ราคาน้ำมัน (1)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

ราคาน้ำมัน (1)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ในช่วงเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงกว่า 35% เพราะผู้เชี่ยวชาญประเมินว่ามีการผลิตน้ำมันเกินความต้องการประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นตัวอย่างกระท่อนกระแท่นของยุโรป ซึ่งไม่น่าจะกระเตื้องขึ้นมากนักในปีหน้าคือเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวเพียง 1.2% และอีก 1.3% ในปี 2016 ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนแม้จะยังขยายตัวที่ระดับสูงคือประมาณ 7.3% ในปีนี้ แต่ก็ลดลงจาก 10% ต่อปีในทศวรรษก่อนหน้าและน่าจะชะลอลงต่อไปอีกเหลือ 7% ต่อปีหรือต่ำกว่านั้นในปีหน้าและปีต่อๆ ไป

แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบโลกลดลงอย่างฮวบฮาบคือการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นมากจากสหรัฐอเมริกา กล่าวคือการนำเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่าการขุดเจาะทแยงและใช้ของเหลวผลักดันก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบซึ่งอยู่ที่ลึกหรือ hydraulic fracturing นั้นทำให้ผลผลิต shale gas และ shale oil ของสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเกินความคาดหมายไปอย่างมาก กล่าวคือ shale oil เพิ่มจาก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2007 มาเป็น 5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2014 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปเกือบถึง 7 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2018 โดยรวมแล้วน้ำมันที่สหรัฐผลิตได้ทั้งหมดในขณะนี้จึงมากกว่า 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้เชื่อกันว่าสหรัฐจะกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลกใน 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐจะกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกเพราะสหรัฐก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ แต่การพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากโอเปกโดยเฉพาะจากประเทศซาอุดีอาระเบียและเวเนซุเอลากำลังลดลงอย่างรวดเร็วโดยประมาณการว่าสหรัฐจะนำเข้าน้ำมันจากโอเปกเพียง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้น

กล่าวโดยสรุปคือ อุปสงค์ก็ขยายตัวน้อย ในขณะที่อุปทานจาก shale oil ขยายตัวสูงขึ้นเกิน คาดในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา แต่ราคาน้ำมันก็ยังอยู่ที่ระดับสูงคือประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลมาโดยตลอด เพราะความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติทางการเมืองและความมั่นคงในตะวันออกกลาง ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ลิเบียตามด้วยการสู้รบกันที่ซีเรียซึ่งลามมาที่อิรัก ตลอดจนการเผชิญหน้ากันระหว่างรัสเซียกับประเทศสหรัฐและยุโรปทำให้เกิดการตอบโต้กันทางการค้า ซึ่งกระทบถึงภาคพลังงานด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในที่สุดความอ่อนแอของอุปสงค์โลกโดยรวม ตลอดจนการประเมินว่าตราบใดที่ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับใกล้ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การผลิต shale oil ก็จะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อไป ทำให้กลไกตลาดกดดันราคาน้ำมันให้ไหลลงอย่างต่อเนื่องจาก 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมิ.ย. มาเป็น 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในขณะนี้

บางคนอาจตั้งคำถามว่า หากเห็นแนวโน้มความอ่อนแอของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมานาน 2-3 ปีแล้วและการผลิต shale oil ก็เพิ่มขึ้นมาหลายปีแล้วเช่นกัน ทำไมราคาน้ำมันจึงได้ยืนอยู่ที่ 100 ดอลลาร์มานานหลายปีและเพิ่งจะมาทรุดตัวลงใน 6 เดือนที่ผ่านมา ตรงนี้คำตอบอาจเป็นเพราะมีการคาดการณ์กันว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันโอเปกจะเป็นผู้ปรับลดการผลิตของกลุ่ม ทำให้อุปสงค์และอุปทานกลับมามีความสมดุลอีกครั้งหนึ่งเพราะในอดีตโอเปกโดยเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบียจะรับภาระเป็นผู้รักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงตั้งความหวังเอาไว้ว่าประเทศกลุ่มโอเปกจะประกาศหลังการประชุมเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ว่าจะร่วมกันลดการผลิตจริงลงจาก 30.6 ล้านบาร์เรลต่อวันมาเป็น 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับการผลิตที่ได้เคยประกาศออกมานานแล้ว แต่ก็ผลิตเกินกว่าโควตาเสมอมา ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ประเมินว่าการลดการผลิตลงประมาณ 6 แสนบาร์เรลต่อวันจะช่วยให้ราคาน้ำมัน WTI คงอยู่ได้ที่ระดับ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (Brent จะแพงกว่า WTI ประมาณ 5-6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล)

แต่ผลปรากฏว่าประเทศที่เป็นแกนนำหลักของโอเปกคือซาอุดีอาระเบียยืนยันว่าโอเปกจะไม่ปรับลดการผลิตแต่อย่างใด เพราะซาอุดีอาระเบียทราบดีว่าภาระหลักของการปรับลดการผลิตของโอเปกก็จะต้องกลับมาตกอยู่กับซาอุดีอาระเบียเพียงประเทศเดียว ทั้งนี้เพราะประเทศโอเปกอื่นๆ เช่นเวเนซุเอลาก็กำลังมีปัญหาขาดเงินงบประมาณอย่างมากเพราะมีรายจ่ายสูงและหากจะให้งบประมาณสมดุล ราคาน้ำมันก็จะต้องเท่ากับ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อิหร่านเองก็ต้องการผลิตมากขึ้นเพราะเพิ่งได้รับการผ่อนคลายการคว่ำบาตรจากการเจรจาจำกัดการผลิตอุปกรณ์เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ในขณะที่ลิเบียและอิรักก็ต้องการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐมาฟื้นฟูประเทศเช่นกัน นอกจากนั้นประเทศนอกโอเปกเช่นรัสเซียก็กำลังต้องการรายได้จากการส่งออกน้ำมันเพื่อช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินรูเบิลและกอบกู้เศรษฐกิจรัสเซียซึ่งกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย

กล่าวคือ การไม่ยอมลดการผลิตของซาอุดีอาระเบียในวันที่ 27 พ.ย. นั้นผิดคาดของผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนอย่างมาก ทำให้ราคาน้ำมันปรับลดลงทันทีในคืนนั้น 5% ซึ่งถือได้ว่าเสียงส่วนใหญ่คาดการณ์ผิดพลาดอย่างมาก เพราะความผันผวนของราคามากถึง 5% แปลว่าผู้ที่เก็งถูกจะสามารถทำกำไรได้มหาศาลภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง คำถามคือทำไมเสียงส่วนใหญ่และผู้เชี่ยวชาญจึงคาดการณ์ผิดพลาดทั้งๆ ที่การประเมินท่าทีของประเทศเดียวคือซาอุดีอาระเบียในเรื่องเดียวคือจะลดหรือไม่ลดการผลิต ไม่น่าเป็นเรื่องที่ทำให้ถูกต้องได้ยากมากนัก

ซึ่งเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเสียงส่วนใหญ่จึงสรุปความได้ว่าซาอุดีอาระเบียไม่มีทางเลือกเพราะหากลดการผลิตของตนเองลงไป ก็เหมือนกับการ “ใส่พาน” ส่วนแบ่งตลาดให้กับ shale oil เพราะผู้เชี่ยวชาญเองก็ประเมินว่าที่ราคาน้ำมันดิบที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้น shale oil มีแต่จะเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น ซาอุดีอาระเบียจึงต้องเผชิญหน้ากับ shale oil แล้วตอบตัวเองว่าจะจัดการกับ shale oil อย่างไร ซึ่งเราก็ได้คำตอบแล้วว่าจะต้องทนเจ็บในระยะสั้นคือยอมให้น้ำมันดิบราคาลดลงไปที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลซึ่งจะส่งผลให้การผลิต shale oil ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้

รายละเอียดเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ขอขยายความในตอนต่อไปครับ
[/size]
Seattle
Verified User
โพสต์: 1119
ผู้ติดตาม: 0

Re: ราคาน้ำมัน (1)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ราคาน้ำมัน (2) / ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ครั้งที่แล้วผมสรุปว่าประเทศซาอุดีอาระเบียตัดสินใจนำพาสมาชิกโอเปกไม่ให้ลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มลง ซึ่งผิดคาดทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากเฉลี่ย 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในครึ่งแรกของปี 2014 นี้เหลือไม่ถึง 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยมองได้ว่าเป็นความตั้งใจของประเทศซาอุดีอาระเบียที่จะสกัดการขยายตัวของอุตสาหกรรม Shale oil ของสหรัฐซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริลลินช์ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทหลักทรัพย์ภัทรประเมินว่าหากราคา WTI อยู่ที่ระดับ

1. 97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลผลผลิต Shale oil จะเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2015

2. 84 ดอลลาร์ ผลผลิต shale oil จะเพิ่ม 7 แสนบาร์เรลต่อวันในปี 2015

3. 76 ดอลลาร์ ผลผลิต shale oil จะเพิ่ม 5 แสนบาร์เรลต่อวันในปี 2015

4. 60 ดอลลาร์ ผลผลิต shale oil จะไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้เลยในปี 2015

การคาดการณ์ของแบงก์ออฟอเมริกานั้นการที่ OPEC ไม่เป็นผู้นำในการลดการผลิตเพื่อปรับอุปทานน้ำมันให้สมดุลกับอุปสงค์ อาจส่งผลให้ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวลดลงไปถึง 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ในระยะสั้น ทั้งนี้เพราะหลุม Shale oil ที่กำลังผลิตอยู่ในขณะนี้ยังจะนำน้ำมันออกมาขายต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะต้นทุนแปรผัน (ซึ่งไม่รวมทุนที่ลงไปแล้วเช่นการไปกู้เงินธนาคารมาซื้อที่ดินและอุปกรณ์ขุดเจาะ) จะอยู่ที่ระดับต่ำคือ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่หากราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 60-70 ดอลลาร์เนิ่นนานไปอีก 6-12 เดือนก็น่าจะส่งผลให้การลงทุนแสวงหาน้ำมันใหม่เพื่อเพิ่มการผลิตหรือการลงทุนเพื่อดูแลหลุมน้ำมันบางหลุมที่ปัจจุบันมีต้นทุนสูงก็จะลดลงไปตามลำดับ ในขณะที่อุปสงค์ก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้น (เพราะราคาปรับลดลงไปเกือบ 40%) ทำให้สามารถมองได้ว่าผลผลิตส่วนเกินประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก็น่าจะถูกจำกัดออกไปได้ภายในเวลาประมาณ 6-12 เดือน

ทั้งนี้ เมื่อเริ่มเห็นอัตราการเพิ่มผลผลิตชะลอตัวลงและอัตราการขยายตัวของอุปสงค์เร่งตัวขึ้นภายใน 6 เดือนข้างหน้าก็พอจะเชื่อได้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะเริ่มปรับตัวขึ้นในครึ่งหลังของปีหน้า โดยแบงก์ออฟอเมริกาประเมินว่าราคาน้ำมันในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือต่ำกว่าเฉลี่ยราคาน้ำมันในปีนี้ถึง 30% ทั้งนี้ ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับต่ำมากในครึ่งแรกของปีหน้า แต่จะเป็น “ขาขึ้น” ในครึ่งหลังของปี

อย่างไรก็ดี การปรับตัวของอุตสาหกรรมและของราคาน้ำมันนั้นในความเป็นจริงคงจะไม่ได้ปรับเปลี่ยนอย่างเป็นระเบียบและค่อยเป็นค่อยไปดังที่กล่าวข้างต้น แต่น่าจะมีความผันผวนในมิติต่างๆ เช่น

1. ประเทศโอเปกบางประเทศน่าจะประสบปัญหาอย่างมาก เช่น เวเนซุเอลา อิรักและอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวเนซุเอลาซึ่งอยากเห็นน้ำมันราคา 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเพื่อจะได้ไม่ขาดดุลงบประมาณ นอกจากนั้นก็ยังเผชิญปัญหาว่าตลาดหลักของเวเนซุเอลาคือสหรัฐอเมริกาซึ่งไม่ใช่ประเทศมิตรและสหรัฐเองก็จะพึ่งพาเวเนซุเอลาลดลงตามลำดับ เพราะนอกจากผลผลิตในประเทศที่กำลังเพิ่มขึ้นแล้วซาอุดีอาระเบียก็กำลังลดราคาน้ำมันที่ตนขายให้สหรัฐเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย นอกจากนั้นพรรครีพับลิกันที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาและคุมเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนและวุฒิสภา จะให้การสนับสนุนการก่อสร้างท่อส่งน้ำมัน Keystone XL จากแคนาดา ทำให้สหรัฐพึ่งพาเวเนซุเอลาน้อยลงไปอีก ในอนาคตประเทศโอเปกอื่นๆ เช่นไนจีเรีย อิรัก ลิเบียและอิหร่านก็จะมีปัญหามากเช่นกัน แต่หากประเทศดังกล่าวประสบปัญหาทางการเงินก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก เพราะเป็นประเทศเล็กและหากขาดเงินรัฐบาลของประเทศดังกล่าวก็น่าจะสั่งการให้เร่งการผลิตน้ำมันมากกว่ายุติหรือชะลอการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็คงจะกดดันซาอุดีอาระเบียให้เรียกประชุมฉุกเฉินของกลุ่มโอเปกในต้นปีหน้าหากราคาน้ำมันยังคงอยู่ที่ระดับปัจจุบันซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรทำให้ราคาน้ำมันผันผวนมากขึ้น

2. ประเทศใหญ่ที่กำลังเจอปัญหาซ้ำเติมมากที่สุดคือรัสเซียเพราะถูกประเทศตะวันตกคว่ำบาตรอยู่ก่อนหน้าแล้วและมีภาระทางการทหารจากการเข้าไปมีบทบาทในข้อพิพาทในยูเครนและใช้กำลังทหารเข้าไปยึดครองไครเมีย ทำให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจรัสเซียจะเข้าสู่สภาวะถดถอยในปีหน้าและการอ่อนตัวของค่าเงินรูเบลและปัญหาเงินเฟ้อก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้นแม้ว่ารัสเซียจะยังมีทุนสำรองระหว่างประเทศเหลืออยู่หลายแสนล้านดอลลาร์ (แต่ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง) ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่ารัสเซียอาจมีปัญหาจ่ายคืนหนี้และหากต้องหยุดชำระหนี้ก็อาจส่งผลต่อตลาดพันธบัตรของประเทศตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ตลอดจนส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์หลายแห่งของยุโรปที่ปล่อยกู้ให้รัสเซียคิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ (จีดีพีของรัสเซียประมาณ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์)

3. การผลิต Shale oil ในสหรัฐนั้นเป็นการขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน ทั้งนี้ประเมินว่า 40% เป็นผู้ผลิตรายย่อยที่น่าจะมีต้นทุนสูงจึงน่าจะได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก แต่บริษัทขนาดใหญ่ 8 บริษัทที่ได้ลงทุนไปแล้วนั้นสามารถนำน้ำมันออกมาจากหลุมได้โดยต้นทุนเพียง 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (แต่ที่น้ำมันราคา 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก็คงจะไม่อยากลงทุนขุดเจาะหลุมใหญ่หรือลงทุนเพิ่มเพื่อปรับปรุงหลุมปัจจุบัน) นอกจากนั้นต้นทุนก็จะแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับทำเลของหลุมด้วย เช่น น้ำมันที่ Eagle Ford ในมลรัฐเท็กซัสจะมีต้นทุนในการขนส่งต่ำกว่าที่ Bakken Formation ที่มลรัฐนอร์ทดาโคตา เป็นต้น นอกจากนั้นผมยังเชื่อว่าผู้ผลิต Shale oil คงจะรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องของความช่วยเหลือจากวุฒิสมาชิกและส.ส.ของเขตอุตสาหกรรมของตนในการลดการนำเข้าและส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ (โดยให้พึ่งพาโอเปกลดลง) ซึ่งเป็นเหตุผลที่น่าฟัง ดังนั้นผมจึงยังจะไม่ปักใจเชื่อว่าShale oil ของสหรัฐจะถูกจำกัดหรือกำจัดไปได้โดยง่าย แต่ก็มีความเสี่ยงว่าบริษัท Shale oil เป็นจำนวนมากออกพันธบัตรที่เรียกว่า high yield (ผลตอบแทนสูงแต่ก็เสี่ยงสูงด้วยหรือ junk bond) เป็นการกู้เงินจากตลาดเพื่อลงทุนในโครงการของตน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดปัญหาการพักชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากหากราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับต่ำเช่นปัจจุบันและหากเกิดขึ้นจริงก็จะส่งผลให้บริษัทดังกล่าวต้องปิดตัวและหยุดการผลิตลง ทั้งนี้ได้มีการประเมินว่าตลาดพันธบัตรผลตอบแทนสูงนี้มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ โดย Shale oil มีส่วนแบ่งอยู่ 17-18% หรือมูลค่าประมาณ 250,000 ล้านดอลลาร์ หมายความว่าดอกเบี้ยพันธบัตร high yield กำลังปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตร high yield ที่เป็นของบริษัทพลังงานหรือเกี่ยวข้องกับพลังงานเช่นผู้ที่ผลิตและขายอุปกรณ์การขุดเจาะเป็นต้น
โพสต์โพสต์