หน้าแรก
เว็บบอร์ด
หลักสูตรออนไลน์
Marketplace
สินค้าสมาคม
ทดลองใช้ฟรี 30 วัน
เข้าสู่ระบบ
เมนูลัด
แสดงกระทู้ที่ยังไม่มีการตอบ
แสดงกระทู้ที่เปิดดูแล้ว
ค้นหา
รายชื่อสมาชิก
ทีมงาน
FAQ
ไอเดียหุ้นเด้ง
โพสต์ยอดนิยม
หุ้นที่ติดตาม
ผู้เขียนที่ติดตาม
tum_H
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Joined: อาทิตย์ มิ.ย. 03, 2007 11:19 am
1857
โพสต์
|
0
กำลังติดตาม
|
0
ผู้ติดตาม
ส่งข้อความ
ดูประวัติส่วนตัว - tum_H
กระทู้ที่ตั้ง
โพสต์ที่ตอบ
โพสต์ที่ตอบ
คอมเมนต์
ไลค์
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
อีกหน่อยก็ขายที่บวชเเล้วต้นไม้คงจะไม่ทันโต ขออนุโมทนาครับพี่ ผมว่าตอนนี้ผมปฏิบัติเองที่บ้านก็คล้ายๆกับพี่เลย แต่จะไปทำบุญด้วย เพราะอยากไปฟังเทศน์จากอาจารย์ต่างๆ ไปฟังท่านด่าแล้วรู้สึกว่ามันเกิดแรงฮึดและกำลังใจขึ้นมากตลอด เมื่อก่อนขี้เกียจ หลังๆทำทีล่ะน้อย ค่อยๆเพิ่ม รู้สึกว่าความเพียรมันมากขึ้นๆ ฟังเรื่องกามราคะจาก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต แล้วรู้สึกว่าเบาตัวลง , ฟังเรื่องความเพียรจาก หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร แล้วเกิดแรงฮึดขึ้นมามาก จากนั่งสมาธิได้ครั้งล่ะ 2 ชม ก็ได้เพิ่มเป็น 3 ชม ต่อครั้ง (แต่ก็ยังน้อยอยู่ ยิ่งถ้าจิตไม่รวมน่ะ อื้อหือ) ไปหาครูอาจารย์แต่ล่ะครั้ง ความเพียรก็เพิ่มขึ้นตาม หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร ท่านว่า พระของท่านนั่งสมาธิได้ 6-12 ชม ต่อครั้ง มันก็เกิดแรงฮึดว่า เราจะค่อยๆทำให้ได้อย่างนี้ อ่านปฏิปทาของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ท่านว่า สู้ตายโว้ย ก็จริงของท่านจริงๆ เพราะต้องสู้ยันตายถึงจะชนะอย่างครูอาจารย์ทั้งหลายที่กล่าวมา ดังนั้นหากวันนี้ยังไม่เห็นผล ก็ไม่ต้องท้อ เพราะความเพียรแค่นี้ จะเห็นผลได้อย่างไร ปัญญามันจะเกิดและกำกับเราแบบนี้ เมื่อก่อน สติปัฏฐาน 4 ไม่เข้าใจหรอก กาย เวทนา จิต ธรรม อ่านแล้วก็ได้ตามบาลี แต่พอเอากายมาตั้งตรงแล้วนั่งสมาธิ สติปัฏฐาน 2 มันก็เกิดเอง ปัญญามันก็รู้เองขึ้นมาว่า อ่อ นี่นะหรือ สติปัฏฐาน 2 ถ้าเราเพียรพยายามทำ ฝึกจนชำนาญ เราก็จะถึงได้ สติปัฏฐาน 3,4 เอง สติปัฏฐาน 2 ตัวเด่นคือ เวทนา จะเห็นชัดเจนมาก ฝึกไปๆ สุดท้ายพอกิเลสมันเห็นเราเอาจริง มันจะเข้าลุมเราใหญ่เลย คือมันจะไม่ยอมให้เราชนะมันแน่ๆ พอเวทนาเกิด ปัญญามันจะเกิดตามขึ้นว่า อ่อ เวทนา ที่แสนเจ็บปวดนี้ ช่างน้อยนัก เมื่อเทียบกับทุกข์ของการเกิด เข้าสู่อริยสัจ ของพระพุทธเจ้าขึ้นมาเอง เมื่อเราได้ชนะสักครั้งแล้ว กำลังใจเราจะหึกเหิมมากๆ ถึงแม้ครั้งต่อไปจะกลับมาแพ้อีก แต่ปัญญามันจะกำกับขึ้นมาเองว่า แพ้เพราะอะไร ความท้อถอยจะไม่มี แต่จะเกิดปัญญาว่า อ่อ แพ้เพราะแบบนี้ เอาใหม่ ลองใหม่ ขึ้นมาแทน ตราบใดก็ตามที่ความเพียรยังน้อยอยู่ ความพ่ายแพ้ย่อมเป็นเรื่องปรกติ เมื่อปัญญารู้อย่างนี้ ย่อมไม่ส่งผลต่อใจ แต่กลับทำให้เกิดปัญญาการแก้ไขเกิดขึ้นว่า เอาอีก ยังเพียรน้อยอยู่ ครูอาจารย์ก็ต้องทำแบบนี้จนกว่าจะชนะเหมือนกัน ยิ่งฆราวาสอย่างเราๆ หากหวังอริยผล ต้องสู้ยันตายจริงๆเหมือนกันครับ
โดย
tum_H
อังคาร ส.ค. 22, 2017 10:53 pm
0
2
Re: สะสมพระเครื่องเก่าๆบ้างไหมครับ
ฝากกราบหลวงปู่ด้วยครับ อนุโมทนา ถ้าหิ้งมีพวกเหรียญหล่อเหล็กน้ำพี้ หรือเลขหนึ่ง 2-3 เหรียญ ก็แบ่งผมซักเหรียญก็ได้นะครับ 555 :P ได้ครับ ถ้าไม่ติดไรคงไปแน่ๆครับ เพราะห่างจากบ้านประมาณ 16 กิโลเองครับ แต่รอบนี้ตามแผน กลับบ้านว่าจะไปกราบ หลวงปู่แสง ญาณวโร วัดป่าอรัญญาวิเวก จ.อำนาจเจริญ , หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน จ.ยโสธร (อัฐิธาตุ) , หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ณ วัดป่าศิลาพร จ.ยโสธร , หลวงปู่สี สิริญาโณ วัดป่าศรีมงคล (วัดป่าบ้านเปือย) จ.อุบลราชธานี , พระราชภาวนาวิกรม (หลวงปู่เลี่ยม ฐิตธมฺโม) วัดหนองป่าพง แถวบ้านผมตอนนี้ มีพระสุปฏิปันโน เยอะเลยครับ เป็นบุญจริงๆเลย ส่วนเหรียญ รศ 218 ไม่น่ามีครับ น่าจะคล้ายๆว่าเป็น รุ่น หมุนเงินหมุนทอง แต่อาจไม่ใช่ก็ได้ครับ ต้องถามพ่อดูก่อน เพราะพ่อชอบสะสม แต่ส่วนตัวตอนนี้มี สมเด็จโนนผึ้ง ที่หลวงปู่หมุน ปลุกเสก จำนวนหลายองค์ เลยไม่อยากได้รุ่นอื่นล่ะครับ เพราะถือว่ามีพระของหลวงปู่ล่ะครับ
โดย
tum_H
จันทร์ ส.ค. 07, 2017 11:46 am
0
0
Re: สะสมพระเครื่องเก่าๆบ้างไหมครับ
คุณtum_h อยู่ใกล้วัดบ้านจาน หรือวัดป่าหนองหล่มครับ ลองไปกราบท่านสักครั้งนึงสิครับ สิ้นเดือนนี้ แว๊ะกลับบ้าน ว่าจะหาเวลาไปกราบหลวงปู่ด้วยครับ และถือโอกาสดูเหรียญหลวงปู่ที่หิ้งซ่ะหน่อย เผื่อมีกับเขาบ้างครับ 555++
โดย
tum_H
อาทิตย์ ส.ค. 06, 2017 7:55 pm
0
0
Re: สะสมพระเครื่องเก่าๆบ้างไหมครับ
ผมไม่แน่ใจนะครับว่า วัดของหลวงปู่อยู่ตรงไหน เพราะเพิ่งเคยได้ยินจริงๆ เลยลองอ่านประวัติท่านดู แต่ว่าผมกับหลวงปู่อยู่อำเภอเดียวกันเลยครับ ก็เพิ่งจะได้ยินชื่อท่านจริงๆ แตกต่างจากของเณรคำ อยู่ไม่ไกลบ้านผมเลย แต่ไม่มีใครศรัทธาและไม่มีใครแถวบ้านผมไปวัดเลยครับ(สมัยดังๆ) พออ่านประวัติหลวงปู่หมุน แล้วเกิดศรัทธา เพราะถือว่าท่านเองก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นด้วย พอศรัทธาก็เลยอยากได้พระของหลวงปู่มาไว้บูชาบ้างครับ เลยลองเปิดดูใน Google เจอรุ่นต่างๆมากมาย แต่ดันไปชอบรุ่น รศ. 218 เพราะดูงดงามมากๆครับ หลังจากนั้นเปิดราคาดู จะเป็นลมเลย ก็เลยหาประวัติของท่านอ่านเพิ่มเติมมากขึ้น (คิดในใจว่าเราก็เป็นคนในพื้นที่ จะไม่มีพระของท่านจริงๆหรือ) และไปเจอว่า หลวงพ่อประสาน วัดบ้านโนนผึ้ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมและถือเป็นศิษย์ของหลวงปู่หมุนด้วย ได้เคยสร้างพระสมเด็จ และให้หลวงปู่หมุน ปลุกเสกให้ด้วย รวมถึงหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน ก็ร่วมปลุกเสกอีก เลยลองเปิดดูใน Google ว่าหน้าตาพระสมเด็จเป็นยังไง อึ้งไปสักพัก เพราะเป็นพระสมเด็จของหลวงพ่อประสาน ที่ตอนสมัยมัธยม ผมมีเก็บไว้หลายองค์เลยครับ เป็นอันว่ามีพระที่หลวงปู่หมุนปลุกเสกมีอยู่ที่บ้านมานานเรียบร้อยล่ะครับ ราคาปัจจุบันหลักพัน ไม่แพงมากหากเทียบกับพุทธคุณที่สูงค่า (เพิ่งค้นข้อมูลเจอเมื่อวานนี้เองครับ) ตั้งแต่ปฏิบัติกรรมฐาน ผมไม่ได้แขวนพระมาหลายปีมากล่ะครับ แต่ล่าสุดที่ผมได้หลวงปู่ทวด รุ่นสร้างบ้านให้พ่อ มาใหม่เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เลยบูชาแหนบจากวัดท่าซุง มาแขวนพระหลวงปู่ทวด ติดกระเป๋าเสื้อไปด้วยเมื่อ 2 เดือนที่แล้วนี่เองครับ ส่วนใหญ่จะบูชาพระรุ่นใหม่ๆจากวัด เพราะหลีกเลี่ยงของปลอม เลยมีแต่พระรุ่นใหม่แต่พุทธคุณสูง พระของหลวงปู่หมุน คิดในใจว่าเป็นรุ่นใหม่ คงปลอมน้อยแต่ที่ไหนได้ ดูของปลอมแล้วมีแต่ฝีมือขั้นเทพ จริงๆครับ
โดย
tum_H
เสาร์ ส.ค. 05, 2017 10:03 am
0
0
Re: สะสมพระเครื่องเก่าๆบ้างไหมครับ
เพิ่งอ่านประวัติของหลวงปู่หมุน เลยครับ เป็นพระที่น่าศรัทธามากๆครับ อยู่ไม่ไกลจากบ้านของผม แต่ไม่เคยรู้จักท่านเลย เส้นผมบังภูเขาชัดๆ ลองเปิดดูพระเครื่องที่ท่านสร้าง เห็นเหรียญหล่อ รศ218 แล้วสวยมากๆครับ แต่เห็นราคาแล้วจะสลบ ขนาดเพิ่งสร้างแค่เกือบ 20 ปีเองนะครับ สุดยอดจริงๆ
โดย
tum_H
ศุกร์ ส.ค. 04, 2017 11:50 am
0
0
Re: สะสมพระเครื่องเก่าๆบ้างไหมครับ
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ คุณtum_H ได้ไปกราบหลายหลวงพ่อหลายจังหวัดเลยนะครับ ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานวัดป่า ปฏิปทาท่านกราบไหว้ได้สนิทใจครับ เรื่องพุทธคุณหายห่วง แค่ไม่มีพาณิชย์มากเท่านั้นเอง จิตรู้จักพอย่อมเป็นสุขครับ :wink: สาธุครับ สาธุเช่นกันครับผม
โดย
tum_H
เสาร์ ก.ค. 29, 2017 10:12 am
0
0
Re: สะสมพระเครื่องเก่าๆบ้างไหมครับ
ผมเองก็เคยสะสมเมื่อตอนสมัยเรียนมัธยมครับ แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัยจนถึงปัจจุบันก็ไม่ได้สะสมแบบนั้นอีกเลย ตอนนั้นยังเด็กมาก อาจเป็นเพราะชอบเข้าวัดเลยชอบพระตามไปด้วยก็เป็นได้ครับ พอไปวัดก็จะได้จากวัดบ้าง ไปวัดต่างจังหวัดก็ได้รับแจกบ้าง และก็มีเช่ามาจากเพื่อนๆบ้างเล็กๆน้อย เพราะตอนเป็นเด็กไม่มีรายได้ ก็ต้องเก็บค่าขนม หรือทำงานพิเศษสะสมมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายมีเหตุให้เลิกราไป สำหรับส่วนตัวผมจะเก็บไว้บูชา เพื่อระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และครูอาจารย์ที่เรานับถือ เลยไม่มีการขายหรือให้เช่า แต่จะให้ฟรีหรือแลกเปลี่ยนแทนครับ ยังมีเหตุการณ์ความประทับใจ ที่ยังจำได้ดีมาจนถึงปัจจุบันในสมัยมัธยมปลาย ตอนนั้นมีการสร้างพระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ รุ่นสร้างบ้านให้พ่อ ปี 2541 เพื่อนำเงินรายได้ไปสร้างพระตำหนักในหลวง ร.9 ที่ปากพนัง ตอนนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้จองพระ และเป็นความปลื้มใจที่ได้ร่วมทำบุญให้กับในหลวง ร.9 ในครั้งนั้น เนื่องจากตอนเรียนไม่มีรายได้ ก็เลยต้องเก็บค่าขนม ทำงานพิเศษ เก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ จนสามารถจองรูปหล่อลอยองค์ พิมพ์ใหญ่ เนื้อเงิน ได้ 1 องค์ และพิมพ์เล็กทองแดงอีก 1 องค์ โดยส่วนตัวรู้สึกว่ามีความผูกพันกับหลวงปู่ทวดเป็นพิเศษ เพราะได้อ่านเรื่องราวของหลวงปู่ แล้วทำให้เกิดศรัทธาและจิตใจน้อมไปในพระศาสนาและได้แขวนพระองค์นี้เรื่อยมาตลอดจนหลังๆมาฝึกกรรมฐานเลยเก็บบูชาไว้บนหิ้งแทนครับ (สมัยนั้น ใจจริงอยากได้เนื้อทองคำมากๆ แต่ราคาคาจอง 15,000 บาท ด้วยกำลังทรัพย์ในขณะนั้นเลยได้ร่วมบุญแค่ตามที่กล่าวมาข้างต้นครับ) มีคนถามหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ว่า “ หลวงพ่อสร้างพระทำไม ??” หลวงพ่อชาตอบว่า “ก็เหมือนเรามีญาติ หรือ ครูอาจารย์ที่เคารพรัก เวลาไม่เจอกันหรือคิดถึงกัน ก็มีรูปหรือวัตถุที่ระลึก ไว้ให้ระลึกถึงกัน คลายความคิดถึงนั่นเอง นั่นแหละคือมูลเหตุแห่งการสร้างพระ” พอช่วงปลายๆของการทำงาน บางครั้งมีเวลาว่างก็จะไปกราบครูบาอาจารย์ที่วัดเรื่อยๆ ไปหลากหลายสถานที่ บางวัดก็สร้างวัตถุมงคล บางวัดก็ไม่สร้าง แต่ด้วยเจตนาคือการไปทำบุญ ถึงจะไม่มีวัตถุมงคลให้บูชาเราก็ทำ มีวัตถุมงคลให้บูชาเราก็ทำทั้งสองอย่างเลยครับ ก็เลยได้พระรุ่นใหม่ๆที่เพิ่งสร้าง จากวัดมาด้วยหลังจากกลับจากทำบุญครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีการสร้างวัดหรือศาลาอะไรสักอย่างที่วัดแห่งหนึ่ง แล้ววัดนั้นทูลขอพระอนุเคราะห์เรื่องเงินจาก สมเด็จพระสังฆราชฯ(เจริญ) วัดบวรฯ พระองค์เลยประทานพระรุ่นเก่าของพระองค์ที่เคยสร้างไว้รุ่น 90 พระชันษาและพระกริ่งคชวัตร เปิดให้บูชา เพื่อนำเงินรายได้ไปใช้ในการนั้น ครั้งนั้นจำได้ว่า อยู่ดีๆก็อ่านหนังสือพิมพ์เจอ เลยได้ร่วมบุญและได้วัตถุมงคลขององค์สมเด็จฯท่าน มาไว้บูชาด้วยครับ และจุดเปลี่ยนของการฝึกกรรมฐานของผมก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน เพราะได้รับแจกหนังสือชื่อ “วิธีการสร้างบุญบารมี” ของสมเด็จฯท่านมาด้วย เลยทำให้เข้าใจเกี่ยวกับการให้ทาน รักษาศีลและเจริญภาวนา เป็นครั้งแรกของชีวิตเลยครับ ส่วนมากเวลาไปวัด หากมีวัตถุมงคลให้บูชา ก็จะบูชามาด้วย 1-5 องค์ โดยปรกติจะไม่ได้สนใจรุ่นหรือค่านิยมนะครับ เพราะผมเน้นเรื่องวัตถุที่ระลึกเพื่อสักการะครูอาจารย์ และพุทธคุณท่านก็เสกให้เหมือนๆกัน หากไปแล้วได้รุ่นไหนก็ไม่มีปัญหาครับ ถ้าวัดไหนไปหลายรอบ มีรุ่นใหม่ออกมาก็จะบูชามาเพิ่มครับ หลังจากนั้นมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้ง เมื่อตอนไปกราบหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน เมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากตรงใกล้กุฏิของท่าน ก็จะมีวัตถุมงคลให้บูชา หลังจากบูชาเสร็จก็ไปกราบหลวงพ่อ เพื่อให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ ตอนนั้นนึกอย่างไรไม่รู้ อยากให้ท่านลงจาร ที่เหรียญให้ เลยขอหลวงพ่อช่วยลงจารให้ เลยได้กัณฑ์เทศน์มาชุดใหญ่เลยครับ หลวงพ่อท่านว่า “ มีแต่พวกหากินกับพระนั่นแหล่ะที่มาขอให้จารให้ เห็นไหมแผงพระที่มาตั้งในวัด มาหากินแบบนี้ทั้งนั้น หลวงพ่ออธิฐานจิตเช้าเย็นทุกวันกับรุ่นที่สร้างไม่ได้ขาด จะไม่ขลังได้ยังไง” พอได้ฟังดังนั้น บอกตรงๆเลยครับว่า สตั้น ไปเหมือนกัน จิตของตัวเองเลยเกิดปัญญาขึ้นว่า โอ้หนอ นี่เราหลงไปขนาดนี้ได้เชียวหรือ และไม่ได้รู้สึกโกรธหลวงพ่อเลยนะครับ ทุกวันนี้หากไม่ได้ท่านช่วยสอนในครั้งนั้น คงหลงไปอีกนานเลยครับ หลังจากท่านเทศน์เสร็จ ท่านเลยลดน้ำมนต์ให้ใหญ่เลย ถุงใส่พระ 2-3 องค์จนท่วม ท่านรดน้ำมนต์ให้จนครึ่งถุง พระที่ได้มาในวันนั้น ผมเลยตั้งชื่อให้ว่า รุ่นแช่น้ำมนต์หลวงพ่อเพี้ยน ครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมา หากไปทำบุญที่วัด แล้วมีวัตถุมงคลให้บูชา ก็จะบูชาแค่องค์เดียว รุ่นเดียวพอ หากมีรุ่นใหม่ๆออกมาอีก ก็จะไม่บูชาแล้วครับ เว้นแต่มีงานที่ต้องเอาไปแจกถึงจะบูชาจำนวนมากๆ หากบูชาส่วนตัวแล้ว ก็จะจะมีแค่องค์เดียว รุ่นเดียวครับ จำได้ว่าไปทำบุญกับ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน อยู่บ่อยๆ แต่ที่วัดของท่านจะไม่มีวัตถุมงคลที่ท่านสร้างแล้ววัดเปิดให้บูชาเองเลย มีครั้งหนึ่งครบ 7 รอบของหลวงพ่อ ท่านเลยอนุญาตให้สร้างและจองที่วัดเองด้วย ครั้งนั้นนั่นเองจากที่ไปทำบุญกับหลวงพ่อมาตลอด เลยมีโอกาสได้จองเหรียญของท่าน ในใจอยากได้เยอะๆเอาไว้แจก แต่พอระลึกถึงคำของหลวงพ่อเพี้ยน ก็เลยจองแค่องค์เดียว ตามที่เคยได้ตั้งใจไว้ครับ หลังจากเหรียญของหลวงพ่อจรัญในครั้งนั้น ก็เลยยึดหลักใจของหลวงพ่อเพี้ยนมาเป็นแนวทางเป็นต้นมาครับ โดยส่วนตัวแล้วจะชอบพระสายวัดป่ากรรมฐาน หากมีโอกาสก็จะหาอ่านประวัติของครูอาจารย์ต่างๆเรื่อยมาครับ อย่างสมเด็จพระสังฆราช(อัมพร) วัดราชบพิธฯ ก็เพิ่งจะทราบพระประวัติของพระองค์ท่าน เมื่อตอนสถาปนานี่เองครับ พอได้อ่านแล้วเกิดเลื่อมใสศรัทธา อยากไปกราบองค์ท่านสักครั้งในชีวิต แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวไม่ชอบการไปทำบุญที่มีคนเยอะๆ ก็เลยติดตาม face book ของทางวัด เพื่อหาโอกาสหากมีคนน้อยๆจะได้ไปกราบองค์ท่านครับ ปรกติสมเด็จฯท่าน จะไม่สร้างวัตถุมงคล แต่ก็มีเหตุในปีนี้ที่พระองค์ท่านต้องการปรับปรุงและสร้างอาคารเรียนของวัดราชบพิธฯ เลยมีการสร้าง “พระกริ่งอริยวงศ์” รุ่นแรก เพื่อหาปัจจัยดังกล่าว ผมก็เลยมีโอกาสได้ทำบุญและได้วัตถุมงคลของครูอาจารย์ที่นับถือ มาไว้สักการะ 1 ชุดครับ สำหรับผมพระเครื่องที่ได้มาหลังๆมานี้ ส่วนใหญ่จะได้มาจากวัดนั้น หรือ เคยไปวัดนั้นมาแล้ว กรณีของหลวงปู่ทวด ตอนเรียนได้ไปฝึกงานที่สงขลา ครั้งนั้นเองเลยได้ไปกราบหลวงปู่ทวด ที่วัดช้างให้ ด้วยตนเองเลยครับ หลายปีที่ผ่านมา ผมเริ่มสนใจกรรมฐาน เลยหาวัดที่สัปปายะเพื่อฝึกสมาธิใกล้กรุงเทพ เมื่อตอนไปกราบเจดีย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตฯ ปทุมธานี และเห็นว่าสงบเงียบดีเลยได้ไปนั่งสมาธิที่นั่น และที่นี้นั่นเองที่จิตของผมรวมเป็นสมาธิเป็นครั้งแรก จนหลังจากนั้นเป็นต้นมาผลจากการที่ได้มาเจริญสมาธิด้วยตนเองที่นี่ เลยทำให้ผมสามารถนั่งสมาธิที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสถานที่สัปปายะอีกเลยครับ ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่ท่านสร้างพระไว้เหมือนกัน เพราะองค์ท่านเสียไปนานแล้ว พอหลังๆได้อ่านประวัติขององค์ท่านอย่างละเอียด ยิ่งเครารพและศรัทธามากยิ่งขึ้น สมดังคำที่ว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” จริงๆเลยครับ พออ่านเจอประวัติขององค์ท่านเกี่ยวกับการสร้างพระ และบางรุ่นนำไปให้หลวงพ่อจันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย อธิฐานจิตด้วยแล้ว (ปรกติหลวงพ่อจันทร์เรียน จะไม่สร้างพระและอธิฐานจิตครับ) อยู่ดีๆก็นึกอยากจะมีสักรุ่นไว้บูชา เพราะเครารพหลวงปู่ทั้งสองมากๆ และเดือนนี้นั่นเองหลังจากกลับจากกราบหลวงพ่อจันทร์เรียน เลยได้เช่าบูชาจากคนที่สะสมพระเครื่องมา 1 องค์ คือ พระยอดธง รุ่น จ.นูน ซึ่งเป็นรุ่นที่พระอาจารย์ทั้งสอง ได้อธิฐานจิตไว้ให้จนได้ครับ ที่สำคัญราคาพระไม่แพงมากหลักพันปลายๆในปัจจุบัน แต่พุทธคุณนั้นสูงค่ายิ่งครับ จนถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่าพระที่ผมอยากได้จริงๆนั้นได้ครบหมดแล้ว เลยคิดว่าส่วนตัวไม่ใช่นักสะสมพระสักเท่าไหร่ครับ มีแค่อีกหนึ่งเหรียญที่ตอนนี้รออยู่คือ เหรียญเหรียญกษาปณ์งานออกพระเมรุพระบรมศพ ในหลวง ร.9 ซึ่งอีกไม่นานกรมธนารักษณ์ คงเปิดให้จอง ซึ่งผมคงมีโอกาสได้เก็บไว้เป็นที่ระลึกในพระเมตตาของในหลวง ร.9 ที่ผมเทิดทูนอย่างยิ่ง และคงนำบางส่วนที่อาจได้มา แจกให้กับคนใกล้ชิดที่สนใจในการปฏิบัติธรรม เพื่อให้ระลึกถึง มรณานุสติกรรมฐาน ไว้เป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติธรรมครับ
โดย
tum_H
ศุกร์ ก.ค. 28, 2017 10:48 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอแชร์เกี่ยวกับการทำบุญช่วงเข้าพรรษาปีนี้นะครับ เข้าพรรษาปีนี้ ได้มีโอกาสขึ้นไปทำบุญที่อุดรธานี ด้วยความตั้งใจส่วนตัว อยากไปฟังธรรมจากหลวงพ่อจันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย เพื่อนำมาใช้เป็นหลักใจในการภาวนา แต่ก็ทำใจไว้เหมือนกันครับเพราะองค์ท่าน จะไม่ค่อยเทศน์ พูดไม่กี่ประโยค แล้วก็ให้ญาติโยมกลับไปภาวนาเอง. รอบนี้ไปนานมากเลยได้ไปวัดถ้ำสหายเกือบทุกวัน มีวันหนึ่งญาติโยมคงอยากฟังธรรมมาก เลยขอให้หลวงพ่อเทศน์ หลวงพ่อเลยได้โอกาสอธิบายเรื่องการเข้าพรรษา ท่านว่า ญาติโยมมีแต่พาเทียนมาเข้าพรรษา แต่ตัวเองไม่ยอมเข้าพรรษา ส่งแต่เทียนมาจำพรรษาแทน อย่างนี้มันก็เกิดประโยชน์น้อยกว่าการตั้งใจฝึกปฏิบัติหลักใจของตน.. องค์ท่านเล่าว่า สาเหตุที่หลวงปู่ชอบ อาจารย์ของท่านไม่ค่อยเทศน์ เพราะท่านเคยกล่าวว่า “เหมือนเอาก้อนทองคำ ไปถูกับพื้นดิน ไม่มีประโยชน์อันใดเลย” ตอนที่หลวงปู่ชอบฝึกหัดภาวนา นั่งสมาธิจนเหงื่อไหลเป็นทางลงไปข้อศอก หยดติ๋งๆ องค์ท่านทำถึงขนาดนั้นในการฝึกตน แต่ก็มีส่วนน้อยที่จะทำแบบท่าน… และแล้วโอกาสก็มาถึง วันหนึ่งอยู่ดีๆองค์หลวงปู่ก็เล่าประวัติขององค์ท่านสมัยออกฝึกปฏิบัติใหม่ๆ ครั้งนี้เป็นชั่วโมงเลยครับ เกี่ยวกับประวัติขององค์ท่าน เมื่อครั้งสมัยเป็นวัยรุ่นองค์ท่านเล่าว่า ไม่เคยสนใจเรื่องศาสนาเลย ไม่รู้หรอกนะว่าเขามีไว้ทำไมกัน แต่ใครจะเข้าวัดทำบุญท่านก็ไม่เคยห้ามหรือมีข้อรังเกียจเพราะเป็นเรื่องของแต่ล่ะคนไป จนวันหนึ่งอยู่ดีๆก็รู้สึกอยากจะบวชขึ้นมาเอง วันหนึ่งขณะนั่งทานอาหารกับครอบครัวอยู่ เลยพูดเรื่องอยากจะบวชให้พี่สาวฟัง พี่สาวชี้หน้ากลางวงอาหารเลยว่า “อย่างแกนั่นหรือจะบวชได้ จะคอยดู” องค์ท่านเลยลุกออกไปแล้วไปนั่งพิงข้างฝาบ้านใกล้ๆบริเวณที่ทานอาหารนั้น ในใจไม่รู้สึกโกรธพี่สาวเลย แต่ใจกลับเบาสบาย ตัวตนหายไปหมด เหมือนนั่งอยู่บนก้อนเมฆ องค์ท่านว่า สมัยนั้นไม่รู้หรอกนะว่า อาการอย่างนั้นคืออะไร เพราะวัดไม่เข้า สมาธิไม่รู้จัก พุทโธไม่เคยได้ยิน…. ท่านจึงไปวัดหาหลวงปู่อ่อน และขอบวช หลวงปู่อ่อนเลยให้ท่านเตรียมฝึกขานนาคก่อนบวชให้ได้ก่อน ส่วนวันและเวลาค่อยกำหนดอีกที องค์ท่านเล่าว่า พอไปถึงตอนกลางคืนขึ้นไปนอนบนศาลาหลังเล็กๆที่เณรจัดไว้ให้ พอล้มตัวลงจะนอน อยู่ดีๆน้ำตาก็ไหลเป็นทางยาวอาบสองแก้ม องค์ท่านพิจารณาน้ำตาที่ไหลนั้น ไหลไปไกลจากโลกและพิภพนี้ เกิดเป็นแสงสว่างไสวเหลือที่จะประมาณ อัศจรรย์ใจเป็นที่สุด แม้แต่ขณะนั้นเององค์ท่านก็ไม่รู้หรอกว่า นั่นคืออะไร….. เมื่อบวชเสร็จ หลวงปู่อ่อนพิจารณาดูแล้วเห็นว่า จะต้องนำไปฝากกับอาจารย์อีกองค์หนึ่งเพื่อฝึกกรรมฐาน ท่านจึงแจ้งหลวงพ่อจันทร์เรียนให้เตรียมตัว คืนนั้นเององค์ท่านเล่าว่า เกิดความฝันอันประหลาด ฝันว่ากำลังสะพายบาตรมุ่งไปหาครูอาจารย์ ขณะเดินไปนั้นมีแม่น้ำขวางกั้นอยู่ องค์ท่านเห็นเรือลำหนึ่งอยู่ใกล้ฝั่งพอให้พายข้ามไปได้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่า เมื่อไปถึงอีกฝั่งแล้วใครเล่าจะนำเรือลำนั้นกลับมาส่ง จึงตัดสินใจเดินข้ามแม่น้ำไปด้วยตนเอง น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวท่วมไปถึงคอ ในขณะนั้นเองก็มีมือของพระองค์หนึ่งดึงท่านขึ้นจากน้ำ พร้อมกับหันแขนด้านหนึ่งให้เห็นรอยสักที่อยู่บนแขนนั้นให้ท่านดู ท่านจดจำใบหน้าและรอยสักของอาจารย์องค์นั้นได้อย่างดี ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาจากความฝัน”…… เมื่อท่านออกเดินทางเพื่อไปหาอาจารย์ องค์ท่านก็พบว่า พระอาจารย์ในความฝันนั้นก็คือ หลวงปู่ชอบ นั่นเอง……. ผมขอเล่าแค่นี้นะครับ เพราะค่อนข้างยาวและบางช่วงจะมีเรื่องอัศจรรย์ที่องค์หลวงปู่ท่านได้พบเจอมาเอง ในขณะที่ศึกษาพระกรรมฐานกับหลวงปู่ชอบ จนองค์ท่านบอกว่าลงใจ และเชื่อมั่นในพระศาสนาจริงๆก็คราวนี้นั่นเองครับ ครั้งนี้ที่ไปได้กรรมฐาน 2 จากองค์หลวงปู่ (จากที่ฟังมาหลายๆวัน) คือ อย่ากลัวความตาย การฝึกปฏิบัติให้สละความตายไปเสีย พร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อการฝึกปฏิบัตินั้น สุดท้ายจะได้บรรลุธรรมในที่สุด และอีกเรื่องคือ ความเพียร องค์ท่านกล่าวว่า “การงานแม้ยากลำบากสักแค่ไหน ก็ยังฝืนทนทำจนสำเร็จ ส่วนการภาวนานั้นง่ายนิดเดียว ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะการงานที่ยากลำบากกว่า เรายังทำได้เลย” หวังว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคน บ้างนะครับ
โดย
tum_H
จันทร์ ก.ค. 24, 2017 10:09 am
0
12
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
ดูหัวข้อแล้วไม่เหมาะนะครับ เพราะไม่เรื่อยเปื่อย มีสาระดี (เพิ่งเจอกระทู้นี้) มีโอกาสได้ไปทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ทานข้าวที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร กับหลวงปู่แบนเหมือนกันครับ บอกตามตรงว่าอัศจรรย์มากๆ ก่อนไปก็ตามอ่านในเวบต่างๆว่าเวลาตักบาตรประมาณกี่โมง ส่วนใหญ่บอก 7 โมงเช้า (สงสัยคงนานมาแล้ว) แต่จริงๆประมาณ 06.45 นะครับ (สงสัยวันธรรมดา) แต่ดีที่ไม่ประมาทเลยไปก่อนเวลานิดหน่อย วันนั้นพอถึงวัด จอดรถแล้ว รีบบึ่งไปศาลาเลยครับ พอถึงศาลา หลวงปู่เดินตรงออกมาเลย เดินปรี่เข้ามาเลยครับ ผมนี่ขาอ่อนเลย คิดในใจว่า ซวยแล้ว ไม่น่าอธิฐานไว้เลย หลวงปู่ท่านจ้องมาชั่วครู่ แล้วก็ยิ้มอย่างมีเมตตา ผมก็ได้แต่นั่งพนมมือและยิ้มเหมือนกัน เพราะสมปรารถนา วันรุ่งขึ้นไปเร็วกว่าเดิม เจอหลวงปู่ยืนจ้องอยู่ใต้ร่มไม้ มาแต่ไกลเลยครับ สักพักท่านจึงขึ้นรถไปแป๊บนึ่ง ฟังแต่พี่ cobain เล่า ไปเจอกับตัวเองเนี่ย รู้ซึ้งเลยครับ มีบุญจริงๆที่ได้ไปตักบาตรในครั้งนั้น ยิ่งตอนนั่งฟังธรรม สอึกไปอีกครั้ง เพราะมีประเด็นในใจก่อนมานิดหน่อย หลวงปู่ท่านเลยเทศน์ว่า “คนที่ตั้งใจละบาปอกุศล แม้คิดชั่วหรือทำเพียงเล็กน้อย ก็ร้อนลุ่มกระวนกระวาย” บอกเลยว่าวันนั้น เย็นไปทั้งตัวเลย ได้มาเจอกับตัว ยอมรับว่าอัศจรรย์มากๆครับ บางอย่างก็เป็นเรื่องแปลก หลังๆมาเนี่ยยิ่งเจอมาขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนะครับ พยายามเจริญสติไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เลยรู้สึกว่ามีความสุขมาก ที่ได้สละภาระหน้าที่การงานต่างๆออกไปได้เสียที จนตอนนี้เห็นจิตของตัวเองได้ดีขึ้นมากๆครับ
โดย
tum_H
พุธ มิ.ย. 07, 2017 9:15 pm
0
7
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เมื่อตอนสมัยเด็ก ชอบเข้าวัด ทำบุญตลอด แต่ก็ทำตามที่ผู้ใหญ่บอก หรือทำตามๆกันมา เจอพระดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าจริงๆแล้ว หากเราไม่แน่ใจว่าจะเจอพระดีหรือเปล่า เราสามารถใช้คำอธิฐาน เพื่อให้บุญนั้นมีอานิสงค์มากได้ตามทานที่เราได้ถวายไปแล้วครับ หลังจากได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำแล้ว นับแต่นั้นมา เลยได้อุบายในการทำบุญให้ได้อานิสงค์มาก เพราะจริงๆแล้ว ทรัพย์นั้นเป็นของหายาก การให้ทานหรือทำบุญ คนส่วนใหญ่ย่อมหวังในอานิสงค์เพื่อความเป็นสุขแห่งตน หลวงพ่อท่านให้อุบายว่า เวลาอธิฐาน ในกรณีนี้ ให้อธิฐานว่า “ขอถวายทานนี้แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงมาตามลำดับชั้น จนถึงพระภิกษุผู้ที่มารับบิณฑบาต หรือ ที่เราได้ทำบุญในครั้งนี้" (เป็นสังฆทานโดยย่อ และจริงๆแล้วข้อความของหลวงพ่อจะ สละสลวยกว่านี้นะครับ) หลังจากนั้น เวลาทำทานหากไม่แน่ใจในเนื้อนาบุญ ผมก็จะใช้วิธีนี้มาโดยตลอด จนวันนี้ได้เจอพระอรรถคาถา เลยอยากนำมาแชร์ๆให้ทุกท่าน เผื่อจะได้ใช้หรือเป็นข้อมูลเพื่อแบ่งปันครับ “ ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จะหาภิกษุผู้ทรงไว้ซึ่งจีวรมิได้ จะมีก็แต่โครตภูสงฆ์ คือ พระสงฆ์รุ่นสุดท้ายในพระพุทธศาสนา ผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยอยู่ที่คอ หาศีลาจาวัตรมิได้ แม้กระนั้นถ้าหากจะมีทายกมีจิตศรัทธาปรารถนาจะทำบุญ ก็จงตั้งจิตอุทิศถวายเพื่อสงฆ์ แล้ววัตถุจตุปัจจัยถวายแก่ภิกษุผู้มีผ้ากาสาวพัสตร์ผูกที่ข้อมือหรือห้อยที่คอนั้น ก็จะเกิดผลานิสงส์มหาศาลเช่นกัน” หรือ “ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล จักมีโคตรภูบุคคลผู้มีผ้ากาสายพันคอ เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้มีธรรมอันลามก ชนทั้งหลายให้ทานในคนผู้ทุศีล ผู้มีธรรมอันลามกเหล่านั้น อุทิศสงฆ์ อานนท์ ในกาลนั้น เรากล่าวว่า ทักษิณาไปแล้วในสงฆ์ มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้.” หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านเทศนาธรรมไว้ว่า “ การทำสมาธิภาวนาเป็นของยากก็จริง แต่จะเหนือความพยายามของเราไปไม่ได้ ถ้าเป็นของทำง่ายๆมันก็ไม่ได้บุญมาก ที่ท่านกล่าวว่าทำกฐินร้อยกอง ก็ไม่เท่าภาวนาลงครั้งหนึ่งนั้นถูกต้องแล้ว แต่เราจะทิ้งการให้ทานไปไม่ได้อีกล่ะ ถ้าหากมีภพมีชาติหน้าก็จะกลายเป็นคนจนทรัพย์ หาด้วยน้ำพักน้ำแรง เกือบจะตายก็ไม่ได้ เพราะอานิสงค์ทานไม่ชูส่ง”
โดย
tum_H
ศุกร์ มิ.ย. 02, 2017 8:24 pm
0
9
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่จาม เรื่องทานบารมี แล้วอัศจรรย์ใจมากเลยครับ ท่านเล่าเกี่ยวกับความร่ำรวยที่เกิดจากการให้ทาน ส่วนใหญ่นั้นมาจากการได้ทำทานกับ พระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้น เมื่อเรื่องของพราหมณ์คนหนึ่ง ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้เร่งเดินทางมาเฝ้าเพื่อดูลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ พราหมณ์ดูจนครบแต่ติดใจอยู่ 2 แห่งเพราะเป็นจุดซ้อนเร้น เลยยังลังเลและสงสัยอยู่ พระพุทธเจ้าทราบอุปนิสัยนั้น เลยใช้พุทรานุภาพให้พราหมณ์มองเห็น ลิ้น และ องคชาติ ของพระองค์เพียงคนเดียว พราหมณ์จึงหมดความสงสัยและบรรลุโสดาบันในที่สุด และพระพุทธเจ้าทรงบวชให้และได้บรรลุธรรมในเวลาต่อมา ฟังแล้วเห็นถึงพระมหากรุณาที่คุณขององค์สมเด็จพระบรมครูอันหาที่ประมาณมิได้ และยังได้เห็นถึงบุญวาสนาและจริต นิสัย ของแต่ล่ะคนนั้นแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อเลยจริงๆครับ ที่ยกมาให้เพื่อนๆทุกคนได้รับฟังกันในวันนี้ เพียงแค่อยากให้ทุกคนได้เห็นว่า การปฏิบัติแม้จะยากลำบากเพียงไร แต่หากเราได้บำเพ็ญมาดีแล้ว สุดท้ายวันหนึ่ง เราก็จะบรรลุธรรมได้เองครับ เป็นกำลังใจให้กับทุกคนเช่นกันครับ (ใครเคยที่ฟังแล้วก็ขออภัยด้วยนะครับ)
โดย
tum_H
จันทร์ เม.ย. 24, 2017 9:56 pm
0
8
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดบุญญาวาส ชลบุรี 3 คืน เลยขอโอกาสนำประสบการณ์ที่ได้รับมาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนฟังครับ การปฏิบัติที่วัดบุญญาวาสซึ่งเป็นสายของหลวงพ่อชา ก็จะเน้นการให้ฝึกภาวนาเอง โดยแต่ล่ะคนจะเข้าพักภายในกุฏิที่อยู่กลางป่าเพียงลำพัง กุฏิแต่ล่ะหลังห่างกันประมาณร้อยเมตร แต่ด้วยเป็นป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่หนาแน่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ตอนกลางคืนจะมืดสนิท บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบและสัตว์ป่า กิจวัตรหลักๆนั้นให้เน้นการภาวนาที่กุฏิของตัวเอง โดยตอนเช้าให้ออกมาช่วยกวาดลานวัด และช่วยจัดอาหารบนศาลาฉัน เย็นๆก็ร่วมกันกวาดลานวัด และมีน้ำปานะให้หากใครต้องการดื่มก็สามารถไปดื่มได้ที่ห้องครัว และวันพระถึงจะมีสวดมนต์รวมที่ศาลาใหญ่ โดยมีพระอาจารย์อัครเดช เมตตาเทศนาธรรมะเพื่อเป็นอุบายในการปฏิบัติด้วยครับ ผมลองสอบถามกับเพื่อนๆที่มาพักภาวนาที่นี่เทียบกับที่อื่น พบว่าที่นี่กุฏิถือว่าให้ความสะดวกมาก ถึงแม้จะไม่มีไฟฟ้า แต่หากเทียบกับวัดป่าแห่งอื่น บางแห่งจะเป็นแค่กุฏิยกสูงและมีแค่จีวรกั้นกันลมได้นิดหน่อยเท่านั้น ที่นี่ห้องน้ำถือว่าดีมาก บางหลังเป็นห้องน้ำในตัว บางหลังสร้างห่างจากกุฏิออกไปนิดหน่อย แต่สำหรับผมยอมรับว่าตื่นเต้นมาก เพราะปฏิบัติเองที่บ้านมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกไปปฏิบัติในสถานที่สัปปายะกลางป่า ไม่มีไฟฟ้า แวดล้อมไปด้วยสัตว์ป่า เลยเตรียมตัวมานานพอสมควร กว่าจะพร้อมที่จะออกไปภาวนาที่วัด เพราะพยายามที่จะรบกวนวัดให้น้อยที่สุดในการใช้ข้าวของต่างๆของสงฆ์ ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าเหนือคาดมากครับ กลับมาหายโง่ หายขี้เกียจเลย ยอมรับว่าหากไม่ได้ไปลองภาวนาในป่า คงยังโง่ไปอีกนาน รู้เลยว่าผู้ที่ไปบำเพ็ญเพียรคือผู้ที่มีความมุ่งมั่นและมีความเพียรมากๆจริงๆครับ ครั้งนี้ได้ยุงเป็นอาจารย์ กินก็ยุงรุม นั่งก็ยุงรุม เข้าห้องน้ำก็ยุงรุม กวาดใบไม้ก็ยุงรุม อยู่เฉยๆยุงก็รุม ต้องเดินภาวนาจึงพอไหว หรือไม่ก็ต้องนั่งสมาธิในกลด ไม่สามารถมีเวลานั่งเล่นได้เลย ต้องทำความเพียรตลอดเวลา อยู่ในห้องก็ไม่ได้ไม่มีไฟฟ้า ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว กลับมาหายโง่ มีทางคอนกรีตให้เดินสบายๆ แต่ชอบไปทางที่ต้องฝ่าดงหนาม คือสบายแล้วขี้เกียจภาวนา ต้องไปลำบากถึงภาวนา เห็นทุกข์ เห็นเวทนา เห็นกรรมฐานจากการได้เรียนรู้ด้วยตนเอง หลังจากกลับมารีบมาฝึกเองที่บ้าน ไม่ขี้เกียจอีกเลยครับ นั่งภาวนาเห็นเวทนาชัด ฟังเทปครูอาจารย์จิตก็นิ่งไหลตามธรรมไม่วอกแวก ในป่ามืดๆเต็มไปด้วยสัตว์ สิ่งที่มองไม่เห็นไม่กลัว ไปกลัวทุกข์แทน เห็นตัวตนของตัวเองแล้วก็คราวนี้นั่นเองครับ กลับมาครั้งนี้รู้สึกได้เลยว่าจิตตั้งมั่นมากกว่าเดิม มีความเพียรและหายขี้เกียจเลยครับ ที่ผมเล่าให้ฟังนี้เข้าใจว่าเป็นจริตของตัวเอง ส่วนเพื่อนๆคนอื่นอาจได้เจอในรูปแบบอื่นๆที่แตกต่างกันไปครับ
โดย
tum_H
เสาร์ เม.ย. 01, 2017 6:02 pm
0
16
Re: คนที่ถึงอิสระภาพทางการเงินแล้ว วันๆกระดิกเท้ารับปันผล ช
ผมเจอคำถามคล้ายๆแบบนี้ ในวันที่ผมบอกผู้คนรอบข้างว่าผมจะขอลาออกจากการทำงาน แต่มันก็เป็นแผนที่ผมได้วางไว้อย่างยาวนานในการเตรียมการเกษียณตัวเองจากวังวนของการทำงานได้เสียที คำถามซ้ำๆกันจากผู้คนรอบข้างที่เหมือนกันคือ ออกไปไม่เบื่อเหรอ ไม่มีไรทำ ไม่มีเพื่อนร่วมงาน โอ้ยเราอยู่แบบนั้นไม่ได้หรอก พอผมได้ฟังแล้วผมก็แอบขำนิดๆเพราะรูปแบบชีวิตของแต่ล่ะคนไม่น่าเหมือนกันนะ ผมวางแผนมาตั้งแต่ตอนยังเรียนมหาลัยว่าเราจะไม่มีวันที่จะทำงานไปตลอดชีวิตแน่ๆ เราต้องรีบทำงานเก็บเงิน ลงทุนและออกมาใช้ชีวิตในแบบที่เราชอบให้เร็วที่สุด จนเมื่อตอนทำงานก็บอกกับครอบครัวมาตลอดว่าจะลาออก แต่ก็เลื่อนมาเรื่อยๆ จนพ่อแม่ถามว่าไม่ออกแล้วเหรอ เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำของผมไปนานแสนนาน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ผมตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่แล้วว่า จะเกษียณตัวเองเสียทีและทำมันได้ในที่สุด เดือนนั้นเป็นเดือนที่มีความหมายกับผมมาก เพราะเกิดเหตุการณ์สำคัญที่ผมไม่อาจจะลืมเลือนทั้งในเรื่องส่วนตัวและรวมถึงเป็นเดือนที่ในหลวง ร.9 สวรรคตและเกิดขึ้นพร้อมๆกันในคราวเดียว วันที่ผมทำงานวันสุดท้าย GM ที่เป็นชาวญี่ปุ่นมาจับมือขอบคุณผมและกล่าวว่า ขอบคุณนะครับ ที่ทำ project นี้จนสำเร็จได้อย่างสวยงาม ขอบคุณจริงๆครับและขอให้โชคดีนะครับ อาจเป็นเพราะท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องราวของผมเกี่ยวกับการลาออกและเลิกทำงานกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่วางแผนไว้ วันนั้นผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่การลาออก แต่มันคือวันที่เราได้บรรลุเป้าหมายแล้วมากกว่า อีกอย่างสำหรับผมนั้น งานมีปัญหา หรือ งานสบายไม่มีปัญหา ไม่ใช่ประเด็นสำหรับผมเลยที่ตัดสินใจในการลาออกในครั้งนี้ แต่มันคือรูปแบบชีวิตที่เราได้เลือกไว้นานแล้วมากกว่าครับ ทุกวันนี้ผมว่าผมยุ่งนะ ยุ่งที่ต้องวางแผนในแต่ล่ะเดือนว่าจะต้องทำกิจกรรมอะไรหรือไปไหนบ้างและต้องรีบทำให้บรรลุเป้าหมาย มันเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปอย่างมากมายเพราะเราสามารถวางแผนเรื่องอะไรก็ได้ที่เราอยากจะทำและขึ้นกับว่าเราจะทำมันจริงๆไหม ทุกวันนี้ผมทานอาหารมื้อเดียวแค่ก่อนเที่ยง กลับบ้านไปเจอเพื่อนเก่า เพื่อนๆก็แอบงงว่า ทำไมไม่เห็นผอมเลย กินแค่มื้อเดียว หน้าตาดูผ่องใสจิตใจเบิกบานลาออกแล้วมันดีแบบนี้เหรอ อ้อ เรื่องการลงทุน ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นกระดิกเท้าเหมือนเจ้าของกระทู้ตั้งไว้ แต่ผมคิดว่า การตัดสินใจของผมในครั้งนี้ไม่ผิดพลาดเลยครับ ขอให้เราเลือกทำในแบบของเราเองแล้วเราจะมีความสุขกับมันตลอดไปครับ
โดย
tum_H
ศุกร์ มี.ค. 31, 2017 8:17 pm
0
27
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอตอบคุณ tumH นะครับ เรื่องทานจริงๆมันสำคัญนะครับ แต่ว่าทานบารมีนี่ทำไปเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัว เพื่อสละออก ไม่ได้หวังอะไรเข้าตัว ที่สอนกันเดี๋ยวนี้มันสอนกันให้ทำเยอะๆจะได้สวรรค์ชั้นนั่นชั้นนี้ มันคนละอย่างคนละโยชน์กันเลย พอได้ยินอะไรมาแว่วๆก็ตื่นเต้นเตรียมควักตังค์กันอย่างเดียว ไม่พินิจพิจารณากันให้ดีเสียก่อน บางทีมันเกินความจำเป็น ลองไปดูบางวัดนะ กุฏินี่เพียบเลย เเต่ไม่มีพระอยู่ เอาไปสร้างรพ.ดีกว่าไหม แบบนี้เรียกว่าเมาบุญหรือป่าว? ลองพิจารณาดูนะครับ ยิ่งกับพระเนี่ยผมเห็นโยมประเคนกันเต็มที่เลย พอมีลาภสักการะมากพระก็เสีย เสียเพราะความบ้าบุญของโยมนี่แหละ พระนี่ก็แทนจะห้ามปรามกลับยิ่งชอบ เบียดเบียนโยมกันเพลิน บอกโยมก็ได้นะว่าเราไม่ต้องการ อย่าเอาอะไรมา มันเกินความจำเป็นนะ ไปช่วยที่เค้าขาดแคลนดีกว่า อะไรแบบนี้ ทำบุญทำทานกับใครมันก็ดีทั้งนั้นอย่าว่าแต่ทำกับคนเลย ทำกับหมูกับหมามันได้บุญหมดแหละครับ แต่ต้องพิจารณาให้ดี 555 ผมเข้าใจล่ะครับ ก็อย่างที่ทราบกันนะครับ ผลของบุญนั้นอัศจรรย์มากๆ เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ กว่าจะได้กินผลก็ต้องใช้เวลาเช่นกันครับ บางคนเพิ่งเริ่มปลูก แต่อีกคนผลไม้สุก เก็บกินได้แล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น การทำบุญก็เหมือนกัน สำคัญที่ใจ คนไหนที่บารมีเต็ม ก็ทำบุญกับทุกสิ่งได้หมด เพราะจิตใจเปี่ยมสุข แต่กับคนที่บารมียังไม่เต็ม ก็ต้องเลือกทำนะครับ เพราะทำไปแล้วไม่สบายใจ ทำไปก็ได้บุญน้อย ต้องเลือกทำในสิ่งที่ทำแล้วเป็นสุขในระดับแรกก่อน อีกทั้งนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคนที่บำเพ็ญมาก็ต่างกัน บางวัดข้าวทิ้งเต็มลาน แต่บางวัดข้าวจะกินก็ไม่พอ เรื่องแบบนี้เป็นไปตามกฏแห่งกรรมนะครับ บางที่ยิ่งไม่น่าจะไปทำ แต่ก็ยังมีคนศรัทธาเยอะ เพราะผลของบุญเก่ายังคงให้ผลนั่นเองครับ ดังคำกล่าวว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ครับ
โดย
tum_H
อาทิตย์ ก.พ. 26, 2017 10:52 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ตอนนี้ผมบอกแม่แล้วว่าจะบวชแม่ก็เห็นดีด้วยแกว่าจะไปบวชอยู่กับผมด้วย ผมเลยบอกให้แม่ขายบ้าน ขายที่ดินให้หมด ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนากับพี่ cobain_vi ด้วยนะครับที่ในอนาคตอาจตัดสินใจบวช ผมเชื่อว่าหากบวชจริงผมคงได้มีโอกาสไปกราบแน่ๆครับ ในกรณีของทานบารมี ผมมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับพี่นิดหน่อยนะครับ เพราะทานบารมี เป็นหนึ่งในบารมี 10 ที่ทำให้ผู้ที่บำเพ็ญไปนิพพานได้เช่นกัน เพราะการที่ไม่ทำทานบารมี จะเป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรมเช่นกัน กล่าวคือ เป็นอุปสรรคในการไปฟังธรรม เจริญธรรม และประพฤติพรหมจรรย์ อย่างเช่นการที่เราเกิดมาขัดสน ไปฟังธรรมก็ลำบาก ย่อมทำให้เกิดความเนิ่นช้าในการบรรลุธรรม เช่นเดียวกัน แม้บวชเรียนแล้ว การมีอาหารไม่พอฉัน ก็เป็นอุปสรรคเช่นกันครับ ผมคิดว่าความหมายของพี่น่าจะหมายถึงการทำทานพร่ำเพรื่อ และไม่ทำควบคู่ไปพร้อมกับการรักษาศีลและภาวนาครับ ส่วนตัวผมหลังๆทำบ่อยเพราะเมื่อก่อนไม่ค่อยมีโอกาสได้สร้างกุศลมากสักเท่าไหร่ เมื่อเราไปวัด ได้ใช้เสนาสนะ สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่มีคนสร้างไว้ให้เราใช้แล้ว เราก็รู้สึกปลื้มใจ ที่มีผู้มีเมตตาจิต สร้างความสะดวกสบายให้กับเรา เราเลยอยากทำเพื่อตอบแทนด้วย อีกอย่างก็เป็นการสืบอายุพระศาสนา เพราะเราเกิดมาได้เจอพระศาสนา เราก็อยากให้คนอื่นๆได้สิ่งดีๆ แบบนี้เช่นกันครับ อย่างพี่ picatos ว่า บางคนทำทานบารมีในอดีตชาติมามาก ก็จะข้ามไปบารมีอื่นๆต่อไปครับ ย้อนมาที่เรื่องกามราคะ มันเป็นแบบที่พี่ว่าจริงๆครับ แต่ผมเชื่อว่าตอนนี้เราๆท่านๆในที่นี้ ได้แค่ระงับและยับยั้ง ยังไม่สามารถหยุดกามราคะได้ แต่เราได้ปัญญาความรู้ที่แท้จริงแทนว่า กามราคะ จะต้องถูกจัดการอย่างไรในอนาคตแทน ปัญญาความรู้เห็นตรงนี้แหล่ะที่สำคัญมาก เพราะทำให้กิเลศตัวนี้หันมาใช้อุบายสุดท้ายในการเล่นงานเราแทน จากแบบหยาบๆ จะละเอียดมากยิ่งขึ้นเลยครับ เพราะของเดิมๆเราได้ผ่านมันมาแล้ว ผมอยากให้คนที่กำลังฝึกดู clip นี้นะครับ ผมหวังว่าจะช่วยการฝึกของหลายๆคนได้ หากยังติดขัดเรื่องการภาวนาครับ https://www.youtube.com/watch?v=iIU9AIKdEAo ปล ดีใจที่ห้องนี้คึกคักอีกครั้ง เพราะบางทีผมก็ไม่กล้าถาม ชอบอ่านมากกว่าครับ
โดย
tum_H
อาทิตย์ ก.พ. 26, 2017 9:43 pm
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
หลังจากลาออกจากงานตอนนี้ปฏิบัติธรรมที่บ้านหรือที่วัดครับ เป็นอย่างไรบ้าง นานๆก็เข้ามาเล่าให้เพื่อนๆในห้องนี้ฟังบ้างสิครับ (ไม่ต้องเล่าบ่อยก็ได้ ^_^) ผมเคยทำงานบริษัทอยู่แค่3ปี ตอนนั้นยังภาวนาไม่เป็นเท่าไร ทำแต่สมาธิอย่างเดียว พอมาทำงานก็เครียดไม่ค่อยได้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันเท่าไร พอว่างถึงจะได้ไปอยู่วัดไปอยู่วัดแล้วก็ยังภาวนา(เจริญปัญญา)ไม่เป็น แต่พอเราภาวนาไปเรื่อยๆพอเข้าใจแล้วทีนี้ง่ายครับ จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญๆที่เราจะเข้มงวดต่อตัวเองหรือป่าวเท่านั้น อยู่วัดกับครูบาอาจารย์ก็ดีตรงที่ไม่กล้าขี้เกียจ พอกลับมาบ้านก็ขี้เกียจเหมือนเดิม ฮา ปีที่เเล้วตั้งใจจะไปอยู่วัดให้ได้10เดือน เวลาทำจริงได้แค่4เดือน ปีนี้เลยไม่กล้าตั้งเป้า (แต่ว่าตั้งแต่ต้นปีปีนี้ไปอยู่วัดมาแล้ว1เดือน น่าจะได้เยอะกว่าปีที่แล้ว) สวัสดีครับ พี่ cobain_vi ผมว่าคนที่หายไปนานน่าจะเป็นพี่มากกว่านะครับ 555 ตลอดระยะเวลา 13 ปีของการทำงาน ผ่านเรื่องราวและผู้คนมามากมาย ทำให้เราเห็นโลกได้กว้างขึ้น มากๆครับ จนสุดท้ายก็ถึงวันที่เรารู้สึกว่าพอ และอยากทำในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแทนครับ หลังจากที่ลาออกมาแล้ว ก็เลยถือโอกาสเอาเวลามาพิจารณาตนเอง ว่าแท้ที่จริงแล้ว เราเป็นคนประเภทไหนกันแน่ การมุ่งไปมรรคผลนิพพาน เส้นทางที่เราเดินไปติดขัดและมีอุปสรรคตรงไหนบ้าง เมื่อก่อนจะติดเรื่องของเขาและเรื่องของเรา แต่ตอนนี้เหลือเรื่องที่ยากสุดคือ การชนะใจตนเอง หลังจากออกมาแล้ว เลยสมาทานศีล 5 และตั้งใจรักษาให้เป็นปรกติอยู่เสมอ แต่ก็จะพ่วงการทดลองศีล 8 บางข้อไปในตัว คือ ทานข้าวก่อนเที่ยง(มื้อเดียว) แค่นั้น ถึงตอนนี้ก็ยังคงรักษาวัตรปฏิบัตินี้ได้ และรู้สึกว่าจิตใจเบาขึ้นเยอะเลยครับ เพราะไม่มีภาระทางการงานที่หนักอึ้งเหมือนเมื่อก่อน เลยทำได้ง่ายขึ้นมากครับ ในไม่ช้าคงได้ไปฝึกปฏิบัติที่วัดเหมือนพี่ cobain_vi ล่ะครับ เพราะตอนนี้ถือว่าการเตรียมตัวค่อนข้างพร้อม จริงๆแล้วหลังออกจากงานทำให้เรารู้เลยว่า เราควรเป็น พระป่า หรือ พระบ้าน เพราะคนที่ฝึกได้ที่บ้านจริงๆต้องเป็นคนที่มีความเพียรอย่างมาก ต้องมากจริงๆครับ เพราะต้องข่มสิ่งที่กระทบรอบข้างให้ได้ สิ่งเร้าต่างๆเหล่านี้ถือเป็นขวากหนามที่สำคัญมากสำหรับผม ความสบายจนเกินไป ก็ทำให้เกิดความหย่อนในการปฏิบัติได้เช่นกันครับ ตอนนี้ผมได้มีโอกาสเน้น ทาน และ ศีล ควบคู่ไปกับการปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องของทาน ได้มีโอกาสไปทำบุญ กับพ่อแม่ครูอาจารย์หลายๆที่ ได้ถวายทั้งเงินและทองคำ ร่วมสร้างศาลาบ้าง วิหารบ้าง เจดีย์บ้าง พระพุทธรูปทองคำบ้าง ตามกำลังของตนและไม่อยู่ในภาวะที่ทำให้ตนลำบาก พอให้ทานเป็นปรกติ การรักษาศีลก็ยิ่งง่าย เพราะเราตัดความยึดมั่นถือมั่น ในของรักของเราไปได้ พรหมวิหาร ก็เกิด โทสะผ่อนคลาย ศีลก็เป็นปรกติ เวลาภาวนานิวรณ์เครื่องเศร้าหมองก็เบาบาง เพราะมีศีลรักษา มีทานเป็นตัวระงับ เมื่อทำแบบนี้ ทำให้สิ่งที่เราต้องการทำลายคือ ทิฐิมานะ ความยึดมั่นถือมั่น คลายลงไปด้วยพรหมวิหาร พอมาถาวนาก็เริ่มรู้สึกเบา แต่ยังคงต้องค่อยๆดำเนินไปตามลำดับ ไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป เอาที่เป็นกลาง ใจสบายและกายเบาครับ พอได้ไปทำทาน อานิสงค์อย่างหนึ่งที่ได้รับทันทีคือ การได้พบพ่อแม่ครูอาจารย์ในหลายๆภูมิ ทั้งภูมิต้นคือ พระโสดา สกิทา และภูมิสูงคือ อนาคา อรหันต์ หากถามว่ารู้ได้อย่างไร คงตอบยาก เพราะเราก็ได้ฟังจากคนที่ใกล้ชิดท่านเล่ามาอีกทางหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้คือ การเทียบเคียงจากพระบาลี เวลาสนทนาธรรม ตอนท่านเทศน์ และจากกิริยาอาการครับ แต่ข้อนี้ผมเป็นคนที่ชอบเรื่องแนวพิศดานเป็นการส่วนตัวมากๆ เลยอยากให้ทุกคนทำใจเป็นกลาง และข้ามเรื่องนี้ไปครับ อย่างที่ว่า มีโอกาสได้สนทนากับภูมิต้นๆค่อนข้างมาก เพราะท่านจะอยู่ในช่วงของความอัศจรรย์ใจ อยากพูดคุย ผมยังจำได้เหมือนเมื่อตอนผมได้ญาฌครั้งแรก เป็นความอัศจรรย์ที่สุดในชีวิต อาการอยากเล่าเลยตามมาเยอะเลยครับ เล่าให้อาจารย์ฟังท่านว่า เรื่องแค่นี้มันจิ๊บๆ เหมือนเนื้อติดฟัน ถัดจากขั้นนี้ยิ่งมหัศจรรย์พันลึกมาก พูดไปก็อาย เหมือนแสงหิ่งห้อย ไปเทียบแสงจันทร์ มีหรือจะสู้ได้ ผมพบว่าแต่ล่ะองค์ท่านต้องใช้มานะแตกต่างกันมาก บางองค์ก็เสียจริตก่อนกลับมาแก้ไขตนจนเวทนาดับ บางองค์ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมตั้งแต่เป็นฆราวาส และบางองค์ไม่ได้ฝึกปฏิบัติอะไรเลย เพียงแค่รักษาศีลให้เป็นปรกติ ผ่านไปเป็นสิบปี ได้ฟังธรรมครั้งเดียว ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมก็มี พอได้ฟังครูอาจารย์เล่าแล้วมันเกิดความหึกเหิม แล้วเป็นรุ่นที่อายุห่างจากเราไม่มาก เลยทำให้ซักถามได้ระเอียดมากขึ้นครับ หลายๆอย่างเช่น อุปจาระ กับ อัปปนาสมาธิ บางทีในตำราที่เขียนไว้ กับเวลาเจอของจริง เราจะพบเองเลยว่า จริงๆแล้วสมาธิมีทั้งความมืดและสว่าง ความสงบในความมืดและความสงบในความสว่าง เมื่อได้มีโอกาสถามผู้ที่เคยผ่านมาก่อน จะทำให้ข้อสงสัยต่างๆที่เรามี ถูกแก้ไขได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ วิธีการวัดระดับสมาธิของตนเองที่ง่ายสุดคือ เวลาสวดมนต์ครับ สวดแล้วจิตไม่วอกแวก เวลาภาวนาก็จะเหมือนกัน แต่ถ้าตรงกันข้าม เวลาภาวนาก็ออกข้างเหมือนกันครับ ตอนทำบุญกับท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย ได้ฟังเทศน์จากท่าน ท่านว่า คนมันไม่เอาจริง มันมาบวช มันก็เอาของจากบ้านทุกอย่างติดตัวมาด้วย มันไม่ยอมทิ้งทุกอย่างก่อนบวช ภาวนามันก็ไม่ไปไหน เพราะมันไม่ยอมทิ้ง มันไม่เอาจริง พอได้ฟังก็สะอึกเลยครับ โดนตัวเองตรงๆ เพราะขาดความเอาจริงและความเพียรพยายาม ความก้าวหน้าเลยมีน้อยครับ ท่านว่า ต้องทำบ่อยๆ เหมือนเดินผ่านดงหญ้า เดินผ่านบ่อยๆ หญ้าที่รก ก็ราบเรียบได้เช่นกันครับ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนในพระธัมมจักร ว่า ความทะยานอยากนี้ใดทำความเกิดอีก เมื่อเราได้มาลองปฏิบัติจริงๆ เราจะพบเห็นเองเลยว่า เจ้าตัวนี้เองที่สร้างภพชาติให้เรา ยิ่งปฏิบัติมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็นความละเอียดของกิเลศมากยิ่งขึ้น กิเลศเขาจะพลิกแพลงทุกกลยุทธ์เพื่อให้เราอยู่กับเขา จนสุดท้ายเราจะพบว่า ไม้ตายสุดท้ายของกิเลศที่จะใช้เล่นงานเราก็คือ ขันธ์ 5 นั่นเองครับ
โดย
tum_H
อาทิตย์ ก.พ. 26, 2017 10:00 am
0
5
Re: พูดคุยแลกเปลี่ยนการยื่นภาษี ปีภาษี 2559
อธิบดีสรรพากรยันเอง!! ไม่บังคับสมัครพร้อมเพย์ถึงจะได้คืนภาษี ระบุแค่ทางเลือกได้คืนภาษีเร็วกว่า updated: 05 ม.ค. 2560 เวลา 16:51:13 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1483610031 นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรณีผู้เสียภาษีที่ยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีของรอบปีภาษี 2559 ที่ต้องยื่นแบบฯ ช่วง ม.ค.-มี.ค.นี้ ระบุว่า ถูกระบบของกรมสรรพากรบังคับให้ต้องสมัครใช้บริการพร้อมเพย์ จึงจะได้รับการคืนภาษีนั้น อาจจะเป็นการเข้าใจผิด เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเช็กแล้ว ผู้เสียภาษีไม่ได้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ไว้ กรมก็จะจ่ายเช็กคืนภาษีให้ เพียงแต่จะได้รับคืนช้ากว่าผู้ที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ ทั้งนี้ ล่าสุดจนถึงวันที่ 5 ม.ค. กรมสรรพากรได้คืนภาษีผ่านพร้อมเพย์ไปแล้วกว่า 90 ล้านบาท โดยมีการยื่นแบบฯ มาแล้วหลักหมื่นราย เพราะเพิ่งไม่กี่วัน ขณะที่ปีที่แล้วมีการขอคืนภาษี 3.2 ล้านราย เป็นเงินราว 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งปีนี้ก็คงไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว น่าจะถึง 3.5 ล้านราย เนื่องจากปีนี้มีรายการลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นหลายรายการ โดยเฉพาะมาตรการช็อปช่วยชาติปลายปีเดิมประเมินว่ารัฐจะเสียรายได้ประมาณ 3,400-4,000 ล้านบาท แต่จากที่เห็นกระแสคนไปใช้สิทธิกันค่อนข้างมาก จึงยังไม่แน่ใจว่าจะสูงกว่าที่ประเมินหรือไม่ "ถ้าผ่านพร้อมเพย์ พอเราตรวจวิเคราะห์เอกสารเสร็จแล้ว วันเดียวก็สามารถอนุมัติคืนภาษีได้เลย โดยตอนนี้เราคืนไปกว่า 90 ล้านบาทแล้ว ส่วนรายที่ไม่มีพร้อมเพย์ เราก็จะคืนเป็นเช็คให้ แต่ต้องรอให้คืนภาษีระบบพร้อมเพย์เสร็จก่อน ทั้งนี้ ยืนยันว่าการยื่นแบบฯ ผ่านอินเตอร์เน็ต แล้วมีป็อปอัพข้อความขึ้นให้กดตกลงเรื่องพร้อมเพย์ ไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นการเตือนเท่านั้น ซึ่งคนที่ยังไม่เข้าพร้อมเพย์ เราก็มีเวลาให้อีก 1 เดือนสามารถไปลงทะเบียนพร้อมเพย์ได้ แต่ถ้ายังไม่ลง ระบบก็จะวิ่งกลับมาให้เราทำเช็คคืนภาษีให้" นายประสงค์กล่าว
โดย
tum_H
พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2017 5:20 pm
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
วันนี้ผมครบ 1 เดือนที่ลาออกจากงานมาพอดีเลยครับ ผมคิดว่าทุกคนจะเจออาการอย่างที่คุณ sakkaphan เจอครับ ใครที่ได้มาลงมือปฏิบัติจริงๆจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางไม่สำเร็จ โดยส่วนตัวแล้วผมมีความคิดคล้ายๆพี่ picatos คงเป็นเพราะบุญวาสนาที่ทำมา เลยทำให้อยากปฏิบัติภาวนาในเพศของฆราวาสมากกว่า แต่อย่างที่เราทราบกัน อริยมรรคอริยผล ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องบวชหรือไม่บวชถึงจะสำเร็จได้ แต่อยู่ที่ความแน่วแน่ของจิตและความเพียรของแต่ละบุคคล บางครั้งเสียงอึกทึกครึกโครม นั่งเล่นนั่งฟังอยู่จิตก็นิ่ง เบาสบาย แต่บางครั้งนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งใจให้จิตเบา ก็กลายเป็นจิตฟุ้งซะงั้น เมื่อก่อนอาการปรามาสของผมหนักมาก แต่พอว่างงาน จะเดิน ยืน นั่ง นอน ช่วงที่สามารถระลึกรู้อยู่ จะภาวนา พุทโธ ให้ตลอด ปรากฏว่า จิตสงบดีขึ้นกว่าเดิม เหตุคือพอว่างจากภาระ อารมณ์เลยเบา บางทีก็เกิดคิดในจิตว่า สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ เพราะเมื่อภาระทางโลกเบาลง มันเลยเกิด สุขหนอ สุขหนอ จริงๆครับ กิเลสแต่ล่ะตัวเมื่อเกิดขึ้น จะมีเครื่องแก้ตามมา ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคน ว่าจะได้เครื่องแก้รูปแบบไหน อย่างของผมหนักทางราคะจริต ตอนนี้ได้เครื่องแก้ก็คลายลง หลังจากนั้นโมหะจริตก็ตามมา พอเกิดเครื่องแก้ก็ตามมา ก็เบาลง พอผ่าน 2 ตัวนี้ กลับย้อนมาเกิด สักกายะทิฐิ เกิดขึ้นซะงั้น แต่เครื่องแก้คือปัญญา ก็จะเกิดความรู้ตามมา ให้พิจารณาถึงวิธีการและแนวทางในการแก้ไข ครูอาจารย์ส่วนใหญ่เมื่อตอนแรกๆก็จะเป็นเหมือนๆกับเราครับ บางท่านใช้เวลาหลายปีมาก สำคัญสุดคือไม่ท้อ ต้องค่อยๆทำความเพียรไป รู้จักหลบ รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาไป ผมเชื่อว่าทุกคนจะเกิดอาการท้อ แต่เมื่อท้อแล้ว สิ่งที่สะสมมา คือ ผู้ที่ได้เคยเห็นทุกอริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จะเกิดมานะ แล้วกลับมาเร่งความเพียรใหม่ ปัญญาความรู้จะเกิดขึ้นตามมา แม้จะยังวนซ้ำไปมา แต่ในที่สุดจะหลุดพ้นไปได้ครับ
โดย
tum_H
พฤหัสฯ. ต.ค. 27, 2016 7:31 am
0
6
Re: ขอเชิญร่วมทำบุญบริจาคสร้างหนังสือ "กายคตาสติ"
จริงๆผมตั้งใจพิมพ์หนังสืออีกสองเล่ม 1 วิสุทธิ7 (ของอ.แนบ) เป็นแนวอภิธรรม ต้นฉบับที่ผมมีเก่ามาก พิมพ์ข่วงปี 07 ให้เพื่อนไปจัดเล่มใหม่หลายปีแล้ว แกหายไปพร้อมกับหนังสือผม ฮา เห็นยุ่งๆอยู่กับร้านเสื้อผ้า 2 ทางแห่งมรรคผล หลวงปู่แบน ธนากโร เล่มนี้แจกเฉพาะลูกศิษย์ เป็นหนังสือที่สุดยอดเล่มนึง ที่ได้อ่านมาในรอบหลายๆปี สำนวนหลวงปู่เฉียบขาด เด็ดขาดตามสไตล์หลวงปู่ แต่ปัญหาคือ ผมไม่กล้าขออนุญาติหลวงปู่เพราะปกติหลวงปู่ท่านจะไม่ชอบให้ทำหนังสือ ตัวท่านเองก็เป็นคนเก็บตัว อยู่เงียบๆ ว่าจะไปขออนุญาติหลายครั้งแล้วแต่พอนึกถึงตอนที่โดนหลวงปู่จัดหนักก็ยังไม่ค่อยกล้า ขนาดรอบที่แล้วขออนุญาติกลับบ้านยังโดนท่านดุเอา ท่านไม่อยากให้กลับ ผมก็ใช้ไหวพริบอ้างโน่นอ้างนี่ จริงๆก็ไม่อยากเถียงเพราะรู้ว่าท่านเมตตาผม กำลังนึกข้ออ้างอะไรดีหนอที่จะขออนุญาติหลวงปู่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ได้ นึกไม่ออก ต้องให้รวมพลังไปช่วยอ้อนไหมครับ 555 ถ้ามีโอกาสดีๆ พี่ cobain_vi ลองขอโอกาสท่านอีกสักครั้งนะครับ เป็นโอกาสดีในการสร้างกุศล ร่วมกันครับ
โดย
tum_H
จันทร์ ก.ย. 19, 2016 5:18 pm
0
1
Re: ขอเชิญร่วมทำบุญบริจาคสร้างหนังสือ "กายคตาสติ"
หากช่วงนี้ มีใครจัดพิมพ์หนังสือธรรมะ รบกวนแจ้งหน่อยนะครับ จะได้ร่วมบุญกันครับ ขอบคุณครับ
โดย
tum_H
เสาร์ ก.ย. 17, 2016 8:31 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ฮ่าๆๆ พูดไปก็อาย ความปรารถนาที่ตั้งมีเอาไว้อย่างเดียวครับ คือ ได้พาภรรยาขึ้นทางถูกทิ้งทางผิด จะไม่ยอมนิพพานจนกว่าภรรยาจะได้ขึ้นทางถูก ตอนนี้ก็คิดว่าน่าจะสำเร็จผลแล้ว ถ้ายังไม่ใช่ทางก็ช่างมันแล้วครับ ได้ถอนคำอธิษฐานไปแล้ว 555 ที่พี่ picatos พูดทำให้นึกถึงตัวเองขึ้นมาเลย ผมนั้นห่วงเพราะนึกถึงคุณ ที่ทำให้เราได้เห็น ทุกข์ในสุข เลยทำให้จิตที่เคยมืดบอด ได้สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง เลยมีความคิดคล้ายๆกันคือ อยากพาไปนิพพานด้วย แต่ก่อนอื่นเราก็ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ถึงจะพาผู้อื่นไปได้หรือไม่ก็ต้องปฎิบัติไปด้วยกัน หลังๆเลยเริ่มวางเหมือนกันครับ สิ้นเดือนนี้ เลยเตรียมเกษียณตัวเองล่ะ หมดพันธะในการเป็นมนุษย์เงินเดือน คงได้เริ่มลงมือฝึกปฏิบัติได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าเดิม พอเราเริ่มรู้จักคำว่าพอ อะไรๆก็ดูง่ายขึ้นไปหมดจริงๆครับ
โดย
tum_H
อาทิตย์ ก.ย. 04, 2016 10:18 am
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
อันนี้ก็เป็นประสบการณ์คร่าวๆ ของผมนะครับ ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆ เห็นว่าถูกผิดอย่างไร มีคำชี้แนะ ตัดเตือนอย่างไร จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่เป็นผู้ปฏิบัติสายปัจเจกอย่างผม ผมกราบขอบพระคุณ สำหรับคำแนะนำทุกประการครับ เท่าที่อ่านดูพี่ picatos ไม่ได้หนักไปทางราคะมากและจริตไปทางปัจเจก ผมไม่แน่ใจว่าความปรารถนาเดิมในอดีตชาติเป็นอย่างไร เพราะดูเหมือนชาตินี้เพียรไปนิพพานถ่ายเดียว ไม่แน่ใจว่าได้ อธิษฐานจิต เพื่อถอนความปารถนาเดิมแล้วหรือยังครับ (กรณีไม่แน่ใจความปรารถนาเดิมนะครับ) เพราะบางท่านติดแล้วติดอีก เพราะความปารถนาเดิมขวางกั้น หากต้องการเปลี่ยนความปรารถนาก็ให้อธิฐานจิต แล้วมุ่งตรงนิพพานแทน จะก้าวหน้าเร็วมาก ผมเองก่อนนี้คิดว่าคล้ายๆพี่ picatos และตอนนี้ได้อธิฐานเปลี่ยนความตั้งใจตรงไปนิพพานแล้ว คือว่ากันง่ายๆไม่ขอกลับมาเวียนว่ายอีก ซึ่งตอนนี้คงเหลือแต่การทำความเพียรให้ถึงฝั่งถ่ายเดียวเพราะว่าชาตินี้ ได้เห็นทุกข์ของการเกิดอย่างชัดแจ้งแล้วครับ
โดย
tum_H
พุธ ส.ค. 31, 2016 5:37 pm
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขอบคุณพี่ tum_H มากๆครับ สำหรับธรรมทาน ปล. เรียกผมว่าน้องดีกว่าครับพี่ เพราะว่าผมอายุ 28 เอง อนุโมทนาด้วยนะครับ อายุยังน้อย แต่ใฝ่ในธรรม เป็นผู้ที่ทำในสิ่งที่พึงทำได้ยากยิ่ง สาธุครับ
โดย
tum_H
พุธ ส.ค. 31, 2016 6:45 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ช่วงนี้ผมกับภรรยาก็อยู่ในช่วงศึกษาและขัดเกลากามราคะอยู่เหมือนกันครับ ไม่ทราบว่าพี่ tum_H พอจะแชร์เทคนิค หรือลงรายละเอียดถึงวิธีการที่พี่ tum_H ใช้หน่อยได้ไหมครับ? ขอบคุณครับ พอเรามีเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ดุเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ เรื่องกามราคะ เหมือนเรายกกองทัพไปตีเมืองที่ใหญ่กว่าเราหลายเท่า แล้วเราก็ถูกหลอกให้ติดกับดักว่าชนะ แต่จริงๆแล้ว เราโดนอีก 100 ทัพโอบล้อมอยู่ พอเราดูเหมือนรบชนะทัพแรก ก็จะมีอีก 99 ทัพมาตามตีเรา จนแทบตั้งตัวไม่ติดเลย ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ต้องเป็นฝ่ายแตกพ่ายไป ก่อนที่จะรวบรวมกำลังกลับมาใหม่ อย่างที่พี่ sakkaphan พูดนั้นถูกต้องแล้วครับ เราต้องใช้สติ คือตัวปัญญา ในการแก้ปัญหา หรือหาอุบายในการเอาชนะให้ได้ ซึ่งก่อนจะไปออกรบก็ต้องมีการเตรียมการกันมานานทีเดียว หากเทียบกับเราๆท่านๆ ก็คิดเป็นภพชาติไม่ได้เลยครับ ผมอ่านประวัติจากท่านพระอาจารย์มีชื่อ ที่ท่านได้ผ่านแล้ว ท่านพระอริยะเจ้าเหล่านั้น ก็จะเจอปัญหานี้เหมือนกันกับเราเลยครับ บางท่านก็ไปถามอาจารย์ของท่านว่า ทำไมสมัยพุทธกาล สำเร็จง่ายจัง หรือ เดินจงกรมจนเท้าแตก ต้องคลานจงกรม หรือ ไม่ยอมฉันอาหาร จนอาจารย์ต้องมาเตือน หรือ พุทโธ หายไปเป็นเวลาหลายปี จิตไม่รวมก็มี ซึ่งทุกท่านที่กล่าวมา ก็ใช้ความเพียรวิริยะ จนท้ายที่สุดก็สำเร็จอริยมรรค อริยผล นั่นแสดงให้เห็นว่า กว่าจะผ่านจุดเหล่านี้ไปได้ ต้องอาศัยความเพียรและปัญญาในการแก้ปัญหาเป็นอย่างมาก ย้อนกลับมาเรื่องหนัก คือ ราคะ ที่เรากำลังหาอุบายกำหลาบกันอยู่ เราจะใช้อุบายอันใด ในการจัดการกิเลสตัวที่ติดตามเรามานับภพชาติไม่ได้ เท่าที่ผมทดลองปฏิบัติดู ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับจริตและนิสัยวาสนาของแต่ล่ะคนเป็นสำคัญ กล่าวคือ บางคนส่วนนี้ไม่หนัก แต่ไปหนักส่วนอื่น หรือ บางคนหาอุบายด้วยตัวเองไม่ได้ ต้องให้อาจารย์แนะ หรือ บางคนสามารถหาอุบายแก้ปัญหานี้ได้เองก็มี สำหรับผมลองมาหลายแบบมาก ขออธิบายเป็นลำดับขั้นดังนี้ 1.) พิจารณาโดยใช้ปัญญาเป็นเครื่องกำกับว่า รูปสวย รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เป็นของไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ พอเจอสิ่งยั่วยวนใจ ก็ยกขึ้นมาพิจารณาให้มีปัญญารู้ตาม ว่าเหตุใดเราจึงชอบของสกปรกและหน้ารังเกียจเหล่านี้ ทั้งนี้ต้องอาศัยทาน ศีล และภาวนาเป็นพลังงานในการต่อสู้กับราคะไปด้วย ซึ่งเมื่อเราได้เจอรูปสวย รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ อาการขาดสติก็กลับมา สรุปว่าผมลองวิธีนี้แล้วสอบตก 2.) เมื่อไม่ได้ผลก็มาลองพิจารณา อสุภกรรมฐาน ตามที่พี่ sakkaphanกล่าวไว้ว่า ราคะต้องใช้ของปฏิกูลน่ารังเกียจเป็นตัวปรามกิเลศ วิธีนี้ใช้ได้ผลเมื่อสามารถประคองจิตให้มีพลังงาน คือมีปัญญากำกับและรู้ตามตลอดเวลา แต่เมื่อพลั้งเผลอ ได้เจอรูปสวย รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ อสุภกรรมฐาน ก็อันตรทาน หายไป ควบคุมจิตไม่ได้อีกตามเคย สรุปว่าผมลองวิธีนี้แล้วสอบตก 3.) เมื่อยังไม่ได้ผล ก็ต้องกลับมานั่งใช้ปัญญาหาสาเหตุว่า ทำไมจึงยังไม่สามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ ทั้งนี้ยังคงพยายาม รักษาทาน ศีล และภาวนาให้อยู่ในระดับปรกติในขณะที่อยู่ในช่วงเวลาที่ใช้ปัญญาแก้ปัญหา จากการที่เราได้ลองศึกษาหาความรู้ในหลายๆส่วน ทำให้พบอุปนิสัยของคนเราหรือจริต แบ่งได้สองแบบคือ แบบปัจเจก กับ แบบที่ต้องอาศัยครูอาจารย์ ซึ่งแน่นอนว่าเราได้ลองแบบแรกมาแล้ว แต่ยังไม่เป็นผล ก็เลยเปลี่ยนมาลองในแบบที่สอง 4.) ไปวัดหาอาจารย์เพื่อฟังธรรม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก ไปสี่ครั้ง ท่านเทศน์เรื่องเดียวกัน แต่เปลี่ยนรูปแบบ ทุกวันนี้ยังระลึกถึงพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ที่ว่า “รสแห่งธรรม ชนะ รสทั้งปวง” เกิดธรรมปีติ อย่างบอกไม่ถูก อิ่มอกอิ่มใจ ทั้งๆที่รู้เรื่องธรรมเหล่านี้มานาน แต่ไม่เข้าไปในจิต พอไปฟังอาจารย์เทศน์กลับอยู่ในจิตด้วยความนอบน้อม อารมณ์ความรู้สึกเบาลง อยู่ได้ระยะหนึ่งเป็นช่วงที่เบาบางจากราคะอย่างน่าประหลาด แต่พอเจอ รูปสวย รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศอีก ก็สอบตก แต่มีระยะเวลานานขึ้นกว่าเดิม 5.) อาศัยข้อนี้ จึงไปวัดเพื่อฟังธรรมทุกเสาร์ หรือ วันที่ว่างจากภาระการงาน จนวันหนึ่งท่านเทศน์เรื่อง กามราคะ ให้ใช้อุบายคือ กำหนดรู้สิ่งที่เราชอบให้เป็นอสุภกรรมฐานลงที่จิต (อันนี้ก็รู้อยู่แล้ว) เกิดความอัศจรรย์ใจเป็นครั้งที่สอง กล่าวคือจิตมันเชื่อคำของครูอาจารย์ มันรวมลงที่จิต มันเอามาทำตาม มันกลัวครูอาจารย์ เลยทดลองเอาคลิปมาเปิดดู เรื่องของชายและหญิง (คลิปอย่างว่า) แล้วกำหนดอสุภ ไปที่ชายและหญิงคู่นั้น ผลปรากฏว่าแทบไม่มีความรู้สึก เพราะกำหนดให้เป็นของปฏิกูลน่ารังเกียจได้แล้ว 6.) พอได้หลักในการหาอุบายหลัก ตาเห็นรูปเริ่มมีความเบาบางลง กิเลศก็ไปหันไปเล่นงานในจิตส่วนลึก กล่าวคือในความฝันแทน ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องเอาชนะจากภายนอก แต่ยังรวมถึงการปรามกิเลศภายในด้วย 7.) (การปฏิบัติของผมมาถึงขั้นตอนนี้ ) สรุปหลักปฏิบัติที่ผมเจอคือ เมื่อแรกเริ่มหากเจอรูปสวย รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ต้องรีบถอย อย่าเข้าไปปะทะ เพราะจิตของเรามีกำลังอ่อน สู้ไม่ได้ หากสู้โดยไม่มีปัญญารู้ตามโดยตลอด จะพลาดท่าทุกครั้ง เมื่อพลาดท่าจะเกิดอาการท้อ ให้พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ต้องสะสมพลังงานคือปัญญาให้มากๆ รบแล้วถอย รบแล้วถอย จนสุดท้ายกิเลศจะติดกับดักที่เราวางไว้ เมื่อนั้นเราค่อยเข้าตี ก็จะชนะศึกนี้ได้ครับ
โดย
tum_H
อังคาร ส.ค. 30, 2016 7:00 pm
0
6
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ช่วงนี้ผมได้มีโอกาสไปฟังธรรมกับพระอาจารย์สุชาติ ที่วัดญาณสังวราราม ชลบุรี บ่อยๆ เวลานั่งพิจารณาหรือใช้สติปัญญาในการแก้ รู้สึกว่า สักแต่ว่ารู้ แต่พอไปฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์เรื่องเดิม ผลลัพธ์กลับอัศจรรย์ใจมากเลยครับ ท่านว่า เรื่องกามราคะ ก็ใช้ปํญญากำกับและรู้ตามมันไปสิ ความรู้สึกในวันนั้นอัศจรรย์ใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเกิดความสว่างในจิต ทั้งๆที่ในตำรา ก็มีสอน และเป็นสิ่งที่เราเอง ก็รู้อยู่แล้ว แต่ทำไม่ได้ ไม่ใส่ใจ ไม่อยู่ในใจ แต่พอได้ฟังจากครูอาจารย์ กลับมีพลังและเกิดปัญญาขึ้นมารู้ตามและหายสงสัย ซึ่งทำให้ระลึกถึงคำของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ว่า ถ้าเราไม่ได้มีนิสัยปัจเจก ก็ต้องเข้าหาครูอาจารย์ ฝึกเองจะเนิ่นช้าและใช้เวลามากกว่า ตอนนี้ทำให้รู้จริตตัวเองเลยว่า ต้องอาศัยคำแนะนำและหลักใจ จากครูอาจารย์ ถึงจะก้าวหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น ผู้ใดที่หาจริตของตนเองได้พบแล้ว ผู้นั้นก็จะเจอแสงสว่างของจิตที่ตามหาครับ :D
โดย
tum_H
เสาร์ ส.ค. 27, 2016 8:53 am
0
5
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
... อายุนรกนี่นานมาก ถ้าคำนวณจากพระสูตร ก็เป็นหลัก หลายล้านล้านปีครับ อยู่กันยาวๆ เลยทีเดียว ( ...,xxx,xxx,xxx,xxx ปี) เมื่อเทียบสวรรค์ชั้น 6 พระพุทธเจ้าเพิ่งนิพพานไปแค่ 1 วันเองครับ อายุนรก 1 สัญชีพนรก 500 ปี --> 1 วันนรก = 9 ล้านปีมนุษย์ 4,500 ล้านปีมนุษย์ 2 กาฬปุตตะนรก 1,000 ปี --> 1 วันนรก = 36 ล้านปีมนุษย์ 36,000 ล้านปีมนุษย์ 3 สังฆาฏตนรก 2,000 ปี --> 1 วันนรก = 145 ล้านปีมนุษย์ 290,000 ล้านปีมนุษย์ 4 โรรุวนรก 4,000 ปี --> 1 วันนรก = 234 ล้านปีมนุษย์ 936,000 ล้านปีมนุษย์ 5 มหาโรรุวนรก 8,000 ปี --> 1 วันนรก = 9,216 ล้านปีมนุษย์ 73,728,000 ล้านปีมนุษย์ 6 ตาปะมหานรก 16,000 ปี --> 1 วันนรก = 184,212 ล้านปีมนุษย์ 2,947,392,000 ล้านปีมนุษย์ 7 มหาตาปะนรก 1/2 กัป --> ไม่มีการแจ้งไว้ นับไม่ 8 อเวจีมหานรก 1 กัป --> ไม่มีการแจ้งไว้นับไม่ได้ 9 พิเศษ โลกันตนรก ไม่มีอายุ --> เป็นการทำบาปที่พิเศษที่สุด ไม่มีระบุในตารา เสร็จจากนี้ต้องไปต่อที่ขุมอเวจีมหานรกต่อไป อายุสวรรค์ 1. ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์ (500 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 50ปีมนุษย์ ) 2. ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์ (1,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 100ปีมนุษย์ ) 3. ชั้นยามา เท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์ (2,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 200ปีมนุษย์ ) 4. ชั้น ดุสิต เท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์ (4,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 400ปีมนุษย์ ) 5. ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์ (8,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 800ปีมนุษย์ ) 6. ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์ (16,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 1,600ปีมนุษย์ )
โดย
tum_H
เสาร์ ก.ค. 02, 2016 9:21 pm
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ท่านว่าตอนว่างๆตอนไหนก็ได้ ให้พิจารณาไม่ใช่แค่เกสา -ตโจเท่านั้น พิจารณาอาการ32 หรือพิจารณาอะไรก็ได้ในร่างกายเรา อย่าให้เกินกายออกไป การพิจารณาเค้าพิจารณากันอย่างนี้คือ(เผื่อคนที่ไม่ทราบนะครับ) ขออนุโมทนากับพี่ cobain ด้วยนะครับ ตั้งแต่ผมติดตามอ่านมา ธรรมของพี่ cobain ละเอียดและลึกซึ้งขึ้นมาก เป็นธรรมที่นุ่มนวลและละเมียดละไมยิ่งขึ้น แสดงถึงภูมิจิต ภูมิธรรมของผู้ที่หวังซึ่งคุณเบื้องสูง ได้อย่างชัดแจ้ง แม้จะไม่ค่อยได้มาโพสล์ แต่นานๆถี่ได้ ยิ่งดีนะครับ ผมสงสัยเรื่องการพิจารณาอาการ 32 มานานล่ะ อยากจะถามพระอาจารย์ ก็กระดากปาก ครั้งนี้ได้รับอนุเคราะห์จากพี่ พอทำให้ได้เห็นวิธีการและหลักวิธีขึ้นมาให้กระจ่างกับใจตน เนื่องจากปัจจุบันผมใช้ความเจ็บป่วยของร่างกาย หยิบมาพิจารณาแทน ไม่ได้ลงลึกถึงรากเหง้าของอาการ 32 เช่น เท้าเป็นแผล เจ็บท้อง ผื่นคัน ปวดฟัน ก็เอาอาการนั้นมาพิจารณา ให้เห็นความไม่เที่ยง ลดความยึดมั่นถือมั่นในกาย พอให้มีสติระลึกรู้ถึงโทษของการเกิด ครั้งหน้าคงได้ใช้วิธีนี้ เหมือนการพิจารณารากเหง้าของอาหารเช่นกันครับ ขอบคุณ และขออนุโมทนากับพี่ cobain_vi และพี่ tum_H ด้วยนะครับ สำหรับความรู้ ความแบ่งปัน และความปรารถนาดี หามิได้ครับ ผมเองก็ได้อาศัยจากพี่ทั้งสอง เพื่อเอามาฝึกตนเช่นกันครับ การได้รับฟังจากผู้ที่ปฏิบัติมาแล้ว จะทำให้เรามีกำลังใจฮึกเหิม บางทีเริ่มท้อ มาอ่านการฝึกของคนอื่น กำลังก็เกิด ไปนั่งสมาธิก็รู้สึกว่าเบิกบานใจ ที่ได้เห็นผู้คนรอบข้างหวังคุณเบื้องสูงเหมือนกับเรา การมีสหมิกธรรม ในฝ่ายของคฤหัสถ์นั้น เป็นสิ่งประเสริฐโดยแท้ เพราะสามารถปรึกษาหารือกันได้ง่ายและคล่องตัวกว่า การจะไปถามอาจารย์บางทีก็ไม่กล้า นอกจากหนักจริงๆ แต่กับสหมิกธรรมนั้น ง่ายๆกว่ามากๆ เพราะสภาวธรรมใกล้เคียงกัน ยังคงเสพกามเหมือนกัน แตกต่างกันตรงที่ใครหยาบหรือละเอียดกว่า ผู้ที่หวังซึ่งคุณเบื้องสูง ย่อมถอยตัวออกห่าง จากการเป็นนายช่างผูกเรือนครับ
โดย
tum_H
เสาร์ พ.ค. 07, 2016 9:18 am
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
-ภาวนามาถึงจุดนึงจะมีผู้รู้แยกออกตลอดเวลา รูปธรรมนามธรรมออกอยู่ห่างๆเหมือนมีอีกคนเป็นผู้รู้ผู้มองผู้เห็นแทบจะตลอดเวลา กิเลสก็ส่วนกิเลสเห็นมันทำงานตลอดแต่ปัญญาไม่แก่กล้าพอที่จะทำลายมัน มันจะทำให้เราเผลอออกนอก มันจะคอยสั่งเราให้เราคิดตลอด มันจะเสียดแทงให้เรารำคาญใจ มันจะทำให้เราทุกข์ ทำให้เราฟุ้งซ่าน ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมบ้าง ผมอ่าน ที่พี่ cobain เขียนครั้งนี้หลายรอบเลย ธรรมที่พุ่งออกมาอย่างกับน้ำพุเป็นแบบนี้จริงๆ ถึงใจดีแท้ อนุโมทนาด้วยครับ ตอนนี้เห็นทั้งสุขและทุกข์ ยังล้มบ้าง พลาดบ้าง แต่ก็เห็นปลายทาง ทางสายนี้ขวากหนามเยอะ แต่จิตที่ถูกฝึกจะค่อยๆพัฒนาไปเรื่อย เมื่อตาในคือตัวรู้เกิดขึ้น คุณวิเศษบังเกิด ความรู้ตาม จนรู้แจ้ง จิตสว่างไสวเพราะได้รู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว ก็จะสิ้นภพสิ้นชาติกันเสียที แต่อย่างที่หลวงปู่มั่นท่านว่าไว้ “ฐีติภูตัง” การจะเอาชนะจิตดั้งเดิม ไม่ใช่ของง่าย เพราะครอบงำเรามานับภพนับชาติไม่ได้ หากอยากหลุดพ้นก็ต้องลงมือทำ ความเพียรมาก ความเพียรน้อยต่างกันไปตามนิสัยวาสนา เหมือนพระอรหันต์ 4 ประเภท ดับกิเลสได้เหมือนกัน แต่นิสัยวาสนาไม่เหมือนกัน แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ก็ยังบำเพ็ญเพียรได้ถึง 3 ระดับ แล้วแต่ความวิริยะและการสั่งสมบุญ แต่ไม่ว่าแบบใด ก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นกัน สมัยพุทธกาล อุบาสิกา ผู้อุปถัมภ์พระสงฆ์ 500 รูปจนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะอาศัยคุณธรรมขั้นสูงของตน คือความเป็นพระอนาคามี สอดส่องดูจิตของพระสงฆ์ และทำการอุปถากตามที่ท่านต้องการ จนท่านเหล่านั้นมีกำลังใจเต็ม สามารถบำเพ็ญเพียรจนดับกิเลสให้ขาดสะบั้นได้ แม้แต่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ก็ยังได้อาศัยการอุปถากจากตาปะขาว ที่สำเร็จคุณธรรมขั้นสูงคือความเป็นพระอนาคามี ที่รู้วาระจิตและมารอรับท่าน เพื่ออุปถาก จนหลวงปู่ชอบท่านเกิดความสลดสังเวชใจ ที่ผู้ห่มผ้ากาสายะ ยังไม่ได้คุณธรรมขั้นใดเลย อาศัยตาปะขาว เป็นเครื่องเร่งความเพียร จนสามารถตัดภพชาติเหลือการเกิดอีกแค่ 7 ชาติได้ ในครั้งนั้น หลวงพ่อพุธ ท่านกล่าวไว้ว่า จุดยืนของชาวพุทธ บทสวดมนต์อยู่ที่พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เมตตาพรหมวิหาร อย่าไปไขว่คว้าอะไรให้มันมากนัก และหลวงตามหาบัวท่านกล่าวว่า ท่านผู้ใดสำคัญตน ว่าเป็นพระโสดาบัน คนนั้นไม่ใช่ ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ คนนั้นไม่ใช่ เพราะความเป็นพระอรหันต์ มันอยู่เหนือสมมุติบัญญัติ ผู้สำเร็จแล้ว จะรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวหมดกิเลสแล้วเท่านั้นแล
โดย
tum_H
ศุกร์ พ.ค. 06, 2016 8:39 pm
0
6
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
อนุโมทนา กับคำแนะนำของ คุณ Picatos และ คุณ Tum ด้วยครับ ปล. ผมน่าจะเป็น broker นะ เพราะนิยมขอ com กับ อานิสงค์ของคนอื่นเรื่อยเลย ที่จริง คุณพี่เด็กใหม่ไฟแรง เป็นผู้ที่เหมาะสมกับหัวข้อนี้มากที่สุดเลยนะครับ เพราะสามารถสำเร็จได้ทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นผู้ทำในสิ่งที่พึงกระทำทำได้อย่างยากยิ่ง หากพอมีเวลารบกวนช่วยแนะนำแนวทางในการฝึกตนด้วยนะครับ ขอบพระคุณครับ
โดย
tum_H
อาทิตย์ พ.ค. 01, 2016 8:15 pm
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
หากย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของการเปิดบทสนทนาในหัวข้อนี้ คุณเด็กใหม่ไฟแรง ตั้งหัวข้อนี้ขึ้นครั้งแรกด้วยปัญหาในการใช้ชีวิตทางธรรมกับการลงทุน ที่จริงหลังๆมาเนี่ย ผมไม่ค่อยได้พูดถึงการลงทุนเอาเสียเลย คงเป็นเพราะว่าเมื่อเทียบผลการลงทุนกับการฝึกหัดปฏิบัติหลักใจ ผมพบว่าอย่างหลังนี้ จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า (โดยผมวัดจากความสงบสุขของใจนะครับ) ส่วนการลงทุนในหุ้นก็ให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ พอเลี้ยงตัวเองได้ ต่างจากอดีตเป็นอย่างมาก ที่เป้าหมายในการลงทุนไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนพี่ picatos กล่าวไว้ ว่า เห็นคนอื่นแซงหน้าแล้วมันก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะคอยเอาไปเปรียบเทียบและวิ่งตามคนอื่นเขา แต่พอเข้าหาทางธรรม ความคิดเหล่านั้นเริ่มเปลี่ยน จนหลังๆมา เริ่มที่จะพยายามลดการลงทุนในหุ้น แล้วโยกเงินไปลงทุนในอย่างอื่นบ้าง บางครั้งนั่งคิดว่า เราควรจะเลิกลงทุนไปเลย จะได้ไม่ต้องมาคอยหาข้อมูล พะวงในเรื่องการลงทุน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า หากเราไม่ลงทุน เราจะเอาที่ไหนมาใช้จ่าย เพราะไม่มีความสามารถที่จะไปหาธุรกิจในการสร้างรายได้ให้ดีกว่านี้ ซึ่งพูดง่ายๆก็คือไม่อยากทำงาน แต่ยังอยากมีเงินใช้อยู่นั่นเอง เมื่อก่อนลงหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็เริ่มกระจายความเสี่ยง มาอยู่ในรูปแบบเงินฝากประจำบ้าง และประกันชีวิตบ้าง เพื่อที่จะได้มีรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผล สำรองไว้กรณีที่หุ้นให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่อาจต่ำกว่าคาดหมาย อีกทั้งหากออกจากงาน เรื่องค่ารักษาพยาบาล ก็ต้องหาประกันสุขภาพ ป้องกันความเสี่ยง ในกรณีที่อาจเจอโรคที่ต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลสูง ผมอ่านบทความของ ดร.นิเวศ เกี่ยวกับการลงทุนแนว MF รู้สึกว่า ตอนนี้ตนเองใช้แนวนี้ไปแล้ว เพราะตอนนี้รู้ว่า ตัวเองเริ่มมีความจำกัดในการรับความเสี่ยงมากขึ้นและอยากใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการปฏิบัติธรรม จึงเน้นรูปแบบของความมั่นคงแทน เพราะหากเราออกจากงานแล้ว รายได้จะมาจากการลงทุนคือปันผลอย่างเดียว ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก คงเป็นเพราะอายุและความคิดที่เปลี่ยนไป ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นไปแล้วครับ ความสงบของจิต จากการได้น้อมธรรมเข้ามาในใจ มันทำให้ผมตัดความอยากรวยมากๆ ออกไปจากใจตนได้ หากมี ร้อยล้าน พันล้าน เราอาจจะไม่สนใจหรือติดในทรัพย์นั้น แต่บางทีอาจสร้างทุกข์ให้กับคนรอบข้างของเราแทนก็ได้ สุดท้ายเลยแค่ขอพอมีพอใช้ พอมีให้ทำทาน รักษาตัวและครอบครัว ให้อยู่อย่างไม่ลำบากกายมากนัก ก็รู้สึกว่ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูกแล้วครับ สิ่งที่เราคิด กับความเป็นจริงนั้น ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นจากเพื่อนๆหลายคนในที่นี้ ก็จะพบว่า หากเราเริ่มลงมือทำ แล้วค่อยๆทำอย่างต่อเนื่องโดยใช้สติปัญญากำกับ เป้าหมายก็อยู่ไม่ไกลเกินกว่าที่เราจะคว้ามาได้จริงๆครับ สรุปว่า ธรรมะ ที่เราฝึกปฏิบัติอยู่ ช่วยน้อมให้เรารู้จักพอในการลงทุนครับ
โดย
tum_H
อาทิตย์ พ.ค. 01, 2016 9:43 am
0
5
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
อะไรที่ POST ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ ก็เก็บไว้ ถ้าไม่มีประโยชน์ก็โยนทิ้งเสีย และอย่าเพิ่งเชื่อ ตามหลักกาลามาสูตร 10 ครับ ขอบคุณเช่นกันครับ เห็นด้วยครับ ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น รู้ได้เฉพาะตน ทำแทนกันไม่ได้ ใครทำ ผู้นั้นย่อมได้ผลเอง ข้อมูลต่างๆที่ได้มาก็ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา เปรียบดังบัว 4 เหล่า ม้า 4 จำพวก ดังสมัยพุทธกาลที่มีคนมาฟ้องพระพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตร ไม่เชื่อคำสอนของพระองค์ เมื่อได้ทรงมีพุทธดำรัสตรัสถาม พระสารีบุตร ก็ยืนยันว่า หากยังไม่ได้ลองปฏิบัติจนเห็นผลจริง ก็ไม่เชื่อ พระศาสดาจึงทรงรับรองพระสารีบุตร ด้วยสาธุการ แต่เราจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้ที่มีปัญญามากอย่างท่านพระสารีบุตรก็หาได้ไม่ เพียงแต่พอเป็นอุบายให้รู้จักใช้ปัญญาในการพิจารณาสภาวะธรรมะของตน การฝึกสมาธิ ฝึกจิตก็เหมือนกัน บางคนฝึกแล้ว จิตไม่สว่างไสว ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเหมือนคนอื่นเขา ได้แต่ความสงบของจิตเป็นบางครั้งบางคราว ก็อย่าคิดว่าทำแล้วสูญเปล่า ทำแล้วไม่สัมฤทธิ์ผล ทำแล้วไม่ได้อะไร แต่ความเป็นจริงแล้ว การฝึกจิตนั้น มีแต่จะเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ไม่มีถอยหลัง กล่าวคือ จิตที่ถูกฝึกให้พัฒนาแล้ว สะสมไว้วันละเล็กวันละน้อย จะสะสมกันไปทุกภพทุกชาติ จนสุดท้ายก็จะลดทอนการเกิดให้เหลือน้อยลง จนไปนิพพานในที่สุด บางครั้งตอน ยืน เดิน นั่งเล่น ไม่ได้ทำสมาธิหรือนั่งสมาธิแต่อย่างใดเลย อยู่ดีๆ จิตก็รวมลง นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ในขณะที่กำลังเดินเล่น นั่งเล่น ก็เพราะผลจากการฝึกจิตอย่างต่อเนื่องที่สะสมมา ได้ส่งผลให้เกิดสมาธิโดยฉับพลันนั่นเอง ผิดกับ ศีล และทาน ที่หากทำในชาตินี้ ก็จะได้เสวยผลในชาติถัดไป แต่หากไม่ทำ หรือ หยุดทำ เมื่อผลของบุญนั้นหมด ก็จะไม่ได้รับผลของบุญนั้นเลย ผิดกับการฝึกจิต ย่อมได้รับผลเจริญก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ไม่มีหมดหรือเสื่อมถอยเลย ด้วยประการ ฉะนี้แล
โดย
tum_H
พุธ เม.ย. 13, 2016 7:38 pm
0
7
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เปรียบเทียบการระงับทุขเวทนา ของพระสาวก กับ พระศาสดา ครับ อธิวาสนขันติระงับทุกขเวทนา (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) นอกจากนี้อธิวาสนขันติ ขันติคือความรับไว้ได้ ยับยั้งไว้ได้ต้านทานไว้ได้นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ยังได้ทรงใช้และได้ใช้ ระงับทุกขเวทนา ระงับอาพาธที่บังเกิดขึ้นในโอกาสต่างๆ อีกด้วย ดังที่ได้มีแสดงไว้ในพุทธประวัติ ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประชวรด้วยโรคาพาธ มีทุกขเวทนาแม้แรงกล้า แต่ก็ทรงระงับได้ด้วยอธิวาสนขันติดังกล่าว และเพราะ เหตุที่พระอธิวาสนขันติของพระองค์ นั้นมีพลังที่แรงกล้า จึงสามารถระงับทุกขเวทนา ระงับอาพาธนั้นๆ ได้ ปรากฏว่าได้ทรงระงับทุกขเวทนา และอาพาธต่างๆ ด้วยอธิวาสนขันตินี้มากครั้ง แต่ในบางครั้งก็โปรดให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ถวายโอสถรักษา พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) "..คืนวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น. อากาศก็เริ่มร้อน อาตมามีอาการปวดท้องอย่างหนัก มีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมมาทุกคราวโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น ๓-๔ เท่า เนื่องจากต้องนั่งเครียดทั้งวันและมีการพูดตลอดเวลาที่รับแขก ต้องใช้ขันติอย่างหนัก ถ้าถามว่า "ใช้ได้อย่างไร" ก็ขอตอบว่า "ใช้ได้เท่าที่พึงจะใช้ได้ ถ้าเกินวิสัยจริงๆ ก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน" ดูอย่างท่าน พระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก ทั้งปวดทั้งเสียด อึดอัดทนไม่ไหว ท่านจึงคิดในใจว่าเวลานี้เราเสื่อมจากความดีแล้วหรือ จึงให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จมาท่านจะลุกมาจากที่นอน พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควร" ท่านก็กราบทูลพระองค์ว่า "เวลานี้ทุกขเวทนาหนักพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหว" พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือ" หมายถึงใช้อานาปานุสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว ท่านก็กราบทูลว่า "ทนไม่ไหวพระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่ ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้ว" พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า "อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ" ท่านก็ตอบว่า "ไม่ใช่พระเจ้าข้า" พระองค์ถามว่า "หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกาย" พระอัสสชิก็ตอบว่า "ไม่ใช่พระเจ้าข้า" ก็รวมความว่า ท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อท่านตอบอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่"? หลังจากนั้นเมื่อพระอัสสชิพบองค์สมเด็จพระบรมครูแล้วไม่นานก็นิพพาน แสดงให้เห็นว่าขึ้นชื่อว่า ขันติ มันจะทนได้ก็แค่พอจะทนไหว ถ้าเกินกำลังเมื่อไร อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าท่านเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างเป็นแบบฉบับของพระอรหันต์ ฉะนั้นการเป็นอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความเข้มแข็งมาก
โดย
tum_H
จันทร์ เม.ย. 04, 2016 7:43 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
มุตโตทัย ครับพี่กุ๊ก ไม่ใช่ มุติโตทัย ภาษาบาลีจะเป็น มุตฺโตทัย ปล กำลังตามอ่านและเรียนจากพี่ และพี่ตี่ อยู่ครับ :D ขออภัยด้วยครับ พิมพ์ผิดจริงๆ
โดย
tum_H
จันทร์ เม.ย. 04, 2016 6:31 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ยิ่งวัน ผมจึงยิ่งให้ความสำคัญของการวิเวก การไม่คลุกคลีหมู่คณะ การสำรวมคำพูดมากยิ่งขึ้นๆ เพราะ ทุกครั้งที่ออกไปพูดคุย ไปกระทบอารมณ์กับคนอื่น ยิ่งเห็นความน่าเกลียดอัปลักษณ์ของตัวเอง ทุกข์โทษจากล่วงคำพูดและการกระทำที่กระทบกับคนอื่น ทั้งจากกิเลสที่รู้ตัวและความไม่รู้ชัดในสิ่งต่างๆ เห็นจริงด้วยอย่างยิ่งครับ พูดผิดครั้งหนึ่ง ถือว่าพลาดไปทั้งภพนี้ละภพหน้าเลยครับ เพราะแก้คืนไม่ได้เลย พระศาสดาจึงทรงสรรเสริญ ผู้ที่ถือสันโดษ เมื่อก่อนก็สงสัยว่า ทำไมพระถึงหนีเข้าป่า เพราะยังฝึกตนไม่ดีพอ สอนโลกไม่ได้ ต่อเมื่อฝึกตนดีพอแล้ว จึงสอนโลกได้ กามราคะก็เหมือนกัน อยู่ในป่ามันกลัวผี กลัวสัตว์ร้าย อยู่ที่บ้านมันพาเราลงต่ำได้ตลอดเวลาเพราะไม่รู้จักฝึกตน สำหรับธรรมะที่ผมชอบฟัง ชอบอ่าน ก็คล้ายๆพี่ picatos ครับแต่หลังๆมานี่ เน้นการฟังมากกว่าตามความสะดวกสบาย ของโลกในปัจจุบัน ชอบมากสุดนี่เห็นจะเป็นชาดก ส่วนที่ฟังบ่อยๆ จะฟังเรื่อง “มุติโตทัย” ของท่านพระอาจารย์มั่น(เสียงอ่านของพระอาจารย์สุดใจ วัดป่าบ้านตาด รจนาโดยหลวงตา(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ)) ซึ่งฟังกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อ ผมคิดว่าน่าจะเกินพันรอบล่ะมังครับ น้องๆที่ออฟฟิตถามว่า พี่เปิดธรรมะฟังเวลาขับรถ ไม่ง่วงนอนหรือ ผมได้แต่อมยิ้ม..
โดย
tum_H
อาทิตย์ เม.ย. 03, 2016 11:19 am
0
3
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เมื่อก่อนผมก็รู้สึกสงสัยว่าทำไม อวิชา ถึงเป็นตัวสุดท้ายที่ยากสุด แต่พอได้ใช้ชิวิตในการทำงาน พบปะผู้คน รวมทั้งดูจิตของตน มันทำให้เรารู้ว่า สิ่งนี้ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น จนนำไปซึ่งความหลงผิด กล่าวคือรู้สักแต่ว่ารู้ รู้ไม่จริง ทำให้ความไม่รู้เหล่านี้ หลอกให้เราหลงว่าคือความรู้ เข้าใจผิดจนถึงกระทั่ง บางครั้งเห็นหลายๆคนเข้าวัด ปฏิบัติธรรมอยู่เนื่องๆ แต่ทำไมหลังออกจากการปฏิบัติ ก็ยังกลับมาเหมือนเดิมอยู่เลย แต่ความเป็นจริงตามหลักของพระศาสดา พระโสดาบัน ยังอยากสวย อยากรวย อยากมีคู่ครอง แต่เป็นความอยากภายใต้ขอบเขตของศีล ที่คนทั่วไปทำไม่ได้ หลังๆความคิดเลยเปลี่ยน มองคนแต่ภายนอก การแต่งกาย การใช้ชีวิตนี่ไม่ได้เลย เพราะบางคนที่เป็นแบบที่เรากล่าวมานี่ คุณธรรมของเขาสูงกว่าเราหลายเท่านัก บางครั้งเห็นพระอาจารย์บางท่าน ที่ท่านใช้คำพูดแรง ภาษาพ่อขุน หรือดูเหมือนจะเป็นผู้นำ ทำในสิ่งที่เราคิดว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ บางคนถึงขั้นพูดว่าได้เสื่อมจากความเป็นอรหันต์ไปเสียแล้ว แต่จริงๆแล้ว ความคิดของเรานั้นเองที่ถูกหลอก จากสิ่งข้างต้นที่ผมกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า อุปนิสัยของเดิมที่สั่งสมมา จะติดตัวเรามาทุกชาติ แก้ยาก มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่แก้ได้ แต่ไม่มีประโยชน์อันดันที่จะแก้อุปนิสัยนี้ เพราะความเป็นอรหันต์ได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีทางเสื่อม กล่าวคือคุณความดีของความเป็นอรหันต์ เทียบไม่ได้เลยกับอุปนิสัยดั้งเดิม ตัวอย่างจากพระบาลีหลายๆเรื่อง อย่างเช่น พระบางคน บวชแล้วสึกๆ จนสุดท้ายครั้งที่ 7 ที่บวชก็ได้ความเป็นอรหันต์ , หรือ ภิกษุณีซึ่งได้อรหัตผลแล้ว ถูกพื่อนที่เป็นคฤหัสถ์ใช้ให้หยิบของให้ด้วยความไม่รู้ ผลของกรรมเพียงแค่นี้ ทำให้เพื่อนของภิษุณีต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรฉาน , หรือ เวียนเทียนอยู่ น้ำหมากของพระอรหันต์ปลิวมาโดนเราไม่รู้ว่าของใคร พลั้งปากด่าว่า หญิงแพศยาคนไหนมาทำให้เสื้อของเราเปื้อน ตายไปก็ต้องตกมหานรก และกลับมาเกิดเป็นโสเภณีอีก 500 ชาติ , หรือ เณรน้อยเพิ่งบวชใหม่ พระเถระเอ็นดูเลยพากันลูบหัวเณรน้อย พระพุทธเจ้าทรงเตือนว่าพวกเธอได้ทำกรรมหนัก กับพระมหาเถระเสียแล้ว , หรือ พระเถระผู้เป็นอาจารย์ มีสัทธิวิหาริก เป็นจำนวนมาก ศิษย์ท่านล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ แต่ตัวท่านเองกลับยังไม่บรรลุคุณธรรมขั้นใดเลย , หรือ ชฎิล 3 พี่น้อง บวชแล้ว ลูกศิษย์เป็นอันมากก็บวชตาม อาจารย์ไปไหนก็เฮกันไป ตามอาจารย์ไปทุกที่ , หรือ ปุถุชนซึ่งเป็นพระโสดาบัน นิมนต์พระมาถวายทานที่บ้าน แต่พอรู้ว่าพระไม่มีศีล ก็ยังถวายทานอันประณีตนั้นอยู่เพราะได้นิมนต์แล้ว แต่เมื่อพระผู้ไม่มีศีลมาขอให้ถวายทานอีก ท่านก็ขับไล่ ไม่ให้เกรียติพระองค์นั้นเหมือนตอนแรก เป็นต้น พระโสดาบัน ไม่อาจเห็นความเป็นอรหัต์ของพระอรหัน เช่นเดียวกับปุถุชนผู้ไม่มีศีล ย่อมไม่เห็นความเป็นอริยะของพระโสดาบัน ผู้ที่ไม่เคยรักษาศีลแม้สักครั้งในชีวิต ย่อมเทียบไม่ได้กับผู้ที่เคยรักษาศีลแม้ครั้งเดียวในชีวิตดังนั้นแล
โดย
tum_H
อาทิตย์ เม.ย. 03, 2016 9:19 am
0
4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
อนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยนะครับ ทุกครั้งที่เข้ามาอ่าน ได้เห็นความตั้งใจของทุกคน เห็นพัฒนาการที่น่าชึ่นชม ก็ทำให้ตัวเองมีกำลังใจในการเดินในเส้นทางนี้มากขึ้นครับ ได้เห็นท่านอาจารย์โพสรูปใน face book เกี่ยวกับการเตือนสติเรื่องกายคตานุสติ และ มรณานุสติ แล้วทำให้นึกถึง พระบาลีเกี่ยวกับนางวิสาขา นางวิสาขาผู้ทำบุญแต่หนหลังมาเป็นอันมาก พร้อมทั้งขอพรให้มีรูปสวยไปตลอดชีวิต พรนั้นได้มาบังเกิดผลในพุทธสมัยของพระสมณะโคดมพุทธเจ้าของเรานี่เอง นางวิสาขามีลูก หลาน เหลน เยอะมาก ล้วนมีรูปร่างหน้าตาสวยงามทั้งนั้น ด้วยพรนั้น นางวิสาขาแม้จะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสวยงามเหมือนวัยรุ่น กล่าวคือความสวยไม่เปลี่ยนแปลงเลย ครั้งหนึ่งพระเจ้าพิมพิสาร(ถ้าจำไม่ผิด) อยากรู้ว่านางวิสาขานั่งอยู่ตรงไหนของโบสถ์ เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่วัยรุ่น ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามเต็มไปหมด(ลูกหลานนางวิสาขา) เลยทูลถามพระพุทธองค์ สมเด็จพระผู้พิชิตมารทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วทรงบอกให้พระเจ้าพิมพิสารคอยดูตอนที่ทุกคนกำลังจะกลับบ้าน เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเสร็จ บรรดาคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่ในโบสถ์ ก็พากันลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ ยกเว้นนางวิสาขา เพียงคนเดียวที่ต้องให้ลูกหลาน ช่วยคอยพยุงให้ลุกขึ้น เพราะไม่สามารถลุกขึ้นด้วยตนเอง เพราะความชรานั้น อย่างที่ท่านอาจารย์พูดไว้ใน face book นั้น ถูกต้องที่สุดเลยครับว่า ไม่มีผู้ใดสามารถฝืนสังขารไปได้เลยครับ
โดย
tum_H
อาทิตย์ มี.ค. 20, 2016 10:44 am
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
คุณ tumHไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเดียวกับผมเลย ไม่รู้ว่าเคยเจอผ่านๆตามาบ้างหรือป่าว ถ้าเจอก็มาทักทักทายได้นะครับ ตอนนี้ผมอยู่ไร่ สวัดีครับพี่ cobain_vi ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ผมอ่านเรื่องการฝึกของพี่ทีไร ทำให้ผมต้องหันกลับมามองดูตัวเองว่า โอหนอ เราเองก็ต้องพยายามเอาดีให้ได้ เหมือนอย่างพี่เขาสักวัน เรื่องนี้ไปเล่าให้พระอาจารย์ฟังเกี่ยวกับการฝึกปฏิบัติ ท่านว่า เมื่อได้ปฏิบัติแล้ว พอได้เห็น ก็จะเกิดอาการอยากเล่า อยากคุย เราก็เป็นเหมือนกัน ผมนี้ตัวชา นั่งเกร็งเลยครับ เพราะมันคือเรื่องจริง ท่านว่า เรื่องแบบนี้คุยกับคนที่ยังไม่ปฏิบัติไม่ได้หรอก เพราะไปคนละทาง พูดกันไม่รู้เรื่อง (ถึงแม้จะยังลุ่มๆดอนๆ ก็อยากเล่า เพราะมันได้ประสบกับตัวเอง เล่าให้น้องๆที่อ๊อฟฟิต ฟัง ทุกคนนั่งเงียบกริบ) ก่อนจะได้ไปพบพระอาจารย์เมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อนผมที่ขอนแก่นเป็นคนแนะนำ เพราะชอบแนวทางนี้เหมือนกัน แค่คุยกันในไลน์ เพื่อนนำมาเล่านี่ ขนลุกซู่เลย เพราะเพื่อนบอกว่า ความเจ็บปวด ทรมานในกาย ขณะปฏิบัติ มันเป็นแค่ความรู้สึก เราแค่จินตนาการไปเอง ท่านว่า อืม ดูท่านผู้ฝึกตนดีแล้วสิครับ ท่านก้าวข้ามจนกลายเป็นแค่ความรู้สึกไปล่ะ ผมเองมีอาการแบบเดียวกับพี่ คือไม่กล้าถาม เพราะกลัวเหมือนกัน เพราะพระอริยะท่านภูมิธรรมและอุปนิสัยแตกต่างกันไปจริงๆครับ ผมเลยถามจากท่านที่ทรงภูมิในระดับอนุบาลก่อน ระดับประถม มัธยม จนถึงมหาลัย เนี่ย แค่ไปทำบุญและกราบนมัสการ ฟังธรรม หากติดแบบหลายๆปีแก้ไม่ตก จึงจะกล้าถาม ส่วนหนึ่งรู้สึกระอายด้วยล่ะครับ เพราะปริยัติก็พอรู้ แต่ปฏิบัติยังไม่ไปไหน ท่านพูดเรื่องอะไรมาก็เข้าใจ แต่ติดที่ยังทำไม่ได้ ไปถามก็อายท่าน เพราะยังไม่ฝึกตน มีแต่ถาม เหมือนใบลานเปล่า เดือนที่แล้วที่ได้ขึ้นไปทำบุญที่อุดร ขอนแก่น ถือว่ามีบุญมาก เพราะเป็นโอกาสในการเปิดโลกธรรมให้กับใจตน ได้กราบนมัสการ ครูอาจารย์ที่ท่านเป็นผู้ฝึกตนดีแล้ว ส่วนใหญ่พระปฏิบัติดีมีไม่น้อยเลยนะครับ แต่ท่านไม่เปิดตัว ตัวเราไม่รู้ โลกของเราจึงแคบ นี่ขนาดเพื่อนบอกว่า ท่านอาจารย์ผู้นี้สำเร็จระดับอนุบาลแล้ว แม้เพียงได้เห็นกิริยาอาการ อันสงบสำรวม และการนุ่งห่มผ้าก่อนการเทศนาอย่างเต็มยศ แค่ได้เห็นเพียงแค่นี้ หัวใจแทบหยุดเต้นเลยครับ เพราะก่อนการแสดงธรรม ท่านได้เตรียมทุกอย่างให้เหมาะสม สมกับธรรมที่เป็นของสูง เวลาก่อนเทศนาก็ยังงดงามขนาดนี้ และเวลาแสดงธรรม เหมือนจะรู้ว่าเราจะมุ่งไปทางไหน ท่านก็เน้นไปที่จุดนั้นเลย นั่งฟังไปหน้าแดงไป จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาเป็นกอง คิดในใจ นี่แหละหนอ ศิษย์ของพระตถาคตเจ้า ผู้ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นแบบนี้นี่เอง
โดย
tum_H
เสาร์ มี.ค. 19, 2016 4:20 pm
0
2
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
เมื่อก่อนผมเป็นผู้ที่ยังหลงหนักมาก ตอนนี้ก็ยังหลงอยู่ พระอรหัน ที่มีจิตเหนือสังขาร ไม่มีอารมณ์รำคาญ ไม่หลงไม่ลืม มีเพียงพระองค์เดียวคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระบาลีกล่าวว่า ด้วยผลของกรรมเก่าทำให้ท่านพระอัสสชิเถระ ป่วยได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมจึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า คุณความดีของข้าพระพุทธเจ้าเสื่อมแล้วหรือ เหตุใดถึงได้รับเวทนาแสนสาหัสจนระงับไม่ได้ พระองค์ตรัสถามว่า เธอยังเห็นว่าเธอมีในกาย กายนี้เป็นของเธออยู่หรือไม่ , ไม่ พระเจ้าข้า พระอัสสชิเถระตอบ หากเธอยังมีสติระลึกอยู่อย่างนี้ คุณความดีของเธอไม่มีทางเสื่อม พระศาสดาทรงรับรองก่อนที่พระอัสสชิเถระจะนิพพานในคราวนั้น กามราคะ ก็เช่นกัน ล้วนถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากสังขารนี้ หลวงปู่มั่นท่านว่า เมื่อตาแลไปเห็นกาย ทำให้จิตใจกำเริบ ใจก็สั่งให้กายทำตามความต้องการ อันเป็นกามราคะ คือความปรารถนาที่ไม่รู้จักพอ หลวงพ่อพุธท่านกล่าวว่า คนเรานี่แปลก ถ้าไม่มีกาย ก็คิดไม่เป็น กามราคะ จึงเป็นหนึ่งในส่วนที่สุดใน 2 อย่างที่พระศาสดาตรัสว่า เป็นสิ่งบรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนตัวผมเอง สติเริ่มมีพัฒนาการเรื่องนี้เมื่อประมาณปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี้เอง อาจเป็นเพราะว่าได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเวทนากับจิตขึ้นมากับตัว (ผมเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาทุกคน จะได้เจอกับเวทนานั้นกับตัวเอง) ผมพบว่ากายนี้เป็นของสกปรกน่ารังเกียจ ผู้คนรอบข้างถูกห่อหุ้มด้วยความสกปรกน่ารังเกียจเหล่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเรารังเกียจนะครับ แต่เป็นเวทนาที่เกิดขึ้น คนไม่สวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ คนสวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ คนรวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ คนจนก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ เหตุใดจึงเกิดอารมณ์นั้น นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่เราได้เจอสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดและไม่มีที่ติ กลับมีที่ติ อารมณ์ของเราจะน้อมให้เกิดปัญญาว่า มีแต่ความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ ทั้งเราและเขา อสุภจะเกิดขึ้นกับจิต เห็นภาพของการเสื่อมไปของร่างกาย เมื่อไม่ทำความสะอาด ก็สกปรก ถึงแม้เมื่อสะอาดดีแล้ว แต่ถ้าอาการ 32 หลุดร่วงไปในอาหารก็รังเกียจ สกปรก เททิ้ง กินไม่ได้ แม้ตายไปก็เน่าเหม็น ต้องหามเอาไปทิ้ง อยู่ด้วยกันไม่ได้และเป็นทุกข์ ลามไปจนถึงอาหารที่เรากิน จิตจะตามไประลึกรู้ถึงต้นกำเนิดของอาหารนั้น ที่ทุกอย่างล้วนมาจากรากเหง้าแห่งความสกปรก แต่เราผู้มองด้วยตานอก ว่าเป็นของสะอาด น่ากิน เวทนาที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เรารังเกียจคนที่เรารัก แต่ปัญญานั้นทำให้เราเห็นทุกข์ของการเกิด เมื่อเห็นทุกข์ ความยึดมั่นถือมั่นในกายก็ลดลง การกำเริบของราคะก็เบาบางลง เพราะว่าได้เห็นและรู้ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว สรุปก็คือผมได้ในสิ่งที่ดีที่สุดที่คนจำนวนมากคิดและปรารถนา แต่เมื่อได้มา มันกลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีกว่าสิ่งที่เราได้มาในครั้งนั้นแล้ว อาการกำเริบของราคะ จึงพอระงับได้ด้วยปัญญานี้ครับ
โดย
tum_H
เสาร์ มี.ค. 19, 2016 11:33 am
0
5
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมเห็นคุณ tum_H เขียน motto เอาไว้ข้างล่างเกี่ยวกับการหยุดโทสะและกามราคะ อันเป็นเหตุให้ถึงเป้าหมายขั้นต้นที่คุณ tum_H ได้วางเอาไว้ เลยอยากจะทราบแนวคิด กลยุทธ์ และวิธีการในการให้เข้าถึงความดับสนิทของโทสะและกามราคะ ก่อนอื่นก็ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า ผมก็ยังลุ่มๆดอนๆอยู่ อาศัยอ่านจากที่คุณ picatos เขียนไว้ก็มาก หลักใดใช้กับตัวเองและเหมาะกับจริต ก็จะนำมาใช้อบรมตนและจิต ขออนุโมทนาในธรรมทานของคุณ picatos ด้วยเช่นกันครับ ในส่วนของกามราคะและโทสะนั้น เมื่อก่อนผมนั้นติดและหลงกับมันมาก คงเป็นเพราะธรรมชาติของจิตที่เคยเกิดขึ้นมาหลายกัป จนส่งผลถึงปัจจุบันชาติ พอเริ่มมาเอาจริงเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเลยพอได้อุบายธรรมเป็นเครื่องระลึกรู้ ตอนต้นในการฝึกผมไม่ได้อบรมกายและจิต ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภานาอย่างประณีตเท่าที่ควร กล่าวคือทำแบบหยาบๆ ผ่านๆไป ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ได้มีโอกาสได้ลิ้มรสของฌาน ว่าจริงๆแล้วสมาธิในแบบของพระตถาคตเจ้า ที่พระองค์ทรงสอนไว้นั้นเป็นจริงตามพระบาลี เหมือนคนที่พึ่งได้ในสิ่งที่พึงปรารถนามานานแม้เพียงแค่เศษเสี้ยวของเวลา ย่อมรู้สึกติดในรสนั้นเหมือนมีพันธนาการผูกรัดให้ยึดติดแน่นไปอีก จนในที่สุดจิตก็เสื่อม ไม่สามารถกลับไปจุดเดิมได้อีก ความกระวนกระวายย่อมบังเกิดจนนำมาซึ่งการถอดใจ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดพร้อมขึ้นมาคือ ปัญญา กล่าวคือเกิดการพิจารณาว่าเหตุใดหนอจึงเป็นเช่นนั้น แม้ยังไม่สามารถรู้ถึงสาเหตุ แต่การติดตึงและยึดมั่นในความคิด เริ่มค่อยๆเบาลงเปลี่ยนเป็นการหาอุบายอื่นมาเกลากิเลสแทน หลวงตามหาบัวท่านรจนาหนังสือชื่อ ปัญญาอบรมสมาธิ หลวงพ่อพุธท่านนำหลักการนี้มาสอน กล่าวคือ จริตของคนบางคนเริ่มจากสมาธิและไปเจริญปัญญา แต่บางคนทำสมาธิไม่ได้ล่ะ ก็ต้องถอยหลังกลับคือ เจริญปัญญาก่อนแล้วสมาธิจะเกิดเอง ด้วยหลักการนี้ ผมพิจารณาตนแล้วว่า ด้วย ทาน ศีล และภาวนาของผมนั้นยังลุ่มๆดอนๆ ดังนั้นเราจักทำให้ประณีตยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากทานก่อน ค่อยๆเป็นลำดับขึ้นไป โดยทำทานให้มีบารมีเต็มนั้น ได้อาศัยหลักของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ว่า เมื่อบารียังไม่เต็มก็ให้เลือกทำ ทำเฉพาะสิ่งที่ทำให้กำลังใจเต็ม คือทำเฉพาะที่อยากทำ ทำแล้วให้ถึงพร้อมทั้ง 3 ให้ เมื่อบารีเต็ม การให้ทานจะไม่มีลิมิตของมันเองโดยอัตโนมัติ จึงเกิดปรากฏการที่ผมมุ่งทำทานกับพระอริยะเป็นหลัก เพราะอาศัยจริตข้อนี้ ผลที่ได้คือ เวลาทำทานแล้วจิตจะเปลี่ยมสุข ตัวเบาหวิว เหมือนล่องลอยในอากาศ เป็นสุขที่ยากจะมีหรือไม่เคยประสบพบเจอกับชีวิตตนมาก่อนเลยก็ว่าได้ บางครั้งทั้งวันนั้นจิตจะทรงอยู่ในสุขด้วยผลแห่งทานนั้น เมื่อการยึดมั่นถือมั่นลด ศีลก็เริ่มเป็นปรกติ (แต่ตอนนี้ยังชอบพูดมาก เลยยังติดในขั้นนี้อยู่) เมื่อทาน ศีล มา ปัญญาก็บังเกิด โดยอาศัยหลักของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ว่า พึงกล่าวโทษโจษตนเอง อย่าไปกล่าวโทษโจษคนอื่น เมื่อคนอื่นทำให้เราไม่พอใจ อารมณ์จะพุ่งขึ้นแต่ปัญญาจะเกิดขึ้นตามแก้ว่า โอหนอเราก็เคยเป็นแบบนี้ หากเราว่าเขา ก็จะรู้สึกระอายเพราะไม่ต่างอะไรจากอดีตของตน ที่เคยเป็นผู้หลงอยู่ โทสะที่มีจะค่อยเบาบางลง จนถึงตอนนี้เกิดได้ไม่เกิน 1 วันก็หาย และในความโกรธนั้นจะไม่มีความพยาบาท เครียดแค้น แต่จะเป็นการเวทนาและพยายามหลีกหนีจากคนประเภทนั้น โดยไม่ไปหาเรื่องหาราวกับเขาถึงแม้เขาจะยังทำกับเราก็ตาม ความยึดมั่นที่มีจะเริ่มเบาลง บางทีเรามีตำแหน่ง เราก็ยึดติด ไม่มีก็อยากได้ อุบายธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยพระศาสดาที่เป็นถึงบุตรพระมหากษัตริย์ ยังทรงสละจากผู้ที่มี กลายเป็นผู้ขอแทน น้อมเข้ามาเกลาจิต ทำให้จิตระลึกรู้ว่า โอหนอ จริงๆเราไม่มีอะไรที่ต้องห่วง เพราะผู้ที่สมควรห่วง พระองค์ยังไม่ห่วงเลย ปัญญาจึงอบรมจิตโดยปริยาย ความยึดมั่น ถือมั่นลด พรหมวิหารสี่เกิด โทสะก็บรรเทาลง หรือเมื่อเกิดขึ้นปัญญาคือเครื่องแก้ก็จะเกิดตามมาอันเป็นของคู่กันครับ
โดย
tum_H
เสาร์ มี.ค. 19, 2016 9:56 am
0
5
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
พี่ tum_H มีครอบครัวแล้วเหรอครับ? ถ้ามี มีลูกด้วยหรือเปล่าครับ? ไม่ทราบว่าครอบครัวของพี่มีความเห็นต่อแผนการของพี่อย่างไรบ้างครับ? คุณ picatos กับผมรุ่นราวคราวเดียวกัน ขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกพี่นะครับ 555 ผมยังไม่มีครอบครัวครับ ยังไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่มีบ้าน มีแค่รถยนต์รุ่นเก่า และไม่มีภาระหนี้ใดๆ นอกจากหนี้บุญคุณของบิดามารดา ปัจจุบันทำงานก็เช่าอพาร์ตเมนต์อยู่มา 13 ปีล่ะ หากลาออกไป ก็กลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ มีที่ดินนิดหน่อย มีสวนพอจะปลูกเรือนหลังเล็ก แล้วไปปฏิบัติธรรมหาความวิเวกให้ตน ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่หาไว้ ก็เผื่อเอาไว้สำหรับท่านในยามบั้นปลาย มักมีหลายคนชอบบอกว่า ตัวผมก็ตัวคนเดียว ภาระก็ไม่มี จะมามีทุกข์เหมือนคนอื่นเหรอ แต่ที่จริง ผมไม่ได้มีตัวคนเดียว มีครอบครัวคือพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด ผู้มีคุณสูงที่สุด ดังนั้นบางคนชอบพูดว่า หาเงินมาทำไมมากมายไม่ใช้ ตัวก็ตัวคนเดียว ตายไปก็ไม่ได้ใช้ แต่มีน้อยคนนักที่นึกถึงพ่อแม่ การที่เราจะออกแสวงหาสัจจธรรมแห่งชีวิต สำหรับผมผู้มีคุณคือพ่อแม่ ก็ต้องไม่ลำบาก ไม่มีห่วง ผมเองก็หมดห่วงเช่นกัน ผมเป็นคนสันโดษมาแต่เด็กจนปัจจุบัน ก็ไม่ค่อยชอบยุ่งวุ่นวายกับใคร คงเป็นเพราะบุพกรรมความตั้งใจแต่หนหลังที่ทำมา หากถามถึงความตั้งใจสูงสุด ก็คือ การไม่กลับมา ไปพักอยู่ที่พรหม และไปนิพพานเลย หรือหากความเพียรถึงขีดสุด ก็คงไม่มีความหลงผิดอีกต่อไป เมื่อก่อนพ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่หลังๆพอเห็นผม ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ท่านเหล่านั้นได้เห็นถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้น จนทำให้จิตของท่านคล้อยตาม จนถึงบัดนี้ ท่านเองก็ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมบ้าง จิตเริ่มรู้ถึงกุศล และน้อมใจเข้าไปได้ระดับหนึ่ง และท่านคงเห็นผลของการให้ทานอันปราณีต ที่ผมได้ทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้ผมดูเหมือนคนที่เปี่ยมสุข จากผลของการตั้งมั่นในการพยายามที่จะลด ละ เลิก ในอบายทั้งปวงครับ
โดย
tum_H
ศุกร์ มี.ค. 18, 2016 11:09 pm
0
6
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ขออนุโมทนาบุญกับทั้ง 2 ท่านที่คุณ picatos กล่าวมาด้วยนะครับ ถึงแม้จะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม เพราะอริยทรัพย์นั้นประเสริฐที่สุดแล้ว ส่วนตัวผมเองก็ตั้งใจว่าจะเกษียณ(ตัวเอง)ภายในกลางปีนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอิสรภาพทางการเงินอย่างเต็มตัวก็ตาม แต่ก็พอมั่นใจว่าจะประคับประคองตัวเองและครอบครัวได้ ตอนแรกแจ้งหัวหน้างานไป ก็พากันตกอก ตกใจเหมือนกัน แต่พอบอกว่าจะออกไปปฏิบัติธรรม ผลกลับกลายเป็นว่าทุกคนต่างอนุโมทนาและสาธุการในเจตนานั้นของผม เพราะทุกคนรู้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในความเป็นมนุษย์ ผมคงยังไม่บวชในเร็ววัน เพราะจากการฝึกตนมาพอทำให้รู้สภาวะจิตของตน ว่าเป็นคนที่มีจริตแบบไหน เลยจะออกไปค่อยๆฝึก ค่อยๆปฏิบัติที่บ้านบ้าง ที่วัดบ้าง ตามสภาพความเหมาะสม จนเมื่อถึงเวลาที่พร้อมแล้วก็ค่อยนำมาพิจารณาว่าสมควรแก่การทำอย่างไรต่อไป ปลายเดือนที่แล้ว ได้มีโอกาสไปทำบุญที่อุดร ในหลายๆวัด ได้ไปทำบุญกับหลวงปู่ลี วัดป่าภูผาแดง หลวงพ่อจันทร์เรียน วัดถ้าสหาย ฟังท่านเทศน์เรื่องการทำสมาธิ ได้สนทนาธรรมและวิธีการแก้จิต จากท่านพระอาจารย์วันชัย วัดภูสังโฆ ได้เล่าเรื่องชีวิตให้ท่านฟัง และท่านอธิบายสภาวะจิตที่เสื่อมของผมนั้นเกิดจากสิ่งใด ซึ่งได้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนจิตที่เคยมืดบอดกลับสว่างไสว มีกำลังขึ้นมาอีกครั้ง เพราะได้รู้ถึงสาเหตุของจิตที่ติดขัด ได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์สิน วัดภูจ้อก้อ ที่เพื่อนแนะนำว่า ท่านเป็นผู้ที่จบหลักสูตรอนุบาลแล้วอย่างถึงพริกถึงขิง จนถึงขนาดลืมเวลาไปเลย จนท่านว่า “นี่แหละคืออาการเบื่อโลก” เหมือนที่ท่านเคยเป็นมาก่อนออกบวช ที่ได้ยกตัวอย่างการเข้าหาครูอาจารย์ เพราะท่านเหล่านี้คือผู้ได้รับการฝึกตนมา ตามลับดับขั้นอย่างดีแล้ว ผมเองเมื่อได้รับฟังครูอาจารย์แนะนำในสิ่งที่ติดขัด และในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ก็ได้พบว่าครูอาจารย์นี้เอง คือผู้ที่ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ สมควรแก่การเคารพ นบนอบ เป็นอย่างยิ่ง จึงไม่สงสัยเลยว่า เหตุใดในวงพระกรรมฐาน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงได้เทิดทูนครูอาจารย์ของท่านอย่างสุดหัวใจ :D
โดย
tum_H
ศุกร์ มี.ค. 18, 2016 8:13 pm
0
3
Re: ยื่นแบบภาษีทางอินเตอร์เน็ตปีนี้
ยื่นแล้ว เหมือนกันครับ รอลุ้น :D
โดย
tum_H
อาทิตย์ ม.ค. 03, 2016 5:42 pm
0
0
Re: ถึงเวลาที่ต้องลา เพื่อบรรชาอุปสมบท
อนุโมทนาครับ
โดย
tum_H
เสาร์ ธ.ค. 19, 2015 6:40 pm
0
0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
อย่างบางคนปฏิบัติถูกทาง ได้ธรรมะขนาดหนึ่ง จัดการกับทุกข์ได้ระดับหนึ่ง แล้วก็รีบวิ่งออกไปเสพกามต่อ ออกไปสู้โลก กลับออกไปแบกภาระที่ยังคั่งค้างอยู่ คุณ picatos กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ขออนุโมทนาครับ
โดย
tum_H
พุธ ก.ย. 30, 2015 10:31 pm
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ ผมมักเกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆเหมือนกันครับ ตอนที่จิตไม่ห่างจากการภาวนา บางครั้งจนเพลอคิดว่าตัวเองเป็นพระอนาคามีไปแล้วหรือเปล่าหนอ เพราะมองไปทางไหนก็ปล่อยวาง มองไปทางไหนก็ใจเบา จิตรวมลงจนคิดว่าไม่ยึดมั่นแล้วในกายนี้ พอคิดว่า"เป็น" จนจิตเริ่มละเลยจากการสำรวมและห่างจากภาวนา ก็จะกลับมาเป็นคน ที่ยังหลงโลกอีกเช่นเดิม วกกลับไปมาแบบนั้น ที่พูดมาไม่ได้มีเจตนาว่ากล่าวนะครับ แต่เล่าอาการเมื่อห่างจากภาวนาให้ฟัง เพราะเมื่อไม่ห่างจากภาวนาจิตจะรวมง่าย แต่เมื่อไหร่ที่เพลอหรือหลุดออกมา ก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาดูจิตอีกครั้ง (สำหรับผมนะครับ) :D
โดย
tum_H
อังคาร ก.ย. 29, 2015 8:59 pm
0
5
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
วันนี้ ตอนนั่งเครื่องกลับ มีโอกาสดูการ์ตูน พระมหาชนก เนื้อหาธรรมตอนหนึ่งน่าสนใจมากเลยครับ "ราชสมบัติ เปรียบเหมือน ต้นไม้มีผล อาจถูกทำลาย แม้ไม่ถูกทำลายก็ต้องคอย ระแวดระวังรักษา เกิดความกังวล เราจะทำตนเป็นผู้ ไม่มีกังวลเหมือน ต้นไม้ไม่มีผล " ผู้ที่เห็นทุกข์ คือผู้ที่เดินนำหน้ากิเลส ขณะที่ผู้ที่ยังคงติดในสุข คือผู้ที่ยังคงต้องตกอยู่ในวังวนของกิเลสต่อไป ได้อ่านเรื่องของแต่ล่ะท่าน ทำให้มีพลังในการปฏิบัติเพิ่มขึ้นมาก ขออนุโมทนาครับ :D
โดย
tum_H
อาทิตย์ ก.ย. 13, 2015 1:32 am
0
1
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
ตลาดช่วงนี้ถือว่าเป็นบททดสอบ เป็นโจทย์เพื่อพัฒนาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ใช่น้อย ถ้าตลาดลงครั้งนี้ ใจของเราสงบสุขมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ ก็ถือว่าเรามีพัฒนาการในการปฏิบัติมากกว่าแต่ก่อน จนอยู่ในระดับที่ทนทานความผันผวนแปรปรวนของตลาดได้ ยอมรับความเป็นจริงของโลกนี้ได้มากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงรู้สึกแย่มากเลยช่วงหุ้นตก เพราะไม่มีความพอดีในการลงทุน แต่ตอนนี้แบ่งการลงทุนกับการใช้ชีวิต อย่างชัดเจน กล่าวคือถึงแม้หุ้นจะตก ก็ไม่กระทบกับกระแสเงินสดที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และอีกอย่าง หากเราเลือกปฎิบัติตามหลักดำเนินที่ถูกต้อง ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะน้อยลงไปด้วยครับ
โดย
tum_H
อังคาร ส.ค. 25, 2015 6:13 am
0
3
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
ยื่นวันที่ 5 ตอนนี้อยู่ระหว่างส่งเช็คแล้วครับ :P
โดย
tum_H
พุธ ม.ค. 07, 2015 9:00 pm
0
1
Re: จบปี 2557 แล้ว ผลตอบแทนเป็นอย่างไรกันบ้างครับ
ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ได้ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ สาเหตุเป็นเพราะกระจายความเสี่ยงน้อยเกินไป บางครั้งผลประกอบการที่ดี ก็ไม่ได้สะท้อนราคาในระยะสั้นถึงกลางตามที่ควรจะเป็น เป็นอีกครั้งสำหรับผมที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างในการลงทุน และให้ได้ผลตอบแทนที่ดีตามความคาดหวังครับ สรุปปีนี้ ผลตอบแทนไม่รวมเงินปันผล +21.83% ส่วนเงินปันผลอีก +3.03% ครับ :D
โดย
tum_H
จันทร์ ม.ค. 05, 2015 4:52 pm
0
3
Re: ยื่นภาษี ประจำปี 2557
ผมลองโหลดข้อมูลเงินปันผลจาก TSD ลงไป ผลออกมาไม่ตรง ได้น้อยกว่ากรอกเองครับ และติดตรงที่มีบริษัท ที่ยังไม่มีใน list ของกรมด้วย ถ้าเอาไปกรอกตรงช่อง บริษัทจดทะเบียนนอกตลาด จะเป็นไรไหมครับ อยากจะได้เงินคืนเร็วๆ
โดย
tum_H
อาทิตย์ ม.ค. 04, 2015 3:55 pm
0
0
1019 โพสต์
of 21
ต่อไป
ต่อไป
Verified User
ชื่อล็อกอิน:
tum_H
กลุ่ม:
สมาชิก
งานอดิเรก:
Value Investor
ความถนัด:
Engineer
ติดต่อสมาชิก
PM:
ส่งข้อความส่วนตัว
สถิติสมาชิก
ลงทะเบียนเมื่อ:
อาทิตย์ มิ.ย. 03, 2007 11:19 am
ใช้งานล่าสุด:
อังคาร ก.ค. 09, 2019 11:32 am
โพสต์ทั้งหมด:
1857 |
ค้นหาเจ้าของโพสต์
(0.10% จากโพสทั้งหมด / 0.29 ข้อความต่อวัน)
ลายเซ็นต์
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
GO_TO_SEARCH_ADV
ไปที่
การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้น
↳ ห้องร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ
↳ ไอเดียหุ้นเด้ง
↳ หลักสูตรการลงทุนออนไลน์
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์ [กระทู้รับชมออนไลน์]
↳ ศาสตร์ของหุ้นเติบโต โดยอ.เบส ลงทุนศาสตร์
↳ ThaiVI GO Series
↳ คลังกระทู้คุณค่า
↳ Value Investing
↳ บทความ
↳ ความรู้งบการเงิน
↳ ร้อยคนร้อยเล่ม / Multimedia Forum
↳ mai Corner
↳ Alternative Investing
เรื่องทั่วไป
↳ นั่งเล่น / กีฬา / สุขภาพ
↳ Asking Staff
↳ CSR
×
บันทึกไม่สำเร็จ
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
×
บันทึกสำเร็จแล้ว