ชายคนที่กำลังเล่นไวโอลินในคลิปนี้ ตลอดเวลา 45 นาทีที่เค้าเล่นไวโอลิน มีคนให้เงินเค้า 20 คน เป็นเงินทั้งสิ้น 32 USD ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะเดินผ่านเค้าไป บางคนก็หยุดดูแล้วก็ผ่านไป
แต่จริงๆ แล้ว ชายคนนี้คือ โจชัว เบลล์ นักไวโอลินระดับโลก เฉพาะไวโอลินตัวที่เค้าสีอยู่นี้ ก็มีมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาทแล้ว
ที่เค้ามาสีไวโอลีนในสถานีรถไฟใต้ดินที่เมือง Washington DC. แบบนี้ ก็เพื่อที่จะทดลองทฤษฎีที่ว่า เวลาที่คนเราเร่งรีบ เรามักจะมองข้างบางอย่างไป เรามักจะมองข้ามความสวยงามของศิลปะไป ซึ่งก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
พอได้ดูคลิปนี้ก็ทำให้ผมนึกถีงเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้นไปด้วย ในยามที่คนกำลังเร่งรีบเข้าไปเทรดหุ้นที่กำลังร้อนแรง แต่หุ้นที่ดี มีกิจการที่ดีกลับถูกมองผ่านไป ถ้าใครที่มองเห็นคุณค่าของมัน ให้เวลากับมัน ทำการวิเคราะห์มัน ก็จะได้หุ้นที่ดีในราคาที่ยังไม่แพง
เพลงที่เค้าเล่นที่สถานีรถไฟแห่งนี้ คือเพลงที่เหมือนกับเพลงใน concert ที่เค้าจัดและต้องเสียเงินขั้นต่ำ 3500 บาทต่อคน ใครที่หยุดดูก็ได้รับฟังเพลงเพราะๆ แบบฟรีๆ ไปครับ
แต่ก็อย่างว่า คนที่มาที่สถานีรถไฟส่วนใหญ่แล้วก็คือคนที่กำลังเร่งรีบ มีนัด หรือต้องไปธุระ จะให้หยุดดูคนเล่นไวโอลินก็กะไรอยู่นะ
http://www.youtube.com/watch?v=myq8upzJDJc
หยุดมองสักครู่ ให้เวลากับบางอย่างสักครู่ แล้วจะเห็นคุณค่าในส
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หยุดมองสักครู่ ให้เวลากับบางอย่างสักครู่ แล้วจะเห็นคุณค่
โพสต์ที่ 3
เอ๊ะ จำได้ว่า สิ่งที่เค้าทดสอบ ไม่ใช่ทดสอบเรื่อง ความเร่งรีบจะทำให้เรามองข้ามไปรึเปล่า คือ ไม่เกี่ยวกับความเร่งรีบครับ แต่มันคือการทดสอบทางจิตวิทยาที่ว่า
"ภาพที่เราสร้างไว้จากสิ่งที่เรา judgement หรือตัดสินอะไรไปตั้งแต่แรกที่เห็นจะส่งผลกับการรับรู้ของคนเราหรือไม่ "
ในที่นี้ก็คือ ผู้คน เห็นคนสีไวโอลิน ใส่ชุดธรรมดา เปิดหมวกขอตัง เค้าจะตัดสินไปตั้งแต่ในแวบแรกจากภาพภายนอกที่เค้าเห็นแล้วว่า คงเป็นวนิพกทั่วไป หรือถ้าใส่เสื้อซอมซ่อหน่อย ก็คงเป็นขอทาน มาสีไวโอลินขอตัง คนส่วนใหญ่เมื่อตัดสินอะไรจากเพียงแค่มองเพียงผิวเผินไปแล้ว ก็จะรับรู้แค่จากสิ่งที่ตัดสินไปแล้ว พวกเค้าจึงไม่หยุดฟังไวโอลิน เพราะคิดว่าฝีมือก็คงงั้นๆ เพราะเป็นขอทานมาเล่น หารู้ไม่ว่าเป็นนักไวโอลินระดับโลก
อย่างที่คุณ Zionism บอก สถานการณ์จะเปลี่ยนไป หากเพิ่มหน้าม้าเค้าไป คนจะเริ่มคิดว่า เอ๊ะ คงเป็นใครที่เก่งๆแน่ๆเลย แล้วก็จะเริ่มมุงเยอะขึ้น
case นี้ เป็น case ที่ดี ในการนำไปใช้ในเรื่อง marketing เคยมีคนนำไปใช้แล้วประสบความสำเร็จ เช่น ขายไส้กรอก อร่อยและสะอาดจริงๆ แต่ภาพลักษณ์ร้านดูไม่ค่อยดี คนเลยไม่ค่อยกิน เค้าเลยทำการจ้างหมอมาซื้อกินบ่อยๆ พอคนเห็นว่า เอ๊ะ ร้านนี้ พวกหมอมาซื้อกินบ่อยมาก น่าจะเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี สะอาด คนก็เริ่มมาซื้อเยอะขึ้น
ผมรู้เรื่องพวกนี้จากหนังสือเรื่อง "เขว" (sway) ซึ่งเป็นnewyork time bestseller มีเคสทางจิตวิทยาอีกมากมายที่ทำให้เห็นว่า คนเรานั้น "เขว" ขนาดไหน ถ้าอยากรู้มากขึ้นลองไปซื้อมาอ่านดูครับ
"ภาพที่เราสร้างไว้จากสิ่งที่เรา judgement หรือตัดสินอะไรไปตั้งแต่แรกที่เห็นจะส่งผลกับการรับรู้ของคนเราหรือไม่ "
ในที่นี้ก็คือ ผู้คน เห็นคนสีไวโอลิน ใส่ชุดธรรมดา เปิดหมวกขอตัง เค้าจะตัดสินไปตั้งแต่ในแวบแรกจากภาพภายนอกที่เค้าเห็นแล้วว่า คงเป็นวนิพกทั่วไป หรือถ้าใส่เสื้อซอมซ่อหน่อย ก็คงเป็นขอทาน มาสีไวโอลินขอตัง คนส่วนใหญ่เมื่อตัดสินอะไรจากเพียงแค่มองเพียงผิวเผินไปแล้ว ก็จะรับรู้แค่จากสิ่งที่ตัดสินไปแล้ว พวกเค้าจึงไม่หยุดฟังไวโอลิน เพราะคิดว่าฝีมือก็คงงั้นๆ เพราะเป็นขอทานมาเล่น หารู้ไม่ว่าเป็นนักไวโอลินระดับโลก
อย่างที่คุณ Zionism บอก สถานการณ์จะเปลี่ยนไป หากเพิ่มหน้าม้าเค้าไป คนจะเริ่มคิดว่า เอ๊ะ คงเป็นใครที่เก่งๆแน่ๆเลย แล้วก็จะเริ่มมุงเยอะขึ้น
case นี้ เป็น case ที่ดี ในการนำไปใช้ในเรื่อง marketing เคยมีคนนำไปใช้แล้วประสบความสำเร็จ เช่น ขายไส้กรอก อร่อยและสะอาดจริงๆ แต่ภาพลักษณ์ร้านดูไม่ค่อยดี คนเลยไม่ค่อยกิน เค้าเลยทำการจ้างหมอมาซื้อกินบ่อยๆ พอคนเห็นว่า เอ๊ะ ร้านนี้ พวกหมอมาซื้อกินบ่อยมาก น่าจะเป็นอาหารที่มีคุณภาพดี สะอาด คนก็เริ่มมาซื้อเยอะขึ้น
ผมรู้เรื่องพวกนี้จากหนังสือเรื่อง "เขว" (sway) ซึ่งเป็นnewyork time bestseller มีเคสทางจิตวิทยาอีกมากมายที่ทำให้เห็นว่า คนเรานั้น "เขว" ขนาดไหน ถ้าอยากรู้มากขึ้นลองไปซื้อมาอ่านดูครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- kornjackrit
- Verified User
- โพสต์: 1524
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หยุดมองสักครู่ ให้เวลากับบางอย่างสักครู่ แล้วจะเห็นคุณค่
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ
When you become famous, the first thing you should have to remember is not your success story but those who help you along the way.