ดูเหมือนประเทศไทยจะมีข้อสรุปว่า แนวทางหลักในการแก้ปัญหาการแพร่ขยายของ COVID-19 ในรอบใหม่นี้คือการเร่งฉีดวัคซีน ดูเหมือนว่า กทม.จะเชื่อว่าหากระดมฉีดวัคซีนให้เพียงพอแล้วก็จะสามารถควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้ภายใน 2 สัปดาห์ แต่จากข้อมูลที่ผมรวบรวมมานั้นผมได้ข้อสรุปไปคนละทาง กล่าวคือหากมองในแง่เข้าข้างตัวเองว่า การควบคุมการระบาดของ COVID-19 จะทำได้หากฉีดวัคซีนให้กับประชาชนโดสแรก (จาก 2 โดส) ประมาณ 50% หรือ 34 ล้านคน ก็แปลว่าประเทศไทยจะต้องมีวัคซีนเพื่อฉีดให้คนไทยประมาณ 34 ล้านโดส
แต่จากข้อมูลของรัฐบาลที่แจ้งให้ทราบว่าปัจจุบันมีวัคซีนประมาณ 2 ล้านโดสและได้สั่งซื้อวัคซีนจากบริษัท AstraZeneca เป็นหลักอีก 66 ล้านโดส แต่จะรับมอบ 6 ล้านโดสในเดือนมิถุนายนและ 10 ล้านโดสต่อเดือนอีก 6 เดือน ดังนั้น ผมจึงเข้าใจว่าประเทศไทยจะมีวัคซีนครบถ้วนเพื่อฉีดให้กับประชากรครึ่งประเทศ (เฉพาะโดสแรกจาก 2 โดส) อย่างเร็วที่สุดคือเดือนกันยายนหรืออีก 5 เดือนข้างหน้า
จากวันนี้ถึงวันนั้นหากประเทศไทยยังพบผู้ป่วยรายใหม่อีกวันละ 2,000 ราย ก็จะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งและมาตรการเยียวยามูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท ก็คงจะไม่เพียงพอที่จะรองรับปัญหาทางเศรษฐกิจที่จะเกิดจากการขาดความมั่นใจและมาตรการควบคุมและจำกัดการทำธุรกรรมต่างๆ ที่จะต้องคงอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลา 4-5 เดือนข้างหน้า
ผมจึงมองต่างมุมว่า ณ วันนี้แม้จะมีวัคซีนอยู่บ้างแต่ก็เหมือนกับไม่มีวัคซีน การแก้ปัญหาใน 4-5 เดือนข้างหน้าจึงควรจะทำเสมือนกับว่าไม่มีวัคซีนคือต้องกลับมาใช้มาตรการ Testing, Tracing, Isolation and Treatment เป็นหลัก
ในส่วนของภาคเศรษฐกิจนั้นจะต้องประเมินว่าจะช่วยผู้ประกอบการและลูกจ้างให้สามารถอยู่รอดได้อย่างไรใน 4-5 เดือนข้างหน้าที่ COVID-19 น่าจะยังส่งผลกระทบที่รุนแรงและต่อเนื่องต่อการประกอบธุรกิจและการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจ
ซึ่งอาจรวมถึงการผลิตเพื่อการส่งออกด้วยเพราะแม้ว่าจะมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ แต่หากพนักงานติดเชื้อเป็นจำนวนมากก็อาจทำให้การผลิตต้องชะงักงันลงก็ได้หรือต่างประเทศอาจไม่มั่นใจเมื่อเห็นการติดเชื้อภายในประเทศ ทำให้หันไปหาผู้ผลิตในประเทศอื่นๆ
แต่จริงๆ แล้วการฉีดวัคซีนครึ่งประเทศเพียง 1 โดสนั้นไม่น่าจะช่วยชะลอการระบาดของ COVID-19 ได้มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีน Sinovac ซึ่งข้อมูลจากประเทศบราซิลและชิลีนั้นให้การคุ้มกันการติดเชื้อเพียง 10% หลักจากการฉีดโดสแรก สำหรับวัคซีน AstraZeneca นั้นจะมีประสิทธิผลมากกว่า แต่ก็จะยังต่ำกว่าวัคซีนประเภท mRNA เช่นของ Pfizer และ Moderna
สำหรับข้อมูลประสิทธิผลจากการฉีดวัคซีนของ Pfizer นั้น พอดีมีผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาใน New England Journal of Medicine เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2021 ซึ่งผมขอนำมาสรุปให้อ่านกัน ณ ที่นี้ ซึ่งแม้จะ “ไม่ใช่” วัคซีนเดียวกันกับที่ประเทศไทยจะได้ใช้ (คือของ AstraZeneca) แต่ก็น่าจะสามารถนำมาเปรียบเทียบได้ในระดับหนึ่งและน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับตัวของเราเองเมื่อต้องได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 ด้วย
งานวิจัยนี้มีความสำคัญและน่าสนใจเพราะนำเอาข้อมูลจำนวนมหาศาลมาจากประเทศอิสราเอลที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรครบ 100% สำหรับโดสแรกแล้วและอึก 55% ก็ได้ฉีดครบ 2 โดสแล้ว โดยอาศัยข้อมูลช่วง 20 ธันวาคม 2020 ถึง 1 กุมภาพันธ์ 2021 โดยติดตามความเสี่ยงจากการติด COVID-19 ของประชากร 2 กลุ่มคือกลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน 596,618 คนและกลุ่มที่ได้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสจำนวนเท่ากันคือ 596,618 คน ผลในการป้องกันการติด COVID-19 สรุปได้ดังนี้
จะเห็นได้จากตารางว่า การฉีดโดสแรกนั้นให้ภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อ COVID-19 (ซึ่งแปลว่าจะยังแพร่เชื้อต่อให้คนอื่นได้) ต่ำ กล่าวคือคุ้มกันได้เพียง 46% แต่จะคุ้มกันได้มากก็ต่อเมื่อฉีดครบ 2 โดสแล้ว (โดยต้องรอให้วัคซีนออกฤทธิ์เต็มที่ 7 วันหลังการฉีด) ซึ่งจะทำให้มีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อ COVID-19 ถึง 92%
แต่การที่แต่ละบุคคลจะรีบฉีดวัคซีนนั้นย่อมจะเป็นสิ่งที่ดีเพราะแม้ว่าจะยังติดเชื้อและเป็น COVID-19 ได้ แต่เมื่อได้ฉีดโดสแรกก็จะลดความเสี่ยงที่จะต้องป่วยจนต้องเข้าไปรับการรักษาในโรงพยาบาลลงถึง 74% และลดความเสี่ยงที่จะป่วยหนักจาก COVID-19 ลงไปถึง 62% อีกด้วย
อย่างไรก็ดีต้องขอย้ำอีกทีว่าการประเมินข้างต้นว่าการฉีดวัคซีนโดสแรกให้ประชาชนครึ่งประเทศจะช่วยยุติการระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยนั้นค่อนข้างจะเป็นการมองโลกในแง่ดีและเข้าข้างตัวเองอย่างมาก เพราะล่าสุดประสบการณ์ของเกาะ Seychelles นั้นสะท้อนให้เห็นว่าแม้ว่าประชากร 62% ของเกาะดังกล่าวจะได้รับการฉีดวัคซีนกันครบ 2 โดสแล้ว (ประชากรที่เหลือก็ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 1 โดส) แต่ COVID-19 ก็ยังสามารถระบาดเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้ต้องมีมาตรการ lockdown เกาะอีกรอบหนึ่งเหมือนกับที่ได้ทำไปเมื่อเกิดการระบาดในปีที่แล้ว
รายงานข่าวจาก Bloomberg แจ้งว่าเกาะ Seychelles ที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักต้อง lockdown และปิดเกาะอีกครั้งหนึ่งเมื่อ 5 พฤษภาคม หลังจากพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก 612 คน ในวันที่ 28 เมษายน ไปเป็น 1,068 คนในวันที่ 3 พฤษภาคม กล่าวคือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 91 คนต่อวันในช่วง 5 วันดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมากเพราะเกาะ Seychelles มีประชากรทั้งสิ้นเพียง 98,000 คน
จากสัดส่วนของประชากร 62.2% ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วนั้น 59% เป็นวัคซีนเชื้อตายของ Sinopharm จากประเทศจีน คล้ายกับ Sinovac ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในขณะนี้และที่เหลืออีก 41% เป็นวัคซีนชื่อ Covishield ซึ่งเป็นวัคซีนสูตรของ AstraZeneca ที่บริษัทของอินเดียผลิตโดยได้รับใบอนุญาตจาก AstraZeneca.
การแก้ปัญหาการแพร่ขยายของ COVID-19 ด้วยวัคซีน/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1593
- ผู้ติดตาม: 2