อดีตนายช่างสู่ 'เซียนเทคนิค''โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์' (1)
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, February 03, 2014 07:15
จากอาชีพ "ช่างโยธา" สู่บทบาทนักเขียนหนังสือ สุดท้ายชีวิต "บ๊อบ-โอฬาร ภัทรกอบกิตติ" แชมป์เซียนหุ้นสุดยอดแฟนพันธุ์ 2548 รายการ แฟนพันธุ์แท้ พลิกผันกลายเป็น "นักเทคนิค" ปัจจุบันเขาคือ กูรู "ตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ"
จากอาชีพ "ช่างโยธา" สู่บทบาทนักเขียนหนังสือ สุดท้ายชีวิต "โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์" แชมป์เซียนหุ้น สุดยอดแฟนพันธุ์ 2548 รายการ แฟนพันธุ์แท้ พลิกผันกลายเป็น "นักเทคนิค" ปัจจุบันเขาคือ กูรู "ตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ"
ความเก่งของ "บ๊อบ-โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์" ถูกการันตีด้วยตำแหน่ง "แชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทย 2548 รายการ แฟนพันธุ์แท้" ความกระตือรืนร้นพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้คนในแวดวงตลาดหุ้นหลายคนยกย่องให้เขาเป็น "กูรูด้านการลงทุน" ไม่เว้นแม้แต่รุ่นน้องแชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทยปี 2556 "ซัน-กระทรวง จารุศิวะ" "คุณต้องไปคุยกับพี่ชายผมคนนี้เก่งมาก""หนุ่มซัน" เคยพูดเชื้อเชิญให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ไปทำความรู้จัก "บ๊อบ" ระหว่างที่บิสวีคยังไม่ติดต่อขอสัมภาษณ์ "ซัน" มักโทรศัพท์หา "บ๊อบ" เพื่อกล่อมให้รับนัดแต่โดยดี
"บ๊อบ-โอฬาร" ย้อนความหลังให้ฟังว่า คุณพ่อ-แม่ ยึดอาชีพค้าขายย่านวังหลัง เพื่อเลี้ยงดูเรา 3 คนพี่น้องมาตั้งแต่เด็กๆ ผมเป็นพี่ชาย คนโตมีหน้าที่ช่วยครอบครัวขายของ อาชีพค้าขายมีมาตั้งแต่รุ่นปู่-ย่า-ตา-ยาย
หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เราไปสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ด้วยความที่เป็นเด็กเรียนเก่งมาก เมื่อเรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 2 เกิดความรู้สึกแย่ๆ กับการเรียนหนังสือ มีคำถามเกิดขึ้นในหัวว่า ทำไมต้องเรียนหนังสือ (หัวเราะ)
กระทั่งเรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 3 คราวนี้เกิดความรู้สึก "เคว้งคว้าง"เริ่มไม่แน่ใจกับชีวิตหลังเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้นว่า ชีวิตควรเดินไปทางไหนต่อ ตัดสินใจเดินเข้าไปปรึกษาคุณครูแนะแนว ครูจับเรามาวัด "ไอคิว" ผลปรากฏว่า IQ ค่อนข้างสูง ครูบอกว่า IQ ระดับนี้ต้องเลือกเรียนสายวิทย์ที่จะไปเรียนเป็นหมอ หรือ วิศวะ
หลังคุณครูแนะนำเช่นนั้น ผมตัดสินใจเลือกเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 4 สายวิทย์-คณิต แต่เรียนได้สักพักเราได้เห็นเพื่อนสมัย ม. ต้น ที่เรียนอยู่ห้องศิลป์-คำนวณ ครานี้เกิดความรู้สึกอีกครั้งว่า เราเลือกเรียนสายผิดหรือเปล่า ครั้งหนึ่งเคยเดินไปขอครูย้ายไปเรียนสายศิลป์-คำนวณ แต่ครูไม่ยอม ด้วยเหตุผลที่ว่า เรียนเก่งขนาดนี้จะไปเรียนสายศิลป์คำนวณทำไม
ช่วงมัธยมศึกษาตอนปลายปีที่ 4 ชีวิตผกผัน มีโอกาสไปเรียนวิชาเขียนแบบ รู้สึกชอบมาก ด้วยความเป็นรุ่นบุกเบิกของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ทำให้ต้องทำทุกอย่างเอง แม้กระทั่งโต๊ะเขียนแบบยังต้องต่อเอง คราวนี้เราเริ่มคิดว่า หากจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แล้วจะไปเรียนต่อที่ไหนที่มีการเรียนการสอนวิชาเขียนแบบดีที่สุด
ตอนนั้นมีคนบอกว่า ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย (อุเทนถวาย)ที่นี่มี ชื่อเสียงเรื่องการเขียนแบบ สุดท้ายเราตัดสินใจ ไปสอบ ซึ่งติดคะแนนอันดับ 2 ของรุ่นปวช.คณะเทคนิคสถาปัตย์ ใช้เวลาเรียนปวช.3 ปี
ด้วยความที่เราวาดรูปไม่สวย ทำให้เกิดความรู้สึกว่า มาถูกทางหรือเปล่า ในเมื่อเราเก่งเรื่องคณิตศาสตร์ควรย้ายสายดีมั้ย สุดท้ายตัดสินใจ ไปสอบปวส. วิศวโยธา (การทาง) ด้วยความที่ชอบเรียนวิชาก่อสร้างถนน
ระหว่างที่เรียน ปวส.มีโอกาสได้ไปจับคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อ Apple 2 ตัว ของ "ปรเมศวร์ มินศิริ" ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Sanook.com เล่นคอมพิวเตอร์ของเขาไปมาเริ่มชอบจึงตัดสินใจลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาคอมพิวเตอร์ แต่เรียนได้แค่ 2 ปี เพราะอยากเรียนเพื่อให้รู้เท่านั้นเขา เล่าต่อว่า เมื่อชีวิต วัยเรียนผ่านมาถึง ปี 2531 ฐานะการเงินของครอบครัวเกิดวิกฤติ ทำให้คิดว่า เราควรเรียนต่อให้จบปริญญาตรีหรือไม่ แต่เราโชคดีตอนนั้นใกล้เรียนจบปวส.มีบริษัท สถาปนิกแห่งหนึ่ง เขาต้องการพนักงานที่เป็นลูกครึ่งผสม คือ จบสถาปัตย์ ปวช. และมาเรียนต่อปวส. สายโยธา บริษัทเขาเรียกไปสัมภาษณ์ เขาบอกกับเราว่า วันแรกที่เรียนจบให้มาทำงานกับบริษัทเลย พูดง่ายๆ ได้งานทำตั้งแต่ยังไม่เรียนจบ
เริ่มทำงานปีแรก ด้วยการเขียนแบบสนุกมาก เงินเดือนเริ่มต้น 3,200 บาท ถือว่า เป็นรายได้ดีมากเงินเดือนปรับขึ้นตลอด ได้โบนัสปีนั้น 6 เดือน ตอนโน้นมีเงินเหลือกินเหลือใช้ ทำงานเขียนแบบอยู่ 1 ปี บริษัทต้องการคนไปคุมงานก่อสร้างผมรีบอาสาทันที
ช่วงนั้นอยากทำงานใหม่ๆ รู้สึกว่า อยู่ในออฟฟิศทุกวันน่าเบื่อ ตอนนั้นรับหน้าที่เป็น ผู้ช่วยวิศวกรในไซต์งาน รายได้ดีมากได้ค่าโอที 2 เท่าของเงินเดือน เงินเหลือเยอะมาก แต่ไม่มีเวลาใช้เงิน ต้องอยู่ไซต์งานตลอด 24 ชั่วโมง ทำงานอยู่ในไซต์งาน 5-6 เดือน เราค้นพบตัวเอง อีกครั้งว่า "ไม่ใช่ชีวิตอย่างที่ต้องการ" ผมตัดสินใจยื่นใบลาออก ด้วยเหตุผลที่ว่า อยากไปเรียนต่อให้จบปริญญาตรี แต่บริษัทบอกว่า ไม่ต้องลาออกให้เวลาไปอ่านหนังสือสอบ 3 เดือน ซึ่งบริษัทยังคงจ่ายเงินเดือนเหมือนเดิม สุดท้ายสอบไม่ติด คราวนี้ไปคุยกับทางบริษัทว่า ขอลาออกจริงๆ เพราะ
เริ่มรู้แล้วว่า ชีวิตเราคงไม่ได้อยู่ในสายอาชีพก่อสร้าง เพราะว่าตอนนั้นเริ่มหลงรักคอมพิวเตอร์ ผมนำเงินที่ได้จากการทำงานไปซื้อคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นคอมพิวเตอร์ยังใช้ Dos อยู่เลย
ชีวิตพลิกผันเข้ามาอยู่ในวงการหนังสือจากการไปช่วย ปรเมศวร์" จัดหน้าหนังสือช่วงนั้นหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ขายดีมาก ก็เลยมาทำหนังสือถ่ายทอดสิ่งที่คลุกคลีอยู่ทุกวัน เล่มแรกขายดี แต่เก็บเงินไม่ได้ เพราะร้านหนังสือ หมุนเงินผิดวิธีด้วยความที่เป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ จัดส่งกันเอง โดนชักดาบไปเยอะพอควร
บทเรียนครั้งนั้นทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ให้มืออาชีพเขาทำดีกว่า
ตอนบ่ายก็นำหนังสือมาเสนอที่สำนักพิมพ์ ซีเอ็ด "พจนี นิราศรพ" ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการสายงานผลิตหนังสือ สำนักพิมพ์ซีเอ็ดบุ๊ค เซ็นเตอร์ ท่านเดินมาหาเราสองคน หลัง แอบฟังเราคุยกับผู้จัดการ ท่านหยิบต้นฉบับมาดู ก่อนจะถามว่า ต้องใช้เงินเท่าไหร่ เราตอบไปว่า ต้องใช้เงิน 70,000 บาท ท่านบอกว่า โอเคถ้าอย่างนั้นจะให้เงินไป 100,000 บาท ขายได้เท่าไหร่ค่อยหักเงินจากยอดขาย หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเช็คเงินสดก็มาอยู่ในมือ
ผมพิมพ์หนังสือ "กลเม็ดเคล็ดลับวินโดว์ 3.11" ด้วยเงินลงทุนที่ได้จากซีเอ็ด หนังสือขายติดอันดับ 2
"ผมชอบทำเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะนี่คือ เสน่ห์ของผม" หนังสือเล่มนี้มียอดขายเข้ามาเยอะมาก จับเงินหลัก "ล้านบาท"ได้ก็เพราะหนังสือเล่มนี้แหละ
"โอฬาร" บอกว่า เมื่อชีวิตการทำงานเริ่มประสบความสำเร็จ เราตั้งเป้าว่า ภายใน 1 ปี จะเขียนหนังสือขายดี 1 เล่ม และจะทำหนังสือเนื้อหาดีอีก 1 เล่ม โดยไม่สนใจว่าเล่มนี้จะกำไรหรือขาดทุน ยอดขายเล่มที่ขายดีก็มาช่วยอุ้มหนังสือดีๆ แต่โชคดีที่หนังสือทุกเล่มที่ทำออกมาขายได้กำไรทุกเล่ม
ผ่านมาถึงปี 2540 เมืองไทยเจอวิกฤติต้มยำกุ้ง ยอดขายหนังสือลดลงจากตัวเลข 6 หลัก เหลือเพียง 4 หลัก "พี่พจนี" บอกเราว่า ให้ระวังเรื่องการหนังสือเพิ่ม เศรษฐกิจแบบนี้ยอดขายหนังสือไม่ดีแน่ ตอนนั้นเกิดคำถามในใจ ว่า "เราทำอะไรผิด เราทำมาหากินสุจริต ทำสิ่งที่เกิดประโยชน์กับทุกคนแล้วทำไมหนังสือของเราจะขายไม่ได้"
ตอนนั้นกลับมานั่งคิดว่า เกิดอะไรขึ้น ผมเริ่มหันมาสนใจหาสาเหตุว่า "วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้อย่างไร" ทำไมถึงกระทบต่อธุรกิจของเรามากขนาดนี้ ภาวะเงินเฟ้อ เงินฝืด คืออะไร ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ต่างๆ กับประเทศไทย ถือว่า เป็นที่มาของการหันมาสนใจเรื่อง "การเงินการลงทุน"
ด้วยความเป็นคนชอบอ่านหนังสือ จึงเริ่มหาหนังสือต่างๆ มาอ่าน ตอนนั้นพี่พจนีแนะนำให้เราอ่านหนังสือเรื่อง "พ่อรวยสอนลูก"ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" ปกติเวลาท่านอยากแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มไหนท่านจะให้เลขา
ไปหยิบหนังสือมาให้ แต่เล่มนี้ท่านไม่ให้ แต่ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ต้องอ่านให้ได้ ผมตัดสินใจ ไปหาซื้อหนังสือและใช้เวลาอ่านเพียง 1-2 วัน
เมื่ออ่านหนังสือจบ ผมโทรไปหา "ปรเมศวร์ มินศิริ" แนะนำให้เขาอ่าน เขาใช้เวลาอ่านเพียง 1 วัน อ่านจบเขามาบอกว่า เราต้องทำตาม เพราะว่าในหนังสือพูดถึงเรื่อง "เกมกระแสเงินสด" ตอนนั้นเราโทรหาพี่พจนีว่า อยากแปลหนังสือ
เกมกระแสเงินสดเป็นภาษาไทย โดยจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ เขาก็ส่งต้นแบบเกมมาให้แปลทันที แต่ตอนนั้น "ปรเมศวร์" ใจร้อนมาก เขาโทรสั่งซื้อเกมกระแสเงินสดทางออนไลน์ ไม่ถึงสัปดาห์เขาก็ได้เกมมาครอบครอง ผมมีโอกาสไปนั่งเล่นเกมกับเขา เล่นได้สักพักเรามองหน้ากัน ก่อนที่ "ปรเมศวร์"จะพูดว่า คงต้องหาใครสักคนมาแปลคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ผมจึงรับอาสาแปลทันที แต่แปลไปสักระยะรู้สึกเหนื่อยจึงไปชวนรุ่นน้อง 3 คน มานั่งเล่นเกม เพื่อแปลคำศัพท์กันสดๆ จากการเปิดการ์ดแต่ละใบ
ตอนนั้นเราไม่เข้าใจคำศัพท์ที่ว่า "Preferred Stock" ซึ่งแปลออกมาเป็นคำว่า "หุ้นบุริมสิทธิ" ช่วงนั้นไม่รู้จะไปหาคำแปลที่ไหน เพราะสมัยนั้นยังไม่มีเว็บไซต์ Google ทำให้ต้องไปค้นหาจากเว็บไซต์ Set.or.th และ นั่นคือ "จุดเริ่มต้น" ที่ทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับหุ้นทั้งหมด
จากที่ชีวิตไม่เคยสนใจเรื่องหุ้นเลย เพราะรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ไม่ควรเข้าใกล้ เรามองเป็นเรื่องไกลตัว สุดท้ายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก ตอนนั้นรู้สึกว่า ที่ผ่านมาคิดผิดมาตลอด และเสียดายโอกาสที่มารู้จักตลาดหุ้นช้าเกินไป
จากการ์ดใบเดียวที่เขียนว่า "Preferred Stock" ทำให้วิถีชีวิตของผมเปลี่ยนไป เราเริ่มหันมาสนใจเรื่องตลาดหุ้นมากขึ้น ด้วยการ หันมาอ่านหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจ จากเดิมที่ ไม่เคยสนใจ ไม่เคยมอง ไม่เคยคิดจะทำความรู้จัก ด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนเรามักได้ยินเสมอว่า "คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น" ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างรุนแรง ยิ่งประโยคที่ว่า "การเล่นหุ้น" คือ "การเล่นหวย" ตอนนั้นเรามองว่า การเล่นหวยเป็นการเล่นการพนัน ดังนั้นการเล่นหุ้นก็คงเป็นการเล่นการพนันเหมือนกัน
"บ๊อบ" บอกว่า จังหวะเข้าหุ้นตัวแรกเกิดขึ้น ในปี 2546 หลังจากใช้เวลาศึกษามา 2-3 ปี ตอนนั้นเปิดพอร์ตกับบล.ซิมิโก้ ด้วยทุนตั้งต้น "หลักแสนบาท" ผมซื้อ หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH เป็นตัวแรก เชื่อหรือไม่!! ซื้อหุ้น INTUCH มาตอน 11 โมงเช้า ผ่านมา 15 นาที ราคาหุ้นปรับตัว ขึ้นมา 6 ช่อง "ตกใจ" ขายหมดเลย จริงๆ ตั้งใจจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยแนววีไอ เพราะว่าก่อนจะซื้อเราวิเคราะห์พื้นฐานหุ้นมาดีมาก แต่พอหุ้นขึ้นมากๆ มีกำไรดีเกินกว่าที่วิเคราะห์ไว้ เรียกว่า โกยกำไร 6 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 1 วัน ทำให้จำเป็นต้องขายออก
ส่วนหุ้นตัวที่ 2 ผมใช้เงินแบงก์ซื้อหุ้นแบงก์ นั่นคือ หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB เขาขยายความเหตุผลที่ช้อนหุ้นตัวนี้ว่า เมื่อช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมีโอกาสได้ซื้อบ้านในราคาที่ถูกมากๆ ซึ่งเราก็ผ่อนกับธนาคารไทยพาณิชย์ตามปกติ ผ่านมา 1 ปี ธนาคารไทย ส่งจดหมายมาบอกว่า เราเป็นลูกค้าชั้นดี ธนาคารยินดีที่จะให้วงเงินกู้เพิ่มเติมเท่ากับวงเงินที่ผ่อนชำระไปแล้ว เพียงแค่เราเซ็นชื่อและส่งกลับมา หาแบงก์เราจะได้วงเงินกู้ภายใน 2-3 วัน "มีหรือที่ผมจะไม่เอารีบจับปากกามาเซ็นชื่อทันที" ตอนนั้นมีคติประจำใจว่า จะไม่นำเงินของตัวเองไปลงทุน ฉะนั้นเงินก้อนแรกที่นำไปลงทุน คือ "เงินกู้"จริงๆ ผมคิดเรื่องการกู้เงินไปไกลกว่านั้น ตอนนั้นเราเริ่มรู้ว่า เศรษฐกิจเมืองไทยกำลังจะเริ่มฟื้นตัว แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า จะมีธนาคารใดจ่ายเงินปันผลได้บ้าง ช่วงนั้นผมฟันธงว่า หุ้น ไทยพาณิชย์ ต้องจ่ายเงินปันผลได้แน่นอน และก็จ่ายเงินปันผลจริง พอแบงก์โอนเงินเข้าบัญชี ผมรีบนำเงินไปซื้อหุ้น SCB ทันที ในวงเงิน 240,000 บาท ถือหุ้นอยู่ไม่กี่สัปดาห์ ขายออกเมื่อได้กำไรเกินกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย เท่ากับว่า ผมได้เงินกู้ลงทุนโดยปลอดดอกเบี้ย และก็ใช้เงินส่วนนั้นในการเล่นหุ้นต่อ
"ชายวัย 45 ปี" บอกว่า ตั้งแต่ตกใจขาย หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น ทำให้เปลี่ยนวิถีการลงทุนจาก "แนวเน้นคุณค่า" มาเป็น "แนวเทคนิค" จากนั้นเริ่มศึกษาการลงทุนด้านเทคนิคมาเรื่อยๆ จนเกิดความรู้สึกชอบมากขึ้นทุกวัน ยิ่งช่วงตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายตลาดอนุพันธ์ ยิ่งเกิดความสนุก ตอนนั้นศึกษาการลงทุน ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น "ฟิวเจอร์ส" (futures)หรือ "ออปชั่น" (Options)
ปัจจุบันผมไม่ได้เทรดหุ้นไทยแล้ว ในพอร์ตจะมีหุ้นหลากหลายตัว แต่จะซื้อไว้บริษัทละ 1 หุ้นเท่านั้น เพื่อไว้ดูรายงานผลการดำเนินงานประจำปี พอร์ตลงทุนที่ผ่านมาพอมีกำไร แต่ไม่ได้มาก ทุกวันนี้เน้นลงทุนใน "ตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ" เป็นหลัก ติดตามความสำเร็จการลงทุนของ "โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์" ตอนต่อไปได้ในสัปดาห์หน้า
'เชื่อหรือไม่!! ซื้อหุ้น INTUCH มาตอน 11 โมงผ่านมา 15 นาที ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา 6 ช่อง "ตกใจ" ขายหมดเลย'--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
อดีตนายช่างสู่ 'เซียนเทคนิค''โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์' (1)
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
อดีตนายช่างสู่ 'เซียนเทคนิค''โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์' (1)
โพสต์ที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
Re: อดีตนายช่างสู่ 'เซียนเทคนิค''โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์' (1)
โพสต์ที่ 3
ROBOT AUTO TRADER เคล็ดลับดันกำไร 'โอฬาร' (ตอน 2)
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, February 10, 2014 06:54
ดาริน โชสูงเนิน
'โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้น สูงถึง 800 เท่าต่อปี ของเงินลงทุนที่ใส่เข้าไป'
สะสมความรู้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ 5 ปี ด้วยทุนตั้งต้นแค่ "150 บาท" ทว่าวันนี้พอร์ต "โอฬาร ภัทรกอบกิตติ" งอกเงยเป็น "หลักแสนบาท" ตัวช่วยสาคัญต้องยกให้ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADE" ที่เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้นสูงถึง 800 เท่าต่อปี ของเงินลงทุนที่ใส่เข้าไป ตัวเลขนี้เกิดขึ้นในปี 2556
ทันทีที่หนังสือเรื่อง "พ่อรวยสอนลูก"หรือ Rich Dad Poor Dad ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" ถูกพลิกอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย "บ๊อบ-โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์" เจ้าของตำแหน่ง "แชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทย ปี 2548 รายการ แฟนพันธุ์แท้" รีบยกหูโทรศัพท์ เพื่อส่งต่อเรื่องการลงทุนดีๆ ให้เพื่อนรักอย่าง "ปรเมศวร์ มินศิริ" ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ชื่อดังหลายแห่ง เช่น สนุกดอตคอม และกระปุกดอตคอม เป็นต้น
"ปรเมศวร์" ไม่ชักช้ารีบปฏิบัติการตามล่าหาหนังสือตามคำบอกเล่าของ "บ๊อบ" ก่อนจะสั่งซื้อ "เกมกระแสเงินสด" ทางออนไลน์ ตามคำแนะนำของหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" เจ้าของเว็บไซต์ชื่อดังและ "บ๊อบ" นั่งเล่นเกมกระแสเงินสดสักพักใหญ่ เริ่มรู้สึกว่า ศัพท์ทางการเงิน คือ อุปสรรคในการเล่นเกม
"บ๊อบ" ตัดสินใจชวนรุ่นน้อง 3 คน มานั่งเล่นเกม เพื่อแปลคำศัพท์กันสดๆ จากการ เปิดการ์ดแต่ละใบ สุดท้ายมาสะดุดคำศัพท์ที่ว่า "Preferred Stock" ซึ่งแปลออกมาเป็นคำว่า "หุ้นบุริมสิทธิ" ช่วงนั้นเขาไม่รู้จะไปหาคำแปลที่ไหน จึงตัดสินใจค้นหาจากเว็บไซต์ Set.or.th และนั่นคือ "จุดเริ่มต้น" ของการเรียนรู้เรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นของเขา
"โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์" เป็นพี่ชายคนโตจากจำนวนพี่น้อง 3 คน ครอบครัวยึดอาชีพค้าขายแถววังหลังมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เขาไปเรียนต่อในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ก่อนจะสอบเข้าปวช.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี- ราชมงคลตะวันออก วิทยาเขต อุเทนถวาย และสอบย้ายสายไปเรียนต่อปวส.สายงานด้านวิศวกรรมโยธา ระหว่างเรียน ปวส.
เกิดความรู้สึกหลงรักคอมพิวเตอร์ หลังมีโอกาสจับคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อ Apple II ของ "ปรเมศวร์ มินศิริ" เขาจึงตัดสินใจไปลงเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาคอมพิวเตอร์ ใช้เวลาเรียนแค่ 2 ปี เพราะเขาต้องการเรียนเพื่อให้รู้เท่านั้น "บ๊อบ" ยังไม่ทันจะเรียนจบ เขามีโอกาสทำงานเขียนแบบ กินเงินเดือน 3,200 บาท เป็นครั้งแรก ทำงานอยู่ 1 ปี บริษัทชวนให้ย้ายสายไปทำงานคอนเซาท์ ตื่นเต้นอยู่แค่ 5-6 เดือน เขาสินใจยื่นใบลาออกมาเขียนหนังสือคอมพิวเตอร์ ก่อนชีวิตจะหักเหมาสนใจการเงินการลงทุน ปัจจุบัน "ชายวัย 45 ปี" ถือเป็นหนึ่งในกูรูเรื่อง "ตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ" เขาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยครั้งแรกเมื่อปี 2546 หลังใช้เวลาศึกษาหาความรู้นานถึง 3 ปี "บ๊อบ"
ตัดสินใจถอนเงินเก็บ "หลักแสนบาท" มาเปิดพอร์ตกับบล.ซิมิโก้
"หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น" หรือ INTUCH คือ หุ้นตัวแรกที่เขาลงทุน ด้วยการวิเคราะห์ว่า ธุรกิจที่มีตระกูลดังถือหุ้นใหญ่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียว สุดท้ายเขาได้กำไรหุ้นตัวแรกในชีวิตประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้เวลาเพียง 15 นาที
หุ้นตัวที่ 2 คือ หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ก่อนจะซื้อหุ้น SCB เขาผ่อนบ้านอยู่กับแบงก์ SCB ผ่อนไปได้ปีกว่า แบงก์ส่งจดหมายให้เงินกู้เพิ่มเท่ากับเงินที่ผ่อนชำระบ้านไปแล้ว "บ๊อบ" ตัดสินใจจรดปากกากู้เงินทันที
เพราะเขาหวังนำเงินก้อนดังกล่าวมาซื้อหุ้น SCB ด้วยความมั่นใจว่าหุ้น SCB จะเป็นหุ้นแบงก์ที่สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ เพราะแบงค์ที่ทำแบบนี้จะมีรายได้เพิ่มจากลูกค้า ชั้นดีที่คัดกรองจากฐานข้อมูล โดยที่แบงค์มีต้นทุนน้อยมาก ถือหุ้นอยู่ไม่กี่สัปดาห์เขาตัดสินใจขายหุ้น SCB เมื่อได้กำไรเกินกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเงินกู้แบงก์
"ใจจริงอยากเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า แต่สุดท้ายหลงรักแนวเทคนิค" นักลงทุน รายใหญ่บอกความเป็นตัวตนให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟัง ก่อนเล่าจุดเริ่มต้นการลงทุนใน "ตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ" ว่า เมื่อผมเริ่มรู้สึก "ไม่สนุกกับการเล่นหุ้นไทย" ทำให้เมื่อ 5 ปีก่อน ตัดสินใจหยุดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และหันมาลงทุนตลาดต่างประเทศ ด้วยแนวเทคนิค เรียกว่า นำความรู้ที่เคยใช้กับหุ้นไทยมาปรับใช้กับหุ้นต่างประเทศ
ช่วงที่ลงทุนหุ้นไทย มีโอกาสศึกษาการลงทุน "แนวเทคนิค" ช่วงนั้นเข้าไปหาข้อมูลว่า.เขาเปิดพอร์ตลงทุนกันอย่างไร และลงทุนกันแบบไหน ใช้เวลาศึกษาเพียง 6-7 เดือน ด้วยการหาอ่านหนังสือใน "ห้องสมุดมารวย"ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. "ผมได้บัตรสมาชิกห้องสมุดมารวยแบบตลอดชีพ สามารถยืมหนังสือโดยไม่จำกัดเวลา ผมได้รับสิทธิพิเศษนี้เพราะเป็นแชมป์รายการ แฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทยปี 2548 ตั้งแต่มีบัตรนี้เปรียบเหมือนผมมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง"
สมัยเด็กๆ อยากมีห้องสมุดเป็นของ ตัวเอง ณ วันนี้ผมมีแล้ว เขาเล่าความฝันวัยเยาว์ให้ฟัง เมื่อมีหนังสือเป็น "ขุมพลังมหาศาล"จึงเริ่มหาความรู้เรื่องการลงทุนในต่างประเทศทันที อ่านเสร็จลงมือทำจริงทันที
เมื่อโลกออนไลน์ไม่มีพรมแดน นักลงทุนสามารถเปิดพอร์ตได้ทุกที่ทุกเวลา ผมตัดสินใจไปเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์แห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย ก่อนลงสนามจริงๆ
"บ๊อบ" ซ้อมลงทุนในพอร์ตทดลองซ้ำๆ วันละหลายชั่วโมง จนมีกลยุทธ์การลงทุนเป็นของตัวเอง ตอนนั้นคิดในใจว่า หากเล่นไม่ชนะ พอร์ตทดลอง ก็อย่าคิดไปลงสนามจริงเลย เพราะคุณไม่มีวันชนะของจริงได้แน่นอน ตราบใดที่ลงทุนด้วยเงินปลอมแล้วยังแพ้ เงินจริงก็ไม่น่ารอด
เล่นพอร์ตทดลองครั้งแรก ยอมรับว่า "โหดมาก" ตอนนั้นเปรียบตัวเองเป็นนักเทนนิสกีฬาเขต แต่ดันหาญกล้าไปลงแข่งรายการยูเอส โอเพ่น ผลออกมาไม่ผ่านรอบแรก เล่นครั้งแรกถือว่า "ล้มลุกคลุกคลาน" มากการที่ได้แชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทยทำให้มีคนเข้าใจผมผิด บางคนถามขอหุ้นเด็ด ผมมักจะตอบไปว่า "ถ้าคุณมีหุ้นเด็ดที่คุณรู้ว่าซื้อแล้วขึ้นแน่ๆ คุณจะบอกคนอื่นมั้ย" ส่วนใหญ่จะคิดแป๊บนึง บางคนก็ตอบว่า "ไม่บอก" บางคนก็ตอบว่า "บอก แต่ขอซื้อก่อน แล้วค่อยบอก" นั่นล่ะครับคือคำตอบว่า ทำไมผมถึงไม่เคยบอกหุ้นเด็ดให้ใครเลย เพราะถ้าผมบอกก็แสดงว่า ผมน่าจะซื้อไว้แล้ว และคนที่เชื่อก็คือคนรับหุ้นต่อจากผม
แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดอย่างมากคือ คิดว่าผมเทรดเก่ง จริงๆ แล้ว ผมเทรดไม่เก่ง ถ้าให้คนเล่นหุ้นทั้งประเทศไทยมาเทรดหุ้นแข่งกัน อย่าว่าแต่ท็อป 100 เลย แค่หมื่นคนแรกผมยังไม่ติดอันดับเลย ผมเทรดไม่เก่ง เพราะรายการแฟนพันธุ์แท้ไม่ได้แข่งเทรด รายการนี้ แข่งเรื่องความรู้ กับเรื่องไหวพริบและแรงกดดันในตอนแข่งขัน แต่เวลาบอกใครๆ ว่าผมเทรดไม่เก่ง ไม่ค่อยมีคนเชื่อนะ (หัวเราะ)
เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เซียน การเทรดแต่ละครั้งจึง 'ระมัดระวังมาก' วันที่ตัดสินใจลงทุนในสนามระดับโลก ผมเริ่มต้นด้วยเงิน 5 ดอลลาร์ เป็นเงินที่โบรกเกอร์เขาให้มาเลยตอนเปิดพอร์ต เป็นการเชิญชวนให้คนมาลองเทรดกับโบรกเขาเยอะๆ แต่มีกติกาว่าถ้าต้องการถอนเงินออกจากพอร์ต นักลงทุนต้องเสียค่าธรรมเนียม 7 ดอลลาร์
ฉะนั้นเป้าหมายตอนนั้นก็ท้าทายดี ทำยังไงให้ได้กำไร 40 เปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นเทรด "ตลาดฟิวเจอร์สค่าเงิน" ใช้เวลาไม่ถึงเดือน สามารถทำเงินเพิ่มขึ้นได้มากถึง 4 เท่า "ผมเน้นการฝึกฝนมาก เพราะรู้ตัวว่าไม่มีพรสวรรค์ด้านการเทรดหุ้นเหมือนคนอื่น ผมเน้นที่พรแสวงคือ ฝึกหนัก เรียนรู้ตลอดเวลา ปรับแก้ข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด
มือใหม่ที่อยากลงทุนในหุ้นมักจะถามผม
"ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะลงทุนในหุ้นได้"ว่า คำตอบประจำตัวที่ผมตอบคือ "ใช้เงินให้น้อย เรียนรู้ศึกษาให้เยอะ" คนที่โดดเข้ามาลงทุนในหุ้นแบบไม่เรียนรู้อะไรเลย มาถึงก็เทหมดหน้าตัก ส่วนใหญ่จึงต้องออกจากตลาดไป แต่เชื่อ มั้ยครับ คำตอบแบบนี้ไม่ค่อยถูกใจคนส่วนใหญ่
พอเห็นแววตาไม่สบอารมณ์ ผมจะรีบ บอกว่า "ให้ลองด้วยเงิน 10 เปอร์เซ็นต์" ของเงินลงทุนที่ตั้งใจไว้ เช่นตั้งใจว่าจะเอาเงินเก็บหนึ่งล้านมาเทรดหุ้น ครั้งแรกลองเทรดด้วยเงินแค่แสนเดียวก่อน ดูว่าทำได้ดีแค่ไหน ถ้ายังเทรดเงินแสนไม่ชนะ เงินล้านก็คงไม่รอด ถ้าทำได้ดีค่อยเพิ่มเงินลงทุนก็ยังไม่ช้าเกินไป ถ้าพลาดครั้งแรก ก็ยังเหลือเงินอีก 90 เปอร์เซ็นต์" เขาพูดติดตลกว่า "ตลาดหุ้นไม่หนีไปไหน มีให้เทรดทุกวัน ไม่ต้องรีบ"
ผมสอนลูกศิษย์มาเยอะ ส่วนใหญ่เทรดเก่งกว่าผมทั้งนั้น คนที่เทรดหุ้นได้ดีต่างกับคนที่เทรดหุ้นได้ไม่ดีตรงที่ความชอบ ความสนใจในการเทรดหุ้น ถ้าผ่าน 100 ชั่วโมงแรกในการฝึกฝนเทรดหุ้นได้ ก้าวต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ที่สำคัญคือ ทุกคนมีความถนัดของตัวเอง การหาจุดเด่น จุดด้อยของตัวเองเจอจึงสำคัญมาก เพราะจะได้เลือกฝึกฝนเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นจุดเด่นของตนเอง ถ้าเจอทางถนัดของตนเองจะไปได้เร็วมาก
ซื้อขายค่าเงินอยู่ประมาณปีกว่า ผลปรากฏว่า กำไรบ้างขาดทุนบ้างสลับกันไป ถือว่าเป็นการเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตนเอง คิดซะว่าเป็นค่าลงทะเบียนสมัครแข่งขันรายการยูเอสโอเพ่น (หัวเราะ)
เขาบอกว่า การลงทุน "ตลาดฟิวเจอร์ส ต่างประเทศ" คล้ายๆ ลงทุนใน SET 50 ของตลาดหุ้นไทย แต่ตลาดต่างประเทศมีสินค้าให้เราเลือกลงทุนมากกว่า อาทิเช่น "ดัชนีหุ้นเกือบทุกประเทศ-สินค้าการเกษตร-น้ำมัน-ทองคำ-ค่าเงิน" เป็นต้น เหตุผลที่เลือกลงทุนตลาดฟิวเจอร์สค่าเงินเป็น อันดับแรกๆ เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
ตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศคล้ายๆ ในเมืองไทย แต่ของต่างประเทศมีค่าธรรมเนียมถูกกว่าประเทศไทย การเคลื่อนไหวของตลาดรุนแรงกว่า ผลตอบแทนที่ได้ถ้าไปถูกทางก็มากกว่า และสามารถซื้อขายได้ทั้งวันตลาดทั่วโลกมีช่วงพักแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้เราเลือกได้ว่าจะเทรดเวลาไหน อาจจะมาเทรดหลังเลิกงานประจำก็ได้
"ข้อดี" ของ "ตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศ" คือ โบรกเขาให้มาร์จิ้นมากเพื่อดึงดูดให้คนไปเทรดกับเขา ดังนั้นเราเลยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ สามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อประสบความสำเร็จจากการลงทุน ตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศระดับหนึ่ง ผมตัดสินใจหยุดเทรดด้วยตัวเองมาเกือบปี หันมาประดิษฐ์ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADE" เพื่อให้หุ่นยนต์ซื้อขายหุ้นทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงแทนเรา ด้วยความที่มีพื้นฐาน ในการเขียนโปรแกรมมาก่อนทำให้ต่อยอดพัฒนาโปรแกรมการเทรดหุ้นได้ไม่ยาก
"บ๊อบ" เล่าว่า ปัจจุบันเน้นออกแบบ หุ่นยนต์ให้ซื้อขาย "โกลด์ฟิวเจอร์ส" โดยแบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น 2 ส่วน พอร์ตแรกเป็นการลงทุน "ระยะยาว" ผมยกหน้าที่การซื้อขายให้กับ ROBOT AUTO TRADER ใช้ระบบการซื้อขายที่อดทนรอสัญญาณแม่นๆ ปีนึงซื้อขายไม่เกิน 10 ครั้ง ถ้าไม่มีสัญญาณดีจริงๆ ROBOT จะไม่ยอมซื้อขาย
"ผลของการลงทุนระยะยาว ถือว่า "ปิดประตูแพ้แล้ว" ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละเท่าตัว ปี 2556 ที่ผ่านมาได้เยอะหน่อยประมาณ 6 เท่าต่อปี โดยส่วนตัวแล้ว "เรียกว่ายังไม่ค่อย ถูกใจผมเท่าไหร่"
อีกพอร์ตที่เน้นลงทุน "ระยะสั้น" ถามว่า ทำไมต้องมีพอร์ตระยะสั้น ยอมรับว่าสนุกกับการลงทุนแนวเทคนิค ได้ประมือกับผู้เล่นระดับโลก ดังนั้นพอร์ตระยะสั้นผมจึงใส่เงินลงทุนน้อย "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้นสูงถึง 800 เท่าต่อปี แต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ไม่เหมาะที่จะเอาเงินทั้งหมดมาเล่นในเกมนี้ ใช้กำไรที่ได้จากพอร์ตระยะยาวมาลงทุน ในพอร์ตระยะสั้นจะสบายใจกว่า"
"โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้น สูงถึง 800 เท่าต่อปี ของเงินลงทุนที่ใส่ เข้าไป"
ข้อดีของ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER" คือปรับใช้กับสินค้าได้เกือบ ทุกชนิด ทั้งทองคำ, น้ำมัน, ดัชนี ซึ่งถ้าเป็นคนที่ต้องซื้อขายเอง ก็เหนื่อยหน่อยถ้าต้องเทรดสินค้าหลายชนิดพร้อมๆ กัน ตอนนี้ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER" เก่งขึ้นมาก
ผมเริ่มเขียนโปรแกรมดังกล่าวมาประมาณ 2 ปี ใช้เวลาเรียนรู้จุดเด่น จุดด้อยของการเทรดแต่ละแบบ สอนให้หุ่นยนต์ซื้อขายเหมือนที่ผมทำ ข้อดีของหุ่นยนต์คืออยู่เฝ้าหน้าจอแทนเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ล้า ไม่หวั่นไหว มีวินัยสูงมาก ไม่มีโลเล ถึง "จุดคัทลอส" ก็คัททันที ช่วงเป็นเทรนราคาวิ่งยาวๆ ก็ไม่รีบขายหมู ถือยาวเกาะเทรนไปได้เรื่อยๆ มาถึงวันนี้ระบบค่อนข้างเสถียร และเริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง "เซียนหุ้นคนเก่ง" ทิ้งท้ายว่า ROBOT เหมือนนักฟุตบอล ส่วนตัวผมเป็นโค้ชคอยกำหนดทิศทางว่า นักฟุตบอลควรเล่นเกมรุกหรือเกมรับ เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีเรื่องราวสำคัญที่มีผลกระทบอะไร อย่างเรื่อง มาตรการ QE ทำให้เราต้องมาปรับภาพรวมตั้งค่าการเทรดให้โปรแกรมใหม่ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันถามว่า วันนี้ตลาดฟิวเจอร์สสร้างเงินให้เราเท่าไรแล้ว จากทุน ตั้งต้น "150 บาท" วันนี้เงินงอกเงยเป็น "หลักแสนบาท" แล้ว ผมสนุกกับการลงทุน ต่างจากหลายคนที่มองว่า การลงทุนเป็นการทำงาน วันนี้ผมลงทุนหุ้นเป็น "งานอดิเรก" เพราะ "งานหลัก" ของผม คือ "นักประดิษฐ์"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, February 10, 2014 06:54
ดาริน โชสูงเนิน
'โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้น สูงถึง 800 เท่าต่อปี ของเงินลงทุนที่ใส่เข้าไป'
สะสมความรู้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ 5 ปี ด้วยทุนตั้งต้นแค่ "150 บาท" ทว่าวันนี้พอร์ต "โอฬาร ภัทรกอบกิตติ" งอกเงยเป็น "หลักแสนบาท" ตัวช่วยสาคัญต้องยกให้ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADE" ที่เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้นสูงถึง 800 เท่าต่อปี ของเงินลงทุนที่ใส่เข้าไป ตัวเลขนี้เกิดขึ้นในปี 2556
ทันทีที่หนังสือเรื่อง "พ่อรวยสอนลูก"หรือ Rich Dad Poor Dad ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" ถูกพลิกอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย "บ๊อบ-โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์" เจ้าของตำแหน่ง "แชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทย ปี 2548 รายการ แฟนพันธุ์แท้" รีบยกหูโทรศัพท์ เพื่อส่งต่อเรื่องการลงทุนดีๆ ให้เพื่อนรักอย่าง "ปรเมศวร์ มินศิริ" ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ชื่อดังหลายแห่ง เช่น สนุกดอตคอม และกระปุกดอตคอม เป็นต้น
"ปรเมศวร์" ไม่ชักช้ารีบปฏิบัติการตามล่าหาหนังสือตามคำบอกเล่าของ "บ๊อบ" ก่อนจะสั่งซื้อ "เกมกระแสเงินสด" ทางออนไลน์ ตามคำแนะนำของหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" เจ้าของเว็บไซต์ชื่อดังและ "บ๊อบ" นั่งเล่นเกมกระแสเงินสดสักพักใหญ่ เริ่มรู้สึกว่า ศัพท์ทางการเงิน คือ อุปสรรคในการเล่นเกม
"บ๊อบ" ตัดสินใจชวนรุ่นน้อง 3 คน มานั่งเล่นเกม เพื่อแปลคำศัพท์กันสดๆ จากการ เปิดการ์ดแต่ละใบ สุดท้ายมาสะดุดคำศัพท์ที่ว่า "Preferred Stock" ซึ่งแปลออกมาเป็นคำว่า "หุ้นบุริมสิทธิ" ช่วงนั้นเขาไม่รู้จะไปหาคำแปลที่ไหน จึงตัดสินใจค้นหาจากเว็บไซต์ Set.or.th และนั่นคือ "จุดเริ่มต้น" ของการเรียนรู้เรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นของเขา
"โอฬาร ภัทรกอบกิตติ์" เป็นพี่ชายคนโตจากจำนวนพี่น้อง 3 คน ครอบครัวยึดอาชีพค้าขายแถววังหลังมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เขาไปเรียนต่อในโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ก่อนจะสอบเข้าปวช.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี- ราชมงคลตะวันออก วิทยาเขต อุเทนถวาย และสอบย้ายสายไปเรียนต่อปวส.สายงานด้านวิศวกรรมโยธา ระหว่างเรียน ปวส.
เกิดความรู้สึกหลงรักคอมพิวเตอร์ หลังมีโอกาสจับคอมพิวเตอร์ ยี่ห้อ Apple II ของ "ปรเมศวร์ มินศิริ" เขาจึงตัดสินใจไปลงเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาคอมพิวเตอร์ ใช้เวลาเรียนแค่ 2 ปี เพราะเขาต้องการเรียนเพื่อให้รู้เท่านั้น "บ๊อบ" ยังไม่ทันจะเรียนจบ เขามีโอกาสทำงานเขียนแบบ กินเงินเดือน 3,200 บาท เป็นครั้งแรก ทำงานอยู่ 1 ปี บริษัทชวนให้ย้ายสายไปทำงานคอนเซาท์ ตื่นเต้นอยู่แค่ 5-6 เดือน เขาสินใจยื่นใบลาออกมาเขียนหนังสือคอมพิวเตอร์ ก่อนชีวิตจะหักเหมาสนใจการเงินการลงทุน ปัจจุบัน "ชายวัย 45 ปี" ถือเป็นหนึ่งในกูรูเรื่อง "ตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ" เขาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยครั้งแรกเมื่อปี 2546 หลังใช้เวลาศึกษาหาความรู้นานถึง 3 ปี "บ๊อบ"
ตัดสินใจถอนเงินเก็บ "หลักแสนบาท" มาเปิดพอร์ตกับบล.ซิมิโก้
"หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น" หรือ INTUCH คือ หุ้นตัวแรกที่เขาลงทุน ด้วยการวิเคราะห์ว่า ธุรกิจที่มีตระกูลดังถือหุ้นใหญ่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากพรรคเดียว สุดท้ายเขาได้กำไรหุ้นตัวแรกในชีวิตประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้เวลาเพียง 15 นาที
หุ้นตัวที่ 2 คือ หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ก่อนจะซื้อหุ้น SCB เขาผ่อนบ้านอยู่กับแบงก์ SCB ผ่อนไปได้ปีกว่า แบงก์ส่งจดหมายให้เงินกู้เพิ่มเท่ากับเงินที่ผ่อนชำระบ้านไปแล้ว "บ๊อบ" ตัดสินใจจรดปากกากู้เงินทันที
เพราะเขาหวังนำเงินก้อนดังกล่าวมาซื้อหุ้น SCB ด้วยความมั่นใจว่าหุ้น SCB จะเป็นหุ้นแบงก์ที่สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ เพราะแบงค์ที่ทำแบบนี้จะมีรายได้เพิ่มจากลูกค้า ชั้นดีที่คัดกรองจากฐานข้อมูล โดยที่แบงค์มีต้นทุนน้อยมาก ถือหุ้นอยู่ไม่กี่สัปดาห์เขาตัดสินใจขายหุ้น SCB เมื่อได้กำไรเกินกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเงินกู้แบงก์
"ใจจริงอยากเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า แต่สุดท้ายหลงรักแนวเทคนิค" นักลงทุน รายใหญ่บอกความเป็นตัวตนให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ฟัง ก่อนเล่าจุดเริ่มต้นการลงทุนใน "ตลาดอนุพันธ์ต่างประเทศ" ว่า เมื่อผมเริ่มรู้สึก "ไม่สนุกกับการเล่นหุ้นไทย" ทำให้เมื่อ 5 ปีก่อน ตัดสินใจหยุดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และหันมาลงทุนตลาดต่างประเทศ ด้วยแนวเทคนิค เรียกว่า นำความรู้ที่เคยใช้กับหุ้นไทยมาปรับใช้กับหุ้นต่างประเทศ
ช่วงที่ลงทุนหุ้นไทย มีโอกาสศึกษาการลงทุน "แนวเทคนิค" ช่วงนั้นเข้าไปหาข้อมูลว่า.เขาเปิดพอร์ตลงทุนกันอย่างไร และลงทุนกันแบบไหน ใช้เวลาศึกษาเพียง 6-7 เดือน ด้วยการหาอ่านหนังสือใน "ห้องสมุดมารวย"ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. "ผมได้บัตรสมาชิกห้องสมุดมารวยแบบตลอดชีพ สามารถยืมหนังสือโดยไม่จำกัดเวลา ผมได้รับสิทธิพิเศษนี้เพราะเป็นแชมป์รายการ แฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทยปี 2548 ตั้งแต่มีบัตรนี้เปรียบเหมือนผมมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง"
สมัยเด็กๆ อยากมีห้องสมุดเป็นของ ตัวเอง ณ วันนี้ผมมีแล้ว เขาเล่าความฝันวัยเยาว์ให้ฟัง เมื่อมีหนังสือเป็น "ขุมพลังมหาศาล"จึงเริ่มหาความรู้เรื่องการลงทุนในต่างประเทศทันที อ่านเสร็จลงมือทำจริงทันที
เมื่อโลกออนไลน์ไม่มีพรมแดน นักลงทุนสามารถเปิดพอร์ตได้ทุกที่ทุกเวลา ผมตัดสินใจไปเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์แห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย ก่อนลงสนามจริงๆ
"บ๊อบ" ซ้อมลงทุนในพอร์ตทดลองซ้ำๆ วันละหลายชั่วโมง จนมีกลยุทธ์การลงทุนเป็นของตัวเอง ตอนนั้นคิดในใจว่า หากเล่นไม่ชนะ พอร์ตทดลอง ก็อย่าคิดไปลงสนามจริงเลย เพราะคุณไม่มีวันชนะของจริงได้แน่นอน ตราบใดที่ลงทุนด้วยเงินปลอมแล้วยังแพ้ เงินจริงก็ไม่น่ารอด
เล่นพอร์ตทดลองครั้งแรก ยอมรับว่า "โหดมาก" ตอนนั้นเปรียบตัวเองเป็นนักเทนนิสกีฬาเขต แต่ดันหาญกล้าไปลงแข่งรายการยูเอส โอเพ่น ผลออกมาไม่ผ่านรอบแรก เล่นครั้งแรกถือว่า "ล้มลุกคลุกคลาน" มากการที่ได้แชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทยทำให้มีคนเข้าใจผมผิด บางคนถามขอหุ้นเด็ด ผมมักจะตอบไปว่า "ถ้าคุณมีหุ้นเด็ดที่คุณรู้ว่าซื้อแล้วขึ้นแน่ๆ คุณจะบอกคนอื่นมั้ย" ส่วนใหญ่จะคิดแป๊บนึง บางคนก็ตอบว่า "ไม่บอก" บางคนก็ตอบว่า "บอก แต่ขอซื้อก่อน แล้วค่อยบอก" นั่นล่ะครับคือคำตอบว่า ทำไมผมถึงไม่เคยบอกหุ้นเด็ดให้ใครเลย เพราะถ้าผมบอกก็แสดงว่า ผมน่าจะซื้อไว้แล้ว และคนที่เชื่อก็คือคนรับหุ้นต่อจากผม
แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดอย่างมากคือ คิดว่าผมเทรดเก่ง จริงๆ แล้ว ผมเทรดไม่เก่ง ถ้าให้คนเล่นหุ้นทั้งประเทศไทยมาเทรดหุ้นแข่งกัน อย่าว่าแต่ท็อป 100 เลย แค่หมื่นคนแรกผมยังไม่ติดอันดับเลย ผมเทรดไม่เก่ง เพราะรายการแฟนพันธุ์แท้ไม่ได้แข่งเทรด รายการนี้ แข่งเรื่องความรู้ กับเรื่องไหวพริบและแรงกดดันในตอนแข่งขัน แต่เวลาบอกใครๆ ว่าผมเทรดไม่เก่ง ไม่ค่อยมีคนเชื่อนะ (หัวเราะ)
เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เซียน การเทรดแต่ละครั้งจึง 'ระมัดระวังมาก' วันที่ตัดสินใจลงทุนในสนามระดับโลก ผมเริ่มต้นด้วยเงิน 5 ดอลลาร์ เป็นเงินที่โบรกเกอร์เขาให้มาเลยตอนเปิดพอร์ต เป็นการเชิญชวนให้คนมาลองเทรดกับโบรกเขาเยอะๆ แต่มีกติกาว่าถ้าต้องการถอนเงินออกจากพอร์ต นักลงทุนต้องเสียค่าธรรมเนียม 7 ดอลลาร์
ฉะนั้นเป้าหมายตอนนั้นก็ท้าทายดี ทำยังไงให้ได้กำไร 40 เปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นเทรด "ตลาดฟิวเจอร์สค่าเงิน" ใช้เวลาไม่ถึงเดือน สามารถทำเงินเพิ่มขึ้นได้มากถึง 4 เท่า "ผมเน้นการฝึกฝนมาก เพราะรู้ตัวว่าไม่มีพรสวรรค์ด้านการเทรดหุ้นเหมือนคนอื่น ผมเน้นที่พรแสวงคือ ฝึกหนัก เรียนรู้ตลอดเวลา ปรับแก้ข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด
มือใหม่ที่อยากลงทุนในหุ้นมักจะถามผม
"ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะลงทุนในหุ้นได้"ว่า คำตอบประจำตัวที่ผมตอบคือ "ใช้เงินให้น้อย เรียนรู้ศึกษาให้เยอะ" คนที่โดดเข้ามาลงทุนในหุ้นแบบไม่เรียนรู้อะไรเลย มาถึงก็เทหมดหน้าตัก ส่วนใหญ่จึงต้องออกจากตลาดไป แต่เชื่อ มั้ยครับ คำตอบแบบนี้ไม่ค่อยถูกใจคนส่วนใหญ่
พอเห็นแววตาไม่สบอารมณ์ ผมจะรีบ บอกว่า "ให้ลองด้วยเงิน 10 เปอร์เซ็นต์" ของเงินลงทุนที่ตั้งใจไว้ เช่นตั้งใจว่าจะเอาเงินเก็บหนึ่งล้านมาเทรดหุ้น ครั้งแรกลองเทรดด้วยเงินแค่แสนเดียวก่อน ดูว่าทำได้ดีแค่ไหน ถ้ายังเทรดเงินแสนไม่ชนะ เงินล้านก็คงไม่รอด ถ้าทำได้ดีค่อยเพิ่มเงินลงทุนก็ยังไม่ช้าเกินไป ถ้าพลาดครั้งแรก ก็ยังเหลือเงินอีก 90 เปอร์เซ็นต์" เขาพูดติดตลกว่า "ตลาดหุ้นไม่หนีไปไหน มีให้เทรดทุกวัน ไม่ต้องรีบ"
ผมสอนลูกศิษย์มาเยอะ ส่วนใหญ่เทรดเก่งกว่าผมทั้งนั้น คนที่เทรดหุ้นได้ดีต่างกับคนที่เทรดหุ้นได้ไม่ดีตรงที่ความชอบ ความสนใจในการเทรดหุ้น ถ้าผ่าน 100 ชั่วโมงแรกในการฝึกฝนเทรดหุ้นได้ ก้าวต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ที่สำคัญคือ ทุกคนมีความถนัดของตัวเอง การหาจุดเด่น จุดด้อยของตัวเองเจอจึงสำคัญมาก เพราะจะได้เลือกฝึกฝนเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นจุดเด่นของตนเอง ถ้าเจอทางถนัดของตนเองจะไปได้เร็วมาก
ซื้อขายค่าเงินอยู่ประมาณปีกว่า ผลปรากฏว่า กำไรบ้างขาดทุนบ้างสลับกันไป ถือว่าเป็นการเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตนเอง คิดซะว่าเป็นค่าลงทะเบียนสมัครแข่งขันรายการยูเอสโอเพ่น (หัวเราะ)
เขาบอกว่า การลงทุน "ตลาดฟิวเจอร์ส ต่างประเทศ" คล้ายๆ ลงทุนใน SET 50 ของตลาดหุ้นไทย แต่ตลาดต่างประเทศมีสินค้าให้เราเลือกลงทุนมากกว่า อาทิเช่น "ดัชนีหุ้นเกือบทุกประเทศ-สินค้าการเกษตร-น้ำมัน-ทองคำ-ค่าเงิน" เป็นต้น เหตุผลที่เลือกลงทุนตลาดฟิวเจอร์สค่าเงินเป็น อันดับแรกๆ เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
ตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศคล้ายๆ ในเมืองไทย แต่ของต่างประเทศมีค่าธรรมเนียมถูกกว่าประเทศไทย การเคลื่อนไหวของตลาดรุนแรงกว่า ผลตอบแทนที่ได้ถ้าไปถูกทางก็มากกว่า และสามารถซื้อขายได้ทั้งวันตลาดทั่วโลกมีช่วงพักแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้เราเลือกได้ว่าจะเทรดเวลาไหน อาจจะมาเทรดหลังเลิกงานประจำก็ได้
"ข้อดี" ของ "ตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศ" คือ โบรกเขาให้มาร์จิ้นมากเพื่อดึงดูดให้คนไปเทรดกับเขา ดังนั้นเราเลยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ สามารถสร้างกำไรให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อประสบความสำเร็จจากการลงทุน ตลาดฟิวเจอร์สต่างประเทศระดับหนึ่ง ผมตัดสินใจหยุดเทรดด้วยตัวเองมาเกือบปี หันมาประดิษฐ์ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADE" เพื่อให้หุ่นยนต์ซื้อขายหุ้นทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงแทนเรา ด้วยความที่มีพื้นฐาน ในการเขียนโปรแกรมมาก่อนทำให้ต่อยอดพัฒนาโปรแกรมการเทรดหุ้นได้ไม่ยาก
"บ๊อบ" เล่าว่า ปัจจุบันเน้นออกแบบ หุ่นยนต์ให้ซื้อขาย "โกลด์ฟิวเจอร์ส" โดยแบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น 2 ส่วน พอร์ตแรกเป็นการลงทุน "ระยะยาว" ผมยกหน้าที่การซื้อขายให้กับ ROBOT AUTO TRADER ใช้ระบบการซื้อขายที่อดทนรอสัญญาณแม่นๆ ปีนึงซื้อขายไม่เกิน 10 ครั้ง ถ้าไม่มีสัญญาณดีจริงๆ ROBOT จะไม่ยอมซื้อขาย
"ผลของการลงทุนระยะยาว ถือว่า "ปิดประตูแพ้แล้ว" ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละเท่าตัว ปี 2556 ที่ผ่านมาได้เยอะหน่อยประมาณ 6 เท่าต่อปี โดยส่วนตัวแล้ว "เรียกว่ายังไม่ค่อย ถูกใจผมเท่าไหร่"
อีกพอร์ตที่เน้นลงทุน "ระยะสั้น" ถามว่า ทำไมต้องมีพอร์ตระยะสั้น ยอมรับว่าสนุกกับการลงทุนแนวเทคนิค ได้ประมือกับผู้เล่นระดับโลก ดังนั้นพอร์ตระยะสั้นผมจึงใส่เงินลงทุนน้อย "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้นสูงถึง 800 เท่าต่อปี แต่ก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ไม่เหมาะที่จะเอาเงินทั้งหมดมาเล่นในเกมนี้ ใช้กำไรที่ได้จากพอร์ตระยะยาวมาลงทุน ในพอร์ตระยะสั้นจะสบายใจกว่า"
"โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER เคยสร้างผลตอบแทนให้พอร์ตระยะสั้น สูงถึง 800 เท่าต่อปี ของเงินลงทุนที่ใส่ เข้าไป"
ข้อดีของ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER" คือปรับใช้กับสินค้าได้เกือบ ทุกชนิด ทั้งทองคำ, น้ำมัน, ดัชนี ซึ่งถ้าเป็นคนที่ต้องซื้อขายเอง ก็เหนื่อยหน่อยถ้าต้องเทรดสินค้าหลายชนิดพร้อมๆ กัน ตอนนี้ "โปรแกรม ROBOT AUTO TRADER" เก่งขึ้นมาก
ผมเริ่มเขียนโปรแกรมดังกล่าวมาประมาณ 2 ปี ใช้เวลาเรียนรู้จุดเด่น จุดด้อยของการเทรดแต่ละแบบ สอนให้หุ่นยนต์ซื้อขายเหมือนที่ผมทำ ข้อดีของหุ่นยนต์คืออยู่เฝ้าหน้าจอแทนเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ล้า ไม่หวั่นไหว มีวินัยสูงมาก ไม่มีโลเล ถึง "จุดคัทลอส" ก็คัททันที ช่วงเป็นเทรนราคาวิ่งยาวๆ ก็ไม่รีบขายหมู ถือยาวเกาะเทรนไปได้เรื่อยๆ มาถึงวันนี้ระบบค่อนข้างเสถียร และเริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง "เซียนหุ้นคนเก่ง" ทิ้งท้ายว่า ROBOT เหมือนนักฟุตบอล ส่วนตัวผมเป็นโค้ชคอยกำหนดทิศทางว่า นักฟุตบอลควรเล่นเกมรุกหรือเกมรับ เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีเรื่องราวสำคัญที่มีผลกระทบอะไร อย่างเรื่อง มาตรการ QE ทำให้เราต้องมาปรับภาพรวมตั้งค่าการเทรดให้โปรแกรมใหม่ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันถามว่า วันนี้ตลาดฟิวเจอร์สสร้างเงินให้เราเท่าไรแล้ว จากทุน ตั้งต้น "150 บาท" วันนี้เงินงอกเงยเป็น "หลักแสนบาท" แล้ว ผมสนุกกับการลงทุน ต่างจากหลายคนที่มองว่า การลงทุนเป็นการทำงาน วันนี้ผมลงทุนหุ้นเป็น "งานอดิเรก" เพราะ "งานหลัก" ของผม คือ "นักประดิษฐ์"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ