ทำไม?หมอบุญ วนาสินใส่เกียร์ถอยหุ้นไทย!
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, February 25, 2013 05:55
ก่อนจะเหินฟ้า "โกอินเตอร์" จนค้นพบ"ขุมทอง" นอกบ้าน "นพ.บุญ วนาสิน"ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ในฐานะนักลงทุนลายคราม เคยนิยมชมชอบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอามากๆ ถึงขนาดตั้ง "10 ข้อกฎแห่งการลงทุน" ข้อแรก นักลงทุนต้องหมั่นสังเกตเงินต่างชาติ หากเขาขนเงินมา "ลุยเลย" แต่ต้องซื้อหุ้นบูลชิพเท่านั้น ข้อ 2.ก่อนลงทุนต้องเหลียวหลังดูการเมืองก่อน หากสงบค่อยเดินหน้าได้ ข้อ 3. สำรวจอัตราดอกเบี้ย ถ้าทิศทางเป็นขาขึ้น "กรุณาอย่าช้อน"เสี่ยงนะครับ....
ข้อ 4. อัตราเงินเฟ้อควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ข้อ 5 .หาข้อมูลเกี่ยวกับเงินต่างชาติว่าตอนนี้ไปรวมตัวกันอยู่ในกลุ่มไหน เขาไปไหนเราก็ตามไป แค่นั้นล่ะ ข้อ 6.ดูความสามารถในการแข่งขันในบริษัทที่เราจะเข้าไปลงทุน หาก สู้คนอื่นได้ ถือว่าได้เปรียบซื้อเลย ข้อ 7. สำรวจงบดุลของประเทศ ข้อ 8.ส่องงบลงทุนของเมืองไทย ข้อ 9. ดูนโยบายการเงินของรัฐบาล ข้อสุดท้าย สำรวจอัตราแลกเปลี่ยนของแบงก์ชาติ หากคุณพิจารณาทั้ง 10 ข้อแล้วพบว่า ทุกอย่างอยู่ในระดับเหมาะสม ก็ได้โปรดอย่างลังเล
ทว่า ตั้งแต่ "หมอบุญ" ตัดสินใจขายหุ้น 75% ในโรงพยาบาลปิยะเวทให้กับ "เจ้าพ่อกระทิงแดง" เฉลียว อยู่วิทยา ผู้ล่วงลับ หลังมีความสนิทชิดเชื้อเป็นพิเศษ ชีวิตการลงทุนของ "คุณหมอสูงวัย"ก็แทบจะปักหลักอยู่ในเมืองจีน ธุรกิจเทรดดิ้ง และธุรกิจโรงพยาบาล มูลค่าหลายพันล้านบาท คือ ธุรกิจที่สร้างเงินให้เขา "หมอบุญ" เคยให้ความเห็นว่า เมืองจีนยังมีอะไรให้ทำอีกมากมาย บินไปบินมาระหว่างเมืองไทยกับเมืองจีน ผมไม่ได้ไปเปล่าๆ ต้องได้อะไรติดไม้ติดมือ กลับมาบ้าง ถ้าเจอของดีไม่รอช้าจะสอยเข้ากระเป๋า ทันที
"กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" มีโอกาสพบ "หมอบุญ" เจ้าตัว "อัพเดทชีวิตลงทุนฉบับย่อ"ให้ฟังว่า ตลาดหุ้นไทยหวือหวา ผมไม่ต้องการเสี่ยงมาก อายุเยอะแล้ว (หัวเราะ) ตอนนี้ทยอยลดการลงทุนบ้างแล้ว จำไม่ผิดเหลือหุ้นไม่ถึง 10% มูลค่าการลงทุนไม่ถึงหลัก "ร้อยล้านบาท"ตั้งใจจะปล่อยออกสักครึ่งหนึ่งของพอร์ต เดิมเคยถือหุ้นมากกว่า 30%
"ผมเปลี่ยนแนวการลงทุน อยากมองสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวมากกว่า อย่างน้อยก็มีความมั่งคง-มั่งคั่ง"
ถามถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยในปี 2556?เขาทำนายว่า ดัชนีมีโอกาสไต่ขึ้นไปยืนระดับ 1,550 จุด เมื่อต้นปี SET INDEX ขึ้นมาสัมผัส 1,400 จุด สูงกว่าที่คิดว่าจะอยู่ที่ 1,200 จุด เพราะตัวเลขที่ผมเคยคาดการณ์ไว้ มันก็ สูงมากแล้วนะ ตอนนี้เป็นไงละ บอกได้คำเดียวว่า "โอ้โห" ถ้าขึ้นมาขนาดนี้ 1,550 จุด ไม่น่ายากแล้ว (มั้ง) แต่ทั้งหมดทั้งมวลคงต้องขึ้นอยู่กับเม็ดเงิน ไหลต่างชาติว่าจะมาหรือไม่
ตลาดหุ้นไทยขึ้นมาเยอะมาก นักลงทุนควรจับตาดูสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กับสหภาพยุโรปให้ดีๆ หากคุณไม่โลภ มากจนเกินไป "แนะนำให้ขายหุ้นออก สักครึ่ง" เพื่อเอา "กำไร" เข้ากระเป๋าก่อน เปลี่ยนมาถือเงินสดช่วงนี้น่าจะดีกว่า จากนั้นก็ค่อยๆดูว่าตลาดหุ้นจะมาอีกทีเมื่อไร ถ้าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ ค่อยกลับเข้ามาซื้อใหม่ เดี๋ยวกลางปี 2556 ตลาดหุ้น มีแนวโน้มอ่อนตัว
"กลุ่มสถาบันการเงิน" น่าจะ "โดดเด่น" ในปี 2556 ที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นมาสูงพอควร ส่วน "กลุ่มก่อสร้าง" น่าจะยังพอไปได้ เพราะรัฐบาลมีโครงการจะทำโน่นนี่อีกเพียบเม็ดเงินกว่า 3.5 แสนล้านบาท เช่น โครงสร้าง พื้นฐาน (Infrastructure) มูลค่า 2 ล้านล้านบาทฉะนั้นกรุณาจับตาดู หุ้น อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (ITD) และ หุ้น ช.การช่าง (CK) ให้ดีๆ เข้าไปลงทุนไม่น่าผิดหวัง สำหรับ "กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์" และ "กลุ่มยานยนต์"ราคาหุ้นค่อนข้างทรงตัว
"หมอบุญ" ถือโอกาสพูดถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับตลาดหุ้นเมื่อกลางปี 2555 ว่า ตอนนั้น ผมมองว่าตลาดหุ้นน่าจะอยู่ระดับ 1,100-1,200 จุด ก็ถือว่าโอเคแล้วนะเมื่อเทียบกับ P/E ในขณะนั้น เหตุผลที่มองตลาดหุ้นแบบนั้น เพราะรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกาพิมพ์พันธบัตรที่เขาเรียก QE 2 หรือ QE 3 ทำให้เงินเหรียญทะลักออกมา ประกอบกับ ประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องพิมพ์พันธบัตรออกมาบ้าง ถ้าไม่พิมพ์ ค่าเงินเยนจะแข็งมาก แถมประเทศอังกฤษยังพิมพ์ด้วย ยูโรก็พิมพ์ ซึ่งเงินพวกนี้ก็ต้องหาที่ไป แถบเอเชียเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งของเขา เพราะไปแล้วได้กำไร
เมื่อกลับมาดูตลาดหุ้นเมืองไทย ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปเล็กมาก เงินไหลเข้ามาแค่ 500-600 ล้านเหรียญต่อวัน ก็สามารถดันดัชนีขึ้นไปได้ 30-40 ล้านบาทแล้ว ฉะนั้น "แมงเม่าทั้งหลาย ต้องระวังให้ดีเข้าออกให้เร็ว ฝรั่งเขาได้กำไร เพราะเขามีเป้าหมายชัดเจน ยิ่งเมื่อไร ประเทศเขาฟื้นก็คงขนเงินกลับไปลงทุนบ้านเขา เหมือนเดิม" แต่ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ยังไม่วี่แว่วว่าแถบยุโรปและสหรัฐอเมริก จะฟื้นตัวนะ (ยิ้ม)
ก่อนหน้านี้ "นักเลงหุ้น" เคยเล่าให้ฟังว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนตลอดปี 2555 ถือว่าเข้าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 12-13% หลายคนคงสงสัย เล่นหุ้นกลุ่มไหนทำไมได้ผลตอบแทนเยอะจัง กำไรที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากตลาดหุ้นเลยเชื่อหรือไม่ แต่มาจากการซื้อขายที่ดินเป็นหลัก ตลอด ทั้งปี 2555 ที่ดินมีราคาดีมาก เพราะมีคนร้อนเงินจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงเทพ และยอดส่งออกไม่ดี เพราะเศรษฐกิจต่างประเทศยังป่วย ทำให้เจ้าของที่ดินหลายรายยอมขาย "ขาดทุน" ผมนิยมซื้อที่ดินแถวชานเมือง กลยุทธ์จะครอบครองที่ดินเพียง 6 เดือน ถึง 1 ปี ส่วนใหญ่ จะได้กำไรจากที่ดินขนาด 50 ไร่ ประมาณ 20% ถ้าเป็นไซด์กลาง-เล็ก จะได้กำไรเฉลี่ย 10% คนที่มาซื้อที่ดินต่อจากผมจะเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ อาทิ บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) เป็นต้น
ราคาที่ดินในปี 2556 มีโอกาสปรับตัว เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15%เพราะเศรษฐกิจเมืองไทยอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่รถไฟฟ้าเริ่มมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ที่ดินที่ติดกับรถไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้นทันตาเห็น ตอนนี้ราคาที่ดินในเมืองบางแห่งพุ่งสูงถึง 800,000 บาทต่อไร่แล้ว เท่าที่สำรวจมาแถวสุขุมวิทในซอยราคาสูงกว่า 300,000 บาทต่อ ตารางวาแล้ว ถ้าได้ทำเลดีๆคงได้กำไรเยอะมาก
เซียนหุ้นรายใหญ่ ยังเคยแนะนำการลงทุนในปี 2556 ว่า นักลงทุนควรแบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น 3 ส่วน โดยส่วนแรกให้ นำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น 40-50% จากปี 2555 ที่เคยเชียร์ให้ซื้อหุ้น 30-40% รองลงมาให้ไปซื้อทองคำประมาณ 15% โอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,700 เหรียญต่อออนซ์ เป็นกว่า 1,800 เหรียญต่อออนซ์ มีสูงมาก ส่วนสุดท้ายให้เก็บเงินสดไว้ (คำแนะนำนี้พูดก่อนราคาทองลดลง 450 บาท ณ วันที่ 21 ก.พ. 56)
นักลงทุนรายใดชอบถือลงทุนระยะยาว กรุณาเน้น "หุ้นบูลชิพ" ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 5% อาทิเช่น กลุ่มก่อสร้าง พลังงาน สถาบันการเงิน อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนนักลงทุนระยะกลาง ซื้อลงทุนเหมือนระยะยาวได้ยกเว้นกลุ่มก่อสร้าง อย่างพวกกลุ่มท่องเที่ยวก็น่าสนใจ อนาคตน่าจะดีขึ้นหาจังหวะซื้อติดพอร์ตก็คงดี
สำหรับนักลงทุนระยะสั้นเชิญลงทุนตามใจชอบ ส่วนตัวคิดว่า "ธุรกิจเอสเอ็มอี" น่าจะมีความเสี่ยงในเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อเดือน หากนักลงทุนแบ่งสัดส่วนการลงทุนเหมือนที่แนะนำผลตอบแทนเฉลี่ย 12-15% น่าจะได้เห็น
"นักลงทุนบิ๊กไซด์" ตอกย้ำเรื่องเดิมๆ ว่า ตั้งแต่ขายหุ้นโรงพยาบาลปิยะเวท ก็ใช้เวลา ส่วนใหญ่ทำธุรกิจในต่างประเทศ ตอนนี้ เตรียมเม็ดเงินลงทุน "หลายหมื่นล้านบาท"ในการขยายการลงทุนในประเทศจีน ผมยังคงมีความตั้งใจเหมือนเดิมว่า ภายใน 2 ปีข้างหน้า จะสร้างโรงพยาบาล 4 แห่ง ในเมืองหนานจิงและ ฉางโจ ประเทศจีน ถามว่าทำไมต้องเป็นแถบนี้ผมจะพูดเหมือนเดิมนะ คือ ประชากรในเมืองนี้เยอะตั้ง 100 ล้านคน แถมกำลังซื้อยังสูงอีก อีกอย่างธุรกิจโรงพยาบาลเติบโตกว่าปีละ 30%
ถามว่าสนใจทำธุรกิจในเมืองไทยอีกหรือไม่ "หมอบุญ" บอกว่า ยังตั้งใจจะทำ โครงการเนอร์สซิ่งโฮม มูลค่าประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ตลาดนี้น่าสนใจมาก เพราะผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมมีที่ดิน ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดค่อนข้างมากแล้ว หากไม่มีอะไรพลาดเฟสแรก คงลงมือทำในจังหวัดราชบุรี 100 ไร่ จากทั้งหมด 2,000 ไร่ และยังมีที่ดินแถบภูเก็ต หัวหิน รังสิต และพระราม 9 ถ้าทำคงเจาะตลาดคนรวยทั้งคนไทยและต่างชาติเหมือนเคย
"หมอบุญ" ทิ้งท้ายบทสนทนาว่า แผนการลงทุนในต่างประเทศไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง หากมีข่าวดีอะไรเพิ่มเติม ผมไม่พลาดที่จะเล่าคุณฟังแน่นอน (ยิ้ม)
ชีวิตลิขิตเอง
"นายแพทย์บุญ วนาสิน" โด่งดัง ในฐานะเจ้าของ "โรงพยาบาลปิยะเวท" ช่วงนั้น เขามุ่งมั่นผลักดันโรงพยาบาลเอกชนเป็น "เมดิคัลฮับ" (Medical Hub) นโยบายเดียวกับ "วิชัย ทองแตง" เมื่อครั้นยังถือหุ้นใหญ่ใน "ประสิทธิ์พัฒนา" (PYT)เมื่อปี 2553 "หมอบุญ" ตัดสินใจขายหุ้นจำนวน 75% ให้กับ "เจ้าพ่อกระทิงแดง"เฉลียว อยู่วิทยา
ย้อนอดีต "คุณหมอนักช้อป" จับมือ "นิตย์ แสงอุทัย" ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ด้วยทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2519 ขณะนั้นมีเตียงคนไข้เพียง 60 เตียง ก่อนจะเปิดการรักษาผู้ป่วยในวันที่ 10 พ.ค.2520 โดยมีคณะแพทย์ระดับอาจารย์ จากโรงพยาบาลศิริราชเป็นผู้ตรวจรักษา เป้าหมายของโรงพยาบาลธนบุรี คือ เน้นจับกลุ่มคนไข้ระดับปานกลางถึงสูง ย่านฝั่งธนบุรี ต่อมาเมื่อปี 2543 เขาโดดเซื้อหุ้นโรงพยาบาลปิยเวท หลังเห็น "จุดเด่น" ในแง่ของสินทรัพย์ที่มีทั้งอาคาร และเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย
"ชายสูงวัย" มักพูดกับคนที่รู้จักเสมอว่า คนที่มี "อินฟอร์เมชั่น" มากที่สุด นั่นละคือ "ผู้ชนะ" ผมชอบอ่านหนังสือมาก หนังสือไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเรา ตรงกันข้ามได้"สร้างชีวิตที่ร่ำรวย" ให้กับชายชื่อ "บุญ" ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม มาจากการอ่านหนังสือมากมายที่ไม่สามารถนับได้ว่า ทั้งชีวิตอ่านไปแล้วกี่เล่ม
ตลาดหุ้นไทยกำลังร้อนแรง!! วันนี้ "คุณหมอนักช้อป" นพ.บุญ วนาสิน ซื้ออะไร? หนึ่งในคำถาม "ยอดฮิต" ของเหล่ารายย่อยคุณหมอสวนกลับ "ตลาดหุ้นไทยผมไม่ค่อยแคร์ ต่างประเทศสิ มั่งคง-มั่งคั่ง"ความในใจ "เซียนหุ้นลายคราม"
ผมลดพอร์ตลงทุนหุ้นไทยเหลือแค่หลักร้อยล้าน เพราะหุ้นหวือหวา ไม่อยากเข้าไปเสี่ยงมาก--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ทำไม?หมอบุญ วนาสินใส่เกียร์ถอยหุ้นไทย!
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
ทำไม?หมอบุญ วนาสินใส่เกียร์ถอยหุ้นไทย!
โพสต์ที่ 1
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไม?หมอบุญ วนาสินใส่เกียร์ถอยหุ้นไทย!
โพสต์ที่ 3
ว่าไปเรื่อยอ่ะคับข่าว
เด๋วนี้แทบจะหาข่าวที่น่าเชื่อถือได้น้อยมาก
เวลาอ่านผมให้ 50/50 ไว้ก่อนเลยเรื่องความจริง
สรุปเราต้องมาดูเองว่าใครมีเหตุผลเชื่อถือได้แค่ไหน
ถ้าเรามีความรู้ไม่มากพอ หรือไม่มีหลักในการวิเคราะห์เนี๊ย
ลำบากเลย จะหลงตามได้ง่ายๆ
เด๋วนี้แทบจะหาข่าวที่น่าเชื่อถือได้น้อยมาก
เวลาอ่านผมให้ 50/50 ไว้ก่อนเลยเรื่องความจริง
สรุปเราต้องมาดูเองว่าใครมีเหตุผลเชื่อถือได้แค่ไหน
ถ้าเรามีความรู้ไม่มากพอ หรือไม่มีหลักในการวิเคราะห์เนี๊ย
ลำบากเลย จะหลงตามได้ง่ายๆ