ลงทุนระยะยาว-ยาก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

ลงทุนระยะยาว-ยาก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor       17 สิงหาคม 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ลงทุนระยะยาว-ยาก

	นักลงทุนจำนวนไม่น้อยอาจจะบอกว่าตนเองนั้น  “ลงทุนระยะยาว”  ผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ  ทั้งไทยและต่างประเทศก็มักจะบอกว่าตนเองเน้น  “ลงทุนระยะยาว”  คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น  VI นั้น  ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าตนเอง  “ลงทุนระยะยาว”   แต่ถ้าเราไปสืบหรือได้มีโอกาสตรวจสอบการซื้อขายหุ้นของคนส่วนใหญ่ที่ลงทุนหุ้นแบบ  “Active”  หรือใช้เวลากับการลงทุนค่อนข้างมากและบางคนเป็นนักลงทุนเต็มตัวหรือลงทุนเป็นอาชีพ  ผมเชื่อว่าพวกเขาส่วนใหญ่น่าจะมีการลงทุนที่ค่อนข้างสั้น  ถือหุ้นแต่ละตัวไม่เกินหนึ่งปีโดยเฉลี่ย  ถ้าคิดตามมาตรฐานทางวิชาการก็ต้องบอกว่าพวกเขา  “ลงทุนระยะสั้น”  หรือเป็นนักเทรดหรือซื้อขายหุ้นมากกว่าที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว  ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น?
	เริ่มต้นจากผู้บริหารกองทุนรวมที่ขายหน่วยลงทุนให้กับประชาชนทั่วไปก่อน  กองทุนเหล่านี้ต่างก็ต้องแข่งขันกับกองทุนอื่นที่มีอยู่มากมาย  พวกเขาต้องรายงานผลงานการลงทุนเป็นประจำทุกไตรมาศหรือทุกหกเดือนหรือทุกหนึ่งปีหรือว่าที่จริงคนก็อาจจะรู้ถึงผลงานการลงทุนได้แทบทุกวันผ่านมูลค่า  NAV หรือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยของกองทุน  ดังนั้น  ผู้บริหารกองทุนจึงมีแรงกดดันที่จะต้องสร้างผลงานให้ “น่าประทับใจ”  หรืออย่างน้อยก็ต้องให้  “เกาะกลุ่ม”  กับผลงานของคู่แข่งหรือดัชนีตลาดที่ใช้อ้างอิงตลอดเวลา   มิฉะนั้นลูกค้าผู้ถือหน่วยลงทุนก็อาจจะถอนหรือขายหน่วยลงทุนออกทำให้กองทุนเล็กลงส่งผลให้การประเมินผลงานของผู้จัดการกองทุนที่ต้องทำทุกปีมีปัญหา  ด้วยเหตุดังกล่าว  การลงทุนซื้อขายหุ้นของผู้จัดการกองทุนจึงต้องเน้นหุ้นที่จะทำผลงานได้ดีในระยะเวลาไม่นานเกินไป  ซึ่งก็หมายความว่าต้องเป็นหุ้นที่อยู่ในกระแสที่คนกำลัง  “เล่น”  นอกจากนั้น  เมื่อหุ้นตัวไหนมีกำไรมาก  พวกเขาก็มีความคิดที่อยากจะขายทำกำไรมากกว่าที่จะถือไว้ยาวซึ่งอาจจะเกิดการปรับตัวลงในช่วงที่จะมีการวัดผลงานได้  ผลก็คือ  กองทุนมีการซื้อขายหุ้นค่อนข้างมาก  ไม่ใช่นักลงทุนระยะยาว
	กองทุนแบบเฮดจ์ฟันด์ซึ่งมักจะเป็นกองทุนที่ขายให้เฉพาะกับคนที่มีเงินมากและมีจำนวนผู้ถือหน่วยลงทุนไม่มากและส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นกองทุนจากต่างประเทศ  ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างผลงานระยะสั้นอะไรมากนักที่จะทำให้พวกเขาต้องซื้อหรือขายหุ้นบ่อย   อย่างไรก็ตาม  ผลตอบแทนของผู้บริหารกองทุนกลุ่มนี้มักจะอิงอยู่กับผลตอบแทนเป็นรายปีของกองทุน   ด้วยเกณฑ์ดังกล่าว  ผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์จึงต้องสร้างผลงานในแต่ละปีให้ดีเพื่อที่ว่าตนเองจะได้ผลตอบแทนหรือโบนัสที่งดงาม  ดังนั้น  หุ้นที่มีกำไรมาก  พวกเขาก็มักจะอยาก “ล็อก” กำไรไว้ก่อนเพื่อเป็นหลักประกันว่าผลงานประจำปีจะดีพอที่จะทำให้เขาได้เงินและได้ลูกค้าเพิ่มในปีต่อ ๆ  ไป   นอกจากนั้น  ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์เองก็มักจะต้องรายงานการซื้อและขายหุ้นแต่ละตัวให้ผู้ลงทุนทราบ  ถ้าผู้บริหารซื้อและลงทุนระยะยาวโดยไม่ขายเพื่อที่จะไปซื้อหุ้นตัวใหม่เป็นเวลาหลาย ๆ  ปี  ผู้ถือหน่วยลงทุนจะรู้สึกอย่างไร?  มันคงดูเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ใคร่ได้ทำงาน  ซึ่งถ้าผลการลงทุนไม่ดีด้วย  ในที่สุดก็คงไม่มีคนอยากจะนำเงินมาให้พวกเขาบริหาร  ดังนั้น  เฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่จึงมักไม่ใช่นักลงทุนระยะยาว
	นักลงทุนแนว VI ที่มุ่งมั่น  ซึ่งก็คือคนที่ลงทุนโดยอิงจากพื้นฐานของกิจการนั้น  พวกเขาไม่ต้องรายงานใครว่าแต่ละปีทำผลตอบแทนได้เท่าไร  แต่เนื่องจากระบบสื่อสังคมสมัยใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพมาก  ทำให้พวกเขารู้หรือเข้าใจว่า “คนอื่น”  นั้นกำลังทำผลตอบแทนได้มากน้อยแค่ไหน  ดังนั้น  หลาย ๆ  คนก็มี  “แรงกดดันทางใจ”  ที่จะต้องทำผลงานให้ดีพอ ๆ  กันหรือดีกว่า  ซึ่งวิธีที่เขาคิดว่าจะทำได้ก็คือ  การพยายามค้นหาหุ้นที่ยัง  Undervalue มากกว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่ตลอดเวลา  เสร็จแล้วก็ขายหุ้นตัวที่ถืออยู่เพื่อที่จะนำเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่ที่  “ถูกกว่า” และมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้เร็วกว่าหุ้นตัวเดิม  ผลก็คือ  พวกเขาซื้อ ๆ  ขาย ๆ  หุ้นค่อนข้างบ่อยตามการปรับของราคาหุ้นในกลุ่มที่เรียกว่า  “หุ้น VI” ซึ่งมีราคาขึ้นลงรุนแรงไม่แพ้ “หุ้นเก็งกำไร”  อื่น ๆ
	VI จำนวนมากที่ทำผลงานการลงทุนได้ยอดเยี่ยมในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมายังรู้สึกว่า   การลงทุนถือหุ้นยาวและเติบโตไปกับผลประกอบการของบริษัทนั้น  ก็อาจจะดี  แต่ก็ไม่สามารถจะโดดเด่นอย่างแน่นอน  เหตุผลก็คือ  ผลประกอบการของบริษัทในระยะยาวจริง ๆ  แล้วแทบจะไม่สามารถโตได้ปีละเกิน 15%  ซึ่งก็จะทำให้การถือหุ้นของบริษัทในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนไม่เกินปีละ 15%   ตัวเลขนี้สำหรับ VI ที่ประสบความสำเร็จสูงในช่วงที่ผ่านมานั้น  เป็นผลตอบแทนที่แทบจะ  “รับไม่ได้”  พวกเขาคิดว่าอย่างน้อยเขาควรจะทำได้อาจจะปีละ 25% ขึ้นไป   ดังนั้น  พวกเขาจึงไม่คิดที่จะถือหุ้นตัวเดียวยาวหลายปีไม่ว่ากิจการจะดีแค่ไหน  พวกเขาคิดว่าเมื่อได้กำไรจากหุ้นตัวไหนมากแล้วและราคาหุ้นอาจจะไม่ถูกอีกต่อไป   เขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวหุ้นใหม่  ผลก็คือ  แม้แต่ “VI ระดับเทพ”  เองก็มีน้อยมากที่จะลงทุนระยะยาว
	การที่เราหานักลงทุนระยะยาวจริง ๆ ได้ยากมากนั้น   ยังอยู่ที่เหตุผลทางจิตวิทยา  ความรู้และความเข้าใจของคน  และอื่น ๆ  อีกหลายอย่างที่ทำให้คนมีแนวโน้มที่จะเป็น  “นักลงทุนระยะสั้น”  มากกว่าระยะยาว  ลองมาดูข้อแรกก็คือ  คนเราโดยเฉพาะที่เป็นคนมีความสามารถสูงนั้น  มักจะเป็นคนที่  Active มีความกระตือรือร้นสูง  พวกเขาต้องการ  Action หรือต้องมีการ  “ทำอะไรบางอย่าง”  เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ  การนั่ง  “กระดิกเท้า”  ไม่ทำอะไร  หรือคิดหรือทำอะไรชักช้าไม่ทันการนั้น   เป็นสัญญาณของคนที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้  ดังนั้น  นักลงทุนที่มุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับการลงทุนในตลาดหุ้นจึงมีแนวโน้มที่จะต้อง  “ทำ”  บางคนอาจจะบอกว่าไม่ได้หมายความว่าต้องซื้อหรือขายหุ้น   แต่เขาต้องไปศึกษาหาข้อมูลและวิเคราะห์หาหุ้นที่ถูกมากเมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานของกิจการตลอดเวลาเพื่อหาโอกาสที่งดงาม   ประเด็นก็คือ  ในที่สุดเขาก็พบเพชรเม็ดงามเม็ดใหม่เสมอ  ประเด็นก็คือ  เขามีเงินจำกัด  เขาไม่เหมือน วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่มีเงินใหม่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ   ดังนั้น  เขาต้องขายหุ้นตัวเดิมและไปซื้อหุ้นตัวใหม่ที่อาจจะไม่ดีกว่า   แต่ถูกกว่า  และดังนั้น  เขาก็กลายเป็นนักลงทุนระยะสั้นโดยพฤติกรรม
	การเป็นนักลงทุนระยะยาวนั้นเป็นเรื่องที่ทำยากและไม่แน่นอน  คนที่ทำจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลของกิจการอย่างลึกซึ้ง  เขาต้องดูถึงโครงสร้าง  ภาวะ  และแนวโน้มของอุตสาหกรรม ในระยะยาว  เสร็จแล้วก็ต้องดูถึงความสามารถหรือความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทว่ามีความยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน  เขายังต้องดูถึงผู้บริหารว่ามีความสามารถและไว้วางใจได้หรือไม่  และแม้ว่าจะดูอย่างดีแล้ว  เขามีความมั่นใจแค่ไหนว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเวลาผ่านไปยาวนานในอนาคต    ตรงกันข้าม  การลงทุนระยะสั้นนั้นทำง่ายกว่ากันมาก  การวิเคราะห์หุ้นอาจจะมองแค่ว่าในระยะเวลาไม่เกินปีบริษัทน่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นได้ค่อนข้างแน่นอนมองจากปัจจัยหรือแนวโน้มที่เกิดขึ้น  บางทีอาจจะรู้และได้รับคำมั่นจากผู้บริหารซึ่งเป็น “ข้อมูลภายใน”  ว่า  ทุกอย่างกำลังไปได้ดี  ดังนั้น  การตัดสินใจและลงมือทำจึงทำได้ง่ายด้วยความมั่นใจที่สูง
	สุดท้าย  ตลาดหุ้นที่ผันผวน  ราคาหุ้นแต่ละตัวที่ผันผวนหนักในแต่ละวันนั้น  กระตุ้นให้คนเป็นนักลงทุนระยะสั้นมากกว่าระยะยาวมาก  สมองคนถูกออกแบบมาให้พยายามลดความไม่แน่นอน  ให้พยายาม  “ลดความเสี่ยง”   แม้บางทีเราอาจจะคิดว่าหุ้นลงมาอย่างไม่มีเหตุผลไม่ควรทำอะไร  แต่เราก็อาจจะขายไปก่อนแล้วคิดว่าค่อยไปเก็บคืนที่ราคาต่ำกว่านั้นก็ได้   ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  เรามีแนวโน้มเป็นนักลงทุนระยะสั้นมากกว่าระยะยาวถ้าเราไม่ฝืนมัน
[/size]
yinglaknite
Verified User
โพสต์: 60
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนระยะยาว-ยาก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ชอบ "นั่งกระดิกเท้าจัง" ไม่ (ค่อยทำอะไร) หรือคิด หรือ ทำ อะไรชักช้า ไม่ทันการ 555555

แค่ดูเหมือนไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ความจริงแล้วเป็น "พฤติกรรมที่ส่งผลให้ประสบความสำเร็จ"
pullmeunder
Verified User
โพสต์: 332
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนระยะยาว-ยาก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

มาสมัครเป็นสมาคม "นั่งกระดิ๊กเท้า" ด้วยคนครับ อิอิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nevercry.boy
Verified User
โพสต์: 4626
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนระยะยาว-ยาก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

มันยากจริง ๆ ครับ

ปีเตอร์ ลินซ์ เคยไปบรรยายและถามคนในห้องว่า "ใครเป็นนักลงทุนระยะยาวบ้าง?" แปลกที่หลายคนยกมือแล้วยิ้ม ๆ ในใจลึก ๆ ก็ไม่ได้ทำตาม อาจจะไม่กล้า ไม่เชื่อ หรือถือเงินสดปลอดภัยกว่า คนไทยผมว่าก็เหมือนกันน่ะครับ

ชั่วโมงนี้ไม่ต้องยกมือแล้ว เราก็คงต้องถามว่า "ใครเป็นนักลงทุนระยะยาวบ้างให้ทำปากจู๋ครับ?"
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนระยะยาว-ยาก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณครับ
boingo
Verified User
โพสต์: 0
ผู้ติดตาม: 0

Re: ลงทุนระยะยาว-ยาก/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

นับถือพี่ chatchai อย่างนึงคือ ถือหุ้นได้ยาว แสดงว่ามีความมั่นใจหุ้นที่ถือมาก

แสดงว่าเค้ามั่นใจในการวิเคราะห์

จึงอยากทราบว่าพี่เค้าใช้หลักอะไรบ้างครับ
โพสต์โพสต์