MoneyTalk@MAI1Jul18MAIเล็กดีรสโตจริงหรือ?

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
i-salmon
Verified User
โพสต์: 293
ผู้ติดตาม: 0

MoneyTalk@MAI1Jul18MAIเล็กดีรสโตจริงหรือ?

โพสต์ที่ 1

โพสต์

MoneyTalk@MAI Forum 1/7/2018
ช่วงที่ 2 วิเคราะห์เจาะหุ้นเด่น เทรนด์การลงทุนครึ่งปีหลัง
คุณวิศิษฐ์(กรรมการผู้จัดการ บล.ทรินิตี้)
คุณเทิดศักดิ์(ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส)
ผู้ดำเนินรายการ อ.ไพบูลย์,อ.เสน่ห์

สถานการณ์หุ้น mai ?
ดร.วิศิษฐ์
หุ้น mai มีบุคลิกดังนี้
1.ไวกับการเติบโต ถ้าเติบโตเร็ว/มาก ราคาหุ้นจะสะท้อน ทั้งดีและลบ
2.มีโอกาส M&A ทั้งไป takeover หรือถูก takeover
หุ้น MAI มี 34 บริษัท ที่ market cap ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท เรียกว่าเป็น Micro cap
สามารถเติบโตจาก Inorganic growth เติบโตจากธุรกิจใหม่ เช่นซื้อกิจการ
3. CEO มีบทบาทสูง ต้องมี vision ในการนำพาบริษัท บางบริษัทเป็นแบบครอบครัว บางบริษัทก็แบบมืออาชีพ

ยกตัวอย่างหุ้น MAI ที่เพิ่มขึ้นในอดีตเช่น Netbay, JCKH,Kool
จะเห็นว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาและกำไร มีความสัมพันธ์กัน
ลักษณะหุ้น MAI ถ้าหากไม่สามารถทำกำไรได้อย่างที่คาดหวังจะปรับตัวลงได้รวดเร็ว
ดังนั้น นักลงทุนที่จะลงทุนต้องศึกษาปัจจัยที่ทำให้บริษัทโต และปัจจัยที่ทำให้บริษัทไม่โต
และติดตามผลดำเนินงานอย่างใกล้ชิด

คุณเทิดศักดิ์
ให้ข้อมูลภาพรวมตลาด MAI
- Market Capรวม หาร Net profit 5 ปีเฉลี่ย PE เกิน 100 เท่า
- ยอดขายรวมกัน 1.6 แสนล้านบาท กำไร 2.8 พันล้านบาท
คิดเป็น %Profit Margin ราว 2% เมื่อเทียบกับ SET %Profit Margin ราว 6-7%
จากตัวเลขข้างต้นแสดงว่าคุณภาพของบริษัทใน MAI คละกันค่อนข้างมาก
ซึ่งมีบริษัทที่ไม่ success มากกว่าบริษัท success แต่ถ้าได้บริษัทที่ success ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้มาก
ดังนั้นการลงทุนในหุ้น MAI ต้องระมัดระวัง ศึกษาให้ลึกซึ้ง

หุ้น MAI ที่น่าสนใจ?
ดร.วิศิษฐ์
Netbay – ทำพวกเอกสาร import export เป็น electronic มีรายได้ค่า fee จาก transaction
รวมถึงอนาคตสามารถขยายไปธุรกิจอื่น ปัจจุบัน PE 57 เท่า มี platform รายได้สม่ำสเมอ ขึ้นตามธุรกรรม import export
D – บริหารจัดการศูนย์ทันตกรรมครบวงจร มี 13 สาขา ธุรกิจปัจจุบัน มี GPM 35% กำไรไตรมาส 10-12 ล้าน
มีแผนเติบโต inorganic ซื้อกิจการคลินิคต่างๆ ปัจจุบัน PE 44 เท่า สามารถเติบโต 40-50% ใน 2-3 ปีข้างหน้า
SSP – PE ต่ำ ทำพลังงานทางเลือก กำลังผลิต 78 MW แผนสร้าง 115 MW รวม 193 MW
PE 21 เท่า แต่มองรวมแผนเติบโตข้างหน้ายัง undervalue
TPCH – จะมีโรงไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รวม 200 MW ใน 2563+โรงไฟฟ้าขยะ 50 MW PE 16 เท่า
ผลประกอบการล่าสุด รายได้โต 35% กำไรโต 27% ถือว่าค่อนข้างถูกใน MAI
BM – ทำสวิตซ์บอร์ด แผนโตปีละ 10% มี JV กับบริษัทนิตโตเคียวโก
มีความสามารถทำสวิตซ์บอร์ดในญี่ปุ่น และต้องการเติบโตใน CLMV PE 12 เท่า

คุณเทิดศักดิ์
- จากที่เกริ่นว่า ตลาด MAI profit margin 2% ถือว่าต่ำ
จึงเลือกดูอุตสาหกรรมที่อัตรากำไรน่าสนใจ ได้แก่
consumption 8%, industry ทั่วไป 4%, property 4% (แต่น้อยกว่า property ใน SET 12-14%)
- ดูเม็ดเงินลงทุน ถ้าหากลงทุนมากก็ มีโอกาสเติบโตสูง มีอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่
Resource 9 พันล้าน, service 5 พันกว่าล้าน, industry ทั่วไปเกือบ 2 พันล้าน
- ดู PE ไม่สูง มีปันผลสนับสนุน สรุปมีหุ้นน่าสนใจดังนี้
1.AUCT ฐานกำไรมีการเติบโตเรื่อยๆ จาก 69 ล้าน มาถึง 103 ล้านบาท
ซึ่ง story มีแผนเข้าสู่ตลาดรถบ้าน ที่มีตลาดใหญ่กว่า และมีโอกาสกำไรเพิ่มขึ้น
2.PDG – ทำขวดพลาสติค PET ขึ้นรูป ทำให้น้ำมันพืช 2 เจ้าใหญ่ 40% ทำขวดน้ำดื่ม 20%
พวกขวดซอสน้ำปลาต่างๆ 10% กำไร 60-90 ล้าน ค่อนข้างนิ่ง ซึ่งไตรมาส 1 ก็ออกมาใช้ได้
3.LIT- ทำ factoring เช่น บริษัทไปประมูลงานภาครัฐก็เอางานมาขายให้ LIT แล้วได้เงินไป
ซึ่งมองว่างานภาครัฐน่าจะทยอยออกมาได้แล้ว ค่า PE ใกล้เคียง 10 เท่า
หุ้นกลุ่มที่สวิงบ้าง แต่ถ้าซื้อได้ถูกปีก็น่าสนใจ
4.CMO- กำไร บวกปีลบปี ข้อสังเกตถ้าปีไหนรายได้แตะ 1300 ขึ้นไป กำไรจะดี
แต่ถ้าต่ำกว่า 1000 ล้านจะขาดทุน มีมี Fix cost ดังนั้นถ้าปีไหนมี event เยอะ ก็จะดี
5.ABB- สินค้าแยกเป็น 2 กลุ่ม 1 พลาสติค PVC 2 กาวยาแนวต่างๆ ทำให้งานก่อสร้าง
โครงสร้างรายได้ 70% มาจากในประเทศ PBV ใกล้ 1 ถือว่าไม่แพง

หุ้นชอบหุ้นชัวร์ใน 5 ตัวที่เลือกมา
ดร.วิศิษฐ์ ชอบหุ้น Netbay ในแง่ business model มีทั้ง recurring income
และ platform มีธุรกรรมทางธุรกิจได้ค่า Fee เป็น startup platform แรกๆ และเป็นต้นแบบนวัตกรรมให้กับ startup
คุณเทิดศักดิ์ ชอบหุ้น LIT มองใน valuation fair value 11 บาท สถาบันการเงินมีการเตรียมตัว IFRS 9
ซึ่งมีการเตรียมสะท้อนตรงนี้แล้ว บริษัท PE ไม่สูงมาก มีปันผลราว 3.7%

ปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง
ดร.วิศิษฐ์
- Earning Yield Gap ถ้าสังเกตตอน FED ขึ้นดอกเบี้ย พบว่า ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ 10 ปีไม่เพิ่มขึ้น
แต่ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นปรับเพิ่มขึ้น นั่นคือต้นทุนการเงินระยะยาวยังไม่เพิ่มขึ้น
- ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน Fund flow ออกจากหุ้นไทย 1.8 แสนล้าน เกิดจาก MSCI Rebalancing
ซึ่ง SET เป็นสมาชิก MSCI Emerging market มี weighted 2.2% พอมี China A share เข้ามาคิดรวมด้วย
ทำให้ SET เหลือสัดส่วน 1.88% มีเม็ดเงินออก 1.9 แสนล้านบาท ในแง่ Passive fund (นักลงทุนที benchmark กับ MSCI)
- Active fund ดูอัตราแลกเปลี่ยน การมีเม็ดเงินออก ทำให้มูลค่าที่ mark to market ลดลงด้วย
สังเกตว่า Emerging market ค่าเงินอ่อนลง เช่น ตุรกี อ่อน 17% ใน 3 เดือน, อาร์เจนติน่า,บราซิลก็เช่นกัน
ไทยอ่อนลง 2% แต่ถือว่า performance ดีอันดับต้นๆของ emerging market
-จากนี้ต้องดูเรื่องค่าเงิน emerging market ถ้านิ่งอาจไม่ขายต่อ
- FED เดิมบอกจะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง แต่ตอนนี้ปรับเป็น 4 ครั้ง ซึ่ง Pricing เข้าไปในราคาตลาด
และ Fed fund future พอสมควร ทำให้ Earning Yield Gap เกือบ 4.7% นั่นคือ สูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 6 ปี
ในแง่ Fundamental ไทยยังดีอยู่ แต่ได้รับผลกระทบ Fund flow
ถ้าดู Earning Yield Gap ระหว่างไทยกับสหรัฐ ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5%
แสดงว่านักลงทุนต่างประเทศอาจจะขายน้อยลงเพราะหุ้นไทยไม่ถือว่าแพง
ในทางกลับกัน MAI หลายบริษัท Earning Yield Gap สูง หรือบริษัทที่แนะนำว่า PE 15 เท่า
มองในแง่ Earning Yield Gap ถือว่าไม่แพง

สิ่งที่นักลงทุนอาจกังวลเรื่อง FED แต่ก็อาจจะ Pricing เข้าไปใน Fed fund future แล้ว
เดือน ก.ค. น่าจะไม่มีปัจจัยลบสำคัญ
เดือน ส.ค. มีประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง
1.การจ่ายหนี้ของอิตาลี ค่าประกันความเสี่ยง CDS ของอิตาลี สูงขึ้นมาก
นักลงทุนโลกอาจกลัวว่าอิตาลีมีความยากในการคืนเงิน
2. MSCI Rebalancing รอบสอง แต่คาดว่า SET อาจจะไม่โดนกระทบ เพราะเดือน พ.ค. โดนปรับไปแล้ว
การที่ FED ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ส่วนชดเชยความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
นำไปสู่ Discount Rate เพิ่มขึ้น บริษัท PE สูง Cashflow ไม่ดี Earning Growth ไม่ได้ตามเป้าหมาย จะกระทบก่อน

คุณเทิดศักดิ์
ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เห็นประเด็นใหญ่ในแง่การทำกำไร
ผลดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 2.85 แสนล้านบาท (26% ของประมาณการณ์ทั้งปี)
ราคาที่ลดลงไม่ได้เพราะปัจจัยพื้นฐาน แต่ Flow ไหลออก
มองว่าเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว แต่ถ้าเก็งกำไรระยะสั้นคิดว่าไม่ง่าย
เลือกหุ้น PE ไม่แพงมาก มีเงินปันผลระดับหนึ่ง น่าจะช่วยหล่อเลี้ยงในช่วงตลาดผันผวน
สรุป ถ้าลงทุนระยะสั้นให้ระวังให้มาก แต่ถ้าลงทุนระยะยาวน่าจะหาของดีเก็บเข้าพอร์ต
และอย่าหวั่นไหวถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน

ปิดท้าย
อ.ไพบูลย์ การลงทุนมีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้ดีที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุน
คำแนะนำจากนักวิเคราะห์เป็นการคาดการณ์ ประมาณและมาแนะนำด้วยความรู้ สามารถถูกหรือผิดได้เสมอ
หุ้น MAI เป็นหุ้นเล็ก งานวิจัยทางวิชาการพบว่าหุ้นเล็กจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นใหญ่ ทั้งไทยและในโลก
และถ้าลงทุนหุ้นเล็ก 1-2 ตัวจะสวิงกว่าหุ้นใหญ่มาก เวลาพลาดก็จะพลาดมาก
ดังนั้นจะลงทุนหาข้อมูลเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ และอย่าลงทุนน้อยตัวเกินไป

อ.เสน่ห์ ปิดด้วยกลอน MAI เข้ากระแส
เยอรมันพลาดพลั้งยังตกรอบ อาร์เจนติน่าก็กรอบสู้ไม่ไหว
อิตาลีไม่ได้มาน่าเห็นใจ แน่แค่ไหนก็พลาดได้ไม่แน่นอน
การลงทุนหุ้นนั้นหนาอย่ามั่นหมาย ว่าไม่มีวันอิ๋บอ๋ายใครนะสอน
จะเจ๊งบ้างกำไรบ้างช่างบั่นทอน แต่อย่าถอนถอดใจหุ้นใหม่เอย

ช่วงที่1 ทางพี่อมรจะโพสต์เพิ่มเติมครับ

ขอบพระคุณอ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ พี่โจ และแขกรับเชิญที่สละเวลามาให้ความรู้
แฃะขอบคุณทีมตลาด MAI,ทีมงานMoney talk และผู้บริหารทุกท่านที่จัดงานและมาให้ข้อมูลในวันนี้ด้วยครับ
วันนี้สถานที่กว้างเสียงอาจไม่ชัดเจนบางช่วง หากข้อมูลมีผิดพลาดขออภัยด้วยครับ ดู VDO เต็มย้อนหลังได้ใน FB Live/Youtube ครับ
Go against and stay alive.
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: MoneyTalk@MAI1Jul18MAIเล็กดีรสโตจริงหรือ?

โพสต์ที่ 2

โพสต์

รวดเร็วเสมอ ขอบคุณมากค่ะ ^^
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Re: MoneyTalk@MAI1Jul18MAIเล็กดีรสโตจริงหรือ?

โพสต์ที่ 3

โพสต์

MoneyTalk@MAI Forum 1 กค 18
ช่วงที่1 หัวข้อ “mai เล็กดี รสโต จริงหรือ?”


วิทยากร

ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการลงทุน
คุณ อนุรักษ์ บุญแสวง (โจ ลูกอีสาน) อดีตนายกสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า(ประเทศไทย)
ดำเนินรายการ โดย อ. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ

สัมมนาครั้งต่อไป วันที่ 14 กค 18 เปิดจองทางFacebook เสาร์ที่ 8 กค 18 เวลา 7.00น
ช่วงที่1 เจาะลึกหุ้นเด่น มี4บริษัทดังนี้
1.IRPC
2.AMATA
3.SCN
4.SEAFCO
ช่วงที่2 “ทิศทางหุ้นไทยครึ่งปีหลัง” วิทยากรได้แก่
1.ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
2.คุณ มนตรี
3.คุณ กวี
4.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

เริ่มเข้ารายการ หัวข้อที่ถาม “หุ้นmaiดีตรงไหน ไม่ดีตรงไหน มีจุดไหนที่ต้องระวัง”
เริ่มจากคุณโจพูดก่อน

คุณโจ บอกว่า ปีนี้คนมาร่วมงานmai Forumน้อยไปหน่อย ปีที่แล้วผมก็มาพูด
คนดูคึกคักกว่านี้เยอะ แต่ไม่เป็นไรคนที่มาก็มาหาความรู้ด้านการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญกัน

จุดเด่นหุ้นmai ดังนี้

1.เปรียบเทียบช้างกับกระต่าย ก็มีข้อดี ข้อเสียที่ต่างกัน
ช้างเหมือนกับSET ,กระต่ายเหมือนกับ mai
ตัวอย่าง หุ้นSCCซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นSET โอกาสที่กำไรขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวในปีหรือสองปียากมาก
แต่หุ้นในตลาดmaiหลายตัว มีโอกาสที่กำไรปรับเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัวหรือเกือบหนึ่งเท่าตัวภายในปีเดียว
แน่นอนของราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่เหรียญมีสองด้าน เราก็รู้โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ต้นปี2018 ดัชนีSETลดลงมา9-10%
แต่ ดัชนีหุ้นMAI ลดลงมา 23% ดัชนีmaiลดลงมามากกว่าตลาดรวม
การที่ดัชนีขึ้นเร็ว และ เวลาลง มันก็ลงเร็วด้วย ที่เราต้องชั่งน้ำหนัก
ในสภาวะปกติ ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ
นักวิชาการวิจัยว่าหุ้นเล็กให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นใหญ่
แต่ตลาดหุ้นช่วงปกติและลงทุนในระยะยาว หุ้นเล็กให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นใหญ่
ในระยะสั้น ดัชนีไม่แน่นอน เหมือนกับข้อมูลที่ อ ไพบูลย์ โชว์ตอนต้นรายการ

อ ไพบูลย์เสริมว่า ข้อมูลที่โชว์ได้มาจาก ผศ ดร ณัฐวุฒิ เจนวิทยาโรจน์
จากนิด้าเป็นผู้ศึกษาเกี่ยวกับตลาดหุ้นมาว่า เฉลี่ยในระยะยาวหุ้นเล็กให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นใหญ่
แต่ต้องทำใจ เวลาเจ๊งต้องสาหัส

อ โจ พูดต่อว่า หุ้นMAI มีหุ้นน้อยมากที่สถาบัน และต่างชาติมาเข้าซื้อ
ในเมื่อไม่มีนักลงทุนต่างชาติ และ นักลงทุนสถาบันติดตาม
มีโอกาสทำให้ราคาตลาดไม่สะท้อนกับราคาพื้นฐาน ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ดังนั้น ถ้าเราศึกษาอย่างดี มีโอกาสเจอเพชรในตม
มีโอกาสเจอหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ามากกว่าการหาหุ้นราคาต่ำในSET
ที่นักลงทุนสถาบัน และ ต่างชาติศึกษามาอย่างดี
ยกเว้นเราไม่ศึกษาหาหุ้นเอง

มีบริษัทที่พึ่งเข้ามาและจะเจ๊งมี 20 กว่าบริษัท ซึ่งมีความเสี่ยงในการลงทุน
ถ้าเรามีความรู้ก็จะสามารถหลบได้ทัน ผมลงทุนในหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างเยอะ และพอร์ตโตไว
เพราะลงทุนในหุ้นเล็กมาตลอด

อ ไพบูลย์ บอกว่า ตลาดหุ้นMAIมีข้อมูลน้อย ต่างชาติ สถาบันไม่มีใครมาดู
แต่มีตอนนี้มีข่าวดี company snapshot ไปที่ซุ้ม MAI และ scan QR code เพื่อดูข้อมูลหุ้นในMAI ทุกตัว
Updateปัจจุบัน แต่หุ้นSETไม่มีข้อมูลแบบนี้
ซึ่งเหมือนกับหนังสือMAI ที่อ ไพบูลย์ ถือมาโชว์บนเวที

อ เสน่ห์ถามว่ามีหุ้นที่รุ่งเรืองมากๆบ้างไหม
อ โจ ตอบว่าบริษัทที่รุ่งเรืองก็มี แต่เวลาผลประกอบการดี
ส่วนใหญ่จะย้ายไปตลาดหุ้นSET
เพราะ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นSETเสียภาษีมากกว่าในตลาดMAI
เนื่องจากกำไรเติบโตดีกว่าบริษัทในตลาดMAI
บริษัทในmaiเมื่อได้รับเงินจากการขายipoแล้วก็นำเงินมาลงทุน
และขยายกิจการ เพื่อสร้างกำไรให้กับผู้ถือหุ้น

อ ไพบูลย์ บอกว่าฟังจากคุณโจ ที่ลงทุนในหุ้นเล็ก mai
ถามว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นmai ต้องระวังอะไร

คุณโจ บอกว่าระยะหลัง ขาดทุนบ่อย เลยต้องระมัดระวังมากขึ้น
หุ้นที่เข้ามาตลาดmai จากราคา 12 บาท เหลือ 2 บาท
เพราะตอนเข้าตลาดมาจะอยู่ในช่วงที่กำไรพีคสุด ทำให้รายย่อยจ่ายแพงตอนซื้อหุ้นช่วงipo
แต่พอกำไรเข้าสู่ปกติ คือกำไรลดฮวบ ทำให้ราคาหุ้นลดลง
ประเด็นที่สอง SET ซื้อขายที่ PE 16 เท่า
ตลาดmai ซื้อขายที่ PE 50-60 เท่า
และผู้บริหารที่เข้ามาตลาดmai อดีตคือstart up หรือ บริษัทกงสี
บางบริษัทเอาบริษัทเข้ามาตลาดหลักทรัพย์เพื่อขายทิ้ง
สังเกตจาก บริษัทที่เข้ามาตลาด สินค้าอยู่ในช่วงล้าสมัย
ซึ่งเห็นมีบริษัทแบบนี้บ้างแล้ว

อ นิเวศน์ บอกว่า เวลาหุ้นตกอย่าไปรับ เหมือนกับการไปรับมีด (ตรงกับบทความ
ของ อ นิเวศน์ที่เขียนลงวันนี้พอดี)
อ นิเวศน์เล่าความหลังเมื่อ 15 ปีก่อน ช่วงตั้งตลาดmai
หุ้นมีน้อยตัว สามารถวิ่งได้เร็ว มีการเก็งกำไรเพราะหุ้นตัวเล็ก
รอบแรกคือช่วง10ปีแรกหลังเปิดตลาดmai เก็งกำไรไม่ออก ดัชนีนิ่ง
หลังจากนั้น หุ้นmaiวิ่งตามดัชนีตลาดSET
ผมไม่เล่น ไม่สนใจเพราะธุรกิจไม่น่าสนใจ จนกระทั่งเมื่อ5ปีที่แล้ว
หุ้นในmai วิ่งมโหฬาร ตัวใหญ่ขึ้นเยอะ นักเก็งกำไรในตลาดเพิ่มมากขึ้น
เพราะตลาดหุ้นวิ่งแรงมากหลังจากเกิดวิกฤตSubprime
ช่วงนั้นหุ้นที่พึ่งเข้ามาในตลาดmaiเยอะ PE เข้ามา 20-30 เท่า
วิ่งไม่นานก็ทำให้PE เพิ่มขึ้น 50-100เท่า
ปีนี้ คล้ายกับตลาดหุ้นเหนื่อย ทำให้หุ้นmai เริ่มนิ่งและค่อยๆลงมา
ตอนนี้ PE เท่ากับ 77 เท่า ซึ่งยังสูงอยู่ จากเมื่อก่อน 99 เท่า
นาทีนี้ จบรอบของmai ไม่มีใครสนใจ รวมถึงหุ้นแพง ต่างชาติก็ไม่เล่นด้วย
ตอนตลาดหุ้นตกแรง 23% นักเก็งกำไรหายไปหมด
เมื่อ5 ปีก่อน หุ้นขึ้นมาแรง ตอนนี้ก็เริ่มตกตามภาวะตลาดSETด้วย
เปรียบเทียบหุ้นในแต่ละกลุ่ม

ดัชนีSET ตก 9% ส่วน SET HD ตกไปแค่ 5% SET50 ตก 7%
ส่วน หุ้นsmall cap ใน SET ก็ตกแรงกว่า
หุ้นตัวใหญ่ ที่มี Div yield 5-6% PE 11 เท่าเอง ราคาหุ้นตกน้อยมาก
SET50 15 เท่า , Small SET PE 21 เท่า ดีกว่าหุ้นmaiเยอะ
ตอนนี้ควรเล่นหุ้นใหญ่คุณภาพดี ปันผลดี
หุ้น mai PB 2.06 เท่า
หุ้น Small SET PB 1.5 เท่า
หุ้น SET 50 PB 2.0 เท่า
แสดงว่าหุ้นตอนนี้ไม่ค่อยแพง PE 16 เท่า
SET HD ปันผล 4.6% ซึ่งสูงมากกว่าฝากเงิน ดูน่าสนใจ
ถ้าเรามั่นใจว่าอยู่ได้ ก็ซื้อหุ้นปันผล
SET ,SET50ทั้งตลาด Yield 3.2% ดีกว่าฝากเงินถือว่าไม่แพง
SET small cap 3.8% แต่ถ้าเป็นหุ้นในmai ดูแพง ปันผลน้อยกว่า
ตอนนี้หุ้นmai มีปัญหาพอสมควร แต่คุณโจรวยจากหุ้นmai แสดงว่า
ยังมีหุ้นที่ดีอยู่ในMAI
ตัวเลขที่แสดงว่า valuation ไม่แพง ต่อไปจะบอกว่าถ้าจะซื้อ จะซื้ออย่างไร

อ ไพบูลย์ บอกว่ามีปัญหาคือ ไม่มีเงินซื้อหุ้น
18ปีที่แล้ว เกิดวิกฤตในหุ้นdot com ที่อเมริกา หุ้นamazon ตกไป 95%
แต่ถ้าซื้อตอนนั้นซึ่งเป็นหุ้นเล็กจิ๋ว ตอนนี้กลายเป็นหุ้นใหญ่ที่สุดแล้ว

อ โจ บอกว่าหุ้นตกต้องทำใจ
หุ้นถ้าไม่เขียวมันก็แดง หรือ หุ้นนิ่งๆ
หุ้นมีแค่2-3 สถานะ แสดงว่าครึ่งนึงของชีวิตของนักลงทุนอยู่กับportแดง
เราก็อยู่กับมันให้ได้

เรามีวิธีการรับมือเป็นขั้นตอน

1. พื้นฐานของหุ้นยังokไหม ถ้ายังดี ให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ไม่มีวิกฤตไหนที่ท้ายสุดหุ้นไม่ขึ้นกลับมา แต่อาจจะอีก 1,2 ปีข้างหน้า

2. ถ้าบริษัทที่ถือแย่ลง ต้องcut loss ห้ามซื้อหุ้นdefensive หรือ ถือเงินสด
นี่เป็นกับดักคนส่วนใหญ่ ถ้าหุ้นลงเร็ว ต้องซื้อหุ้นที่ขึ้นเร็ว

3. ข้อนี้ อ.โจทำบ่อย หุ้นที่มันลง จะลงไม่เท่ากัน บางตัวลง 40-60%
คุ้มไหมขายตัวเก่าที่ลงน้อย หรือ มีupsideไม่เกิน20% ขายและไปซื้อหุ้นที่ลงเยอะ50%
ถึงจะเสียค่าcommissionก็คุ้ม แต่ถ้าหุ้นเหลือ 900จุด เราอาจต้องยืมเงิน
หรือ ใช้marginนิดหน่อยมาซื้อหุ้น แต่ไม่คิดว่าจะเจอ
ที่ดัชนี 900 จุด ทำให้PB 1 เท่า อาจต้องเสี่ยงอีกสักรอบ

อ เสน่ห์ ถามว่าตอนหุ้นตก จะมีหน่วยซีลมาช่วยไหม
อ เสน่ห์ บอกว่า SEAL ย่อมาจาก
S: Stop ,
E: Emotional control ,
A: Average ,
L: Lost Management

อ นิเวศน์ บอกว่า 10ปีแรก หุ้นmaiยังไม่ไปไหน แต่5ปีหลัง หุ้นถูกคาดหวังว่าจะโตเยอะ
ทำให้PE ขึ้นไป 100 เท่า นักลงทุนไม่ดูความถูกแพงในการซื้อหุ้น ขึ้นกับความคาดหวัง
ราคาหุ้นขึ้นไปตามความโลภ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการปรับทัศนคติ ตอนนี้คนที่ลงทุนหุ้น ตอนซื้อต้องดูราคาด้วย
นาทีนี้นักลงทุนหาเหตุผลก่อนการซื้อหุ้น ในที่สุด นักลงทุนทั้งตลาดกำลังปรับทัศนคติ
ในเรื่องการตัดสินใจซื้อหุ้นโดยหาเหตุผลในการซื้อหุ้น
แทนการใช้ความคาดหวังมาตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น
หุ้นคุณภาพธรรมดา ราคาจะแพงไม่ได้ ยกเว้น หุ้นมีคุณภาพดีเยี่ยม
ช่วงหุ้นราคาแพงและเกิดราคาตกลง คนที่ถือหุ้น
สุดท้ายก็ทนไม่ได้ยอมขายจนราคาหุ้นเข้าสู่ราคาปกติ
ต่อไปจะไม่เห็นหุ้นที่มีPE 70เท่าหลายสิบตัวในตลาดหลักทรัพย์
จะค่อยๆปรับPEไปเรื่อยๆ เพราะคนถือหุ้นทนไม่ได้ต้องขายออกไป
กระบวนการจะค่อยล้างจนกลับไปช่วงแรกที่หุ้นmai ที่ไม่ค่อยสนใจลงทุน
และราคาไม่แพง หุ้นจะเข้าสู่ความเป็นจริง เข้าสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็น
หุ้นที่วิ่งแรง จะไม่เจออีก

คุณโจ บอกว่าหุ้น4ตัวที่นักวิเคราะห์บอกมาปีที่แล้ว ราคาค่อนข้างแพง ดัชนีmai ลดลงไป29%
ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วขาดทุน 34% บางตัวขาดทุน60%

อ.เสน่ห์ ถามว่า ณ สถานการณ์แบบนี้ คุณโจจะแนะนำผู้ฟังอย่างไรดี
คุณโจแนะนำว่า พูดกับตัวเองว่าเวลาหุ้นตก เป็นวิกฤตของราคาหุ้นไม่ใช่วิกฤตของบริษัท
เมื่อเวลาผ่านไป ราคาหุ้นก็จะปรับเข้าสู่ปกติ หรือ การเปลี่ยนหุ้นที่มีupsidgeน้อยไปสู่หุ้นที่มีupsideมาก
ราคาหุ้นตกไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว
แต่ถ้าเราไปทำอะไรแย่ เช่นขายหุ้นทิ้ง ถือเงินสด ก็จะขาดทุนจริงๆ
ผมถือหุ้น 37 ตัว เป็นหุ้นในmai 8 ตัว ที่เหลือเป็นหุ้นในSET
ผมจะขายหุ้นที่มีพื้นฐานเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ระหว่างรอนั้นก็ยังมีเงินปันผล

อ นิเวศน์ บอกว่าให้ไปพิจารณาดูหุ้นที่ถืออยู่ว่าPE สูงไปไหม ยังดีหรือเปล่า
ให้กลับไปทำงาน อย่าไปหวังว่าหุ้นจะวิ่ง ต่อไปหุ้นจะไม่คึกคัก ปันผลก็น้อย
ฟังมาหลายปีว่า ฝรั่งต้องกลับมาซื้อ แต่ก็ยังไม่เห็นมาซื้อจริง
หุ้นตัวใหญ่ก็ถูกต่างชาติขาย แต่ราคาไม่ค่อยลงเท่าไหร่
ต่อไปหุ้นที่ขึ้นแรงๆคงไม่มี และ หุ้นที่มีPEสูงๆเช่น 80 เท่าคงไม่มีแล้ว
เหลือแค่ 10กว่าเท่า กลับสู่ช่วงปกติ

ขอขอบคุณ อ. นิเวศน์ , อ. โจ , อ. ไพบูลย์ และ อ. เสน่ห์ รวมถึงทีมงานทุกคนครับ
โพสต์โพสต์