โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตั้งแต่หนังสือการลงทุนเล่มแรกที่ผมเขียนคือ “ตีแตก” ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2542 แล้ว ผมก็ยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงวันนี้ผมนับดูแล้วมีรวมกันเกือบ 20 เล่ม ทุกเล่มนั้น สิ่งที่ผมต้องคิดนอกจากเนื้อหาของหนังสือแล้วก็คือ “ชื่อ” ของหนังสือ เพราะชื่อนั้นมีส่วนสำคัญที่จะทำให้หนังสือขายได้ดีหรือไม่ดีไม่น้อยไปกว่าเนื้อหา ถ้าจะว่าไปก็คงเหมือนกับสินค้าที่จะขายดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ “หีบห่อ” ไม่น้อย ดังนั้น ก่อนที่จะออกหนังสือ ผมจึงต้องตั้งชื่อเรื่องที่ผมคิดว่ามันจะสื่อถึงประเด็นสำคัญที่มีต่อการลงทุนที่เข้ากับสถานการณ์ในขณะที่หนังสือออกวางแผง ผลก็คือ ถึงวันนี้ ผมมี “ชื่อ” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของการลงทุนแบบ VI เกือบ 20 ชื่อซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูก็พบว่าแต่ละชื่อนั้น เหมือนกับเป็น “ปรัชญา” ที่สำคัญสำหรับ VI ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
เริ่มต้นด้วยหนังสือชื่อ “ลงทุนเพื่อชีวิต-ด้วยหุ้น” นี่เป็นปรัชญาหรือหลักการลงทุนที่ผมเห็นว่าสำคัญและจะเปลี่ยนวิถีการลงทุนของเราโดยสิ้นเชิง คนที่เข้ามา “เล่นหุ้น” โดยกันเงินส่วนหนึ่งเข้ามาซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่ใช่การลงทุน “เพื่อชีวิต” แต่น่าจะเป็นการลงทุนเพื่อความสนุกสนานหรือความโลภหรือความต้องการทำกำไรเพื่อนำเงินมาใช้เพิ่มขึ้น ดังนั้น โอกาสที่ชีวิตจะ “เปลี่ยนแปลง” ไปจึงแทบไม่มี เราจะเข้าไปลงทุนก็เฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นคึกคักและก็เลิกเล่นเมื่อทุกอย่างเหงา เงินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงมีไม่มาก ชีวิตในระยะยาวของเราก็เหมือนเดิม แต่การลงทุนเพื่อชีวิตนั้น เป็นการลงทุนที่เราตั้งความหวังว่าเมื่อเราแก่ตัวลงหรือมีอายุมากขึ้น เราก็จะมีเงินมากพอที่จะทำให้เราสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน มันจึงมีความสำคัญมากและไม่ใช่เรื่อง “เล่น” และสำหรับบางคนนั้น มันเป็นหนทางที่จะทำให้ “รวย” เป็นเศรษฐีได้ ดังนั้น วิธีการลงทุนจึงต้องแตกต่างจากคนอื่น ที่สำคัญก็คือ เราต้อง “ทุ่มเท” ทรัพยากร ทั้งทางด้านเม็ดเงินและแรงกายแรงใจที่จะทำให้มันบรรลุผล นี่คือสิ่งเราต้องเลือก
หนังสือชื่อ “เซียนหุ้นพันธุ์แท้” “เซียนหุ้นมือทอง” และ “เทคนิคพิชิตหุ้น” นั้น บ่งบอกให้รู้ว่า การลงทุนนั้น ไม่ใช่ว่าจะแค่รู้จักชื่อหุ้นและสามารถสั่งซื้อสั่งขายได้โดยการการดูราคาหุ้นที่ขึ้นลงทุกวันและอ่านข้อมูลจากหนังสือพิมพ์รายวันหรือติดตามจากสื่อสมัยใหม่เท่านั้น แต่การลงทุนที่ถูกต้องนั้นเราจะต้องเข้าใจหลักการที่ถูกต้อง เราต้องเรียนรู้จาก “เซียน” ที่เป็น “ตัวจริง” ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ การเล่นหุ้นตามคนอื่นโดยที่เราไม่ได้รู้เหตุผลที่แท้จริงในแง่ของมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะยาก และนี่ก็คือหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “เล่นหุ้นตามเซียน” ที่ผมเขียนขึ้นในปีที่หุ้นที่ “เซียน” เล่นกันมากมีการปรับตัวขึ้นอย่างมากมาย แต่เนื้อหาที่แท้จริงของหนังสือก็คือ “อย่าเล่นหุ้นตามเซียน”
วิธีการลงทุนที่ผมคิดว่าดีที่สุดในระยะยาวก็คือ การพยายาม “ชนะอย่างเต่า” ซึ่งเป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมชอบมาก ว่าที่จริงถ้าจะหาคุณลักษณะการลงทุนของผมโดยเปรียบเทียบกับสัตว์แล้ว ผมคิดว่าผมก็คือ “เต่า” นั่นก็คือ ผมเน้นว่าผมเลือกที่จะ “เดินทาง” หรือลงทุนอย่างช้า ๆ ไม่เลือกหุ้นที่หวือหวาที่อาจจะให้ผลตอบแทนเร็วมากแต่อาจจะมีความเสี่ยง ผมอยากที่จะเดินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด ผมคิดว่าถ้าเรามี “เวลา” ในการลงทุนยาวนานเหมือนอายุเต่า เงินของเราก็จะพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ต้องรีบ นอกจากนั้น การเป็น “เต่า” ที่มีกระดองหนาป้องกันตัวและสามารถอยู่ได้ในทุกสถานที่และสถานการณ์แม้แต่ในน้ำนั้น ก็เปรียบเสมือนกับการลงทุนของเราที่จะต้องออกแบบพอร์ตการลงทุนของเราให้ปลอดภัยในทุกสถานการณ์รวมถึงวิกฤติเศรษฐกิจที่มักจะต้องเกิดขึ้นเสมอได้
ชื่อหนังสือสองเล่มที่จะบอกถึงความจริงแท้แน่นอนว่าจะต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งและเราจะต้องผ่านมันไปได้ก็คือ “เล่นหุ้นในภาวะวิกฤติ” และ “เล่นหุ้นปีทอง” ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเราจะต้องหลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงวิกฤติและทุ่มเททุกอย่างลงทุนในปีทอง ว่าที่จริงในทั้งสองช่วงนั้น ผมลงทุนร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งสองช่วง เหตุผลก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่าปีไหนเป็นปีวิกฤติและปีไหนจะเป็นปีทองจนกระทั่งมันผ่านไปแล้วเราไม่รู้ล่วงหน้า สิ่งที่เราต้องทำตลอดเวลาก็คือ ออกแบบหรือเลือกหุ้นลงทุนที่จะทำให้เราอย่าเสียหายมากเกินไปเมื่อเกิดวิกฤติและกำไรดีแต่อาจจะไม่ดีเท่าคนอื่นที่เล่นเก็งกำไรมากเมื่อเป็นปีทอง โดยวิธีนี้ ในระยะยาวแล้วเราจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เหตุผลเพราะว่า เวลาหุ้นตก 50% นั้น เราจะต้องทำผลตอบแทนขึ้น 100% เราถึงจะเท่าทุน ดังนั้น โดยทั่วไป การป้องกันหุ้นตกย่อมดีกว่าพยายามทำกำไรให้มากขึ้น
ในการลงทุนนั้น ถ้าเราหวังที่จะ “รวย” ไม่ได้หวังแค่ได้ผลตอบแทนปกติ บ่อยครั้งเราต้องกล้าที่จะ “ตีแตก” นั่นก็คือ ลงทุนในหุ้นบางตัวในจำนวนเงินที่มากกว่าปกติมาก มันเป็นหุ้นที่เรา “เดิมพัน” สูงมาก ถ้าเราชนะเราจะได้เงินมากอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่ถ้าเราแพ้ เราก็อาจจะเสียหายหนัก ดังนั้น การที่เราจะลงทุนในหุ้นตัวนั้น เราจะต้องมั่นใจมากว่าโอกาสที่เราจะชนะมีมาก และโอกาสที่เราจะแพ้มีน้อย และถ้าแพ้ เราก็จะต้องไม่เสียหายหนักเกินไปจนอยู่ไม่รอด ซึ่งหลักเบื้องต้นง่าย ๆ ของผมก็คือ อย่าถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน 50% ของพอร์ต นอกจากนั้น บริษัทจะต้องมีความเสี่ยงที่จะ “หายนะ” ต่ำมาก และสุดท้ายก็คือ อย่าคิดว่าเราพบหุ้นที่เราสามารถ “ตีแตก” ได้ปีละหลาย ๆ ตัว ผมคิดว่าหุ้นที่สมควรที่เราจะตีแตกนั้น ถ้าภายใน 5 ปีมีหนึ่งตัวก็สุดยอดแล้ว
หุ้นที่จะตีแตกหรือหุ้นที่เราคิดจะลงทุนเป็น “แกน” ของพอร์ตของเราในระยะยาวนั้น ผมคิดว่าควรที่จะอยู่ในกลุ่มที่ผมเรียกว่า “ซุปเปอร์สต็อก-มหัศจรรย์ของหุ้น VI” ซึ่งก็เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ออกมาในช่วงที่หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” หรือหุ้นที่มีคุณสมบัติทางธุรกิจดีสุดยอดนั้น สร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างงดงาม บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและบริษัทเป็นผู้นำที่มีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันด้วยเหตุผลหลายอย่างรวมถึงขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งหรือแทบจะเป็นบริษัทใหญ่บริษัทเดียวในอุตสาหกรรม ดังนั้น มันจึงทำกำไรได้สูงกว่าปกติและสามารถขยายตัวและเพิ่มความได้เปรียบมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้หุ้นมีการเติบโตต่อเนื่องยาวนาน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกนั้น เราก็ต้องพึงระวังว่าราคาหุ้นจะไม่สูงเกินไป
การลงทุนนั้น เนื่องจากมันเป็นเรื่องระยะยาวมากแทบจะตลอดชีวิต มันจึงควรเป็นอย่างชื่อหนังสือเรื่อง “การลงทุนหุ้นอย่างสบายใจ” ไม่เคร่งเครียด และสำหรับบางคนนั้น เมื่อ “รวย” แล้วก็ควรเป็นการ “รวยหุ้นอย่างพอเพียง” ตามชื่อหนังสืออีกเล่มหนึ่ง นั่นก็คือ ไม่ใช้จ่ายเกินความจำเป็น รู้จักหาความสุขไม่ใช่จากการใช้เงิน แต่หาความสุขโดยมีเงินเป็นตัวสนับสนุนในกรณีที่จำเป็นต้องใช้เงิน นอกจากนั้น ในการลงทุนเราก็ควรจะนึกถึงเรื่อง “ธรรมะกับการลงทุน” ที่เป็นชื่อหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่จะช่วยชี้นำการใช้ชีวิตในตลาดหุ้นที่เต็มไปด้วยกิเลศและความโลภด้วย
สุดท้ายก็คือหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ออกในโอกาสที่ผมอายุครบ 60 ปีเมื่อปีที่แล้วชื่อ “ก้าวเล็ก ๆ ในตลาดหุ้น ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ชีวิตคนเราที่จะประสบความสำเร็จนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะต้องเริ่มจาก “ก้าวที่เล็ก ๆ” โดยที่ก้าวของผมก็มาจากความคิดที่ว่าผมจะ “รวยด้วยหุ้น” ตามชื่อหนังสือเล่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงแต่เขียนมานานแล้ว และทั้งหมดนั้นก็คือ “ปรัชญา VI” ที่ได้มาจากชื่อหนังสือการลงทุนที่ผมเขียนขึ้นในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา