สิ่งท้าทายทั่วโลกคล้ายกันคือ ประชากรวัยหนึ่งกำลังเดิน อีกวัยกำลังวิ่ง เป้าหมายเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน ต่างกันที่วิธีการและความเร็ว
เป้าหมายที่ยอดเขา วัยหนึ่งเดินขึ้นทางลาดชัน พักบ้างเป็นระยะ อีกวัยอยากปีนขึ้นทางหน้าผา เร่งเวลา แม้จะเสี่ยง
“ผู้ใหญ่” มีประสบการณ์ในชีวิตและมีสถานะทางสังคม ผ่านร้อนหนาวมาหลายฤดู เกิดและเติบโตมาจากการเรียนและการทำมาหากินแบบพื้นฐาน ลงมือฝึกฝน ทำทีละขั้นตอน ตามประเพณีและความนิยมในแต่ละยุค ข้อมูลผ่านการกลั่นกรองมาแล้วและมีเนื้อหาจำกัด ถ่ายทอดระหว่างบุคคล เป็นระบบ ความร่วมมือและความสัมพันธ์ รู้จักเห็นหน้าเห็นตากัน การเปลี่ยนแปลงต่างๆใช้เวลาพอสมควร ค่อยเป็นค่อยไป
กลุ่มผู้ใหญ่ กำลังเจอสิ่งท้าทายปัจจุบัน คือความเร็วและความหลากหลาย ซึ่งเกิดจากนวัตกรรมที่ผุดขึ้นมารอบตัว การปรับตัวเรียนสิ่งแปลกใหม่เสมอ เปรียบเหมือนเขาคือผู้อพยพเข้าเมืองดิจิตัล (Digital immigrants) ข้อมูลมีปริมาณมาก มาจากแหล่งที่อาจไม่คุ้นเคย และนวัตกรรมก็ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ทำให้การเรียนรู้ติดตาม ใช้เวลา พลังงาน และทรัพยากรมาก
การปฏิเสธนวัตกรรมนั้นทำได้ยาก เพราะความนิยมมากขึ้น หากไม่ปรับตัวจะอยู่ลำบาก บางคนขาดโอกาส ตามไม่ทัน ทำให้เกิดความเสียเปรียบ
“เด็ก” หรือหนุ่มสาว ต่างจากผู้ใหญ่ที่เขาเกิดมากับนวัตกรรมที่มีรออยู่แล้ว (Digital natives) การพึ่งพาเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เช่นคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ เป็นธรรมชาติของพวกเขา ไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งธรรมดา หรือเป็นมาตรฐานสามัญที่เห็นตั้งแต่เกิด
นวัตกรรมเป็นคล้ายปัจจัยสี่ของการดำรงชีวิตประจำวัน มีปัญญาประดิษฐ์ต่างๆเป็นเครื่องมือทุ่นแรงในการเรียนและทำงาน ส่วนความสัมพันธ์ส่วนบุคคลโดยการพบปะสนทนาตัวต่อตัวอาจไม่จำเป็น เพราะการแลกเปลี่ยนกิจกรรมผ่านระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสร้างพันธมิตรโดยรวมกัน เพราะการแลกเปลี่ยนกิจกรรมผ่านระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
การสร้างพันธมิตรโดยรวมกันเพราะประเด็น ของคนหนุ่มสาวยุคนี้ สมาชิกในกลุ่มไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน ไม่มีขอบเขตจำกัดของสถานที่ ประเด็นอาจเป็นการเมือง สิ่งแวดล้อม บันเทิง การประกอบอาชีพ เรื่องเฉพาะกิจ ฯลฯ การให้ความเห็น สร้างกระแสขยายวงกว้าง ฉับพลัน ข้อมูลจะขาดการกลั่นกรอง ขยายปากต่อปากออกไป ข้ามขอบเขตของกฎหมายในท้องถิ่น (Social media ; Facebook, Twitter, etc.)
ส่วนการรวมกลุ่มของคนรุ่นเก่านั้นมักจะมาจากสังคมที่รู้จักกันอยู่แล้ว เช่น ที่เรียน ที่ทำงาน หรือสถานที่ในชุมชน ประเด็นที่ใช้ในการวิเคราะห์วิจารณ์ในกลุ่ม ก็มักอยู่ในขอบเขตของกฎหมายท้องถิ่นเดียวกัน (LINE chat groups กลุ่มศิษย์เก่าต่างๆเป็นต้น) โอกาสที่จะรวมกลุ่มใหม่ หรือขยายกลุ่มก็เป็นไปได้ช้า กลุ่มคนวัยนี้เน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือสถาบัน ที่มีรูปลักษณ์ชัดเจน ประเด็นเปลี่ยนแต่กลุ่มไม่เปลี่ยน
การเปิดประเด็นวิเคราะห์วิจารณ์การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันใช้เครื่องมือสื่อสารแบบใหม่ ชักชวนรวมกลุ่ม เพื่อเป็นการต่อรองต่างๆ ทำได้ฉับไว ไม่ต้องใช้ทุนหรือใช้น้อยมาก การชุมนุมหรือประท้วง รวมเร็วและสลายเร็ว กติกาง่าย มีความคล่องตัว ขนาดเล็กหรือใหญ่ บ่อยครั้งและกระจายความเสี่ยงต่างๆทำได้สะดวก มีการสลับเปลี่ยนบุคคลในการประสานงาน มีตัวตายตัวแทน ไม่ยึดติดกับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระยะยาว
การที่คุณหนุ่มสาวรุ่นใหม่ เห็นโอกาสในการปรับปรุงระบบที่ผู้ใหญ่วางไว้เป็นพื้นฐาน แต่บางอย่างอาจไม่เหมาะควรกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงโดยผู้ใหญ่นั้นคงเป็นไปได้ช้า หากรอต่อไปก็ไม่เห็นว่าจะมีใครแก้ จึงมีการใช้นวัตกรรมสื่อสารมาใช้เป็นตัวเร่งขับเคลื่อน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์วิจารณ์และชุมนุมแบบที่คนรุ่นเก่าไม่คุ้นเคย ผู้รักษากฎหมายอาจตามไม่ทัน
แต่การใช้นวัตกรรมโดยคนรุ่นใหม่ เร่งความเร็วและขยายวงกว้าง อาจดูเหมือนจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ที่สุดอาจสะดุดชะงัก ไม่บรรลุผล ทั้งนี้อาจเป็นเพราะประเด็นสับสน ขาดความชัดเจน เนื่องจากความสะดวกของเครื่องมือสื่อสารและความอิสระในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำให้หลายคนแสดงความเห็น เนื้อหาเผ็ดร้อนเพราะเป็นความส่วนตัวออนไลน์ ทำให้ปริมาณล้นแต่ขาดคุณภาพ สมาชิกในกลุ่มมาจากพื้นฐานที่ไม่คุ้นเคยกัน ความสะเพร่า และการแสดงออกบางครั้งของคนกลุ่มน้อยที่มีความก้าวร้าวและหยาบคาย ทำให้เกิดความไขว้เขว ต้องจ่ายค่าบทเรียนแพงเพื่อบ่มประสบการณ์ การชุมนุมประท้วงซึ่งขาดการประสานงาน มีจุดอ่อนที่ไม่มีความต่อเนื่อง การประชันพลังในที่สาธารณะ เสี่ยงต่อความเสียหายในทรัพย์สินและชีวิต แต่อาจไม่เห็นผลลัพธ์จริงของการเปลี่ยนแปลง
ทั้งสองวัย มาถึงทางแยกสำคัญ ที่ควรจะต้องมาสลับแลกเปลี่ยน จุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อให้บรรลุผลร่วมกัน
ผู้ใหญ่ซึ่งมีอำนาจ มีประสบการณ์ แต่ติดที่เงื่อนไขและขาดความคล่องตัว ควรเปิดใจรับฟังความเห็น จากเด็ก ซึ่งมีความกระตือรือร้น และความกล้าเสี่ยงและแสดงออก
ความร่วมมือสมานฉันท์ หาทางปรองดอง ใช้ความอดทนและอดกลั้น ลดทิฏฐิ เอาหูมามากกว่าปาก ร่วมการสนทนา ตั้งใจฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย โดยไม่นำเงื่อนไขเดิมติดตามมาด้วย จะนำมาสู่ทางออกที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ การประนีประนอมคือการให้บ้างและรับบ้าง
พ่อหลวงฯทรงตรัสไว้ว่า “ไม่มีชัยชนะบนซากปรักหักพัง”
เรามีสถาบันที่เคารพ มีรัฐบาลที่นำประเทศปลอดภัยจากวิกฤติ มีความพยายามที่จะปรับปรุงและพัฒนาให้ทันกับโลกาภิวัฒน์ เจตนาของเราทุกคนทุกวัยดี อยากเห็นความยุติธรรมและความโปร่งใส เปิดโอกาสความเสมอภาค การติชมเป็นสิ่งที่ควรช่วยกันทำต่อไป เปิดใจกว้าง รับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ต่างวัยแต่ใจหนึ่งเดียวเพื่อมาตุภูมิที่เรารักครับ
ช่วงว่างระหว่างวัย ปิดได้ ด้วยความปรองดอง/กฤษฎา บุญเรือง
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1593
- ผู้ติดตาม: 2