สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สัจจะ – ความเป็นจริง ความซื่อสัตย์ ความซื่อตรง
ธรรม – ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ธรรมชาติ
สัจธรรม – ความจริงของธรรมชาติ

การเริ่มต้นน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เริ่มจำความได้ กี่ขวบดีนะ สักอนุบาล 1 ก็สัก 4 ขวบน่าจะได้ ก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นอ่ะนะ แต่ไม่รู้เป็นอะไร เห็นอะไรเป็นอยากได้ อยากซื้อไปซะหมด ตั้งแต่ขนม ท๊อฟฟี่ ไปถึงช็อกโกแลต สมัยนั้นถ้ามีเงินพอได้ซื้อพวก ป็อกกี้ แอลฟี่ โคลอน ก็อย่างหรูแล้ว พอถึงเวลาพัก ก็รีบวิ่งไปซื้อขนมกิน ก็อะนะ วันนึงได้เงินไป 5 บาทก็ซื้อขนมได้สักห่อสองห่อเล็กๆ เงินก็หมดแล้ว มีวันนึงตอนพักไปซื้อขนมมาห่อนึง มีเด็กรุ่นเดียวกันมายืนใกล้ๆ แล้วพูดว่า ขอกินด้วยนะ โอ้โห๋ เราใจหายเลยทีเดียว มาขอกันง่ายๆอย่างนี้ได้ไงทำไมไม่ซื้อเองอ่ะ เงินเราก็หมดแล้ว ห่อก็เล็กนิดเดียว เลยบอกไปว่าไม่ได้ไม่ให้หรอก แล้วเด็กคนนั้นก็เดินไป ตอนนั้นไม่รู้เป็นไรเศร้ารู้สึกผิด รู้สึกอยากให้แต่ให้ไม่ได้จริง แต่มือก็ยังกินขนมต่อไปพลางคิดไปด้วย เอ่ เค้าเป็นไรอ่ะทำไมเขาไม่ซื้อขนมเองมาขอเราทำไม หรือเขาไม่มีเงินจริงๆ ขนมห่อละ 3 บาทเองนะ หรือเขาไม่มีเงินจริงๆ ถ้าเขาไม่มีแปลว่าเขาใช้เงินที่พ่อแม่ให้มาหมดแล้วเหรอถ้าเป็นอย่างนั้นแปลว่าเขาก็ต้องเอาเงินนั้นไปซื้อขนมมากินเรียบร้อยแล้วสิ แต่เรายังไม่ได้ซื้อ เราเพิ่งซื้อจึงเพิ่งจะได้กินดังนั้นเราไม่แบ่งก็ไม่ผิดอะไรนี่นา อืมแต่เอ่ แต่ถ้าเขาได้กินแล้วเขาก็น่าจะพอไม่เห็นต้องมาขอเรา เฮ้อ หรือว่าพ่อแม่เขาไม่ให้เงินค่าขนมมาเหรอ บ้าน่ะพ่อแม่ที่ไหนจะทำอย่างนั้น(คิดในใจ) แต่ถ้ามันเป็นอย่างงั้นจริง พ่อแม่ไม่ให้เงินมาจริงๆ เขาก็จะตกอยู่ในสภาพแย่มากเลยเนอะ เพราะขนาดเราเวลาได้เงินซื้อของกินจนหมด พอเห็นคนอื่นวิ่งไปซื้อขนมเรายังรู้สึกแย่เลย อิจฉา อยากซื้ออีกจนต้องทำใจ แต่ถ้าไม่ได้ค่าขนมเลยคงน่าสงสาร จนตัวผมรู้สึกผิดนานหลายปีว่าถ้าเป็นกรณีหลังเราน่าจะได้แบ่งขนมให้เขาสักนิดด้วยความกล้ำกลืนฝืนทนอย่างที่สุด และตอนนั้นก็ยังคงไม่สามารถหาคำตอบได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่มันทำให้เกิดคำถามในใจผมขึ้นมา
monsoon
Verified User
โพสต์: 535
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

คุณเหลียงความจำดีจังเลยนะครับ เด็กๆยังจำได้ละเอียดซะขนาดนี้ รอฟังต่อครับ :)
เรียนรู้และเข้าใจ คุณค่าที่แท้จริงของสรรพสิ่ง...
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ต่อมาวันรุ่งขึ้น ไปโรงเรียน จนถึงเวลาพักเหมือนเคย ก็รีบวิ่งเตรียมไปซื้อขนม แต่วันนี้ พอวิ่งไปถึงหน้าร้าน ปุ๊ปก็หยุดทันที แล้วก็หันมองซ้ายมองขวา มองว่า เด็กคนนั้น อยู่แถวนี้รึเปล่า (อย่าคิดนะว่าผมเป็นคนดี แบบว่าเมื่อวานรู้สึกผิด แล้วมาวันนี้จะซื้อแล้วแบ่งขนมให้เด็กคนนั้น) แบบว่า กลัวอ่ะ กลัวโดนเข้ามาขอแบ่งกินอีก กลัวจริงๆนะเอาสิ แบบว่าถ้าเจอนะจะยอมยังไม่ซื้อขนมกิน และไว้ค่อยมาซื้อเวลาพักคราวหน้า ฮ่า ไม่มีเด็กคนนั้นอยู่ เลยรีบเลยครับ รีบเข้าไปซื้อ แล้วเดินไปให้ห่างจากร้านขายขนมให้มากที่สุด แล้วก็กินอย่างสบายใจ แต่ในใจก็เริ่มคิด แล้วเด็กคนนั้นวันนี้หายไปไหนอ่ะ

แต่วันนี้ผมกลับเริ่มรู้สึกว่า อืมดีนะที่ผมมีเงินซื้อขนม เด็กคนนั้นไม่มีเงินซื้อขนม ถ้าเราเป็นเด็กที่ไม่มีเงินซื้อขนมกินล่ะ เราจะทำยังไง จะทำเหมือนเขารึเปล่า ราวกับสิ่งที่ผมกำลังเรียนรู้อยู่ขณะนี้ คือความต่างระหว่าง คำว่า มี และ ไม่มี
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

และก็รู้สึกโชคดีกับตัวเองว่าดีนะ ที่เราอยู่ในฝ่าย มี และก็เริ่มกลัวถ้าจะต้องไปทำตัวเหมือนเด็กคนนั้นที่อยู่ในฝ่าย ไม่มี มันทำให้กลับมาเริ่มคิดต่อจากเดิมว่า เราได้ค่าขนมมาโรงเรียนวันละ 5 บาท แล้วเพื่อน หรือคนอื่นๆล่ะ ได้ค่าขนมมาวันละเท่าไหร่ แต่ก็แปลกมากที่ตอนนั้นเหมือนไม่ได้ถามเพื่อน หรือคนอื่นๆเลย แต่กลับคิดเอาเองว่า ถ้าบางคนได้ค่าขนมมาวันละ 2 บาท เป็นเราแย่แน่เพราะผมมีขนมโปรดเป็นเยลลี่เคลือบน้ำตาล ซึ่งห่อเล็กสุดมันราคา 3 บาท นั่นทำให้ถ้าเราได้ขนม 2 บาท แทบไม่ประโยชน์กับเราเลย แย่แน่ๆ ขออย่าให้เกิดกรณีนี้กับเราเลยนะ เราคงต้องจำใจหาอะไรกินแทนซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะกินอะไรแทนดี ถ้าบางคนได้ 5 บาท ก็ได้เท่าเราไม่มีปัญหา และจะมีคนที่ได้ค่าขนม 8 บาท หรือ 10 บาท บ้างมั้ยนะ ถ้ามีพ่อแม่เค้าคงใจดีมากเลยเนอะ ถ้ามีคนที่ได้ 10 บาทแปลว่าจะซื้อของกินได้มากกว่าเราเท่าตัวเชียวนะ ถ้าเราเป็นคนที่ได้นะสบายเลย จริงป่ะ จะได้กินอันโน้น อันนี้เพิ่มได้มากมายรู้สึกว่ามากมายเลยนะ แต่ ที่เราได้ 5 บาททุกวันนี้ เราก็อยู่ได้นะ และไอ้ที่เราจะได้ค่าขนม 10 บาท เราจะต้องทำยังไง ทำไม่ได้หรอก ก็ค่าขนมของเรามันได้วันละ 5 บาท อ่ะ พยายามคิดอยู่นะว่าจะทำยังไงให้ได้ วันละ 10 บาท แต่มันยังไงก็ติดอยู่แค่กับคำว่า ก็ค่าขนมเรามันวันละ 5 บาทไง โอเค พอแล้ว นั่นคงจะสุดความสามารถในการคิดของเด็กคนนี้แล้วล่ะ แต่บอกเลย อย่าเชียวนะที่พ่อแม่ของเราคิดที่จะไม่ให้ค่าขนมเรา หรือลดค่าขนมเรา อย่าเป็นอันขาด แต่ถ้ามันเกิดขึ้นล่ะ จะทำยังไง ฮือ ฮือ เริ่มกลัวในใจมากขึ้นเรื่อยๆ อ่ะ ถ้าลดค่าขนมเราสุดๆ เราต้องได้ไม่ต่ำกว่า 3 บาท นะ ไม่งั้นจะซื้อเยลลี่ของโปรดไม่ได้ ฮือ ไม่เอาอ่ะห้ามลดนะ ห้ามเด็ดขาด

แต่นี่แหละที่ผมเริ่มรู้สึกกลัวจริงๆ กลัว คำว่า ไม่มี ฮือๆ และเริ่มเรียนรู้จัก คำว่า ไม่มี มีน้อย มีมาก ซึ่งแต่ก่อนนี้จะรู้แค่ว่า เดี๋ยวได้ค่าขนม ซึ่งบังเอิญ ทั้งพี่และน้องก็จะได้ค่าขนมเท่าๆกันในแต่ละวัน ได้มาก็ซื้อขนมกินเป็นอันจบไปแต่ละวัน มีความสุข เจอเด็กคนที่มาขอขนมเข้าไปที อึ้งไปเลยเรา นี่คงเรียกว่า การเปรียบเทียบสินะ แต่ตอนนี้กลัวคำว่า ไม่มี ที่สุดในโลก หลังจากกลัวได้สักครู่ ไม่กี่นาที ก็เริ่มวิ่งไปวิ่งมา อ่าวความกลัวหายไปในบัดดลไปวิ่งเล่นซะแล้ว ขอตัวไปเล่นก่อนนะครับ 55
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เพิ่มได้ แต่ห้ามลด ไม่งั้นมี โฮ

หลังจากวันนั้น ค่าขนมวันละ 5 บาท ในทุกๆวันเป็นสิ่งที่ผมขาดไม่ได้ซะแล้ว ถ้าจะให้มากกว่า 5 บาท ผม ok แต่น้อยกว่า มี โฮ ฮือ ฮือ ผมถูกผูกยึดติดซะแล้ว ราวกับว่าในแต่ละวันผมจะไม่สามารถอยู่ได้ ถ้าขาด 5 บาทนี้ไป ทั้งที่แต่ก่อน วันหยุด มีบางที ที่ลืมไปเอาค่าขนม วันๆเอาแต่เล่น ก็ไม่เป็นไร มีความสุขดี แบบไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะ ไม่รู้ตัวว่าเราไม่มี แต่วินาทีนี้ไม่เป็นอย่างเคย เพราะรู้จักคำว่า มี แล้ว และก็อยากอยู่ฝ่ายคำว่า มี ดังนั้นตอนนี้ ผมอยากมี อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หรือเรียกว่า ยึดติด

นั่นทำให้ผมคิดถึงค่าขนม บ่อยครั้งมากขึ้นในแต่ละวัน และไม่พลาดที่จะไปขอค่าขนมให้ครบทุกวันแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ต่อความต้องการ มี แต่ด้วยความเบาปัญญา แฮะ แฮะ ทุกอย่างมันไม่หยุดแค่นั้น
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

เย้!! ถึงบ้านแล้ว

หลังจากเรียนหนังสือด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า 555 รถโรงเรียนก็ได้มาส่งผมกลับบ้าน แต่ผมมักจะแปลกใจ ทำไมกว่าจะส่งผมถึงบ้าน ใช้เวลาตั้งนาน ขับวนรถไปๆ มาๆ ส่งคนนู้น คนนี้ แล้วทำไมต้องส่งผมเป็นคนท้ายๆด้วย ทำไมไม่มาส่งผมคนแรกล่ะ แล้วค่อยๆวนกลับเข้าไปส่งคนอื่น แล้วค่อยเอารถกลับไปจอดในโรงเรียนก็ได้นี่นา ไม่เข้าใจเลย ผมละเซ็งๆ แต่สมัยนั้นตอนนั่งรถไปไหนมาไหน ผมจะไม่ค่อยหลับ ดังนั้นจะคอยมองนู้นมองนี่ตลอด จนได้เห็นภาพเหตุการณ์หนึ่งเข้า คือรถโรงเรียนนะ เป็นรถตู้ แต่ดัดแปลงที่นั่งส่วนด้านหลัง ให้เป็นที่นั่ง 2 แถวเบาะสีออกน้ำตาล คล้ายกลับ ด้านหลังของรถสองแถว แต่จะเล็กกว่ามากเพราะ สำหรับให้ก้นเด็กนั่ง และตรงกลางก็เป็นเหมือนราวเหล็กเส้นหนึ่งหุ้มด้วยเบาะนุ่มๆสีส้ม ให้เด็กนั่งได้อีก ตอนนั้นก็ส่งเด็กลงไปได้เยอะแล้ว เหลืออีกไม่กี่คนซึ่งรวมผมด้วยเพราะเป็นคนท้ายๆ และตอนเวลาที่เหลือเด็กน้อยแล้ว หลังรถนี้จะมีที่ว่างเยอะทำให้ พอวิ่งเล่นได้เลยทีเดียว ผมก็เล่น เดินไปเดินมา และอยู่ๆ ผม และพี่เลี้ยง ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูรถตู้ รวมถึงเด็กอีกไม่กี่คน ได้พร้อมใจกันหันไปมองทางด้านหลัง เป็นภาพเด็กคนหนึ่ง ยืนขึ้น แล้วจับราวเหล็กนุ่มๆที่ไว้นั่ง พร้อมกับมีก้อนอะไรบางอย่างอยู่ที่พื้นรถ ทุกๆคนยังคงมองอยู่ และแล้ว ก้อนบางอย่างก็หล่นมาอีก ก้อนหนึ่ง แต่มันยังไม่หยุด มันยังหล่นมาเพิ่มอีก 2-3 ก้อน ตอนนี้นึกภาพแล้วทำให้อยากไปเข้าห้องน้ำเลยทีเดียว ตอนนั้นก็พยายามมองต่อไป อ๋อรู้แล้ว ใช่แล้วครับ มันเป็น อึ oh my god ดีนะที่มันเป็นแบบแข็ง ผมแบบ งง สุดๆ ทุกคนก็นิ่งไม่ได้พูดอะไร แล้วพี่เลี้ยงก็ลุกเดินเข้าไปดูแล แต่บริเวณนั้น จะเป็นบริเวณที่เด็กที่เหลือ ไม่กล้าเข้าไปย่างกราย แต่ตอนนี้ผมภาวนา อยากถึงบ้านเร็วๆแล้ว ผ่านไปหลายนาที รถก็ได้ส่งเด็กที่เมื่อกี้ทำอะไรบางอย่างหล่น เรียบร้อยแล้ว และพี่เลี้ยงก็ได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไม่มีเด็กคนไหนย่างกรายไปบริเวณนั้นเลย ถึงแม้ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยแล้ว แต่ใจผมไม่เลย อยากถาม อยากรู้ แต่สมัยนั้นถามคนอื่นไม่ค่อยเป็น

ผมเริ่มคิด ว่าตัวเราอ่ะ เคยอ้วก แบบนะ เปรอะเลอะเทอะไปหมด แบบต้องอาบน้ำใหม่กันเลยทีเดียว ถึง 2 ครั้ง ที่พอจะจำได้ แบบถูกส่งตัวกลับบ้านเลย ตอนนั้นดีใจเลยทีเดียว แต่สภาพสิดูไม่ได้เลย 55 เอานะ เราก็เคยอยู่ในสภาพที่เละเทะ เด็กคนเมื้อกี้ ก็เละเทะ แต่ของเรามันอ้วกนะ จะหยุดอ้วกไม่ให้ออกมาได้ยังไงจริงป่ะ แต่ถ้าการเข้าห้องน้ำ มันต้องอั้นได้สิ มันไม่เหมือนกันนะ แบบไม่เข้าใจอยู่นาน แต่ตอนนี้ก็ได้เข้าใจแล้ว

เมื่อสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ มีผลกับเราอย่างที่สุด บางทีเราก็ทำสิ่งที่ดูธรรมดาๆอย่างที่สุด

คำที่ใกล้ที่สุด น่าจะเป็น สัญชาตญาณ

เฮ้อ ไม่รู้เล่าทำไมเนอะ
เอาเป็นว่า มาต่อตรงที่วันหนึ่งพอกลับมาจากโรงเรียน ถึงบ้านแล้วใหม่ นะ
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 7

โพสต์

พอกลับถึงบ้าน การมองของผมได้เปลี่ยนไปจากการที่คิดถึงค่าขนม 5 บาท บ่อยครั้งขึ้น

ถึงบ้านแล้วครับ!!! คือ บ้านผมเนี่ยจะอยู่ติดถนนใหญ่ แบบพอลงรถก็วิ่งเข้าประตูบ้านได้เลย บ้านนั้นเป็นตึกแถว 2 ห้อง เป็นร้านค้าขาย พอถึงบ้านก็ยกมือไหว้สวัสดีทั้งพ่อและแม่ที่เคารพ รวมบอกปู่ย่า ว่ากลับมาแล้วนะ ทักทายตามภาษาคนจีนแบบง่ายๆแบบปู่ย่าท่านเขาต้องการให้ทำอย่างนี้ แค่เรียกให้รู้ก็พอมิใช่ขี้เกียจยกมือไหว้แต่อย่างไร ทุกเย็นพอกลับมาผมและน้องๆจะต้องนั่งกินข้าว และทำการบ้าน จะนั่งตรงโต๊ะที่ไว้เก็บเงิน ทอนเงิน ทำนองนั้นแหละ ใครมีร้านค้าคงนึกภาพออก ถ้าใครไม่มีให้นึกถึงโต๊ะที่เจ้าของร้านค้ามักจะนั่งอยู่นั่นแหละ เอ้า กินข้าวกันเข้าไป บางทีก็ถูกป้อน บางทีก็ต้องนั่งกินเอง แต่การมองของผมเปลี่ยนไป พอมีคนมาซื้อของ พอเอาของไปก็จ่ายเงินมา แล้วเขาก็เอาเงินมาใส่ในลิ้นชักกัน แบบลิ้นชักอยู่ต่อหน้าต่อตา หยิบกันจะจะ นั่งกินไปมองไป เอ่ ได้เงินเป็นแบงก์ 50 บาทมา แล้วก็ทอนตังบ้าง อ่าวได้แบงก์ 100 บาท แล้ว 55 โอ้โห๋ ได้แบงก์ 500 บาทเชียวเหรอ (แบบสมัยนั้นยังไม่มีแบงก์ 1000) ได้ก็หลายใบอยู่นะเนี่ย ทำไม พ่อแม่เราได้เงินเยอะจัง แบงก์ 500 บาท ไม่ใช่ใบเดียวนะ หลายใบอยู่ ยังมีแบงก์ 100 , 50 , 20 ,10 เหรียญ 5 ที่เป็นค่าขนมเราอีกตรึม มีตั้งเยอะนะ (แบบตอนนั้นยังไม่รู้ว่าการขายของก็ลงทุนแล้วหักต้นทุนถึงได้กำไรอะไรทำนองนี้) ในเมื่อพ่อแม่มีเยอะขนาดนี้ ทำไม ให้ค่าขนมเราวันละ 5 บาทล่ะ แบงก์ 500 บาท กับ เงิน 5 บาท มันต่างกันมากนะ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันกี่เท่า เพราะยังไม่ได้เรียนเลขถึงขั้นนั้น แค่รู้ว่ามันคงจะใช้ได้นานมากๆ ผมมองไปที่แบงก์ 500 บาท บ่อยๆอยู่เรื่อยๆหลายๆวัน แล้วก็แค่สงสัยด้วยความ งง ว่า ทำไมเราถึงควรได้แค่ 5 บาทอ่ะ เพราะอะไร ทำไมให้เราแค่นี้ ให้เยอะๆหน่อยไม่ได้หรือไง สงสารลูกบ้างสิเงินใช้ไม่พอนะจะบอกให้ แบบอยากได้แบงก์ 500 บาท อยากได้จริงๆนะ

เอาแล้วครับ อยากได้เยอะ โลภ บังเกิด
whiteknight_p
Verified User
โพสต์: 315
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 8

โพสต์

กำลังสนุกเลย
มาต่อไวๆ นะครับ

ขอบคุณครับ
-----------------------------------------
เกิดเหตุอะไร อย่าตื่นใจ ไปตามเขา
ปัญญาเรา มีหน้าที่ พิพากษา
ต้องดูน้ำ ดูลม ระดมมา
พิจารณา เชิงชั้น หมั่นตริตรอง
-----------------------------------------
ท่านพุทธทาสภิกขุ
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 9

โพสต์

แบบอยากได้แบงก์ 500 บาทจริงๆ แบงก์เล็กกว่านั้นไม่อยู่ในสายตา 555 พออยากได้เลยเริ่มคิด แล้วถ้าได้ล่ะจะเป็นยังไง โห๋ ถ้าได้มานะอย่าให้พูด คงดีใจมากๆสุดๆอ่ะ แล้วถ้าได้มานะ จะเอาไปโรงเรียน ไปซื้อขนมไม่อั้นเลย เยอะๆเลย กินงับๆๆ ให้ทั้งวันไปเลย แบบเยลลี่เคลือบน้ำตาลกินแบบประมาณไม่มีวันหมดเลยมั้ง แล้วจะซื้อขนมแบบอื่นอีก แบบกินให้หมดทุกแบบในร้านไปเลย ว้าว สุดยอด!!! คิดไปยิ้มไป เหอๆๆ

อ้าวๆๆ ฝันกันไปใหญ่แล้ว หวังกันไปใหญ่แล้ว ปัญหาอยู่ที่ แบงก์ 500 บาทต่างหาก เราจะได้มาได้ยังไงกัน
เราจึงเริ่มคิดหาหนทาง อืม อิ๊กคิวซัง (การ์ตูน เณรน้อยเจ้าปัญญา) ขอใช้หมองก่อนแป๊ปนึงนะครับ สังเกตได้ว่าตอนนี้มีแค่หมอง แต่ยังไม่มีสมอง 55 สักพัก ปิ๊ง ครับ ปิ๊ง

คือ ตอนนั้นก็คิดถึงแหล่งที่มีเงิน จะหาเงินก็ต้องมองหาที่ที่มีเงินอยู่ถูกต้องแล้วถูกมั้ยครับ เป้าหมายแรก ลิ้นชัก โต๊ะเก็บเงิน ที่เก็บเงินเวลาขายของ เห็นอยู่ทุกวัน แล้วก็รีบลงมานั่งแถวโต๊ะนั้น โดยที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลย มีแต่เหตุผลในใจผมอย่างเดียว 55 เอะ เอะ คนมาซื้อของ เงินมานั่นแล้ว ฟืบ เงินเข้าไปในลิ้นชัก มองไปเรื่อยๆ เอาไงดีนะ แต่อืม คิดหนักแฮะ ก็มันมีคนเฝ้าอยู่ตลอดอ่ะ มีคนเดินไปเดินมาตลอด จะไปเอาได้ยังไง ถ้าจะไปเอาก็ต้องโดนด่าแน่นอน และไม่มีทางเอาสำเร็จแน่เลย ยากแฮะ เอาไงดี

แต่ในเมื่อเรามีความฝันแล้ว เราก็ต้องทำให้ฝันเป็นจริง สู้ๆ!!
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 10

โพสต์

เอ่ หรือว่าจะใช้ มือ แบบความเร็วแสง (แบบสมัยนั้นดูการ์ตูน แล้วได้ยินว่าความเร็วแสงอ่ะมันเร็วที่สุดแล้ว)

พยายาม ทั้งมองทั้งเล็ง แบบในลิ้นชักแบงก์มันจะอยู่ปนกันซ้อนกันไปหมด บางทีแบงก์ 100 ก็อยู่บนสุด บางทีก็แบงก์ 50 20 10 เปลี่ยนไปเรื่อยๆเมื่อมีการรับเงินและทอนเงิน แต่แบงก์ 500 มีปริมาณน้อยที่สุด และมักไม่ค่อยอยู่ใบด้านบนๆเพื่อให้หยิบง่ายที่สุด แต่ดูเหมือนผมจะสนใจแต่แบงก์ 500 ไม่สนใบเล็ก เหมือนแบบคิดใหญ่ไม่คิดเล็ก 55 เล็งไปคิดไป แบบ ใช้มือความเร็วแสง หยิบแบงก์ 500 ปุ๊ป วิ่งไปปั๊ป แบบเนียนๆ ปัญหา คือ ไอ้มือความเร็วแสงเนี่ย มันมีแต่ในการ์ตูนนะ แบบเซย่า หมัดดาวหาง หมัดความเร็วแสงประมาณนั้น เราคงทำไม่ได้หรอก แล้วถ้าพยายามหยิบ แล้วใบละ 500 อยู่ด้านล่าง มันก็จะถูกขวางโดยแบงก์อื่นๆ ซึ่งถ้าได้แบงก์อื่นๆมามันไม่คุ้มสำหรับการทำการใหญ่เพียงนี้ และถ้ามือเราไม่เร็วพอ แล้วถ้ามีใครเห็นเข้า พวกเขาก็จะรู้ตัว แล้วทำให้เราอาจจะหมดโอกาสอีกต่อไป ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน

ทันใดนั้นเอง มีเสียงดังขึ้น “ เป็นอะไร มีอะไรรึเปล่า มานั่งทำอะไรตรงนี้ ” คือ แบบไม่เคยมานั่งนิ่งๆเฉยๆ โดยไม่มีอะไรทำอ่ะ พอได้ยินเท่านั้นแหละก็ตอบว่าไม่มีอะไร แล้วรีบออกตัววิ่งไปเลย พร้อมคิดว่าแบบนี้ทำไม่สำเร็จแน่เลย เศร้าใจ อืม แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี แบบรู้สึกแย่ พยายามแต่ทำไม่สำเร็จ และผมก็ไปหาอะไรเล่นต่อเลยแบบไม่สนใจแล้ว เซ็งๆ 55 แต่ถามว่าผมจะยอมหยุดสร้างฝันให้เป็นจริงเพียงแค่นี้งั้นเหรอ ประเมินผมผิดไปซะแล้ว หึหึ หึหึ :P


บอกก่อนเลยนะครับ ก่อนหน้านี้ ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนี้ ก็เห็นเงินแบบนี้ มาตลอดนั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้สนใจเลย ไม่คิดอยากได้มากกว่า ค่าขนมของตัวเองที่ได้อยู่ แต่พอ เริ่มรู้จัก คำว่า มี ไม่มี มีน้อย มีมาก ไม่มีเลย แล้วทำให้รู้สึกอยากมี อยากได้เยอะ หรือที่เรียกว่าโลภ ทั้งฝัน ทั้งหวัง ว่าจะใช้ไปอย่างไร ราวกับยึดเสร็จแล้วว่าเราได้แบงก์ 500 มาแล้ว ตอนนั้น ความอยากได้แบงก์ 500 ใบเดียว ทำให้ไม่คิดอะไรอย่างอื่นใดๆทั้งสิ้น คิดเพียงอย่างเดียวจะต้องทำยังไงเพื่อให้ได้ แบงก์ 500 มา แต่ใจลึกๆก็พอจะรู้นะว่ากำลังคิด หรือจะทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่ไม่รู้สิเหมือนถูกบางอย่างเข้าครอบงำ


ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกสงสารตัวเองในขณะนั้นจริงๆ ที่กำลังต้องวุ่นวายใจแบบนั้น นี่แหละ เมื่อหลงไปกับ ความอยากได้ ความโลภ ความฝัน ความหวัง และยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นฝ่ายเข้าครอบงำเรา
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 11

โพสต์

วิ่งขึ้นไปเล่น ชั้น 2

แบบว่าชั้น 2 นี่ จะมีห้องคุณปู่อยู่ ซึ่งห้องนี้จะมีลักษณะแปลกๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ คือ

ห้องนี้ ส่วนใหญ่จะถูกล็อก เวลาจะเข้าต้องไปเอากุญแจเพื่อเปิดเข้าไป และขณะที่ผม นั่ง นอน เล่น อยู่ที่หน้าห้องนี้เอง ก็จะมีคนที่เพิ่งกลับบ้านมาซึ่งก็จะเป็น เหล่าท่านอานั่นเอง พอเขากลับมาถึง เขาก็จะเดินมาแถวหน้าห้อง แล้วก็วางเหรียญลงพื้น แล้วเอามือ เหมือนดันเหรียญ สไลด์เข้าไปทางช่องใต้ประตู ในขณะที่ประตูถูกล็อกอยู่ แต่พวกเขากำลังทำอะไร ไม่เข้าใจ ผมก็มองดูเรื่อยๆ น่าสนุกดี แฮะ มีหลายครั้งที่พอผมได้ค่าขนมเป็นเหรียญ 5 บาทมา ผมจะมาสไลด์ เข้าไปในห้องเล่นเพราะมันก็สนุกดีนะ แล้วก็สไลด์เข้าไป อืม แต่พอสไลด์เข้าไปเสร็จสิ เงิน 5 บาท ของเรามันเข้าไปแล้ว แต่วันนี้ประตูล็อกอยู่ ฮือ ฮือ แล้วจะเอาคืนยังไงล่ะทีนี้ ยุ่งแล้ว เลยรีบก้มมอง มองก็ไม่เห็น หาไม้บรรทัด 1 ฟุต เอาไปเขี่ยใหญ่เลย หวังที่จะเขี่ยออกมาให้ได้ แต่ไม่สำเร็จ เลยรีบถามคุณอา ฮือ เหรียญ ของผมมันเข้าไปอยู่ข้างในอ่ะ หยิบออกมาไม่ได้ทำยังไงดี คุณอาก็ยิ้ม แล้วก็ลุกเดินไปเอากุญแจมาเปิดให้ ผมรีบวิ่งเข้าไป แบบมันมีเหรียญอยู่แถวนั้นหลายเหรียญอยู่ แต่อันไหนของผมนะ 55 เจอแล้ว และตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่ากุญแจอยู่ที่ไหน 55 แบบวันหลังเล่นถ้าห้องล็อกจะได้ไปหยิบเองได้ไม่ต้องกลัว
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 12

โพสต์

หรือที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งเงินแห่งที่สองของผม

หลังจากที่ผมเฝ้ามองเหล่าคุณ อา พากันสไลด์เหรียญ เข้าห้องคุณปู่ ผมก็เริ่มเข้าไปสำรวจมองเหรียญ ที่อยู่บนพื้นภายในห้อง ลองๆนับดู ยังไงมันคงไม่ถึง 500 บาท และพยายามมองหาแบงก์ 500 บาทในห้อง แต่ก็ไม่มี นั่นทำให้หลังจากนั้นก็มาคอยเฝ้ามองต่อที่หน้าห้อง ว่าจะมีอาท่านไหน สไลด์ หรือสอดแบงก์ 500 เข้าทางช่องใต้ประตูหรือไม่ แต่วันแล้ววันเล่า เฮ้อ ผมว่าที่นี่คงไม่ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้จะมีความคิดที่ว่าค่อยๆเก็บเป็นเหรียญไปเรื่อยๆให้ครบ 500 จะเป็นไปได้ไหม แต่มันไม่ใช่ความต้องการของผม ความต้องการผมคือแบงก์ 500

แต่ด้วยสมัยเด็ก เวลาจะออกไปซื้อของหรือไปเที่ยว โดยเฉพาะวันอาทิตย์ผมจะเห็น ท่านบิดา จะเดินไปหยิบเงินจากโต๊ะข้างเตียงที่มีลิ้นชักอยู่เสมอ ซึ่งอยู่ในห้องนอน ก็จะเห็นหยิบแบงก์ 500 หลายใบอยู่ และก็แบงก์ 100 นิดหน่อย แล้วทุกครั้งหลังจากกลับจากการเที่ยว ท่านบิดา ก็จะนำเงินที่เหลือกลับมาเก็บที่เดิม ซึ่งความต้องการของผม ทำให้เกิดไอเดียอันบรรเจิดขึ้นมา อืม ห้องนี้เป็นห้องนอน ต้องเลิกงานก่อนถึงจะมีคนมาอยู่กัน มีแบงก์ 500 ซึ่งเราต้องการ แต่วันธรรมดาเราต้องไปเรียนกว่าจะได้ขึ้นมาก็เย็นแล้วอาจจะมีคนอื่นอยู่ อืม แต่วันเสาร์นี่นา เค้าทำงานกันแต่เราว่าง เหอๆๆ

แหล่งที่ 3 ที่นี่แหละ work
ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอ เมื่อไหร่จะวันเสาร์นะ จนถึงวันเสาร์ ผมก็ตื่นเช้าลงมาถูกป้อน กินข้าวตามปกติ แล้วก็ขอค่าขนม 5 บาท ตามเคยแต่วันนี้ผมไม่ค่อยได้สนใจในค่าขนม 5 บาทนี้เท่าไหร่ 55 เพราะผมมีแบงก์ 500 ในแผนการอยู่ 55 ผมก็เล่นนู้นเล่นนี่ไปเรื่อย จนเริ่มมองว่าเขาได้เริ่มลงมาทำงานกันแล้ว ทางสะดวกแล้ว ได้จังหวะปุ๊ป ก็วิ่งขึ้นข้างบนปั๊ป เข้าไปในห้องปุ๊ป เปิดลิ้นชักปั๊ป เห็นแบงก์ 500 ปุ๊ป เลยรีบหยิบปั๊ป แต่มันมีแบงก์ 500 หลายใบอ่ะ ทำไงดี อืม เอาใบเดียวใบก็พอละกันก็เราต้องการแค่แบงก์ 500 แต่ยังไม่ได้ต้องการหลายใบนี่นา ใบเดียวก็มากพอแล้ว เหอๆๆ สำเร็จ

วันแห่งความฝัน และความหวัง
พอหยิบแบงก์ 500 มาได้ ก็รีบพับให้เล็กที่สุดแล้วก็เก็บที่ไหนดีนะ จะเอาไปซื้อขนมที่โรงเรียน ก็ต้องไปไว้ในกระเป๋านักเรียนสิ หาซอกที่ดีที่สุด ที่ไม่คิดว่าใครจะมาค้นเจอง่ายๆ เก็บเสร็จ 555 สำเร็จ หลังจากนั้นปุ๊บ ผมคิดแต่เพียงว่าตอนนี้ผมมีแบงก์ 500 ในมือแล้วด้วยความอุตสาหะ และพยายามอย่างเต็มที่ ผมเริ่มคิดต่อแล้วเราจะใช้แบงก์ 500 นี้ยังไงบ้างดีนะ ซื้อขนม ซื้อไปเรื่อยๆ จะกินให้อิ่มสุดไปเลย เอาไปโชว์เพื่อนๆด้วยเอาสิ อุ้ยมีความสุข เหอๆๆ ที่โรงเรียนใครจะมีเงินเยอะเท่าเราคิดอยู่เท่านี้ จนวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ก็เอาแต่นั่งคิดฝัน อยู่อย่างนี้ แต่ความจริงที่จะเกิดล่ะจะเป็นอย่างไร
areliang
Verified User
โพสต์: 432
ผู้ติดตาม: 0

Re: สัจธรรมสัมผัสการเดินทาง

โพสต์ที่ 13

โพสต์

รอวันจันทร์ด้วยใจระทึก ตื่นมาเตรียมพร้อม รถโรงเรียนมาเร็วๆสิ ผมรออยู่ วันนี้เป็นวันที่อยากไปโรงเรียนมากที่สุดวันหนึ่ง รถมาแล้ว 55 ขึ้นรถ ถึงโรงเรียน เฮ้อ แต่ถึงเวลาเข้าเรียนซะแล้วอ่ะ น่าเสียดายจัง แบงก์ 500 จ๋า รอในกระเป๋าไปก่อนนะจ้ะเดี๋ยวไว้สายๆตอนพัก เจอกัน อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ความฝันที่จะมีขนมกินได้มากมาย ของเรากำลังจะเป็นจริง กริ๊ง ๆ ๆ เสียงออดดังขึ้น ถึงเวลาพักแล้ว รับเอามือเข้าไปหยิบแบงก์ 500 ที่พับไว้เล็กๆ ในซอกหนึ่งของกระเป๋า และตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปหา ร้าน ขะ...ขะ...ขะ.. หนม...หนม...หนม... อย่างเต็มไปด้วยความฝันและความหวัง พอไปถึงร้าน ก็หยิบขนม เยลลี่เคลือบน้ำตาล เอา 2 ห่อ ล่ะกัน ก็ 6 บาท แบบสองห่อก็เยอะแล้วนะ เพราะทุกวันได้ค่าขนม 5 บาท จะซื้อได้เพียงห่อเดียว พอหยิบเสร็จก็จ่ายแบงก์ 500 ไปให้คนขายทันที อึ๊ก คนขายรับเงินไปพร้อมชงักด้วยแววตาที่งงที่เห็นแบงก์ 500ทันที แล้วถามต่อด้วยว่ามีเงินเศษมั้ย ก็มัน 6 บาทนี่ ผมได้ค่าขนม 5 บาท ดังนั้นผมต้องตอบว่าไม่มี คนขายนิ่งงงชั่วครู่ และไม่ใส่ใจในลูกค้าเด็กคนอื่นๆเลย และพอคนขายตั้งสติได้ เขาก็บอกให้ผมรอแป๊ปนึงนะ แล้วคนขายก็เดินไปห้องพักครูใหญ่ ซึ่งจะมีครูคนอื่นๆอยู่ด้วย 55 สงสัยต้องไปแลกเงินมาทอนให้เรา เดี๋ยวได้กินแล้ว ขนม 2 ซองรวด สะใจ เหอะๆ พอคนขายเดินเข้าไปในห้องสักพัก ก็เดินออกมา และบอกผมว่ารอเดี๋ยวนะ ในใจคิดอะไรทำไมมันทอนยากมากเลยเหรอ คนขายก็มุ่งหน้าต่อไป ขายขนมต่อโดยไม่สนใจผมอีกแล้ว ผมเริ่มงง เกิดอะไรอ่ะ แล้วตังทอนอ่ะ หรือจะไปขายขนมจนกว่าจะได้เงินพอมาทอนหรือไง สักพักเล็กๆ มีคนเป็นผู้หญิงสาวที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคุณครูดูจากท่าทาง เดินออกมาจากห้อง มุ่งหน้าเดินมาหาผม พอใกล้ตัวผมก็หันหน้าไปถามคนขายขนมว่า เด็กคนนี้ใช่มั้ย คนขายขนมตอบ ใช่ค่ะ ผมเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ ครูคนนั้น เริ่มมองมาที่ผมพร้อมกับหยิบแบงก์ 500 ที่ผมจ่ายค่าขนมไปออกมาแล้วถามว่า “แบงก์ 500 บาทนี้ของหนู เหรอค่ะ” ผมก็ตอบว่า “ใช่ครับ” คุณครู ถามต่อ “แล้วหนูเอามาจากไหนค่ะ” ผมก็ตอบว่า “เอามาจากที่บ้านครับ” คุณครูถามต่อ “แล้วพ่อแม่หนูรู้มั้ยค่ะ ว่าหนูเอามา” หลังจากคำถามนี้ผมเริ่มรู้สึกวุ่นวายใจมากขึ้นก็พ่อแม่ผมไม่รู้นี่นาและมันก็จะแปลได้ว่าผมแอบหยิบมาก็จะแปลได้ว่าผมทำบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมไม่ตอบแล้วผมก็นิ่ง ไม่พร้อมจะตอบอะไรต่อแล้ว คุณครู ก็เลย พูดว่า “งั้นเดี๋ยวครู เก็บแบงก์ 500 นี้ไว้ก่อนนะ” พอได้ยินอย่างนั้นแล้วก็ อืม งง เงินผมนะ เอาไปได้ไง แต่แบบทำอะไรไม่ได้อ่ะ ก็เป็นคุณครูนี่นา แล้วครูก็เลยพูดต่อว่าจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ผมคิดอ่ะ ไม่คืนจริงๆเหรอ ตังทอนก็ยังดี ผมก็เลยหันหลังเดินไปแล้วไปวิ่งเล่นพร้อมกับ ขนมในมือ 2 ถุง ก็เล่นไปกินไป พอกินเสร็จ นี่มันเกิดอะไรขึ้นอ่ะ ผมถูกเอาเงินทอนจากแบงก์ 500 ของผมไปอย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆที่ผมทั้งคิด ทั้งวางแผนการทุกๆอย่าง พยายามอย่างมากมายเพื่อให้ได้แบงก์ 500 มา หลังจากได้ขนม 2 ห่อ ผมควรจะมีเงินทอนอีกมากมาย เพื่อมาซื้อขนม ในทุกๆ เวลาพัก ผมรู้สึกว่า ความหวัง และความฝันของผม ถูกพังทลาย และผมก็ยังงุนงง อยู่กับเรื่องนี้ตลอดทั้งวัน พร้อมทั้งคิดว่า ถ้ารู้ อย่างนี้ ไม่ใช้แบงก์ 500 บาทดีกว่า ซื้อขนม ห่อเดียวใช้ค่าขนม 5 บาท ได้ทอน 2 บาท อย่างน้อย แบงก์ 500 ก็ยังอยู่กับผม ขอย้ำ ความหวัง และความฝันของผมถูกพังทลาย อืม คุณครูคนนั้น มายุ่งอะไรด้วยล่ะ ไม่ต้องมายุ่งก็ได้นะ คุณครูอยากได้แบงก์ 500 ของผม ใช่ป่ะล่ะ ฮือ ๆ ผมก็นั่งเสียดายแบงก์ 500

จนพอวันรุ่งขึ้น ก็ได้ค่าขนม 5 บาทเหมือนเคย นั่งรถโรงเรียนไปเหมือนเคย แบบเซ็งๆ เฮ้อ ถ้าเรามีตังทอนจากแบงก์ 500 ก็คงดี คิดไม่เลิก ก็เข้าเรียน นั่งเรียนไปปกติ พอพัก ก็ไปซื้อขนมเหมือนเคย พร้อมคิดในใจ เมื่อวานนะ ผมได้ขนมไป 2 ห่อ ผมโดนเอาตังไป 500 อืม คิดไม่เลิก เข้าเรียนต่อ นั่งเรียนไปสักพัก มีครูคนนึง ขึ้นมาเรียกผม แบบเรียนอยู่ชั้น 2 เด็กชาย ... มานี่หน่อย แล้วก็พาผมลงมาที่ด้านหน้าห้องพักครูข้างล่างที่อยู่ใกล้ๆร้านขนม ใกล้ๆจุดเกิดเหตุที่ผมถูกเอา แบงก์ 500 ไป แต่ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียน จึงไม่ค่อยมีคน แต่ ผมก็เกิดมองเห็น คุณพ่อ คุณพ่อผมมาทำไม จะพาผมกลับบ้านเหรอ หรือจะไปเที่ยว 55 ดีใจ แต่เอ่ แล้วคุณครู ที่เมื่อวานเอาเงินแบงก์ 500 ผมไปทำไมยืนอยู่ด้วย เลยเลิกคิดเรื่องจะได้กลับบ้านหรือไปเที่ยว แล้วผมก็ไปยืนใกล้ๆ ผมก็ไม่ค่อยได้ยินว่าคุณพ่อ กับคุณครู คุยอะไรกัน แล้วสักพักคุณครูก็เอา แบงก์ 500 ให้พ่อผม แบบ เรื่องแบงก์ 500 แน่ แน่ คุยอยู่สักพัก คุณพ่อก็กลับบ้านไป พร้อมกับ บอกว่า “ตอนเย็นเจอกัน” อ่าวแล้วตอนนี้ล่ะ ไม่เอาผมกลับบ้านไปด้วยเหรอ มองหน้าไปที่คุณครูที่เอาเงินผมไป พร้อมคิดในใจผมอยากกลับบ้าน และคุณครูอีกคนก็พาผมกลับไปเรียนปกติ แต่ในใจก็คิดคุณครูคุยอะไรกับคุณพ่อ จะเล่าอะไรบ้าง ผมจะมีความผิดอะไรบ้าง แล้วถ้าผมผิด ผมจะโดนลงโทษอะไรบ้าง เริ่มกังวล ซะแล้ว

“ตอนเย็นเจอกัน” กลับมาบ้านตามปกติ วิ่งเล่นตามปกติ แต่สักพักสิ่งไม่ปกติก็เริ่มเกิดขึ้น คุณพ่อผมเรียก ตามมาขึ้นมาข้างบนหน่อย ผมคิดในใจคงไม่มีเรื่องอื่นใด พอมาถึงชั้น 2

คุณพ่อก็เริ่มถาม “เอาแบงก์ 500 นี้มาจากไหน”

ผมตอบ “เอามาจากห้องคุณพ่อ”

คุณพ่อถาม “ตรงไหน”

ผมตอบ “ ในลิ้นชัก”

คุณพ่อถาม “เอาไปตอนไหน”

ผมตอบ “วันเสาร์”

คุณพ่อก็เลยบอกว่า “วันหลังอย่าหยิบไปอย่างนี้อีกนะ แบบนี้เขาเรียกว่าขโมย มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีนะ ถ้าไปหยิบของคนอื่นที่ไม่ใช่คนในบ้าน เขาเรียกตำรวจจับได้นะ” และคุณพ่อก็ถามต่อว่า “เข้าใจมั้ย วันหลังอย่าทำอีกนะ”

ผมตอบ “เข้าใจ” ในใจก็คิดกลัวตำรวจตามไปด้วยเลยทีเดียว และที่เราทำนี่เรียกว่าขโมยเหรอ แบบพึ่งรู้จริงๆนะ ถึงตอนทำจะรู้ว่าทำในสิ่งที่ไม่ดีแต่ไม่รู้ว่าเรียกว่า ขโมย เพราะเหมือนไปหยิบเงินของคุณพ่อที่วางไว้เฉยๆเท่านั้นเอง

คุณพ่อ ก็พูดต่อว่า จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ

ผมได้ยินแบบนั้น อ่าว จบแล้วเหรอ ไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วเหรอ ที่ผมกลัวอยู่ว่าจะโดนมันยังมากกว่านี้นะ จะช้าไปใย วิ่งไปเล่นอย่างอื่นเลยสิครับ จะอยู่ทำไม

เล่น แล้วพัก เลยมีเวลามานั่งคิด ถึงคำที่คุณพ่อพูด “คำว่าขโมย” ผมก็คิดจากที่เคยได้ยินคนสอน ได้เห็นจากการดูละคร ก็นึกภาพตามที่เคยเห็น อืม ในละครมีคนขโมยของ ก็จะถูกตำรวจจับ และบางทีก็ถูกขังคุก การ ขโมย คงเป็นสิ่งที่ไม่ดีจริงๆ และใจผมไม่เคยอยากเป็นคนไม่ดี เพราะผมอยากเป็นคนดี ผมเลยคิดว่าคงไม่ไปหยิบแบงก์ 500 แล้วดีกว่า 55 เพราะถึงหยิบมา ก็ต้องไปซื้อจากร้านขนมที่โรงเรียน คนขายก็คนเดิม สงสัยเดี๋ยวครูก็เอาไปอีกตามเคย พยายามแทบแย่ คุณครูเอาไปเฉยเลย ยังคิดไม่เลิก

แต่อะไรล่ะที่นำพาผม เข้าไปหาคำว่า ขโมย ทั้งที่ผมไม่เคยรู้จักหรือเข้าใจมันเลย มีแต่เคยดูละครหรือได้ยินคนอื่นพูด

ผมเริ่มเรียนรู้ คำว่า มี ไม่มี มีน้อย มีมาก ไม่มีเลย เลยไม่อยากไม่มี และอยากอยู่ในฝ่ายมี แล้วคิดที่จะอยากมีมากขึ้น หรือที่เรียกว่าโลภ และคิดหวัง ฝันถึงการที่จะใช้สิ่งที่มีมากขึ้น ให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ ราวกับว่าได้สิ่งนั้นมาแล้ว จึงยึดติดว่าจะต้องทำให้ได้ จึงได้คิดวางแผน เมื่อยังไม่มีมันสมองไม่สามารถคิดแยกแยะควรไม่ควร การกระทำก็เกิดจากสัญชาตญาณดิบง่ายๆที่ไม่มีการไตร่ตรอง และเมื่อมีแบงก์ 500 วางอยู่ในที่ที่ผมจะหยิบได้ เลยเรียกว่า โอกาส ซึ่งผมขอเรียกสิ่งต่างๆที่ได้รับมาเหล่านี้ว่า “องค์ประกอบ” และนำมาซึ่งการกระทำ แห่งคำว่า ขโมย ซึ่งใครๆก็ตอบได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี

แต่องค์ประกอบที่ผมได้รับทั้งหมดเป็นสิ่งไม่ดีหรือไม่? ถึงได้ก่อให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีในท้ายที่สุด คือการ ขโมย ผมตอบได้เลยว่าไม่ใช่

การได้รู้จัก การมี ไม่มี มีมาก มีน้อย ไม่มีเลย เป็นเรียนรู้ เพื่อทำความเข้าใจ มีการเปรียบเทียบอยู่บ้าง แต่ล้วนใช้เพื่อให้เกิดปัญญาได้ดี

การที่ไม่อยากไม่มี นั้น เริ่มจากความกลัว กลัวที่จะไม่มี เลยต้องการทำให้ตัวเรามี ความกลัวนี้ดูเหมือนทำให้เกิดความสับสนในใจมากอยู่ทีเดียว และเมื่อยังไม่สามารถเข้าใจมันได้ดีพอหรือสรุปได้ มันคือความวุ่นวายใจ
และการอยากได้มากขึ้น ถึงขั้นโลภ หวังฝัน อย่างเพ้อเจ้อ และยึดติด ดูเหมือนจะไม่ดีเท่าไหร่

การวางแผน ถ้าวางแผนทำสิ่งดีโดยมีสมองว่าอะไรควรไม่ควรก็น่าเป็นการดี แต่บังเอิญนี่คือการวางแผนไปยังสิ่งที่ไม่ดี ทั้งๆที่ตัวเองขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าคือการขโมย ก็ต้องถือว่าไม่ดี

การกระทำแบบสัญชาตญาณดิบง่ายๆ โดยไม่มีการคิดไตร่ตรอง ย่อมยากที่จะเข้าใจ ผลแห่งการกระทำนั้นๆ ถือว่าไม่ดีเท่าไหร่ ถึงแม้ในหลายๆครั้ง สัญชาตญาณก็แก้ไขปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์

โอกาส ในกรณีนี้ถูกใช้เพื่อการะทำผิด เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่การมีเงินอยู่ในลิ้นชักเพื่อใช้ประโยชน์เป็นสิ่งดีอยู่เสมอ

ดูเหมือน บางข้อก็ไม่มีข้อดีเอาซะเลย แต่หลายๆข้อก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพียงแต่จะถูกใช้ไปทางไหน แต่ตอนนั้นผมกลับไม่สามารถใช้หลายๆข้อ ไปในทางที่ดีได้ คงเป็นเพราะ ขณะนั้นผมคงขาดคำที่เรียกว่า “ ความสามารถ” ทั้งในการทำความเข้าใจให้ดี และใช้ให้ถูกทาง แต่ก็อะนะ มันยังเด็กอยู่ ผมคิดว่าถ้าเรามีความสามารถใช้องค์ประกอบให้ได้ดี ผลที่ออกมาอาจจะแตกต่างจากการไม่มีความสามารถในการใช้ อย่างน่าอัศจรรย์ ราวปาฏิหารย์เลยทีเดียว

เมื่อมีองค์ประกอบมากพอแก่การกระทำนั้น การกระทำจึงสำเร็จ
โพสต์โพสต์