Investment in Vietnam by ดร นิเวศน์ จัดโดย Maybank KimEng

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
amornkowa
Verified User
โพสต์: 2195
ผู้ติดตาม: 0

Investment in Vietnam by ดร นิเวศน์ จัดโดย Maybank KimEng

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เริ่มต้นจากการสนใจประเทศเวียดนามเป็นลำดับแรก ต่อมา Moneychannel ชวนไปดูตลาดหุ้นในเวียดนามพร้อมกับนักลงทุนวีไอ แต่ยังไม่มีไอเดีย กลับมาตัดสินใจว่าตลาดหุ้นที่เวียดนามน่าลงทุน และ ช่วงนั้นเศรษฐกิจไทยโตช้าลง ราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยแพงขึ้น หาลงทุนยากขึ้น เราเคยซื้อหุ้นถูกๆในอดีต เลยตัดสินใจเอาเงินส่วนนึงไปลงทุน ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง เพราะถ้าถือหุ้นที่ไทยอย่างเดียว เวลาเกิดปัญหา Portfolio ก็จะเสียหายหมด
ประเทศเวียดนามพึ่งเป็นระบบทุนนิยมมา 20กว่าปีนี้เอง หลังจากปิดประเทศไปเกือบ20ปี ระบบการทำธุรกิจแตกต่างจากไทย เพราะ ไทยมีการค้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เวียดนาม เมื่อ 100กว่าปีก่อน เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
ก่อนหน้านี้ก็เป็นของจีน จนกระทั่งมีสงครามกลางเมือง ไม่ได้สร้าง entrepreneur ตอนหลังสร้างผู้ประกอบการเร็วมากและเปิดประเทศ รับระบบทุนนิยม ดูเหมือนจะมากกว่า ประเทศไทย คือเปิดให้ต่างชาติถือหุ้นได้ 100% ถือเป็นการเติบโตมากกว่าเมืองไทยโดยดูจากศักยภาพ

ปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมี 3 ปัจจัย

1. ระบบเศรษฐกิจเสรี ที่เอื้อต่อการค้าขาย

2. คุณภาพของประชากร ของ เวียดนาม ได้มีการทดสอบ พิซาร์เทส ซึ่งเป็นการเทสในระดับมัธยมปรากฏว่าได้คะแนน IQ เท่ากับเยอรมัน เวียดนามถือเป็นประเทศที่ใช้ตะเกียบประเทศสุดท้ายที่ยังไม่โต

3. กำลังแรงงานที่มีเหลือเฟือ อยู่ในช่วงวัยทำงาน ประมาณ30ปีเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เคยเกิดที่เมืองไทยเมื่อ 20 ปีก่อน ทำให้ไทยมี GDP โตกว่า 10 % ตอนหลังคนไทยมีอัตราการเกิดน้อยลงแต่เรามีเงินเยอะขึ้น เนื่องจากลูกๆโตกันหมดแล้ว รายได้ต่อหัวโตเร็ว ทำให้มีเงินซื้อหุ้น แต่คนเวียดนามไม่ค่อยมีเงินเหลือไปลงทุนในหุ้น เป็นสิ่งที่ดีที่ทำให้หุ้นเวียดนามไม่ค่อยขึ้น เหมือนไทยสมัยก่อนเมื่อ20กว่าปี ตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยโต Market cap 2-3 ล้านล้านบาท ซึ่งพอๆกับตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้ ประมาณ 3-4 ล้านล้านบาท
นักลงทุนต่างประเทศเข้าไปผลิตสินค้าที่เวียดนามเต็มไปหมด ตอนนี้เวียดนามเหมือนไทยเมื่อ20ปีก่อน แต่หุ้นยังไม่ขึ้น
เราอยากเป็นหนุ่มเหมือนเมื่อก่อน เลยไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ความเสี่ยงในระยะสั้นยังมี แต่อีก 5-10 ปีข้างหน้า
เวียดนามโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็นประเทศที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพแรงงานที่ดี ค่าแรงถูกกว่าไทย เศรษฐกิจต้องการการบริโภคอีกเยอะ ซัมซุงเมื่อก่อนตัดสินใจอยู่ว่าจะลงทุนเพิ่มในไทยหรือเวียดนาม สุดท้ายก็มาเลือกลงทุนในเวียดนาม แถมยังย้ายการผลิตจากไทยมาที่นี่ด้วย เพราะที่เวียดนามได้เปรียบกว่าหลายด้าน
สังคมที่เวียดนามไม่สุดโต่ง เล่นได้ทุกรูปแบบ ยืดหยุ่น แรงงานขยันขันแข็ง หลังจากไปvisitคราวที่แล้ว ภาพยังไม่เปลี่ยนเหมือนเมืองไทยเมื่อ20กว่าปีก่อนพอเศรษฐกิจเฟื่องฟู มีโอกาสเกิดการโกงขึ้นมาเป็นเรื่องธรรมชาติhandleกันได้
เศรษฐกิจโตเร็วกว่าต้นทุนนี้เยอะ CG ก็ค่อยๆดีขึ้น ดัชนีหุ้นเวียดนามไม่โดดเด่นมาก เมืองไทยก็คล้ายๆกันในสมัยก่อน
ระยะ5-6ปีหลังเริ่มผิดปกติ โตช้าลง สำหรับดัชนีหุ้นเวียดนามคิดว่าโตเฉลี่ย 10-15% ไม่มากกว่านี้ ถึงแม้จะมีหุ้นเช่น
Mobileworld ก็ตาม อาจกระโดดบ้างจากการปรับตัวจากตลาด Frontier ไปเป็น Emerging Market

หุ้นบางตัวอาจโตกว่า15% หลายคนได้ศึกษา ถ้าลงทุนในหุ้น PE ต่ำ และ ราคาขึ้นก็ขายไปเรื่อยๆ ย้อนหลัง15ปี ผลตอบแทนอาจเป็น 30% ถึง 10เท่า ดังนั้นการเลือกควรซื้อหุ้นตัวเล็ก และ ซื้อเก็บไว้

ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นๆลงๆ ควรหาหุ้นเล็กเก็บไว้ เลือกเก่งๆก็รวยได้ ดีกว่าการซื้อดัชนี ซึ่งโดยปกติขึ้น10เท่ายากมาก แต่หุ้นตัวเล็กขึ้น10เท่าเป็นไปได้

วิธีการลงทุนของดร นิเวศน์ในตลาดหุ้นเวียดนาม

ผมไม่รู้ว่าตัวไหนดี สุดท้ายเลือกหุ้นถูก ใช้วิธีของ Magic formular ของ ดร ไพบูลย์ ให้ program คอมพิวเตอร์ เลือกมา 50-60 ตัวถือ ไว้ ผ่านไป 1 ปี หุ้นไม่ไปไหน แต่ได้ ปันผลมาทุกตัว เกือบ 10% ต่อปี happyมาก
ทิ้งไว้2ปี คนเริ่มมาลงทุนกันมากขึ้น ปรากฏว่าขึ้นมา 50% บางตัวขึ้นมา3เท่า เช่น หุ้นโรงงาน้ำตาลและ หุ้นโม่หิน
หุ้นขึ้นมาขนาดนี้ แต่ยังไม่ขาย เวลาซื้อใช้เวลา6เดือน แต่ถ้าจะขายน่าจะใช้เวลา6ปี ตอนนี้ volunmการซื้อขาย
อยู่ที่ 3000-4000 ล้านบาทต่อวัน รอจนคนเวียดนามมาเล่นหุ้นเยอะ จะถึงเวลาขายได้ หุ้นที่ซื้อส่วนใหญ่ Marketcap แค่ 100-500 ล้านบาทเอง พยายามไม่ซื้อเกิน5% ลงทุนในsectorที่น่าเบื่อ แต่ราคาหุ้นถูก
จะซื้อเพิ่มอีก30-40 บริษัทให้ครบ100บริษัท ปันผล10%มากกว่าหุ้นไทย มีหุ้นเน่าบ้างแต่มีหุ้นดีๆมาชดเชย
หุ้นรับเหมาก่อสร้างขึ้นมา2-3เท่า market cap แค่ 300 ล้านบาท หุ้นโม่หิน C32 หุ้นน้ำตาล จำได้เพราะขึ้นมาเยอะ
อีก40บริษัทที่จะซื้อเพิ่มก็ใช้วิธีเดิมซึ่งได้ผลมาก่อน เน้น PEต่ำ โดยใช้หลักการของ Magic formular และ Jitta
เหมาะกับการใช้ในตลาดหุ้นที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ แต่ใช้กับหุ้นไทยไม่ได้ เพราะ ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีประสิทธภาพไปแล้ว แต่ตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่ใช่ตลาดที่มีประสิทธิภาพ ยังสามารถหาหุ้นถูกได้
ผมอยากซื้อหุ้นเป็นตัวๆ เพราะซื้อกวาดมีข้อจำกัด ติดตามยาก ซื้อเก็บแบบหุ้นในเมืองไทยแค่ 5-6 ตัวใหญ่ๆ
และตามไปเรื่อยๆ เราต้องรู้เรื่องหุ้นเวียดนามมากกว่านี้ อยากหาบริษัทที่มั่นคง เช่น บริษัทผลิตไฟฟ้าที่เวียดนามยังต้องการไฟฟ้าอีกเยอะ ถ้าทุกอย่างลงตัว น่าจะขึ้นไปได้ ราคาหุ้นน่าจะขึ้นไปให้เหมาะสมกับฐานะ
ร้านสะดวกซื้อ หรือ Modern trade ยังต้องมองไปเรื่อยๆ ยังไม่มีผู้ชนะเด็ดขาด
หุ้น Infrastructure เติบโตแบบมั่นคง คู่แข่งเข้ามายาก ต้องลงทุนสูง ไม่ได้เปรียบคนเก่าที่เข้ามาก่อน
แต่บริษัทที่ขายมือถือ เช่น Mobileworld ถึงแม้โตเร็ว แต่ อาจมีคู่แข่งเข้ามาแข่ง ซึ่งเข้ามาง่าย
หุ้นเขื่อน น่าสนใจเพราะไฟฟ้าทั่วประเทศมาจากเขื่อน 50% บางบริษัท Market cap 600 ล้านบาท อยากซื้อไว้
เผื่อชวนเพื่อนไปตกปลาที่เขื่อนของตัวเอง
ย้อนมาที่ Infrastructure ต่างชาติแข่งยาก ต้องเข้าไปBid และ ลงทุนสูง ผมเจอบริษัทนึง ทำทางด่วนเหมือน BECL
แต่ Market cap 500 ล้านบาทเองเป็นทางด่วนที่รถรอขึ้นตลอดเวลา และ รถช่วงนี้ขายดีมากเพราะคนชั้นกลางเริ่มมีรายได้มากขึ้น สรุปหุ้นที่น่าลงทุน จะเน้น บริษัทก่อสร้าง ทางด่วน ทำเขื่อน ที่มั่นคง บริษัทผลิตยาก็น่าสนใจ สักวันน่าจะ
โตเท่ากับ บริษัท Mega ในเมืองไทย เพราะคนเวียดนามรวยขึ้น ต้องการยา อาหารเสริมมากขึ้น
ส่วน Modern trade ไม่ค่อยดี ประเทศไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ช่วง4-5ปีแรก มีสาขาน้อย ที่เวียดนามก็เหมือนเราช่วงนั้น
บริษัทพวกนี้อยู่นอกตลาดหุ้น แข่งขันกันอยู่ แต่ถ้าเราเห็นว่ามีบริษัทในตลาดหุ้นก็น่าสนใจ ผมจะรอบริษัทที่ชนะขาด
ค่อยลงทุน ส่วนบริษัทขายโทรศัพท์มือถือ local ชนะ เพราะต่างชาติแข่งขันยาก กำไรต่ำมาก ไม่คุ้มลงทุน
ส่วนธนาคารไทย PEแค่ 10 เท่า ผ่านวิกฤตเศรษฐกินมาอย่างน้อย2รอบ ตอนนี้ได้มาตราBazel3แล้ว ผู้บริหารไม่ซี้ซั้ว
NPL พอได้ เงินปันผล4% ก็โอเค แต่ธนาคารในเวียดนาม ไม่เคยผ่านวิกฤต เราไม่รู้ข้างใน เฉยๆไว้ก่อน

สุดท้ายขอขอบคุณ ดร นิเวศน์ และ Maybank KimEng ที่จัดสัมมนาและความรู้ดีๆกับเราเสมอมาครับ
โพสต์โพสต์