gold bubble
-
- Verified User
- โพสต์: 1401
- ผู้ติดตาม: 0
gold bubble
โพสต์ที่ 1
ช่วยต่อจิ๊กซอว์ให้ผมทีครับ ถ้าเกิด gold bubble จะมีผลกระทบอย่างไร
ทองเริ่มแพง คนเริ่มเก็งกำไรในทอง บางส่วนกู้ืยืมเงินเพื่อซื้อทองขายเก็งกำไร วันใดวันหนึ่งที่ฟองสบู่แตก ก็เหมือนกับอสังหาริมทรัพย์ คือ ขายทองไม่พอใช้หนี้ มันจะมีเหตุการณ์อย่างนี้ใช่หรือเปล่า ใครมีความคิืดเห็นอย่างอื่นบ้างไหมครับ แต่ทองไม่เหมือนอสังหาริมทรัพย์ คือไม่มีความเสื่อมคุณค่าในตัวของมันเอง ถ้าจีนเอาพันธบัตรสหรัฐไปซื้อทองมาตุนไว้มากๆ จะทำได้ไหมครับ ผมสงสัยตอนนี้จะเป็นยุคตื่นทองจริงๆ เพราะเริ่มมี ตปท. มาสำรวจเหมืองทองในไทยกันมั่งแล้ว
ทองเริ่มแพง คนเริ่มเก็งกำไรในทอง บางส่วนกู้ืยืมเงินเพื่อซื้อทองขายเก็งกำไร วันใดวันหนึ่งที่ฟองสบู่แตก ก็เหมือนกับอสังหาริมทรัพย์ คือ ขายทองไม่พอใช้หนี้ มันจะมีเหตุการณ์อย่างนี้ใช่หรือเปล่า ใครมีความคิืดเห็นอย่างอื่นบ้างไหมครับ แต่ทองไม่เหมือนอสังหาริมทรัพย์ คือไม่มีความเสื่อมคุณค่าในตัวของมันเอง ถ้าจีนเอาพันธบัตรสหรัฐไปซื้อทองมาตุนไว้มากๆ จะทำได้ไหมครับ ผมสงสัยตอนนี้จะเป็นยุคตื่นทองจริงๆ เพราะเริ่มมี ตปท. มาสำรวจเหมืองทองในไทยกันมั่งแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 2
ผมไม่มีความรู้เรื่องทองนะครับ แต่ถ้าดูจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึ่งดูแนวโน้มแล้วคงเป็นหนังซีรี่หลายตอนหลายภาคแน่ ผมว่าราคาทองยังไปได้อีกเยอะครับ เพราะไม่ว่ายุคไหนคนก้อมองว่าทองเป็นหนึ่งในทรัพสินที่ปลอดภัยที่สุด นี่ถ้าปลายปีอเมกาโดนลดratingอีกรอบนี่ คงยิง่กว่านี้อีกเยอะครับ
นักเลงคีย์บอร์ด4.0
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 3
เห็นจีนว่า เขาจะไม่ตุนทองคำนะครับ ส่วนตัวผมว่าเขาโกหก เพราะใครจะบอกล่วงหน้าคนอื่นว่าตัวเองจะซื้ออะไร ไม่เคยเห็น เห้นแต่ซื้อแล้ว ค่อยบอกคนอื่นให้ซื้อตาม จีนคงกลัวตัวเองต้องซื้อของแพงนั่นแหละครับ เลยทำเป็นไม่อยากได้
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- leaderinshadow
- Verified User
- โพสต์: 1765
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 5
เมื่อเกือบทุกคน ซื้อทองคำ นั่นแหละครับ
Gold bubble
เดี๋ยวลอง survey หน่อยดีกว่าๆๆ...
Gold bubble
เดี๋ยวลอง survey หน่อยดีกว่าๆๆ...
-
- Verified User
- โพสต์: 69
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 6
ผมคิดว่าถ้าจะเกิดฟองสบู่คงอีกนานมากหรืออาจจะไม่เกิดฟองสบู่เลย
เพราะทองมีผู้เล่นทั่วโลก ไม่มีใครผูกขาดกลุ่มเดียว
และทองก็กิน-ใช้ ไม่ได้
แต่ทองคำช่วงนี้มันกำลังงงๆอยู่ มันยังหามูลค่าตัวมันเองไม่เจอ
ขึ้นมากไปอาจจะโดนเทขาย แต่ถ้าลงมาก็มีคนซื้อ
เพราะทองมีผู้เล่นทั่วโลก ไม่มีใครผูกขาดกลุ่มเดียว
และทองก็กิน-ใช้ ไม่ได้
แต่ทองคำช่วงนี้มันกำลังงงๆอยู่ มันยังหามูลค่าตัวมันเองไม่เจอ
ขึ้นมากไปอาจจะโดนเทขาย แต่ถ้าลงมาก็มีคนซื้อ
- ลูกเนียง
- Verified User
- โพสต์: 51
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 7
อะไรที่เป็นทอง ราคาพุ่งขึ้นทุกอย่าง
ทองหยอดเม็ดละ 2 บาทแล้ว
ทุเรียนหมอนทองราคาพุ่ง หลังจีนมีความต้องการสูงขึ้น
บริษัทเชียงใหม่ธนาธร เป็นผู้ดำเนินการ รับซื้อแล้วส่งไปยังเมืองกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งรับซื้อจากยะลาวันละ 18 ตัน //
ราคาของทุเรียนยะลาในขณะนี้สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 26-27 บาท เป็น กิโลกรัมละ 28 บาท ซึ่งเมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมาราคาในพื้นที่จะอยู่ที่ประมาณ กก.ละ 18 บาทเท่านั้นเอง
ทองหยอดเม็ดละ 2 บาทแล้ว
ทุเรียนหมอนทองราคาพุ่ง หลังจีนมีความต้องการสูงขึ้น
บริษัทเชียงใหม่ธนาธร เป็นผู้ดำเนินการ รับซื้อแล้วส่งไปยังเมืองกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งรับซื้อจากยะลาวันละ 18 ตัน //
ราคาของทุเรียนยะลาในขณะนี้สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 26-27 บาท เป็น กิโลกรัมละ 28 บาท ซึ่งเมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมาราคาในพื้นที่จะอยู่ที่ประมาณ กก.ละ 18 บาทเท่านั้นเอง
จินตนาการ สำคัญกว่า ความรู้
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 10
ได้ดูข่าว เมื่อวานก่อน ที่ราคาทองปรับราคาภายในวันเดียว 7 รอบ และวันนี้อีก 10 รอบ รวมทั้งมีคนต่อแถวเพื่อซื้อทอง
ขนาดเจ้าของร้านขายทองยังแปลกใจว่า คงมีแต่คนมาขายทอง ที่ไหนได้กลับมาซื้อทองสวนกระแสซะงั้น
บวกกลับตลาดหุ้นลง ก็เลยทำให้คิดได้ว่าเราควรทำตัวสวนกระแสซิ แต่ความคิดแบบนี้ก็อาจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป
อาจจะต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย (ในใจก็แอบคิดเล็กๆ ว่าวันนี้ตลาดหุ้น Oversold มากไปหรือป่าว สักวันหนึ่งตลาด
ก็ต้องมีรีบาวกลับมาบ้าง มีขึ้นก็ต้องมีลงเป็นของธรรมชาติ )
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่เคยมีอะไรได้มาง่าย ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของมนุษย์อย่างเราได้เช่นกัน
ขนาดเจ้าของร้านขายทองยังแปลกใจว่า คงมีแต่คนมาขายทอง ที่ไหนได้กลับมาซื้อทองสวนกระแสซะงั้น
บวกกลับตลาดหุ้นลง ก็เลยทำให้คิดได้ว่าเราควรทำตัวสวนกระแสซิ แต่ความคิดแบบนี้ก็อาจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป
อาจจะต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย (ในใจก็แอบคิดเล็กๆ ว่าวันนี้ตลาดหุ้น Oversold มากไปหรือป่าว สักวันหนึ่งตลาด
ก็ต้องมีรีบาวกลับมาบ้าง มีขึ้นก็ต้องมีลงเป็นของธรรมชาติ )
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่เคยมีอะไรได้มาง่าย ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของมนุษย์อย่างเราได้เช่นกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 62
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 12
ถ้ายังไม่มีข่าว ร้านทองโดนปล้น คงจะไม่ถึงจุด bubble ครับ
"I Think ,Therefore I am"
-
- Verified User
- โพสต์: 89
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 14
จีนซื้อทองคำแน่แต่ไม่สามารถกระทำโดยตรงได้ เพราะ physical asset vs. financial asset ไม่บาลานซ์ ถ้าทำจะเกิดความปั่นป่วนของราคาอย่างมาก แต่ผ่าน CIC ที่ลงทุนใน HF/PE ที่ลงทุนทองคำอีกทีหรือ เหมืองทองคำโดยตรง อีกอย่างจีนเป็นประเทศที่ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก และบริษัทจีนหลายแห่งจ้องจะเทคโอเวอร์เหมืองทองอีกมาก สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ปรากฎในบัญชีทุนสำรองหรอก ทองคำจะขึ้นไปจนกว่าโลกจะให้กำเนิดระบบสกุลเงินใหม่ที่ดีกว่า USD
- พ่อน้องเพชร
- Verified User
- โพสต์: 294
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 16
+1 visionดีมากครับChaoyang เขียน:จีนซื้อทองคำแน่แต่ไม่สามารถกระทำโดยตรงได้ เพราะ physical asset vs. financial asset ไม่บาลานซ์ ถ้าทำจะเกิดความปั่นป่วนของราคาอย่างมาก แต่ผ่าน CIC ที่ลงทุนใน HF/PE ที่ลงทุนทองคำอีกทีหรือ เหมืองทองคำโดยตรง อีกอย่างจีนเป็นประเทศที่ผลิตทองคำมากที่สุดในโลก และบริษัทจีนหลายแห่งจ้องจะเทคโอเวอร์เหมืองทองอีกมาก สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ปรากฎในบัญชีทุนสำรองหรอก ทองคำจะขึ้นไปจนกว่าโลกจะให้กำเนิดระบบสกุลเงินใหม่ที่ดีกว่า USD
- pavilion
- Verified User
- โพสต์: 1766
- ผู้ติดตาม: 0
Re: gold bubble
โพสต์ที่ 18
TMBชี้ราคาทองพุ่งแรง!ยังไม่เข้าใกล้ฟองสบู่
วันที่ 29 สิงหาคม 2554 16:13
TMBชี้ราคาทองพุ่งแรง! ยังไม่เข้าใกล้ฟองสบู่ เผยช่วง 11 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นแค่ 6.3 เท่า เทียบปี 2513-2523 เพิ่มขึ้นกว่า 16 เท่า
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics เผยแพร่บทวิเคราะห์เรื่อง "ความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง" โดยระบุว่า ราคาทองคำขาขึ้นมีปัจจัยพื้นฐานหนุนต่างจากฟองสบู่ทองคำปี 1980 เตือนความเสี่ยงของการหักหัวลง อาจมาจากความตื่นกลัวอย่างฉับผลันของนักเก็งกำไรระยะสั้นที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง
ในปี 1979 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 125 นับจากต้นปี ต่อมาในปี 1980 ภายในเวลาเพียง 20 วันแรกของปี ราคาทองคำพุ่งทะยานอีกร้อยละ 52 จนถึงจุดสูงสุดที่ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและลดลงต่อเนื่องมาจนถึงปี 2000 เหตุการณ์ทั้งหมดกินระยะเวลาขาขึ้นประมาณ 10 ปี และขาลงอีกประมาณ 20 ปี บทเรียนในครั้งนั้นบอกอะไรต่อนักลงทุนในทองคำบ้าง
ในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนบางคนเรียกว่าเกิดภาวะฟองสบู่ทองคำ หากแต่ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 จะพบว่าราคาทองคำเคยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้ว โดยในช่วงทศวรรษที่ 70 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันขึ้นหลายรอบ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลายระลอกนี้ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงตามไปด้วย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยฟองสบู่แตกในปี 1980
สภาวะแวดล้อมปี 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง
ราคาทองคำช่วงปี 1970-1980 เพิ่มขึ้นเร็วและแรงโดยมีราคาสูงสุดในปี 1980 มากกว่าราคาในปี 1970 ประมาณ 16 เท่า ขณะที่ช่วงปี 1999-ปัจจุบัน ราคาทองคำเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไปกว่า โดยที่ผ่านมา 11 ปีเพิ่มขึ้นเพียง 6.3 เท่า
ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน วิกฤตเศรษฐกิจหลักในช่วงทศวรรษ 70 ต่างกับปัจจุบันค่อนข้างมาก โดยช่วง 1970-1980 เกิดปัญหาด้านอุปทาน (Supply shock) ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลงหลังปี 1980 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็ผ่อนคลายลงได้ ขณะที่ปัจจุบัน ปัญหาเศรษฐกิจเกิดมาจากปัจจัยภายในของระบบเศรษฐกิจประเทศใหญ่อย่างสหรัฐและกลุ่มยุโรป ซึ่งทางออกคงไม่ง่ายเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน
ทองคำเริ่มไม่ปรับตัวตามราคาน้ำมันเสมอไป เห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2009 ที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรุนแรงแต่ราคาทองคำกลับไม่ได้ลดลงตามไปด้วย ต่างกับทศวรรษที่ 70 ที่ราคาน้ำมันมีผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน
หลังปี 2011 ทำไมทองคำจะเป็นขาลง หลังปี 2011 ทำไมทองคำยังเป็นขาขึ้น
• ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จึงขัดกับความรู้สึกที่ว่าสินค้าโภคภัณฑ์มีวัฏจักรและทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมองว่าราคาทองคำน่าจะมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
• ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปเป็นสัญญาณเตือนนักลงทุนให้ระวังภาวะฟองสบู่แตก นับจากปี 2000 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นต่อเดือนเฉลี่ยร้อยละ 1.4 (mom) แต่เฉพาะเดือนสิงหาคม 2011 ราคาเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 15.8 ถือว่าสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา
• นักเก็งกำไรมีมากขึ้นทำให้ความอ่อนไหวต่อราคาสูงขึ้น นักเก็งกำไรส่วนมากมักถือทองคำในระยะสั้นและมีความอดทนต่อการขาดทุนต่ำ ดังนั้นหากราคาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อยก็อาจทำให้แห่กันเทขายกดดันราคาทองคำให้กลายเป็นขาลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงได้ • เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงทำให้ทางเลือกในการลงทุนมีไม่มากนัก ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปทำให้ พันธบัตรสหรัฐถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง พันธบัตรญี่ปุ่นก็ยังคงให้ผลตอบแทนต่ำติดดิน หรือตลาดทุนในตลาดเกิดใหม่ก็มีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ดังนั้นทองคำจึงยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
• สภาพคล่องมหาศาลจากมาตรการ QE3 ที่อาจประกาศใช้ในปี 2555 จะทำให้เกิดความต้องการสินทรัพย์เพื่อการลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย
• แนวโน้มการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกแทนการถือพันธบัตรสหรัฐก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นได้อีก
มูลค่าที่แท้จริงของทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 1980 ประมาณร้อยละ 17.4 เพราะฉะนั้นความเสี่ยงของการหักหัวลงอย่างรุนแรงจึงยังไม่สูงเท่า คำนวนจากราคาทองคำปรับด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่าถ้าปรับด้วยราคาฐานปัจจุบันแล้ว ราคาทองคำที่จุดสูงสุดในปี 1980 จะเท่ากับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปัจจุบันราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แปลว่าปัจจุบันทองคำยังไม่สามารถทำมูลค่าสูงสุดได้เหมือนอย่างปี 1980
ข้อสังเกตจากมูลค่าที่แท้จริงในทองคำยังบอกได้ว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อทองคำช่วงใกล้ฟองสบู่แตกในปี 1980 ถึงแม้จะถือไว้นานกว่า 30 ปีมาจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม ผลตอบแทนจากทองคำของนักลงทุนที่เล่นกับฟองสบู่ก็ยังคงขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี
ด้วยโครงสร้างและบริบททางเศรษฐกิจที่ต่างไปจากปี 1980 ทำให้ทองคำอาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่จะทำให้เกิดฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระลึกถึงความเสี่ยงและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ไม่ต้องถือทองคำไว้กว่า 30 ปีโดยที่ยังขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงเหมือนอย่างฟองสบู่ทองคำครั้งที่ผ่านมา
วันที่ 29 สิงหาคม 2554 16:13
TMBชี้ราคาทองพุ่งแรง! ยังไม่เข้าใกล้ฟองสบู่ เผยช่วง 11 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นแค่ 6.3 เท่า เทียบปี 2513-2523 เพิ่มขึ้นกว่า 16 เท่า
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB หรือ TMB Analytics เผยแพร่บทวิเคราะห์เรื่อง "ความเสี่ยงฟองสบู่ทองคำ 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง" โดยระบุว่า ราคาทองคำขาขึ้นมีปัจจัยพื้นฐานหนุนต่างจากฟองสบู่ทองคำปี 1980 เตือนความเสี่ยงของการหักหัวลง อาจมาจากความตื่นกลัวอย่างฉับผลันของนักเก็งกำไรระยะสั้นที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูง
ในปี 1979 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 125 นับจากต้นปี ต่อมาในปี 1980 ภายในเวลาเพียง 20 วันแรกของปี ราคาทองคำพุ่งทะยานอีกร้อยละ 52 จนถึงจุดสูงสุดที่ 850 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะดิ่งลงอย่างรวดเร็วและลดลงต่อเนื่องมาจนถึงปี 2000 เหตุการณ์ทั้งหมดกินระยะเวลาขาขึ้นประมาณ 10 ปี และขาลงอีกประมาณ 20 ปี บทเรียนในครั้งนั้นบอกอะไรต่อนักลงทุนในทองคำบ้าง
ในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่ครั้งแรกที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนบางคนเรียกว่าเกิดภาวะฟองสบู่ทองคำ หากแต่ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1970 จะพบว่าราคาทองคำเคยปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงมาแล้ว โดยในช่วงทศวรรษที่ 70 เกิดวิกฤตราคาน้ำมันขึ้นหลายรอบ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลายระลอกนี้ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงตามไปด้วย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยฟองสบู่แตกในปี 1980
สภาวะแวดล้อมปี 1980 และ 2011 ความเหมือนที่แตกต่าง
ราคาทองคำช่วงปี 1970-1980 เพิ่มขึ้นเร็วและแรงโดยมีราคาสูงสุดในปี 1980 มากกว่าราคาในปี 1970 ประมาณ 16 เท่า ขณะที่ช่วงปี 1999-ปัจจุบัน ราคาทองคำเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องค่อยเป็นค่อยไปกว่า โดยที่ผ่านมา 11 ปีเพิ่มขึ้นเพียง 6.3 เท่า
ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน วิกฤตเศรษฐกิจหลักในช่วงทศวรรษ 70 ต่างกับปัจจุบันค่อนข้างมาก โดยช่วง 1970-1980 เกิดปัญหาด้านอุปทาน (Supply shock) ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลงหลังปี 1980 ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจก็ผ่อนคลายลงได้ ขณะที่ปัจจุบัน ปัญหาเศรษฐกิจเกิดมาจากปัจจัยภายในของระบบเศรษฐกิจประเทศใหญ่อย่างสหรัฐและกลุ่มยุโรป ซึ่งทางออกคงไม่ง่ายเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน
ทองคำเริ่มไม่ปรับตัวตามราคาน้ำมันเสมอไป เห็นได้ชัดเจนในช่วงปี 2009 ที่ราคาน้ำมันลดลงอย่างรุนแรงแต่ราคาทองคำกลับไม่ได้ลดลงตามไปด้วย ต่างกับทศวรรษที่ 70 ที่ราคาน้ำมันมีผลต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน
หลังปี 2011 ทำไมทองคำจะเป็นขาลง หลังปี 2011 ทำไมทองคำยังเป็นขาขึ้น
• ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จึงขัดกับความรู้สึกที่ว่าสินค้าโภคภัณฑ์มีวัฏจักรและทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยมองว่าราคาทองคำน่าจะมาถึงจุดสูงสุดแล้ว
• ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเร็วเกินไปเป็นสัญญาณเตือนนักลงทุนให้ระวังภาวะฟองสบู่แตก นับจากปี 2000 ราคาทองคำเพิ่มขึ้นต่อเดือนเฉลี่ยร้อยละ 1.4 (mom) แต่เฉพาะเดือนสิงหาคม 2011 ราคาเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 15.8 ถือว่าสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา
• นักเก็งกำไรมีมากขึ้นทำให้ความอ่อนไหวต่อราคาสูงขึ้น นักเก็งกำไรส่วนมากมักถือทองคำในระยะสั้นและมีความอดทนต่อการขาดทุนต่ำ ดังนั้นหากราคาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อยก็อาจทำให้แห่กันเทขายกดดันราคาทองคำให้กลายเป็นขาลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงได้ • เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงทำให้ทางเลือกในการลงทุนมีไม่มากนัก ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปทำให้ พันธบัตรสหรัฐถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง พันธบัตรญี่ปุ่นก็ยังคงให้ผลตอบแทนต่ำติดดิน หรือตลาดทุนในตลาดเกิดใหม่ก็มีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับความเสี่ยง ดังนั้นทองคำจึงยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
• สภาพคล่องมหาศาลจากมาตรการ QE3 ที่อาจประกาศใช้ในปี 2555 จะทำให้เกิดความต้องการสินทรัพย์เพื่อการลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย
• แนวโน้มการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกแทนการถือพันธบัตรสหรัฐก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นได้อีก
มูลค่าที่แท้จริงของทองคำในปัจจุบันยังต่ำกว่าจุดสูงสุดในปี 1980 ประมาณร้อยละ 17.4 เพราะฉะนั้นความเสี่ยงของการหักหัวลงอย่างรุนแรงจึงยังไม่สูงเท่า คำนวนจากราคาทองคำปรับด้วยเงินเฟ้อ จะพบว่าถ้าปรับด้วยราคาฐานปัจจุบันแล้ว ราคาทองคำที่จุดสูงสุดในปี 1980 จะเท่ากับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปัจจุบันราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แปลว่าปัจจุบันทองคำยังไม่สามารถทำมูลค่าสูงสุดได้เหมือนอย่างปี 1980
ข้อสังเกตจากมูลค่าที่แท้จริงในทองคำยังบอกได้ว่า นักลงทุนที่เข้าซื้อทองคำช่วงใกล้ฟองสบู่แตกในปี 1980 ถึงแม้จะถือไว้นานกว่า 30 ปีมาจนถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม ผลตอบแทนจากทองคำของนักลงทุนที่เล่นกับฟองสบู่ก็ยังคงขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงอยู่ดี
ด้วยโครงสร้างและบริบททางเศรษฐกิจที่ต่างไปจากปี 1980 ทำให้ทองคำอาจจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดที่จะทำให้เกิดฟองสบู่แตก แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระลึกถึงความเสี่ยงและผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ไม่ต้องถือทองคำไว้กว่า 30 ปีโดยที่ยังขาดทุนในมูลค่าที่แท้จริงเหมือนอย่างฟองสบู่ทองคำครั้งที่ผ่านมา