โค้ด: เลือกทั้งหมด
คนที่ “ผ่านโลกมามาก” ทั้งที่เป็นประสบการณ์โดยตรง และการอ่านและศึกษาประวัติศาสตร์ในหลาย ๆ ด้านอย่างผมนั้น มักจะมองอะไรต่าง ๆ อย่าง “ปลงอนิจจัง” มากกว่าคนที่ยังมีอายุน้อยและผ่านประสบการณ์ทั้งโดยตรงและทางอ้อมน้อยกว่า เหตุผลก็เพราะผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ มากกว่า ความเปลี่ยนแปลงที่ผมเห็นนั้น จำนวนมากเป็นเรื่องของรสนิยมและแฟชั่นฉาบฉวยที่เปลี่ยนรวดเร็วแค่ข้าม “ฤดู” ไม่กี่เดือนหรือปีสองปีและทุกคนก็เชื่อว่ามันก็ต้องเป็นอย่างนั้น บางเรื่องเป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีที่ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปและคนบางส่วนก็เชื่อว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นแม้ว่าคน “รุ่นเก่า” บางส่วนอาจจะ “ไม่ยอมรับ” และเรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องของความเชื่อที่ถูก “ปลูกฝัง” ลงในสมอง “ส่วนลึก” ที่คนทุกคนต่างก็เชื่ออย่างมั่นคงว่ามันเป็นสิ่งที่จริงแท้แน่นอนไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้นั้น ผมก็เห็นมันเปลี่ยนไป บางครั้ง จาก “หน้ามือเป็นหลังมือ” ดังนั้น เวลาที่มีคนมาบอกว่าโลกหรือประเทศไทยหรือบริษัทหรืออะไรก็แล้วแต่ จะต้องหรือจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างจริงแท้แน่นอน ด้วยเหตุผลที่ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ มีหลักฐาน เป็น “วิทยาศาสตร์” บางครั้งผมก็จะไม่ค่อยเชื่อ หรือไม่ก็ไม่นำมาเป็นประเด็นที่จะใช้มันในการตัดสินใจหรือประกอบการวิเคราะห์อย่าง “เอาเป็นเอาตาย” ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่ครั้งหนึ่งคนคิดและเชื่ออย่างหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม
ย้อนหลังไปแค่ 3-4 ปี ที่ราคาน้ำมันดิบโลกวิ่งขึ้นไปสูงมากร้อยกว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรล คนก็เริ่มพูดว่าน้ำมันจะต้องมีราคาสูง “ตลอดกาล” โอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมันต่ำกว่าร้อยเหรียญนั้น “ลืมไปได้เลย” เหตุเพราะบ่อน้ำมันจะค่อย ๆ แห้งลง การขุดหาบ่อใหม่จะมีต้นทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ เหนือสิ่งอื่นใด โลกไม่ได้เจอบ่อน้ำมันขนาดใหญ่มาหลายสิบปีแล้ว โลกประสบกับ “Peak Oil” หรือปริมาณน้ำมันที่ขุดได้สูงสุดแล้วและกำลังลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่การใช้น้ำมันก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดยักษ์อย่างจีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย เป็นต้น
แต่แล้วราคาน้ำมันดิบก็ “ดิ่งลงเหว” เหลือแค่ 50-60 เหรียญในเวลาอันสั้นในปีนี้ เหตุผลก็เพราะ อเมริกาสามารถขุดน้ำมันบนบกด้วยวิธีใหม่ที่เรียกว่า Fracking ซึ่งทำให้ได้น้ำมันมากด้วยต้นทุนต่ำ และทำให้อเมริกากลายเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่ที่ทำให้ปริมาณการผลิตโลกมากกว่าความต้องการใช้ และนี่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่ประเด็นสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ มีความเชื่อกันใหม่ว่า โอกาสที่จะเห็นราคาน้ำมันขึ้นไปสูงอย่างเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะโลกอาจจะเริ่มเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันในอนาคตจะเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรีหรือใช้ไฮโดรเจน การปั่นไฟเพื่อใช้ในบ้านและอุตสาหกรรมก็จะเปลี่ยนไปใช้พลังแสงแดดหรือลมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต้นทุนที่ต่ำลงเนื่องจากเทคโนโลยีที่ดีขึ้น ดังนั้น อนาคตของน้ำมันจึงกำลัง “ริบหรี่” ตลอดกาล
แม้แต่บัฟเฟตต์เองก็อาจจะเคยจับประเด็นเรื่องราคาน้ำมันที่อาจจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีลงและเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันเมื่อหลายปีก่อน แต่ผมเข้าใจว่าตอนนี้เขาถอนการลงทุนไปหมดแล้ว หลายคนอาจจะมีความเชื่อใหม่ที่มั่นคงว่า “พลังงานทางเลือก” ไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากชีวมวล พลังงานแสงแดดและลม จะเป็นสิ่งที่จะเติบโตไปไม่มีหยุดเนื่องจากมันคือแหล่งพลังงานที่ใช้ได้ “ไม่มีวันหมด” และดังนั้น การลงทุนกับมันจะเป็นสิ่งที่ได้ผลตอบแทนสูง ส่วนตัวผมเองนั้นคิดว่า นี่คือเรื่องของ “อนิจจัง” เรื่องใหม่ เป็นไปได้ที่อีกร้อยปีข้างหน้า โลกจะใช้พลังงานดังกล่าวมาก แต่เส้นทางที่ไปและกิจการที่จะรุ่งเรืองนั้น อาจจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราคิดอย่างสิ้นเชิงก็ได้
ครั้งหนึ่ง อาจจะซัก 30-40 ปีที่แล้ว คนกลัวเรื่องเงินเฟ้อกันมาก เพราะเงินเฟ้อบางทีสูงถึงปีละ 10% ก็มี เงินเฟ้อเป็น “ปีศาจ” ที่หลอกหลอนคนทุกชาติ การต่อต้านเงินเฟ้อเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะเงินเฟ้ออาจจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศและโลกล่มสลาย แต่คนก็เชื่อกันว่าเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ต้อง “อยู่กับโลก” เป็นไปไม่ได้ที่เงินจะไม่เฟ้อ “คนรุ่นพ่อใช้เงินกันวัน 1 บาทแต่เดี๋ยวนี้ 100 บาทนั้นกาแฟหรูซักแก้วก็ยังซื้อไม่ได้” แต่เดี๋ยวนี้ คนกลับกลัวว่าเงินจะไม่เฟ้อ หลายประเทศต้องพยายามทำให้เงินเฟ้อเพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ การที่จะให้เงินเฟ้อถึง 2-3% นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับหลายประเทศ หลายคนเชื่อว่าโอกาสที่โลกจะกลับมามีเงินเฟ้อสูง ๆ นั้นเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสำหรับประเทศที่เจริญและไม่ใช่เศรษฐกิจปิดยกเว้นแต่ประเทศจะเกิดวิกฤติรุนแรงและเงินท้องถิ่นหมดค่าลง
ความคิดเรื่องของคนหรือประชากรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พลิก “หน้ามือเป็นหลังมือ” สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นนั้น ทุกคนบอกว่า “ลูกมากจะยากจน” นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลแต่เป็นเรื่องของประเทศและเศรษฐกิจ การลดการมีลูกหรือมีเด็กเกิดใหม่นั้นเป็น “ภารกิจสำคัญ” ของประเทศกำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย เพราะ “ประเทศจะพัฒนาไปไม่ได้ถ้ายังมีคนเกิดมาก ๆ” ประเทศจีนเองถึงกับเป็นนโยบายของรัฐบาลที่บังคับให้ทุกครอบครัวมีลูกได้เพียงคนเดียว เดี๋ยวนี้เราบอกว่าประเทศที่จะเติบโตได้เร็วนั้นก็คือประเทศที่มีประชากรมาก มีคนหนุ่มสาวหรือเด็กมาก ประเทศที่คนแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและมีเด็กเกิดใหม่น้อยนั้น โอกาสที่จะโตจะยากและในที่สุดก็จะลดลง ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นและประเทศในยุโรปตะวันตก สิงคโปร์เองตอนนี้ต้องส่งเสริมให้คนมีลูกมากขึ้น ตอนนี้มีแต่คนคิดว่าเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ที่ประเทศที่คนแก่ตัวลงแล้วจะมีประชากรเกิดใหม่มากขึ้น
เรื่องของสุขภาพเองนั้น เรามีความเชื่อที่ “ฝังหัว” มานานมากว่าคลอเรสเตอรอลทำให้เป็นโรคหัวใจ และดังนั้น เราควรจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารมันและอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูงโดยเฉพาะที่เป็นคนสูงอายุ ดังนั้น เวลาผมดื่มนมผมจึงมักเลือกนมพร่องมันเนย ผมจะจำกัดการกินไข่ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ฟอง ผมหลีกเลี่ยงเนื้อมัน ๆ และหนังไก่ ผมหลีกเลี่ยงกะทิ ทั้ง ๆ ที่ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ผมชอบกิน แต่คลอเรสเตอรอลผมก็ยังสูงกว่ามาตรฐานอยู่ดี ดังนั้นผมต้องกินยาลดคลอเรสเตอรอลทุกวันเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคเส้นเลือดอุดตัน แต่ล่าสุดมี “ผลการศึกษา” ที่พบว่าการกินอาหารไม่มีอะไรเกี่ยวกับระดับของคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือดของเรา เพราะคลอเรสเตอรอลส่วนใหญ่นั้นถูกผลิตขึ้นภายในร่างกายของเราอยู่แล้ว พูดง่าย ๆ อยากกินอะไรก็กินไป มันไม่ได้เพิ่มหรือลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ที่จริง การกินไข่วันละหลาย ๆ ฟองเป็นสิ่งที่ดี มันมีสารอาหารที่วิเศษที่ช่วยการทำงานของร่ายกายและลดการเป็นอัลไซเมอร์ แต่ถึงวันนี้ผมเองก็ยังสงสัยว่า “ผลการศึกษา” เก่ามันผิดหรืออย่างไร? อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยังไม่กล้ากินไข่หรืออาหารมันมากนัก เพราะยังกลัวว่าอาจจะมี “ผลการศึกษา” ใหม่กว่าที่จะทำให้ผมต้อง “ช๊อก” เพราะเราเป็นโรคหัวใจเนื่องจาก “กินไม่ระวัง” เพราะเชื่อการศึกษาใหม่
ในชีวิตเรานั้น ผมคิดว่าเราถูกข้อมูลข่าวสาร “ล้างสมอง” ทุกวันตั้งแต่เด็กจนถึงแก่ ข้อมูลบางอย่างก็ไม่ได้มีความลำเอียงอะไรแต่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง มันถูกประกาศหรือปล่อยออกมาโดยความรู้เท่าไม่ถึงการแต่หลังจากนั้นมันก็อาจจะ “ติด” จนคนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน ข้อมูลหลายอย่างก็อาจจะถูกปล่อยออกมาโดยมีความตั้งใจเพื่อให้คนเชื่อด้วยเหตุผลที่มันเป็นประโยชน์ต่อคนปล่อยและมันก็ทำให้เราและสังคมเชื่อ ผมเองคิดว่านักลงทุนจำเป็นที่จะต้องแยกแยะว่าอะไรเป็นของจริงแท้แน่นอน ซึ่งนี่ก็ควรเป็นเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ อะไรที่อาจจะไม่จริงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะเชื่ออย่างไม่มีคำถาม นี่ก็คือสิ่งที่มักจะเป็นวิทยาศาสตร์ผสมกับศิลปะซึ่งก็มักจะรวมถึงเรื่องการแพทย์หรือสุขภาพ และอะไรที่อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงเท่ากันซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องของศิลปะมากกว่าวิทยาศาสตร์ซึ่งน่าจะรวมถึงพฤติกรรมขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และสุดท้ายคือเรื่องที่เปลี่ยนไปได้แค่ข้ามคืนซึ่งก็คือเรื่องที่เป็นศิลปะล้วน ๆ เช่นเรื่องของแฟชั่นหรือความเห่อของคน