้าวได้ 6.4 ล้านตัน มูลค่ากว่า 2 .4 พันล้านเหรียญสหรัฐ สถานการณ์การค้าข้าวในเดือนมิถุนายน 2553 เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้ออกคำสั่งให้สมาคมอาหารเวียดนาม ( VFA ) และบริษัทส่งออกข้าวของเวียดนามซื้อข้าวเปลือกเก็บเข้าสต๊อกจำนวน 1 ล้านตันซึ่งเป็นผลผลิตช่วงฤดูร้อนถึงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2553 โดยให้รับประกันว่าชาวนาต้องมีกำไร 30% เพื่อช่วยในการพยุงราคาข้าวในประเทศ จากคำสั่งดังกล่าวทำให้กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมจะร่วมกับกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทและVFA ทำการซื้อข้าวในช่วงระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม – 15 พฤศจิกายน 2553 ในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 3,500 ด่ง หรือ 0.18 เหรียญสหรัฐ โดยบริษัทที่มีคุณสมบัติในการซื้อขายข้าวภายใต้คำสั่งนี้จะสามารถขอเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเพื่อซื้อข้าวได้ทั้งนี้เป็นไปตามกลไกตลาด และธนาคารแห่งชาติเวียดนามจะเป็นผู้เลือกธนาคารพาณิชย์ที่จะทำการปล่อยเงินกู้ ในความเป็นจริงผู้ค้าและพ่อค้าคนกลางยังไม่รับซื้อเนื่องจากอ้างว่ามีข้าวค้างสต๊อกจำนวนมาก ไม่มีที่เก็บ เหตุผลที่สำคัญคือราคาส่งออกกำลังลดลง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2553 ราคาเสนอซื้อที่เวียดนามได้รับสำหรับข้าว 5 % ราคาตันละ 350 เหรียญสหรัฐ และข้าว 25 % ราคาตันละ 300 เหรียญสหรัฐ ราคาข้าว ช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2553 ราคาข้าวตกเขียวในเขตที่ราบลุ่มปากแม่น้ำโขงอยู่ที่กก.ละ 4,000 – 4,100 ด่ง ( ประมาณ 6.80 – 7.20 บาทต่อ กก. ) ข้าวเปลือกราคาตั้งแต่ 5,500 – 5,750 ด่ง ( ประมาณ 9.50 – 10.00 บาทต่อ กก. ) ข้าวสารราคา 5,510 – 6,600 ด่งต่อ กก. ( ประมาณ 9.25 – 11.50 บาท ต่อ กก. ) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ที่ผ่านมาราคาราคาข้าวสารวัตถุดิบเกรด 1 ราคา กก.ละ 5,000 ด่ง เกรด 2 ราคา กก.ละ 4,600 ด่ง และข้าว 5 % ราคา กก.ละ 6,300 ด่งที่ท่าเรือนครโฮจิมินห์ ปัญหาจากผู้ส่งออก เนื่องจากปีนี้แห้งแล้งทำให้ผลผลิตข้าวคุณภาพไม่ดี ผู้ส่งออกต้องผสมข้าวที่รับซื้อมาในฤดูกาลนี้กับข้าวเก่าต้นปีทำให้ต้นทุนสูงเนื่องจากข้าวที่รับซื้อเก็บเข้าสต๊อกตอนต้นปีราคาสูงกว่ามาก ผู้ส่งออกบางรายแจ้งว่ายังมีข้าวที่รับซื้อเก็บอยู่ในสต๊อกจำนวนมากที่ยังไม่ได้ขายและราคาข้าวส่งออกต่ำลงทำให้มีโอกาสขาดทุนสูง ราคาข้าวฤดูกาล Dong Xuan เมื่อต้นปีที่ผ่านมาราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณ 4,000 ด่งต่อ กก รัฐบาลสนับสนุนให้ผู้ส่งออกรับซื้อข้าวโดยขอให้ผู้ซื้อรับประกันให้เกษตรกรมีกำไร 30 % ซึ่งราคาจะต้องอยู่ที่ประมาณ 4,000 ด่ง ต่อ กก ซึ่งผู้ส่งออกไม่และพ่อค้าคนกลางไม่กล้ารับซื้อ ราคาข้าวผลผลิตฤดูกาลปัจจุบันที่กำลังเก็บเกี่ยว (He Thu) เริ่มปลูกเมื่อปลายมีนาคม ราคาอยู่ที่เฉลี่ย ประมาณ 2,800 ด่ง สำหรับข้าวเปียก และ 3,200 – 3,400 ด่งสำหรับข้าวตากแห้ง ซึ่งราคานี้เป็นราคาที่เกษตรกรขาดทุน ราคาข้าวสารส่งออกของเวียดนามมีแนวโน้มลดลง ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2553 เช่นข้าว 5% จาก ตันละ 517 เหรียญสหรัฐเมื่อเดือนธันวาคม 2552 เหลือ 358 เหรียญสหรัฐ เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ข้าวสาร 25 % ลดลงจากตันละ 466 เหรียญสหรัฐ เหลือตันละ 335 เหรียญสหรัฐ ราคาข้าวส่งออกเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 สูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 373 และ 340 เหรียญสหรัฐ สำหรับข้าว 5% และ 25% ตามลำดับ การส่งออกข้าวของเวียดนามช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 สมาคมอาหารเวียดนาม ( Vietnam Food Association : VFA ) คาดว่าปี 2553 จะเป็นปีที่สดใสสำหรับตลาดข้าวส่งออกของเวียดนาม เพราะผลผลิตข้าวของประเทศผู้ผลิตสำคัญลดลงขณะที่ความต้องการใน ตลาดโลกเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 เวียดนามส่งออกข้าวได้ 3.3 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.48 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณลดลง 8.76 % แต่มูลค่าลดลงเพียง 1.32 % ส่วนในไตรมาสที่ 3 ได้มีการ ลงนาในสัญญาแล้ว 1.6 ล้านตัน จะส่งมอบในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน จำนวน 6 แสนตัน 5.5 แสนตัน และ 4.5 แสนตัน ตามลำดับ ทำให้การส่งออกข้าวทั้ง 3 ไตรมาสเป็น 4.9 ล้านตัน ซึ่งปริมาณส่งออกลดลง 9.08 % ( y-on-y) แต่มูลค่าส่งออกลดลงเพียง 0.8 % ( y-on-y) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ราคาส่งออกข้าวโดยเฉลี่ยเป็น 445.08 เหรียญสหรัฐ / ตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 33.54 เหรียญสหรัฐ / ตัน ในเดือนมิถุนายน 2553 ตลาดเอเชียและแอฟริกาเป็นตลาดนำเข้าข้าวหลักของเวียดนาม โดยมีสัดส่วนจำนวนการนำเข้า 56% และ 33.6 % ตามลำดับ ฟิลิปปินส์เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดคิดเป็นกว่า 50 % เวียดนามมีคู่แข่งมากขึ้นในตลาดเช่น พม่า กัมพูชา ปากีสถาน ซึ่งส่งออกข้าวคุณภาพต่ำเป็นตลาดเดียวกับเวียดนาม VFA คาดว่าการบริโภคและการส่งออกข้าวในไตรมาส 3 ของปี 2553 จะเผชิญความลำบากมากกว่าช่วงต้นปี เมื่อราคาข้าวจะลดลง เพราะผลผลิตข้าวฤดูร้อน – ใบไม้ผลิ ซึ่งคาดว่ามีปริมาณผลิต 2 ล้านตัน ออกสู่ท้องตลาดแต่บริษัทค้าข้าวในท้องถิ่นได้สต๊อกข้าวไว้จำนวนมากแล้วประมาณ 1.35 ล้านตัน และคาดว่าความต้องการข้าวในตลาดโลก จะยังคงลดลงในช่วงที่จะมาถึงเพราะประเทศผู้นำเข้าข้าวส่วนใหญ่ได้ซื้อข้าวพอเพียงสนองความต้องการบริโภคในประเทศแล้ว UN Food Agriculture Organization ได้คาดการณ์ว่าผลผลิตข้าวทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4 % ในช่วงปี 2553 – 2554 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อราคาข้าวในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ประเด็นที่น่ากังวลต่อข้าวไทย คือ ปี 2553 เวียดนามสามารถเจาะตลาดข้าวฮ่องกงได้เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าสังเกตโดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553 เวียดนามสามารถส่งออกข้าวไปยังฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ได้ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเกือบเท่ามูลค่าส่งออกข้าวไปยังฮ่องกงทั้งปี 2552 ( มูลค่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐ ) ทั้งนี้ กงสุลพาณิชย์ของเวียดนามประจำฮ่องกงและมาเก๊ากล่าวว่า ผู้นำเข้าข้าวของฮ่องกงมีแผนจะนำเข้าข้าวจากเวียดนามเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลภายในเร็ว ๆ นี้ และจะมีผลให้การส่งออกข้าวของเวียดนามมายังฮ่องกงในครึ่งหลังของปี 2553 สูงขึ้น เพราะนักธุรกิจจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงกำลังแสวงหาบริษัทจัดหาข้าวขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง เจ้าหน้าที่การค้าเวียดนามจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาสัญญาข้าวตลาดนี้ไว้ รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้ส่งออกข้าวของเวียดนามให้ความสำคัญต่อคุณภาพสินค้า บรรจุภัณฑ์และการส่งมอบสินค้าตามเวลา ทั้งนี้ ตลาดฮ่องกงเป็นตลาดข้าวคุณภาพดีและเป็นตลาดสำคัญตลาดหนึ่งของข้าวไทยด้วย ------------------------------- สคร.นครโฮจิมินห์ 14 กรกฎาคม 2553
โดย
manuel
พุธ ส.ค. 18, 2010 9:17 am
0
0
ขณะนี้ เวียดนามไม่มีผลผลิตข้าวขายแล้ว..คิดยังไงกันครับ
ต่อครับ 2. ภาวะการค้าข้าวในประเทศ ราคาข้าวในตลาดเวียดนาม สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2551 โดยมีสาเหตุจากหลายปัจจัย คือ - ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามในปี 2550 สูงขึ้นถึง 41% ต่อตัน เมื่อเทียบกับปี 2549 ทำให้ราคาข้าวในประเทศสูงตามไปด้วย - ปริมาณผลผลิตข้าวและธัญพืชในหลายประเทศลดลงรวมทั้งเวียดนาม ทำให้ประเทศผู้ส่งออกข้าวที่สำคัญหลายประเทศประกาศใช้มาตรการจำกัดการส่งออกข้าว ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างมาก - เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในเวียดนาม โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 อัตราเงินเฟ้อสูงถึง 16.4 % ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของหมวดอาหารถึง 25.91 % การเพิ่มขึ้นของราคาข้าวในประเทศเวียดนาม ทำให้รัฐบาลเวียดนามกังวลใจเรื่องภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเดือนเมษายน2551 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 21.42 % ซึ่งนับว่าสูงสุดในเอเชีย ราคาสินค้าในหมวดอาหารสูงถึง 38.21 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทำให้เวียดนามประสบกับ ‘ rice fever ‘ อย่างรุนแรงโดยเฉพาะในเขตนครโฮจิมินห์ ราคาข้าวในประเทศ ราคาข้าวเปลือกของเดือนเมษายนมีการปรับตัวสูงขึ้นตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนจนถึงปลายเดือน ราคาข้าวในประเทศช่วงปลายเดือนเมษายน 2551 สูงกว่าต้นเดือนประมาณ 28 % ( ตารางที่ 1) ทั้งนี้ สมาคมอาหารของเวียดนาม ( Vietnam Food Association : Vietfood ) แถลงว่า การที่ราคาสูงขึ้นมิได้เกิดจากการขาดแคลนข้าวของเวียดนามแต่เกิดจากการเก็งกำไรและการกักตุนของพ่อค้าข้าว ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นกลัวเกินกว่าเหตุ ตารางที่ 1 ราคาข้าวเปลือกโดยเฉลี่ยในปี 2551 ( บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง) หน่วย : เวียดนามด่อง / กิโลกรัม อัตราแลกเปลี่ยน : 500 VND = 1 บาท ปี 2550 2551 เมษายน 2551 ธค. มค. กพ. มีค. ต้นเดือน กลางเดือน ปลายเดือน 3,650 - 3,750 3,700 - 3,800 3,850 4,400 - 4,100 1/ 4,300 - 4,550 4,700 - 5,500 2/ 6000 – 7,000 3/ ที่มา : รวบรวมจากข่าวท้องถิ่น ( หนังสือพิมพ์ Tuoi Tre และ Thanh Niem ) หมายเหตุ : 1/ ช่วงปลายเดือนมีราคาลดลงเพราะรัฐบาลประกาศนโยบายปรับเป้าหมายการส่งออกลดลง และให้ยุติการเซ็นสัญญาขายข้าวใหม่จนกว่าจะสิ้นเดือนมิถุนายน 2551 2 / ราคาสูงขึ้นเมื่อขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ได้ 750 เหรียญสหรัฐ / ตัน 3 / ราคาสูงขึ้นเมื่อขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ได้ 1,200 เหรียญสหรัฐ / ตัน ปัจจุบัน ( ต้นเดือนพฤษภาคม) ราคาข้าว ณ Mekong River Delta โดยเฉลี่ยยังมีราคาสูงมาก แต่ยังไม่มีการปรับตัวรวดเร็วเช่นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา คือ - ข้าว 5% ราคา 7,500 ด่อง / กิโลกรัม - ข้าว 10% ราคา 7,400 ด่อง / กิโลกรัม - ข้าว 15% ราคา 7,300 ด่อง / กิโลกรัม - ข้าว 25% ราคา 7,200 ด่อง / กิโลกรัม การดำเนินการลดภาวะ rice fever ของเวียดนาม • นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้เปิดให้มี Teleconference เป็นครั้งแรกในทันทีที่เกิดวิกฤตการณ์ ( 27 เมษายน 2551 ) เพื่อแถลงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในรอบ 4 เดือนของปี 2551 พร้อมระดับผู้นำของกระทรวงและผู้แทนรัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัดต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า ประเทศไม่ได้ขาดแคลนข้าว และประกาศจะลงโทษอย่างหนักต่อผู้กักตุนข้าวและพ่อค้าที่ขึ้นราคาโดยไม่มีเหตุผล • รัฐบาลได้แทรกแซงราคาข้าวโดยผ่านสมาคมอาหารของเวียดนาม ( Vietfood ) ซึ่งมี สมาชิกกระจัดกระจายทั่วประเทศ โดยขอให้สมาชิกในเขต Mekong River Delta นำข้าวคุณภาพส่งออกออกมาขายในห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าสหกรณ์ในแต่ละจังหวัดในราคาไม่เกิน 11,000 เวียดนามด่อง / กิโลกรัม • ผู้ค้าส่งข้าวปฏิเสธคำสั่งซื้อข้าวที่มากกว่า 1 ตัน เพื่อป้องกันการเก็งกำไร • หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านการตลาดได้ออกมาตรวจตราเพื่อให้ การค้าข้าวดำเนินการโดยผู้มีใบอนุญาต ( licence) เท่านั้น และต้องแสดงราคาสินค้าด้วย • ร้านค้าสหกรณ์ได้ซื้อข้าวเพิ่มเติมอีก 2,000 ตัน ไว้สำหรับรองรับการจับจ่ายใน วันหยุดที่ 30 เมษายน 2551 ( Dependent Day of Vietnam ) จากการดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาล ทำให้ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2551 ราคาข้าวในตลาดเวียดนามมีแนวโน้มลดลง ( ตารางที่ 2 ) ตารางที่ 2 ราคาข้าวสาร ณ นครโฮจิมินห์ ปี 2551 หน่วย : เวียดนามด่อง / กิโลกรัม อัตราแลกเปลี่ยน : 500 VND = 1 บาท มีค. เมย. พค. (ช่วง rice fever ) ข้าวขาว - ราคาร้านค้า 14,000 - 15,000 19,000 - 20,000 12,000 - 13,000 - ราคาห้างสรรพสินค้า 13,000 15,000 11,800 ข้าวหอมมะลิ - ราคาร้านค้า 17,000-18,000 25,000 17,000 - ราคาห้างสรรพสินค้า 15,000 17,000 - 20,000 15,000 - 17,000 ที่มา : รวบรวมจากข่าวท้องถิ่น ( Tuoi Tre & Thanh Nien ) 3. การส่งออกข้าว รัฐบาลเวียดนามได้ใช้มาตรกำหนดโควตาการส่งออกข้าวมากว่า 2 ปีแล้ว เพื่อควบคุมการส่งออกและรักษาระดับราคาข้าวในประเทศ รวมทั้งเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร สำหรับโควตาการส่งออกข้าวปี 2551ที่กำหนดไว้เมื่อช่วงต้นปี 2551จำนวน 4.5 ล้านตัน และต่อมาได้ลดลงเหลือ 4 ล้านตัน และลดลงอีกในที่สุดเหลือ 3.5 ล้านตัน เมื่อเดือนเมษายน 2551 สำนักงานสถิติ ( General Statistics Office) ของเวียดนามได้รายงานว่าการส่งออกข้าวของเวียดนามในช่วง 4 เดือนแรก ( มค. – เมย. ) ของปี 2551 มีปริมาณ 1.57 ล้านตัน มูลค่า 775 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปริมาณเพิ่มขึ้นเพียง 12 % ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 72.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ราคาส่งออก นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนถึงเดือนพฤษภาคม 2551 ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจาก 370 เหรียญสหรัฐ / ตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ เป็น 500 – 600 เหรียญสหรัฐ / ตัน ในเดือนมีนาคม และขยับสูงขึ้นเป็น 750 – 760 เหรียญสหรัฐ / ตัน ในต้นเดือนเมษายนและขยับสูงขึ้นเป็น 1,200 เหรียญสหรัฐ / ตัน ในช่วงกลางเดือนเมษายน ( ตารางที่ 3 ) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ที่ผ่านมาแล้วราคาส่งออกข้าวของเวียดนามได้เพิ่มสูงขึ้นกว่า 2 เท่าตัว( 220 – 233 % ) ทั้งนี้ Vietfood คาดว่าราคาส่งออกข้าวจะสูงขึ้นถึง 1,400 เหรียญสหรัฐ / ตัน ตารางที่ 3 ราคาข้าวส่งออกของเวียดนาม ปี 2551 หน่วย : เหรียญสหรัฐ / ตัน ปี 2550 2551 ธค. มค. กพ. มีค. เมย. 320 355 370 500 - 600 ( ต้นเดือน ) 750 - 760 ( กลางเดือน ) 1,200 ที่มา : Vietfood , 5 พฤษภาคม 2551 ตลาดรับซื้อข้าวที่สำคัญของเวียดนาม ได้แก่ ประเทศในแถบเอเซีย( 57% ) แอฟริกา ( 21% ) คิวบา ( 12% ) และประเทศในแถบตะวันออกกลาง ( 8% ) กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนาม ( MARD) ยืนยันว่าจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2551 เวียดนามจะสามารถส่งออกข้าวได้ถึง 3.2 ล้านตัน และจนถึงสิ้นปี 2551 จะสามารถส่งออกข้าวได้ 3.5 - 4 ล้านตัน โดยยังคงข้าวพอเพียงสำหรับการบริโภคในประเทศและยังมีการเก็บสำรองข้าวเพื่อความมั่นคงด้านอาหาร มาตรการเกี่ยวกับการส่งออกข้าวของเวียดนาม เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2551 Vietfood ได้ออกมาตรการสำหรับการส่งออกข้าวดังนี้ • กำหนดปริมาณข้าวที่ผู้ส่งออกจะได้รับอนุญาตให้ลงทะเบียนเพื่อการส่งออก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 ต้องไม่เกิน 50% ของปริมาณส่งออก 2 ปีที่ผ่านมา( 2549 – 2550 )โดยเฉลี่ย • กำหนดให้สมาชิกผู้ส่งออกข้าวต้องเก็บสำรองข้าวอย่างน้อย 50% ของปริมาณ ข้าวที่จดทะเบียนเพื่อการส่งออก • ปริมาณข้าวส่งออกทั้งหมดต้องไม่มากเกินกว่าดุลข้าวรายไตรมาสที่จัดทำโดย กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม และราคาส่งออกตามสัญญาต้องสอดคล้องกับราคาที่พิมพ์เผยแพร่โดย Vietfood ณ เวลาที่มีการเซ็นสัญญากัน นอกจากนี้ การส่งมอบสินค้าต้องกระทำภายใน 2 เดือนนับแต่มีการเซ็นสัญญา เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการแกว่งตัวของราคาข้าว • ผู้ส่งออกรายบุคคลจะได้รับอนุญาตให้สามารถส่งออกข้าวโดยตรงได้เพียง 30 % ของจำนวนข้าวที่ระบุไว้ในสัญญา ส่วนที่เหลือ Vietfood จะพิจารณามอบให้สมาชิกผู้ส่งออกรายอื่น ๆ 4. การนำเข้าข้าวของเวียดนาม ในปี 2551 เวียดนามกำหนดโควตาการนำเข้าข้าวจากกัมพูชาเป็นจำนวน 150,000 ตัน และปี 2552 เป็นจำนวน 200 ,000 ตัน ส่วนการนำเข้าจากไทยนั้น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 เวียดนามนำเข้าข้าวจากไทยมูลค่า 0.45 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าปลายข้าวเหนียว ส่วนข้าวที่นำเข้าจะเป็นข้าวหอมมะลิ 100 %และข้าวหอมปทุมธานี 100% โดยมีผู้นำเข้ารายใหญ่ 2 ราย คือ บริษัท ซี พี ซึ่งนำเข้าข้าวภายใต้เครื่องหมายการค้าร่มฉัตร และบริษัท VT Trading Group นำเข้าข้าวภายใต้เครื่องหมายการค้านาสยาม 5. ข้อสังเกตุ 5.1 นโยบาย rice export restriction ของรัฐบาลยังไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการและผู้ส่งออกของเวียดนาม โดยกล่าวว่านโยบายดังกล่าวทำให้เวียดนามขาดทุนจากการไม่ได้ใช้ศักยภาพที่ตนมีในขณะที่ราคาสินค้าในตลาดโลกมีราคาสูงและเสียโอกาสที่จะสร้าง trademark ข้าวของเวียดนามให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในตลาดโลก นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายดังกล่าวยังเป็นการเพิ่มวิกฤตราคาข้าวในตลาดโลก ให้สูงขึ้นอีกด้วย นักวิชาการได้เสนอแนะว่าในระยะสั้นรัฐบาลเวียดนามควรมุ่งเน้นการพัฒนาข้าวพันธ์ต่างๆ ที่ให้ผลผลิตสูงและมีความต้านทานโรคได้ดีมากกว่ามุ่งพัฒนาข้าวคุณภาพดีแต่ให้ผลผลิตน้อยเช่นประเทศไทย เวียดนามควรใช้ความได้เปรียบที่ผลผลิตข้าวต่อเฮกแตร์มากกว่าไทย คือสามารถผลิตข้าวได้ถึง 7 – 8 ตัน / เฮกแตร์ และสามารถเพิ่มผลผลิตได้อีกถึง 11 -12 ตัน / เฮกแตร์ หากนำวิธีการทันสมัยและเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกับการใช้ข้าวพันธุ์ผสมคุณภาพดี สมาชิกของ Vietfood เองมองว่าราคาส่งออกข้าวที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์นี้อาจจะลดลงในอนาคต ดังนั้นเวียดนามจึงไม่ควรหยุดส่งออกข้าว นอกจากนี้ ผู้ส่งออกยังต้องรับซื้อข้าวจากเกษตรกร ต่อไป ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวใน สต็อก และต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อรับซื้อข้าวจากเกษตรกร จึงเรียกร้องให้เวียดนามเข้าร่วมประมูลขายข้าวต่อไป 5.2 รัฐบาลเวียดนามมักฟังข้อคิดเห็นของประชาชนโดยเฉพาะนักวิชาการและเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ( นายเหงียน ตัน ยุง) ได้ประกาศจะพิจารณานำมาตรการเก็บภาษีข้าวส่งออก ( rice export tax policy ) มาใช้กำกับดูแลความมีเสถียรภาพของข้าวในประเทศ ตาม ข้อเสนอของนักวิชาการที่เสนอให้รัฐบาลเก็บภาษีส่งออกข้าวส่วนที่เกินโควตา โดยให้เหตุผลว่าการเก็บภาษีข้าวส่งออกจะช่วยผู้ส่งออกไตร่ตรองก่อนการเซ็นสัญญาข้าว เมื่อราคาข้าวในตลาดในประเทศสูงขึ้น รัฐบาลสามารถเพิ่มภาษีส่งออกให้สูงขึ้นตามเพื่อจำกัดปริมาณการส่งออก ขณะเดียวกันเมื่อราคาข้าวในตลาดโลกลดลง รัฐบาลก็สามารถภาษีส่งออกลงเพื่อกระตุ้นผู้ส่งออกให้ส่งออกมากขึ้น --------------------------------------- สคต. ณ นครโฮจิมินห์ 8 พฤษภาคม 2551
โดย
manuel
พุธ ส.ค. 18, 2010 8:51 am
0
0
ขณะนี้ เวียดนามไม่มีผลผลิตข้าวขายแล้ว..คิดยังไงกันครับ
ข้อมูลเก่า... สถานการณ์การผลิตและการค้าข้าวในเวียดนาม ( มกราคม – เมษายน 2551 ) 1. การผลิต ข้อมูลที่สำคัญ เวียดนามมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวถึง 4 ใน 5 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดหรือประมาณ กว่า 7 ล้านเฮกแตร์ พื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญ ได้แก่ บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ( Mekong River Delta ) ทางภาคใต้ ซึ่งถือว่าเป็นอู่ข้าวของเวียดนามเพราะผลิตข้าวได้ตลอดปี โดย มีผลผลิตปีละประมาณกว่า 9 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็น 55 - 60 % ของผลผลิตข้าวทั้งประเทศ และมากกว่า 90% ของข้าวที่เวียดนามส่งออกเป็นข้าวที่ผลิตในบริเวณนี้ รองลงมา คือ บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยม ปากแม่น้ำแดง ( Red River Delta ) ทางภาคเหนือผลิตข้าวได้ประมาณ 30% ของผลผลิตทั้งหมด เวียดนามผลิตข้าวได้ 3 ช่วง คือ ฤดูหนาว – ใบไม้ผลิ เก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน เป็นช่วงที่ข้าวให้ผลผลิตมากที่สุด ฤดูร้อน – ใบไม้ร่วง เก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม และฤดูใบไม้ร่วง – หนาว เก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ข้าวที่ส่งออกส่วนใหญ่ได้จากฤดูการผลิต 2 ช่วงแรก เวียดนามกำหนดยุทธศาสตร์ข้าวสำหรับปี 2550 – 2553 โดยมีมาตรการสำคัญ คือ • คงระดับผลผลิตข้าว( paddy rice) ให้ได้ที่ปริมาณ 36 ล้านตันต่อปี และ ส่งออกข้าว 4 ล้านตันต่อปี • กำหนดพื้นที่เพาะปลูกเพื่อการส่งออกคือบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ขนาด 1 ล้านเฮกแตร์ และบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงขนาด 3 แสนเฮกแตร์ เพื่อรัฐบาลสามารถมุ่งเน้นพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทั้งในกระบวนการผลิตและการค้าขายในตลาดโลก • รัฐบาลจะปรับปรุงคลังสินค้าข้าวเพื่อให้สามารถเก็บรักษาข้าวไว้ได้ใน ระยะยาวและให้การสนับสนุนผู้ส่งออกข้าว ในการเผยแพร่เครื่องหมายการค้าให้ตลาดโลกรู้จัก • ผู้ส่งออกข้าวต้องลงทุนในการพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรแทน แรงงานคน ผลผลิตข้าวปี 2551 กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนาม ( Ministry of Agriculture and Rural Development : MARD ) ประมาณการว่า ผลผลิตข้าวของเวียดนามในปี 2551 จะมีประมาณ 36.55 ล้านตัน เป็นปริมาณที่มากกว่าเป้าหมายการผลิตที่รัฐบาลตั้งไว้ คือ 36.0 ล้านตัน โดยมีผลผลิตแต่ละช่วงการผลิตดังนี้ - ฤดูหนาว - ใบไม้ผลิ เก็บเกี่ยวแล้วได้ผลผลิตข้าวทั้งหมดประมาณ 17.6 ล้านตัน - ฤดูร้อน – ใบไม้ร่วง คาดว่าจะมีผลผลิตข้าวประมาณ 10.1 ล้านตัน - ฤดูใบไม้ร่วง – หนาว คาดว่าจะมีผลผลิตข้าวประมาณ 8.8 ล้านตัน ผลผลิตข้าวเปลือกในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2551 ( winter – spring paddy) มีจำนวน 17.6 ล้านตัน รวมกับผลผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2550 ( 3rd crop paddy) อีก 1.2 ล้านตัน เป็น 19.8 ล้านตันซึ่งเวียดนามกันข้าวเปลือกจำนวน 14.8 ล้านตันไว้เพื่อการบริโภคในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 5 ล้านตัน ( หรือเท่ากับ 2.8 ล้านตันข้าวสาร ) เพื่อการส่งออก ในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2551 เวียดนามส่งออกข้าวแล้ว 1.57 ล้านตัน เหลืออยู่ในสต็อก 1.23 ล้านตัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ปี 2551 เป็น ปีแรกที่รัฐบาลต้องนำข้าวจาก Mekong Delta ไปช่วยทางภาคเหนือจำนวน 200,000 ตัน หลังจากที่ไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือมาเป็นเวลา 7 – 8 ปี ทั้งนี้เพราะภาคเหนือประสบภาวะอากาศแปรปรวนอย่างมาก และส่งผลให้ผลผลิตข้าวลดลง จนรัฐบาลต้องอนุญาตให้พื้นที่เขต Mekong River Delta ปลูกข้าวในช่วงฤดูพิเศษ ( extra crop )ในระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม ขนาดพื้นที่ประมาณ 300,000 เฮกแตร์ เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวสำหรับสร้างความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ
โดย
manuel
พุธ ส.ค. 18, 2010 8:51 am
0
0
ขณะนี้ เวียดนามไม่มีผลผลิตข้าวขายแล้ว..คิดยังไงกันครับ
พอดีงานยุ่งๆ จัดนี้ไปอ่านก่อนครับ ASTVผู้จัดการรายวัน -- กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม ประกาศปรับตัวเลขส่งออกข้าวปีนี้ใหม่เป็น 6.5 ล้านตัน และอาจจะพิจารณาปรับขึ้นเป็น 7 ล้านตัน หลังจากสำรวจใหม่ พบว่า ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวได้มากกว่าที่คาดไว้แต่แรก นอกจากนั้น ในเดือน ส.ค.นี้ ยังมีข้าวสารเก็บสตอกอีกกว่าล้านตัน การปรับเป้าส่งออกใหม่ยังมีขึ้นขณะที่จีนสั่งซื้อข้าว 500,000-600,000 ตัน อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน การปรับตัวเลขส่งออกยังมีขึ้นหลังจากไทยกับอินเดียปรับลดเป้าส่งออก และความต้องการในตลาดโลกสูงขึ้น หลังจากรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวสาลีรายใหญ่หยุดส่งออกอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป นายเหวียนจี๊หง็อก (Nguyen Tri Ngoc) อธิบดีกรมเก็บเกี่ยวพืชพล กระทรวงเกษตรฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เทยบ่าวกีงเต (Thoi Bao Kinh Te Vietnam) หรือ “ข่าวเศรษฐกิจ” เวียดนาม ด้วยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและปริมาณสำรองที่เหลืออยู่มาก และตลาดโลกต้องการมากขึ้น เป็นเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้ทุกฝ่าย เชื่อว่า เวียดนามสามารถส่งออกข้าวได้ 6.5-7 ล้านในปีนี้ ซึงจะเป็นการสร้างประวัติการณ์ใหม่ ตามตัวเลขของสมาคมอาหารเวียดนาม จนถึงเดือน ก.ค.รัฐบาลยังคงเป้าส่งออกที่ 6 ล้านตัน ในเดือน ส.ค.นี้ส่งออกข้าวได้กว่า 4 ล้านตัน อีก 2 ล้านตัน ลูกค้าสั่งซื้อจนครบทั้งหมดแล้ว ยังไม่นับรวมยอดใหม่ที่จีนสั่งซื้อ สมาคมอาหารฯ กล่าวก่อนหน้านี้ ว่า ได้สอบถามตัวเลขต่างๆ ไปยังกระทรวงเกษตรฯ เพื่อหาความเป็นไปได้ในการส่งออกข้าวเพิ่มจากเป้าหมายอีก 500,000 ตัน อธิบดีกรมเก็บเกี่ยวพืชผลเปิดเผยกับ TBKT ว่า การเก็บเกี่ยวฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ เมื่อต้นปี ชาวนาทั่วประเทศได้ผลผลิตรวมทั้งสิ้น 26 ล้านตันข้าวเปลือก จากนี้ถึงสิ้นปีคาดว่าจะผลิตข้าวได้อีกทั้งหมด 13 ล้านตัน ในที่นา 300,000-500,000 ไร่ โดยข้าวใหม่จะทยอยออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนนี้ ซึ่งจะทำให้ได้ข้าวเปลือกทั้งหมด 39 ล้านตัน ชาวนาเวียดนามผลิตข้าวได้ปีละ 38-39 ล้านตัน แต่หลายปีมานี้ผลิตได้ลดลง ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ขณะที่ต้องเลี้ยงดูประชากรที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี และในขณะนี้มีเกือบ 87 ล้านคน ปีที่แล้วเวียดนามส่งออกข้าว 6 ล้านตัน ลดลงจาก 6.5 ล้านตัน ในปี 2551 ปีที่แล้วเวียดนามยังนำเข้าข้าวจากกัมพูชาอีก 300,000-400,000 ตัน เป็นข้าวที่เวียดนามจ้างชาวนาในประเทศนั้นเพาะปลูก และปีนี้คาดว่าจะได้มากขึ้นถึง 1 ล้านตัน นายจี๊หง็อก กล่าว ขณะเดียวกัน บริษัทข้าวภาคเหนือกับภาคใต้ (Vinafood) คือ วีนาฟู้ด 1 กับ วินาฟู้ด 2 ซึ่งเป็นบริษัทค้าข้าวของรัฐบาลยังมีข้าวในสตอกเหลือรวมกันอีก 1.1 ล้านตัน สตอกของผู้ส่งออกเอกชนรายอื่นๆ รวมกันยังเหลืออีก 300,000 ตัน จากรูปการทั้งหมดจะเห็นว่า แม้จะปรับเพิ่มยอดส่งออกเป็น 6.5-7 ล้านตัน เวียดนามก็จะยังมีข้าวเหลือส่งออกอีกมาก และ ยังมีเพียงพอสำหรับบริโภคในประเทศ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ผู้นี้ กล่าวว่า เวียดนามยังจะต้องระวังเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศที่เป็นตัวแปรสำคัญในการทำนา พายุกับฝนตกหนักกำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า แต่ละปีมีพายุพัดเข้าเวียดนาม 7-9 ลูก สภาพความรุนแรงต่างกัน แต่โชคดีปีที่ 2 ปีมานี้ ไม่มีพายุพัดเข้าเขตอู่ข้าวของประเทศ นอกจากนั้น การขยายพื้นที่นาข้าวออกไปอย่างกว้างขวาง ชาวนาต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ มากขึ้น รวมทั้งแมลงศัตรูข้าวกับโรคข้าวด้วย ปัจจุบันเวียดนามกำลังลดพื้นที่ปลูกข้าวคุณภาพต่ำ IR50404 ลงเรื่อยๆ ถึงแม้ประเทศกำลังพัฒนาจะยังนิยมบริโภค (รวมทั้งลอตที่จีนสั่งซื้อล่าสุด) แต่เป็นข้าวที่ขายยากในตลาดโลกทั่วไป การปลูกมีต้นทุนสูงกว่า และผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าข้าวคุณภาพดี ......
โดย
manuel
พุธ ส.ค. 18, 2010 8:50 am
0
0
ขณะนี้ เวียดนามไม่มีผลผลิตข้าวขายแล้ว..คิดยังไงกันครับ
บริษัทไหนในตลาดขายข้างบ้างครับพี่ kaset pr ครับ
โดย
manuel
พุธ ส.ค. 18, 2010 8:19 am
0
0
ถามพี่ๆ ครับว่า..มีตัวอย่างบริษัทที่มีกำไรแต่เจ๊งมั้ยครับ...
มีครับ บ. มีกำไร แต่กำไรนั้นเป็นกำไรทางบัญชี ดังนั้น งบที่สำคัญอีกงบหนึ่งที่จะต้องดูคือ งบกระแสเงินสด เอาไว้ดูว่าจริงๆ บ.มีตัวเงิน เข้ามาเท่าไหร่ จ่ายออกเท่าไหร่ มีค่าเสื่อมมาบวกกลับเท่าไหร่ ปล. ถ้ามีกำไร แต่ไม่มีเงิน บ.ก็จ่ายปันผลไม่ได้ หรือไม่งั้นต้องกู้เงินมาจ่าย ลืมกด quote ROYNET ปะครับ
โดย
manuel
อาทิตย์ ส.ค. 15, 2010 5:56 pm
0
0
ถามพี่ๆ ครับว่า..มีตัวอย่างบริษัทที่มีกำไรแต่เจ๊งมั้ยครับ...
ROYNET ปะครับ
โดย
manuel
อาทิตย์ ส.ค. 15, 2010 5:55 pm
0
0
DVD สัมมนา TVI#2 เปิดรับโอนเงินเพื่อซื้อสินค้าได้แล้วนะครับ
ลงชื่อจองด้วยครับ ได้2เด้ง 1.ความรู้ 2.สนับสนุนเวบที่ดีๆอย่างนี้
[email protected]
โดย
manuel
ศุกร์ ก.ค. 23, 2010 1:48 am
0
0
อาจารย์มนตรี กับคุณพรรณ จะมีเปิดคอร์สอีกหรือเปล่าครับ
ถ้าเปิดจอง 3 ที่ด้วยนะครับ
โดย
manuel
จันทร์ ก.ค. 05, 2010 9:37 am
0
0
DVD สัมมนา TVI#2 เปิดรับโอนเงินเพื่อซื้อสินค้าได้แล้วนะครับ
ขอจองด้วย 1 ชุดครับ
[email protected]
โดย
manuel
เสาร์ ก.ค. 03, 2010 1:05 am
0
0
เด็กเลี้ยงแกะมาแว้ว(๑๙มิย๒๕๕๓) ภาค วีไอเฟมินิสต์
+1 ไปอีก1เสียงครับ ขอบคุณเนื้อหามัีนส์ๆ ครับ สรุป เอามันครับ
โดย
manuel
อังคาร มิ.ย. 22, 2010 1:40 am
0
0
เอกชน ช็อค ศาลปกครอง ยกคำร้อง 30 โครงการมาบตาพุด !!!!!!!!!
เรืออะไรเหรอครับ
โดย
manuel
เสาร์ ม.ค. 23, 2010 1:00 pm
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
รบกวนขอใหม่อีกทีหน่อยครับพอดี ติดไวรัสลบยกเครื่องเลยครับ ขอบคุณมากครับ
[email protected]
โดย
manuel
เสาร์ พ.ย. 14, 2009 12:37 am
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
รบกวนอีกทีครับ
[email protected]
ขอบคุณครับ
โดย
manuel
พฤหัสฯ. มี.ค. 20, 2008 3:07 am
0
0
อับดุล online
ป๋มเอง says: หาแฟนให้หน่อยดิ
[email protected]
says: ผมเองยังเอาตัวไม่รอดเลย จะช่วยได้มั้ยเนี่ย T_T *** กวนมาก
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 6:12 pm
0
0
อับดุล online
ป๋มลง add ละครับเป็นคนตอบเลย :oops: :oops: Ex ป๋มเอง says: "help"
[email protected]
says: เหอๆ ป๋มเอง says: กำคนเหรอเนี่ยครับ
[email protected]
says: ครับ ป๋มเอง says: พอดีเห็นในนี้ http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=30222
[email protected]
says: ขอบคุณครับ ป๋มเอง says: นีกว่าเป้น software *-*'
[email protected]
says: เหอๆ
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 5:39 pm
0
0
ไม่รู้ว่ามปล่อยไก่หรือเปล่าภาค 2
ขอบคุณมากครับ
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2007 9:40 am
0
0
ไม่รู้ว่ามปล่อยไก่หรือเปล่าภาค 2
รบกวนคุณคนขายของ ตลาด mai กดยังไงนะครับ :oops: :oops:
โดย
manuel
พุธ ธ.ค. 05, 2007 9:28 am
0
0
เพื่อนๆ มีใครใช้ pocket PC phone อยู่บ้างครับ
หนับหนุน PDA Asus ครับ P535 ความเร็วของเครื่อง Feature ต่างๆๆครบหมดมีตินิดหน่อยคือไม่รองรับ EDGE ครับนอกนั้นมีหมด ผมใช้อยู่ก็ OK นะครับ 02 ก็ดีแต่ผมว่าด้วยCPU ที่ช้าไปหน่อยทำให้เวลาเรียกโปรแกรมแล้วเครื่องจะค้างบ่อยไปนิดนึงผมเลยเปลี่ยนมาใช้ ASUS ก็ Happy ดีแต่เข้า iphone นี้ซิยั่วยวนเหลือเกิน
โดย
manuel
จันทร์ พ.ย. 12, 2007 12:03 pm
0
0
ผลประกอบการ ไตรมาส3/2550
สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3)15/08/2550 08:32 KCAR : สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3) สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อยไตรมาสที่2(F45-3) บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) สอบทาน (หน่วย : พันบาท) สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน งบการเงินรวม ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2550 2549 2550 2549 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 51,938 43,732 109,387 86,145 กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.21 0.18 0.44 0.34 งบการเงินเฉพาะกิจการ ไตรมาสที่ 2 งวด 6 เดือน ปี 2550 2549 2550 2549 กำไร (ขาดทุน) สุทธิ 48,264 41,708 103,098 83,729 กำไร (ขาดทุน) สุทธิต่อหุ้น (บาท) 0.19 0.17 0.41 0.33 ประเภทรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงิน ไม่มีเงื่อนไขและมีข้อสังเกต หมายเหตุ : 1. โปรดดูรายละเอียดงบการเงิน รายงานของผู้สอบบัญชี และหมายเหตุ ประกอบงบการเงินจากระบบบริการข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อมูลที่รายงานข้างต้นนี้ถูกต้องทุกประการ พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดส่งงบ การเงินฉบับเต็มผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของตลาดหลักทรัพย์และส่งต้นฉบับให้กับสำนักงาน ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว ลงลายมือชื่อ _______________________ ( นายศักดิธัช จันทรเสรีกุล ) ตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ
โดย
manuel
พฤหัสฯ. พ.ย. 08, 2007 3:36 pm
0
0
The Snowball
1 vote
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ต.ค. 18, 2007 6:20 pm
0
0
แจก EPS16YEAR (งบดุล ย้อน 19 ปี,ราคา,Ratio,แบบเครดิตภาษี)
ขอupdate ด้วยครับ ขอบคุณครับ
[email protected]
โดย
manuel
ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 9:52 am
0
0
ขึ้นจังหุ้นพวกนี้
ptl < 3.9 irc < 8.2 ขอบคุณเพื่่อนๆๆพี่ๆๆน้องๆๆที่ให้ความรู้ครับ
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ก.ย. 13, 2007 9:53 am
0
0
TDEX
ของเล่นใหม่มาแล้ว TDEX คาดวันนี้ร้อน! บลจ.วรรณ-ตลท. มั่นใจ TDEX ของเล่นใหม่ชาวหุ้นร้อนสุดขีดวันนี้ หลังได้แรงหนุนจาก แบงก์ชาติ ที่ประกาศยกเลิกเกณฑ์กันสำรอง 30% ขณะที่นักวิเคราะห์ลังเล ขอดูสถานการณ์ก่อน จับตา KGI เดือดรับอานิสงส์ในฐานะเป็นมาร์เก็ตเมคเกอร์ และที่พลาดไม่ได้ หุ้นเล็กเลือดลมดี อาจอาศัยจังหวะเหมาะแอบมาเป็นพรวน ต้องระวังเป็นหนังม้วนเดียวจบ เพราะของที่มาแรงมักไป แรงเช่นเดียวกัน * 6 ก.ย. ดีเดย์เปิดเทรด TDEX วันนี้ 6 กันยายน 2550 ถือเป็นฤกษ์ดีที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ต้อน รับน้องใหม่ “ThaiDEX SET50 ETF” อิควิตี้ อีทีเอฟ กองแรกของไทย ที่จะเข้าซื้อขายเป็นวัน แรกในหมวดหน่วยลงทุน (Unit Trust) โดยใช้ชื่อย่อว่า “TDEX” ที่สามารถซื้อขายได้ real time ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ทุกแห่ง โดย ETF มี บลจ.วรรณ เป็นผู้จัดการกองทุน มีหน้าที่บริหารพอร์ตการลงทุนให้ได้ผลตอบ แทนการลงทุนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง SET50 และมี บล.เคจีไอ (มหาชน) เป็นผู้ดูแลสภาพ คล่องหรือ มาร์เก็ต เมคเกอร์ ซึ่งทำหน้าที่สร้างสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อทำให้ได้รับ ความนิยมอย่างรวดเร็วและแพร่หลายในที่สุด 'ThaiDEX SET50 ETF' ถูกระบุว่า เป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ผสมผสานจุดเด่นทั้ง ของหุ้นและกองทุนรวม นับเป็นปรากฎการณ์ใหม่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็น กองทุนเปิดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นตัวหนึ่งซึ่งอ้างอิง กับดัชนี SET50 โดยการลงทุนแบบตะกร้าหุ้น ที่อำนวยความสะดวก เพิ่มศักยภาพ และตอบ สนองความต้องการในการลงทุนได้เป็นอย่างดี ทั้งผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน * บลจ.วรรณ คุย นลท.จองไอพีโอ ได้กำไรแล้ว ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า นักลงทุนทั้งรายย่อยและ สถาบันที่ได้จองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน ETF หรือชื่อย่อในการซื้อขาย TDEX มีโอกาสสูงที่จะ ได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างมูลค่าหน่วยลงทุนทันทีในวันแรกที่เข้าซื้อขาย เพราะกองทุนดังกล่าว อ้างอิงกับดัชนี SET50 การเคลื่อนไหวของราคาหน่วยลงทุนจึงควรเป็นไปในทิศทางเดียวกับ ดัชนี SET50 ทั้งนี้ ราคาไอพีโอของหน่วยลงทุน ETF อยู่ที่ 5.68 บาท คำนวณจาก SET 50 ปิดทำการ ณ วันที่ 29 ส.ค.ที่ระดับ 567 จุด ขณะที่ปัจจุบันระดับดัชนี SET50 ได้รับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งวานนี้ปิดที่ระดับ 588.15 จุด ดังนั้นหากวันนี้ดัชนีอ้างอิงไม่ผันผวนมากจนเกินไปก็จะเป็น ประโยชน์กับผู้ลงทุน 'การขึ้นหรือลงของราคา ETF ค่อนข้างจะขึ้นอยู่กับดัชนีอ้างอิงมากกว่าปริมาณการซื้อขาย หน่วยลงทุนซึ่งเราคำนวนต้นทุน ณ สิ้นวันที่ 29 ส.ค. ได้ 5.6798 โดยเอาค่า SET50 มาหารด้วย 100 ดังนั้นถ้าเทียบกับราคาปัจจุบันที่ดัชนีฯ อยู่ที่ 588.15 จุดแล้วหารด้วย 100 ก็จะได้ 5.88 บาทต่อหน่วย ย่อมถือว่าผู้ลงทุนมีกำไรทันที' ดร.สมจินต์ กล่าว * ตลท. เชื่อ นลท.สนใจล้น เหตุซื้อขายสะดวก-ค่าธรรมเนียมต่ำ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า เชื่อว่า ETF จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนทั้งสถาบันและผู้ลงทุนบุคคลอย่างแน่นอน เนื่องจากซื้อขายได้สะดวก ติดตามราคาได้แบบ real time มีผู้ดูแลสภาพคล่อง เหมาะสำหรับผู้ลง ทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นแต่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นโดยตรง รวมทั้ง ช่วยให้ ผู้ลงทุนสถาบันบริหารจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเสียค่า ธรรมเนียมในการซื้อขายเพียงร้อยละ 0.10 เท่านั้น ทั้งนี้ กองทุน ETF ทั่วโลกมีการขยายตัวของมูลค่าทรัพย์สิน (asset under management) ในอัตราการเติบโตแบบสะสม (Compound Annual Growth Rate) ประมาณร้อยละ 70 หรือเกือบเท่าตัวทุกปีตั้งแต่ปี 2536 โดย ณ พฤษภาคมปี 2550 มูลค่า สินทรัพย์ของทุกกองทุน ETF ทั่วโลกมีรวมกันกว่า 22 ล้านล้านบาท โดยทุกตลาดหลักทรัพย์ใน ภูมิภาคเอเชียไม่ว่าจะเป็นตลาดเกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ หรือแม้กระทั่งตลาดใหม่อย่างจีน ได้มี การจัดตั้งและซื้อขาย ETF แล้ว * แบงก์ชาติผ่อนเกณฑ์สำรอง 30% หนุนอีกแรง ล่าสุดบ่ายวานนี้ นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย (ตลท.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนผันโดยยก เว้นเกณฑ์สำรอง 30% สำหรับเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น กรณีต่างชาติจะลงทุนใน ETF โดยให้มี ผลในทางปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.นี้ซึ่งเป็นวันแรกที่หน่วยลงทุน ETFจะเข้าซื้อขายในตลาดหลัก ทรัพย์ฯ โดย ธปท. ได้ระบุในหนังสือที่ส่งถึงธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งว่า ตลท. ได้ออกผลิตภัณฑ์ทาง การเงินประเภทใหม่คือ กองทุนรวม ETF ซึ่งจดทะเบียนใน ตลท.และมีหลักเกณฑ์ในการซื้อขาย เช่นเดียวกับหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการซื้อขายกองทุนรวม ETF เจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินจึงพิจารณาให้นำหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับ การกันเงินสำรองบัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศมาใช้กับหน่วยลงทุนของกองทุน รวม ETF เฉพาะที่อ้างอิงดัชนีราคาหุ้น โดยให้ถือปฏิบัติเป็นตราสารทุน กรณีจะได้รับยกเว้นการกันเงินสำรอง หากนำเงินเข้าบัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ นอกประเทศ เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะการลงทุนในตราสารทุนและสัญญาล่วงหน้า (SNS) ทั้งนี้ ให้ นิติบุคคลรับอนุญาต นำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของบัญชี SNS มาใช้ปฏิบัติกับเงินลงทุนในกอง ทุนรวม ETF ด้วย * เชื่อ ETF ขยายตัวเต็มมูลค่า 5 พันลบ. ใน 1 ปี ดร.สมจินต์ มั่นใจว่า การที่ ธปท. ยินดีที่จะยกเว้นเกณฑ์มาตรการกันสำรอง 30% กับผู้ลง ทุนต่างประเทศที่ซื้อขายหน่วยลงทุนกองทุน ETF นั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับ TDEX เพราะจะทำให้รูปแบบการลงทุนสอดคล้องกับสถานะที่แท้จริงของ ETF ซึ่งมีลักษณะเข้าเกณฑ์ หุ้นมากกกว่ากองทุน การถือครองหน่วยลงทุนจะทำได้สะดวกขึ้น 'การยกเลิกมาตรการ 30% นับว่าสอดคล้องกับตัว ETF เพราะรูปแบบการถือครองเป็น แบบหุ้น ซึ่งการอนุญาตตรงนี้จะช่วยให้นักลงทุนต่างชาติที่รอลงทุนจะเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนมาก ขึ้นส่งผลดีอย่างมีนัยสำคัญ' ดร.สมจินต์ กล่าว ทั้งนี้ประเมินการขยายตัวของกองทุนเปิด ETF ว่า จะสามารถขยายตัวจนเต็มมูลค่า โครงการ 5 พันล้านบาทได้ ภายใน 1 ปีนับจากนี้ จากปัจจุบันมีมูลค่ากองทุนประมาณ 1 พันล้าน บาท เพราะนอกเหนือจากกองทุน ETF จะได้รับผลดีจากการยกเว้นมาตรการกันสำรอง 30% แล้ว ด้วยรูปแบบการลงทุนซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกเพราะมีความ เสี่ยงต่ำ แต่ใช้เงินลงทุนขั้นต่ำไม่สูงมีค่าธรรมเนียมการดำเนินงานน้อย จะเป็นตัวหนึ่งที่ดีสำหรับผู้ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯมาก่อนให้มาลงทุน ได้ ดร.สมจินต์ กล่าวด้วยว่า หากกองทุน TDEX ประสบความสำเร็จตามคาดทางบริษัทฯ จะมี การออกกองทุน ETF รูปแบบใหม่เพิ่มเติมโดยอาจอ้างอิงดัชนีหลักทรัพย์เฉพาะหมวด เช่น ที่ เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานหรือธุรกิจเฉพาะด้านอื่นๆ * โบรกฯ ไม่ฟันธง ETF คึกหรือไม่ ขอดูสถานการณ์ก่อน ฟากโบรกเกอร์เอง มีความคิดเห็นแตกต่างกัน ทั้งเชื่อว่า ETF จะคึกคัก และไม่มั่นใจว่า จะคึกคักหรือไม่ เพราะเป็นสินค้าใหม่ โดยนายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต เปิดเผยว่า ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ETF จะได้รับความสนใจจาก นักลงทุนมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ ธปท. ยกเลิกเกณฑ์กันสำรอง 30% เนื่องจากต้องรอดู สถานการณ์ก่อน นอกจากนี้ ยังไม่ทราบว่านักลงทุนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนรูปแบบใหม่ มากน้อยแค่ไหน 'ยังบอกไม่ได้ว่า ETF วันนี้จะยืนเหนือไอพีโอ ที่ 5.68 บาท/หน่วย หรือไม่ เพราะเราจะ ต้องดูว่านักลงทุนเข้าใจมากน้อยแค่ไหน และทฤษฎีอาจจะแตกต่างจากปฎิบัติก็ได้ ซึ่งคงต้องรอดู พรุ่งนี้ถึงจะบอกได้ว่าจะทำให้สภาพคล่องของตลาดหุ้นไทยดีขึ้นหรือเปล่า' นายแสงธรรม กล่าว ขณะที่ นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า เชื่อว่าการเปิดซื้อขายวันแรกของกองทุน ETF ภายใต้ชื่อ TDEX วันแรกน่า จะมีการซื้อขายคึกคัก และเปิดการซื้อขายเหนือจองได้ เพราะถือว่ากองทุน ETF เป็นสินค้าใหม่ และทางการได้เปิดให้ต่างชาติเข้ามาซื้อลงทุนได้โดยที่ไม่ต้องถูกหักสำรอง 30% นอกจากนี้ ราคาไอพีโอของหน่วยลงทุน ETF อยู่ที่ 5.68 บาท ซึ่งคำนวณจาก SET 50 ที่ ระดับ 567 จุด (29 ส.ค.) นั้น เมื่อเทียบกับปัจจุบันระดับดัชนีของ SET 50 อยู่ที่ 590 จุด ดังนั้น นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าวในตอนนี้ถือว่ามีกำไรแล้ว และจะส่งผลให้การซื้อขายในวันพรุ่งนี้ คึกคักอย่างแน่นอน ทั้งนี้ แนะนำ 'ซื้อ' เมื่ออ่อนตัวที่ระดับราคา 5.80 บาท ส่วนนายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า มองว่า กองทุน ETF หรือ TDEX ถือว่ามีความน่าสนใจพอสมควร เนื่องจาก ETF เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทยโดยรวมได้ ซึ่งหากนักลงทุนสนใจจะเข้าซื้อควรจะรอ จังหวะให้ตลาดโดยรวมอ่อนตัวลงก่อน ด้านนายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การซื้อขาย ETF จะคึกคักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเข้าใจของนักลงทุนต่อสินค้าตัวดังกล่าว ซึ่งหาก วันนี้เปิดซื้อขายคึกคัก ภายในวันเดียวกันนั้นก็น่าจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนเข้ามามาก แต่หากเปิด ซื้อขายไม่คึกคัก หลังจากนั้นแรงซื้อเข้ามาก็อาจจะมีน้อย * หวังช่วยหนุนหุ้นไทยคึกยามไร้ปัจจัยบวกหนุน การเปิดซื้อขาย TDEX วันนี้ ทำให้นักลงทุนมีความคาดหมายว่า น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทย คึกคักได้บ้าง ในยามที่ตลาดฯ ไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆ หนุน ขณะที่นักลงทุนยังฝากความหวังไว้กับ ดัชนีดาวโจนส์ และตลาดหุ้นภูมิภาค ราคาน้ำมันในตลาดโลก และการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคาร กลางสหรัฐ หรือ เฟด ในการประชุม 18 กันยายนนี้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยความกังวลด้านการเมืองในประเทศเข้ามาแทรกเป็นระยะ โดย เฉพาะล่าสุดข่าวการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนใหม่ว่าจะเป็นใคร ซึ่งประเด็นนี้ได้ รับคำยืนยันจาก พลเอกบุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วว่า ไม่เกินวันพรุ่ง นี้ (7 ก.ย.) จะได้ข้อสรุป โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดที่ระดับ 814.50 จุด เพิ่มขึ้น 3.64 จุด หรือ 0.45% พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายเบาบาง 12,458.89 ล้านบาท * จับตา KGI วิ่งรับอานิสงส์ในฐานะมาร์เก็ตเมคเกอร์ TDEX ยังทำให้หุ้น บล.เคจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ได้รับความสนใจจากนักลงทุน อีกครั้ง ในฐานะที่เคยเป็นตัวแทนจำหน่าย หรือดีลเลอร์ และปัจจุบันยังทำหน้าที่เป็นมาร์เก็ตเม คเกอร์ของ TDEX ซึ่งในประเด็นนี้ ทำให้ บล.เอเซีย พลัส มีบทวิเคราะห์ให้คำแนะนำซื้อสะสม KGI (
[email protected]
) เนื่องจากผลดีดังกล่าว ส่วนราคาหุ้น KGI ปิดตลาดวันที่ 5 กันยายน 2550 ที่ระดับ 2.86 บาท ลดลง 0.06 บาท หรือ 2.06% มูลค่าการซื้อขาย 201.67 ล้านบาท * หุ้นเล็กรอจังหวะบวก แต่ต้องระวังมาแบบม้วนเดียวจบ ที่ขาดไม่ได้ในยามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะคึกคัก คือ หุ้นเล็กๆ ซื้อง่ายขาย คล่องที่มักจะมาในเวลาอันรวดเร็ว แต่ต้องระวังให้มาก เพราะการมาในลักษณะเช่นนี้อาจเป็นหนัง ม้วนเดียวจบ คือ วิ่งกระฉูดในวันเดียวแบบไม่มีปัจจัยใดๆ สนับสนุน และวันรุ่งขึ้นไม่มีการซื้อขาย ที่คึกคักตามมา หนึ่งในหุ้นที่เข้าข่ายเตะตานักลงทุนแบบที่ว่ามานี้ อาจดูตัวอย่างได้จากหุ้น บริษัท เอ.เจ. พลาสท์ จำกัด (มหาชน) (AJ) ที่วานนี้วิ่งไปทำราคาสูงสุดที่ระดับ 3.30 บาท ก่อนจะปิดอ่อนตัวลง ที่ 3.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.38 บาท หรือ 13.97% มูลค่าการซื้อขาย 70.93 ล้านบาท โดยบริษัทฯ เอง ยังไม่ทราบสาเหตุหุ้นพุ่ง และกำลังตรวจสอบอยู่ โดยแหล่งข่าวระดับสูงจาก AJ เปิดเผยว่า ยังไม่ทราบสาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นใน รอบ 1 ปีที่ผ่านมา โดยในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลและสอบถามไปยังโบรกเกอร์ แต่ในด้านของปัจจัยพื้นฐานบริษัทฯ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังไม่ข่าวบวกใหม่ๆ เข้า มาสนับสนุน ขณะที่นักวิเคราะห์เทคนิค บล.ฟิลลิป เปิดเผยว่า การปรับราคาเพิ่มขึ้นของ AJ ตั้งแต่เปิด ตลาดช่วงบ่ายของวัน มาจากจากสัญญาณทางเทคนิคที่เหวี่ยงตัวค่อนข้างแรง แต่ไม่แนะนำให้นัก ลงทุนเข้าซื้อ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นการปรับราคาขึ้นแบบไร้ปัจจัยหนุน ประกอบกับ เป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีมูลค่าการซื้อขาย โดยคาดว่านักลงทุนจะเทขายภายใน 1-2 วันนี้ โดยประเมิน แนวรับไว้ที่ 3.00-2.80 บาท แนวต้านที่ 3.30-3.52 บาท * LIVE ครบกำหนดห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้นรอบ 2 ในวันเดียวกันนี้ นักลงทุนต้องไม่ลืมว่าจะครบกำหนด 30 วันที่ ตลท. สั่งห้ามซื้อขายใน ลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) ในรอบที่ 2 ของ บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LIVE โดยหลายฝ่ายเชื่อว่า LIVE จะไม่โชคร้ายถูกห้ามเน็ตฯ-มาร์จิ้น รอบ 3 เพราะในช่วงระยะ เวลา 30 วันรอบ 2 นี้ ไม่มีปรากฏว่าราคาหุ้น LIVE จะเคลื่อนไหวผิดปกติแต่อย่างใด และมีความ คาดหวังว่าหุ้น LIVE จะค่อยๆ หวนคืนสู่วงการหุ้นเก็งกำไรแบบค่อยเป็นค่อยไป
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ก.ย. 06, 2007 9:50 am
0
0
TDEX
ตลท.อนุมัติให้กองทุน TDEX เข้าเทรดได้ 6 ก.ย.นี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขอแจ้งว่าคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ได้สั่งให้รับหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ เป็นหลักทรัพย์จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2550 เป็นต้นไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเห็นควรกำหนดให้หน่วยลงทุนของกองทุนเปิดไทย เด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) จำนวน 880,281,690 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 5.68 บาท มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2550 โดยจัดอยู่ในหมวดหน่วยลงทุนและใช้ชื่อย่อในการซื้อ ขายหลักทรัพย์ว่า TDEX ทั้งนี้จำนวนหน่วยลงทุนที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและ ซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยอัตโนมัติตามจำนวนที่บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณจำกัด ขายเพิ่มหรือรับซื้อคืนในแต่ละวัน อนึ่ง TDEX เป็นหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดซึ่งผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อ ขายหน่วยลงทุนได้2 ระบบ คือ ผู้ลงทุนสามารถทำรายการซื้อขายหน่วยลงทุนผ่านผู้ ร่วมค้าหน่วยลงทุน (ParticipatingDealers :PD) ด้วยวิธีส่งมอบตะกร้าหลักทรัพย์ ตาม ขั้นตอนและวิธีการที่ผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุนกำหนด และผู้ลงทุนสามารถทำรายการซื้อ ขายหน่วยลงทุนผ่านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นตลาด หลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนใน TDEX โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุนที่ www.one-asset.com และติดตามข้อมูล เกี่ยวกับประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนต่อหน่วยและมูลค่าหน่วยลงทุนรวม ซึ่งบริษัทหลัก ทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด จะประกาศผ่านระบบ SETSMARTและ www.set.or.th หรือเว็บไซด์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัดที่ www.one-asset.com เพื่อผู้ลงทุนจะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่าง เหมาะสม และเพียงพอ
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ก.ย. 06, 2007 9:50 am
0
0
TDEX
ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสินค้า : TDEX04/09/2550 14:08 TDEX : ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสินค้า : TDEX ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มสินค้า : TDEX ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขอแจ้งว่าคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ได้สั่งให้รับ หน่วยลงทุนของกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2550 เป็นต้นไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเห็นควรกำหนดให้หน่วยลงทุนของกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) จำนวน 880,281,690 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 5.68 บาท มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2550 โดยจัดอยู่ในหมวดหน่วยลงทุนและ ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า TDEX ทั้งนี้จำนวนหน่วยลงทุนที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยอัตโนมัติตามจำนวนที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ขายเพิ่มหรือรับซื้อคืนในแต่ละวัน อนึ่ง TDEX เป็นหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดซึ่งผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายหน่วยลงทุนได้ 2 ระบบ คือ ผู้ลงทุนสามารถทำรายการซื้อขายหน่วยลงทุนผ่านผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน (Participating Dealers :PD) ด้วยวิธีส่งมอบตะกร้าหลักทรัพย์ ตามขั้นตอนและวิธีการที่ผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุนกำหนด และผู้ลงทุนสามารถทำรายการซื้อขายหน่วยลงทุนผ่านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนใน TDEX โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในหนังสือชี้ชวน เสนอขายหน่วยลงทุนที่ www.one-asset.com และติดตามข้อมูลเกี่ยวกับประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนต่อหน่วย และมูลค่าหน่วยลงทุนรวม ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด จะประกาศผ่านระบบ SETSMART และ www.set.or.th หรือเว็บไซด์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัดที่ www.one-asset.com เพื่อผู้ลงทุนจะได้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม และเพียงพอ หมายเหตุ : ผู้ลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลหน่วยลงทุนได้จากสรุปข้อสนเทศของ TDEX ในระบบบริการข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์ (SETSMART)
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ก.ย. 06, 2007 9:49 am
0
0
ถามเรื่องการทำ tender offer ของ mpt
ขอบคุณคับคุณ miracle :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
โดย
manuel
พฤหัสฯ. ส.ค. 30, 2007 12:10 pm
0
0
แฟน " ปีศาจแดง " " Man U " เชิญทางนี้..
:'O :'O :'O :'O :'O :'O แพ้อีกเฮ้อออออออออออออออออออออออออออออ
โดย
manuel
อาทิตย์ ส.ค. 19, 2007 9:26 pm
0
0
หน้า
1
จากทั้งหมด
1
ชื่อล็อกอิน:
manuel
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อังคาร ก.ค. 17, 2007 1:38 am
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร เม.ย. 17, 2012 3:24 pm
โพสต์ทั้งหมด:
347 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.02% จากโพสทั้งหมด / 0.05 ข้อความต่อวัน)
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว