หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
กูรูขอบสนาม
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
Joined: ศุกร์ มิ.ย. 08, 2007 8:29 pm
987
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - กูรูขอบสนาม
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: ไม่มีแบรนด์/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ
นี่คือข้อผิดพลาดของแบรนด์ราคาปานกลาง-ถูก เมื่อมาให้ห้างสรรพสินค้าที่ขายของแพงทำการตลาด แม้เมื่อปีสองปีที่แล้วจะมีการทำ re strategy ลดราคาลงมา ก็ยังแพงมาก..มาก อีกกรณีหนึ่งที่น่าจะวายวางในไม่ช้าก็คือ ร้านรองเท้า PayLess ซึ่งจัดจำหน่ายโดยเจ้าเดียวกัน เปิดเป็น Shop ในห้างเหมือนกัน ก็น่าจะไปไม่รอด เพราะราคาไม่ได้ pay less เลย pay พอๆกับแบรนด์ทั่วไป อาจจะ more เมื่อเทียบกับบรรดารองเท้าใน discounted store ด้วยซ้ำ นี่คือบทเรียนของแบรนด์ถูกที่ถูกขายแพงจากเจ้าจำหน่าย โชคดีที่ ฺUniqlo ลงมาทำการตลาดเอง จึงสามารถรักษา Pricing ในระดับที่ต้องการได้ (แรกๆได้ยินว่า Central จะขอมีส่วนร่วมด้วย)
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ก.ค. 04, 2016 5:13 pm
0
2
Re: แด่คนช่างวิตกตระหนก Andrew S. Grove
ดีใจที่ได้เจอ คุณหมอ kotaro อีก :D ไม่ได้เข้ามาเขียนกระทู้นานมากแล้ว กลัวเหมือนกันว่าจะยังสื่อสารรู้เรื่องหรือไม่ แต่อ่านจากคำทักทายของคุณหมอ คิดเข้าข้างตัวเองแล้วกันว่า สอบผ่าน แอะ แอะ ว่าจะกล่าวถึงอิทธิพลของคนช่างพารานอยด์ที่เอามาใช้ในการบริหารงาน เคยคุยกับผู้บริหารท่านหนึ่งซึ่งตอนนั้นเป็นเบอร์หนึ่งของบริษัทสื่อสาร ถามว่า "หน้าที่ของท่านทุกวันนี้ทำอะไร" ท่านตอบว่า "ทำวิกฤตทุกวัน" :shock: ว้าว..ในใจเราคิดว่าเจ้าวิกฤตนี่รููปร่างหน้าตาอย่างไรล่ะเนี่ย หล่อสูง คมเข้ม ขนาดไหน ไม่ทันจะได้เลิกคิ้วถาม ท่านก็อธิบายต่อว่า องค์กรที่อยู่ทุกวันนี้ ทุกคนเหมือนอยู่ใน Comfort Zone (ถ้าสมัยนั้น คำว่า Slow Life เกิดขึ้น ก็คงจะบอกว่า ทุกคนที่ทำงานในนี้ทำตัวเป็น Hipster ใช้ชีวิต Slow Slow ไม่เดือดร้อน มีเงินเดือนออกทุกเดือน มีโบนัสทุกปี) ไม่มีใครรู้สึกเลยว่าโลกภายนอกแข่งขันกันขนาดไหน มัวแต่ฮัมเพลง..เธอเห็นท้องฟ้านั่นมั้ย ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ ลัลลา ผม(CEO ท่านนั้น) ก็เลยต้องวางแผนเขย่าองค์กรทุกวัน เพื่อให้ทุกคนสำนึกว่า อย่านั่ง ยืน ย่ำอยู่กับที่นานเกินไป นี่คือ งานประจำของ CEO ผู้พารานอยด์ เมื่อหัวแถวตระหนกวิตกแล้ว ลูกน้องจะอยู่นิ่งก็ใช่ที่ ไล่เรียงความนอยด์ตามลำดับขั้น และความนอยด์เหล่านั้นจะสร้างสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ :P เลยได้ทฤษฎีการบริหารมาอีก นั่นก็คือ"องค์กรพารานอยด์"
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ เม.ย. 23, 2016 8:53 pm
0
2
Re: แด่คนช่างวิตกตระหนก Andrew S. Grove
ขอบคุณคุณ iceberg ที่แสดงความคิดเห็น ไม่ทราบว่าได้อ่านหรือยังเอ่ย มีอะไรดีๆเล่าไว้หรือไม่ ตัวเองยังไม่ได้อ่านละเอียดถึงเล่มนี้ เคยแต่พลิกผ่านบางบท ระยะหลังอ่านหนังสือน้อยลง เพราะเวลาจำกัด บางเล่มก็พิมพ์ตัวอักษรเล็กกะจิดริด อ่านเมื่อยตา ทั้งๆที่มีเนื้อหาน่าสนุก เช่นเล่มนี้ :8) http://www.bradfordgroup.com/wp-content/uploads/2015/06/thinking_fast_and_slow.jpg
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ เม.ย. 23, 2016 9:35 am
0
0
Re: แด่คนช่างวิตกตระหนก Andrew S. Grove
สวัสดีคุณ Dech สบายดีน้า ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ขอบคุณที่เข้ามาทักทาย ไม่ได้ขีดเขียนอะไรมาเป็นปีแล้ว กลัวคลังคำจะขึ้นสนิม ก็เลยเคาะๆดูสักหน่อย :D
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. มี.ค. 24, 2016 8:00 pm
0
2
Re: VI บ้าน ๆ
อย่างคุณนุชต้องเป็น the Millionaire Women Next Door :P เคยย่อคร่าวๆไว้แล้วในกระทู้นี้ http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=15&t=28959&p=335552&hilit=millionaire+women+next+door#p335552
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ มี.ค. 07, 2015 10:23 am
0
2
Re: VI บ้าน ๆ
อาจารย์ท่านทิ้งท้ายไว้ว่า “สังคมไทยดูเหมือนว่าจะมุ่งเข้าสู่สังคม ของการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่ก็น่าจะเอื้ออำนวยต่อสินค้า หรือบริษัทที่เน้นการบริโภคของประชาชนระดับที่เป็น Mass ที่เน้น “ความหรูหรามีระดับ” แต่มีราคาที่คนส่วนใหญ่พอรับได้” เคยมีการนิยามปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น Masstige (Massive +Prestige) แปลเป็นไทยประมาณว่า มหาชนคนหรู
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ มี.ค. 12, 2014 8:14 am
0
4
Re: หุ้นกลุ่ม กระจายสินค้า/ Trading Business
แสดงว่าอีกหน่อยพวก distributor ค้าส่ง ก็จะต้องอยู่ในตลาดเล็กๆ ตลาดเฉพาะสิครับ ที่ modern trade เขาไปไม่ได้ เพราะกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มที่เล็กเกิน ในขณะที่เขาต้องจับตลาดmass ตลาดเล็กบางเซ็ทเม้นท์ เล็กแต่ลึก :P ตลาดสัตว์เลี้ยงปีหนึ่ง 20000 กว่าล้านบาท เฉพาะส่วนของบริการ (Pet shop/ Grooming/ สัตวแพทย์) ประมาณ 30% ถ้าเราเข้าร้านเหล่านี้ จะเห็นผลิตภัณฑ์แบรนด์เล็กแบรนด์น้อยที่ไม่ปรากฏใน Modern Trade เต็มไปหมด เช่นเดียวกับ ตลาดเสริมสวย ก็จะมีร้านผูกขาดที่ห้างเสริมสวย ทำเล็บ ทำผม ซื้อของประจำ (ไม่ใช่ Modern Trade แน่ๆ เพราะไม่ได้เครดิตและส่วนลด) ร้านนั้นก็เลยทำตัวเป็น Distributor เพิ่มบริการส่งของถึงที่ (ช่างทำผม เสริมสวย ไม่มีเวลาไปช้อปเพราะต้องบริการลูกค้าตลอด) ที่เราพูดคุยกันอยู่ เรายกตัวอย่างสินค้าประเภท Fast Moving Consumer Goods มีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ไม่ได้ขายผู้บริโภคโดยตรง 3M ที่เพื่อนๆรู้จักกันดี ขายตรงเข้า Modern Trade ในส่วนของ Consumer Goods แต่ในส่วนของ Industrial Usage ก็ผ่าน Distributor อีกราย ที่เก่งในการขายของเข้าโรงงานแทน :P ความเสี่ยงสำหรับ Distributor ในการดำเนินธุรกิจกับ ร้านค้าย่อยเหล่านี้ก็คือ หนี้เสียหรือชำระหนี้ช้า ( ถ้าไม่แน่ใจ เก็บสดดีกว่า) :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ต.ค. 07, 2013 7:46 am
0
1
Re: นางนวลกลางใจคนตุลา
[youtube]5DDe6mYWX4o[/youtube] ในกาลต่อมา นางนวล เพลงเดิมถูกนำมาเรียบเรียงร้องเป็นเพลงประสานเสียง โดยคณะนักร้องวงเจ้าพระยาคอรัส มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรจุเป็นหนึ่งในเทปเพลงชุดสายธารธรรม ฟังดูก็ได้รู้สึกเพราะไปอีกแบบ ปัจจุบันเทปชุดนี้กลายเป็นหนึ่งในมาสเตอร์ที่หายากแล้ว อัลบั้มนี้เป็นเทปเก่าบันทึกแสดงสดที่ หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ เป็น คณะใหญ่ ลักษณะร้องเพลงประสาน เสียงโดยนักศึกษาธรรมศาสตร์ ไม่ค่อยมีเทปแนวนี้นักในประเทศไทย แต่ชุดนี้ ทำออกมาได้อย่างดี คัดเลือกเพลงทีมีเนื้อหาดีๆ หลายเพลง เช่น เพลงนางนวล เพลงอมตะ และ เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ที่ร้องประสานเสียงกับ เปียโน http://www.santipap.com/tape.htm สังเกตดูว่า ยังไม่มีการบันทึกชื่อผู้แต่งเพลง นางนวล จนถึงเวลานั้น (คาดว่ายังไม่ได้เปิดเผยตัว)
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ต.ค. 05, 2013 7:09 pm
0
0
Re: หุ้นกลุ่ม กระจายสินค้า/ Trading Business
เห็นกระทู้นี้มาพักหนึ่งแล้ว ขอกลับไปทำ research ก่อน แล้วค่อยมาเสริมความคิดเห็นให้กับคุณหมอ ก่อนอื่นคงต้องย้อนกลับไปดูที่มาของธุรกิจ Distribution ว่ามีกี่ประเภท ว่าไปที่จริง การกระจายสินค้าก็คือหน้าที่ของฝ่ายขายนั่นเอง สมัยก่อนเวลาพูดถึงแผนก Sales ก็มักจะครอบคลุมเรื่อง Distribution ไปด้วย เพราะตอนนั้นยังไม่มีศัพท์ประเภท Logistics เข้ามา ธุรกิจการขายและกระจายสินค้าจึงออกมาใน 2 ลักษณะ 1. ผู้ผลิตมีสินค้าเอง จัดจำหน่ายและกระจายเองเฉพาะของแบรนด์ตัวเอง เช่น บริษัทใหญ่ๆทั้งหลายที่มีโรงงานผลิตสินค้าในเครือ ดังที่เพื่อนๆและคุณหมอ Kotoro เกริ่นไว้ตอนต้น 2. ผู้ผลิตจำหน่ายสินค้าในเครือ และรับจำหน่ายให้กับพันธมิตรแบรนด์อื่นๆที่ไม่ขัดแย้งกัน ในเมื่อต้องเจาะช่องทาง Buyer รายเดียวกันแล้วก็พ่วงสินค้าตัวอื่นๆไปด้วยกันซิ เผื่อมีอำนาจต่อรองมากขึ้น หรือเป็นขนม น้ำจิ้ม สร้างสีสัน ตื่นเต้นประปรายบ้าง เราจะเห็นจุดเริ่มต้นของสินค้านอกเครือด้วยการเป็นของแถมชิมลางก่อนจะถูกจัดเข้า Shelf ภายหลัง ถ้าสินค้านั้น Work 3. บริษัทไม่มีสินค้าเอง ทำหน้าที่จำหน่ายและกระจายอย่างเดียว เช่น DKSH รวมไปถึงบริษัทที่ Import แบรนด์นอกเข้ามาด้วย อย่าง พิริืยะพูล หรือ ซิโน แปซิฟิค รวมทั้ง บริษัทน้องใหม่ Winner IPO (ขอบอกว่าเส้นพาสต้าและน้ำมันมะกอกเอามาทำกับข้าวรสชาติใช้ได้ทีเดียว ราคาก็สมเหตุสมผล) เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับ ซิโน แปซิฟิค ในประเด็นของการแข่งขันและไหวทันกับสถานการณ์การตลาด บริษัทในลักษณะที่ 3 นี่แหละจะมีดีกรีของการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพราะไม่มีหลังพิงฝาหรือมือที่โอบอุ้มจากบริษัทแม่ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นบริษัทเหล่านี้ มีอัตราผลกำไรไม่มาก เพราะ Commission ของ Distributorship จริงๆ น้อยรายที่จะได้ถึงหลักสิบกลางๆ (อย่างมากก็ต้นๆ) ยกเว้นเป็นสินค้าเฉพาะจริงๆ เช่น ยารักษาโรค เวชภัณฑ์การแพทย์ มิหนำซ้ำ สินค้าแบรนด์ที่ฟูมฟักแต่เริ่มก่อเกิด เมื่อเติบใหญ่และมีอนาคตตตตต เจ้าของแบรนด์ (Principal)ก็จะนำกลับไปเลี้ยงดูเอง ก็เลยถูกเปรียบเทียบเป็นแม่กาฟักลูกให้คนอื่น แรกๆอาจจะเจ็บใจบ้าง แต่นี่คือโลกของธุรกิจ อย่ามัวเสียเวลาคับแค้นนานนัก เพราะตัวเลขยอดขายวิ่งตามหลังเราตลอด ต้องหาสินค้าแบรนด์อื่นๆมาเสริมแทน อุปสรรคด่านสำคัญที่เพิ่มอำนาจเงื้อมมือคุกคามขณะนี้ก็คือ ระบบการค้า Modern Trade ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าระบบพาณิชย์บ้านเราจากเดิมสิ้นเชิง ทำให้เกิดระบบ Short Cut ตัดตัวกลางยี่ปั๊ว ซาปั๊ว หายออกไป อย่างไรก็ดี โชว์ห่วย ค้าปลีกเล็กๆในต่างจังหวัดก็ยังมีหนทางและระยะเวลาอยู่รอด( ไม่รู้กี่ปี) บริษัทใหญ่ๆอีกนั่นแหละ ก็ยังสามารถตั้งระบบ Jobber หรือ Concessionaire รับผิดชอบหน่วยจำหน่ายและกระจายสินค้าในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายได้ ทีนี้ มาดูซิว่า Distributor Business Model จะอยู่ในระบบ Modern Trade อย่างสมน้ำสมเนื้อได้อย่างไร ในกรณีที่เป็นบริษัทจัดจำหน่ายอย่างเดียว 1. Mean & Lean องค์กรจ้องปรับขนาดให้ผอมและเคลื่อนไหวทันท่วงที เพราะรายได้มาจากแค่ Commission เท่านั้น ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ( ยกเว้นคนทำงาน) เราจะไม่เห็นบริษัท Disitributor เหล่านี้ ตกแต่งอาคารหรูหรา ( ไปดู DKSH ที่บางจากก็เหมือนโรงงานตึกสี่เหลี่ยมธรรมดา เผลอๆนึกว่าเข้าไปในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า) งบประมาณในการสร้างแบรนด์หรือ Entry Fee เจ้าของแบรนด์เป็นคนออกอยู่แล้ว ฉะนั้นค่าใช้จ่ายส่วนนี้จึงลอยตัวไป ยกเว้นเราเป็นคนนำแบรนด์นั้นเข้ามาเอง 2. Flexible รู้ว่าไม่มีแบรนด์ไหนอยู่กับเราตลอดไป ยอมรับความจริงข้อนี้เสีย มองหาโอกาสใหม่ๆตลอดเวลาเผื่อการทดแทนแบรนด์ที่ตีจาก รวมทั้งบุคลากร กลยุทธ์องค์กร เพราะไม่ใช่แค่แบรนด์(และเม็ดเงิน)เท่านั้นที่ไป บางครั้ง Principal ก็เอาแผนกที่ดูแลทั้งยวงไปหมดเลย เพื่อตั้งทีมขายใหม่ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ยอดขายก็ต่อเนื่อง ผู้บริหารระดับสูงต้องดูแล Portfolio ของลูกค้าตลอดเวลา รายไหนจะไป รายไหนน่าจะได้มาทดแทน ลูกค้าบางรายไปทีหนึ่ง เม็ดเงินหายไปครึ่งหนึ่งก็มี ก็อย่ารอช้าเอาแบรนด์คู่แข่งเข้าเสียบได้เลย ถ้าไม่มีสัญญาตกลงกันไว้ก่อน 3. Bargaining Power กับ Modern Trade เราอยากจะเป็นพันธมิตรกับ Modern Trade หรอกนะ แต่รู้สึกทาง Modern Trade ไม่ค่อยมีทัศนะคติที่เป็นมิตรกับบรรดาคนขายของเท่าไหร่นัก เอาเถอะ ด้วยอาชีพ หน้าที่ของเขาเป็นเช่นนั้นเอง ก็รู้ๆนิสัยและทัศนะคติกันไว้ บุคลิกของ Modern Trade จะถูกสอนให้จำขึ้นใจว่าเลยว่า “ได้คืบ เอาศอก” หรือจะรุนแรงกว่านั้นก็คือ "จงเป็นศัตรูกับ Supplier ทุกราย" (ข้อนี้ ห้าง "รถเต็ม" สอน Buyer เป็นคติประจำใจ ) ฉะนั้น เมื่อเรายื่นนิ้วไปหนึ่งนิ้ว เขาจะงับไปทั้งมือ เมื่อเรายื่นไปหนึ่งแขน เขาจะงับไปทั้งตัว และอย่ายื่นไปทั้งตัวเด็ดขาด เพราะเราจะไม่เหลืออะไรกลับมาเลย (แถมโดนเจ้านายอัดกลับ ตกงานอีก) ดังนั้นการเป็นนักเจรจา ต่อรองกับ Modern Trade ที่เก่ง จึงเป็น Competitive Advantage ที่ลูกค้าของคุณ(เจ้าของแบรนด์) ต้องการ เพราะพวกเขาเอง ไม่สามารถพาสินค้าเข้าห้างใหญ่ๆเหล่านี้ได้เอง 4. Area of Excellence หาพื้นที่ของตัวเองว่าเก่งด้านไหน ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าเข้าห้างใหญ่ยักษ์อย่างเดียว Distributor ใหม่ๆ หลายรายสามารถเข้าตลาด Niche ได้ โดยที่ยักษ์ใหญ่ไม่สามารถเข้าทันหรือลงมาเล่น เช่น เข้าตลาดร้านเสริมสวย ตลาดสัตว์เลี้ยง/สัตวแพทย์ 5. Change Business Model เท่ากับเปลี่ยนบทบาทของรูปแบบธุรกิจไปเลยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท ดังเช่น Li & Fung ซึ่งจัดเป็นสุดยอดในการ Outsourcing และ Integration ดังที่บางท่านได้แสดงความคิดเห็น กล่าวกันว่า เสื้อเชิ้ตหนึ่งตัว ที่ Li & Fung นำเสนอให้กับลูกค้า คือเสื้อส่งมาจาก UN เพราะ แพ็ทเทินทำที่ฮ่องกง เนื้อผ้าทอจากปากีสถาน ด้ายและกระดุมจากจีน ปกและสาปจากกัมพูชา ตัดเย็บในเมืองไทย (ตอนนี้คงเปลี่ยนไปที่อื่นแล้ว) และทั้งหมดขนย้ายไปมา เสร็จภายใน 48 ชั่วโมง พิมพ์มายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่า ธุรกิจคนกลาง Distributor อาจจะไม่ได้เป็นอาทิตย์ตกดินเหมือนโรงงานผลิต เพราะมี asset สำคัญคือ คนและความรู้ ( Knowledge/Skill) มีผู้ผลิตสินค้าเก่งๆอีกเยอะในโลกนี้ ที่ไม่รู้จะขายของตัวเองได้อย่างไร ก็เป็นโอกาสของ Distributor รายเล็กรายน้อยเข้ามาเป็นแม่กาฟักไข่ด้วยกัน :8)
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ต.ค. 05, 2013 12:46 pm
0
21
Re: นางนวลกลางใจคนตุลา
เจอคลิปต้นฉบับของเพลง ไห่โฮวแล้ว [youtube]fy78R-lqw8A[/youtube] ดูๆไปก็มีกลิ่นอายของ The Sound of Music เหมือนกัน :P
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ต.ค. 05, 2013 8:07 am
0
1
Re: โฆษณาของทรูมูฟ
ตอนเปิดหัวเรื่อง มีตัวหนังสือเขียนประมาณว่า ดัดแปลงจากเรื่องราวในโลกออนไลน์ ซึ่งน่าจะอ่านรายละเอียดได้ตามเมล์ Good Story ที่ส่งมา หรือที่นี่ก็ได้ http://hilight.kapook.com/view/84112 แต่ที่เป็นเรื่องจริงในเมืองฝรั่ง ก็ต้องเป็นฉบับของคุณหมอ Howard Kelly แห่งมหาวิทยาลัย Johns Hopkins " One day, a poor boy who was selling goods from door to door to pay his way through school, found he had only one thin dime left, and he was hungry. He decided he would ask for a meal at the next house. However, he lost his nerve when a lovely young woman opened the door. Instead of a meal he asked for a drink of water. She thought he looked hungry so brought him a large glass of milk. He drank it slowly, and then asked, "How much do I owe you?" "You don't owe me anything," she replied. "Mother has taught us never to accept pay for a kindness." He said..... "Then I thank you from my heart." As Howard Kelly left that house, he not only felt stronger physically, but his faith in God and man was strong also. He had been ready to give up and quit. Year's later that young woman became critically ill. The local doctors were baffled. They finally sent her to the big city, where they called in specialists to study her rare disease. Dr. Howard Kelly ! was called in for the consultation. When he heard the name of the town she came from, a strange light filled his eyes. Immediately he rose and went down the hall of the hospital to room. Dressed in his doctor's gown he went in to see her. He recognized her at once. He went back to the consultation room determined to do his best to save her life. From that day he gave special attention to the case. After a long struggle, the battle was won. Dr. Kelly requested the business office to pass the final bill to him for approval. He looked at it, then wrote something on the edge and the bill was sent to her room. She feared to open it, for she was sure it would take the rest of her life to pay for it all. Finally she looked, and something caught her attention on the side of the bill. She read these words..... "Paid in full with one glass of milk" Signed Dr. Howard Kelly. Tears of joy flooded her eyes as her happy heart prayed: "Thank You, God, that Your love has spread abroad through human hearts and hands." Now you have two choices. You can send this page on and spread a positive message or ignore it and pretend it never touched your heart. http://www.truthorfiction.com/rumors/o/oneglassofmilk.htm#.UkZqvCY5OM8 เคยได้ยินเรื่องราวแบบเดียวกันนี้ในอรรถรสต่างๆ (Motive) เป็นบะหมี่ สองชามบ้าง หมั่นโถว 2 ก้อนบ้าง เป็นต้น แสดงว่ามนุษย์มี Soft Side ที่เป็นสากลเกี่ยวกับการให้ ในทุกชาติ ภาษา :mrgreen:
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ก.ย. 28, 2013 12:44 pm
0
2
Re: สถิตไว้ในดวงใจ
คุณหมอจวบ กูรูซื้อ ดวงใจ มาเก็บไว้อีกสองสามเล่ม เป็น ดวงใจ ที่พิมพ์เมื่อปี 2541 โดยสำนักพิมพ์รวมสาสน์ วังบูรพา คิดว่า น่าจะยังมีสต็อคเหลืออยู่อีกพอสมควร ลองติดต่อดูได้ ที่เบอร์ 02 226 3808 02 221 6483 แฟกซ์ 02222 2036 ดูเหมือนจะมีบริการส่งทางพัสดุภัณฑ์ให้ด้วย กูรูมีเล่มเก่าเก็บไว้ 1 เล่ม และเล่มพิมพ์ใหม่อีก 1 เล่ม ภายหลังแจกจ่ายให้กับน้องๆบางคนในเวปไปหมดแล้ว พูดถึงร้านหนังสือแถววังบูรพา ดูแล้วเศร้าใจจริงๆ ร้านหนังสือหลายร้านหลายเป็น ร้าน(ง)ไร้ผู้คน นอกเหนือจากคนรุ่นใหม่ไม่มาเดิมแถววังบูรพาแล้ว ยังเป็นเพราะการสร้างรถไฟใต้ดินบริเวณใกล้เคียง ทำให้จราจรติดขัดมาก ร้านรวมสาสน์ก็เหลือแต่ผู้เฒ่าผู้แก่สองสามี ภรรยา นั่งร้านเหงาหงอย :cry: ขณะที่อีกหลายๆร้านย่านนั้นพากันปิดตัวลงทีละร้านๆ วันนี้ไปพิพิธภัณฑ์ศิริราชภิมุขสถาน (สถานีรถไฟบางกอกน้อยเดิมที่โกโบริเสียชีวิตที่นี่) แถวๆโรงพยาบาลศิริราช ค่าเช้าชมช่วงโปรโมชั่นแค่ 50 บาทเอง แปลกมากไม่มีคนเข้าชมเลย หรือเมืองไทย จะมีลักษณะโดดเด่นของตัวเอง ร้านหนังสือ และพิพิธภัณฑ์ หาคนเข้าไม่มี :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ เม.ย. 28, 2013 8:03 pm
0
1
Re: ถึงเวลาหรือยังสำหรับบทเพลงเพื่อชีวิต
เพิ่งเข้ามาอ่านเจอ.... ไม่ทราบมีใครแก้ไขหรือยัง จิตร เป็นนิสิตอักษรฯจุฬาฯ ถูกโยนบกที่หอประชุมจุฬาฯ ซึ่งการโยนบกหมายถึง การไม่ยอมรับ ถูกตัดขาดจาก การเป็นจุฬาฯ.......ครับ โยนบกในที่นี้ คือการถูกโยนตัว(จริงๆ)ลงมาจากหอประชุมคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬา ลงมากระแทกพื้นด้านล่าง ลองเปิดค้นหาเรื่องราวของจิตร ภูมิศักดิ์กับการถูกโยนบก จะมีกล่าวถึงมากมาย
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ต.ค. 16, 2012 5:55 pm
0
0
Re: มุซาชิ ฉบับท่าพระจันทร์ แนะนำหนังสือ
ว่าจะแชร์บ้าง แต่เห็นที่ท่าน Tigerroad นำมาให้อ่าน รู้สึก เพียบ จริงๆ เคยอ่านมูซาชิ นานแสนนานมาแล้ว ขณะลงพิมพ์เป็นตอนๆในมติชนฉบับวันอาทิตย์ แต่เนื่องจากไม่ได้อ่านต่อเนื่องจึงลืมไปหมด กลับมาอ่านใหม่ในหนังสือเล่มเดียวจบ ครบอรรถรสกว่า เลยตะลุยอ่านตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำคืนอย่างสนุกสนาน โรนินไร้สังกัด ต่ำต้อยเทียมต้นหญ้า เสรีดุจปุยเมฆ อ่านเรื่องราวของโรนินนามมูซาชิไป ก็ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของซามูไรและลัทธิบูชิโด ว่ามีวิถีปุถุชนเช่นไร โรนิน คือซามูไรไร้สังกัด ก่อนหน้านีอาจจะมีเจ้านายคอยรับใช้อยู่ก็ได้ หากเมื่อเจ้านายสูญสิ้น ด้วยเกียรติยศของนักรบผู้ซื่อสัตย์ไม่ยอมมีนายคนที่สอง ก็ขอลาขาดจากฐานันดรกลายเป็นนักรบเร่ร่อน ในกรณีของมูซาชิ เป็นโรนินแต่เริ่มต้นต้น แม้ในช่วงแรกจะสังกัดตระกูลซามูไรหนึ่ง หากนั่นเป็นช่วงที่ยังไม่แกร่งกล้าอาจหา เป็นเพียงแค่ ทหารเดินเท้า หรือที่เรียกว่า ทหารเลว ต่อเมื่อมูซาซิได้พัฒนาฝีมือการประลองด้วยตัวเอง ปราศจากครูฝึกสำนักใดๆ นั่นแหล่ะคือจุดเริ่มต้นของ วิถีโรนิน ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง มีแต่ฟ้า ดิน เป็นผู้อุ้มพา ในเนื้อเรื่องที่แปลมา มูซาชิ ได้ประลองฝีมือกับสำนักดาบต่างๆตามประเพณี ไม่เคยแพ้แม้แต่สักครั้ง กลายเป็นโรนินฝีมือนามระบือ โดยเฉพาะเพลงดาบคู่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน หากสำหรับมูซาชิ กลับเป็นเรื่องแสนสามัญมาก ดาบคู่ติดตัว หนึ่งดาบถือมั่น หนึ่งดาบยึดใจ อ่านเรื่องนี้ไปพร้อมกับการเดินทางลึกเข้าไปในจิตใจของนักรบ ความสนุกสนานไม่ใช่อยู่ที่การประลองสับประยุทธ์แต่ล่ะครั้ง กับบรรดาเจ้าสำนักชื่อดังทั้งหลาย แต่อิ่มปิติไปกับการค้นหาตัวตนของมูซาชิ ที่เริ่มจากติดลบ แล้วตีตื้นขึนมาเรื่อยๆ จากนายทหารเลว แสนเกเร ใจหุนหัน รังแต่จะใช้กำลังห้ำหั่นคู่ต่อสู้ กลายเป็นนักประดาบผู้นุ่มลึก สุขุม เพ่งพินิจ พิจารณาพิจารณา เปิดใจกว้างมองโลกด้วยทัศนะสงบนิ่ง ถ่อมตนและไม่ยอมแพ้ ความพยายามที่ประสานความกลมเกลียวระหว่างเพลงดาบ กับจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว โรนินไร้สังกัดเช่นมูซาชิ ใช่ว่าจะยึดเพลงดาบเป็นสรณะในการดำเนินย่างเท้าท่องอาณาจักร ศิลปะการชงชา วาดภาพและปั้นเครื่องถ้วยชาม ก็ได้เข้ามาหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเพลงดาบ ในการประลองเพลงดาบครั้งสุดท้ายกับนักดาบนามอุโฆษ แทนที่จะฝึกปรือฝีมือเตรียมตัวล่วงหน้า มูซาชิใช้เวลารวบรวมสมาธิด้วยการเขียนภาพพู่กันอย่างเย็นใจ ก่อนจะขึ้นเรือไปตามคำท้าดวล และก้อชนะอีกครั้ง ในความโชคร้ายของมูซาชิที่เป็นโรนินไร้สังกัด ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มูซาชิโชคดีที่ได้มีโอกาสพบปะปิยะมิตรที่เกื้อหนุน มีลูกศิษย์ที่เคารพนบนอบ มีหลวงพี่เซ็นที่คอยกล่อมเกลาราคะ โมหะและโทสะจริต เหนืออื่นใดคือหญิงสาวที่รอการกลับมาของเขา ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ทอดสายตาจนจบตัวอักษรสุดท้ายในเล่มแล้ว ทำให้เกิดกำลังใจขึ้นว่า การเป็นคนไร้สังกัด ก็ใช่ว่าจะหมดอนาคตดับหรี่เสียเมื่อไหร่ไหร่ ตราบใดที่มุมานะ ฝึกปรนฝีมือตน สร้างความประจักษ์ตาให้เห็นได้ในที่สุด โดดเดี่ยวในจักรวาล แต่อบอุ่นเพราะแสงดาว ใบไม้ร่วงเป็นเพื่อนเดินทาง
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ก.ค. 14, 2012 8:58 pm
0
0
Re: ชีวิตที่คุ้มค่า : นุกูล ประจวบเหมาะ
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาทักทาย คุณลูกอิสาน. dr1 : ชีวิตที่คุ้มค่า เล่มนี้เพิ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมี ออกตลาดเมื่อต้นเดือนนี้เองซึ่งเป็นฉบับปรับปรุงใหม่ เลยมีภาคผนวกของช่วงวิกฤตแบงก์ชาติปี 40 ด้วย เป็นส่วนพัฒนาใหม่จากของเดิม อีกทั้งระยะเวลาที่ห่างกันจากการพิมพ์ครั้งแรก 2539 ก็มีบุคคลหลายท่านที่ล้มหายตายจากไป ซึ่งคุณนุกูลก็ได้เล่าเกร้ดประงัติของท่านเหล่านั้นไว้ด้วย มาอ่านกันต่อ :wink: บ่มเพาะต้นกล้า...ข้าราชการ เพื่อนๆหลายคนที่ผ่านพ้นวัยเริ่มต้นทำงานคงจำได้ดีว่า การทำงาน(หาเงิน)ครั้งแรก มีความสำคัญกับชะตาชีวิตของตัวเองในภายภาคหน้าอย่างไร หากใครได้ที่ทำงานดี หัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานดี (และเงินดี) กอปรกับตัวเองก็มีฝีไม้ลายมือไม่น่าเกลียดจนเกินไป (จะเก่งก็ยังไม่ใช่เพราะเพิ่งเข้ามา ประสบการณ์ยังวัยละอ่อนอยู่) ถือว่า คุณเป็นเมล็ดพันธุ์พืชที่ตกในดินอันอุดมสมบูรณ์พร้อมจะงอกเงยต่อได้ หากโชคร้าย พื้นดินแล้งผาก น้ำ ปุ๋ย ก็ไม่มี ร่มเงาสักใบก็โกร๋นหมด ถ้าไม่แคระแกร็นอับเฉาตายไปก่อน ก็ต้องดิ้นรน กระเสือกกระสนร่อนเร่พเนจรไปโตที่อื่น(ซึ่งไม่รู้จะโตได้อีกหรือเปล่า) ชีวิตเริ่มต้นวัยทำงานของนุกูล ประจวบเหมาะ ไม่ผิดกับเมล็ดพันธุ์ที่ดี ไ้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังในสถานที่ที่ดี(พอควร) มีเจ้านาย พี่เลี้ยงที่ใส่ใจ จึงปูทางให้เดินก้าวต่อๆไปได้อย่างมั่นคง หลังจากเรียนสำเร็จปริญญาตรี จากออสเตรเลียได้ นุกูล ได้รับคำชักชวนจาก ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ซึ่ง ณ เวลานั้นดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญการคลัง กำลังมองหาเด็กหนุ่มไฟแรงจบจากเมืองนอกมาร่วมงาน นุกูล จึงเริ่มตำแหน่งงานแรกเป็นข้าราชการวิสามัญชั้นตรี กระทรวงการคลัง เมื่ออายุ 23 ปี ด้วยเงินเดือน 1,200 บาท ในปีต่อมา ก็ได้รับการฝึกงานที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน เป็นระยะเวลา 1 ปี จึงถือโอกาสขอเรียนต่อปริญญาโทไปเสียด้วยเลย หลังจากนั้นก็ดำรงตำแหน่งผู้เชียวชาญพิเศษจากประเทศไทยประจำสถานทูตไทย กรุงวอชิงตัน คอยทำงานประสานนโยบายการเงินการคลังกับทางเมืองไำทย เมื่อกลับเมืองไทยก็ปฎิบัติงาน ณ กรมกองกระทรวงการคลังตามเดิม ถือเป็นเทคโนแคร็ตรุ่นแรกๆทีเดียว ในช่วงระหว่างนี้เองที่นุกูลได้มีโอกาสสัมผัสกับระบบการเงินการคลังของโลกอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการฝึกงานที่ World Bank การฝึกอบรมที่ IMF จึงเป็นการสานสายสัมพันธ์ในแวดวงนักการเงิน การธนาคารระดับนานาชาติ และกลายเป็นเหตุต่อมา ทำให้ชายหนุ่มนักเศรษฐศาสตร์ประจำกระทรวงการคลัง ต้องไปรับตำแหน่ง ณ กรมทางหลวงอันเป็นแหล่งสิงสถิตของบรรดาช่างๆทั้งหลาย ที่ซึ่งใครๆก็ส่ายหน้า จะอยู่ไหวหรือ ไหว ไม่ไหว ไม่รูู้แหละ แต่วีรกรรมที่เจ้าตัวสร้างไว้ก็คือ การหักดิบ คอร์รับชั่นในกรมทาง(ห)ลวง ก่อนอื่นต้องขอเล่าเหตุสำคัญที่พระเอกของเราต้องไปถากถางทางชีวิตที่กรมนี้เสียก่อน อันเนื่องมาจาก ยุคสมัยนั้น บ้านเมืองของเราจำเป็นต้องมีถนนขึ้นเหนือ ล่องใต้ มุ่งอีสานเชื่อมต่อภาคกลาง เพื่อรองรับการคมนาคมขนส่งซึ่งนับวันจะหนาแน่นขึ้น แต่การสร้างทางกลับไม่รุดหน้าเท่าที่ควร ผู้ให้เงินกู้ขณะนั้นก็คือ ธนาคารโลกรู้สึกอึดอัด เพราะยังไม่มาตกเบิกเอาเงิืนไปใช้เสียที ทางกรมจึงต้องการใครสักคนเขามาช่วยจัดการการบริหารเงินทุนและสถานะการเงิน ด้วยความเห็นพ้องของบรรดาผู้ใหญ่ นุกูล จึงเหมาะสมที่สุดที่จะสวมรับตำแหน่งรองอธิบดีกรมทางหลวงฝ่ายบริหาร ณ ที่นี้ที่กลายเป็นจุดบ่มเพาะนิสัยที่เจ้าตัวว่า “สันดานเสียๆของผม เห็นใครเอาเปรียบบ้านเมืองแล้วทนไม่ได้” พูดง่ายๆก็คือ การสร้างทางแต่ล่ะเส้น ล้วนมีผลประโยชน์ประมาณภูเขาลูกหนึ่งให้คอยกัดแทะ เซาะแซะจนล้มครืน โดยไม่มีใครต้องมารับผิดชอบ หากงานล่าช้า ไม่ได้มาตรฐาน หรือไปไม่ถึงไหน(แบบถนนสิบชั่วโคตร) มาดูฤทธิ์เดชน้อยๆของติงลี่นุกูล ณ กรมทางหลวงหน่อยซิ เป็นฉันใดบ้าง - เปลี่ยนโครงสร้างภายในของกรมทางหลวง ส่วนไหนที่ทำเองได้ ส่วนไหนที่ควรให้ประมูล ไม่ใช่ทำเองทุกอย่าง เลยไปไม่ถึงไหน เงินหายหมด เพราะไม่เคยทำบัญชี เปลี่ยนใหม่ กรมฯทำหน้าที่ตรวจสอบดูแล ส่วนงานก่อสร้างก็จ้างผู้รับเหมาเสีย ประหยัดค่าใช้จ่าย งานก็เดินเร็วด้วย เพราะผู้รับเหมาก็อยากจะให้งานเสร็จเร็วๆเพื่อรับเงิน -รื้อระบบผู้รับเหมาทั้งหมด จะมาฮั๊วประมูลกันน่ะหรือ เดี๋ยวเถอะ ตะแล็บแก็บเชิญพวกผู้รับเหมาต่างชาติเข้ามาแข่งด้วย ทั้งอิตาลี เยอรมัน ไต้หวันหรือกระทั่งประเทศเล็กๆ(ตอนนั้น)อย่างเกาหลี ก็มีบริษัท ฮุนได มาร่วมประมูลด้วย -รื้อสัญญาสร้างทางใหม่ ที่เรียกเงินก่อสร้างสูงๆ ให้วงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำๆ ก็สำรวจใหม่ได้ค่าก่อสร้างต่ำกว่า ถึงวงงินกู้ดอกเบี้ยจะสูง แต่เงินต้นที่ต่าำกว่า ก็ยังประหยัดกว่าเงินก้อนเดิมหลายร้อยล้าน -ยกเลิกเงินกู้จากธนาคารเพื่อการส่งออกของสหรัฐ เพราะมากำหนดกฎเกณฑ์ว่า จะต้องให้ผู้รับเหมาบริษัทมะกันเท่านั้น ขอติดต่อธนาคารโลกที่ตัวมีสายสัมพันธ์ก่อนหน้านี้แล้วแทน แน่นอนทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ในแดนพญาอินทรีเคืองมากถึงกับส่งคนมาล็อบบี้ผู้ยิ่งใหญ่ในแดนสยาม แต่นุกูลและกรมทางหลวงก็ดิ้นหลุดเงื้อมเล็บพญาอินทรีออกมาได้ ข้าราชการในกรมเองที่มีแต่ช่างๆก็เริ่มมีขวัญกำลังใจ ดีขึ้น หลัจากต่อต้านตอนแรกเสียนาน นโยบายปลูกสร้างบุคลากรของกรมทางหลวงได้เริ่มต้น ด้วยการส่งบรรดานายช่างไปเรียนต่อต่างประเทศ เพื่อพัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยีการก่อสร้างคมนาคม แน่นอน การหักดิบคอร์รัปชั่นของรองอธิบดีหน้าตี๋ๆนายนี้ ย่อมสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับผู้เสียผลประโยชน์รายต่างๆ ทั้งผู้รับเหมาที่สนิทชิดเชื้อกับนักการเมือง ผู้รับเหมาต่างประเทศขาผูกขาด ผู้ใหญ่ภายในที่มีภูเขา(เงิน)คอยแอบพิงตลอด ตลอดจนผู้ใหญ่ตัวเล็กๆลำดับต่อมา หลายงานที่มีเรื่องต้องเจรจาขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะนุกูลไม่ยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของบริษัทรับเหมาเหล่านั้น มิใยที่ส่งผู้มีบารมี เอ๊ย ผู้มีอิทธิพลและสายสัมพันธ์แนบแน่นกับการเมืองมาหว่านล้อม โอ้โลม เมื่อไม่สำเร็จก็กรรโชกขู่ ป้ายสีลงหนังสือพิมพ์ ติงลี่น้อยก้อไม่หวาดหวั่น นุกูลรั้งตำแหน่งรองอธิบดี อยู่ที่กรมทางหลวงนานถึง 10 ปี รองคนแรกที่ไม่ได้จบวิศวกรรมใดๆมาเลย แต่ที่ขำไม่ออกก็คือ การช่วยประหยัีดงบประมาณในกรมทางหลวงของเขาไม่เคยได้รับคำชื่นชมจากใครเลย เจ้านายสูงสุด ขณะนั้นคือ พจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการ ถึงกับเคยกล่าวว่า “นุกูล การประหยัดเงินให้บ้านเมืองนั้นไม่มีใครได้ประโยชน์ จึงไม่มีใครเขามาขอบใจเราหรอก เขาจะขอบใจเราก็ต่อเมื่อเราทำประโยชน์ให้เขาเท่านั้น เศร้าจริงๆ ประเทศไทย :oops:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ พ.ค. 21, 2012 10:46 pm
0
0
Re: โกดัก ประกาศล้มละลาย ปิดฉากตำนานกว่า 130 ปี
เคยเล่าเรื่องราวของอดีตยักษ์ใหญ๋ Kodak ไว้ในกระทู้หนึ่งนานมากมาแล้ว แต่คิดว่าน่าจะยังไม่ล้าสมัย ถ้าเราได้กลับดูสาเหตุของความล้มเหลวครั้งนี้ เมื่อพูดถึง Kodak กับชาวเมืองโรเชสเตอร์ มลรัฐนิวยอร์ด ใครๆก็เชิดหน้าภูมิใจว่านี่คือ คุณพ่อสุดที่รักของพวกเรา คุณพ่อที่อุ้มดูปูเสื่อ ให้การศึกษา ให้งานเราทำ ให้เงินเราใช้ คุณพ่อผู้เป็นสัญญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ในเมืองนี้ สมาชิกอย่างน้อย 1 คนในครอบครัวประชากรโรเชสเตอร์ทำงานที่ Kodak การเป็นพนักงาน Kodak มีความหมายมหาศาล (พอๆกับเลือดน้ำเงินของชาว IBM) นั่นหมายถึงอนาคตที่หมดห่วง เพราะมีงานทำจนเกษียณ มีรายได้ตอบแทนเหนือกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ไม่นับโบนัสปลายปีมาพร้อมกับ Santa Kodak สิทธิพิเศษต่างๆทางด้านสวัสดิการและสมาชิกคันทรี คลับ เลิศหรู ทุกคนทำงาน สบายๆ 9 -5 นาฬิกา หากทำงานนอกเวลานั้นก็มี OT ตอบแทนสาสม ในด้านผลิตภัณฑ์เองเล่าก็เป็นผู้นำทางฟิลม์อันดับหนึ่ง แม้มียักษ์ฟูจิตามมาติดๆแต่ก็ไม่น่ากังวลหรอก อย่างไรเสีย ญี่ปุ่นก็แค่ญี่ปุ่น ไม่มีทางมาตีตลาดมะกันได้ หนังโฆษณา Kodak ทุกเรื่องแทบทำให้คนดูน้ำซึมไปกับการเล่าเรื่อง อดีตและความทรงจำอันสวยงามของผู้คน ตั้งแต่ลูกถือกำเนิดตีนเท่าฝาหอย จนโตเป็นเด็กสาวปอม ปอม เกิร์ล ถัดมาอีกสักพักก็เป็นเจ้าสาวแสนสวย แล้วก็ท้องป่องกลายเป็นคุณแม่ มีหลานตีนเท่าฝาหอยเกิดมาอีก วนเวียนซาบซึ้งไปมา ว่าแล้ว เราก็หรู เริด เชิด หยิ่งไปตามใจเชิบ..เชิบ มหันตภัยเงียบมาเยือนไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ซาบซึ้งเรื่องเก่าๆโรแมนติค คู่แข่งรายใหม่ที่ย่ำกรายในปริมณฑลของการถ่ายภาพ ม้นไม่ใช่ฟิล์มสีอีกแล้ว หากคือเทคโนโลยีดิจิตอลที่นำไปประยุกต์ในกล้องถ่ายรูปไม่ต้องใช้ฟิล์ม ( Filmless Camera) ถ่ายภาพปุ๊บ เห็นทันที ล้างลบออกก็ง่าย ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องซื้อฟิล์ม ไม่ต้องรอล้างฟิล์ม เอาล่ะซิ คุณพ่อ Kodak มัวแต่สั่งให้ลูกๆพัฒนาฟิล์มสีคุณภาพดียิ่งขึ้นๆ จนลืมมองข้างนอกว่า เทคโนโลยีได้เปลี่ยนไปแล้ว ฟิล์มสีสวยสด ถ่ายรูปสมจริง กลายเป็นสิ่งตกยุค ตกสมัย ความจริงคุณพ่อ Kodak ก็เห็น ใช่ว่าจะมืดบอด แผนก R &D ออกใหญ่โต แต่คงคิดว่า นั่นเป็นการถ่ายภาพแบบโก้เก๋ ไม่ได้ใช้งานจริง หรือถ้าพัฒนากล้องดิจิตอลขึ้นมาแล้ว อุ๊ยโหย๋ย ก็มากินตลาดฟิล์มลูกรักสุดหวงน่ะซิ ทำไปได้อย่างไร ว่าแล้วก็ใจเย็น วางเฉยไว้ก่อน มันเป็นแค่แฟชั่นนะ แฟชั่น เดี๋ยวก็ไปแล้ว แต่กล้องไร้ฟิล์มโก้เก๋ เป็นแฟชั่นระยะยาวเสียแล้ว จำนวนกล้องที่ขายได้มากขึ้นๆ พอๆจำนวนสั่งซื้อฟิล์มสีที่น้อยลงๆ นั่นคือจุดเริ่มต้นอวสานคุณพ่อ Kodak กำไรที่ลดลงจนต้องขายกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปเพื่อรักษากระแสเงินสด (บริษัทเวชภัณฑ์ Sterling Drug/ ผลิตภัณฑ์ Consumer Household L&F) เริ่มบ่งบอกอาการอ่อนแอของคุณพ่อที่เห็นชัดขึ้นทีละน้อยๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้กระเป๋าเงินคุณพ่อพองขึ้นมาเลย เมื่อเริ่มต้นพัฒนากล้อง Digital ออกสู่ตลาด ก็วายไปแล้ว ทุกวันนี้จากหุ้นที่เคยสูงสุดถึง 90 กว่าเหรียญ เหลือเพียงแค่เท่าไหร่ล่ะ...(ฝากดูให้ด้วยครับ) ในวิกฤตย่อมมีโอกาส ครานี้จะกล่าวถึงบริษัทลูกนอกคอกของคุณพ่อ Kodak Eastman Chemical เป็นบริษัทผู้ผลิตสารเคมี เพื่อใช้ในงานผลิตฟิล์มถ่ายภาพและป้อนบริษัทอื่นๆในเครือ ตั้งอยู่ที่ Kingsport มลรัฐเทนเนซซี่ ห่างไกลจากคฤหาสน์เมืองผู้ดีของคุณพ่อเป็นโยชน์ ลูกกลุ่มนี้เลยมีเลือดกบฎอยู่บ้าง โดยอุปนิสัยของคนทำงานชาวใต้ ชาว Kingsport ทุกคนทำงานหนัก ทุ่มเท ขยันขันแข็ง งานเป็นงาน เล่นก็เป็นงาน งานทั้งชีวิต ประหยัด อดทน อึด (คุณสมบัติหลังนี้จำเป็นมาก) ไม่มีหรอก Vacation หรูๆ ปาร์ตี้เรือยอร์ช หรือใช้ชีวิตสุดสัปดาห์ที่ Country Club แบบชาวโรเชสเตอร์ นั่นคือการใช้ชีวิตแบบบารอนหลงยุค ว่าเข้านั่น แน่นอนในสายตาของชาว Kodak ที่โรเชสเตอร์ ย่อมมองชาว Eastman Chemical เป็นลูกบ้านนอก เชย ทึ่ม ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ดีตรงขยันทำงานเป็นวัวควาย เพราะฉะนั้นเอาไว้สั่งงานอย่างเดียว หาไม่รู้ไม่ ลูกบ้านนอกกลุ่มนี้ก็แสนจะอึดอัด กับวิธีทำงานแบบลูกผู้ดีที่โรเชสเตอร์เหลือเกิน เสนออะไรไปก็โดนปัด คิดอะไรใหม่ๆให้ก็บอกให้ชะลอไว้ก่อน ถูกกดมากๆก็ฮึดขึ้นมา ก่ออารยะขัดขืน ขอแยกตัวออกมาจากบริษัทแม่ ในลักษณะของ Employee Buy Out (EBO) จากพลังรวมใจพนักงานทั้งหมด ในปี 1994 ขณะที่บริษัทคุณพ่อกำลังประสบปัญหาการเงิน ไม่สามารถเกื้อหนุนลูกๆทั้งหลายได้อีกต่อไป วันต่อวันได้แต่จัดการขายมรดกเก่าเก็บเลี้ยงชีพ พร้อมแผนโละคนออก Eastman Chemical ฝ่าด่านอรหันต์ออกมา ทนร้อน ทนหนาว ดำเนินธุรกิจด้วยพนักงานกันเอง ไร้คุณพ่อคอยกุมบังเหียนและสั่งการ ทดลองบทเรียนบริหารใหม่ๆผิดพลาด พลั้งไป แต่ก็แก้ตัวได้และเรียนรู้จนเก่งกล้า ประสบความสำเร็จติดอันดับ Fortune 500 ด้วยยอดขาย $ 7.5 พันล้านเหรียญ ในปี 2006 มีพนักงาน 11,000 คน นับเป็นความกล้าหาญของผู้บริหารบริษัทบ้านนอกขณะนั้น หากยังเกาะติดกระเตงกับคุณพ่อ Kodak อยู่ล่ะก้อ มีหวังถูกยุบหรือไม่ก็ขายทิ้ง ความสำเร็จของลูกกบฎปรากฏยกย่องในวิกีดังนี้ Quote: In January 2008, Corporate Responsibility Officer Magazine (CRO) named Eastman one of the five best corporate citizens among chemical companies in the U.S.[1] Eastman was also ranked 64th in CRO magazine's list of 100 Best Corporate Citizens for 2008. [2] ทิ้งอดีตที่เคยรุ่งเรือง มองมุ่งไปข้างหน้า จึงทำให้ Eastman Chemical มีวันนี้ได้
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ ม.ค. 20, 2012 2:31 pm
0
0
Re: ถึงเวลาหรือยังสำหรับบทเพลงเพื่อชีวิต
เอาที่เข้ากับเหตุการณ์น้ำท่วมแล้วกัน เพลง "ทัพธรรม" ของ ศร วิชนีย์ อดีตนักร้องวงสตริง อมธ. เป็นเพลงที่น๊าน นานมาแล้ว ช่องTPBS เอามาตัดต่อกับเหตุการณ์น้ำท่วมเร็วๆนี้ เอาเวอร์ชั่นที่มีเสียงเด็กๆมาร้องด้วย ทำให้รู้สึกสมัครสมาน :wink: yqmbS0_W57A
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร พ.ย. 08, 2011 1:03 pm
0
0
Re: 18 ตค 2554 15.50 ตลาดบางบัวทอง รถเข้าไม่ได้แล้วนะครับ
อยู่ปากเกร็ด เห็นคันกั้นน้ำลิบๆ บ้านอยู๋ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยา 2 กม. เขื่อนแตกเมื่อไหร่ เป็นชาวน้ำทันที ที่บ้านไม่มีถุง-กระสอบทราย มีถุงดินปลูกต้นไม้แทน เอามากั้นๆไว้ รู้ว่าอย่างไรก็ไม่ไหว ก็กั้นไป เพาะถั่วงอกบนถุงดินไปด้วย เผื่อเป็นอาหารยามยาก ตอนนี้อุปกรณ์แคมปิ้งทั้งหลายเตรียมพร้อม เอาออกมาใช้ นึกเสียว่าไปพักผ่อนริมทะเลสาบชั่วคราว ทั้งเต้นท์ลอยน้ำ ตะเกียงลอยน้ำ เรือยาง กำลังหาหนังสือลอยน้ำมาอ่านด้วย อ้อ..แอบไฮโซนิดหนึ่ง มีเจ้านี่ด้วย ฝักบัวอาบน้ำกลางแจ้ง ใช้น้ำน้อยจะได้ประหยัดๆ อาบทีเดียวหลายๆคน :wink: คุณ San ระวังตัวไว้หน่อยน้า เพราะน้ำเชี่ยวมาก บางจุดมีรอยกระเทาะจากพื้น จะกลายเป็นน้ำวน ดูๆไป น้ำท่วมเที่ยวนี้เหมือนตัวพราย คอยงุ้มมือ ดักหน้า ดักหนา เผลอเมื่อไหร่ก็ขยุ้มเข้ามาทันที :twisted:
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ต.ค. 18, 2011 5:10 pm
0
0
Re: ภาพเจริญใจ
ดูภาพเจริญใจอื่นๆอีก เรื่องราวของแมวฮีโร่ชื่อ Scarlet ที่เคยโด่งดังมากเมื่อปี 1996 ในฐานะของแม่แมวที่ช่วยลูกน้อยปลอดภัยจากไฟคลอก มีบันทึกขีดเขียนโดยพนักงานดับเพลิงครั้งนั้น สการ์เล็ต ความรักของแม่แมว ผมทำงานเป็นพนักงานดับเพลิงในนิวยอร์ก บางครั้งอาชีพนี้ก็ทำให้หดหู่ใจเพราะคราใดที่บ้านถูกไฟเผาผลาญ คุณจะหัวใจแหลกสลายไปด้วย พนักงานดับเพลิงเจอแต่เรื่องน่าสพึงกลัว และบางครั้งก็ต้องเจอความตาย แต่วันที่ผมเจอเจ้าแมว "สการ์เล็ต" เป็นอีกเรื่องหนึ่งและมันเป็นเรื่องของชีวิตและความรัก วันนั้นเป็นวันศุกร์ เรารุดออกไปดับเพลิง ตามที่ได้รับแจ้งตั้งแต่เช้าตรู่ว่ามีไฟไหม้ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เตรียมอุปกรณ์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแมวร้อง แต่ผมหยุดมือไม่ได้ต้องดับไฟก่อนแล้วจึงจะหาแมวได้ ไฟไหม้ครั้งนี้ลุกลามใหญ่โตมาก เราจึงมีหน่วยงานอื่นๆมาช่วยสนับสนุนด้วยทั้งฝ่ายตะขอเกี่ยวและบันได เราได้รับแจ้งว่าทุกคนในอาคารนี้ออกมาได้โดยปลอดภัยแล้ว ผมเองก็หวังเช่นนั้นเพราะที่ปั๊มมีแต่เปลวไฟเต็มไปหมดใครขืนเข้าไปกู้ภัยคงจะไม่รอดแน่ กว่าจะดับไฟได้ก็คงกินเวลานานมาก และต้องใช้กำลังคนมากมาย ถึงตอนนี้มีเวลามองหาแล้วว่าเสียงแมวมาจากไหน ควันไฟยังพวยพุ่งออกมาจากตัวปั๊มเต็มไปหมด ผมมองอะไรไม่ค่อยเห็น ได้แต่เดินตามเสียงแมวร้องไปเรื่อยๆ จนถึงบริเวณบาทวิถีห่างจากหน้าปั๊มราวๆ 5 ฟุตเห็นจะได้ ก็เห็นลูกแมวตัวเล็กๆ ท่าทางอกสั่นขวัญแขวนสามตัวกอดกันกลมส่งเสียงร้องกันระงมอยู่ พอมองไปรอบๆผมก็เจออีกสองตัวอยู่บนถนนตัวหนึ่งส่วนอีกตัวหนึ่งอยู่อีกฝั่งถนนหนึง แมวพวกนี้คงจะติดอยู่ในอาคารเป็นแน่เพราะขนมันถูกไฟลนเสียจนโกร๋น ผมตะโกนขอลังสักใบและมีนักมุงหามาให้ใบหนี่ง ผมจับลูกแมวทั้งห้าตัวใส่ในลังและอุ้มลังไปพักไว้หน้าระเบียงบ้านหลังหนึ่งแถวนั้น ผมมองหาแม่แมว สังหรณ์ว่าแม่แมวคงจะเข้าไปในปั๊มที่กำลังไฟไหม้ และทยอยคาบลูกออกมาวางไว้บนบาทวิถีทีละตัว ลองคิดดูก็แล้วกันว่าต้องวิ่งเข้าไปในกองไฟที่ลุกโชติช่วงถึงห้าครั้งห้าคราว จากนั้นก็ต้องพยายามให้ลูกแมวไปอยู่อีกฝั่งไกลอาคารออกไปทีละตัวเช่นกัน แต่แม่แมวดูเหมือนจะยังขนลูกออกมาไม่หมด เอ๊ ..แล้วแม่แมวไปอยู่เสียทีไหน ตำรวจคนหนึ่งชี้บอกผมว่าเห็นแม่แมวเข้าไปที่ร้านตรงที่ผมเจอลูกแมวสองตัวสุดท้าย แม่แมวอยู่ที่นั่นจริงๆ มันนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แผลไฟไหม้ดูสาหัส ตาเป็นแผลพองจนลืมไม่ขึ้น อุ้งเท้าดำเพราะถูกไฟลน ขนถูกไฟลามเสียจนเห็นหนัง บางแห่งจะเห็นเนื้อแดงเหวอะหวะ ตัวอ่อนปวกเปียกจนเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ผมเดินไปหามันช้าๆค่อยๆพูดกับมันเบาๆ มันคงจะเป็นแมวป่า ผมไม่อยากให้มันตกใจ เมื่อผมอุ้มมันขึ้นมา แม่แมวร้องอย่างเจ็บปวดกลิ่นขนและเนื้อหนังของมันส่งกลิ่นเหม็นไหม้ มันไม่กระดุกกระดิกแต่พยายามจะลืมตามองดูผม แต่ลืมไม่ขึ้น ดูมันเหนื่อยอ่อนเต็มประดา ได้แต่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนผม ผมตื้นตันน้ำตาคลอหน่วยเมื่อรู้สึกว่าแม่แมวไม่กลัวผม ไว้ใจผม ผมตั้งใจจะช่วยชีวิตแม่แมวผู้กล้าหาญและลูกทั้งห้าตัวของมัน ชีวิตของพวกมันขึ้นอยู่กับผม ผมค่อยๆวางแม่แมวลงในลังรวมกับลูกๆของมัน แม่แมวตาบอดยังอุตส่าห์ใช้จมูกแตะลูกแมวแต่ละตัวจนทั่วเพื่อให้แน่ใจว่าทุกตัวปลอดภัย มันคงเบาใจที่ลูกของมันอยู่ครบทุกตัวแม้ตัวมันเองจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม แมวทั้งหมดต้องได้รับการรักษาโดยด่วน ผมนึกถึงบ้านสงเคราะห์สัตว์แห่งหนึ่งชื่อสันติบาตสัตว์นอร์ทชอร์ ผมเคยนำสุนัขที่ถูกไฟไหม้อาการสาหัสไปให้ที่นั่นรักษาแผลเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน องค์การนี้ช่วยได้แน่ ผมโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า กำลังพาแม่แมวและลูกแมวที่ถูกไฟลวกอาการสาหัสไปให้รักษา ผมไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้ายังสวมชุดดับเพลิงที่มีกลิ่นคราบควันไฟอยู่เต็ม แล้วบึ่งรถบรรทุกของผมไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อไปถึงก็เห็นสัตว์แพทย์และเจ้าหน้าที่สองชุดเตรียมตัวรับแมวอยู่แล้วที่ลานจอดรถ พวกเขารีบนำแมวทั้งหมดเข้าไปในห้องพยาบาล ทีมหนึ่งรักษาแม่แมวอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่งและอีกทีมหนึ่งดูแลลูกแมวอยู่บนโต๊ะอีกตัวหนึ่ง ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นกำลังจาการกดับไฟและพยายามไม่เข้าไปเกะกะในห้องพยาบาล ผมไม่ค่อยหวังเเท่าใดว่าแมวเหล่านี้จะรอดชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ทิ้งมันไม่ลงจริงๆ หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ สัตว์แพทย์ก็บอกผมว่า เขาต้องเฝ้าอาการแม่แมวและลูกของมันทั้งคืน และไม่มั่นใจว่าตัวแม่จะรอดหรือเปล่า วันรุ่งขึ้นผมกลับไปอีก รอแล้วรอเล่ากำลังจะเลิกล้มความหวัง สัตว์แพทย์ก็เดินเข้ามาบอกข่าวดีกับผมว่า ลูกแมวรอดแล้ว "แล้วแม่แมวล่ะ" ผมกลัวคำตอบเหลือเกิน "ยังบอกไม่ได้ครับ ต้องรอดูก่อน" ผมไปที่นั่นทุกวันเพื่อฟังอาการ แต่ละวันก็ได้ยินแต่คำตอบซ้ำๆว่า "ต้องรอดูก่อน" ประมาณหนึ่งสัปดาห์ให้หลังผมไปที่สถานสงเคราะห์อีกครั้งด้วยความหดหู่ใจ นึกในใจว่าถ้าแม่แมวไม่ตาย ป่านนี้ก็รู้แล้วละว่าจะมีอาการร่อแร่อย่างนี้ไปอีกนานเท่าใด ทันทีที่ผมเดินเข้าไป สัตว์แพทย์ก็ยิ้มรับและยกนิ้วให้สัญญาณผมว่า แม่แมวไม่เพียงแต่รอดพ้นจากขีดอันตรายเท่านั้น อีกหน่อยมันจะมองเห็นได้อีกด้วย เอาละในเมื่อแม่แมวไม่ตายอุตส่าห์รอดมาได้ก็ต้องตั้งชื่อกันเสียหน่อย http://www.twotuttles.com/images/Scarlett_the_cat.jpg เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตั้งชื่อว่า "สการ์เล็ต" แปลว่าแดงก่ำเพราะผิวที่แดงเถือกของมัน ผมเสทือนใจที่ได้เห็นแม่แมวเจอหน้าลูกๆอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่ามันต้องกัดฟันต่อสู้ขนาดไหนกว่าจะรอดมาได้ แล้วทายซิว่าสิ่งแรกที่แม่แมวทำคืออะไร มันนับลูกอีกครั้งโดยเอาจมูกแตะลูกทีละตัวๆ เพื่อให้มั่นใจว่าลูกๆอยู่กันปลอดภัยโดยครบถ้วน มันยอมเสี่ยงภัยเพื่อลูก ไม่ใช่ครั้งดียว แต่ถึงห้าครั้งและได้ผลด้วยลูกๆของมันรอดชีวิตทั้งหมด อาชีพอย่างผมนี่มีโอกาสได้เห็นวีรกรรมที่กล้าหาญอยู่ทุกวัน แต่ที่แม่แมวพิสูจน์ให้เห็นในวันนั้นเป็นสุดยอดวีรกรรม เป็นวีรกรรมที่มาจากความรักของแม่โดยแท้! มีหลายๆสายตาที่ได้มองต่อกันเป็นทอดๆดังนี้ สายตา(แม้ว่าจะเกือบบอด)และจมูกของแม่แมวที่พยายามมองและสัมผัสไปยังลูกๆ นักดับเพลิงมองไปยังแม่แมวกับลูกๆและพยายามช่วยเหลือจนสำเร็จ สายตาและความคิดอ่านของท่าน...... ความรักมีอยู่ในโลกใบนี้เสมอ สิ่งต่างๆยังคงกำเนิดมาจากความรักทั้งสิ้น แม้โลกนี้ที่เป็นไปอยู่นี้จะไม่สวยงามอย่างที่คิด แต่โลกก็อยู่ได้ด้วยคนที่มีน้ำใจเมตตา ทำให้โลกใบนี้ยังคงเป็นโลกอยู่เสมอ จากเพื่อนคนหนึ่ง.............. ณ นครนิวยอร์ค เครดิตจาก http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=149 เรื่องราวของแม่แมวสการ์เล็ตได้รับการกล่าวขานกันทั่วโลก เมื่อหายีแล้วก็มีครอบครัวอุปถ้มภ์รับเลี้ยงดูครอบครัวแมวนี้มากมาย รวมทั้งเจ้าสการ์เล็ตด้วย นี่คือรูปของเธอภายหลังกับครอบครัวอุปถัมภ์ http://3.bp.blogspot.com/_2TJIcMzUNUE/SeCYlye5oOI/AAAAAAAAAEs/VHoodTqurFA/s400/scarlett+with+her+owner.jpg สการ์เล็ต ตายไปเมื่อปี 2008 ด้วยอาการโรคแทรกซ้อนตามภาษาแมว แต่ชื่อของเธอยังปรากฏเป็นรางวัลต่างๆที่เกี่ยวกับเอื้อเฟื้อกรุณาสัตว์ ดูรูปสุดท้ายก็อ้วนท้วน สมบูรณ์(เกิน)ดี :o http://www.nydailynews.com/img/2008/10/25/amd_cat.jpg
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ก.ย. 21, 2011 10:25 am
0
0
Re: ภาพเจริญใจ
ไปค้นเพิ่มเติม เจอวิดีโอคลิปเคลื่อนไหวได้ น่าจะเห็นความประทับใจยิ่งขึ้น :D Y1rl56lCrrk
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ก.ย. 20, 2011 9:23 pm
0
0
Re: คนเก่งๆ ดีๆ ที่จากไปอีกคน
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว อีกสักท่านที่จากไปเงียบๆ(มาก)จนแทบหาข่าวไม่ได้เลย https://lh6.googleusercontent.com/-XwBTXwxoIJU/TivW--Ob_YI/AAAAAAAAPII/1nxgWQpxvC0/s512/DSC07556.JPG หอมกลิ่นผกา...วดีจัง นักเขียนรุ่นเก่านามดอกไม้แสนหอมได้ลาจากพิภพนี้ไปเงียบเมื่อเดือนที่แล้ว 5 สิงหาคม http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOREV4TURnMU5BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB4TVE9PQ== กูรูพยายามค้นดูว่ามีใครเขียนอาลัยเธอหรือเปล่า ก็ยังไม่เจอ เลยขอโอกาสร่วมรำลึกถึงผลงานปลายปากกาหลากรสประพันธ์ ผู้ฝากนวนิยายเยาวชนหลากหลายที่เคยจารึกในนิตยสารชัยพฤกษ์ ในชื่อ ผกาวดี อุตตโมทย์ ผู้เขียนคอลัมน์งามมารยาท/ แม่บ้าน โดยชื่อ มาลาวลี/ผกายมาศ ผู้แปลผลงานวรรณกรรมชิ้นเอก จากชื่อ ปาริฉัตร เสมอแข ผู้เรียบเรียงบทความเกี่ยวกับราชวงศ์ต่างๆในนาม เทพนัดดา พร้อมด้วยชื่อนามปากกาอื่นๆอีก เช่น นันทินี วิวัธนี เหนืออื่นใดคือผู้ให้กำเนิดสำนักพิมพ์ทรงคุณค่านามกะรัต (เคยมีนิตยสารผู้หญิงชื่อเดียวกันนี้ออกสู่ตลาดด้วย) ซึ่งต่อมากลายเป็น สำนักพิมพ์ ผีเสื้อ โบยบินในยุทธภพวรรณกรรมน้ำดี ความทรงจำที่มีต่อคุณผกาวดี ย้อนกลับสมัยอ่านผลงานนวนิยายในชัยพฤกษ์ (เสียดาย ไม่ทันได้อ่าน ครูไหวใจร้าย อันเป็นนวนิยาย signature ของเธอ) "ชื่นใจ" เรื่องราวของเด็กชายกำพร้าแม่ที่เติบโตอย่างโดดเดี่ยว ในบ้านตระกูลใหญ่ ซึ่งไม่พ้นเรื่องราวของการแก่งแย่ง ริษยา ในเครือญาติ หากด้วยแรงมานะและเลือดรักดี บากบั่นจนส่งตัวเองกลายเป็นคุณหมอชื่นใจได้ในท้ายสุด "บ้านน้อย" บ้านหลังเล็กๆที่เต็มไปด้วยความผูกพันของพี่น้อง 7 คน อันมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นตัวละครในวรรณคดีไทย บุษบา พี่สาวคนโตที่ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ดูแลคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของน้องๆด้วยความขยัน หมั่นเพียร อดทน ตรากตรำกับงานบ้าน งานรับจ้างนานาชนิด จนที่สุดส่งเสียน้องๆได้ถึงฝั่ง "พ่อเก้อ" โลกของแมวที่เต็มไปด้วยสีสัน ภาษาเหมียว จากลูกแมวตัวกลม กลายเป็นเด็กชายแมว แล้วก้อแมวหนุ่ม กระทั่งมีครอบครัวของตัวเอง ท่ามกลางการบ่มเพาะปลูกฝังนิสัยของบรรดาแม่แมว พี่สาว พีชาย ด้วยรสชาติการผจญภัยภาษาแมวและการจากพราก รวมคติแมวๆที่คนอย่างเราๆคิดไม่ถึง "เดือนเด่น" เด็กสาววัยมัธยมปลายที่มีความฝันรุ่งโรจน์กับสอบติดบอร์ด และสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะชั้นนำ ช่วงต่อของการศึกษาในสังคมโรงเรียนสตรีล้วน ซึ่งมีทั้งการแข่งขัน ทั้งชิงดีชิงเด่น แต่แล้ว ความเป็นเพื่อนกลับเหนืออื่นใด ลบล้างความขุ่นข้องหมองใจไปจากกัน "รัศมีเพ็ญ" ความลับในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีฆาตกรรมอำพราง ทุกคนล้วนมีส่วนหรือชวนเชื่อให้เป็นฆาตกรได้หมด รวมทั้งหญิงสาวคนสวยผู้มีใบหน้างดงามราวพระจันทร์วันเพ็ญ (เรื่องนี้มีกลิ่นเค้าคล้ายๆเรื่องของอการ์ธา คริสตี้) กรอบความทรงจำของกูรูรำลึกได้แค่นี้ ส่วนใหญ่นวนิยายของคุณผกาวดี ไม่ได้ถูกตีพิมพ์ใหม่ จึงไม่มีเก็บสะสม แต่มิตรในบล็อคเกริ่นไว้ว่า แถวคลังวิทยา วังบูรพา มีหนังสือนวนิยายของเธอบางเล่มลดราคาอยู่ เห็นทีต้องรีบไปแวะเยือนและเก็บประคองมา ณ เพลานี้ขอสูดกลิ่นหอมของไม้ดอกนาม....ผกาวดี ด้วยคารวะและอาลัย
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ก.ย. 07, 2011 8:47 am
0
0
Re: คนเก่งๆ ดีๆ ที่จากไปอีกคน
ว่าจะไม่เป็นคนต้นเรื่องที่โพสก่อน เพราะรู้สึกตัวเองหลังๆ โพสกระทู้ทีไรมีแต่เรื่องคนดีๆที่จากไป พอเห็นคุณ san ขึ้นกระทู้ให้ ก็เลยมาร่วมแจมด้วย :wink: คุณดุสิต ป่วยเป็นลูคีเมียมาระยะหนึ่ง(พักใหญ่)แล้ว แต่จิตใจที่ยังฮึดสู้ ไม่ยอมแพ้ ก็พยายามทำเป็นลืมๆไปบ้าง บอกกับคนรอบข้าง "โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก อยู่กันมาได้ดีตั้งนานแล้ว" แล้วมุ่งกับหน้าที่การงาน เดินสัญจรนำ "หอการค้า"พบปะกันทั่วประเทศ ด้วยบุคลิก ปะ ฉะ ดะ โผงผาง ชัดเจน กลบเกลื่อนความเจ็บปวดภายในกายจากสายตาคนนอก แต่คนใกลชิดเริ่มสังเกตเห็นความช้าลงของสังขารทุกระยะ ก้าวที่เดินสั้นลง เนิบ การงดออกกำลังกายทุกชนิด ทั้งที่คุณดุสิตเคยเป็นนักรักบี้ตัวยงสมัยอยู่วชิราวุธ ชอบขี่ม้าจนเคยประสบอุบัติเหตุตกจากหลังม้า (และเกิดอาการกระทบกระทั่งภายในต่อมา) อาทิตย์ที่ผ่านมา มีงานประจำปีของหอการค้าใหญ่ คุณดุสิตก็มิได้ปรากฏร่าง ให้ประธานกิตติมศักดิ์ท่านอื่นมากล่าวเปิดงานแทน เข้าใจว่า คงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงเพลานี้ คุณดุสิตคงได้เดินทางไกลไปถึงชั้น"ดุสิต"สมกับชื่อ และรอพบเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนที่ยืนคอยอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว :'O
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ก.ย. 07, 2011 8:34 am
0
0
Re: ขออนุญาติแจ้ง พี่น้องชาวจุฬาฯ
ไม่ได้ระบุ หมายเลขบัญชีมา คงให้ติดต่อกับเจ้าของเมลล์โดยตรงเลยใช่ไหมเอ่ย ช่วงนี้เงินปันผลเข้ามาเล็กน้อย คิดว่าน่าจะแบ่งปันกันได้บ้าง ในฐานะรุ่นพี่ รุ่นน้องคนตึกจักรฯเหมือนกัน (แต่ไม่ทันกันนะ) :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ส.ค. 25, 2011 1:59 pm
0
0
Re: ใครเคยได้ยิน Rothschild family บ้างครับ
ขอให้อ่านหนังสือเล่มนี้ ว่าด้วยตระกูลใหญ่คับฟ้าที่เคยเขย่าโลก(การเงิน)ได้ มีทั้ง การเงิน : Barings/ Rothschilds/Morgans รถยนต์ : Ford/ Fiat/ Peugeort-Renault-Citroen/Toyoda และตระกูลที่ร่ำรวยจากทรัพยากรใต้พิภพ : Rockefellers/ Guggenheims/ Schlumberger/ Wendel เสียดายยังไม่มีการเขียนตระกูลที่รำรวยมาจากการสื่อสาร http://img2.imagesbn.com/images/24660000/24662360.JPG กำลังอ่านอยู่ จบแล้ว ค่อยมาย่อยให้ฟังทีละตอนแล้วกัน :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ส.ค. 17, 2011 9:52 am
0
0
Re: รุ้งกินน้ำ
อ๋า..เผลอแป๊ปเดียว ครบรอบวันเกิดอีกแล้วหรือนี่ ราวกับว่าเพิ่งอวยไปเมื่อเร็วๆนี้เอง งั้นขอกล่าว Happy Birth Day ย้อนหลังแล้วกัน ฝากรูปเจ้าเหมียวตัวพิเศษนี้ไว้ เป็นเหมียวที่ฮือฮามากในอังกฤษ ประกาศให้ใครๆรับเลี้ยง ก็ไม่มีใครเอา :'O เพราะอะไรเหรอ http://media.ebaumsworld.com/mediaFiles/picture/524206/467848.jpg ก็ดันมีแต้มสีเหมือนหนวดตาฮิตเลอร์ไงล่ะ พี่ป้อม ดูซิ กับแมวก็ยังไม้เว้นวายอคติ พวกผู้ดีอังกฤษเนี่ย ไปๆมาๆ พอเป็นข่าวฮือฮามาก ก็เลยมีคนสนใจรับอุปการะแมวตัวนี้เรียบร้อยโรงเรียนฮิตเล่อร์ไปแล้ว :8)
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ส.ค. 09, 2011 3:56 pm
0
0
Re: อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy
อืมม์ ทำได้แล้ว วิชาเก่ายังไม่ลืม เข้าชั้นเรียนกับ Drucker
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ ก.ค. 24, 2011 8:46 am
0
0
Re: อีกครั้งกับ Blue Ocean Strategy
ถ้าชอบบทความกึ่งวิชา(เกิน)การเช่นนี้ ขอเสนออีกบทความหนึ่งในอดีต หัวข้อนี้เลย เข้าชั้นเรียนกับ Drucker ไม่ได้เข้ามาพักใหญ่ ทำ Link ไม่เป็นแล้ว รบกวนทำ search หัวข้อนี้เอา ในห้องนั่งเล่นแล้วกัน :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ ก.ค. 24, 2011 8:32 am
0
0
Re: ขุนรองปลัดชู วีรชนคนถูกลืม
ขอบคุณคุณโอรสสวรรค์มากที่ชี้แจงให้รู้ชัดเจนยิ่งขึ้น เรื่องบุรุษครองผ้าเหลืองที่ถูกสังหารกลางวัด (โดยขุนรองเอง ตรงนี้สงสัยตัวเองเบลอจะหลับเลยไม่เห็นภาพเงื้อดาบ ตอนนี้ระลึกได้แล้ว) กำลังถกเถียงกันในกระทู้ที่เฉลิมไทย ว่าเป็นใครกันแน่ บางเจ้าบอกเป็นกรมหมื่นเทพพิพิธ(เจ้าแขก) น้องของพระเจ้าเอกทัศน์ แต่ก็แย้งไปว่าน่าจะไม่ใช่ เห็นคำตอบของคุณโอรสสวรรค์ดูใกล้เคียง มีกระทู้รวมความยาวของหนังเรื่องนี้ไว้ที่นี่ ใครมีเวลาว่างๆก็เปิดดูได้ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A10796900/A10796900.html บางคนอาจจะรู้สึกว่ายัดเยียดความรักชาติโจ่งแจ้งเกินไป ตัวเองก็รู้สึกประมาณนั้น แต่พอมองว่าเป็นเสี้ยววีรกรรมของสามัญชน ที่อยู่ในประวัติศาสตร์เพียง 2 บรรทัด ก็ชื่นชมในความมุมานะของคนเขียนบทและถ่ายทำ ประมาณได้ดู"ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ" หรือ "ระย้า" สมัยโน้น :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ก.ค. 11, 2011 8:06 am
0
0
Re: ขุนรองปลัดชู วีรชนคนถูกลืม
ดูไม่ทันจบ หลับเสียก่อน กะจะดูใหม่ช่วงสัปดาห์นี้อีกครั้ง มีหลายตอนค่อนข้างยัดเยียดไปนิดคือฉากจมน้ำตาย ซึ่งเป็น Flash Back ในความคิดคำนึงของขุนรองก่อนจะสิ้นลมหายใจ เนื่องจากหนังเป็นผลงานกำกับของนักทำหนังโฆษณา ฉะนั้นจะมีวิธีเล่าเรื่องที่เร็ว รวบรัด ใช้เทคนิคการตัดย้อนย้อนกลับไปมา เช่น ฉากที่พม่าประชุมกันจะรุกไทย (พูดเป็นภาษาพม่าด้วย) ตัดกับฉากขุนรองเตรียมพร้อมต้านการบุก เพื่อให้เห็นแรงรุก และรับอย่างต่อเนื่อง ระหว่างฝ่ายที่มาบุกกับฝ่ายที่ต้องรับปะทะ โดยไม่ต้องตั้งต้นสร้างประวัติของทางหงสาวดีว่าเป็นใครมาอย่างไร หนังพยายามยั้งอารมณ์ตลอดเวลา ด้วยการตัดขึ้นตัวซุเปอร์หนังสือของแต่ละองก์ เพื่อให้คนดูไม่เคลิ้มจนลืมว่ากำลังดูหนังเรื่องหนึ่ง อันนี้เป็นเทคนิคมาจากละครเรียกว่า Alienation Effect คนดูต้องตั้งสติระลึกเสมอว่า กำลังดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และใช้ปัญญาไตร่ตรองความผิดชอบ ชั่วดี ขุนรอง ยอมรับความผิดพลาด ด้วยการมีส่วนร่วมเข้ากระทำล่วงล้ำอาญาแผ่นดิน เพียงเพราะบุรุษอีกท่านมีพระคุณต่อหัวเมืองที่ขุนรองอยู่อาศัย ข้าราชการผู้ใหญ่ก็โน้มน้าวให้ขุนรอง สมัครพรรคพวก เบี่ยงความจงรักภักดีมาที่ผู้กำลังกำชัย ตรงนี้ที่หนังพยายามตั้งคำถามว่า ระหว่าง ภูมิภาคนิยม กับ แผ่นดินนิยม ความรักชาติจะถูกปลุก ณ จุดใด ความถูกต้องถูกกระตุ้น ณ หนไหน ขณะเดียวกันหนังก็ทอดความคิดคำนึงของบุรุษผู้หนึ่ง ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของรัชสมัย จะต้องมีการล้างบังลังก์เลือด (ข้อนี้เป็นทุกชาติ ลองไปศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศอื่นก็เป็นกัน) การผลัดเปลี่ยนบังลังก์แต่ครั้ง มีหัวของประชาชนที่ต้องนองเลือดตามเช่นกัน ทำให้ขุนรองฉุกคิดว่า จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งได้หรือไม่ (ขอตอบเลยว่า ยากมาก) อย่างไรก็ตาม เผอิญเกิดศึกขัางหน้า แทนที่ขุนรองจะตระหนกวิตกถึงความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ดวยการเลือกข้างใดข้างหนึ่ง กลับผลักแรงมุมานะหนุนเนื่องในวีรกรรมความกล้าหาญ ออกไปสู้รบรับศึกนอกแทน เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับมโนธรรมที่สำนึกผิดต่อการกระทำของตนในอดีต ในทะเลเลือดแห่งสมรภูมิ ญาณสำนึกสุดท้าย( ซึ่งเปิดฉากออกมาเป็นตอนแรก) ขุนรองยังตั้งคำถามทิ้งท้าย ผิดหรือถูกที่นำพาพรรคพวกกว่า 400 ชีวิตมาจบลงที่นี่ โดยที่หลายๆคนสามารถจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ในฐานะมนุษย์ที่ยังมีศักดิศรี ความหวัง แม้แผ่นดินจะสูญสิ้นศรัทธาไปหมดแล้ว ฉากที่สะเทือนใจที่สุด และทิ้งให้คนดูเกิดมโนภาพตามก็คือ การทำร้าย ขุนหลวงหาวัดในชุดผ้าเหลือง (ในบางตำนาน กล่าวว่า ขุนหลวงหาวัด หนีออกไปได้) โดยที่ขุนรองเองก็เห็นเหตุการณ์ข้างหน้า แต่ก็ได้แต่นิ่งเฉย ไม่สามารถขยับเขยื้อนอะไรได้ หวนกลับให้นึกถึงคำพูดหนึ่ง อาชญากรรมที่เลวร้ายสุดๆ คือการเห็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้า แต่เรากลับหันเมิน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
อาทิตย์ ก.ค. 10, 2011 6:24 pm
0
0
Re: [เสนอแนะ] ผมอยากขอให้เปิด "ห้องใหม่" อีกซักห้องครับ
มีบทสัมภาษณ์ First Hand โดยตรงเกี่ยวกับ CEOบริษัทต่างๆอยู่จำนวนหนึ่ง ทั้งหมดเคยลงพิมพ์ในคอลัมน์ Executive Briefcase ของ Bangkok Post เป็นภาษาอังกฤษ คิดว่าเจ้าของคอลัมน์คงยินดีที่จะให้เผยแพร่ เคยเอามาลงไว้บ้างแล้วในห้องร้อยหุ้น ถ้ามีห้องนี้เกิดจริง จะขออนุญาตเอามาโพสให้ :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ เม.ย. 01, 2011 2:02 pm
0
0
Re: ปัจจุบันย้อนรอยอดีต ภาคแผ่นดินไหวที่โกเบ
เกิดตำนานของบุคคลคนนี้ Nick Leeson และการล้มละลายของธนาคารเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของอังกฤษคือบาร์ริ่ง ข้อมูลจากน้องวิกกี้คนเก่ง http://en.wikipedia.org/wiki/Nick_Leeson "The beginning of the end occurred on 16 January 1995, when Leeson placed a short straddle in the Singapore and Tokyo stock exchanges, essentially betting that the Japanese stock market would not move significantly overnight. However, the Kobe earthquake hit early in the morning on 17 January , sending Asian markets, and Leeson's trading positions, into a tailspin. Leeson attempted to recoup his losses by making a series of increasingly risky new trades (using a Long-Long Future Arbitrage), this time betting that the Nikkei Stock Average would make a rapid recovery. However, the recovery failed to materialize." และถ้าอยากรู้ว่า ธนาคารบาร์ริ่งห(ยิ่ง)ใหญ่ อหังการ์แค่ไหน โดนเด็กเมื่อวานซืนต่อยทีเดียวโครม ล้มระเนระนาด ให้อ่านหนังสือเล่มนี้ http://images.contentreserve.com/ImageType-100/1219-1/%7B1C3E8030-A8F9-432A-BC08-BB81A4742B97%7DImg100.jpg
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ มี.ค. 12, 2011 9:11 am
0
0
Re: [ไดอารี่] "90 วัน..กับเป้าหมายที่มากกว่าคำว่าลดน้ำหนัก ภ
สวัสดีคุณ Pak เพิ่งได้เข้ามาอ่าน Mission Possible ในกระทู้นี้ ขอชมเชยความมุ่งมั่นและกำลังใจที่แข็งแกร่ง แม้บางวันอาจจะหันเหไปเล็กน้อยแต่ก็กลับมาทัน คุณ Pak ดูออกจะเคร่งเกินไปหรือเปล่า เท่าที่กูรูอ่าน เพราะถ้าหนักเกินไปร่างกายจะประท้วง เช่น บางวันไม่กินข้าวแล้วยังออกกำลังกายอีก แถมวันรุ่งขึ้นต้องไปทำงานหัวฟูอีก ต้องปล่อยให้ร่างกายพักผ่อนบ้างน้า อย่าลืมว่า ร่างกายนั้นเป็นวิหารเรือนหนึ่ง ที่เราเอาจิตวิญญานมาขออาศัยอยู่ หากวิหารทรุดโทรมหรืออ่อนเปลี้ย จิตวิญญาณเราคงจะไหวคลอน ไม่รู้จะได้อยู่ต่อหรือเปล่า มาพูดถึงอาหารการกินบ้าง เห็นมีแต่เมนูตอนเช้าอย่างเดียวคือแกงจืดตำลึงหมูสับกับข้าวกล้อง ไม่ทราบคุณ Pak ทำกับข้าวได้หรือเปล่า (คิดว่าน่าจะอยู่คอนโดเพราะมีสระว่ายน้ำสวยเชียว) ลองกินอย่างอื่นสลับกันบ้างก็ดี อาจจะซื้อโจ๊กมาเก็บไว้ตอนเย็น แล้วกินกับผลไม้เช่น ส้มโอสัก 2 กลีบ หรือแคนตาลูปสักเสี้ยวหนึ่ง ถ้าทำกับข้าวเป็น ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นแกงฟักกับเห็ดหอม หรือแกงเลียง หรือต้มซุปแคร็อท มันฝรั่ง หอมใหญ่ มะเขือเทศกับกระดูกหมู หรือจับฉ่ายสารพัดผัก เพราะแกงจืดเหล่านี้(ยกเว้นแกงเลียง) สามารถทำเก็บใส่หม้อแช่ตู้เย็น สลับกันกินจะได้ไม่เบื่อ แถมกลับมาเหนื่อยๆ ไม่อยากกินข้าว ก็กินแกงจืดเปล่าๆ สักถ้วยก็พอรองท้องได้ ก่อนจะไปออกกำลังกาย พยายามตุนผลไม้สดหรือไม่ก็เครื่องดื่มชงประเภทข้าวมอลต์ หรือข้าวกล้องงอกไว้ในตู้เย็นบ้าง (ชงดื่มแล้วเหมือนกินน้ำข้าว อร่อยดีนะ) เวลาหิวตาลายจะได้ไม่มองแต่มาม่าอย่างเดียว เจ้าของเขารวยอยู่แล้วล่ะ ไม่ต้องอุดหนุนมาก :wink: สำหรับของขวัญอย่างเค้ก เบเกอรี่ทั้งหลาย ฮืมม์ กูรูเองก็ต้านไม่ค่อยไหวเหมือนกัน เห็นทีไรก็อดแผล็บๆไม่ได้ ก็เลยจัดการเรียบวุธ แต่จะกินพร้อมกับชาร้อน(ไม่ใส่น้ำตาล) ช่วยลดอาการเลี่ยนและไม่เพิ่มความหวานมากไปกว่านี้ บรรดาชาเขียวทั้งหลายของเสี่ยตันเอ๊ย..ตอนนี้ไม่ใช่แล้วซินะ มีแต่น้ำตาลทั้งสิ้น ไม่รู้เป็นชาเขียวเพื่อสุขภาพได้อย่างไร :roll:
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ มี.ค. 04, 2011 8:04 pm
0
0
Re: ดวงใจ จากเจ้าแล้ว จำจร
เออ..สงสัยกระทู้กูรูจะกลายเป็นแหล่งรวบรวมคนที่ได้เดินทางไกลไปเสียแล้ว :cry: ไปค้นหนังสือที่เขียนโดยทนายขวัญใจคนจน เจอเล่มนี้เข้า http://1.bp.blogspot.com/_L5Sulkcl6jo/SwYYRA2IcKI/AAAAAAAAAK4/obA1JXjeyxY/s1600/spd_2009082264532_b.jpg เลยไม่กล้าจะเอามาบอกกล่าวเนื้อหาในหนังสือว่าเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้การเมืองต้องห้าม ว่าแต่ signature ของคุณ San แปลว่ากระไร ใคร่ขอรู้ ถ้ามิเป็นการรบกวน :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
จันทร์ ม.ค. 24, 2011 9:39 pm
0
0
Re: ดวงใจ จากเจ้าแล้ว จำจร
ได้รับบทสุดท้ายที่เผยแพร่ต่อๆกันมา เพื่อเป็นอนุสติสำหรับผู้ที่อยู่ข้างหลัง เลยเอามาแบ่งปันให้เพื่อนอ่านในนี้ การตายและงานศพของฉัน ประทุมพร วัชรเสถียร** เมื่อชีวิตของฉันเดินทางมาถึงวันนี้ ฉันไม่มีความกลัวเรื่องความตายของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สนใจว่าฉันจะตายเมื่อไร เหตุใดจึงตาย ตายแล้วจะไปไหน ฉันไม่สนใจใคร่รู้ทั้งนั้น รู้อยู่แต่ว่าฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ (อีกนานเท่าไรไม่ทราบ) ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และอย่างมีความสุขที่สุด การทำชีวิตให้เป็นประโยชน์ที่สุด และมีความสุขที่สุดในทัศนะของฉัน น่าจะเป็นดังนี้คือ ๑.ปฏิบัติภารกิจในหน้าที่ให้ดีที่สุด สมบูรณ์ครบถ้วนที่สุด อย่างเต็มใจและอย่างสนุกที่สุด ภารกิจใดถ้าคิดว่าต้องฝืนใจทำ ทำแล้วไม่สนุก ทำแล้วเกิดความทุกข์ เกิดความกดดัน ทำให้เคร่งเครียด ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุด ฉันมีวิธีเลือกภารกิจของฉันดังนี้คือ ๑.๑ ทำงานชนิดที่ชอบ ทำด้วยใจรัก ทำแล้วสนุก ทำแล้วมีความสุข ๑.๒ ทำงานที่ให้ประโยชน์แก่เพื่อนร่วมโลก ๑.๓ ทำงานที่ให้ค่าตอบแทนเป็นเงินตรา หากฉันยังคงมีความต้องการด้านนี้ ๑.๔ ทำงานที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น แม้จะไม่เป็นประโยชน์ใดๆ ก็ตาม (แต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย และผิดศีลธรรม) ๒. คบคนที่คบแล้วทำให้จิตใจสบาย ร่าเริง เบิกบาน เปิดสมองและโลกทัศน์ ฉันไม่กลัวว่าจะมีเพื่อนน้อย หากเพื่อนเพียง ๒ – ๓ คน ที่ฉันคบสนิทด้วยทำให้ฉันสบายใจ ผู้ใดที่ทำให้ฉันรกตาด้วยภาพ รกหูด้วยคำพูด รกใจด้วยเรื่องร้าย ฉันขออยู่ห่างที่สุด ๓. สิ่งใดที่ฉันคิดว่าเป็นสิ่งดีที่ควรทำ ฉันจะไม่ผลัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไป เช่น ๓.๑ เขียนจดหมายถึงเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานาน หรือติดต่อนัดพบกับเขา หากทำได้ ๓.๒ ไปเยี่ยมผู้ใหญ่อันเป็นที่รักและเคารพ ซึ่งมิได้เยี่ยมเยือนมานาน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่มีใครเหลียวแล ๓.๓ อ่านหนังสือที่เคยคิดอยากอ่าน หรือหยิบมาเตรียมไว้ แต่ยังไม่เคยมีเวลาเปิดอ่าน ๓.๔ ตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อออกไปเดินเล่นท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ในสถานที่เหมาะสม เช่น สวนสาธารณะ หรือเดินชมกรุงเทพฯ ย่านที่ฉันเคยรู้จักและอยากกลับไปฟื้นความหลังอีก หรือย่านที่ไม่รู้จัก แต่อยากทำความรู้จัก ในฐานะที่ฉันเป็นชาวกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด ๓.๕ ส่งเงินหรือสิ่งของไปช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน โดยผ่านตัวแทนที่เชื่อใจได้ว่าจะนำความช่วยเหลือของฉันไปถึงตัวบุคคลที่ต้องการ (หากให้โดยตรงไม่ได้) ๓.๖ อ่านหนังสือธรรมะ หรือฟังข้อคิดทางธรรมะเป็นประจำ และปฏิบัติตามนั้น จะเป็นธรรมะของศาสนาใดก็ได้ ธรรมะที่ช่วยแก้ปัญหา อ่าน/ฟัง แล้วใจสบายนั้นคือธรรมะที่ถูกต้อง ธรรมะใดที่อ่าน/ฟังแล้วหนักใจ ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยโมหะ สร้างความแตกแยก นั่นมิใช่ธรรมะ ๔. หากร่างกายและจิตใจของฉันอำนวย ฉันอยากมีอาชีพเป็นนักเขียนจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตของฉัน ฉันอยากเขียนเรื่องทุกชนิดที่มีสื่อเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย บทความ เรื่องท่องเที่ยวจากประสบการณ์ คอลัมน์ประจำ บทวิจารณ์ หรือการตอบจดหมายแนะแนวทางแก้ไขปัญหาชีวิต รวมทั้งเรื่องธรรมะและการอบรมกล่อมเกลาจิตใจ และพฤติกรรมของมนุษย์ ๕. ฉันจะรู้จักมี “มุมชีวิต” ของตัวเอง หมายความว่า ฉันจะต้องรู้ข้อจำกัดของบทบาทของฉันว่าควรยุ่งเกี่ยวกับชีวิตคนอื่นมากน้อยเพียงใด และควรพอใจบทบาทความเป็น “คนนอก”ของตัวเองเพียงใด ฉันจะต้องรู้ว่า ไม่ว่าฉันจะเป็นภรรยา หรือแม่ หรือพี่ หรือย่า หรือยายของผู้ใด ฉันย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคนเหล่านั้น หากฉันถูกขอคำปรึกษาหารือ ฉันจะให้คำปรึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันจะไม่โกรธเคือง หรือเก็บเอามาเป็นอารมณ์ หากบุคคลเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตามข้อแนะนำของฉัน ฉันจะมีแค่ หูเปิด ตายิ้ม ปากปิด ต่อพวกเขาเหล่านั้น ๖. ฉันจะไม่ “แบกโลก” ฉันจะไม่เป็นคนเจ้าทุกข์ ฉันจะไม่ทุกข์เกินขนาดที่ควรทุกข์ ฉันจะต้องเตือนใจตัวเองว่า - ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขได้ เพราะหากฉันสามารถแก้ไขได้ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมีความทุกข์ - ฉันจะไม่ทุกข์ต่อเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะต่อให้ฉันทุกข์จนหน้าไหม้ใจขมไปหมด ฉันก็ยังแก้ปัญหานั้นไม่ได้ แล้วฉันจะปล่อยให้ความทุกข์มาครองใจฉันจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตของฉันด้วยประโยชน์อันใด ๗. ฉันจะไม่โกรธ ฉันจะไม่โมโห เพราะความโกรธคือความโง่ ความโมโหคือความบ้า ฉันจะไม่เตรียมตัวตายอย่างคนโง่และคนบ้า ก่อนฉันจะตาย หากฉันตายโดยกะทันหัน เช่น อุบัติเหตุใหญ่ หรือหัวใจวายเฉียบพลันก็แล้วไป โปรดจัดงานศพของฉันดังที่ฉันจะได้เขียนต่อไป หากฉันเจ็บไข้ด้วยโรคที่รักษาไม่ได้ ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียง หรือไม่รู้สึกตัว ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยสายระโยงระยาง และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ฉันขอร้องว่าอย่าเสียเวลาและเสียเงินเพื่อฉันมากมายอย่างนั้น ขอให้ใช้เวลาดูอาการของฉันไม่เกิน ๑ เดือน ต่อจากนั้นขอให้ยุติการต่อชีวิตฉันด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ โปรดอนุญาตให้ฉันจากไปด้วยวิธีธรรมชาติที่สงบที่สุดเถิด หากฉันมีโรคภัยชนิดที่ทำให้ต้องเจ็บปวดทุรนทุราย และร้องครวญคราง ขอให้บอกแพทย์ให้ใช้ระงับความเจ็บปวดแก่ฉัน ในอัตราที่ฉันจะสงบทั้งความเจ็บปวดและเสียงครวญครางของฉันได้อย่างราบคาบ แม้ว่าวิธีนั้นจะทำให้ฉันตายเร็วขึ้น ก็ไม่เป็นไร ฉันคิดว่าชีวิตของฉันที่ผ่านมา ฉันใช้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมและชีวิตมนุษย์รอบตัวฉันมากพอที่ฉันไม่ควรจะต้องได้รับความทรมานในบั้นปลายของชีวิตเช่นนั้น ก่อนฉันตาย ฉันอยากเห็นหน้าญาติมิตรและเพื่อนรักของฉัน และเพื่อนที่รักฉัน แต่ถ้าการมาหาฉัน ทำให้พวกเขาเสียเวลา หรือไม่สบายใจที่ต้องมาเห็นฉันในสภาพที่ผิดไปจากคนเดิมที่พวกเขาเคยเห็น เขาจึงไม่มาหาฉัน ฉันก็จะไม่โกรธ ไม่น้อยใจ จะไม่บ่นว่าอย่างใดเลย ในสภาพและวาระสุดท้ายเช่นนั้น ฉันควรจะต้องรู้จักให้อภัย และมีความเข้าใจต่อทุกสิ่งที่ว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเกิดมาจาก “เหตุ”อันมี “ตรรกะที่เข้าใจได้” ทั้งสิ้น งานศพของฉัน ฉันได้อุทิศร่างกายและดวงตาให้แก่โรงพยาบาลที่มีวิทยาลัยแพทย์เรียบร้อยแล้ว ฉันไม่อยากรบกวนญาติมิตร เพื่อนฝูงให้ต้องมาลำบาก เพราะความตายของฉัน เช่น ลำบากเดินทางมางานของฉัน ลำบากเสียเงินซื้อพวงหรีด หรือดอกไม้ หรือเสียเงินใส่ซอง อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่อยากจะหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบเชียบจนเกินไป มันดูเหงาพิลึก! ฉันอยากขอร้องผู้ที่อยู่ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิท หรือมิตรสหายที่รักชอบฉัน ให้ช่วยระลึกถึงการตายของฉัน ดังนี้ ๑. ช่วยแจ้งแก่วิทยุที่มีบริการประกาศข่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายถึงข่าวตายของฉัน เพื่อคนรู้จัก เพื่อนฝูง ญาติที่ไม่เจอกันนานๆ จะได้ทราบว่าฉันไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ๒. หากญาติมิตรคิดจะจัดงานระลึกถึงฉัน อยากให้หาสถานที่มารวมกันสักครั้งหนึ่ง เพื่อพูดคุยถึงฉันและผลงานของฉัน ไม่ต้องแต่งดำ ฉันอยากให้คนเหล่านั้นใส่เสื้อผ้าสีสวยๆ และนึกถึงฉันอย่างมีความสุขที่สุด ไม่ต้องชมเชยฉัน (และผลงานของฉัน) หรอก ตำหนิก็ได้ แต่อยากให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างผู้ที่เคยรู้จักฉันสักครั้งหนึ่ง ครั้งเดียวเท่านั้นเป็นพอ อย่าลืมว่าเมื่อฉันมีชีวิตอยู่ เราเคยมีความสุข สนุกรื่นเริงด้วยกัน ขอโอกาสอย่างนั้นให้แก่ฉันเป็นครั้งสุดท้ายเถิด และถ้าไม่ “เวอร์” จนเกินไป ฉันอยากให้มีเพลง In The Monastery Garden ของ A. Ketelbeyเปิดคลอไปด้วย เพราะฉันชอบเพลงนี้มาก ทำนองเพลงนี้มีบรรยากาศเหมาะแก่การส่งดวงวิญญาณไปสู่สถานที่แห่งใหม่ (ซึ่งน่าจะสวยสดและเย็นฉ่ำ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร) ๓. ฉันคิดว่า เมื่อฉันตายไปแล้ว ผู้ที่อยู่ข้างหลังคงไม่เดือดร้อน เพราะฉันไม่มีหนี้สินอะไร และพินัยกรรมฉันก็ทำไว้แล้ว ผู้ที่ได้รับสิ่งของจากฉันตามพินัยกรรมนั้น หากไม่พอใจ (เพราะน้อยเกินไป) ฉันต้องขอโทษด้วย เพราะฉันไม่ใช่คนรวย ฉันรับราชการด้วยความสุจริต รับแต่เงินเดือนมาตลอดชีวิต รายได้พิเศษของฉันก็มีเพียงจำกัดจากการเขียนหนังสือเท่านั้น หวังว่าผู้ที่ได้รับมรดกจากฉันคงเข้าใจ ๔. ฉันเตรียมบทความที่เขียนเอง (และเคยตีพิมพ์มาแล้ว) ไว้จำนวนหนึ่ง ถ้านำมารวมกันในเล่มเดียวจะเป็นการเล่าประวัติของฉัน และวาดภาพสังคมไทย (ในวงที่จำกัด) ช่วงหนึ่ง ฉันหวังว่าคนที่อ่านคงจะสนุกเพลิดเพลินและได้รับประโยชน์บ้าง หากเงินสวัสดิการต่างๆ ที่เป็นสิทธิ์ของฉันยังมีเหลืออยู่บ้าง ฉันอยากให้ญาติมิตรคนใดก็ตามช่วยจัดพิมพ์หนังสือนั้นให้ฉันด้วย ภายใต้ชื่อว่า “พาดผ่านกาลเวลา” คิดว่าพิมพ์เพียง ๒,๐๐๐ เล่มก็เกินพอแจกญาติมิตรและคนรู้จักที่ต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ ขอให้จัดส่งไปยังห้องสมุดต่างๆ สักจำนวนหนึ่งด้วย ทั้งหมดที่ได้เขียนมา คงจะเพียงพอแล้วสำหรับที่ฉันจะบอกแก่คนใกล้ชิดว่า ฉันอยากให้วาระสุดท้ายของฉันมีการเตรียมการอย่างไรบ้าง ความจริงวิธีที่ดีสุดก็คือ ฉันไม่ควรกระทำการคล้ายกับ “เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง”เช่นนี้เลย แต่ฉันเกรงว่า หากไม่บอกแจ้งไว้เช่นนี้แล้ว ผู้ที่หวังดีต่อฉัน อาจต้องเสียแรง เสียเวลา และเสียเงินทองเพื่อฉัน โดยที่มิได้เป็นความปรารถนาของฉันเลย ฉันจึงควรบอกไว้เช่นนี้จะดีกว่า ท้ายที่สุดนี้ ฉันขอให้ทุกคนที่เคยโกรธฉัน หรือไม่พอใจฉันด้วยเรื่องอะไรก็ตาม จงอโหสิให้แก่ฉัน และขอให้เข้าใจว่าฉันไม่เคยตั้งใจหรือวางแผน ทำให้ผู้ใดโกรธ หรือเสียใจ หรือน้อยใจเลย หากสิ่งนั้นเกิดแก่ผู้ใดอันเนื่องมาจากฉัน ขอได้โปรดรับทราบว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดจากความโง่เขลาของฉันโดยแท้จริง ที่ทำให้ฉันตาบอด และใจบอด จนไม่สามารถมองเห็นและหยั่งไม่ถึงความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น ขออโหสิแก่ฉันด้วยเถิด... คำสุดท้ายที่ฉันอยากจะบอกแก่ใครๆ ก็คือ ขอให้ทุกท่านจงมีชีวิตที่ตั้งอยู่ใน “ธรรมะ” ไม่ว่าจะเป็นธรรมะของศาสนาใด หรือธรรมะจากธรรมชาติของโลก การเข้าถึงธรรมะได้อย่างแท้จริง คือการปฏิบัติตามธรรมะ จนธรรมะนั้นเกิดผลตรงตามเจตนารมย์ของธรรมะนั้นๆ ธรรมะทำให้จิตเป็นกุศล เมื่อจิตเป็นกุศลแล้ว เราจะมีความสุข และจะรู้จักแผ่สุขให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย ฉันดีใจที่ได้เกิดมา และได้รู้จักท่านทุกคน ขอขอบใจทุกท่านที่ยินดีเป็นเพื่อนของฉัน และช่วยเหลือเกื้อกูลฉัน ขอขอบพระคุณท่านที่เคยมีบุญคุณแก่ฉัน ขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับท่านที่คิดว่าเป็นเพื่อนกับฉันแล้วท่านสนุกและได้รับประโยชน์จากการพบปะ พูดคุย หรือปรึกษาหารือกับฉัน ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านทุกคน[ http://www.praew.com/images/magazine/718/guest-718.jpg ขอกราบคารวะและส่งอาจารย์ด้วยเพลงนี้เลย :oops: In the monastery garden
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ม.ค. 15, 2011 10:07 am
0
0
Re: For Your Information - FYI
สวัสดีพี่บู ขอร่วมแจมข่าวด้วย มีข่าวน่ารักๆจากแดนปลาดิบที่ทำให้บางคนอาจน้ำตาคลอ ฮักๆได้ 'Tiger Mask' repaying welfare facilities Kyodo News Child welfare institutions and consultation centers in cities across the country are receiving school bags or cash gifts from someone who claims to be the hero of a popular wrestling comic book and TV series from the 1960s. It all began at the Chuo Child Consultation Center in Gunma Prefecture on Dec. 25. As one of the employees came to work on Christmas Day, she found 10 boxes containing school bags that were left on the entrance of the facility as she arrived for work. A note signed by a "Naoto Date" was left with the boxes. Initially, no one at the facility knew who he was until two days later when it was discussed at an employee meeting. As one of the senior officials, Keiichi Matsuba, 51, reported the gifts, one of the employees, Kuniyuki Takizawa, 36, realized Naoto Date was the name of the character who played the hero in "Tiger Mask." Takizawa had seen reruns of Tiger Mask, which aired between 1969 and 1971. In the popular animation, Naoto Date was an orphan who grew up in a welfare facility and donated money to the facility after becoming a professional wrestler. "I suspect that someone around his 50s or so, had a similar experience with 'Tiger Mask' and sent the gifts to us. We don't plan to search for him, out of respect for his feelings," Matsuba said. After the gifts were reported in December, child welfare facilities in Kanagawa, Nagano, Gifu, Okinawa and Nagasaki prefectures have received school bags or donations from "Naoto Date," one after another.
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ม.ค. 11, 2011 10:25 pm
0
0
Re: รุ้งพาด น้ำท่วม ลมหนาว
สวัสดีพี่ป้อมเจ้า ไม่ได้มาทักทายหลายเพลา ด้วยวุ่นวายกับธุระส่วนตัวมากมาย เผลอแผล็บเดียวจะจบปีอีกแล้ว อายุเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัวเลข เลยหวนคำนึงว่าที่ผ่านมาขวบปีชีวิตเจออะไรบ้าง จะว่าไปก็ค่อนข้างราบเรียบ บางห้วงเวลา มียุ่งวุ่นวายตามประสาทั่วไป บางครั้งก็เร่งรีบจนลืมอภิเชษฐ์กับสิ่งรอบข้าง ทว่า ท้องถนนในเมืองหลวงก็ไม่ค่อยมีอะไรจะน่าอภิ..เท่าไหร่เล้ย (ทุกซอกมุมถนนเดี๋ยวนี้ กลิ่นตุๆทั้งน้าน) ถึงกระนั้นในความหยาบก็ยังคงมีสิ่งทีละเอียดซ่อนอยู่ มองข้ามอะไรที่ไม่สบอารมณ์ไปเสียบ้าง โลกก็ยังหมุนรอบตัวเองต่อไปได้ มาฟังเพลงจังหวะช้าๆดีกว่า Andante เป็นท่อนหนึ่งจาก Double Mandarin Concerto ของ Antonio Vivaldi คีตกวีอิตาเลียนสมัยบาโรค นำมาฮัมเพลงใหม่โดยศิลปินผิวดำ Bobby McFerrin โดยมี Yoyo Ma บรรเลงไวโอลินคลอ ดูแล้วรู้สึกโลกช้าลง...จริงๆ พี่ป้อมว่ามั้ย :wink: http://www.youtube.com/watch?v=9NdlGjkZ_6I
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ธ.ค. 14, 2010 7:48 pm
0
0
แนะนำฟังเพลงthe moon represent my heart coolมากๆ
โอ๊วโย๊ะ เปิดอ่านกระทู้นี้ช้าไป รายการของตาสุพจน์ ผจญยุทธ Bright & Beautiful 98.5 เพิ่งเปิดหัวเพลงให้เดาตะกี้นี้เอง 10.30 น. ให้ทางบ้านตอบว่า เพลงนี้ชื่ออะไร คนตอบถูกได้จะได้ CD เพลง Oldies ตั้ง 5 แผ่น มีคนตอบไปแล้วอะ เสียดายจัง :cry:
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ต.ค. 16, 2010 11:00 am
0
0
ลิขิตพุทธทาสถึงน้องชายโดยธรรม
คุณ Romee : หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ มีงานเขียนเผยแพร่มากมายที่ปรากฏเป็นภาษาสากล จึงเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวโลกถ้วนหน้า ซึ่งข้อนี้ น่าเสียดาย งานเขียนของพระไทยหลายรูปน่าจะได้ปรากฏในภาษาสากลเช่นกัน ทุกวันนี้มีอยู่ไม่กี่เล่มเอง ไว้ขอฝึกภาษาให้เข้มลึกกว่านี้ จะลองปฎิบัติภารกิจนี้ดูบ้าง คุณหมอ Kotaro : ดีใจที่คุณหมอได้แวะเข้ามาอ่าน กูรูเคยฝันจะเป็นนักเขียน S.E.A. Write เหมือนกัน แต่เท่าที่ทำได้ก็คือ ไปเขียนอยู่ข้างทะเลแทน ( Sea Write) :roll: คุณ 121: สวนโมกข์ กรุงเทพ อยู่ปากทางเข้าสวนรถไฟ เดินจากถนนใหญ่(วิภ่าวดีรังสิต) เข้าไปถนนเล็กๆเลียบข้างตึก ป.ต.ท. ประมาณ 200 ก้าวสำรวม ตั้งอยู่ทางซ้ายมือเห็นเด่นชัด คุณสถาปนิกต่างดาว : น่าจะปรับตัวเป็นมนุษย์โลกได้เต็มตัวแล้วน้า ยังไม่ได้เจอกันซะที คุณ Terati 20 : มหิดล ยังจัด สัมมนาทางธุรกิจ สม่ำเสมอ เพราะเป็นเสมือนหนึ่งวิทยานิพนธ์สำหรับเด็กในเทอมสุดท้าย คราวที่แล้วก็จัด แต่สถานการณ์หมิ่นเหม่มาก เพราะตรงกับกลางเดือนพฤษภาพอดี เลยไม่กล้ามาแจ้งประชาสัมพันธ์ในนี้ กลัวว่าเข้าไปฟังแล้ว ออกไม่ได้เพราะถูกปิดล้อม :twisted: ในที่สุดก็จัดกันอย่างหร็อมแหร็มเต็มที วิทยากรบางท่านยังมาไม่ได้เลย คุณ jverakul : ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ต.ค. 12, 2010 6:36 am
0
0
ลิขิตพุทธทาสถึงน้องชายโดยธรรม
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่าน กิจกรรมของสวนโมกข์ กรุงเทพ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เวปนี้ http://www.bia.or.th/ วันพรุ่งนี้ พุธที่ 13 ตุลาคม มีอีกเสวนาหนึ่งที่ไม่ควรพลาด ผู้ที่นิยมชมชอบงานเขียนของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ เชิญร่วมฟังเสวนาเรื่อง สัมผัสชีวิต พระพุทธเจ้า ผ่านวรรณกรรมของ ติช นัท ฮันห์ วันพุธที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๑๒.๐๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น ๑ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ๑๒.๐๐ - ๑๓.๓๐ น. ลงทะเบียน ๑๓. ๓๐ - ๑๔.๓๐ น. ปาฐกถานำ โดย อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เรื่อง พุทธศาสนามหายาน ๑๔.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. เสวนา เรื่อง สัมผัสชีวิตพระพุทธเจ้า ผ่านวรรณกรรมของ ติช นัท ฮันห์ โดย คุณ รสนา โตสิตระกูล คุณ สันติสุข โสภณสิริ ดำเนินรายการโดย คุณจิตรกร บุษบา จัดโดย มูลนิธิโกมลคีมทอง มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ มูลนิธิหมู่บ้านพลัม สนใจติดต่อ ๐๒-๔๑๒-๐๗๔๔, ๐๒-๘๖๖-๑๕๕๗ หรือ www.komol.com ( ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ในการร่วมงาน )
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ต.ค. 12, 2010 6:18 am
0
0
ใบไม้ร่วงลา
มีโอกาสเปิดยูทูป หาเพลงที่เกี่ยวกับฤดูใบไม้ร่วง มีอีกหลายเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เลยเอามารวมมิตรกัน อย่างวง Secret Garden บรรเลงท่วงทำนองอ้อยสร้อย Adagio (แปลว่าจังหวะที่ แช่มช้า) Adagio หรืออีกเพลงหนึ่ง Autumnal Emotion จาก Secret Garden เหมือนกัน คุ้นๆคล้ายกับ Series เกาหลีเอาไปใช้บ่อย Autumn แล้วก้อเพลงสุดท้าย ของ Evangelis นักแต่งเพลงกรีกคนเก่งที่เคยฝากผลงาน ในเพลงรางวัลออสการ์ Chariots of Fire มาคราวนี้เป็นเพลงหวานอ้อยสร้อยได้อย่างงดงาม จากต้นฉบับเดิมที่ชื่อว่า La Petite Fille de la Mer (เด็กหญิงแห่งท้องทะเล) มาประกอบกับคลิปวีดิโอเมื่อใบไม้สลัดโศกได้อย่างดี Evangelis's Autumn เพื่อนๆล่ะมีเพลงฟังฤดูใบไม้ร่วงกันหรือยัง
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ ต.ค. 08, 2010 6:33 pm
0
0
ผู้ไถ่โทษจักอยู่ในใจเราเสมอ....My Redeemer Lives
วันนี้ กรุงเทพธุรกิจ เซคชั่น จุดประกาย ได้ลงบทสัมภาษณ์ของนักเดินท่านหนึ่ง ผู้เคยฝากฝีก้าวไว้ใน "เดินสู่อิสรภาพ" ฟังทัศนคติการเกินจากบรมกูรูท่านนี้ได้บางตอนที่คัดมา ส่วนฉบับจริง เชิญอ่านเอาในเวปเพราะยาวมากๆ ก้าวสองของประมวล เพ็งจันทร์ ' ก้าวสอง' ของ ประมวล เพ็งจันทร์ เดินเคียงข้างไปกับ "ผู้บรรลุธรรมด้วยปลายเท้า" เพื่อแบ่งปัน "เรื่องราว" ระหว่างทาง และ "สันติภาพ" ให้เบ่งบานในมโนสำนึกของสังคม ครั้งที่แล้ว แต่ละก้าวของ ประมวล เพ็งจันทร์ มีความหมายถึงการเข้าไปแสวงหาสิ่งที่ยัง "ติดค้าง" อยู่ภายในจิตใจ ครั้งนี้ ผู้เจนจบในการเดินให้คำจำกัดความที่ต่างออกไป "การเดินครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจนว่า เพื่อสร้างสภาวะสันติสุขให้เกิดกับสังคม ... พูดง่ายๆ ก็คือ ครั้งที่แล้วผมเดินเข้าข้างใน ครั้งนี้ผมเดินออกมาข้างนอก" 53 วันจากศาลายาสู่ปัตตานี ใต้ธงโครงการ "เดินเพื่อสันติปัตตานี" หลังได้รับคำชวนจาก รศ.ดร.โคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ต้องการใช้ "การเดิน" เป็นสัญลักษณ์การสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาความรุนแรง และสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ให้กับสังคมไทย ย่อมไม่เหมือนกับ 66 วันจากเชียงใหม่ถึงสมุย ในฐานะ "ผู้เดินก่อน" เขาไม่ได้คิดว่านี่เป็นการ "ซ้ำรอย" ทางเก่า แต่กลับยิ่งทวีคุณค่า และเพิ่มเส้นทางใหม่ๆ ให้กับตัวเอง เพื่อนร่วมเดินทาง และสังคม เมื่อ 1,200 กิโลเมตรแรก ช่วยให้ค้นพบ "ตัวตน" จาก "ปลายเท้า" ขณะที่ 1,100 กิโลเมตรต่อมา ทำให้มองเห็น "โลก" ใน "มิติ" ที่กว้างออกไป และระหว่างก้าวนั้น มี "บางความหมาย" ที่เขานำมาร่วมแบ่งปัน การเดินครั้งนี้แตกต่างจากการเดินครั้งแรกไหม มันต่างกันในแง่ของวัตถุประสงค์ เพราะครั้งแรกผมเดินเพื่อเรียนรู้ฝึกฝนจิตใจตัวตนของผมเอง ไม่ได้สัมพันธ์กับผู้อื่นที่เป็นเพียงฉากประกอบ ดังนั้นการเดินครั้งแรกเป็นการเดินเพื่อเข้าถึงหรือเข้าใจตัวตนของตนเอง แต่ครั้งนี้เป็นการเดินในมิติทางสังคม เป้าหมายชัดเจนว่า การเดินครั้งนี้เพื่อจะสร้างสภาวะที่เรียกว่าสันติสุขกับกับสังคม ซึ่งมันจะเกิดเราผู้เดินจะต้องสัมผัสได้ เข้าถึง เข้าใจอะไรบางอย่าง เพราะตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ก็เหมือนการเรียนรู้สังคม คือ ประชาชน สภาพแวดล้อม สภาพชุมชน สภาพปัญหาต่างๆ ถ้าจะพูดง่ายๆ ครั้งแรกเดินเข้าไปข้างใน ครั้งนี้เดินออกมาข้างนอก ระหว่างก้าวเดิน ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ สภาพแวดล้อม หรือผู้คน คุณตีความออกมาแบบใด มันเหมือนกับว่า ผมมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจแล้ว ผมมีความเชื่อมั่นว่า เมื่อจิตใจของเรานิ่งสงบพอก็จะสามารถเชื่อมโยงความสงบนี้ไปสู่เพื่อนร่วมเดินทางได้ สิ่งนี้เป็นประเด็นแรกสุด เพราะขณะที่ผมเดินออกมา ก็มีเพื่อนร่วมทางจำนวนหนึ่งที่เขารู้ว่าผมเคยเดินมาแล้ว ดังนั้น ทำอย่างไรให้ความสงบที่ผมได้สามารถแบ่งปันไปสู่เพื่อนร่วมเดินทางได้ด้วย มันไม่ใช่การนั่งพูดนั่งคุย ได้ยินคนอื่นคุย แต่เมื่อเราเดินร่วมกัน เมื่อเกิดอะไรขึ้นในใจของเพื่อน ผมสามารถเอาความหมายที่เกิดขึ้นในใจเขามาพูดคุยได้ อย่างเมื่อเราเดิน เราเหนื่อย มีบางคนถามผมว่า อาจารย์ เดินครั้งนี้เราจะได้อะไรบ้าง ผมตอบว่า เดี๋ยวเราจะรู้เอง การเดินครั้งนี้เรามาเผชิญความเหนื่อยและมันก็กลายเป็นบางสิ่งที่ท้าทาย ผมบอกให้เขาฟังว่า เมื่อก่อน ผมเคยเดินเข้าหาความกลัว เดินเข้าหาความไม่แน่นอน เดินเข้าหาความไม่มั่นคงที่ปกติเราจะกลัวมาโดยตลอด ครั้งนี้เราจะเห็นภาพเลยว่า เราไม่รู้ว่าจะกินอะไร รู้ว่าเหนื่อยแน่ๆ แต่ก็ยังเดินไม่หยุด นี่เป็นภาพ แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังภาพนี้คืออะไร ระหว่างเราเดินแล้วเราจะรู้ ตรงนี้ผมกำลังเชื่อมตัวผมกับเพื่อนร่วมทางแล้ว ยกตัวอย่าง ตอนเช้าที่อำเภอบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม เราเดินหันหน้าหาทะเลในทางทิศตะวันออก ช่วงที่พระอาทิตย์โผล่แสงสีเงินสีทองมาจากท้องฟ้า เพื่อนหลายคนบอก โห สวยจริงๆ อาจารย์ พวกเราเกิดมากันตั้งไม่รู้กี่ปี เพิ่งจะรู้ว่าท้องฟ้ายามรุ่งอรุณที่พระอาทิตย์สอดแสงสีทองสวยที่สุด และความสวยนี้คือความหมายที่ยิ่งใหญ่ของการเดินทาง ผมสามารถบอกเล่าความหมายนั้นกับผู้ร่วมเดินทางได้ ไม่ต้องใช้คำพูดเลย ใช้ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน ค วบคุมจังหวะของการก้าวอย่างไร ไม่ได้ควบคุมเลยครับ (ตอบทันที) เพราะแรกๆ เดินเขาจะให้เกียรติผม ในฐานะที่ผมเดินมาแล้ว ให้ผมเดินนำ แต่ปรากฏว่ามีปัญหามาก เพราะผมเดินเร็ว แล้วเพื่อนร่วมเดินบางคนถนัดเดินช้า บางคนถนัดเดินเร็ว เมื่อเราเรียนรู้ตรงนี้ว่า จังหวะของการก้าวเดินนี้ไม่ได้เป็นจังหวะของผมแล้ว ผมต้องฝึกเดินเป็นจังหวะของเพื่อนผู้ร่วมเดิน นี่เป็นความหมายที่สำคัญมาก วันหนึ่งที่เราเดินคนเดียวจังหวะก้าวมันสัมพันธ์กับตัวเราคนเดียว ก้าวอย่างไรทำให้เราทำสมาธิได้มั่นคง ก้าวอย่างไรทำให้จิตเราอยู่กับปัจจุบัน แต่การเดินครั้งนี้ไม่ใช่ ก้าวอย่างไรให้การเดินครั้งนี้มีความหมายกับเพื่อนๆ ก้าวอย่างไรถึงจะทำให้เพื่อนร่วมเดินทางมีความเบิกบานกับการเดิน ซึ่งถือเป็นโอกาสของผมจะได้ค้นพบ ตอนหลังผมจึงฝึกเดินช้า ต่อมาผมจึงฝึกเดินข้างหลัง ขอให้เพื่อนผู้ร่วมเดินทางเดินก่อน แต่เขาก็จะบ่นว่า อาจารย์ประมวลเดินข้างหลังทำให้เขาเกร็ง เพราะเหมือนกับว่าผมกำลังมองเขาอยู่ (หัวเราะ) ผมก็เลยเรียนรู้ว่า ถ้าอย่างนั้นเรามาเดินเสมอกัน หลังๆ เรานิยมที่จะเดินคุยกัน ซึ่งปกติผมไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้ ที่สำคัญ พอเราเดินคุยกันกลับมีเรื่องราวสารพัด เราพูดคุยเรื่องเหล่านั้นในความหมายที่เราก้าวเดินได้ การเดินในครั้งนี้ จังหวะก้าว ความหมายของการก้าว ทำยังไงจึงจะให้จังหวะก้าวของเรา และจังหวะก้าวของเขาเป็นจังหวะเดียวกัน และเราเดินพร้อมๆ กัน ถ้าเป็นดนตรีก็คือ ท่วงทำนองแห่งการเดิน หรือลีลาผสานกัน เครื่องดนตรีทุกๆ ชิ้นกลายเป็นเสียงอันไพเราะเพราะการผสานกัน นี่เป็นการเรียนรู้ที่สำคัญ และรู้สึกดีมาก สิ่งที่คุณค้นพบในจังหวะก้าวเดินตั้งแต่ การเดินนำ การเดินตาม ไปจนถึงการเดินด้วยกัน มีอะไรบ้างและเชื่อมโยงกันได้อย่างไร เวลาเดินนำ เราต้องกำหนดความหมายว่าเราจะเดินอย่างไร เพื่อให้เพื่อนที่เดินตามเขาสามารถเดินได้ง่ายและดี ดังนั้นเราต้องคอยใส่ใจดูแล ปกติถ้าเดินคนเดียว ผมไม่เคยหันหลังกลับมามองข้างหลัง แต่ครั้งนี้ ผมเป็นผู้นำ ผมต้องหันมองข้างหลังตลอดเวลาว่า เพื่อนร่วมเดินของผมเขาเหนื่อยล้า หรือห่างจากผมไปแล้วหรือยัง ถ้าห่างไป ผมก็ต้องชะลอความเร็วลง ถ้าเราเดินตาม เราก็ดูไปว่าเพื่อนเขาเดินเร็วเดินช้าแล้วปรับจังหวะของเราให้เข้ากับเขา แต่ขณะที่เราเดินเคียงคู่กันเราไม่ต้องดู ซึ่งมันเป็นความหมายที่ดีมากเลยนะ (ยิ้ม) เวลาเราเดินเคียงคู่กัน ไม่มีใครนำใคร ต่างฝ่ายต่างเดินเคียงคู่ซึ่งกันและกัน ถ้าเราอยากเดินเร็ว เขาก็เร็วตามเรา ถ้าเราอยากเดินช้าเขาก็ช้าตามเรา นี่เป็นความหมายที่ลึกล้ำกว่าความหมายเชิงกายภาพ ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจความหมายของการเดินด้วยกัน ที่ไม่มีใครเป็นผู้กำหนดนอกจากคนสองคน ในการเดินครั้งแรกคุณเห็นอะไร ครั้งแรกนี่มันมากจนต้องบอกว่าตั้งแต่วันแรกที่ออกจากบ้าน ภาพความเป็นไปในชีวิต ความหมายของชีวิต ภาพของความรู้สึกที่มันเป็นปัญหาอยู่ในอดีต อยู่ในปัจจุบันตอนนั้น มันค่อยๆ รื้อฟื้นขึ้นมา ตัวตนของผมถ้าเปรียบเป็นบ้านหลังหนึ่ง มันต่อเติมมาเรื่อยๆ โดยที่เราไม่เคยตรวจสอบเลยว่า บ้านหลังนั้น มีห้อง มีมุม ประตูหน้าต่างเป็นยังไง แต่ละวันที่เดินจึงเหมือนการที่เราค่อยๆ เปิดประตู สำรวจซอกมุม จนกระทั่งผมเรียนรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านี้ ช่วงเวลาการเดินครั้งนั้น ไม่มีเรื่องข้างนอกเลย ผมไม่สนใจเรื่องเวลา ไม่สนใจเรื่องระยะทาง ไม่สนใจสภาพที่เรียกว่าเป็นกายภาพ แต่ผมสนใจเพียงอย่างเดียวว่า ตัวตนของผมในขณะนั้นถ้ามีความขุ่นมัวขึ้นมา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ความกลัวเกิดมาอย่างไร ดูจนกระทั่งมันเกิดสภาวะ "การเกิด-ดับของความกลัว ความต้องการ" เช่นความหิว ความอ่อนแรง ขณะเดียวกันผมก็เห็นคุณค่าของความอิ่มอาหารที่ได้มา บางครั้งผมจึงกินอาหารแล้วร้องไห้ว่า ทำไมเกิดมาตั้งนานกว่าห้าสิบปีแล้ว กินมานับมื้อไม่ถ้วน เรารู้สึกว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย แต่เราไม่เห็นค่าของมันเท่ากับตอนกำลังเดิน เพราะเวลาที่เรากินอาหารเข้าไป ชีวิตก็ฟื้นขึ้นมาอีก ทั้งหมดก็ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตมีอยู่ มันมาจากปัจจัยแวดล้อมธรรมชาติ เพื่อนมนุษย์ที่เกื้อกูลเราตลอดเวลา แต่เราไม่เคยตระหนักรู้ ถึงคุณค่า และบุญคุณของสิ่งเหล่านี้ เห็นตัวเองที่ค่อยๆ เล็กลง แล้วครั้งนี้? มันมีความหมายไปอีกแบบหนึ่ง เมื่อเราเดินมา ผมเห็นความทุกข์ของเพื่อน เป็นความทุกข์ของผม หมายความว่า เมื่อเราเป็นเพื่อนกันปกติเราจะเห็นคนอื่นเป็นคนอื่น เขาสุข เขาทุกข์ เราก็รู้สึกสงสารในบางครั้ง แต่มันก็เป็นความรู้สึกสงสารในความหมายของคนอื่น แต่ครั้งนี้ เราเป็นคนเดียวกัน เพียงแค่ว่าเราเห็นใครคนใดดนหนึ่งในกลุ่มเราเจ็บ ก็เอาเท้าของเพื่อนมานวดมาเฟ้น ในทางกลับกัน เพื่อนก็ช่วยเรา สภาวะเช่นนี้ มันทำให้ความรู้สึกของเราที่เมื่อก่อนก็จะเป็นส่วนๆ ถูกเขย่าจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ความสุขความทุกข์ของคนแต่ละคน เป็นสิ่งที่เรารับรู้ร่วมกัน รายละเอียดที่ต่างไปจากเดิมเหล่านี้ ทำให้ผมกระจ่างชัดขึ้นว่า ที่ผ่านมาเราทำให้ตัวเองเป็น ปัจเจกบุคคล และคิดแบบแยกส่วน วันหนึ่งเมื่อเพื่อนเราคนหนึ่งเสียชีวิต มันบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกของทุกคนคืออะไร เหมือนกับว่าการเดินทางครั้งนี้เราต้องเสียสละอวัยวะบางส่วนของเราไป แต่สวนที่เหลือมันจะเกิดพลังในการเดินต่อไป ซึ่งเรามีความรู้สึกแบบนี้ในสังคมน้อยมาก เพราะเราต่างคนต่างแยกกันอยู่ เราต่างมุ่งหวังที่จะเอาตัวเองให้รอด เลยทำให้เราไม่ใส่ใจเพื่อนมนุษย์ในสังคมเท่าที่ควร การเดินครั้งนี้ทำให้ผมเข้าใจว่า เราต้องร่วมกันอยู่ เหมือนอย่างที่ได้เห็นเป้ของคุณชาตรี (ชาตรี อังอัจฉะริยะ) ที่วันหนึ่งเขาได้จากพวกเราไป แต่วันนี้เป้ใบนี้กลับมามีความหมายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อลูกชายกลับมาสะพายต่อ มันยิ่งใหญ่มาก ต่างจากเป้าหมายที่วางไว้แต่แรกไหม ? ไม่ได้วางเป้าอะไรเลยตั้งแต่แรก ผมใส่ใจว่า การเดินครั้งนี้ ผมจะเดินกับเพื่อนร่วมทางของผม ผมจะรับใช้เขา ผมจะทำให้การเดินทางของเรามีความหมายร่วมกัน ซึ่งคืออะไรผมไม่รู้ แต่จะมีคำตอบเองในหนทางข้างหน้า และผมเชื่อว่าการเดินครั้งนี้จะทำให้เกิดความหมายที่ดีงามขึ้นในใจของพวกเราทุกคน คำตอบของการเดินครั้งนี้ไม่ได้กระจ่างชัดในวันที่เราก้าวผ่านประตูรั้วมัสยิดกลาง ? ผมพูดเสมอว่า เป้าหมายเชิงกายภาพมันคือปัตตานี แต่เป้าหมายที่สำคัญคือ เป้าหมายทางความรู้สึก ซึ่งอยู่ในใจเราทุกคน และต้องเดินกันต่อไป สันติไม่ได้รอเราอยู่ที่มัสยิดกลาง ปัตตานี แต่สันติรออยู่ในใจเรา เพียงแค่เราเดินไปหาสันติในใจเราให้เจอ และเมื่อเราเจอสันติที่อยู่ในใจ เราจะพบสันติในสังคม เมื่อใดที่ใจหนึ่งดวงสัมผัสความสงบ สังคมก็สงบ แน่นอน ใจทุกดวงสัมผัสความสงบไม่ได้ แต่ถ้ามีใจบางดวงเกิดความสงบ อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เกิดความหมายในเชิงสงบขึ้นในสังคมนั้น :wink :
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ก.ย. 07, 2010 6:21 pm
0
0
รุ้งกินน้ำ
มีโอกาสแวะไปนั่งในรถซิ่งน้องจ๋า ซึ่งกำลังเป็นกระทู้เร่าร้อนขณะนี้ อ่านไปอ่านมา มึน.. เลยขอเข้ามาพักสายตาในห้องนี้ซะหน่อย ไม่มานั่งเฉยๆน้า เล่าเรื่องราวบางอย่างให้ฟังดีกว่า สมัยเรียนหนังสือ เคยมีส่วนร่วมทำละคร คนดีที่เสฉวน ของคณะ ชอบบทละครเรื่องนี้มาก คนแต่งคือ Bertold Brecht นักปรัชญาการละครเยอรมัน เนื้อเรื่องจำกระพร่องกระแพร่งเต็มที เลยไปหาในกูเกิ้ลว่ามีใครพูดถึงมั้ย ก้อ...มีจนได้ ขออนุญาตลอกมาให้อ่านดีกว่า http://hoyjubkab.exteen.com/20100601/entry ความดี ในสายตาพระเจ้ายุคมิลเลนเนียม อันเนื่องจากติดพันมาจากตอนที่แล้ว เกี่ยวกับบทละครกาลิเลโอของเบรคซท์ ป้าเกิดประทับใจประเด็นหลักในงานของเบรคซท์ มากอยู่ จึงพยายาม มองหาบทละครอีกสักเรื่องที่มีความน่าสนใจ ตรงกับเหตุการณ์ในยุคสมัยของเรา มาจุดประเด็นให้ขบคิดกัน โดยบทละครเรื่องใหม่ที่ป้าเลือกมาเล่าให้ฟังนี้มีชื่อว่า " คนดีที่เสฉวน" เกี่ยวกับบทละครเรื่องนี้ เบรคซท์ได้ประพันธ์ขึ้นเมื่อเขาแก่ตัวลง เขาเริ่มมองปัญหาในสังคมมนุษย์อย่างซับซ้อนขึ้น การจะว่าอะไรดี เลว ถูก ผิด ไม่ง่ายเหมือนสมัยหนุ่มๆที่เขาเคยคิดอีกต่อไปแล้ว เอาล่ะมาติดตามดูกันว่า คนดีในสายตาของเบรคซท์จะเป็นเช่นไร? ตัวเอกในเรื่องคนดีที่เสฉวน คือ หญิงโสเภณีนางหนึ่ง ผู้เป็นมนุษย์คนเดียวที่ให้แหล่งพักพิงแก่เทพเจ้า แม้จะต้องแลกกับการขาดรายได้จากการขายตัวไปวันหนึ่ง เบรคซท์สร้างให้ตัวเอกของเรื่อง เป็นแค่หญิงโสเภณี ที่ไร้ค่า ยากจน และถูกรังแกเอารัดเอาเปรียบ จากเจ้าหน้าที่รัฐ แมงดา แขกที่มาหาความสุข และ คนทั่วไปเสมอ แต่ถึงกระนั้น จิตใจของเธอก็ยังงดงาม ด้วยยึดมั่นในการทำความดีไม่เว้นวาย แต่โชคร้ายที่ เช็งตีเกิดมาในยุคที่แม้เทพเจ้ายังไม่ตายจากไปก็จริง แต่เทพเจ้าก็แทบไร้พลังอำนาจใดๆ จะดีก็แค่ยอมรับบทบาทของตนว่า เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น คนจะดีหรือเลวอยู่ที่ตนเองและสิ่งแวดล้อม และในสิ่งแวดล้อมอย่างทุกวันนี้ คนดีก็อยู่ลำบาก และถ้าอยู่รอดได้ก็จำเป็นต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ปรับตัวเองไหลไปตามสิ่งแวดล้อมครั้งๆคราวๆ เนื่อเรื่องย่อมีอยู่ว่า เทพเจ้าสามองค์เดินทางมาสู่โลกมนุษย์ เพื่อเสาะแสวงหาคนดี เมื่อครั้นเสด็จมาถึงเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นเมืองที่มีแต่ความแร้นแค้น ก็หาคนที่จะให้ความช่วยเหลือเทพเจ้าไม่ได้ แม้แต่คนที่จะใจกว้างให้ที่พักอาศัยก็ไม่มี เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะฟังเรื่องของเทพเจ้าเสียแล้ว จะมีก็เพียงแต่โสเภณีที่ชื่อว่า "เช็งตี" เท่านั้น ความเอื้ออารีของนางทำให้เทพเจ้าประทับใจ จึงประทานเงินให้เธอก้อนหนึ่งเพื่อเป็นทุนตั้งร้านขายบุหรี่ แต่ไม่นานผู้คนก็มาเกาะเธอจนเกือบหมดตัว เนื่องจากจิตใจดีและปฏิเสธใครไม่เป็น ซำร้ายเธอยังไปตกหลุมรักนักบินตกงานเข้าเสียอีก ชายคนนี้หวังปอกลอกหลอกลวงเงินเธอเต็มที่ ชีวิตเซ็งทีจึงเริ่มประสบกับหายนะ แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจปลอมตัวเป็นชาย ซึ่งอุปโลกย์เป็นลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งชื่อ "ซุยตา" เธอเล่นบทเป็นซุยตาที่มีบุคลิก ลักษณะ นิสัยใจคอตรงข้ามกับเช็งตีทุกอย่าง ทั้งโหดร้าย ใจแคบกดขี่ เป็นนักธุรกิจเต็มตัวที่ไม่ยอมเสียเปรียบใครง่ายๆ เหล่าอดีตคนข้างกายที่มาเกาะกินปอกลอก เริ่มไม่พอใจ พาลคิดไปว่า เซ็งตีได้ถูกซุยตาฆ่าตาย และยึดกิจการมาเป็นของตนเองอย่างแน่นอน เรื่องฆาตกรรมดังกล่าวได้ถูกนำขึ้นศาล โดยมีเทพเจ้าสามองค์นั่งบัลลังก์เอง เมื่อได้พบกับเช็งตีอีกครั้ง เทพเจ้าจึงดีใจมาก ที่ในโลกกว้างใหญ่ไพศาลนี้ก็ยังมีคนดี 1 คน แต่เธอสารภาพว่า การเป็นคนดีนั้นทำได้ยากลำบากเหลือเกิน และเธอก็เป็นคนดีตามที่เทพเจ้าต้องการไม่ได้เสียแล้ว เธอจำเป็นต้องมี ซุยตา เป็นพี่เลี้ยง เพื่อช่วยให้ดำเนินชีวิตได้ต่อไป เทพเจ้าเองเมื่อรับรู้เรื่องราว ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพียงแต่บอกเธอว่าให้เรียกญาติของเธอกลับมาช่วยได้เดือนละครั้ง ว่าแล้วก็รีบหนีเหาะขึ้นสวรรค์ไปด้วยความปิติ ที่ได้พบคนดีสมกับที่ได้แสวงหามาตลอด ทิ้งให้เช็งตีมีชีวิตต่อสู้ดิ้นรน ในโลกที่ไม่ใช่ที่อยู่ของคนดีอย่างเธอต่อไปอย่างโดดเดี่ยว เอวังด้วยประการฉะนี้...
โดย
กูรูขอบสนาม
อังคาร ส.ค. 31, 2010 7:18 pm
0
0
ใครจะซื้อแอร์มิตซู พึงระวัง
[quote="สถาปนิกต่างดาว"]เปิดเปิด เปรี๊ยะเปรี๊ยะ เป๊ะเป๊ะ ปึงปัง แปลกแปลก ปะเปะ ปกปิด ปัดป้อง เป๋เป๋ เป็นป่วย เป้เป้ เป๋ไป แอร์แอร์ เอาอีก ออนแอร์ อ้อแอ้ อ๋อแอ๋ เเอร์ไอ อดอิ่ม เอาอุ่น อุ้ยอ้าย โอ้แอร์ อิ๊บอ๋าย อายเอ็ง มีหู ก็เลย ได้ยิน มีตา ก็เลย ได้เห็ง มีใจ ก็เลย ได้เซ็ง .....สักว่ายิน
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ ส.ค. 27, 2010 9:14 pm
0
0
ใครจะซื้อแอร์มิตซู พึงระวัง
[quote="สถาปนิกต่างดาว"][quote="chatchai"]คงจะเป็นเฉพาะรุ่นมั๊งครับ
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ ส.ค. 27, 2010 10:55 am
0
0
คิดไงกับข่าว เฮียปอจะเทค คาร์ฟูร์
ตัดบทความจากคอลัมน์ในบางกอกโพสต์ ว่าด้วยขุนพล ปตท. ด้านรีเทล ส่วนใหญ่ข่าวที่ออกมารับทราบทั่วไปของ ปตท. จะเกี่ยวกับผู้บริหารด้านน้ำมัน หารู้ไม่ว่ามีขุนพลอีกระดับหนึ่งที่บริหารร้านค้าปลีก Jiffy (ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจาก Jet) ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทดแทนกับราคาน้ำมันที่ถูกกดดัน คนๆเดียวกันนี้เองที่น่าจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ พลิกโฉมใหม่ของ ปตท. เข้าสู่วงการ Retail เต็มตัว :wink: มารู้จักและดูวิธีการคิดของเขาดูซิบ้างว่าเป็นอย่างไร PTT Retail Excels through perfect storm Published: 11/02/2010 at 12:00 AM Newspaper section: Business 'To be successful in any business, management should concentrate on people, process and technology. Thai management usually disregards this practice. Hence, instead of taking a closer look at process, we normally just reduce headcount," says Dr Krisnapol Komolboon. As managing director of PTT Retail Management Co Ltd (PTTRM), Dr Krisnapol oversees the retail arm of PTT that runs the former Jet service stations, now rebranded as PTT, which it acquired two years ago from Conoco Phillips of the United States. A scientist by training, he joined PTT after finishing a PhD from the Polymer Institute of Technology. He then moved along PTT's corporate ladder with his last position as executive vice-president for corporate planning (downstream business). He helped lead the bid that resulted in the merger of the 146-station Jet network with PTT group. "We assessed Jet's next 15 years would produce 300 million baht in profit annually in 2007. Two years later, we had to decide whether to keep the Jet and Jiffy brand, so I recalled the words of my ex-boss and former PTT president Luen Krisnakri: 'a bad decision is making no decision'," explained Dr Krisnapol. After customer research and internal discussion, he proposed to buy only the Jiffy convenience stores. The Jiffy brand is copyrighted throughout Southeast Asia and the purchasing value was not disclosed. "To change all the Jiffy signs from highways to doors, we would have spent at least 300 million baht. We paid a lot less to keep the Jiffy brand," he said. PTTRM now enjoys a light oil sales volume of 655,000 litres per month per location, higher than the industry average, and 2.2 million baht per month from Jiffy convenience stores. "To be successful after taking over from Conoco Phillips, I had to ensure that all 150 team members at the head office were aiming for the same target. I told them 'The Only Easy Day Was Yesterday', as the US Navy SEALs motto says. We have worked very hard to make everyone at PTT feel like family," said Dr Krisnapol. Activities such as trips to the PTT gas unit facility and town hall-style meetings have been applied to make everyone feel like part of the team. Six months after taking over Jet, Dr Krisnapol did some fact-finding. "We knew beforehand there were only two areas where PTT was rated better than Jet stations. They were quality of light oil and perception of lowest price. I had 400 face-to-face, in-depth interviews at our 146 stations nationwide. Trust and care are the two issues most important to our customers. Cleanliness of washrooms is also a unique preference people have for our stations," he said. Just as customers are important, staff are the company's face to the outside world. "People are always at the top of my priority list. We currently provide quarterly training to our store managers, who serve customers every day," he explained. The latest addition, the "Platinum" grade service station, has been modified to include a better landscape, more convenient washrooms and a better variety of cooked foods. This new format was evaluated by an outside assessor as more customer-friendly. The company will add a Platinum station this year to bring the total to eight.
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ส.ค. 26, 2010 10:54 am
0
0
รุ้งกินน้ำ
สวัสดีจ้า พี่ป้อม ช่วงนี้เงินบาทแข็งจริงๆเลยนะ ส่งออกคงอ่วมหน่อย มีเงินร้อนรอเข้ามาซื้อของในไทยเยอะเหลือเกิน :wink: จ้ดบ้าน(อีกล่ะ) เจอเอกสารสัมมนาสมัยโน้น เป็นข้อเขียนจากศูนย์วิจัยกสิกร ก่อนฟองสบู่แตก ไม่รู้จะเขียนในกระทู้ไหนดี มาแจมกับของพี่แล้วกัน เดี๋ยวนี้คนเข้ากระทู้เยอะแยะตาแปะไปหมด นานๆเข้าทีตาลาย อ่านแล้ว ลองเปรียบเทียบกับปัจจุบันดู ตอนนี้หลายๆคนกำลังเดาว่าจะเกิด ไอตมดิปปิ้งอีกรอบหรือเปล่า ต่างฝ่ายต่างมีทฤษฎีอ้างอิง เลยเอาของเก่ามาดูซะหน่อย แต่โจทย์ทางเศรษฐกิจแต่ละครั้ง คงไม่เหมือนกันสักทีเดียว พิมพ์แปะเฉพาะหัวข้อนา..ถ้าไม่กระจ่างค่อยลงรายละเอียด เพราะเอกสารยาวพอสมควร สัญญาณเตือนภัย 9 ประการ : งานหนักครึ่งปีหลัง 2539 1. ภาคธุรกิจส่งออกที่ทรุดตัวเกินกว่าทุกฝ่ายคาดหมาย 2. ปัญหาการขาดดุลบัญชีเกินสะพัด 3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ฟุบตัวอย่างยาวนาน 4. ภาคธุรกิจท่องเที่ยวชะลอตัวลงค่อนข้างมาก 5. ภาวะเงินเฟ้อที่ยังไม่อยู่ในจุดที่น่าวางใจ 6. ความตกต่าของภาวะตลาดหุ้น 7. การลงทุนธุรกิจชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง 8. ปริมาณเช็ดเด้งมากขึ้น 9. ขีดความสามารถด้านการแข่งขันของไทยลดลง
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ส.ค. 19, 2010 9:51 pm
0
0
อิ่มอุ่น....
เอาเพลงรักแม่เมื่อวันวารมาฝาก ด้วยนักร้องวันวารเหมือนกัน :wink: Mother of Mine
โดย
กูรูขอบสนาม
ศุกร์ ส.ค. 13, 2010 9:44 pm
0
0
Re: จิบเบียร์คิว2 ศุกร์ที่ 3 กย. 6โมงเย็น สโมสรทหารบก(กระทู้
:8) 6. สโมสรทหารบก http://img840.imageshack.us/img840/4667/20100725.jpg แผนที่สำหรับเดินทางมานะครับ http://img33.imageshack.us/img33/4764/20100725p.jpg แผนผังบริเวณริมสระน้ำชั้นสองที่เป็นที่จัดงานครับ http://img51.imageshack.us/img51/5159/201007252.jpg อะ..เพิ่งมาเห็นแผนที่ รู้สึกจะคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ถ้าท่านใดมาทางรถไฟฟ้า พอเลยสถานีอนุสาวรีย์มาก็เป็นสนามเป้า ซึ่งจะอยู่ก่อนถึงถนนที่ตัดระหว่างพหลโยธินกับวิภาวดี เห็นเขาเรียกว่า วิภาวดีซอย 2 (ในแผนที่ข้างบนสถานีสนามเป้าอยู่เลยถนนตัดไปแล้ว เดี๋ยวจะเลยถึงสถานีอารีย์) ขอให้ลงฝั่งขวา (หรือถ้าลงผิดก็ขึ้นมาใหม่ก็ได้) ลงมาจะเจอบริษัทฟอร์ท คอร์ปอเรชั่นพอดี( Forth Corporation) ใครร่วมทุนกิจการอยู่ จะแวะไปพูดคุยกับเจ้าของพอเป็นพิธีก็ไม่มีใครว่า แต่คุยกลับด้วยหรือเปล่าไม่รู้นา แล้วก็เดินขึ้นมาจนถึงถนนตัดเส้นนี้ (วิภาวดี ซอย 2) ประมาณ 1 ป้ายรถเมล์ ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเรียกแท๊กซี่ได้เลย แล่น 2-3 นาทีก็ถึงแล้ว :wink: ขออนุญาตพี่ป้อมลงแผนที่ที่ถูก แต่ไม่มีสโมสรทหารบกในแผนที่นี้นา เพื่อนๆดูประกอบเองแล้วกัน สโมสรฯจะอยู่แถวๆ Military Base ไป http://inside.cm.mahidol.ac.th/mmf/images/stories/cmmu%20map.gif
โดย
กูรูขอบสนาม
เสาร์ ส.ค. 07, 2010 2:15 pm
0
0
ผู้ว่าคนใหม่แห่งวังบางขุนพรหม
พี่กูรูครับ ข้อมูลคือ ผู้ยิ่งใหญ่ที่กิมเอ็ง (คุณมนตรี ศรไพศาล) เคยเป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาครับ โดยมีคุณญาณศักดิ์ ซึ่งเคยเป็น ceo ที่บัวหลวงเป็นหัวหน้าคณะวิศว ส่วน ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ก็เคยเป็นนายกจุฬาเช่นกัน แต่คนละปีกันครับ ขอบคุณอีกครั้ง คุณเด็กใหม่ กูรูลองค้นในกูเกิ้ล ก็หาข้อมูลรายชื่ออดีตนายก สจม.ไม่เจอ เลยไม่แน่ใจในช้อมูลตัวเอง แต่คุณเด็กใหม่ได้ทักท้วงและแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องให้ ก็นับเป็นน้ำใจไมตรีที่มีให้ ขอโทษพี่พอใจด้วยที่เข้าใจข้อมูลคลาดเคลื่อน ข้อมูลพี่ถูกต้องแล้วล่ะ :wink: ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในนี้เจอบทความต่อเนื่องของ ดร.ประสาร ที่เกี่ยวกับเสี้ยวประวัติคนเดือนตุลา ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันนี้ เอามาให้อ่านกันเลย คงยากที่จะคาดคิดว่า..นักศึกษาหนุ่ม นักกิจกรรมเมื่อ เดือนตุลาคม 2516 ที่มักจะยึดฐานที่มั่นถนน"ราชดำเนินบอกกล่าวอุดมการณ์ของตัวเอง ให้สาธารณะชนได้รับทราบ จะสามารถก้าวขึ้นมา ดำรงตำแหน่ง "ผู้ว่าการแบงก์ชาติ" แห่งวังบางขุนพรหม "ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" หลายคนอาจลืมเลือนไปว่า เขาคือคีย์สำคัญคนหนึ่งในจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์วิปโยค 14 ตุลาคม 2516 ในฐานะนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น กับหน้าที่เจรจากับรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้ง 13 คน ซึ่งได้ผลเมื่อรัฐบาลยอมปล่อยตัวผู้ต้องขังทันที โดยไม่มีเงื่อนไข พร้อมทั้งยืนยันว่า จะมีการร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จก่อนเดือนตุลาคม 2517 เพียงแต่ข่าวสารบทสรุปจากกลุ่มเจรจา ที่มี ดร.ประสาร นำทีม กับกลุ่ม"เสกสรร ประเสริฐกุล" ที่ดูแลมวลชน อยู่นั้น ส่งกันไม่กระจ่าง บวกกับอารมณ์ของมวลชน ที่กรุ่นมาตลอด และอยากให้มียกร่างรัฐธรรมนูญทันที จึงนำไปสู่การเคลื่อนไหวใหญ่ดังกล่าว จึงมีคำถามย้อนกลับไปว่า หากวันนั้นสาส์นที่ ดร.ประสาร ได้ข้อสรุปมานั้น เราอยู่ในโลก ทวิตเตอร์หรือ บีบี เช่นวันนี้ จะเกิดวันวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 หรือไม่? ปริศนา 14 ตุลาคม 2546 ยังคง"เทา"อยู่จนถึงวันนี้.. ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล น่าจะมีบทสรุปของตัวเอง เพียงแต่จะบอกกล่าวกับสังคมหรือไม่เท่านั้นเอง เมื่อดูบทบาทในเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 "เขา"น่าจะถูกจดจำและเอ่ยถึงในชื่อ"คนเดือนตุลาฯ" เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นอีกหลายคน! แล้วทำไม? ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหลังเหตุการณ์วิปโยคครั้งนั้นต่อเนื่องมาถึง 6 ตุลาคม 2519 เพื่อนๆหลายคนเลือกที่จะ"เข้าป่า"เดินตามความเชื่อของ"ทฤษฎีเหมาเจ๋อตุง" ต่อต้านระบบทุนนิยม ปฎิวัติประเทศไทย แต่ "เขา"เลือกที่จะเข้าป่าคอนกรีต ศูนย์กลางของทุนนิยมโลก ...สหรัฐอเมริกา เพราะหลังจาก ดร.ประสาร จบวิศวะไฟฟ้า เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2517 แล้ว หลังจากนั้น ในปี 2519 เลือกเรียนต่อที่สหรัฐ และที่สำคัญยังได้รับพระราชทานทุนจาก"มูลนิธิอานันทมหิดล"แผนกวิศวะกรรมศาสตร์ ....จึงเป็นอีกพันธะกิจสำคัญของเขา ในการบริหารจัดการ มูลนิธิฯอานันทมหิดล จนถึงทุกวันนี้.. ขณะเดียวกันหลังจบด้านการบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา จนได้ปริญญาเอกออกมาในปี 2524 แล้วในปี พ.ศ. 2526 ดร.ประสาร ได้กำหนดวิถีชีวิต ตัวเองอีกครั้ง ตัดสินใจเข้ามาทำงานที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในตำแหน่ง เศรษฐกร ฝ่ายวิชาการ ก่อนที่จะขยับมาเป็น หัวหน้าหน่วย ฝ่ายกำกับและตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ และขึ้นมาถึง รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ก่อนที่จะกระโดด ตามคำเชิญของรุ่นพี่ ฮาร์วาร์ด "เอกกมล คีรีวัฒน์" เลขาธิการ ก.ล.ต.คนแรก เข้ามารับตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในปี 2535 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็นเลขาธิการฯในปี 2542 จนถึงปี 2546 เชี่ยวชาญครบสูตร..ทั้งตลาดเงินและตลาดทุน นี้อาจจะเป็นย่างก้าวแรก...ที่นำเขาเดินมาสู่เส้นทางในตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อ 6 ก.ค.2553 เพราะทุกชะตากรรม ล้วนมีที่มา ! หากดูเฉพาะความชำนาญ หรือมีความรู้ครบสูตร ทั้งตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงบริหารธุรกิจธนาคาร เขาคงไม่สามารถชนะใจคณะกรรมการสรรหา และ"กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เสนอชื่อเขาเข้าที่ประชุม ครม.อย่างแน่นอน ในส่วนของกรรมการสรรหาฯ ยังไม่มีการเปิดเผยคะแนนและเหตุผล แต่มีรายงานว่า คะแนนดร.ประสาร มาเป็นอันดับ 1 ซึ่งถือเป็นคะแนนสูงสุดทิ้งห่างอันดับ 2 และ3 คือ ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพนโยบายการเงิน ธปท. และดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ดร.บัณฑิตและ ดร.พิสิฐ มีคะแนนสูสีหรือใกล้เคียงกัน ขณะที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คะแนนรั้งท้าย สาเหตุที่คณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ ธปท.เลือกดร.ประสาร นั้น มีอยู่ 4 เหตุผลหลัก 1 .เชื่อมั่นว่า จะบริหารธปท.ภายใต้ภาวะวิกฤติได้ดี 2.มีหิริโอตัปปะ หรือมีความละอายต่อการกระทำผิด 3.ผ่านการทำงานภาคเอกชนมาก่อน คือ ธนาคารกสิกรไทย และ 4.มีความรู้ด้านตลาดทุนอย่างดี โดยผ่านงานด้านตำแหน่งเลขาธิการ ก.ล.ต.มาก่อน และมีผลงานที่ดีสมัยเป็นเลขาธิการ ก.ล.ต. ได้รับการยอมรับทั้งจากนักลงทุนและนักวิชาการรวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ส่วนในทัศนะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นั้น บทสรุปที่ให้สัมภาษณ์หลังมติครม.น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงและชัดเจนที่สุด " มีคุณสมบัติที่โดดเด่น มีประวัติที่เป็นที่รับรู้กันในสังคม เป็นคนที่มีจริยธรรม มีความเป็นมืออาชีพ และผมเองเคยร่วมงานกับดร.ประสารมาก่อน ในสมัยที่เป็นเลขาธิการก.ล.ต.ถือเป็นผู้นำองค์กรที่มีความเหมาะสม เพราะเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์การทำงาน ที่ตรงกับความต้องการ ในตำแหน่งผู้ว่าการธปท." ยิ่งหากพิจารณาแนวทางตัดสินใจ 13 ข้อที่ กรณ์ จาติกวณิช ระบุ ผ่าน เฟซบุ๊กก่อนนำเสนอเข้า ครม.นั้น ยิ่งชัดเจนที่สุดว่า ดร.ประสาร เหมาะสม ทั้ง 13 ข้อ 1. ความซื่อสัตย์ สุจริตที่ไม่เคยมีที่ตำหนิ 2. ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในระบบเศรษฐกิจของประเทศ และของโลก 3. ประสบการณ์ในการบริหารองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งความรู้ 4. ความแน่วแน่ในการรักษาหลักความเป็นอิสระของธนาคารชาติ ในการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ โดยไม่ยอมรับการกดดันโดยนักการเมืองที่อาจจะหวังผลตอบแทนในระยะสั้น 5. ความรู้ความเข้าใจในระบบเศรษฐกิจที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ 6. ความสามารถในการตัดสินใจที่ชัดเจน และในระยะเวลาที่เหมาะสม 7. วิสัยทัศน์และความเข้าใจในวิธีการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว 8. ความมุ่งมั่นที่จะบังคับใช้กฎเกณฑ์ และกฎหมายในการควบคุมดูแลสถาบันการเงิน 9. ความมุ่งมั่นในการปกป้องเงินทุนสำรองของประเทศ 10. ความยืดหยุ่น และความเข้าใจผลของการตัดสินใจในโลกของความเป็นจริง ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง 11. การมีสามัญสำนึกที่ดี 12. จิตสำนึกในหน้าที่การกำกับดูแลโดยมองถึงประโยชน์ของประชาชน และ13. เป็นคนดี มีจริยธรรม และจิตสำนึกอันงาม จริงอยู่ตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ ที่มีจากการสรรหา"คนแรก"ในช่วง 5 ปีนี้ ยากที่การเมือง จะแทรกแซงภายใต้กฎหมายแบงก์ชาติฉบับใหม่ที่เคร่งครัด แต่แรงกดดันทางสังคมมากกว่าที่จะเป็น"ผู้ประเมิน" อย่างแท้จริง โจทย์ที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ไว้ ดูเหมือนจะตรงใจอีกหลายคนในสังคมนี้ โดยเฉพาะปัญหา"ส่วนต่างดอกเบี้ยและค่าเงินบาท" ที่มักจะมีการร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง เกือบทุกอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ความคาดหวังที่สูงค่าในตัว"ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล"... อีกด้านหนึ่งหากลงสู่ภาคปฎิบัติแล้ว ทำไม่สำเร็จ สังคมผิดหวังกันทั่วหน้า แรงเหวี่ยงที่รุนแรงจะวกกลับมาสู่ คนเดือนตุลาฯ ท่านนี้ แต่หากเขาย้อนกลับไปทบทวน แนวทางของตัวเองช่วงเป็นนิสิตนักศึกษา เดินตาม"ไอดอล" ตัวเอง ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่เรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2515 ยิ่งก่อนหน้านี้ ดร.ป๋วย ได้วางรากฐานในการบริหารแบงก์ชาติ สืบทอดมาอย่างยาวนาน " ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล"ก็น่าจะซึมซับได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้นภูมิคุ้มกันตามแนวทางที่ปรมาจารย์ วางไว้หาก ยังคงยึดเป็น"ไอดอล"อย่างต่อเนื่อง รับประกันได้เลยว่า คุณประโยชน์และประวัติการทำงานที่ได้รับการเคารพและนับถือมาตลอดนั้น จะผลักดันเขาขึ้นไปมากกว่านี้ ตำแหน่ง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ สำหรับ"ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" แล้วอาจจะไม่ใช่เส้นทางสูงสุด ในชีวิตคนเดือนตุลาฯท่านนี้ก็เป็นได้ ! ในความคิดของกูรู จะนับว่าเป็นโชคจังหวะช่วยก็ว่าได้ ที่ดร.ประสาร ถูกชักชวนให้ไปทำงานทีกลต. ก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ศรัทธาที่วังบางขุนพรหม มิฉะนั้นคงไม่พ้นกระแสฮาราคีรีหมู่ที่เกิดขึ้น เบอร์ 1 2 3 4 5 ไป คนแบงก์ชาติหลายคนหมดอนาคตไปเลย และกว่าจะกอบกู้กลับคืนมาได้ก็หลายเหนื่อย :cry:
โดย
กูรูขอบสนาม
พฤหัสฯ. ก.ค. 08, 2010 9:48 am
0
0
ผู้ว่าคนใหม่แห่งวังบางขุนพรหม
ขอบคุณคุณน้องเด็กใหม่มาก ที่แก้ชื่อ ดร.ให้เสร็จสรรพ ตัวเอง เขียนเองก็รู้สึกมีอะไรผิดแม่งๆอยู่ แต่ลบเองไม่ได้ :wink: พี่ Boo สวัสดีจ้า ระยะหลังคงงานยุ่ง ไม่ได้โพสข่าวคราวจาก BBC อีก พี่พอใจ รู้สึกท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่กิมเอ็งจะเป็นประมาณ อุปนายกนา.. ส่วนนายกคือเพื่อนซี้ของท่าน ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ :wink:
โดย
กูรูขอบสนาม
พุธ ก.ค. 07, 2010 8:12 am
0
0
834 โพสต์
of 17
ต่อไป
ต่อไป
ชื่อล็อกอิน:
กูรูขอบสนาม
ระดับ:
Verified User
กลุ่ม:
สมาชิก
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
ศุกร์ มิ.ย. 08, 2007 8:29 pm
ใช้งานล่าสุด:
พุธ พ.ค. 12, 2021 1:31 pm
โพสต์ทั้งหมด:
987 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.05% จากโพสทั้งหมด / 0.15 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว